ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “หลวงพ่อดีเนาะ พระอารมณ์ดีไม่มีความทุกข์”

    (จากหนังสือ พลิกจิต ชีวิตเปลี่ยน)
    (เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล)

    ๐ “หลวงพ่อดีเนาะ”( ตอนที่ ๑ )

    มีหลวงพ่อองค์หนึ่งที่จังหวัดอุดรธานี ชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อดีเนาะ” เพราะอะไรเกิดกับท่าน ท่านก็ว่าดีไปหมด เป็นพระที่ไม่มีความทุกข์ อารมณ์ดี

    วันหนึ่งมีโยมนิมนต์ไปแสดงธรรม บอกว่าจะมารับแต่เช้า ท่านนั่งคอยอยู่นาน เขาก็ไม่มาสักที ท่านก็ว่า “ไม่มาก็ดีเหมือนกันเนาะ เราก็ฉันข้าวของเราดีกว่า” พอกําลังจะฉัน เขาก็มาถึงพอดี พร้อมกับขออภัยที่มาช้า เพราะรถเกิดเสียหลวง พ่อก็ว่า “ก็ดีเนาะ ไปฉันที่งานเนาะ” ท่านนั่งรถไปได้ไม่นานเครื่องก็ดับ ท่าน ก็ว่า “ดีเนาะ ได้หยุดพักชมวิวเนาะ” แต่ซ่อมเท่าไร เครื่องก็ไม่ติด คนขับจึงบอกหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อ ช่วยเข็นรถให้หน่อย” หลวงพ่อก็ไม่ว่าอะไร ท่านว่า “ดีเนาะ ได้ออกกําลังเนาะ”
    .
    ปรากฏว่ากว่าจะไปถึงงาน ก็เลยเที่ยงแล้ว เจ้าภาพพอเห็นหลวงพ่อก็รีบนิมนต์ให้แสดงธรรมทันที เพราะได้เวลาแล้ว ท่านก็ว่า “ดีเนาะ มาถึงก็ได้ทํางานเลยเนาะ” พอเทศน์เสร็จ เขาก็เอากาแฟมาถวาย ท่านจิบแล้วก็ว่า “ดีเนาะ ดี ๆ” พอหลวงพ่อวางแก้ว ลูกศิษย์ก็ขอไปดื่มเพื่อเป็นสิริมงคล แต่พอจิบได้หน่อยลูกศิษย์ก็พ่นออกมาทันที “เค็มปีเลยหลวงพ่อทําไมหลวงพ่อบอกว่าดี” หลวงพ่อตอบว่า “ก็ดีสิฉันกาแฟหวาน ๆ มานานแล้ว ฉันเค็มๆ บ้าง ก็ดีเหมือนกัน”

    หลวงพ่อมองว่าอะไรที่เกิดขึ้นกับท่านทุกอย่างล้วนดีหมด มีคราว หนึ่งโจรขึ้นมาปล้นกุฏิท่าน เขาคงเห็นว่ากุฏิท่านมีของเยอะ ที่จริงของเหล่านี้โยมถวายแล้วท่านก็ไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหน เลยสุมกองที่กุฏิท่าน โจรได้ช่องก็เข้า มาปล้น บอกว่านี่คือการปล้น หลวงพ่ออย่าขัดขืน ท่านก็ยิ้ม แล้วก็พูดว่า “ปล้นก็ดีเนาะ” โจรแปลกใจจึงถามว่า ทําไมถึงดีล่ะหลวงพ่อท่านตอบว่า “ไม่ดีได้ยังไงข้าทนทุกข์กับการเฝ้าของพวกนี้หลายปีแล้วแกเอาไปก็ดีเหมือนกันข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้ามันอีกต่อไป” โจรบอกว่าไม่ได้ปล้นอย่างเดียวนะ ต้องฆ่าหลวงพ่อด้วยเพื่อปิดปาก หลวงพ่อบอกว่า “ฆ่าก็ดีเนาะ” โจรถามว่าดียังไง หลวงพ่อก็ตอบว่า “ข้าแก่แล้ว ตายเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องทุกข์ร้อน” โจรเริ่มใจอ่อน สุดท้ายก็บอกว่าไม่ฆ่าหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อก็ตอบ ว่า “ไม่ฆ่าก็ดีเนาะ” โจรถามว่าดียังไง หลวงพ่อตอบว่า “ฆ่าคนมันเป็นบาป ถ้าฆ่าข้าเอ็งก็จะต้องชดใช้กรรมทั้งชาตินี้ชาติหน้า อย่างน้อยก็ต้องถูกตํารวจจับ หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตายแล้วยังตกนรกอีก” ในที่สุดโจรก็เปลี่ยนใจ บอกหลวงพ่อว่า ผมไม่ปล้นหลวงพ่อแล้ว ท่านก็ตอบว่า “ไม่ปล้นก็ดีเนาะ” สุดท้ายโจรคนนี้ก็สํานึกผิดมอบตัวให้ตํารวจ พอพ้นผิด ก็มาบวชกับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อดีเนาะไม่ใช่เรื่องแต่ง ท่านมีตัวตนจริง ๆ ไม่ใช่พระหลวงตาธรรมดา เป็นพระระดับเจ้าคุณชั้นเทพ คือพระเทพวิสุทธาจารย์ แต่ท่านอยู่แบบง่าย ๆ ตอนที่ในหลวงพระราชทานสมณศักดิ์ให้ท่าน ได้ตั้งราชทินนาม ให้ท่านว่า “สาธุอุทานธรรมวาที” แปลว่า ผู้แสดงธรรมด้วยการเปล่งคําว่า “ดีเนาะ”

