ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ศาสนธรรม เป็นเครื่องประกาศท้าทายความจริงอยู่ตลอดมา ตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จนกระทั่งบัดนี้ และจะประกาศความจริง…ตลอดไป…”

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -เป็นเครื่องปร.jpg
    1539519752_565_ศาสนธรรม-เป็นเครื่องปร.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ผมเห็นว่า ที่อยู่ของพระเรานั้น อยู่ที่มันเยือกเย็น ก็คือความเห็นถูกต้องนั้นเอง เป็นสัมมาทิฐิ ถ้ามีความเห็นถูกเห็นชอบแล้วมันก็สบาย มีความสงบ พวกเราทั้งหลายอย่าไปค้นอย่างอื่นเลย

    ฉะนั้น ถึงแม้ว่ามันจะทุกข์ก็ช่างมันเถอะ ทุกข์นั้นมันก็ไม่แน่หรอก ใครว่าเห็นทุกข์ มันเป็นตัวไหม มันมีทุกข์เกิดขึ้นมา ตัวทุกข์คืออะไร มีใครเห็นทุกข์ไหม เห็นตัวทุกข์ไหม เห็นมันจริงจังไหม ผมไม่เห็นว่ามันจริงมันจังอะไร ทุกข์มันก็คือความรู้สึกวูบเดียว แล้วมันก็หายไป แล้วสุขก็เหมือนกันฉันนั้น ตัวสุข สุขจริงๆ มันมีให้เห็นไหม ของจริงมีไหม มันก็สักแต่ว่าความรู้สึกวูบหนึ่ง แล้วมันก็หายไป เกิดแล้วมันก็ดับไป

    อย่างความรักของเราเกิดขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วมันก็หายไปอีก ตัวรัก ตัวเกลียด ตัวชังจริงๆ ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน ความเป็นจริงก็คือ มันไม่มีตัวไม่มีตน มันสักแต่ว่าอารมณ์เกิดขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วก็หายไป มันหลอกลวงเราอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ไป เอาแน่ตรงไหนไม่ได้ ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ สักแต่ว่าความรู้สึกเกิดขึ้นมา

    สมกับคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีอะไร นอกนั้น มีทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว ทุกข์นั้นก็ตั้งอยู่ เมื่อทุกข์ตั้งอยู่แล้วทุกข์ก็ดับไป ทุกข์ดับไปแล้วสุขเกิดขึ้นมา แล้วสุขก็ตั้งอยู่ เมื่อสุขตั้งอยู่แล้วสุขก็ดับไป เมื่อสุขดับไปแล้ว ทุกข์เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นแล้วทุกข์ก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ผลที่สุดก็มารวมเป็นอันเดียวว่า นอกจากทุกข์นี้เกิด นอกจากทุกข์นี้ตั้งอยู่ นอกจากทุกข์นี้ดับไปแล้ว ไม่มีอะไร มีแต่เท่านี้ ไม่มีอะไรอื่นนอกจากนี้ มันมีเท่านี้ๆ

    แต่เราก็เป็นคนหลงวิ่งตะครุบมันเรื่อยไป ก็ไม่พบความจริงว่า อันนี้มันเป็นความจริงไหม มันก็ไม่จริงอีกแล้ว อันนั้นมันจริงไหม ก็ไม่จริงอีกนั้นแหละ มันเปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยนของมันอยู่อย่างนั้น ถ้ามาพิจารณาแล้วก็ไม่ควรวิ่งไปกับมัน

    ฉะนั้น เมื่อเรารู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ก็ไม่ใช่เป็นคนคิดมาก แต่เป็นคนมีปัญญามาก ถ้าเราไม่รู้จักมัน มันก็คิดมากกว่าปัญญา บางทีปัญญาไม่มีเลย มีแต่ความคิด ความคิดมากแต่ปัญญาไม่มี ก็ยิ่งทุกข์มาก มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้…”

