ธัมมวโรวาท : พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 9 มกราคม 2018.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ธรรมโอวาท
    ของพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
    วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

    ?temp_hash=4d423f0b8977774c18c2c32d9d48d300.jpg

    ธัมมวโรวาท

    - หากเรามีปัญญา ไม่ว่าทางสรรเสริญ หรือ นินทา ถ้านำมาสอนจิต
    มาพินิจพิจารณา มันก็เป็นธรรมะ

    - การภาวนาไม่ใช่แต่จะนั่งหลับตาเท่านั้น จึงจะทำได้ เดินไปก็ได้ นั่งอยู่ก็ได้
    ทำการงานอันอื่นก็ได้ ภาวนาดูจิตดูใจของตัว ทำไมจะทำไม่ได้
    ถ้าหากเราเลื่อมใส เรายินดี เราเต็มใจ

    - ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของกลาง เรามีสิทธิ์ทุกคน
    ไม่ใช่ว่านักบวชเท่านั้นจะประพฤติปฏิบัติได้ฆราวาสก็ปฏิบัติได้
    เมื่อใครมีอรรถ มีธรรมปฏิบัติถูกต้องตามศาสนา ความสุขความสบายในตัวจะเกิดขึ้น

    - ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะประพฤติปฏิบัติได้ ยังไม่สายเกินไป เพราะเรายังมีลมหายใจอยู่

    - การประพฤติปฏิบัติจะอยู่ในสถานที่ใด กำหนดจิตกำหนดใจ
    บทธรรมสอนใจของตนอยู่สม่ำเสมอ ไม่ปล่อยวันเวลาให้หายไปเปล่า
    บุคคลนั้นแหละจะเอาชนะเรื่องกิเลสตัณหาได้

    - เรื่องของธรรม ความสุขเกิดขึ้นจากการละ ไม่เกิดขึ้นจากการได้มา
    ส่วนโลกเกิดขึ้นจากการได้มา ถือว่ามีความสุขความสบาย

    - ที่เราถือว่าเรา ว่าของของเรา จะไม่ให้ทุกข์แก่บุคคลผู้เข้าไปยึดถือไม่มี มีแต่จะให้ทุกข์
    มีมากเท่าไร ยิ่งทุกข์ใจมากเท่านั้น สิ่งใดที่เราหวงมากห่วงมาก สิ่งนั้นแหละจะทำให้เราเกิดทุกข์

    - ท่านผู้รู้ทั่วไปก็เหมือนกัน อาศัยธาตุขันธ์เป็นทางประพฤติปฏิบัติ
    เมื่อธาตุขันธ์ขัดข้องก็เยียวยารักษากันไปแต่ไม่ถือว่า ธาตุขันธ์เป็นตัวของท่าน
    ไม่ถือว่าท่านเป็นธาตุเป็นขันธ์ ถึงคราวมันแตกมันสลายไป ท่านก็ไม่มาแบกมาหามมันอีก

    - อานิสงส์ที่เราทำลงไปนี้ ไม่ใช่มีแต่ในปัจจุบันทันตาเท่านั้น ในอนาคตต่อไป
    เมื่อเรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร จะต้องอาศัยบุญกุศลที่ตนทำไว้
    ส่งเสียให้ได้รับความสุขความสบายในภพชาติต่าง ๆ

    - คนทุกคนอยากได้ดี อยากมีปัญญา ไม่อยากมีโรคภัยไข้เจ็บ
    แต่ทว่ามันเป็นไปไม่ได้ อำนาจของกรรมที่ทำมาไม่เหมือนกัน คนจึงผิดแผกแตกต่างกัน

    - การเวียนว่ายตายเกิดไปอีก ก็จะต้องอาศัย บุญกุศลสนับสนุนให้
    ทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย ที่ท่านกล่าวเอาไว้ เป็นที่เกิดขึ้นซึ่งบุญซึ่งกุศล
    เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ เราจงรีบเร่งขวนขวายทำคุณงามความดี

    - ใจของเราที่ไม่ชอบยินดีในคุณงามความดี ก็ให้ฝืนมัน ทำความดีต่อไป
    ความดีที่เราทำไว้จะอำนวยอวยชัยให้ผล มีความสุขแก่ตนของตนในภพนี้ และภพหน้า