    (เครดิตจาก : น้องสาว ธัญณีย์ วิจักษ์พัฒน์)

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ผลบุญจากการอนุโมทนาน่าอัศจรรย์มาก”

    (คติธรรม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    บุญจากการอนุโมทนา ผลของบุญนั้นมีความมหัศจรรย์มาก เพราะบุคคลบางคนไม่ได้สละทรัพย์เป็นเจ้าของวัตถุทาน และไม่ได้เป็นผู้ถวายทานนั้นด้วยมือ แต่เป็นผู้มีความยินดีเลื่อมใสในการทำบุญของบุคคลอื่น บุคคลนั้นก็จะได้รับผลของบุญประหนึ่งเป็นเจ้าของวัตถุทาน หรือเป็นผู้ถวายทานนั้นเอง ดังเช่นผลบุญที่เกิดกับเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา

    ครั้งหนึ่งพระอนุรุทธะเถระจาริกไปในดาวดึงส์เทวโลก เห็นทิพย์วิมานหลังใหญ่ กว้างยาวและสูง ๑๖โยชน์ แวดล้อมด้วยอุทยานและสระโบกขรณี ล่องลอยอยู่ในอากาศแผ่รัศมีไปไกลถึงร้อยโยชน์ เจ้าของวิมานนั้น เป็นเทพธิดาวรรณะงาม มีรัศมีสว่างไปทั่วทุกทิศ มีกลิ่นทิพย์หอมยวนใจฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ เมื่อยามเยื้องกรายหรือร่ายรำก็มีเสียงทิพย์อันไพเราะ น่าฟัง น่ารื่นรมย์ใจเปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ พระอนุรุทธะเถระจึงถามเทพธิดานั้นว่าเธอทำบุญด้วยอะไรทิพย์สมบัตินี้จึงเกิดขึ้นแก่เธอ

    นางเทพธิดาตอบพระเถระว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา เมื่อเพื่อนของดิฉันสละทรัพย์ถึง ๒๗ โกฏิ สร้างบุพพารามมหาวิหาร เธอชวนดิฉันและสหายอีก ๕๐๐ คน ไปเที่ยวชมปราสาท ดิฉันได้เห็นสมบัติปราสาทที่เธอสร้างถวายพระภิกษุสงฆ์ที่ดิฉันเคารพ ดิฉันเลื่อมใสจึงอนุโมทนาบุญกับเธอว่า สาธุ สาธุ
    ด้วยอานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญนี้ ทิพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้จึงบังเกิดแก่ดิฉัน

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ให้ตั้งใจภาวนา อย่าสนใจเรื่องโลกๆลมๆแล้งๆ”

    (คติธรรม หลวงปู่เพียร วิริโย)

    ให้ตั้งใจภาวนา ภาวนาไป ไม่ต้องสนใจอะไร เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไปสนใจกับมันทำไม มีแต่ลม เป็นเรื่องของประจำโลก ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย ให้ภาวนาไป ภาวนาดูตรงนี้ซิ” อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” โลกก็มีเท่านี้ อันนี้แหละประโยชน์ คุยโน่นคุยนี่ วุ่นโน่นวุ่นนี่ วุ่นวายเฉยๆ ไปเอาขี้มาใส่ตัวเองทำไม ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา เรื่องของเราคือ “ภาวนา” ไม่ต้องไปสนใจกับใคร ภาวนาอย่างเดียว

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ในหลวง ร.๙ กับสัญญาณไฟแดง”

    บทความนี้ได้นำเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับพระจริยวัตรอันงดงาม และพระราชอัธยาศัยอันน่าประทัปใจของในหลวง ร.๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่ได้รับการบอกเล่าจากข้าราชบริพาร ข้าราชการระดับสูง รวมถึงผู้ติดตามเสด็จ ซึ่งประชาชนโดยทั่วไปอาจะไม่ทราบถึงเรื่องราวต่างๆเหล่านี้หากไม่ได้ศึกษาหรือค้นหาข้อมูลจากที่ต่างๆ ครั้งนี้จึงได้นำมาให้ทุกท่านได้ติดตามชมกัน เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติของตนเอง ตามที่พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างที่เหมาะสมแก่ประชาชนของพระองค์ท่าน

    วันหนึ่งมีคนสงสัยว่า
    รถนายกทำไมต้องติดไฟแดง

    เหตุนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน บนถนนแห่งหนึ่งในกทม มีรถยี่ห้อโตโยต้าสีดำคันหนึ่ง ได้ขับไปบนถนนเส้นนั้นโดยในรถคันดังกล่าว มีเพียงชายผู้หนึ่งที่กำลังขับรถอยู่เพียงคนเดียวและในระหว่างทางที่ขับไปนั้น ชายดังกล่าวได้จอดรถแวะข้างทางเพื่อซื้อกาแฟ 1 ถุง และได้ออกรถไปจนกระทั่งขับมาถึงสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง

    ชายดังกล่าวก็ได้จอดติดไฟแดงอยู่ จนมีรถตำรวจคันหนึ่งซึ่งขับนำรถเบนซ์มาได้บีบแตรไล่รถที่ชายผู้นั้นจอดติดไฟแดงอยู่นั้นให้ถอยไป และรถตำรวจยังได้พูดผ่านไซเรนว่า “เป็นรถนำขบวนรัฐมนตรีให้รถของชายดังกล่าวหลบไป”

    แต่รถของชายผู้นั้นก็ไม่หลบให้ จนกระทั่งตำรวจได้ลงจากรถมาที่รถของชายดังกล่าวและเรียกให้ชายผู้นั้นลงจากรถ พอชายผู้นั้นได้ลงมาจากรถ ตำรวจได้เห็นชายคนนั้นถึงกลับเป็นลมล้มทั้งยืน สร้างความตกใจให้แก่ตำรวจอีกคนที่นั่งอยู่ในรถ จนต้องวิ่งลงมาดูพร้อมกับรัฐมนตรี พอตำรวจและรัฐมนตรีมาถึง ทั้งคู่ได้เห็นชายดังกล่าว ทั้งตำรวจและรัฐมนตรีได้นั่งลงไปกับพื้นทันที เสมือนกับว่าขาทั้ง 2 ข้างได้อ่อนแรงลงไปทันใด และได้เงยหน้ามองดูชายซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าตนด้วยอาการตัวสั่น

    ชายคนนั้นที่ทั้งคู่ได้เห็นเป็นชายที่มีรูปอยู่บนธนบัตร ซึ่งก็คือ ในหลวงองค์ปัจจุบัน

    ในหลวงได้ทรงตรัสถามรัฐมนตรีและตำรวจติดตามว่า “พวกท่านจะรีบไปไหนหรือถึงกลับจะต้องฝ่าไฟแดง ข้าพเจ้ายังรอติดไฟแดงได้เลย”

    รัฐมนตรีไม่ตอบได้แต่นั่ง ตัวสั่นและกราบลงบนพระบาทและในหลวงก็ได้ทรงขึ้นรถ ตำรวจที่นำขบวนรัฐมนตรีมานั้นก็ได้ทูลว่า “ให้ข้าพระพุทธเจ้าขับรถนำรถพระที่นั่งของพระองค์ไปมั๊ยพุทธเจ้าข้า”

    ในหลวงทรงตรัสว่า

    “เราไม่ต้องให้ท่านมานำขบวนรถเราหรอก เราขับไปเองคนเดียวได้ ท่านไปนำรถของท่านรัฐมนตรีเถอะ”

    และในหลวงก็ได้ทรงขับรถออกไปจากสี่แยกนั้น โดยไม่ได้มีรถตำรวจนำไปแต่อย่างใดเลย

    ๐ ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้

    แม้ทรงเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่ก็ทรงเคารพระเบียบวินัย และกฎจราจรได้อย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ถูกต้องให้ประชาชนได้ปฎิบัติตาม เพื่อความมีวินัยของจราจรบนท้องถนน

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ทุกวันนี้ทางบ้านเมือง หลวงพ่อก็ยังได้ยิน เลือกผู้แทนแล้วก็ยังยื้อกันไปแย่งกันมาอิลุงตุงนังอยู่ นี่เราก็ไม่ว่ากัน หน้าที่ใครหน้าที่เรา แต่ถึงยังไงก็ให้เป็นธรรม เพราะอยู่ในประเทศชาติเดียวกัน อย่าไปชิงดีชิงเด่นกันจนหัวร้างข้างแตก ต้องรักเมตตากันทุกคน เพราะเราอยู่ในชาติเดียวกัน

    ในทางศาสนาก็เหมือนกัน คนนั้นก็ชี้คนนี้ คนนี้ก็ชี้คนนั้น ว่าควรจะปฏิรูปพระพุทธศาสนา แต่ตามที่จริงควรจะปฏิรูปทุกคน ทุกคนควรจะปฏิรูปตัวเองเป็นอันดับแรก ในความเห็นหลวงพ่อ ทุกคนควรจะปฏิรูปตนเองเสียก่อน ต้องมองตนเองเสียก่อน ถ้าตนเองปฏิรูปตนเองเรียบร้อยแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว อย่างพระพุทธเจ้า ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจึงปฏิรูปคนอื่น แต่พวกเรานี่ ตัวเองก็ยังรกรุงรังพอแรง แล้วก็ไปชี้นิ้วปฏิรูปคนอื่น ก็ใช่อยู่ ถ้าเราดีกว่าคนอื่นในจุดนั้น

    อย่างหลวงพ่ออินทร์ หลวงพ่อเชื่อว่าหลวงพ่ออยู่ในหลักพระธรรมวินัย อยู่ในศีล ๒๒๗ แต่หลวงพ่อไปมองเห็นพระน้อง ๆ ไปกินเหล้า ออกนอกลู่นอกทาง หลวงพ่อก็จะบอกว่า ควรปฏิรูปนะ พระองค์นี้ เพราะหลวงพ่อไม่ทำอย่างนั้น เล่นการพนัน กินเหล้า มั่วสีกา เป็นอลัชชี ควรจะปฏิรูป แต่ก่อนที่จะปฏิรูปคนอื่น เราก็ต้องเหนือกว่าเสียก่อน ไม่ใช่ว่าน้ำท่วมปาก ไปพูดขึ้นมาก็น้ำเข้าคอ ลงท้องด้วย ทั้งพูดไปด้วย

