หลวงปู่ปานจะลงมาตรัสในกัปนี้
ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ หลวงปู่ปาน มีพระธาตุไหมคะ
หลวงพ่อ : ไม่มี..มีแต่กระดูก
ผู้ถาม : มีกระดูกหรือคะ
หลวงพ่อ : มีกระดูก
ผู้ถาม : กระดูกของท่านเก็บไว้ที่ไหน
หลวงพ่อ : เก็บไว้ที่วัดน่ะสิ เอามาได้รึ ทำไมต้องไหว้กระดูกล่ะ ไหว้รูปท่านก็ถึง นึกถึงตัวท่านนะ ท่านเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต
ผู้ถาม : เจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : รอที่จะลงมาบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 รองจาก พระศรีอาริย์
ผู้ถาม : อย่างนั้นพระองค์เดียวกันใช่ไหมเจ้าคะ หลวงปู่ที่เป็นช้าง
หลวงพ่อ : ไม่ๆ หลวงปู่ปานเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล
ผู้ถาม : พระเจ้าปเสนทิโกศล
หลวงพ่อ : เมืองนี้ชื่อ ปเสนทิโกศล เหมือนกันหมด เมืองนี้พระราชาชื่อเดียวกันหมด พระราชินีชื่อ มัลลิกาเทวี เหมือนกันหมด
ผู้ถาม : องค์เดียวกัน
หลวงพ่อ : องค์ไหนๆอะไรอีกล่ะ ชื่อเดียวกันทุกคน เราต้องดูองค์ไหน ถ้าสมัยนั้นเขาเรียก มหาโกศล
(จากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 500)
นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.
หน้า 599 ของ 616
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
พระประธานในวิหาร 100 เมตร
หลวงพ่อท่านสั่งไว้เหมือนกันว่า พระประธานในวิหาร 100 เมตร สั่งไว้กับปากเองนะ ไม่สั่งปากใคร
บอกที่วัด ถ้ามีความจำเป็นจริงๆละก้อ ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปบอกพระประธานในวิหาร 100 เมตร ด้วยความเคารพนะ เอาดอกไม้ธูปเทียนจัดไป ท่านสั่งไว้นะ
"เออ นันต์ เผื่อชาวบ้านเขาเดือดร้อนกัน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล มันมีความเดือดร้อน ก็ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอด้วยความเคารพ"
เราก็ไม่ได้ลองสักทีกลัว ถ้าลองนี่มันปรามาสนี่ เราก็กลัว เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 469 เดือนเมษายน 2563 หน้า 22)
พระที่มีลาภมาก
ก่อนจะมานี่ ก็ไปฟังเทศน์หลวงพ่ออยู่ม้วนหนึ่ง ถ้าอยากมีลาภมากก็ไปไหว้
หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา
พระประธานในวิหาร 100 เมตร
พระปัจเจกฯ ที่วิหาร 100 เมตร แล้วก็
พระประธานในศาลา 12 ไร่
เป็นพระที่มีความสำคัญ ท่านบอกขอให้บูชาดีๆจะมีลาภมาก
แต่เราจะบูชาไม่ดีหรือไงไม่รู้ หลวงพ่อพูดนี่พูดให้เรารู้หมดแล้วนี่ แต่เรามันคอยรู้แว็บเดียวแล้วก็หายไป คือไม่ค่อยได้จำนาน
คือความจริงหลวงพ่อท่านเฉลยไว้หมดแล้ว ในวัดเรานี่เฉลยหมดทุกอย่าง แต่เรามันฟังง่าย ลืมง่าย
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 469 เดือนเมษายน 2563 หน้า 22)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
อย่าลืมแวะกราบสถานที่ 2 แห่ง
ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า บางคนไปแล้วเดี๋ยวจะต้องพาพี่น้องไปอีก สังเกตดูหลายๆ
คนนะ เวลามาถามเขาว่ามาบ่อยไหมมา 2 ครั้งแล้ว นี่ไปพาพวกบ้านมา พวกญาติ อยากจะมาให้เห็น คุยเท่าไหร่ก็ไม่เหมือนไปเห็นเอง แต่เราเห็นมันก็ชิน ใช่ไหม
บางคนเข้าไปปุ๊บ อุทาน บอก โอ้โฮ โอ้โฮ เหมือนสวรรค์จริงๆเลย ก็ถามโยม ไปสวรรค์มากี่เที่ยวแล้วล่ะ คนนี้คงมาจากสวรรค์จำของเก่าได้
หลวงพ่อท่านบอกว่า "ไปที่วัดท่าซุงแล้วไปที่วิหาร 100 เมตร แล้วไปวิหารสมเด็จ
องค์ปฐมแล้ว ครั้งเดียวอย่างต่ำไปสวรรค์ได้"
***สถานที่ 2 แห่งนี้ แทบไม่ต้องแนะนำเลย พอถึงวัดต้องไปกันทุกคน***
วัดท่าซุงมีส้วมมาก
โยมถามว่า "ทำไมที่วัดท่าซุงถึงสร้างส้วมมาก"
ท่านเจ้าคุณฯตอบว่า สมัยก่อนหลวงพ่อท่านเป็นนักเทศน์ เกิดไปอั้นขี้อั้นเยี่ยวที่
ไหนมาก็ไม่รู้ ท่านบอก โอ้โห เข็ดเลย หาส้วมไม่ได้ ท้องก็จะถ่าย
ท่านบอกไปสร้างวัดที่ไหนจะต้องสร้างส้วมให้มันสบายเสียที
(ฉะนั้นวัดท่าซุง) ไปที่ไหนก็มีทุกจุด (ด้วยประการ ฉะนี้)
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 470 เดือนพฤษภาคม 2563 หน้า 14)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
หมอดู
หมอดูถ้าเป็นพระนี่อันตราย อันตรายอยู่ข้อหนึ่ง
ยกตัวอย่างผู้หญิงกับผู้ชายมาดูหมอ ยังไม่ได้แต่งงานกัน พระหมอดูบอก เออใช่แล้ว
คู่กัน ดวงสมพงษ์กัน อะไรอย่างนี้ ชักสื่อให้ผู้หญิงผู้ชายเป็นผัวเมียกัน
เป็นอาบัติหนัก อาบัติตัวนี้หนัก เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอยู่ปริวาสกรรมจึงจะพ้นโทษได้
ถ้าเป็นหมอดูนี่อันตรายมาก ลืมโดยไม่รู้ตัว ไม่เจตนาเลย ตัวเลขขึ้น ลายมือขึ้น หรือโหงวเฮ้งเข้า อะไรอย่างนี้นะ ใช่แล้วดวงสมพงษ์กันมาก
ถ้าหากว่าเขาตกลงปลงใจกันแล้วก็เสร็จละ เป็น (อาบัติ) สังฆาทิเสสในข้อที่ชักสื่อ
ให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ภาษาบาลีแปลว่าอย่างนั้น
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 457 เดือนเมษายน 2562 หน้า 21)
ต้นโพธิ์ที่ 3 ไร่ล้ม
มีอยู่คราวหนึ่ง ที่ศาลา 3 ไร่ มีต้นโพธิ์ข้างศาลา 3 ไร่อยู่ต้นหนึ่ง หลวงพ่อมาสายลม กลับไปต้นโพธิ์ต้นนั้นหัก ล้มมาทับบ้างเล็กน้อย แต่ไม่เสียหายอะไรมาก
พอกลับไปวัด ท่านก็อยู่ที่ห้องท่านน่ะนะ ท่านเล่าตอนฉันยา บอกว่า กลับมาเทวดามายืนก้มหน้าอยู่ที่ข้างกุฏิ บอกว่า บ้านที่ผมอาศัยพักพิงอยู่หักเสียแล้วครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อก็รู้ว่าต้นโพธิ์ที่ 3 ไร่หัก หลวงพ่อถามว่า มาอยู่กับฉันไหม หลวงพ่อชวนมาอยู่ที่กุฏิ วิมานมาแพะไว้ที่นี่
เทวดาก็ดีใจน่ะนะ ว่าหลวงพ่อชวนให้มาอยู่ พอหลวงพ่ออนุญาตเขาก็ย้ายมาได้
เลย หลวงพ่อชวนอย่างนี้ก็มีศักดิ์ศรีมากแล้ว
ยกทรงบอกว่า หลวงพ่อถนอมน้ำใจเทวดาทุกอย่าง ลูกวัดลุยลูกเดียว แหม หลวง
พ่อรอบคอบทีเดียวนะ เมตตาแม้กระทั่งเทวดา
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 448 เดือนกรกฏาคม 2561 หน้า 17)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
ขาดอารมณ์ตัดสินใจ
คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องปฏิบัติเลยอรหันต์ขึ้นมา อย่าลืมอรหันต์สาวกนี่ พระสาวกปกติบำเพ็ญบารมีอสงไขยกับแสนกัปเท่านั้นนะ ใช่ไหม
พระอัครสาวกกับพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ 2 อสงไขยกับแสนกัปเท่านั้น พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ 4 อสงไขยกับแสนกัป
ถ้าจิตของเขาถึงปรมัตถบารมีเขาเลยอสงไขยสองอสงไขยมาแล้ว ใช่ไหม ต้องอสงไขยที่ 3 หรือที่ 4 จึงจะเป็นปรมัตถบารมี ต้องอสงไขยที่ 4
