เรื่องเด่น นักวิจัยสุดล้ำ ฝังขั้วไฟฟ้าในสมองของผู้ป่วยอัมพาต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย rachotp, 11 พฤศจิกายน 2021.

  1. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,218
    กระทู้เรื่องเด่น:
    251
    ค่าพลัง:
    +23,891
    A.PNG

    นักวิจัยฝังขั้วไฟฟ้าเข้าไปในสมองของผู้ป่วยอัมพาตเพื่อแปลงความคิดออกมาเป็นตัวอักษร ซึ่งมีความแม่นยำสูงถึง 94%

    วงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์พัฒนาไปอีกขั้น ชายป่วยเป็นอัมพาตได้รับการฝังขั้วไฟฟ้า เพื่อช่วยแปลความคิดให้กลายมาเป็นตัวอักษร ก่อนจะพบว่าระบบดังกล่าวมีความแม่นยำสูงถึง 94%

    D.PNG

    ชายวัย 65 ปีคนหนึ่งได้รับอุบัติเหตุที่ไขสันหลังในปี ค.ศ. 2007 ทำให้เขาป่วยเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอลงมาและส่งผลกระทบต่อความสามารถด้านการสื่อสาร ทีมนักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจฝังอุปกรณ์ที่เรียกว่า BrainGate ลงไปในสมองของชายคนดังกล่าว

    B.PNG

    เจ้าตัว BrainGate หรือ Brain-computer interface (BCI) นี้จะเป็นส่วนต่อประสานสมองกับคอมพิวเตอร์ (BCI) เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างสมองกับอุปกรณ์ด้านนอกโดยตรง และใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยในการแปลงกระแสประสาท (Neuronal activity) ออกมาเป็นภาษาเขียน

    ในระหว่างทดลอง ทีมนักวิทยาศาสตร์ให้ชายวัย 65 ปี (จากนี้จะเรียกว่าผู้ทดลอง T5) จินตนาการว่าเขากำลังเขากำลังเขียนตัวหนังสืออยู่ แม้ความเป็นจริงมือและนิ้วจะเคลื่อนไหวไม่ได้เนื่องจากอาการป่วย ซึ่งระหว่างที่เขาจินตนาการถึงตัวหนังสือ ขั้วไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในเยื่อหุ้มสมองจะบันทึกสัญญาณการทำงานของสมอง จากนั้นนำมาแปลงผลโดยอัลกอริธึมคอมพิวเตอร์ด้านนอก โดยจะมีการถอดรหัสลายมือที่ถูกจินตนาการในสมองออกมาเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ 26 ตัวรวมถึงเครื่องหมายวรรคตอนบางส่วน

    C.PNG

    หลังการทดสอบพบว่า T5 สามารถถ่ายทอดตัวอักษรออกมาได้ด้วยความเร็วประมาณ 90 ตัวอักษรหรือประมาณ 18 คำต่อนาที เกือบจะเทียบเท่ากับความเร็วที่กลุ่มผู้ชายพิมพ์ข้อความในสมาร์ทโฟน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 115 อักษรหรือ 23 คำต่อนาที นอกจากนี้ยังมีความแม่นยำประมาณ 94 เปอร์เซ็นต์ (และความแม่นยำสูงสุด 99 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปิดใช้งานการแก้ไขอัตโนมัติ)

    Frank Willett นักวิจัยด้านประสาทเทียมจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวว่าการศึกษานี้ทำให้รู้ว่า แม้ร่างกายจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปเป็นระยะเวลานาน แต่สมองยังคงทำงานของมันได้ดี และเรายังได้เรียนรู้ว่า การลากเส้นของลายมือที่มีน้ำหนักและเส้นโค้งแตกต่างกันในแต่ละบุคคลนั้นสามารถใช้อัลกอริธึมของ AI แปลความออกมาได้ง่ายกว่าการเคลื่อนไหวที่ถูกตั้งค่าไว้แล้วให้มีความเร็วหรือรัศมีการโค้งที่คงที่



    Credit: ขอขอบคุณที่มาจาก
    Brain Implant Translates Paralyzed Man's Thoughts Into Text With 94% Accuracy
    High-performance brain-to-text communication via handwriting
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ต่อไปจะเร็วเป็นสายฟ้าแลบเวลา"จิตฟุ้ง":D
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,419
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ขั้วไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในเยื่อหุ้มสมองจะบันทึกสัญญาณการทำงานของสมอง จากนั้นนำมาแปลงผลโดยอัลกอริธึมคอมพิวเตอร์ด้านนอก

    กำลังสนใจศึกษาเรื่องนี้อยู่พอดี ขั้วต่างทางไฟฟ้าระหว่างเซลล์ มีความสำคัญกับระบบชีวภาพ