    การปฏิรูปพระพุทธศาสนา ปฏิรูปพระ ปฏิรูปโยม พุทธบริษัทสี่ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้วางศาสนาไว้กับท่านผู้ใดผู้หนึ่ง พระอานนท์ถามว่า เมื่อพระพุทธองค์ผ่านไปแล้ว จะทำอย่างไร พุทธบริษัทจะทำอย่างไร

    พระพุทธองค์บอกว่า ธรรมและวินัยนั่นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายเมื่อเราตถาคตผ่านไปแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ เราก็ต้องยึดหลักธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าวางไว้อย่างไร ก็ต้องนำมาศึกษา นำมาปัดฝุ่นว่า ธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าวางไว้เป็นอย่างไร ใครเป็นผู้ย่อหย่อน

    สำหรับโยม พระพุทธเจ้าวางไว้ให้มีศีล ๕ พวกเรามีศีลห้าหรือเปล่า หรือศีลอุโบสถ อย่างน้อยยึดพระไตรสรณคมน์ ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราอยู่ในกรอบนั้นหรือเปล่า

    เมื่อบวชเข้ามาเป็นพระก็ต้องอยู่ในกรอบของพระ เข้ามาเป็นสามเณรก็ต้องอยู่ในกรอบของสามเณร เมื่อบวชเป็นพระ พระพุทธองค์ก็บอกกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ธรรมวินัยอาบัติที่เราบัญญัติไปแล้วในข้อเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเธอทั้งหลายจะประชุมหารือกันถอดถอนธรรมวินัยที่เล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ก็ได้ แต่พระอานนท์ก็ไม่ได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า ข้ออาบัติที่เล็กน้อยนั้นอยู่ในกลุ่มไหน

    เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว พระมหากัสสปะได้สอบถามพระอานนท์ว่า พระพุทธองค์ได้สั่งเสียอะไรไว้บ้าง พระอานนท์จึงพูดคำนี้ขึ้นมา พระมหากัสสปะจึงได้ถามว่า อาบัติเล็กน้อยนั้นคือกลุ่มไหนที่ถอดถอนได้ แต่พระอานนท์ไม่ได้ถาม พระสงฆ์จึงปรับอาบัติพระอานนท์ พระอานนท์ก็ยอมรับ จากนั้น พระสงฆ์ก็ได้ประชุมหารือกันว่า จะถอดถอนอาบัติเล็กน้อยข้อไหนออก พระอรหันต์ในยุคนั้นท่านก็มาประชุมกันที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา

    ทีนี้พระอรหันต์ที่มาประชุมก็มีหลายกลุ่ม เชื้อพระวงศ์ก็มี พ่อค้าก็มี ครูบาอาจารย์ก็มา ชาวไร่ชาวนาก็มี ขนาดท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ท่านยังไม่เอกฉันท์ในความคิด กลุ่มหนึ่งก็ตัดข้อนั้นออก อีกกลุ่มก็ตัดข้อนี้ออก ผลที่สุดก็ไม่เอกฉันท์ พระมหากัสสปะ จึงบอกว่า ดูก่อนหมู่พวกเพื่อทั้งหลาย ถ้าพวกเราจะถอดถอนพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าออก คงจะไม่สม่ำเสมอ คงจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ผมในฐานะประธานสงฆ์จึงเห็นว่าคงไว้อย่างเดิมทั้งหมดจะดีไหม พระอรหันต์ทั้งหมดก็สาธุพร้อมกัน

    นี่ขนาดพระอรหันต์ที่ท่านหมดจดจากกิเลสราคะ โทสะ โมหะ บริสุทธิ์หมดจดทั้ง ๕๐๐ องค์ พอมาวินิจฉัยก็ยังไปคนละทาง เพราะฉะนั้น ผู้แทนราษฎรก็ดี พวกเราเองก็ดี จะให้มีความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็เป็นไปไม่ได้ จุดนี้เราต้องคิดไว้เหมือนกัน วันนี้หลวงพ่อนำเรื่องทางธรรมมาตีขยายเปรียบเทียบไปกับทางโลกให้ได้ฟังนะ ทางโลกและทางธรรมไปด้วยกันได้ ทั้งโลกกับธรรม

    หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
    พระธรรมเทศนา “ปฏิรูปตนเอง”
    แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒

    -ห.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “หลวงปู่บัว สิริปุณโณ ช่วยแก้จิตเสื่อม”

    (จากธรรมประวัติ หลวงปู่ศรี มหาวีโร)

    การบรรลุธรรม ในพรรษาที่ ๑๙ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๖ เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่ศรี ได้เดินทางมายังวัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เพื่อให้หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ช่วยแก้จิตที่เสื่อมให้ เมื่อหลวงปู่บัว ท่านให้อุบายธรรมต่างๆแล้ว หลวงปู่ศรี ก็ทุ่มเทกำลังสติปัญญาทั้งหมด ปฏิบัติแบบไม่ใยดีในชีวิต ใช้ความเพียรกล้าอย่างยิ่งยวด ทั้งกลางวันและกลางคืน เรื่องการหลับนอนไม่ได้สนใจ อาศัยขันติคือความอดทนนั่งพิจารณาคลี่คลายสังขารส่วนต่างๆ ยอมเป็นยอมตาย ไม่อาลัยในสังขารชีวิตซึ่งเป็นสิ่งสมมุติ “จนจิตได้บรรลุธรรมอันพึงประสงค์ด้วยอำนาจตบะธรรมอันแกร่งกล้าอย่างหาผู้เปรียบได้ยากยิ่ง”