    หลวงปู่ชา สุภัทโท

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -ที่อยู่ของพร.jpg
    1539523420_625_ผมเห็นว่า-ที่อยู่ของพร.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…เมื่อได้รับอารมณ์มาแล้ว จิตที่หลง ที่ไม่มีความรู้ มันก็ไปอย่างหนึ่ง จิตที่รู้ มันก็ไปอีกอย่างหนึ่ง พอมีความรู้สึกเกิดขึ้น จิตที่รู้มันก็เห็นว่าไม่ควรยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น ถ้าไม่มีปัญญา มันหลงตามไปด้วยความโง่ ไม่เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นแต่พอว่า เราชอบใจ อันนี้มันถูกแล้ว มันดีแล้ว อันไหนเราไม่ชอบ อันนั้นมันไม่ดี อย่างนั้นจึงไม่เข้าถึงธรรมะ

    ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา พระพุทธเจ้าท่านให้เห็นเป็น “สักแต่ว่า” ให้ยืนอยู่ตรงนี้เสมอ

    ดังนั้น เราจะไปเลือกอารมณ์ไม่ได้ ถ้าอารมณ์มันวิ่งมาหาเราทั้งทางดีทางชั่ว ทางผิดทางถูกแล้วเราไม่รู้ เพราะไม่มีปัญญา เราก็จะวิ่งตามมันไป ตามไปด้วยตัณหา ด้วยความอยาก แล้วเดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ เพราะอะไร เพราะเอาใจของเราเป็นหลัก อะไรที่เราชอบใจ ก็เข้าใจว่าอันนั้นดี อะไรที่เราไม่ชอบใจ ก็เข้าใจว่าอันนั้นไม่ดี อย่างนี้เรียกว่ายังห่างไกลธรรมะ ยังไม่รู้ธรรมะ มันก็เดือดร้อน เพราะความหลงมันเต็มอยู่

    ถ้าพูดเรื่องจิตก็ต้องพูดอย่างนี้ ไม่ต้องออกไปห่างตัว ให้เห็นว่าอันนี้มันไม่แน่ อันนี้เป็นทุกข์ อันนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ถ้าเห็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นี้ก็เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เราควรรู้จักอารมณ์อันนี้ ตามอารมณ์อย่างนี้ มันจะทำให้เกิดปัญญา ท่านจึงเรียกว่า อารมณ์ของวิปัสสนา…”

    หลวงปู่ชา สุภัทโท

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…วันหนึ่งพระเซ็นนั่งประชุมกัน ธงที่ปักอยู่ข้างนอกก็โบกปลิวอยู่ไปมา พระเซ็นสององค์ก็เกิดปัญหาขึ้นว่า ทำไมธงจึงโบกปลิวไปมา องค์หนึ่งว่าเพราะมีลม อีกองค์ก็ว่า เพราะมีธงต่างหาก ต่างก็โต้เถียงโดยยึดความคิดเห็นของตน อาจารย์ก็เลยตัดสินว่า มีความเห็นผิดด้วยกันทั้งคู่ เพราะความจริงแล้วธงก็ไม่มี ลมก็ไม่มี

    นี่ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างนี้ อย่าให้มีลม อย่าให้มีธง ถ้ามีธงก็ต้องมีลม ถ้ามีลมก็ต้องมีธง มันก็เลยจบกันไม่ได้สักที

    น่าเอาเรื่องนี้มาพิจารณา วางให้มันว่างจากลม ว่างจากธง ความเกิดไม่มี ความแก่ไม่มี ความเจ็บความตายไม่มี มันว่าง

    ที่เราเข้าใจว่าธง เข้าใจว่าลมนั้น มันเป็นแต่ความรู้สึกที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น ความจริงมันไม่มี น่าจะเอาไปฝึกใจของเรา

    ในความว่างนั้น มัจจุราชตามไม่ทันความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตามไม่ทัน มันหมดเรื่อง

    ถ้าไปเห็นว่า มีธงอยู่ ก็ต้องมีลมมาพัด ถ้ามีลมอยู่ ก็ต้องไปพัดธง มันไม่จบสักที เพราะความเห็นผิด

    แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบแล้ว ลมก็ไม่มี ธงก็ไม่มี ก็เลยหมด

    หมดเรา หมดเขา หมดความเกิด
    ความแก่ ความเจ็บ ความตาย หมดทุกอย่าง…”

    หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ดูไปพิจารณาไปถึงเวลาสติปัญญาเกิด มันก็จะเกิดเองหรอก ค่อยๆ ทำไป อย่าไปมั่นหมาย ไปคาดไปเดาไปปรุงไปแต่ง การคาดการหมาย การปรุงการแต่งคาดเดานั้น เป็นต้นเหตุของภพชาติไม่จบไม่สิ้น ให้ทำของเราไปเฉย ๆ นั่นแหละ ถึงเวลาของมัน มันก็จะเกิดเองหรอก ไม่ต้องห่วง…”

    หลวงปู่เพียร วิริโย

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…การให้ทานมากน้อยเท่าใด ก็เป็นเครื่องเลี้ยงกาย
    การรักษาศีล
    อย่างที่ ๑ – รักษาในวันพระ
    อย่างที่ ๒ – รักษาในวันพระ กับวันก่อนวันพระ
    อย่างที่ ๓ – รักษาได้ ๓ วัน
    วัน ๘ ค่ำ, ๙ ค่ำ, ๗ ค่ำ
    วัน ๑๓ ค่ำ, ๑๔ ค่ำ, ๑๕ ค่ำ, แรมค่ำ ๑
    การเจริญภาวนาให้ ทำให้ได้ทุกวัน อย่าให้ขาด ตั้งใจของตนเน้อลูกหลานทุกคน…”

    โอวาทธรรม องค์หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ๒๘๐.) ผู้ข้าฯ ก็ลาโยมไปอยู่แม่งัดขึ้นไปพร้าว ไปพบปะท่านทองสุก (อุตฺตรปญฺโญ) คนสว่างแดนดิน กับท่านเจริญ (ญาณวุฑฺโท) ถ้ำปากเพียงอยู่แถวๆ แม่ปั๋ง ทีแรกตกลงกันว่าจะขึ้นไปเสาะหาที่ภาวนาเขตเวียงพร้าวตอนเหนือ พักอยู่วันสองวัน เอ้า! อาจารย์หนู (สุจิตฺโต) แบกกลด แบกบาตรมาสมทบ ท่านทองสุกกับท่านเจริญมาบอกว่าขอถอนตัว จะไปห้วยน้ำริน เราก็รู้ว่าสององค์นี้ไม่อยากไปด้วย เพราะอาจารย์หนูก็ว่าจะไปด้วย เพราะอาจารย์หนู เคยไปอยู่มาแล้ว ตกลงก็ไปกับอาจารย์หนูไปอยู่สันป่าเคียะ ได้ ๒ เดือนเศษ มาอยู่แม่กอย อีกหลายเดือน จึงแยกตัวกับอาจารย์หนู ลงมาแม่แตงเข้าเชียงใหม่ ลงไปลำพูน ลงไปลำปาง

    ๒๘๑.) มีอยู่ปีหนึ่ง ไปอยู่จำพรรษาวัดสันติธรรมเป็นหัวหน้าหมู่พระเณรแทนท่านอาจารย์สิม (พุทฺธาจาโร) (พ.ศ. ๒๔๙๗) อยู่ด้วยกันเกือบ ๒๐ รูป ต้นๆ พรรษาก็ดีอยู่ อยู่ด้วยกัน อยู่ต่อมา พระมหาเลี่ยม พรรษารองจากเราเคยเป็นรองท่านอาจารย์สิม มาก่อนเรามาอยู่ ยุแหย่พระเณรให้แบ่งออกเป็นสองพวก