    ขั้วต่างทางไฟฟ้า + - เป็นตัวเชื่อมและตัวแปลงไฟฟ้าเคมี เป็นพลังงานไฟ้ฟ้าแก่เซลล์เพื่อทำงาน หากขั้วต่างทางไฟฟ้าขาดความสมดุล จะมีผลต่อระบบชีวภาพของร่างกาย

    ใน DNA จะมีเส้นใยเกลียวแม่เหล็ก ที่เป็นตัวติดตั้งรหัสบุรพกรรม (กรรมเก่า +กรรมใหม่) เส้นใยเกลียวแม่เหล็กจะถูกติดตั้งไว้ภายในเซลล์ทุกเซลล์ ซึ่งเซลล์แต่ละเซลล์จะมีตัวจิตสำนึก หรือ ตัวคิดรู้แทรกซึมไปทั่วเซลล์ในร่างกาย

    หากร่างกายมีพลังงานลบเกิดขึ้น พลังงานลบสามารถขัดขวางการสร้างใหม่ของพลังงานชีวิตทำให้เกิดการสะดุด ขาดความต่อเนื่องมีผลเสียหายต่อเซลล์หรือระบบชีวภาพ เซลล์เสียหาย ร่างกายเสื่อมอ่อนแอ

    เมื่อเซลล์เป็นเส้นใยเกลียวแม่เหล็ก ขั้วต่างไฟฟ้าเป็นตัวเชื่อม การคิดอ่านอยู่ในรูปไฟฟ้าเคมี เมื่อเกิดความคิดจึงมีการแปลงเป็นรหัสสัญญาณให้ยีนส์หรือ DNA ออกคำสั่งออกมาให้เซลล์สร้างข้อมูลทางชีวภาพต่อไป

    เป็นไปได้ไหมผู้ป่่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดการเสียหายของสื่อระบบประสาท ณ จุดนั้น ทำงานไม่ได้ คือ ขั้วต่างทางไฟฟ้าแปลงเป็นรหัสสัญญาณไม่ทำงาน

    ซึ่งต่อมอะดรีนาลีน เป็นตัวควบคุมระบบประสาท ฮอร์โมนของอะดรีนาลีนอยู่ต่อมหมวกไตที่อยู่ระหว่างข่องท้อง ทั้ง 2 ข้าง และใกล้กับต่อมระบซิมปาเทค ที่เป็นตัวรับรู้ การหายใจลึก ๆ ผสม กับคลื่นพลังจิต ตัวคิดรู้ มีผลสัมพันธ์กับการควบคุมคำสั่งของยีนส์

    เมื่อคลื่นอำนาจจิตแห่งการคิดรู้ สามารถเปลี่ยนแปลงออกคำสั่งชีวภาพได้ หากมีกรรมเก่า อำนาจของกรรมจะเป็นตัวควบคุม ซึ่งยีนส์ออกคำสั่งผ่านขั้วต่างไฟฟ้าแม่เหล็ก

    คลื่นอำนาจิตทางบวก สามารถเปลี่ยนแปลงกรรมได้ น่าสนใจเหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2021
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,419
    ค่าพลัง:
    +3,195
    มีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ รหัสบุรพกรรมเก่า ที่เส้นใยเกลียวแม่เหล็กเป็นตัวรับ จะรับสัญญาณคลื่นจากพลังจักรวาล ที่ส่งสัญญาณมาให้เส้นใยเกลียวแม่เหล็กทวนสัญญาณออกมาผ่านยีนส์ ออกมา วิบาก คือ กรรมที่ต้องรับผล ผลที่ต้องชดใช้ ผ่านรหัสบุรพกรรม รหัสบุรพกรรม มีทั้งเจ้ากรรม และนายเวร นี่ซิน่าคิด

    พลังงานกรรมที่ทำขึ้นมาแล้ว จะแทรกซึมอยู่ 2 ที่ คือ อยู่ในส่วนจิตสำนึก คือ ภวังคจิต หรือ สันดาน กับ อยู่ที่สนามพลังจักรวาล คือ กรรมเหมือนดังเงาตามตัว ที่เป็นแรงดึงดูดให้เป็นไป
     
  6. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,218
    กระทู้เรื่องเด่น:
    251
    ค่าพลัง:
    +23,891
    ... เป็นไปได้ไหมผู้ป่่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดการเสียหายของสื่อระบบประสาท ณ จุดนั้น ทำงานไม่ได้ คือ ขั้วต่างทางไฟฟ้าแปลงเป็นรหัสสัญญาณไม่ทำงาน?