อสงไขยที่ 4 นี่ก็ตีกินเข้าไปกว้างแล้วจึงจะเป็นปรมัตถบารมี ต้องเกิดอีก 10 ชาติ ใช่ไหม
พระโพธิสัตว์ก็เหมือนพวกเรียนวิชาครู เรียนมาเพื่อเป็นครู จะต้องเข้มแข็ง ถ้าไปโดนศรัทธาธิกะต้องหวด 8 อสงไขย ถ้าวิริยาธิกะ 16 อสงไขย ฉันนี่วิริยาธิกะ ทำงานทุกอย่างสบายไม่มี
สาวกภูมิก็พุ่งจริตอย่างเดียว แต่สาวกภูมิสำหรับพวกฉันนี่ เป็นวิริยาธิกะหมด พวกตามเป็นวิริยาธิกะ
นี้พวกเราที่นั่งๆอยู่นี่ทั้งหมด ท่านถึงพูดได้ว่าไปหมด เพราะกำลังเลย กำลังนี่เลยแล้ว แต่ว่าจุดใดจุดหนึ่งที่จะเข้าถึงมันยังขาดอยู่นิดเดียว เพราะอารมณ์ไม่ถึง ทุกอย่างมันเลยหมด มันเต็มหมด
แต่ไอ้คนที่ไม่ได้บวชน่ะขาดวันเดียว ใช่ไหม อายุตั้ง 50 ปี มันยังไม่ได้บวช เพราะอะไร ขาดวันบวชวันเดียว ฮึ..ไอ้ตัวตัดสินจะบวชนี่ (หัวเราะ) คุณถามว่าขาดกี่วัน เหลือกี่วัน บอกขาดอยู่วันเดียว วันไหน วันบวช (หัวเราะ) อยู่มาตั้ง 50 ปี เขาบวช 20 ใช่ไหม เออ..ขาดวันเดียว
อย่างพวกเรานี่ขาดวันเดียว คือขาดอารมณ์ตัดสิน ทำไมจึงขาดอารมณ์ตัดสินใจ ขาดเพราะว่าอารมณ์เวลานั้นมันยังไม่ถึง เพราะที่ผ่านมานี่ การรบก็ดี การบริหารก็ดี บริหารครอบครัว มันก็กรรมบังอยู่ หนุนอยู่ บังอยู่
พอถึงจุดนั้นพั๊บตัด 2 เดือนมันหลุดเลย ง่ายนิดเดียว
นี้เป็นของยาก แต่ฉันรู้ว่ามันง่าย ฉันรู้แล้ว
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 156 กุมภาพันธ์ 2537 หน้า 13-14)
-
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
หลายวันก่อนเห็นแว๊บๆที่วัดว่ายังมีอยู่แต่เหลือเฉพาะแค่สีคลีมนะครับ -
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
เรื่องบวงสรวง
จะพูดเรื่องบวงสรวงเสียหน่อย ตอนหลังจะแปลงๆกันเยอะ ไอ้ชุดเล็กนี่ต้องจำไว้เลย
ชุดใหญ่ก็ต้องมี หัวหมู 3 หัว ไก่ 1 ตัว
คนจะเข้าใจผิดว่า ชุดเล็กนี่หัวหมู 1 หัว ไก่ตัวหนึ่ง
ชุดเล็กนี่หมายความว่า หมูชิ้นละสักกิโลนะอย่างน้อยต้องหนึ่งกิโลขึ้นไป หมูต้มนี่ 3 ชิ้น ไก่ตัวหนึ่ง
หากไหว้พระภูมิก็ต้องมีปลาแป๊ะซะตัวหนึ่ง
แล้วก็เครื่องบวงสรวงมันต้องมีทั้ง 4 ทิศ บวงสรวงท้าวมหาราช
ทีนี้ก็เอ๊ะ..มันก็ชักจะกลายกันไป ย่อกันไป
หากว่าชุดใหญ่ก็ หัวหมู 3 หัว ไก่ตัวหนึ่ง ไก่วางทิศเหนือ หัวหมูนี่เหลืออีก 3 ทิศน่ะ เครื่องนี่ก็ต้องมีครบทั้ง 4 ทิศ
ก็มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังนะ ไอ้คนนี้ก็มักง่าย เอากล้วยดิบไปบวงสรวง
ท้าวมหาราช ท่านมาต่อว่า
หลวงพ่อบอก "โคตรพ่อโคตรแม่มึงกินได้ไหมวะ กล้วยดิบน่ะ เอามาบวงสรวง"
เจตนาของเราก็สำคัญเหมือนกัน เทวดาท่านเป็นทิพย์ใหญ่นี่ ท่านรู้ทำด้วยความ
เคารพหรือไม่
บางคนถือว่า เราเป็นพระแล้วนี่ เทวดายังต้องไหว้ ที่แท้เทวดาที่ท่านเป็นพระอริยเจ้า
ก็เยอะนี่ อย่างท้าวมหาราชทั้ง 4 นี่ จะไปนิมนต์พระอริยเจ้าจะไปเบ่งไม่ได้ ไอ้ตัวนี้น่ะสำคัญ
ทำด้วยความเคารพก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกไปไหว้ท่าน ท่านจะมีความเมตตา จะช่วยสงเคราะห์อะไร ก็ขอให้ท่านช่วย ถ้าไม่เกินวิสัย
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 458 เดือนพฤษภาคม 2562 หน้า 17-18)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
วันดินโลก
วันดินโลก (World Soil Day) ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี จากการประชุมขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ครั้งที่ 144 ระหว่างวันที่ 11-15 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ณ สำนักงานใหญ่องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ที่ประชุมได้มีมติสนับสนุนและร่วมกันผลักดันให้มีการจัดตั้ง "วันดินโลก" (World Soil Day) ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ปรากฏผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์อย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและนานาชาติ โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. สตีเฟน นอร์ตคลิฟฟ์ (Emeritus Professor Dr. Stephen Nortcliff) กรรมการบริหารสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (The Humanitarian Soil Scientist) เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556
และขอพระบรมราชาอนุญาตให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็น "วันดินโลก" เพื่อให้วันดังกล่าวเป็นที่รู้จักแพร่หลายในระดับนานาชาติ เกิดความต่อเนื่องและจริงจังในการรณรงค์ด้านทรัพยากรดินในทุกระดับ
พร้อมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมให้องค์การสหประชาชาติ จัดกิจกรรมเป็นการเฉพาะต่างๆ อาทิ การประกาศให้ พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) เป็น "ปีดินสากล"
ตามที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ และสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงโรม นำเสนอประเด็นดังกล่าวเกี่ยวกับบทบาทและความสำคัญของทรัพยากรดินที่มีต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก
โดยสืบเนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลักดันข้อเสนอปีดินสากลต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพื่อให้วันที่ 5 ธ.ค. ของทุกปี เป็นวันดินโลก กระทั่งมีการรับรองข้อเสนอดังกล่าว
ข้อมูล : https://th.wikipedia.org/wiki/วันดินโลก
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทิพจักขุญาณ
เมื่อปี 2518 ปีนั้นพระเจ้าอยู่หัวนิมนต์เข้าไป ที่ไปพระที่นั่งไพศาลทักษิณ พอเข้าไปทำบุญวันจักรี พอเข้าไปนั่งปั๊บ ไม่ต้องคุยกับใครละ บรรดาพระสยามเทวาธิราชมากันเยอะแยะเลย
โอ้โฮ ไม่ใช่องค์เดียวสององค์นะ ไม่ทราบว่าจะมากเท่าใดในบริเวณเต็มไปหมด ไม่ใช่เฉพาะในวังนะ เราก็ชักสงสัยว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราช
พอถามว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราชให้บอก ชี้องค์นั้นก็ไม่ใช่ ชี้องค์นี้ก็ไม่ใช่ ต่างคนต่างบอกชื่อของตัวหมด ก็เลยนึกขึ้นมาว่า เออ ยังไงเทวดานี่ เลยบอกว่าถ้าไม่ใช่พระสยามเทวาธราช แล้วมาทำไมล่ะ พระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระราชินีก็ดี ท่านทำบุญเพื่อพระสยามเทวาธิราช
ท่านก็บอกว่า เขาอยากเรียกผมอย่างนั้นทำไมล่ะ ผมไม่ได้ชื่อนั้นนี่
ก็รวมความว่า พระสยามเทวาธิราชจริงก็เป็นเทวดาที่รักษาประเทศไทยทั้งหมด สมัยก่อนเรียกประเทศสยาม ใช่ไหม
"แล้วในหลวงท่านทรงทราบหรือเปล่าครับ ที่เทวดามากันเยอะ"
ทำไมท่านจะไม่ทราบ พอตอนเลิกแล้ว ขอเล่าลัดๆนะ พอพระท่านเดินออกมาหมด ฉันก็รั้งท้าย ถือหางเสือ
"หลวงพ่อมียศเป็นองค์สุดท้ายหรือครับ ?"