    พวกมหาเลี่ยมใส่ความว่า อาจารย์จามจะมาแย่งเป็นสมภารวัดสันติธรรมอีกฝ่ายหนึ่ง พระมหานอง พระมหาสุทธิ์ ยินดีพอใจอยากให้ผู้ข้าฯ เป็นผู้บอกสอนธรรมะการปฏิบัติ เทศน์ธรรมให้โยมเขาฟัง ฝ่ายนี้ให้เหตุผลว่าตั้งแต่อาจารย์จาม มาอยู่นี้ ข้าวของเครื่องใช้เครื่องอยู่ของฉันก็พอได้ใช้พอได้ฉันเตาฟู้ กาน้ำ แก้วน้ำ อั้งโล้ น้ำมันก๊าด น้ำตาล ตลอดจนบุหรี่ยาดูด หรือพวกของขบฉันจังหันก็พอได้ขบพอได้ฉัน ผู้คนก็มาปันมาแบ่งมาทำบุญ นับแต่ท่านอาจารย์จามมาอยู่นี้ ผู้คนศรัทธาญาติโยมก็มาเรื่อยๆ

    ก็จริงอย่างคำของมหานองว่า ผู้ข้าฯ ผู้รับทานเป็นเพราะได้อะไรมาก็ส่งมอบให้ท่านมหาสุทธิ์ให้เป็นผู้จัดการดูแล แจกจ่ายแก่พระเณรผู้ขาดแคลนขาดเขิน เหตุที่ท่านอาจารย์สิม กลับบ้านบัวพรรณาเมืองสกลก็เพราะพี่น้องส่งข่าวว่า แม่ออกของเพิ่นชื่อแม่สิงห์คำ ป่วยหนักเป็นวัณโรคปอด

    ท่านอาจารย์สิมก็ตามหาผู้ข้าฯ ไปเฝ้าวัดแทนแล้วลงไปจัดแจงแต่งยารักษา แต่รักษาอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะปอดข้างในหมดไปแล้ว สุดท้ายก็ตายในปีนั้น ท่านอาจารย์สิม ก็ติดวัณโรคจากโยมแม่ของเพิ่น จนป่วยต่อจนผอมจนจ่อยใกล้ตาย ไปอยู่ภูลังกา หนีขึ้นไปเมืองเหนือ ไปอยู่ภูลังกากินยาสมุนไพร ยาหม้อ ยาภาวนาโอสถธรรม ยาอากาศดีจึงพอทุเลาแต่ยังไม่หายขาด หนีขึ้นเมืองเหนือ ขึ้นมาถึงสันติธรรม ผู้ข้าฯ ก็ว่า
    “ ท่านอาจารย์ไม่ใช่เอาวัณโรคขึ้นมาแจก (แพร่) อยู่เมืองเหนือบ้อ ไออยู่แค่กๆ ค่อกๆ ไม่หาย ”
    เพิ่นก็ว่า “ คงถูกอากาศเย็น อากาศหนาว เมืองนี้ก็ได้ ”

    ๒๘๒.) ท่านอาจารย์สิมขึ้นมาเลยเดือนอ้ายเข้าเดือนสอง ผู้ข้าฯ ก็ลาหนีออกไปธุดงค์ขึ้นไปถึงฝางถึงไชยปราการ นับแต่ออกจากสันติธรรมได้ ๒ ปีเต็มได้ข่าวจากท่านทองสุก คนสว่างแดนดินว่า
    “ ท่านอาจารย์สิมป่วยเป็นวัณโรคปอด พระเณรหนีหมดกลัวย้านติดเชื้อวัณโรค ไม่มีคนดูแล ผมเองก็ไม่กล้าอยู่ใกล้เพราะปอดผมก็ไม่ดี ”

    ผู้ข้าฯ เลยลงไปดูแล อุปัฏฐากเพิ่นในหน้าแล้งจนเพิ่นหายขาด พวกแม่แสง ชินวัตร แม่คิ้ม นิ่มนวล (สุภาวงศ์ : แซ่เฮ้ง) ลูกหลานศรัทธาญาติโยมหมู่นี้แหละ หาหมอเอายามาฉีด ตัวผู้ข้าฯ ก็ต้มน้ำให้อาบ หาผ้าให้ผลัดถ่าย ดูแลกุฎิที่หลับที่นอน ทำความสะอาด เอายาดูดยาสูบไปเผาไฟให้หมด ตัวเพิ่นแง้นยาสูบก็เกือบตาย โรควัณโรคก็เป็น ผ้าผ่อนบริขารทุกอย่างก็ต้มฆ่าเชื้อโรค รักษาอยู่นานหลายเดือนจึงหายเป็นปกติ