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “อภัยทาน สงเคราะห์เข้ากันด้วยธรรมทาน”

    (อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต)
    (ปัญจมวรรค ทานสูตร ขุ.ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๔)

    ในอธิการนี้ อภัยทานพึงทราบว่า ทรงสงเคราะห์เข้ากันด้วยธรรมทานนั่นเอง การไม่บริโภคปัจจัยทั้งหลายเสียเอง แต่ปัจจัย ๔ อันตนพึงบริโภคแล้วแจกจ่ายแก่คนเหล่าอื่น โดยมีความประสงค์จะเผื่อแผ่แก่คนทั่วไป ชื่อว่า อามิสฺสํวิภาโค (แจกจ่ายอามิส) ความเป็นผู้ไม่มีความขวนขวายน้อย แสดงอ้างธรรมที่ตนรู้แล้ว คือบรรลุแล้วแก่คนเหล่าอื่น โดยมีความประสงค์จะเผื่อแผ่ธรรมแก่คนทั่วไป ชื่อว่า ธมฺมสํวิภาโค (แจกจ่ายธรรม)

    การอนุเคราะห์ การสงเคราะห์คนเหล่าอื่นด้วยปัจจัย ๔ และด้วยสังคหวัตถุ ๔ ชื่อว่า อามิสานุคฺคโห (อนุเคราะห์ด้วยอามิส) การอนุเคราะห์ การสงเคราะห์คนเหล่าอื่นด้วยธรรม โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ ชื่อว่า ธมฺมานุคฺคโห (อนุเคราะห์ด้วยธรรม).

    คำที่เหลือมีนัยกล่าวแล้วทั้งนั้น พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

    บทว่า ยมาหุ ทานํ ปรมํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายตรัส ทานใดว่าเยี่ยม คือสูงสุด โดยความที่จิต (เจตนา) เขต (ปฏิคาหก) และไทยธรรมเป็นของโอฬาร หรือโดยยังโภคสมบัติเป็นต้นให้บริบูรณ์ คือยังโภคสมบัติเป็นต้นให้เผล็ดผล

    อีกอย่างหนึ่ง ตรัสว่าเยี่ยม เพราะย่ำยีคือกำจัดธรรมที่เป็นปฏิปักษ์อื่นๆ มีโลภะและมัจฉริยะเสียได้

    บทว่า อนุตฺตรํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายตรัสทานใด ชื่อว่าเว้นจากทานอื่นที่ยอดเยี่ยมกว่า และให้สำเร็จความยิ่งใหญ่ เพราะยังเจตนาสมบัติเป็นต้นให้เป็นไปดียิ่ง และเพราะความเป็นทานมีผลเลิศ โดยความเป็นยอดทาน

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “พระพุทธรูปประจำองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต”

    พระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต กราบไหว้บูชาอยู่เป็นประจำ เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

    ฐานของพระพุทธรูปเป็นแท่นไม้ซึ่งท่านพระอาจารย์มั่น เป็นผู้ประกอบขึ้นด้วยองค์ท่านเอง

    ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ “อาคารพิพิธภัณฑ์อัฐบริขารพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ”
    วัดป่าสุทธาวาส บ้านคำสะอาด
    ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาทความตอนหนึ่งว่า

    1f340.png …หากท่านกราบไหว้แล้วน้อมนำใจให้ระลึกถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้า ก่อให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ก้อนดินที่ปั้นเป็นพระนั้นก็มีค่าดั่งทอง

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาอุ้มชูตนเองได้”

    (พระราชดำรัส ในหลวง ร.๙)

    “ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมอย่างนี้ว่า การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง อันนี้ก็เคยบอกว่า ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก อย่างนี้ท่านนักเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัยจริง อาจจะล้าสมัย คนอื่นเขาต้องมีเศรษฐกิจ ที่ต้องมีการแลกเปลี่ยน เรียกว่าเศรษฐกิจการค้า ไม่ใช่เศรษฐกิจความพอเพียง เลยรู้สึกว่าไม่หรูหรา แต่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีบุญอยู่ว่า ผลิตให้พอเพียงได้”

    “เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป”

    “ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทยเรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่าถ้ามีเงินเท่านั้น ๆ มีการกู้เท่านั้น ๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง”

    “แต่ว่าพอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือ คำว่าพอ ก็เพียงพอเพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนผู้อื่นน้อย”

    “มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง…”

    “ความพอเพียงนี้ก็แปลว่า
    ความพอประมาณ และความมีเหตุผล”

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ลัทธิทรมานตน อัตตกิลมัตถานุโยค”

    ลัทธิทรมานตน ที่เรียกว่า “อัตตกิลมัตถานุโยค” ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ที่ประเทศอินเดีย

    การทนมานตน ” อัตตกิลมัตถานุโยค ” นักบวชอินเดีย ในพระธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงทางสุดโต่ง ๒ ทางได้แก่