องค์แรกนะ
"อ้าว องค์แรกไม่ใช่สมเด็จพระสังฆราชหรือครับ ?"
ไม่ใช่หรอก ถ้าเดินไปด้านท้าย องค์แรกคือฉัน (หัวเราะ) ไม่ถามให้หมดนี่
"โอ้โฮ ไม่ยอมแพ้ใครเลยนะ"
ตอนนั้นเข้าไปมีอะไรรู้ไหม มีพัดกันเข้าไป เราก็ทิ้งพัดทิ้งทวน ไปมือเปล่า พอไปถึงพระราชวัง เขาถามว่า หลวงพ่อไม่มีพัดมาหรือครับ บอกมี ทำไมไม่เอามาล่ะ ขี้เกียจถือ บอกเอาอย่างนี้ได้ไหมครับ ยืมได้ไหมครับ บอกยืมลำบากเปล่าๆ ใช้ประเดี๋ยวเดียว เอายังงี้ก็แล้วกัน เอาพัดใบตาล เขาบอกตายละอย่างนี้พระเจ้าอยู่หัวเล่นงานผมแย่ บอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกันฉันจะรายงานท่านเอง ถ้าท่านมาถาม
พอท่านมาถึงปั๊บเข้ามากราบๆ มองไปข้างหลังเห็นพัดใบตาล เสร็จ เลยบอกพัดนี้อาตมาต้องการ อาตมาลืมพัด เจ้าหน้าที่เขาจะขอยืมให้ บอกว่าไม่ต้องหรอก ต้องการพัดประเภทนี้มันเบาดี พัดยศมันหนัก ถือลำบาก ถือเข้าถือออก พัดประเภทนี้ไม่ต้องถือหรอก เขาไปตั้งให้เวลาลุกมาก็ไม่ต้องถือมา ท่านก็เลยไม่สนใจ
คุยเรื่องอื่นต่อไป
พอตอนท้าย พอเดินออกมา ท่านก็เดินเข่าพนมมือมา บอกหลวงพ่อครับ เทปที่
ให้ผมเมื่อกี้นี้ผมสงสัย (หลวงพ่อถวายเทปบันทึกเสียงธรรม 1 โหล) ถามท่านว่า
สงสัยหลายข้อไหม ถามนิดหน่อยก็จะถวายให้ฟังไปเลย แต่ความจริงเทปยังไม่ได้ฟัง
ก็เลยถอยหลังไปนั่ง ก็เลยคุยอยู่ชั่วโมงครึ่ง พอถึงชั่วโมงครึ่งก็ใกล้เวลาที่เขาเจริญ
พระกรรมฐานบ้านสายลม มีคนนับเป็นพัน
ท่านก็ตรัสว่า "คนที่นั่นมี 3 ประเภทครับ คนตั้งใจจริงก็มี แนวที่ 5 ก็มี คนมาดูก็มี"
วันนั้นถูกสะกดรอยตลอดเวลา
ตอนที่ท่านไปนั่งพับ ท่านถามว่า "หลวงพ่อครับเวลาที่หลวงพ่อบันทึกเสียง ทะเลาะกับใครบ้างหรือเปล่า แล้วพวกที่ทะเลาะกับหลวงพ่ออยู่แถวนี้ใช่ไหม"
ท่านชี้ขึ้นไปในอากาศ พระสยามเทวาธิราชอยู่พอดี ท่านจะไม่รู้ยังไง
อย่าลืมว่าท่านเป็นฆราวาสสามารถทำได้อย่างนั้น พระอย่าไปเทียบนะ เพราะเรามีเวลาว่างมากกว่า ถ้าเรามีงานหนักอย่างนั้นเราทำได้หรือเปล่า คิดอย่างนี้นะ ท่านเก่งนะ
***พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านเก่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิพจักขุญาณ มีความแจ่มใสมาก ไม่เช่นนั้นพระองค์คงไม่ทราบว่าหลวงพ่อทะเลาะกับเทวดาเป็นแน่***
(จากคอลัมภ์ "สนทนาที่สายลม" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 71 เดือนมกราคม 2530 หน้า 30-31)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
สามีฝรั่งมากราบศพหลวงพ่อ
ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า เมื่อคืนมารศรีเขามาคุยให้ฟัง สามีเขาเป็นฝรั่ง นับถือศาสนาคริสต์ เขาเล่าให้ฟังตรงนี้ว่า ไปวัดเดือนที่แล้ว ฝรั่งไม่ยอมเข้าวิหาร 100 เมตร ภรรยาก็จะไปถวายไทยทานในวิหาร 100 เมตร ก็จะให้ฝรั่งก็ถวายด้วย ฝรั่งไม่ยอมเข้าทำไงล่ะ ไม่ยอมขึ้นวิหาร 100 เมตร
โอ้โฮ จะเป็นเรื่องเป็นราว (จะให้)ขึ้นมาให้ได้ คงขัดคอกันมานานแล้วล่ะเรื่องทำบุญ
คงจะฝังใจมานาน ครั้งนี้เผด็จศึกแน่บอก ไอ้กะโหลกหนานี่มันต้อง... บอกกะโหลกหนาเลยนะ หากวันนี้เป็นยังไงก็ต้องเฉดกันแน่ ต้องหย่ากันแน่
แกก็ไปบอกหลวงพ่อ เขาเล่าให้ฟังเมื่อคืนยังปีติกับเขาเลย
โยมมารศรีเล่าให้ฟังมีรายละเอียดดังนี้...