    - การปฏิบัติก็คือ ปฏิบัติกาย วาจา จิตของตัว ไม่ได้ไปปฏิบัติที่อื่น
    เพราะกิเลสเกิดขึ้นจากกาย วาจา จิตมรรคผลก็เกิดขึ้นจากกาย วาจา จิต

    - ธรรมชาติของความสะอาดจะต้องถูกดูแลรักษาอยู่เรื่อยๆ จึงจะสะอาดได้
    เรื่องจิตใจของพวกเราก็ทำนองเดียวกัน หมั่นชำระอารมณ์สัญญามานะทิฐิต่าง ๆ
    ให้ตกให้หล่นออกไป ใจจึงสะอาด ไม่อย่างนั้นจะสกปรกโสมมอยู่เรื่อยไป

    - ความจริงเรื่องของใจอยู่กับปัญญา ที่จะดีจะชั่วได้ ที่จะเป็นธรรม เป็นโลก
    เพราะปัญญารักษาใจ ไม่ใช่ว่ามันดีไปเอง มันชั่วไปเอง
    มันจะต้องอาศัยปัญญาชำระกิเลสตัณหาจะเกิดขึ้นก็เพราะขาดปัญญา
    ไม่พิจารณาชำระใจของตัว

    - อัปปิจฉตา เป็นผู้มักน้อย การมักน้อยนี่พระพุทธเจ้าสอนนั้น
    ไม่ใช่มักน้อยอะไร มักน้อยในอารมณ์สัญญามักน้อยในกิเลสตัณหา
    มักน้อยในสังขารการปรุงคิด

    - คนอื่นเขาชั่ว เขาเสีย เขาเองจะได้รับทุกข์รับโทษ เราชั่ว เราเสีย
    เราเองเป็นผู้เป็นทุกข์เป็นโทษ เราจะต้องชำระตัวของตัวเราให้ดี เอาตัวรอดเป็นยอดคน

    - อย่าไปคิดเรื่องนอกมากกว่าเรื่องกิเลสในใจของตัว ให้ถือว่ากิเลสเป็นเวร เป็นภัย
    เป็นศัตรูใหญ่สำหรับมรรคสำหรับผล

    - ถ้าหากมีธรรมะ มีสติปัญญา มันก็สามารถที่จะเกิดความสงบ
    ความสบาย ความละ ความถอนได้

    - การพึ่งธรรมะเพื่อความสุข ความสงบ ความสบายจากภายใน
    ไม่ใช่เราฟังเพียงเพื่ออานิสงส์ คือหวังบุญหวังกุศลจากการฟังเท่านั้น
    ฟังเพื่อปฏิบัติจิตใจของเราที่มันมืดบอดให้สว่างไสว ให้เข้าใจในธรรมะ

    - ความจำ (ธรรมะ) นั้นถึงจะจำได้มากขนาดไหน กิเลสก็ไม่กลัว
    แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติเกิดปัญญาขึ้นภายในกิเลสกลัวมาก
    เพราะปัญญาเป็นสิ่งที่ตัดกระแสของกิเลสตัณหา

    - สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา เป็นปัญญาทางโลก สามารถที่จะทำอะไรถูกต้องดีงาม
    ไม่ใคร่ผิดพลาดแต่ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาทางธรรม
    สามารถแก้ไขจิตใจที่ข้องติดกันให้หมดออกไป ให้สิ้นออกไปให้หายสงสัย
    พูดง่าย ๆ ก็ให้หมดจากกิเลสได้

    - กิเลสก็คือ ความเศร้าหมองของใจ ตัณหาก็คือความอยากของใจ
    ราคะก็คือความกำหนัดยินดีในสิ่งต่าง ๆ

    - เราต้องดูเรื่องคนอื่น แล้วย้อนกลับมาดูในจิตในใจของตัว สิ่งที่คนชั่วคนอื่นทำเราตำหนิ
    แต่เมื่อเราทำ เรากลับชอบ กลับยินดี อย่างนี้จะเป็นบัณฑิตเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้ประเสริฐวิเศษไม่ได้

    - ผู้ที่มีธรรมะอยู่สถานที่ใด ไปสถานที่ใด เป็นสิริมงคลแก่สถานที่
    ไปสถานที่ใด ทำความสุข ความสบาย ความเยือกเย็นให้ไม่เป็นภัยอันตราย
    นี่คือคนที่มีธรรม เป็นสุคโต ไปดี มาดี อยู่ดี กินดี นั่งดี นอนดี