    ๑. ทางที่แสวงหาความสุขจากกามคุณ
    คือ “กามสุขัลลิกานุโยค”
    ๒. ทางทรมานตนเองเพื่อหวังความพ้นทุกข์
    คือ “อัตตกิลมถานุโยค”

    ๑. การแสวงหาความสุขจากกาม เป็นทางของฆราวาสทั่วๆไปที่ปล่อยตัวกระทำตนให้เกลือกกลั้วอยู่ หมกมุ่นอยู่ในกาม ด้วยเชื่อว่า การแสวงหากามคุณทั้งหลายคือทางที่จะนำไปสู่การดับทุกได้

    ๒. การทรมานตนเพื่อหวังพ้นทุกข์ ได้แก่การทรมานตนให้ได้รับความทุกข์ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น พวกเช่นพวกที่นุ่งลมห่มฟ้า พวกนักบวชที่มีข้อปฏิบัติแปลกๆ เช่น ทรมานตนด้วยวิธีต่างๆ เช่น การยกแขนข้างหนึ่งไปตลอดชีวิต การมุดดิน หรืออดอาหารจนร่างกายผอมแห้ง การนอนบนหนามเหล็กแหลม การปล่อยให้เล็บยาวผุดทะลุฝ่ามือ การเดินบนกองเพลิง การจ้องพระอาทิตย์โดยไม่กระพริบตา ฯลฯ

    เหล่านี้ล้วนแต่ถือว่าเป็นการทรมานตนให้ได้รับความทุกข์ พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ใช่ทางหลุดพ้น ทำให้ทุกข์ไปเปล่าประโยชน์ แล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงทางสายกลาง “มัชฌิมาปฏิปทา” คือ มรรค อันมีองค์ ๘ ประการ ให้เป็นทางแห่งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ที่ทรงแสดงธรรมครั้งแรกของโลกในพระพุทธศาสนานี้แก่ปัญจวัคคีย์ ณ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถ พาราณสี ประเทศอินเดีย ในวันอาสาฬหบูชานั่นเอง

    (ข้อมูลจาก www.oknation.net)

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    *** ในพรรษาที่รู้แจ้ง ***

    ” คะเนดูว่า เป็นช่วงที่ท่านฯจะจำพรรษาติดต่อกัน ระหว่างกรุงเทพฯ กับประเทศพม่า จวนจะเข้าพรรษา ท่านพระอาจารย์พิจารณาได้ความว่า เราควรหลีกออกจากหมู่ไปอยู่รูปเดียว พิจารณาได้ที่ถ้ำสาริกา จังหวัดนครนายก จึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ถ้ำสาริกา จังหวัดนครนายก ”

    เมื่อถึงแล้ว ได้ถามชาวบ้านแถวนั้น ซึ่งเป็นชาวโคราชมาทำไร่ ตั้งบ้านอยู่ชื่อว่า บ้านห้วยอีเห็น บ้านเรือนยังไม่มี มีแต่ป่า ไม่เหมือนทุกวันนี้ บอกความประสงค์ที่จะจำพรรษาที่ถ้ำนี้ ชาวบ้านก็ยินดี ว่าจะได้ทำบุญกับท่าน..

    แต่ชาวบ้านถามว่า ท่านพระอาจารย์จะอยู่ได้ไหม ปีที่แล้วมีพระมาจำพรรษา ๔ รูป ยังไม่พ้นพรรษา ตายคาถ้ำ ๒ รูป ออกไปตายข้างนอกอีก ๒ รูป ท่านพระอาจารย์บอกว่า ไหนๆ ก็รอนแรมมาจากรุงเทพฯ มาไกล จวนจะเข้าพรรษาแล้ว ลองดู จะตายเป็นองค์ที่ ๕ ก็จำเป็น

    ” ชาวบ้านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นี่คือคนไทย อยู่ป่าอยู่บ้านมีแต่บุญกับบุญ สมกับมีพระพุทธเจ้าเป็นบรรพบุรุษจริงๆ ”

    ” พอเข้าพรรษาได้ ๓ วันก็ได้เรื่องทีเดียว จิตใจฟุ้งซ่าน กายรำคาญ เต็มไปด้วยความวิตกนานาประการ ล้วนแต่หาสาระไม่ได้ทั้งนั้น ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย ฉันข้าว ข้าวโพดเข้าไป ถ่ายเป็นเมล็ดออกมา ไม่เป็นอันหลับอันนอน พิจารณาทบทวนไปมา เลยคิดได้ว่าลองไม่ฉันดีกว่า บอกชาวบ้านว่า “ถ้าไม่เห็นอาตมาลงไปบิณฑบาต อย่าขึ้นมานะ” ชาวบ้านพาซื่อไม่ขึ้นมาจริงๆ บอกว่า ถ้าถึง ๗ วันไม่เห็นลงไปบิณฑบาต ขึ้นมาเอาไฟมาด้วยจะได้เผากัน ท่านฯ ว่าอย่างนี้เลย “..!

    ” แล้วก็ไม่มีการพักผ่อนกันเลยล่ะ ท่านพระอาจารย์เดินจงกรม พิจารณากำหนดจิตอยู่ในร่างกายนี้ พอสมควรแล้วก็นั่งสมาธิ ความวิตกกังวลทับถมเข้ามา ร่างกายเจ็บปวดเวทนา ทั้งแสบทั้งร้อนสารพัดเกี้ยวขา สารพัดเกี้ยวแข้ง ท่านฯว่า “..!