    พระเณรรู้ว่าเพิ่นหายดีแล้วก็ทยอยกันมาอยู่ทีละองค์สององค์จนเต็มวัดอย่างเก่า เหตุเริ่มต้นในพรรษานั้นไม่มีอะไรหรอก หมู่พระเณรก็ดูเหมือนจะแกล้งพระมหาเลี่ยมเหมือนกัน พร้อมใจกันว่าให้มหาเลี่ยมเป็นผู้เทศน์ธรรม ทีนี้มหาเลี่ยมก็ไม่เทศน์ เทศน์ไม่เป็น แต่เวลาอื่นกลับพูดอ้างตัวเองว่า เทศน์อย่างนั้นอย่างนี้ พระเณรเขาเลยแกล้งเพราะเขาไม่ชอบเพราะอัธยาศัยของท่านมหาเลี่ยม

    ค่ำวันหนึ่งวันพระที่ ๓ ของพรรษา พระเณรเขาก็แกล้งอีก ทำเป็นอาราธนาให้มหาเลี่ยมขึ้นเทศน์ ฝ่ายมหาเลี่ยมก็โกรธให้หมู่พระเณรว่าไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ มีคนนั่งหัวผมอยู่จะให้ผมเทศน์ได้อย่างไร ผู้ข้าฯ ว่า
    “ ท่านมหา ท่านอยากเทศน์ก็เทศน์เต๊อะ ผมจะฟังเพราะธรรมะไม่มีที่สูง ไม่มีที่ต่ำ อยู่ไหนอยู่กับใครก็เป็นธรรมของกลางของโลกอย่างเก่า เป็นธรรมอยู่อย่างนั้น ”
    ผู้ข้าฯ พูดได้เท่านี้ มหาเลี่ยมก็โกรธให้อีกว่า “ ท่านอาจารย์มาอยู่แทนท่านอาจารย์สิมอย่างนี้ แทนที่จะมาปกครองดูแลพระเณรลูกวัด กลับมาปรักปรำใส่ความผมอย่างนี้มันไม่ถูก ” ว่าแล้วก็ลงหนีจากศาลาออกไป หมู่พระเณรก็หัวเราะชอบใจ จากนั้นมาก็เอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขี้หมูขี้หมาก็ไม่ถูกใจ จนที่สุดจะเป็นทะเลาะวิวาทแบ่งหมู่แบ่งพวก

    ออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์สิมขึ้นมาแต่สกลนคร พระมหาเลี่ยมก็ลาเข้าเรียนอยู่กรุงเทพ พระ
    มหานองก็ไปเจดีย์หลวง พระมหาสุทธิ์ก็ออกไปธุดงค์ เหลือแต่พระมหาทองอินทร์ (กุสลจิตฺโต) อยู่กับท่านอาจารย์สิม ผู้ข้าฯ ก็กราบลาออกไปธุดงค์ขึ้นไปจนถึงไชยปราการ เมืองฝาง จนใกล้เข้าพรรษาจึงลงมาเสาะหาที่จำพรรษาทางแม่แตง