    - ให้ดูจิตปัจจุบัน สิ่งใดเป็นพิษเป็นภัยให้ขับไล่ออกไป สิ่งใดที่ทำจิตทำใจให้สงบสุข
    รีบรักษาเอาไว้ รีบกระทำบำเพ็ญ ให้มีในจิตใจของตน นี่คือคนฝึกฝนภาวนาชนะกิเลส
    อย่าไปดูที่อื่น ดูภายใน

    - การรักษาใจ รักษายากยิ่งกว่าสิ่งทั่วไปในโลก เพราะใจเป็นนามธรรม เป็นของละเอียด
    แต่เมื่อรักษาได้ก็ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐวิเศษเท่ากับเรื่องของใจ
    ไม่มีอะไรที่จะมีคุณค่าสูงเหมือนการรักษาใจให้ปลอดภัยไป
    จากกิเลสตัณหาแม้การรักษาใจจะยากยิ่ง แต่ก็ไม่เหลือวิสัย

    - คนที่มีอิทธบาททั้งสี่ประจำอยู่ในจิต ไม่ว่าจะทำการงานชนิดใด
    หยาบละเอียดยากง่ายขนาดไหน คนนั้นจะทำสำเร็จผ่านไปได้

    - จิตใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าเรื่องของกาย ถ้าหากจิตใจวุ่นวายส่ายแส่
    จิตใจที่ไม่มีความสุข ไม่สบายแล้วจะไปสถานที่ใด อยู่สถานที่ใด อิริยาบถไหน
    มันก็ไม่มีความสุขความสบายให้ เพราะจิตใจของเราร้อน
    จิตใจของเราวุ่นวายให้ระวังรักษามีสติปัญญาดูภายใน คือดูใจของตัว คิดปรุงอะไร
    ซึ่งเป็นเพื่อภัยอันตราย หาความสุขความสบายไม่ได้อย่าไปคิดปรุง ไปยุ่งไปเกี่ยว
    รีบตัดเรื่องเหล่านั้นให้ตกออกไป หมดออกไป นี่คือการปฏิบัติ

    - การรักษาไม่ให้ความชั่วภายนอกเกิดขึ้น จะไปรักษาคนอื่น รักษาทางโลก
    มันรักษาไม่ได้ ให้รักษาภายใน รักษาตา หู จมูกลิ้น กาย ใจของตัว
    อย่าให้มันมีความชั่วมาเกี่ยวข้อง เมื่อเรารักษาตัวของเราได้ โลกส่วนอื่นมันเป็นอย่างไร
    นั่นเป็นหน้าที่ของเขา การปฏิบัติการโอปนยิโก น้อมเข้ามาภายใน ดูกาย ดูใจ ของตัว

    - ผู้ประมาทนั้นท่านหมายถึงคนตาย ตายจากคุณงาม ความดี ถ้าผู้ไม่ประมาท
    วันคืนเดือนปีผ่านไปอุตส่าห์พยายามขับไล่กิเลสตัณหา ทำความพากเพียรภาวนา

    - พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเราทุกคนหมั่นฝึกฝนจิตใจของตัวให้สะอาด ให้ผ่องแผ้ว
    เพื่อความสุขความเจริญ ไม่ใช่สอนเพื่อความทุกข์จน ไม่ได้สอนให้คนโง่ คนเกียจคร้าน
    คนมักง่าย สอนให้คนขยันหมั่นเพียร สอนให้คนอดทนต่อสู้

    - พวกเราท่าน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะประพฤติปฏิบัติได้ อย่าไปอ้างกาล อ้างเวลาว่า
    วันนี้ฝนตกทำไม่ได้ วันนี้เวลาใดเราควรจะทำ ทำกันไป ชำระกันไป
    เพราะกิเลสมันไม่หากาลหาเวลา มันเกิดขึ้นได้ทุกระยะ

    - การซักฟอกจิตใจนั้น จะต้องอาศัยความตั้งมั่นของใจ คือสมาธิ
    ฝึกอบรมจิตใจให้ตั้งมั่นให้สงบ เพื่อจะพินิจพิจารณาสภาวะต่าง ๆ ให้เห็นตามความเป็นจริง
    ถ้าจิตไม่สงบ จิตไม่ตั้งมั่น จิตไม่มีกำลังของสมาธิ ถึงจะมีปัญญาเฉลียวฉลาด
    เฉียบแหลมขนาดไหน พิจารณาไปก็กลายเป็นสัญญา
    ไม่สามารถขับไล่กิเลสตัณหาออกไปจากจิตใจของตัวได้