    พอคิดขึ้นได้ว่า จะเป็นตายร้ายดี ก็ให้ตัดสินกันวันนี้ เมื่อลงใจได้เช่นนี้ พิจารณากำหนดอยู่ในร่างกายไม่ถอย จิตก็รวมใหญ่ ปรากฏว่า ร่างนี้พังไปเลย เกิดไฟเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านจมหายไปในแผ่นดิน เกิดความรู้ขึ้นมาเหมือนครั้งอยู่วัดเลียบ และที่กรุงเทพฯ ซ้ำขึ้นมาอีก …
    เป็นครั้งที่ ๓

    เวทนาและความวิตกกังวลทั้งหลาย หายหมดสิ้นเหลือแต่ปีติ สุข และเอคกัคคตา เกิดความรู้แปลกประหลาดขึ้นมา เป็นบาทคาถาบาลีว่า

    สุตฺตาวโต จ โข ภิกฺขเว อสุตฺตาวตา ปุถุชฺชเน นาปี ภควา มูลกโน ภนฺเต ภควํ เนตฺติกา ภควํ ปฏิสฺสรณา

    ความว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุโยคาวจรเจ้า ผู้ได้ศึกษามาก็ดี ภิกษุโยคาวจรเจ้าที่ไม่ได้ศึกษา เพราะความที่ตนเป็นปุถุชนคนหนาก็ดี ให้เอาพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นมูลเหตุ เอาพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเนติแบบฉบับ เอาพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย เสมอด้วยชีวิต เพราะเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แม้แต่พระตถาคตเจ้า ก็ได้กระทบกระทั่งมาแล้วอย่างแสนสาหัส

    ” ชื่อพระคาถานี้ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย ”

    ท่านพระอาจารย์ว่า..!

    ท่านพระอาจารย์นั่งทำสมาธิอยู่ในถ้ำนั้น หันหน้าออกข้างนอก จิตใจเบิกบานแจ่มใส ด้วยปีติปราโมทย์ในธรรม

    ขณะนั้นมีลิงแม่ลูก ๒ ตัวอยู่ข้างนอก แม่เข้ามาส่องดูท่าน กลับไปกบลับมา ๒ – ๓ ครั้ง ท่านพระอาจารย์กำหนดพิจารณาดูว่า ลิงสองแม่ลูกมันทำอะไร รู้ขึ้นมาในใจว่า ลิงแม่มาดูเรา แล้วไปพูดกับลูกว่า “พระท่านมาจำศีลอยู่ที่นี่” ท่านจึงนึกว่า ลิงมันก็รู้จักศีล แต่รักษาศีลไม่เป็น องค์ประกอบไม่พร้อมเหมือนมนุษย์ จึงรักษาศีลไม่ได้ เลยน้อมเข้ามาหาตัวว่า เรารักษาศีลรู้จักศีลแล้วหรือ..!

    พอตกตอนบ่าย ท่านลุกขึ้นทำความสะอาด ปัดกวาดบริเวณผลาญหินหน้าถ้ำสติสัมปชัญญะและปีติปราโมทย์ พร้อมตลอดเวลา ขณะนั้นฝูงปลวกดำไต่ขึ้นมาบนแผ่นหินหน้าถ้ำ ท่านพระอาจารย์มั่นกวาดไปถึง ค่อยๆ พูดว่า “หนีเน้อสู กูจะกวาดวัด ไปถูกต้องตัวเข้า จะหาว่าเบียดเบียน” หัวหน้าปลวกพูดขึ้นว่า “หนีเถอะพวกเรา นี่วัดธรรมยุตท่าน” แล้วพากันหนีไป ท่านคิดในใจว่า พวกปลวกมันยังรู้ว่า เราเป็นพระธรรมยุต แล้วเราล่ะ รู้จักธรรมยุตหรือยัง พิจารณาได้ความว่า ธรรมยุต คือ ยุติธรรม คือ ” ความถูกต้องเป็นธรรมนั่นเอง ”

    ” ท่านพระอาจารย์กำหนดไป พิจารณาไป ทำกิจวัตรไป เกิดน้ำตาไหลเหมือนร้องไห้ ”

    ” เอ๊ะ..นี่เราไม่ได้เจ็บปวดหรือเศร้าโศก ทำไมน้ำตาไหล ได้ความว่า กำลังปีติ ที่ตามระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงวางศาสนาไว้ให้เราได้ปฏิบัติเป็นพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ พระอรหันตสาวก และพระสาวกที่ประพฤติปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงตัวเรา ก็ด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่นี้ ”
    ………………… … … … ………………..