(หลังจากชักชวนสามีแล้วไม่ยอมเข้าไปบนวิหาร) โยมอธิษฐานกับหลวงพ่อว่า ถ้าบุญกุศลที่ลูกทำมีมรรคผลเพียงใดนี่นะคะ ขอให้ดลจิตดลใจให้คนคนนี้ได้มีความศรัทธาเข้ามากราบหลวงพ่อ
ปรากฏว่าอธิษฐานเสร็จเหมือนหลวงพ่อบอกว่า ให้ไปชวนเขาใหม่ลูก ไปตั้งสติชวนเขาใหม่
ก็เดินไปชวน ก็บอก ยูมาถึงนี่แล้วทำไมไม่เข้ามา ไปดูสิที่เคยให้ดูรูปถ่ายหลวงพ่อว่ามีเพชรน่ะ ไม่ทราบจะเรียกอย่างไร พระธาตุภาษาอังกฤษเรียกไม่ถูก เหมือนมีเพชรที่เกิดขึ้นบนศีรษะหลวงพ่อ
พอแกขึ้นมาน่ะฮะ ตั้งท่ากราบหลวงพ่อ แกยืนเสร็จตะลึง แล้วก็ปิดหน้าร้องไห้ เราก็ไม่กล้าถามว่าเกิดอะไร แกนั่งแกยังสะอื้น ร้องไห้อีก
แกบอกว่า เห็นหลวงพ่อเดินลงมากอดแก หลวงพ่อในโลงค่ะ ที่ข้างหน้าศพนะค่ะ เดินมากอดแล้วก็ลูบหัว
แล้วบอกว่า "พ่อขอบใจมากนะลูกที่มา พ่อรอรอมานานแล้ว รอลูกอยู่"
พอกลับมาถึงบ้านแกยังกลับมาร้องไห้อีก 3 วันน่ะค่ะ ตอนนี้ไม่ต้องสอนแล้วค่ะเรื่องธรรมะ เข้าห้องปฏิบัติเองเลยอันนี้นะฮะ
(หลวงพ่อ) แสดงให้เห็นขนาดคนที่ฟังภาษาไทยไม่ออก อ่านภาษาไทยไม่ได้ บุญไม่เคยทำกับมือหลวงพ่อเอง แต่ว่าหลวงพ่อท่านยังโปรดได้ถึงขนาดนี้
ถ้าสมมุติพวกเรายังยึดมั่นทำความดีที่หลวงพ่อสอน ดิฉันยืนยันว่าที่หลวงพ่อบอกพวกเราไปนิพพานกันได้ทุกคน แล้วก็ขอให้นึกถึงพระนิพพานตลอดเวลาอย่างที่องค์
หลวงพ่อท่านสอนนะคะ
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 477 เดือนธันวาคม 2563 หน้า 21)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
ประสบการณ์น้ำมนต์วัดท่าซุง
ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน จะรู้ว่าน้ำมนต์วัดท่าซุงศักดิ์สิทธิ์และอธิษฐานใช้ได้เอนกประสงค์
หลวงพ่อได้เมตตาทำตั้งไว้เป็นสาธารณะที่ วิหาร 100 เมตร และ ศาลารับแขก(ตึกรับแขก, ตึกจำหน่ายวัตถุมงคล) ใครใคร่ดื่ม ดื่ม ผู้ใดจะใส่ขวดนำไปบ้านสัก
เท่าใดก็ไม่มีการหวงห้าม
ที่บ้านดิฉันมีน้ำมนต์นี้ไว้เป็นประจำบ้าน ดิฉันได้เห็นอภินิหารของน้ำมนต์นี้คือ
เรื่องมีอยู่ว่าดิฉันปลูกมะละกอไว้ต้นหนึ่ง มะละกอต้นนี้เป็นพันธุ์โกโก้เพื่อนบ้าน
ให้ต้นมาปลูก ต่อมามะละกอก็ออกลูกมีเพียง 3 ลูกเท่านั้น
เมื่อมะละกอแก่ดิฉันได้เก็บและแบ่งให้เจ้าของต้นไป 1 ลูก ต้นมะละกอก็ดูโทรมเพราะดินไม่ดีไม่ได้ใส่ปุ๋ย คิดว่าจะฟันทิ้ง พอดีช่วงนั้นอ่านหนังสือหลวงพ่อเล่าถึงหลวงปู่ปานว่า หลวงปู่ปานมีงานวัดครั้งใดคนไปมาก ทางวัดทำอาหารเลี้ยงคนผักเหลือน้อยเพราะสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวก หลวงปู่ท่านทำน้ำมนต์ไปรดผัก ผลปรากฏว่าผักใช้ไม่หมด พอเลี้ยงคนซึ่งไปกันมาก
ดิฉันก็เกิดความคิดจึงนำน้ำมนต์ไปรดที่โคนต้นและพรมที่ลำต้นด้วยและอธิษฐานว่า
"หลวงปู่ปานเอาน้ำมนต์รดผักกินไม่หมดฉันใด ก็ขอให้มะละกอต้นนี้งอกงามขึ้นและมีลูกกินไม่หมดเช่นเดียวกัน"
ต่อมาผลปรากฏว่ามะละกอมีใบเขียวสดขึ้นและเริ่มมีลูก คราวนี้มีผลดกมากนับได้ 30 กว่า และเริ่มแก่เรื่อยๆ ที่แก่รุ่นแรกได้นำมาถวายหลวงพ่อ 2 ลูกเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 34
ขณะนี้มะละกอได้ออกลูกอีกยังไม่หมด ที่มะละกอมีผลดกและกินไม่หมดนี้ก็เพราะบารมีน้ำมนต์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและบารมีของหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่ได้ไปรดเมตตานั่นเอง
ใครว่าน้ำมนต์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเรื่องของเขาเถอะ ★
เกศริน ภู่กร
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 126 เดือนสิงหาคม 2534 หน้า 135-136) -
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
หลวงพ่อปลุกเสก
หลวงพ่อเราก่อนจะปลุกเสกคราวใดเวลา 6 โมง ต้องไปรับท่านเสมอ เพราะว่า
ตอนเย็นมาส่งท่านที่กุฏิแล้ว ท่านนัดว่าวันนี้มีพุทธาภิเษก 6 โมงเย็นนะ พอ 5 โมง
ครึ่งเราก็ขึ้นไปรับ
หลวงพ่อนี่ท่านจะปลุกเสกท่านมีอารมณ์สบาย ไม่มีอารมณ์กังวลอย่างเรานี่ เราจะทำพิธีอะไรใจเต้นตุ๊บๆ แต่หลวงพ่อท่านใจสบาย
มีอยู่คราวหนึ่ง ครั้งสุดท้ายหรือไงนี่ อ้อ ครั้งก่อนสุดท้าย ท่านบอกว่า
"นันต์ ของนี่เต็มหมดแล้วนะ ของที่เราจะทำพิธีพุทธาภิเษกนี่ของเต็มหมดแล้ว พระท่านมาทำเต็มหมดแล้วแต่ต้องไป เดี๋ยวไอ้พวกนั้นจะหาว่าเราโกหก"
พอของเต็มนี่ หลวงพ่อจะเดินไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เยอะ
แล้วพระมหากัสสปะก็เรียกท่านเข้าไปบอก คุณๆ เข้ามานี่
หลวงพ่อก็เข้าไป ถามว่า ทำไมครับ
พระมหากัสสปะ บอกว่า คุณนี่จะตายท่าเดียวนี่ พระพุทธเจ้าให้คุณอยู่ คุณไม่ยอมนี่ เอะอะก็จะตายท่าเดียว
หลวงพ่อก็บอกว่า ร่างกายไม่ดีครับ ถ้าร่างกายดีไม่เคยเกี่ยง
ตอนหลังท่านมาบอกว่า ของที่คุณทำ มีทำเหมือนกับคุณสององค์เท่านั้น มีอีกองค์
หนึ่งคือ สมเด็จโตฯ ของดีมีคุณภาพเหมือนสมเด็จโตฯ
ขอให้เก็บไว้เหอะ เพราะของมีคุณภาพมาก
***สมเด็จโตฯ หมายถึง สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) วัดระฆัง นั่นเอง***
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 449 เดือนสิงหาคม 2561 หน้า 18-19)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
หลวงพ่อชอบทำบุญหมดตัว
"เอ๊ะ หลวงพ่อทำกรรมอะไรไว้ แม้แต่หมอจะฉีดยาก็ต้องถวายสตางค์ก่อนครับ"
ไอ้กรรมประเภทนี้ต้องถามพระพุทธเจ้าท่าน