    ๒๘๓.) ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์สิม (พุทฺธาจาโร) บอกให้เตรียมตัวไปรับกิจนิมนต์ฉันจังหันอยู่จวนผู้ว่าฯ เราไม่ไป บอกว่า
    “ ผมไม่อยากกินข้าวเจ้าข้าวนาย ขอให้ท่านอื่นไปแทนผมเถิด ผมบิณฑบาตได้มาก็พอได้ฉันอยู่ ”
    พอถึงวันเขาก็เอารถมารับไปจวนผู้ว่า ๙ ตนทั้งหมดด้วยกัน ไปถึงแล้วนั่งคุยกันจนสาย พระก็นั่งฟังนั่งหิว จนสายตะวันโด่งแล้ว ผู้ว่าฯ ก็เรียกให้คนเอาจังหันมาถวาย
    ข้าวหุงหม้อหนึ่ง
    แกงหม้อหนึ่ง
    ปลาทอด ๓ ตัว
    น้ำพริก ผักลวกจานหนึ่ง
    พระที่ไปนิมนต์ทั้งหมด ๙ องค์ แบ่งกันฉันจังหัน ผู้ว่าฯ กลับมาพระที่ไปด้วยมาพูดว่า
    “ จริงอย่างคำของท่านอาจารย์จามแท้ อาหารเจ้าอาหารนายนั่งรอจนท้องกิดท้องกิ่ว ฉัน ๓ คำก็หมดแล้ว ”

    ครั้งที่ ๒ ก็เหมือนกันครั้งนี้ เจ้าแก้วมงคลให้คนมานิมนต์พระเณรทั้งหมดในวัด จะมาทำบุญวันเกิดในวันพรุ่งนี้ ท่านอาจารย์สิมก็บอกว่า
    “ ท่านจามบ่ต้องไปบิณฑบาตก็ได้เน้อ เจ้าแก้วจะมาทำบุญอยู่นะวันนี้ ”
    “ ผมออกบิณฑบาตพอได้ฉันจนอิ่ม ขอท่านอาจารย์อยู่กับพระเณรเสีย ผมขอบิณฑบาตมาฉันดีกว่า ”
    จนสายตะวันสูงแล้ว เจ้าแก้วมงคลจึงได้ถวายจังหันของทาน ได้ข้าวห่อเหน็บปลาย่างองค์ละเท่ากำปั้น มหาบุญมีคนท่าลี้เมืองเลย แกะออกมาดู โยนให้หมาแม่ลูกอ่อนกินเสีย
    “ กูไม่กินดอกรอกินทุกข์กินยากปานนี้ ”
    เป็นนักบวชมันมีทุกข์อย่างหนึ่งก็คือ กิจนิมนต์นี้แหละ ยิ่งเจ้านายมานิมนต์ กว่าจะได้ขบจะได้ฉัน รอแล้วรออีก บางคนก็มากพิธีรีตองนั่นนี่ บางที่ไปถึงยังเที่ยวหาซื้อของอยู่ตลาดอยู่ก็มี ท่านอาจารย์สิมเจอบ่อยเรื่องแบบนี้ ไม่รู้บรุพกรรมอะไรของท่าน โดนต้มเรื่อยเรื่องอาหาร หลายครั้งมิใช่ครั้งเดียว ฉันไม่อิ่มก็หลายครั้ง มาอยู่เจดีย์หลวงจนผอมจนจ่อยหาคนจะเลี้ยงดูแลไม่มี อยู่สันกำแพงก็ได้แต่ข้าวกับกล้วย จนผอม