    B.PNG
    A.PNG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2021
  7. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,218
    กระทู้เรื่องเด่น:
    251
    ค่าพลัง:
    +23,891
    C.PNG

    ทุกวันนี้ วงการวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า จิตคือกลไกการทำงานของสมองเท่านั้น จึงศึกษาแต่พฤติกรรมกลไกการทำงานของสมองในเชิงกายภาพและชีวภาพ ยังไม่มีการศึกษาในเรื่องของจิตในเชิงพุทธะอย่างจริงจังเท่าที่ควรครับ

    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เคยกล่าวว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งจักรวาล (Cosmic Religion) ไอน์สไตน์กล่าวว่า…

    “The religion of the future will be a cosmic religion. The religion which is based on experience, which refuses dogmatism. If there is any religion that would cope with the scientific need it will be Buddhism.”

    “ศาสนาในอนาคตจัดเป็นศานาแห่งจักรวาล เป็นศาสนา อิงประสบการณ์ (ของมนุษย์) ปฏิเสธความเชื่อ (Faith) ที่ไม่มีการพิสูจน์ ถ้าจะมีศาสนาที่จะรับมือกับวิทยาศาสตร์ได้ ศาสนานั้นคือ พุทธศาสนา”

    มีผู้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ว่า ไอน์สไตน์ศึกษาพุทธศาสนาจากหนังสือเรื่องใด? จึงเข้าใจคำสอนของพุทธศาสนาได้? ความรู้จากหนังสือไม่น่าจะเพียงพอให้ไอน์สไตน์เข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ น่าจะเป็นเพราะนักวิทยาศาสตร์ท่านนี้ได้ทำสมาธิถึงระดับหนึ่งแล้วจึงค้นพบความมหัศจรรย์ในสมาธินั้น

    ข้อสังเกตคือ ไอน์สไตน์ เป็นนักฟิสิกส์ผู้ค้นพบ “ความเร็วของแสง” (ซึ่งมีความเร็วสูงสุด แต่ก็ยังเทียบไม่ได้เลยกับเศษเสี้ยวความเร็วของจิต) ความเร็วของแสง คือ 300,000 กิโลเมตรต่อ 1 วินาที การค้นพบความเร็วของแสง เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ไอน์สไตน์คำนวณระยะทางระหว่างแต่ละจักรวาลได้


    ส่วนพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็น “โลกวิทู” คือผู้รู้ความเป็นไปของโลก (ชีวิต) ทั้งด้านกายภาพ (รูป) ทั้งด้านวิญญาณหรือจิต (นาม) ทรงเห็นว่า โลกด้านวัตถุไม่มีอะไรอย่างอื่น นอกจาก “ทุกข์” จึงค้นคิดแต่ทางที่จะพ้นไปจากทุกข์เท่านั้น ความมหัศจรรย์ต่างๆ ที่เห็นในสมาธิ พระพุทธองค์ทรงข้ามพ้นมาทุกอย่าง จึงพบว่า “จิต” เป็นสิ่งสำคัญที่สุด


    ในพุทธประวัติ กล่าวถึงการระลึกชาติของพระองค์ได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) และการระลึกการตาย-การเกิด (จุตูปปาตญาณ) ของชีวิตทั้งหลายได้ เท่าที่ต้องการจะรู้ จึงมั่นใจว่า ได้ตรัสรู้ แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด จนกระทั่งพระพุทธองค์ทรงพบว่า ไม่มีกิเลสทั้งอย่างหยาบและละเอียด (อนุสัย) ตกค้างอยู่ในจิตของพระองค์ท่านเลย พระพุทธองค์จึงทรงมั่นใจเต็มที่ว่าได้ตรัสรู้แล้ว น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์ท่านไม่สนใจในเรื่องการเกิด-การดับของโลกภายนอกแต่อย่างใด ปัญหาเรื่อง “ความเร็วของแสง” จึงไม่มีในคำสอนของพระองค์ มีแต่วิธีดับทุกข์เท่านั้นครับ


    K.PNG

    ผมนึกถึงที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า มีเรื่องที่ไม่นำมาพูดถึงอีกมากมาย เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะนำมาตรัสสอน พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบไว้ว่า เรื่องที่ไม่พูดถึงมีอีกมากมายเหมือน ใบไม้ในป่า ส่วนเรื่องที่นำมาเปิดเผยมีเพียงน้อยนิด เปรียบได้กับใบไม้กำมือเท่านั้นเอง


    ผมเห็นด้วยกับที่คุณ @jityim โพสต์ระบุทิ้งท้ายไว้ว่า กรรมเหมือนดังเงาตามตัว ที่เป็นแรงดึงดูดให้เป็นไป ครับ… บุญรักษาครับ (^__^)


    หมายเหตุ: ผมว่าบางทีประเด็นเรื่อง “เทโลเมียร์” (Telomere) ซึ่งเป็นส่วนปลายสุดของโครโมโซมในเซลล์ น่าจะตอบโจทย์ความสนใจของคุณ @jityim ได้บ้างพอสมควรครับ (^ ^)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2021

แชร์หน้านี้

Loading...