"แหม อยาก ได้กรรมประเภทนี้จัง"
อย่าเลย ต้องป่วยทุกวัน เอ..เวลาหมอจ่ายมากๆก็น่าป่วยเหมือนกันนะ บางทีหมอต้องขับรถจากนี่ไปวัดท่าซุง ไปถึงปั๊บก่อนจะลงมือตรวจรักษา หมอจ่ายตังค์ มันเป็นระเบียบ (หัวเราะ)
เออ ถ้าพูดถึงเรื่องนี้นะ ถ้าพูดถึงชาติก่อนฉันก็นึกไม่ออก ถ้าพูดถึงชาตินี้อาจจะมีผลอยู่ เพราะว่าตั้งแต่เด็กๆมา ฉันชอบทำบุญหมดตัว แต่กางเกงไม่ได้แก้นะ คือถ้าจะทำบุญก็ทำบุญโละ พอตอนบวชก็เหมือนกัน ถ้าใครถวายผ้าไตรจีวรดีๆ ฉันเอาไปทอดกฐินผ้าป่าหมด
ฉันใช้ผ้าเก่าๆเรื่อยมานะ แล้วต่อมาเริ่มเป็นนักเทศน์ อายุ 20 เศษๆ ใช่ไหม เทศน์นี่ปีหนึ่งได้ผ้าไตรปีละ 200 กว่า แต่ว่าวันเข้าพรรษา ฉันต้องซื้อผ้าไตรใช้
"ทำไมละครับ"
แจก แจกพระที่มีจีวรเก่า ในกรุงเทพฯนี่พระจีวรเก่าเยอะ ใช่ไหม หายาก เราก็สังเกตดู วันอุโบสถก็ตาม วันมีเทศน์ที่วัดก็ตาม พระต้องใช้ผ้าชุดดีที่สุด ถ้าวันนั้นยังเก่าอยู่เราก็จำไว้ ไม่ใช่วัดประยูรวงศ์และวัดอนงค์นะ วัดอื่นด้วยนะ พอจะถึงเวลาจวนเข้าพรรษาก็เรียกมาถวายผ้าไตร ก็เก็บไว้ใช้เอง 2 ไตร แต่วันเข้าพรรษาต้องหมดทุกปี พวกมาขออีก เสร็จ ผลที่สุดก็ต้องไปซื้อจีวรใช้ทุกปี
มาจนกระทั่งอายุ 44 อีตอนนั้นจะมาซื้อจีวรที่เสาชิงช้า เจอะญาติโยมที่มาส่งปิ่นโต เข้า ถาม คุณจะไปไหน บอกซื้อผ้าไตร โยมเขาถาม คุณเทศน์ได้ผ้าไตรตั้งเยอะแยะไปไหนหมด บอก ไม่ได้ขายนะโยมนะ แจกพระหมด นี่ไม่มีผ้าจะห่ม เก็บไว้ 2 ไตรก็มาขออีกจึงต้องซื้อ
ตั้งแต่ปีนั้นมาไม่ต้องซื้อ โยมซื้อให้ คือเขารู้หลายคน ต่างคนต่างช่วยกัน ซื้อมาอีก แจกอีก แล้วก็สตางค์ก็เหมือนกัน เทศน์มาไม่มีสตางใช้ต้องเลี้ยงพระเณรตั้ง 40 กว่า ในกรุงเทพฯ พระเณรท่านก็บิณฑบาตพอแต่เช้า อาหารเพลก็ต้องทำ
ก็รวมความว่าเทศน์มาไม่เหลือ พอถึงเข้าพรรษาก็เป็นหนี้เขา ออกพรรษาก็รับเทศน์ชำระหนี้ต่อไป ก็เป็นอันว่าเรื่องหนี้เป็นมานาน
"อ๋อ หลวงพ่อชอบเป็นหนี้ก่อนแล้วผ่อนทีหลัง"
ก็ไม่ชอบเป็นหรอก มันจำเป็นต้องเป็น เพราะเวลานั้นญาติโยมก็หนีเรื่องสงครามไงล่ะ ออกบ้านนอกกันมาก บิณฑบาตก็ไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นพระทางภาคอีสาน ท่านมาไม่มีญาติโยมใช่ไหม ไปดูๆเช้ามีอาหารฉันแต่เพลไม่มี ก็เลยบอกมาฉันรวมกับผมก็แล้วกัน แต่ลำพังเราเหลือกิน เอาพระมาไว้เลยไม่พอกิน ฉันเข้าใจว่าเหตุที่ทำบุญโละๆ จึงได้ผล
"เอ๊ะ เดี๋ยวถ้าใครมาใส่ย่ามหลวงพ่อนะ หลวงพ่อจะโละหรือเปล่าครับ ?"
ตอนนี้เป็นตอนรับแล้ว รับโละ แต่ตอนนี้ก็โละเหมือนกัน สังเกตดูให้ดีซิว่าที่วัดนี่ปกติอาหารเพลต้องทำ แล้วประการที่สอง ค่ากระแสไฟฟ้าเมื่อก่อนจ่ายเดือนละแสนกว่า แต่ตอนนี้จ่ายต่ำไปแล้วนะราว 6-7 หมื่น ก็อยู่ในภาระของฉัน แล้วก็เด็กอีก 300 กว่าอยู่ในข้าพเจ้า แต่ว่าไอ้การทั้งหมด ไม่ได้ทำเพื่อหวังผลชาติปัจจุบันนะ
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "ทำให้มันเสียทุกอย่างให้มันครบถ้วน เราไม่ต้องทำอีก ทำเพื่อไปอยู่ในที่ไม่ต้องทำ"
แต่ทุกอย่างลูกหลานก็ร่วมด้วยหมด ถ้าไม่ได้พวกนี้จะเอาที่ไหนไปทำใช่ไหมล่ะ เป็นอันว่าเราทำนำ เขาไม่มีโอกาส เราทำนำเขาได้เลย เพราะทรัพย์ของเขา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ายังไม่จบ (คือหลวงพ่อยังคงนำทำไม่จบ)
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 104 เดือนตุลาคม 2532 หน้า 18-19)
(เหรียญหลวงพ่อยืน ปี 2530 ออกจากวัดมาคือสีนาค เหรียญทางขวามือสีเงินคือนำไปชุบเองภายหลังครับ) -
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
เทวดาขนสมบัติพระจักรพรรดิเข้าวัด
ท่านเจ้าคุณฯ มีเรื่องเล่าให้ฟังว่า
ฉันมาไม่ทัน ตอนนั้นหลวงพ่อกำลังเจริญพระกรรมฐาน ดาบตระกูลได้ยินเสียงคล้าย
ต้นไม้ใหญ่ล้มครืน คนอีกฝั่งหนึ่งก็กลับมาดู จะมาช่วย นึกว่ารถชนกัน จะมาช่วยดูสมบัติว่าเก็บเรียบร้อยหรือเปล่า
พอหลังกรรมฐาน ก็ชวนดาบตระกูลไปดูกัน ไปดูทางโบสถ์เก่า คล้ายๆแผ่นดินมันจะยุบ ๆ
หลวงพ่อบอกว่า เขาเคลื่อนทองมาไว้ บางคนมาวัดเรา บอกว่ากลางคืนมีรถวิ่งทั้งคืนเลย เราก็นึก วัดเรากลางคืนไม่ได้ทำงานนี่ ไปถามหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกว่า เคลื่อนทองของพระเจ้าจักรพรรดิมาไว้ในเขตวัด ใครอยากได้ทองก็ไปขุดดูลึกประมาณ 3-4-5 กิโล ลึกประมาณ3-5 กิโล สังเกตดูวัดตั้ง 200 ไร่ ท่าน
ให้สร้างกำแพง ให้รีบสร้างกำแพงใหญ่เลย
เทวดาบอกว่า จะช่วยหาเงิน เขาจะได้นอนตาหลับว่างั้น เขาจะได้ไม่ห่วงกังวล
ท่านบอกทองเข้าจะทำให้สร้างวัดไว สมบัตินี้จะใช้ตอนพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ไม่รู้ว่าองค์ไหน
ยกทรงบอกว่า ที่แล้วแล้วมาหลวงพ่อเราก็เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเหมือนกัน
ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า ใช่ หลวงพ่อบอกว่าที่สร้างวัดนี่ ใช้เงินของการปรารถนาพุทธ
ภูมิไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ วัดเราทั้งวัดนี่นะบุญที่ปรารถนาพุทธภูมิ ทรัพย์สมบัติของ
ท่านสร้างไว้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
***เรื่องการปรารถนาพุทธภูมิทำให้มีทรัพย์สมบัติมาก ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด เพราะใช้ไม่หมดนี่เอง บางคนหัวดี กล้ามาขอสมบัติของหลวงพ่อ***
ตาจวง มาขอสมบัติหลวงพ่อ