    เมื่อครั้งอยู่บ้านปากทาง แม่แตง ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมชาวศรัทธาชาวบ้านซ้าวมานิมนต์ขอให้ไปเทศน์ธรรมให้เขาฟัง บ้านซ้าวเป็นบ้านใหญ่ คนชอบทำบุญ รู้จักการทำบุญ เพราะเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) กับ ท่านอาจารย์น้อย (สุภโร) เคยไปอยู่เทศน์สั่งสอนพวกเขา
    พอผู้ข้าฯ ไปเทศน์ เขาก็มาฟังกันมาก ตุ๊หลวงเจ้าวัดก็อายุพรรษาน้อยกว่าผู้ข้าฯ ๒ ปี ชอบมาพูดคุยซักถามแนวทางการปฏิบัติพระศาสนา การปฏิบัติพระกรรมฐาน เราก็อธิบายให้ฟัง ชี้แจง แจกแจงให้เข้าใจ ส่วนหมู่ชาวบ้านคนหนุ่ม คนสาว คนเฒ่า กะเกณฑ์กันมาฟังธรรม ไปวันแรกผู้ข้าฯ ก็เทศน์ ทาน ศีล สวรรค์ การไหว้พระ การทำบุญให้ทาน ให้พวกเขาฟัง ยกนิทานยกชาดกมาประกอบ ดูพวกเขาชอบใจกันมาก ยินดีพอใจ บางคนถึงกับร้องไห้น้ำตาไหล เขาพากันฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเราเอวัง จบลงเสียง “ สาธ ุ” ดังสนั่นหวั่นไหว
    จากนั้นก็พูดคุย ชี้แจงแนะนำเขาอีกให้เข้าใจ เขาถวายกัณฑ์เทศน์บูชา พ่อน้อยเงินผู้ไปด้วยแต่บ้านปากทาง ว่า
    “ ท่านอาจารย์จะให้ทำอย่างอย่างใด กระดาษนี้ ”
    “ ได้เท่าใด ” เขานับแล้ว คนต่อยอดก็มี ยุคสมัย พ.ศ.(๒)๕๐๔, (๒)๕๐๕ ได้ปัจจัย เป็นหมื่น หาได้ยาก ทีนี้เรียกผู้ใหญ่บ้านมา ถามว่า
    “ หมู่บ้านขาดแคลนอย่างใด, โรงเรียนขาดแคลนอันใด, วัดนี้ต้องการบำรุงซ่อมแซมอะไร ให้แบ่งปันปัจจัยนี้ไปให้หมด อาตมาไม่เอา รับให้แล้วก็ได้บุญแล้ว บูชาพระธรรม ก็ได้ฟังธรรมะแล้ว ก็แล้วกันไปจะให้ได้เป็นประโยชน์กับหลายคนค่ารถค่าเดินทางก็มีอยู่ ”
    จากนั้นเขาก็แบ่งปันกัณฑ์เทศน์ นั้นอีก พอว่าจะกลับเท่านั้น คนสาว แต่อายุ ๑๕ – ๑๖ ปี ถึง ปี ๒๕ – ๒๖ ปี รุมเข้ามาโอบล้อมตัวเข้ามา
    “ อ้าวนี่จะทำอะไรกัน ”
    “ ขอให้ท่านรับปากเสียก่อนว่า ต้องมาเทศน์ธรรมอีก หากท่านไม่รับว่าจะมา จะบุกรุมปล้ำกอดท่าน วันนี้หล่ะ จะมาได้ไหมท่าน ”
    “ ก็สุดแท้แต่ญาติโยม ต้องการอย่างใด เรื่องเทศน์ไม่มีปัญหา แต่หมู่ญาติโยมชาวบ้านว่าอย่างใด ”
    “ จะให้ว่าอย่างใดอีก ก็พอใจ เข้าใจ เย็นอกเย็นใจนี้เอง จึงต้องการ ใคร่อยากฟังอีก ขอให้เมตตามาโปรด ”
    ทีนี้เราก็มองหาพ่อน้อยเงินมาช่วย พ่อน้อยเงินก็แหวกวงล้อมผู้หญิงสาวหมู่นั้นเข้ามา แล้วว่า
    “ จะให้ท่านอาจารย์มาเทศน์โปรดอีกก็ได้อยู่แต่ท่านรับนิมนต์นั่นนี้ เทศน์ที่นั่น เทศน์ที่นี่อีกหลายหนหลายแห่ง ถ้าอ้ายน้องต้องการก็ให้ไปบอกนิมนต์อย่างคราวนี้ล่วงหน้าเอาไว้ ให้ไปหาข้าฯ อยู่บ้านก่อน แล้วข้าฯ จะพาไปหาท่านอยู่ป่าช้าเอง ”