    องค์พระมหากษัตริย์ของไทย ได้ทรงยกย่องพระพุทธศาสนา ทุกพระองค์เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เป็นพระมหากรุณาอันสูงส่งประมาณมิได้ เพราะว่า ด้วยพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ยิ่งใหญ่ จะทำลายศาสนาก็ได้ จะยกย่องศาสนาก็ได้ แต่พระองค์มิได้ทำลาย มีแต่ยกย่อง จึงเป็นพระมหากรุณาอันใหญ่ยิ่ง

    ท่านฯ ว่าเช่นนี้

    ตกเย็น ฝูงนกทั้งหลายที่อาศัยนอนบนต้นไม้ เวลาใกล้ค่ำกลับจากหากินส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าวระงมไปหมด ท่านพระอาจารย์กำหนดพิจารณาว่า นกมันว่าอะไรได้ความว่า วันนี้พวกเราไปหากินอิ่มไหม มีอันตรายจากมนุษย์และสัตว์มีอำนาจ มีเหยี่ยว เป็นต้น ทำอันตรายไหม มาครบกันไหมทำนองนั้น ส่วนตอนเช้าก็พูดกันว่า วันนี้พวกเราจะไปทางไหน แบ่งกันไปกี่พวก ทำนองนั้น

    ท่านพระอาจารย์พักผ่อนไม่ฉันอาหาร ๒-๓ วัน ทั้งร่างกายและจิตใจสงบเป็นปกติ เที่ยวบิณฑบาตทุกวัน จนออกพรรษา ชาวบ้านชมว่า เก่งจริงไม่ตาย ปวารณาพรรษาแล้ว บอกลาชาวบ้านจะกลับกรุงเทพฯ

    ชาวบ้านถึงเขาจะยากจน ยังมีผ้าจำนำพรรษา และปัจจัยมาถวาย พร้อมพืชไร่ มีฟักทอง ถั่ว ข้าวโพด ตามมีตามเกิด ด้วยจิตศรัทธา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ เพราะร่วมสุขทุกข์กันมาตลอด ๓ เดือน

    นี่ละหนอโลก ท่านฯ ว่า ..!

    ท่านได้พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ถ้ำสาริกาแล้ว ได้ความว่า พวกพระภูมิเจ้าที่ ที่อารักขาถ้ำอยู่ เขาทดลองว่า จะเป็นพระมีศีลไหม ถ้าไม่เก่งจริงต้องตายแน่ เหมือนพระสี่รูป ที่ตายคาถ้ำสองรูป กระเสือกกระสนออกไปตายข้างนอก อีกสองรูป ตั้งใจไว้ว่าตนจะเอาดีด้วยการอดอาหาร แต่พอหิวก็พากันไปเก็บผลไม้ป่ามาบริโภค คือ กล้วย เห็นกล้วยสุก เป็นการทำลายศีล พรากพืชคาม ฉันอาหารที่ไม่ได้ประเคน บริโภคอาหารในเวลาวิกาล ให้ล่วงลำคอเข้าไป พวกนั้นก็ลงโทษ ท่านพระอาจารย์ว่า

    ท่านฯ เล่าต่อว่า หลังจากออกพรรษาได้ ๓-๔ วัน กำลังจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ มีทหารมหาดเล็ก ๔ คนหามเสลี่ยงมา พากันขึ้นมากราบท่าน ขอนิมนต์ท่านกลับกรุงเทพฯ เพื่อร่วมกฐินวัดปทุมวนาราม

    ” ท่านพระอาจารย์จึงเก็บบริขาร กราบนมัสการพระพุทธรูป อำลาเทพารักษ์ และชาวบ้านออกเดินทาง จะพักแรมกันที่ไหนบ้าง ผู้เล่าก็ไม่ได้ถาม ท่านพระอาจารย์เล่าแต่ว่า พักแรม ๓ วัน ก็ถึงกรุงเทพฯ ”
    ……………………….

    ในปีนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชทานผ้าพระกฐินที่วัดปทุมวนาราม ได้มีรับสั่งแก่เจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) เจ้าอาวาสในขณะนั้นว่า “พระสังกัดวัดปทุมฯ จำพรรษาอยู่ที่ใด ขอนิมนต์มาให้หมด” ท่านเจ้าคุณฯ ถวายพระพรว่า “คุณมั่น เธอจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำสาริกา” ก็ทรงรับสั่งว่า “ไม่เป็นไร จะให้มหาดเล็กไปรับเอง”

    เมื่อวันกฐินมาถึง เสร็จพิธีแล้ว มี่การออกสลากภัต โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นประธาน คล้ายกับว่า ทรงทำเป็นกรณีพิเศษ ร่วมกับข้าราชบริพาร ของนำมาจับสลากตามแต่ศรัทธา สิ่งที่ทรงนำมาออกสลาก เป็นตะเกียงลาน ๒ อัน..

    น่าประหลาดที่จับสลากทั้ง ๒ ครั้ง ตะเกียงลานก็ได้แก่ ท่านพระอาจารย์ทั้งสองครั้ง จึงได้พระราชทานแก่ท่านพระอาจารย์ ด้วยพระหัตถ์ พร้อมทั้งตรัสว่า “คุณมั่น เธออยู่ป่ามีแสงสว่างน้อย เราขอให้แสงสว่างแด่เธอ”

    นี่คือ ความเป็นมาของเรื่อง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานเสลี่ยง ไปรับท่านพระอาจารย์จากนครนายก กลับมารับกฐินหลวง แต่ท่านพระอาจารย์ไม่ขึ้นนั่งเสลี่ยง เอาแต่บริขารวางไว้ แล้วก็เดินกลับมากับมหาเล็กจนถึงกรุงเทพฯ ดังกล่าว

    (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

    ี่มา หนังสือรำลึกวันวาน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต….

    กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg
    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...