มีคนดีมาเกิดเหมือนกันชาตินี้ ชื่อ ตาจวง หรือ ตายวง อะไรนี่ แต่ก่อนนี้ที่วัดเรามีตึกสำหรับพักพวกผู้ใหญ่ตึกหนึ่ง สมัยก่อนไม่มีที่พัก
ทีนี้มีคนดีมาจะเล่าถึงคนดี ตึกกรรมฐานเก่าท่านเจ้ากรมเสริม โยมอ๋อย รุ่นเดอะนี่ไป เขาก็ปูที่นอนไว้ หมอนสายรุ้งกาบมะพร้าว ปูที่นอนไว้ บอกว่าผู้ใหญ่จะไปพัก
มีคนดีมาคนหนึ่ง คนบ้านนอกนี่แหละไม่กลัวใคร ไปถึงนอนเฉยเลยทำไม่รู้ไม่ชี้ นอนไม่รู้ไม่ชี้เลยนะ คนขึ้นไปหน้าบางก็ไม่กล้า ต้องร้อนถึงคนเก่ง โยมน้อย กานดา นี่แหละ ขึ้นไปก็จวกเลย ไม่รู้หรือนี่ นี่ที่ต้อนรับของท่านเจ้ากรมเขานะ เขาก็ออกไปนอนข้างนอก
ตอนหลังเขามาเจอหลวงพ่อ ก็มาหาหลวงพ่อเรานี่แหละ ก็พูดบอก
หลวงพ่อครับ หลวงพ่อปรารถนาพุทธภูมิ ใช่ไหมครับ
หลวงพ่อบอก ใช่
แล้วหลวงพ่อลาพุทธภูมิแล้วใช่ไหมครับ
ใช่ ท่านก็ว่าอย่างนั้น
ทรัพย์สมบัติที่หลวงพ่อเอามาใช้นี่ ยังไม่หมด ใช่ไหมครับ
ใช่
ฉะนั้นก็ผมขอทรัพย์สมบัติของหลวงพ่อทั้งหมด ที่หลวงพ่อยังไม่ใช้ ได้ไหมครับ
แหม ไอ้คนนี่มันเหนือเมฆก็มีนะ หลวงพ่อก็บอกว่า
เอาไปเลย ข้าหมดเรื่องใช้แกก็เอาไป
แกคนนั้นก็หายไป 5-6 ปี ก็กลับมาใหม่อีก ตอนนั้นวัดวากำลังระวังภัย เพราะ
คอมมิวนิสต์มันเริ่มใช่ไหม พอหลวงพ่อแจกของ แกก็มา แต่งตัวใส่ผมวิกมาเลยนะ
ทำไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้ามา เจ้าหน้าที่เขาก็รวบตัวเลย พอรวบแกก็พกปืนอยู่ตรงเอวขนาด
9 มม. 1 กระบอก เขาก็รวบตัว พอเปิดผมวิก อ้าว ตาจวงนี่หว่า นี่แกก็แน่เหมือน
กัน เขาจะอัดเอาแกตาย
ตอนหลังนี่ได้ทราบว่า แกตัดนิ้วบูชาพระพุทธเจ้า ตัดนิ้วก้อย พุทธภูมิแน่เหมือนกัน ตัดนิ้วก้อยถวายบูชาพระพุทธเจ้าเข้ม เราก็นึกคนนี้บวมๆ
ยกทรงบอกว่า คงเป็นคนแรกในโลกที่กล้าขอสมบัติของหลวงพ่อ นอกนั้นไม่มีใคร
กล้าขอ
ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า พวกนี้เป็นพวกกำลังใจเข้มแข็งนี่ ไม่หวั่นไหว แหม จะโดนพวกอัดตายเสียแล้ว
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 455 เดือนกุมภาพันธ์ 2562 หน้า 23-25)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
ฉันเอาของฉันไปหมด
ดร.ปริญญาเล่าให้ฟังว่า
"ท่านนับลูกของท่านครบนะครับ แล้วท่านบอกไว้ด้วยบอกว่า ฉันเอาของฉันไปหมด
อันนี้ท่านรับรอง ผมถามท่านเอง ตอนนั้นไปนิวซีแลนด์ด้วยกัน ในพระพุทธเจ้าทุกพระ
องค์ ท่านนิพพานก่อน สำหรับบริวารก็ยังตามกันเป็นแถว แล้วของหลวงพ่อท่านไปหยุดเก็บตรงไหน
ก็ถาม หลวงพ่อครับ หลวงพ่อจะไปหยุดเก็บบริวารตรงไหนนี่ เพราะตอนนั้นท่านไปนิวซีแลนด์ ท่านไปเก็บบริวารท่าน
ท่านก็บอก บอกว่า ฉันเก็บของฉันจนครบ และฉันเก็บของฉันครบแน่ๆด้วย
เพราะฉะนั้นใครที่เป็นบริวารท่าน มีความเคารพท่าน เลื่อมใสศรัทธาในท่าน ท่านบอกว่า มีบารมีเต็มแล้ว ถึงนิพพานในชาตินี้"
ดร.ปริญญาบอกว่า "มามาให้เห็นหน้ากันไว้ ใจมันจะได้ชื้นๆบ้าง ไอ้เรื่องจะให้บริวารเพิ่มขึ้นน่ะมันยาก แต่ที่มีอยู่แล้วรักษาให้ได้ เหมือนคนกำพร้าพ่อเหมือนกัน มารวม
ตัวกันบ้าง เดือนหนึ่งมาครั้งหนึ่ง"
(ความหมายที่ ดร.ปริญญา พูดคือ ไม่ต้องการปริมาณคนเพิ่ม แต่คนเก่าๆขอให้มากัน และเน้นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งว่า)
"ทีนี้เรามีหน้าที่อีกหน้าที่หนึ่ง เราก็ต้องนึกเหมือนกันว่า หลวงพ่อท่านเสร็จธุระแล้ว
นี่ ท่านเข้าป่าไปเลยก็ได้ ไอ้เราก็จะเคว้งไม่รู้เรื่องรู้ราว ท่านก็อุตส่าห์ทำหน้าที่พ่อที่ดี ตามเก็บลูกหลานจนหมด แล้วก็เป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนาด้วย
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของลูกทั้งหลายก็คือ ไม่ใช่เอาตัวรอดคนเดียวแล้วเลิกกัน ก็ต้องช่วยท่านเหมือนกัน ช่วยสืบอายุพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปีเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นหน้าที่ใครมีอย่างไรก็ทำต่อไป หน้าที่ที่จะต้องทำบุญ รักษาศีล เจริญ
ภาวนา แต่ในขณะเดียวกันต้องรักษาหมู่คณะให้อยู่ด้วย ถ้าหมู่คณะอยู่ไม่ได้ อีกหน่อยก็สลายหมด
อันนี้เป็นหน้าที่ที่ลูกทุกคนต้องทำ
หลวงพ่อท่านรับรองของท่านว่า ทุกคนถึงนิพพานหมดในชาตินี้ ลูกหลานของท่าน
ถึงหมดชาตินี้
อันนี้แน่นอน ท่านยืนยันทุกวาระไป
ถามว่า เก็บหมดไหม
ท่านบอกว่า เก็บหมด เก็บครบ"
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 449 เดือนสิงหาคม 2561 หน้า 21-22)
วิธีเก็บลูกหลานหลวงพ่อ
ดร.ปริญญาบอก ขนาดไปอเมริกางานสุดท้ายยังไปตามเก็บอีก 2 คน คนหนึ่งคณะจะไป White House ท่านยังไม่ไปเลย ท่านรู้ว่าจะต้องเก็บคนของท่าน อยู่ใต้ถุนนี่ ท่านก็เดินลงไปคนเดียว เก็บบริวารของท่านใต้ถุน ท่านรู้หมดว่าอะไรอยู่ตรงไหน เราก็ต้องแอบดูท่านไปว่าท่านเก็บยังไง
ท่านเจ้าคุณฯเสริมว่า ตอนไปเก็บผู้หญิงคนนี้ อยู่ที่วอชิงตันดี.ซี. คนนี้พิเศษมาก ธรรมดาว่าจะไป White House กัน ไปเป็นหมู่คณะ
หลวงพ่อบอกว่า วันนี้ไม่ไปละ ฉันจะอยู่ที่นี่แหละ ท่านก็เดินไปที่โรงแรมชั้นล่าง มีร้านไทยอยู่ร้านเดียวหรือไงนี่ขายนาฬิกา หลวงพ่อก็ไปเดินดูนาฬิกา คนนี้เกิดศรัทธายังไงไม่รู้ถวายนาฬิกามา หลวงพ่อก็บอกว่า เขาฝึกกรรมฐานกันที่นี่ ว่างก็ไปนะ ฝึกกันที่โรงแรมชั้นล่าง
พอเวลาพระกรรมฐานผู้หญิงคนนี้มาไม่ทัน เขาจัดห้องไปหมดแล้วนี่ ผู้หญิงคนนี้มาไม่ทัน แกเป็นคนกล้าหาญนี่ บอกว่า หลวงพ่อเทศน์ให้ลูกฟังหน่อยสิ หลวงพ่อว่า เสียง