    ตกลงกันอย่างนั้นได้แล้ว ๑๘ – ๑๙ สาวหมู่นั้นจึงขยับทางให้ เอาแท้ ๆ หล่ะ สาวบ้านซ้าวไปเทศน์ธรรมคราวใด ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เขาก็เคารพนับถือ เชื่อฟังดีมาก ตั้งใจสนอกสนใจกันมาก ยินดีพอใจด้วยกับธรรมะของเราผู้เทศนา
    ผู้ข้าฯ นี้ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่ง จะไปตั้งเทศน์ธรรมที่ใดก็มีแต่หมู่ผู้หญิงสาวชอบมาฟังเทศน์ ไปอยู่ลำพูนก็เหมือนกัน ผู้ชายคนเฒ่า ๔ – ๕ คน นอกนั้นผู้หญิงเฒ่า กลางคน คนสาวแห่กันมาบ้านใกล้บ้านถัด ๘๐ คน ๙๐ คน เป็นร้อยปลายก็มี พอเราขึ้นธรรมมาสน์แล้วผู้หญิงสาวก็รุมกันเข้ามานั่งล้อมอ้อมหมดรอบธรรมมาสน์
    “ อ้าวทำไมทำอย่างนี้ พวกเราสาวน้อยสาวจี ตาดี หูดี แล้วพากันมาอยู่ใกล้ คนเฒ่าหูบ่ดีให้อยู่ข้างนอกอย่างใดกัน ”
    คนเฒ่าผู้หญิงก็ว่า “ ปล่อยเขาเถ๊อะเจ้า บ้านแม่หญิง เมืองแม่หญิง เชื้อชาติแนวนามเจ้าแม่จามเทวีต้องเป็นอย่างนี้ หญิงหน้อย หญิงหนุ่ม เขาก็มีเรื่องของเขา นิมนต์ท่านเทศนาว่าการเถอะเจ้า ”

    อยู่ป่าช้าป่าซางก็เหมือนกัน อยู่นี่คนยิ่งมาก ๑๘๐ คน อย่างน้อยนอนเต็มป่าช้าไปหมด คนเฒ่า คนกลาง ผู้ชายมีอยู่สิบปลาย นอกนั้นผู้หญิงทั้งหมด มากสุด ๒๔๐ – ๒๕๐ คน เทศน์เช้า เทศน์บ่าย ตอนเย็นย่ำค่ำ ก็ไหว้พระสวดมนต์ พาพวกเขานั่งภาวนา แนะนำพร่ำสอนไปตามเรื่อง กรรมเคยเกิดร่วมกับพวกเขามาหลายชาติ พอมาชาตินี้ก็มายินดีพอใจด้วยกัน พอเห็นหน้าก็เป็นอันพอใจกันเลย

    คัดจากธรรมประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ : กลับเมืองเหนือเครือคร่าววัยธรรม

    -ผู้ข้าฯ-ก็ลาโยมไปอย.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เมื่อเราเกิดมา
    ได้พบปะพระพุทธศาสนา
    แต่มิเห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย
    มิได้ยึดไว้เป็นสรณะ
    ชีวิตเราก็โมฆะ เปล่าไร้ ไม่มีคุณค่า หาแก่นสารมิได้

    จากตำนานผู้เฒ่า เรื่องเล่าเด็กน้อยหน้า ๑๓๖ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…พระพุทธเจ้าแท้ ธรรมแท้ อยู่ที่ใจ
    การอุปัฏฐากใจตัวเอง คือการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า
    การเฝ้าดูใจตัวเอง ด้วยสติปัญญา
    คือการเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า
    พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง…”

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -ธรรมแท้.jpg
    1539585636_985_พระพุทธเจ้าแท้-ธรรมแท้.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…อายุพรรษามีหน้าที่ล่วงไปก็ล่วงไปซะ แต่ทว่าสำคัญที่กิเลสมันล่วงไปหรือไม่ ยังเหลืออยู่หนักเบาเท่าไหร่ หรือหากว่าสิ้นไปจากขันธสันดานแล้ว ต้องขึ้นกับภาพพจน์แต่ละรายบุคคลจะโอปนยิโกและปัจจัตตัง ผู้นั่งบัลลังก์จะหยั่งดูตนเอง
    มิฉะนั้นแล้ว จะมัวแต่แอบกินกับอายุพรรษาไปเป็นอำนาจกวาดต้อนขู่เข็ญคน ให้หักดอกไม้บูชากิเลสของตน…”

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...