นั่งภาวนาเป็นเดือนจะตายไหม?:องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 26 กันยายน 2018.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    41692566_2070768299609100_5403254332235710464_n.jpg
    นั่งภาวนาเป็นเดือนจะตายไหม?

    “นั่งภาวนาเป็นเดือนจะตายไหม ไม่ตายเพราะมันจะออกตามรูขุมขน ออกตามจุดต่างๆ เพราะขันธ์นี้เป็นช่องโหว่ อย่างนั้นผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติในสมัยพระพุทธกาลท่านจะให้เข้าเพียง ๗ วัน เพราะธาตุขันธ์นั้นต้องรับอาหาร แต่ทำไมหลวงปู่จึงใช้ว่าอยู่ได้เป็นเดือนเพราะเหตุว่าจิตยังไม่อิ่มตัว เมื่ออยู่ได้เป็นเดือนขนาดนั้นไม่ตายหรือ ไม่...

    ปิติเป็นการเลี้ยงขันธ์อยู่จิตใจจะเอิบอิ่มอยู่ภายในเพราะไม่รู้จักเวทนา ไม่ถ่าย ไม่มีความรู้สึกนึกคิดอย่างอื่น เว้นไว้แต่ตัวรู้เด่นอยู่แบบนั้นเหมือนกับไม่มีอะไรในโลกนี้ ไม่มีตัวไม่มีตนไม่มีผู้หญิงไม่มีผู้ชายเหลือแต่อำนาจแห่งจิตที่สว่างไสวเด่นเป็นผู้รู้อยู่แบบนนั้นอันนั้นท่านเรียกว่าภาวนาถึงที่สุดของจิตได้แล้ว เมื่ออยู่แบบนั้นเป็นเดือนแล้วลมหายใจมันก็จะออกทั่วรูขุมขน

    เราจะสังเกตเห็นเมื่อตัวเองหลับก็ยังไม่สังเกตเห็นว่าลมมันอยู่ที่ไหน เวลาหลับแล้วก็เหมือนกับคนตายลมมันจะไปที่ไหนไม่มีใครทราบคือตัวเองไม่ทราบ คนอื่นก็ทราบอยู่ ตัวเองไม่ทราบไม่สามารถทราบได้แต่ถ้าคนอื่นมาดูเขาก็เห็นอยู่ว่าลมยังมีอยู่แต่ตัวเองกลับไม่รู้ว่าตัวเองมีลมเพราะขาดสติ ขาดปัญญา ขาดสติสัมปชัญญะนั้นแลแค่นั้นเอง ผู้ภาวนาเป็นนั้นท่านจะดูลมเมื่อดูลมแล้วลมจะค่อยๆเล็กเข้าๆแล้วหายก็ทราบว่าลมหาย

    แต่ถ้าใครไม่มีสติไม่มีปัญญาก็เป็นบ้าในขณะนั้นเพราะกลัวตาย อย่างนั้นการภาวนาถ้าไม่กลัวตายแล้วก็จะสามารถข้ามพวกนี้ดับลง ลมมันดับก็ทราบว่าลมมันดับ มันเหนือลมไปอีกจนประมาณไม่ได้เหลือแต่จุดรู้เมื่อลมดับก็ทราบว่าลมดับ แต่ความรู้สึกว่าเป็นหญิงเป็นชายเป็นตัวรู้เวทนาสุขทุกข์กลัวเป็นกลัวตายนั้นยังอยู่ต้องข้ามเวทนาพวกนี้ไปอีกจึงจะสามารถเข้าสู่ฐานะของจิตเดิมได้ ไม่งั้นพวกเราก็จะภาวนาอยู่แบบนี้ตลอดไปไม่สามารถที่จะข้ามบันไดขั้นนี้ขึ้นไป

    หลวงปู่จะเทศน์เรื่อยๆในเรื่องนี้ การภาวนาที่แท้มันเป็นแบบนี้นี่ท่านเรียกว่าผู้ที่มีอรรถมีธรรม ผู้ที่มีจิตใจเป็นปึกแผ่นแน่นหนาเมื่อนานหนักเข้าๆมันอิ่มตัวของมันแล้วมันก็ถอยออกมาจาก ๑ เดือน มันก็ถอยออกมาเหลือแค่กึ่งเดือน จากกึ่งเดือนก็เหลือแค่ ๗ วัน จาก ๗ วันก็เหลือแค่ ๒ วัน ๓ วัน เอาไปเอามาก็เหลือแค่ชั่วโมงหรือแค่ ๓๐ นาที แต่เมื่อมันถึงที่สุดของมันแล้วเป็นผู้ที่ทำแบบที่ว่าช่ำชองที่สุดคือเป็นวสี คือมีสติมีการเข้าการออกที่สมบูรณ์บริบูรณ์แล้วจะทราบทันทีว่า อ๋อ..เราต้องการพักซัก ๑ ชั่วโมง พักซัก ๒ ชั่วโมง พักซัก ๓ ชั่วโมง หรือซักขนาดจิตเดียว

    ความรวดเร็วของจิตความชำนาญในการทำนี้จนเป็นวสีคือความชำนาญท่านเรียกว่าวสีนั้นมันจะเข้าทันทีในขณะที่ตัวเองต้องการ ๑ ชั่วโมง ก็จะดับแม้จะอยู่ต่อหน้าต่อตาครูบาอาจารย์หรือต่อหน้าต่อตาหมู่คณะก็ตาม ความชำนาญนั้นสามารถที่จะดับรูป ดับเวทนา ดับสังขาร ดับวิญญาณ เหลือแต่พุทโธรู้เด่นในจิตนั้นล้วนๆ เพราะไม่เหมือนเข้านิโรธสมาบัติเพราะเข้านิโรธสมาบัตินั้นต้องมีสติเต็มที่พระอนาคาและพระอรหันต์เท่านั้นจึงเข้าได้

    ท่านจึงดับรูป ดับเวทนา ดับสังขาร ดับวิญญาณและดับจิต
    แต่การที่เป็นอัปปนาสมาธิธรรมดาสติมันไม่มากขนาดนั้นจึงไม่สามารถดับรูป ดับเวทนา ดับสังขาร ดับวิญญาณและดับจิตได้ แต่การดับจะรู้แค่นั้นเองว่านี่รูปดับไป กายดับไป กายหายไป รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณพวกนี้ดับไปๆๆมันก็ดับไปเหลือแต่ตัวรู้เด่นอยู่แบบนั้นเราไม่มีสติไม่มีปัญญาพอที่จะดับจิต อย่างงั้นการเข้านิโรธสมาบัตินั้นท่านจะดับจิตดับ ผู้รู้ลงไปไม่เหลือเชื้อแม้กระทั้งตัวรู้ท่านเรียกว่าเข้านิโรธสมาบัติ”

    โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
    ๒๕๕๔ (๐๙๗)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2018

แชร์หน้านี้

Loading...