ไม่ดี เสียงมันไม่ไหวแล้วมันจะตายอยู่แล้ว ก็ชี้ไปทางด็อกเตอร์ปริญญา บอกว่า
คุณฟังหลวงพ่อแล้ว พูดให้ฉันฟังหน่อย คุณเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่าหลวงพ่อเทศน์ว่าอย่างไร ใจเธอเร่าร้อนน่ะ อยากจะฟังเทศน์
สักประเดี๋ยวครูฝึกลงมา ก็เลยบอกให้กลับไปฝึกคนนี้ คนนี้ก็ไปฝึก ฝึกล่วงเวลาไป เขาเสร็จกันหมดแล้วนี่ ยังเหลือคนที่มาทีหลังนี้คนเดียว รอกันครึ่งชั่วโมง พอลงมาเรียบร้อยทุกอย่าง บอก ไม่อยากลงเลย โลกนี้เป็นทุกข์ เราได้ยินก็ปีติแล้ว
วันนั้นเขากลับตั้ง 4 ทุ่มมั้ง พอตี 4 มาถึงโรงแรมอีกแล้ว ทำอาหารมาถวายทุกอย่างเลย แสดงว่าไม่ได้นอนเลย นี่แสดงว่าหลวงพ่อคนเดียวก็เอานะ
ถ้าเทียบกับเรา เราลงทุนก็คิดแบบเป็นเงินนะ หากจะเอาวัตถุกันไม่คุ้มกับเสียเงิน เวลา
คณะไปทีหลายแสนนี่ ไปโปรดคนคนเดียวที่เมืองวอชิงตัน
ดร.ปริญญาบอกว่า ท่านรู้ของท่านคนเดียว และรู้จักตะล่อมเข้ามายังไง ดูแล้วลีลา
ของท่านนี่กินขาดเลย
มีคนเคยปรารภหรือตำหนิท่านว่า หลวงพ่อไปที่นี่เสียเงินมาก จะได้เงินทำบุญมาคุ้มหรือ อย่างเช่นหลวงพ่อเสียเงินเป็นล้าน แต่สอนคนได้มา 2 คน เขาก็ทำบุญมาพันสองพัน บาทอย่างนี้ คุ้มไหม
หลวงพ่อบอกว่า คนน่ะเขาไปสวรรค์ได้วิมานหลัง ร้อยบาทซื้อได้ไหม ล้านบาทซื้อได้ไหม จับให้คนเป็นมิจฉาทิฏฐิให้เป็นสัมมาทิฏฐินี่เงินซื้อได้ไหม
ท่านบอก คุ้ม เกินคุ้ม ท่านมองประโยชน์ของคน ไม่มองด้วยวัตถุ
ก็มีบางพระที่วัดองค์หนึ่ง (ตอนนี้สึกไปแล้ว) ติงเรื่องนี้เหมือนกัน ก็พูดทำนองนี้แหละ
และหลวงพ่อก็ตอบอย่างนี้แหละ ฟังจบก็ไม่มีเหตุผลโต้แย้ง หลวงพ่อพูดจริง
ท่านเจ้าคุณฯ พูดเสริมอีกว่า ที่ดอกเตอร์เล่าเมื่อสักครู่นี้ ที่ว่าหลวงพ่อรับรองว่าลูกท่านจะไปนิพพานได้หมดนี่ ท่านเขียนหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง เป็นหนังสืองานศพของโยมโต๋ว เป็นสามีของโยมกิมกี
เขียนทำนองว่า ลูกของฉันอาจจะโต๋เต๋ไปในท่ามกลางบ้าง โต๋เต๋ แปลว่า แถไปบ้าง เพราะอกุศลกรรมให้ผล แต่เมื่อบั้นปลายชีวิต ลูกของฉันไปหมด หมายความว่ากลางๆ อาจจะโต๋เต๋ไปบ้าง เขวไปโน่นเขวไปนี่ แบบนี้เพราะอกุศลกรรมให้ผล แต่เมื่อบั้นปลายชีวิต เมื่อจะตายจริงๆ ตอนนี้จิตมันจะรวม
ถึงบอกว่า คนเราสะสมไปวันละเล็กละน้อย สมาธินั่งวันละเล็กละน้อย ได้บ้างไม่ได้บ้าง
มันจะสะสม เพราะสมาธิไม่สูงนี่ มันจะสะสมอยู่ในตัวเราตลอดไป อยู่ในจิตเราโดย
เราไม่รู้ตัวเลย
เหมือนเราค่อยๆโต เรารู้ไหมล่ะว่าโตขนาดไหน มันโตวูบวาบมาที่ไหน มันจะสะสมมาทีละหน่อยๆ เมื่อบั้นปลายชีวิตจิตมันจะรวมตอนจะตาย ตรงนั้นแหละทำให้ตัวหลุดพ้นแหละ
ฆราวาสนี่ไม่ได้บวชนี่ ตายในวันนั้นแหละ หรือว่าจิตจะบรรลุมรรคผล แต่เป็น
วันตายพอดี
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 449 เดือนสิงหาคม 2561 หน้า 22-23)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
ผมเคยฝัน 3 ครั้ง
1.ฝันว่านั่งเรือข้ามแม่น้ำ มีพระสงฆืองค์หนึ่งนั่งอยู่หัวเรือ บอกว่าจะพาไปวัด ในความรู้สึกในฝัน รู้สึกว่า วัดนั้นมีลูกแก้วมังกรวิเศษอยู่ลูกหนึ่ง ไปถึง ก็เห็นพระนั่งสวดมนตร์กันอยู่ มีฆราวาสนุ่งขาวห่มขาวสวดมนตร์อยู่ มีวงปี่พาทย์ด้วย ผมได้นั่ง นอกสุด มีความรู้สึกว่า ตัวเองสวดมนตร์อะไรไม่ได้สักบท นึกเสียใจอยู่
2. ฝันเห็นหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านนั่งเล่นสนามหญ้า มีลูกหมาสีดำตัวหนึ่ง วิ่งไป วิ่งมาให้ท่านตีก้น แล้วก็วิ่งไป วิ่งมา ให้ตีก้นอีก
3. ฝันหลังจากกลับมาจากวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ตอนนั้นไปกราบรูปปั้นหลวงพ่อ ที่ยืนถือไม้เท้าอยู่หน้าโบสถ์ วัดศาลพันท้ายฯ ว่าช่วยสงเคราะห์ลูกหน่อย ลูกขัดสน ตกกลางคืน ฝันว่าท่านมาบอกว่า พระคาถาเงินล้านหน่ะ ท่องเป็นไหม..
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
หลวงพ่อสอนหมดทุกอย่าง
ดร.ปริญญาบอกว่า เทปก็อยู่หนังสือก็อยู่ วิดีโอก็อยู่ บริบูรณ์สมบูรณ์ทุกประการ
และท่านบอกว่า ที่ท่านไม่สอนไม่มีนะ ท่านรู้เท่าไหร่ท่านสอนหมดแล้วนะ
ท่านบอก ฟังแล้วก็ไปคิด คิดแล้วก็ไปทำ ทำเสียให้ได้
ท่านเจ้าคุณฯ เสริมว่า มโนมยิทธินี่มีประโยชน์มาก คือพิจารณาไวที่สุด ถ้าเราภาวนาเฉยๆแล้วพิจารณา มันไม่ค่อยเห็นจริง เห็นก็เป็นสัญญาไป เพราะว่าสมาธิไม่แก่กล้าถ้ามโนมยิทธิถ้าใช้วิปัสสนาญาณจะไวมาก
คือสมมุติว่า เราขึ้นไปข้างบน ดูซิเรากราบพระพุทธเจ้าเราแต่งตัวอย่างไร ทำแบบ
ซื่อๆ ทำแบบคนโง่สุดๆ ดูพระพุทธเจ้าก่อนก็แล้วกัน ดูท่านนั่งอย่างไร ใส่อะไรไหม
มีพระพักตร์เป็นยังไง วางพระบาทเป็นยังไง
ก็ดูไปเรื่อย ให้จิตมันทรงตัว พอจิตทรงตัวเราก็กราบท่าน เมื่อกราบท่านก็ดูตัวเราสิแต่งตัวแบบไหน แต่งตัวขาว ใส่รองเท้าแบบนั้นแบบนี้ ก็ดูตัวเรานั่นแหละ มาดูตัวเราแล้วก็ขยับตัว มีความสุขไหม มีความเบาไหม
พอดูพระพุทธเจ้าแล้วก็ดูตัวเราก็กลับมามองดูตัวข้างล่าง ดูตัวเราที่นั่งอยู่ข้างล่าง
เป็นอย่างไร เราก็เปรียบเทียบ 2 ตัวว่าตัวไหนสวยกว่ากัน ตัวนี้จะเป็นสักกายทิฏฐิ
เห็นง่าย ถ้าเปรียบ 2 ตัวนี้จะเห็นง่ายมาก
เห็นว่าร่างกายข้างล่างมันไม่เที่ยงจริง ร่างกายข้างล่างไม่สวยจริง เดี๋ยวก็สลายตัวจริง
ปัญญาก็จะยอม ไม่ยึดมั่นถือมั่นมาก ถ้าขึ้นไปอยู่ข้างบนโน่น ไม่ยืดมั่นถือมั่นอะไรเลย