    - ศาสนานี้เป็นของดีมีคุณค่าจริงจัง ไม่ใช่ของหลอกลวงโลก คนที่ไม่มีศาสนา
    ไม่มีธรรมะในใจเท่านั้น ที่วุ่นวายเดือดร้อนคนที่มีธรรมะในจิตใจจริงจังแล้ว
    ท่านจะไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวายอะไร

    -จงมีสติระลึกอยู่ตลอดเวลา เวลาภาวนา เวลาทำความเพียร
    อย่าไปปล่อยให้สัญญาอารมณ์ต่างๆ มายั่วยุชักจูงเอาไป ให้ตั้งใจกำหนดจิตของตัวไว้
    มีปัญญาแนะสอนใจ การคิดไป ปล่อยไป มันไม่เกิดสาระประโยชน์

    - คนที่ทำบุญสุนทานอยู่บ่อย ๆ แทนที่เขาจะอดอยากยากจน ไปขอเขาอยู่เขากิน
    ไม่เป็นอย่างนั้น เขาแสวงหาสมบัติพัสถานต่าง ๆ ก็ได้มาสมบูรณ์พูนสุข
    คนที่ตระหนี่เหนียวแน่นกอบโกยกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยทำบุญสุนทานอะไร แทนที่เขาจะรวย
    มั่งมี เขาก็ไม่มีเท่าไร คนที่เขา ทำบุญสุนทาน แทนที่เขาจะยากจนเขาก็ไม่ยากจนเท่าไร
    ยังพอเป็นพอไป ด้วยอำนาจผลของทานดลบันดาลมาให้

    - ศีลเราก็ควรรักษา เพราะศีลเป็นเรื่องมนุษย์ทุกถ้วนหน้าจะต้องรักษา
    มนุษย์ที่ไม่มีศีลก็ไม่แปลกอะไรกับสัตว์ศีลอยู่ในกายในใจ
    คนมีศีลเท่านั้นก็มีความสุขความสบายได้

    - คนเราเกิดมาจะต้องตายด้วยกันทุกถ้วนหน้า จะแสวงหามาได้มากมายขนาดไหน
    ไม่มีทางที่จะห้ามกั้นความตายได้ เพราะความตายไม่ได้ยินดีในสินบนที่คนจะเอาไปให้

    - การภาวนาจึงเป็นเรื่องสำคัญ คือดูจิตดูใจของเราเอง ไม่ต้องไปดูที่อื่น
    ดูอารมณ์สัญญาเดี๋ยวนี้ว่า มันคิดมันปรุง มันเป็นอารมณ์ดี หรืออารมณ์ชั่ว
    จะทำให้ตัวเสียหรือจะทำให้สุขสบาย ต้องตรวจตราพิจารณาดูอารมณ์ของใจ

    - ถ้าหากไม่ถึงที่สุด หลุดจากกิเลสตัณหา อย่างนั้นอย่าพากันประมาทเมินเฉย
    รีบกระทำบำเพ็ญคุณความดีเอาเสียในเมื่อเรายังไม่ตาย

    - เวลายังไม่ตาย ทานเราก็ต้องให้ ศีลเราก็ต้องรักษา
    ภาวนาเราก็ต้องกระทำบำเพ็ญไปตามอุปนิสัย

    - การแนะสอนใจของตัว คือ จ้องดูความปรุงคิดของจิตของใจ
    อารมณ์ที่ผ่านไปไหลมาเห็นในจิตในใจแล้วตรวจตราพิจารณาดูว่าอารมณ์ส่วนนี้
    เป็นอารมณ์ที่ทำจิตทำใจของเราให้เจริญรุ่งเรืองไปในทางธรรมหรือไม่
    หรือเป็นไปเพื่อทางเสื่อมทางเสีย

    - สอนใจด้วยสติด้วยปัญญาพิจารณาเพื่อแก้ไข นี่คือการปฏิบัติขับไล่กิเลส
    ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าหากขาดสติปัญญาเสียอย่างแล้ว
    มันไม่มีทางที่จะประพฤติให้จิตของตัวดีวิเศษได้

    ที่มา...หนังสือ ธัมมวโรวาท
    ธรรมโอวาทของพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=28984
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.1 KB
      เปิดดู:
      335

แชร์หน้านี้

Loading...