นี่ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด
ทำอย่างนี้บ่อยๆ ทุกวันๆขึ้น จิตมันจะชิน ก่อนจะตายจิตจะพุ่งขึ้นไปอยู่บนนู้นเลย
ความจริงหลวงพ่อท่านกรอง ท่านเฟ้นทุกอย่าง ให้เรากินง่ายที่สุด แต่เราก็อย่างว่า ชอบดิ้นรนไปหาที่กินใหม่
เมื่อหลวงพ่อปรุงอาหารให้เรากินแล้วนี่ 40 หม้อ คือกรรมฐาน 40 ใช่ไหม เหมือนอาหารมี 40 หม้อ ให้เลือกกินหม้อไหนก็ได้ แต่เราว่าไม่อย่างนั้น อยากจะปรุงเองบ้าง
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 449 เดือนสิงหาคม 2561 หน้า 24)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
เรื่องปลุกเสกมงกุฎเพชรกันโรคระบาด, โรคเอดส์
เรื่องนี้ใหญ่ เดี๋ยวจะเล่าความเป็นมาให้ฟัง ฉันไม่ยืนยัน ไม่เข้าไปรับรอง ไม่ปฏิเสธด้วย ไม่รับรองด้วย คือมันอย่างนี้
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 32 หลวงพ่อจันทร์ วัดอะไรก็ไม่รู้จังหวัดสมุทรสาครนะ ท่านนิมนต์ให้ไปพุทธาภิเษกที่นั่น และก็แม่ทัพภาคที่ 1 มีจดหมายอนุสาสนาจารย์ไปสองครั้ง ใช่ไหม และครั้งหลังสุดเขาจดหมายไป และต่อมาเมื่อวันเข้าวังก็พบหลวงพ่อจันทร์ที่นั่น จำที่วัดของท่านนะ
ท่านก็นิมนต์บอกว่า ขอให้ไปเคาะหัวสักสองปุ๊กก็ใช้ได้ ไม่ต้องเอาอะไรมาก แต่ก็เป็นอย่างนี้ซิ ตามหมายกำหนดการเขานิมนต์พระ 108 องค์ อันนี้ไม่ใช่หวยนะ จดไปเถอะเจ้ามือยิ้มแล้ว นิมนต์พระ 108 องค์ เขาให้ทำ 3 รอบ คัดไป 3 ส่วน ใช่ไหม
เริ่มตั้งแต่หนึ่งทุ่มนั่งปรก เลิก 6 โมงเช้าพอดี แต่ฉันก็ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นไปก็เป็นเวลาขี้ยัน 5 ทุ่ม นี่ต้องขึ้นบ่อยๆไม่ยอมลด ก็เป็นอันว่าไม่มีปฏิเสธและไม่รับว่าจะไป ก็ต้องจดหมายไปบอก ผมจะทำให้ที่วัดเป็นเวลาเดียวกันเริ่มหนึ่งทุ่ม
เริ่มเวลาหนึ่งทุ่ม แต่ทำไปประมาณ 30 นาทีนะ ความจริงเรา 30 นาทีก็เต็มเอี๊ยดแล้ว นั่งไปตั้งแต่ 1 ทุ่มถึง 6 โมงเช้าน่ากลัวจะล้นไปหมด ถ้าพุทธาภิเษกเต็มคืนฉันก็สงสัย
เคยมีที่ชอนสรเดช เพราะว่ารุ่นหลังๆ ใกล้ๆสว่างสักตี 2 ตี 3 ไปนะ สมาธิท่านสูง บางทีบางองค์ก็สมาธิสูง บางองค์ก็สมาธิโงนเงน โงนเงน บางองค์ก็เข้าสมาธิเต็มอัตรา ครอก ครอก เป็นสมาบัติเต็มที่ แล้วมันจะไปได้อย่างไรหาที่พักก็ไม่ได้ ที่พักก็แคบๆ ใช่ไหม ไม่มีที่พักผ่อน ฉันก็เลยบอกฉันไม่ไหว ฉันก็เลยจดหมายไปฉันจะเริ่มหนึ่งทุ่ม ใช้เวลา 30 นาที
ก็พอดีพระของฉันมารายงานบอกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ารุ่นหลังที่เอาไปกับมงกุฎเพชร เหลืออยู่ 200 นอกนั้นก็มีอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้ปลุกเสก ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นรับไปปลุกเสกด้วย
พอก่อนหน้าเวลาสัก 15 นาที ฉันก็เริ่มบวงสรวงทำอะไรต่ออะไรเสร็จ ถึงเวลา 1 ทุ่มตรง ก็ได้จังหวะพอดี ก็เริ่มทำ พอเริ่มทำปั้บ อันดับแรกจับอารมณ์ทรงตัวใช้เวลาสักครึ่งนาที ช้าไปหน่อย แต่ว่าทำเรื่อยๆ ถ้าหากว่าถ้าปกติปั๊บเดียวเอาเลย คราวนั้นต้องห่วงสองวัด ของเราของท่าน ใช่ไหม
ก็รวบรวมกำลังใจเสร็จแล้วก็พุ่งกำลังใจไปที่วัดโน้น ไปเห็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มาก สูงอย่างกับที่วัดอินทร์แน่ะ อยู่กลางบริเวณ พอเห็นเท่านั้นก็ดีใจกลับเลย สบาย ท่านทำแล้ว อย่าลืมนะถ้าพ่ออยู่ ลูกไม่มีความหมาย ใช่ไหม ก็ไปดูๆนิดเดียวก็กลับ
พอกลับมาที่เก่า เริ่มทำงานของเรา พอเริ่มทำงานจิตเข้าละนิดหนึ่ง ท่านโมคคัลลาน์ท่านยืนอยู่ข้างขวา ท่านคุมฉันนะ ความจริงฉันไม่ได้ปลุกพระ พระท่านปลุกฉัน ทุกคราวแหละ ไม่ใช่ปลุกพระหรอก อย่านึกว่าฉันปลุกพระนั้นไม่จริง ขอยอมรับ
คือท่านพระโมคคัลลาน์ ท่านคอยบอกบท จิตสูงไปหน่อยลดกำลัง ต่ำไปนี่สูงขึ้นไปหน่อย ตั้งอารมณ์อย่างนี้ ท่านบอกตลอดจนกว่าจะเลิก
แต่วันนั้นปรากฏมีทั้งพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรทั้งสองข้าง พระสารีบุตรยืนทางซ้าย
ข้างหน้านะ พระโมคคัลลาน์อยู่ข้างขวา
พอจิตเริ่ม พระโมคคัลลาน์ท่านบอกว่า คราวนี้คุณทำที่นี่ก็แล้วกัน ผมไปแทนเอง พอท่านบอกแล้วก็แวบหายไปเลย เหลือท่านพระสารีบุตร พระท่านก็เต็ม ใช่ไหม ท่านพระสารีบุตรก็บอก เอ้าเริ่มจุดนี้ตั้งอารมณ์ ท่านก็ว่าเรื่อยไป ท่านบอกคาถาให้บท คือว่าคาถา
(คาถาว่ายังไงครับ)
ไม่ต้องจด ไม่บอก คาถาที่ปลุกพระนี่ไม่บอก ให้เฉพาะเวลาบทนี้ ท่านบอกบทไหนจะเปลี่ยนได้ต่อเมื่อท่านให้เปลี่ยน ทำไปจริงๆคาถาบทนี้ให้เวลาเต็มครึ่งชั่วโมง ไม่เคยมานานขนาดนี้ พอเต็มครึ่งชั่วโมงท่านก็บอกเปลี่ยนอีก 3 บท ทีละบทนะสั้นๆ คราวนี้ใช้เวลาสั้นๆ ก็ทำไปจริงๆใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 45 นาที ก็ถือเวลาเต็มชั่วโมงถ้าเริ่มต้นด้วยนะ แล้วท่านก็บอกว่า เต็มแล้ว
พอเต็มแล้ว ฉันก็ขึ้นไปกราบ กราบพระ พระใหญ่คือองค์ปฐม ท่านเป็นประธานอยู่ ถามว่าของทั้งหมด ทั้งพระบูชา และก็มงกุฎเพชรนี่มีประโยชน์อย่างไรครับ มีอะไรบ้าง ท่านก็บอกเอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ เทวานุภาพ พรหมานุภาพนะ ทั้งหมดต้องมีความไม่ประมาท อาราธนาไว้เสมอ
อันดับแรกบอกว่า อันดับแรกที่ฉันจะบอกเธอนะคือ กันโรคระบาดทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าโรคระบาดทุกอย่างนี่กันหมด
พอท่านบอกแบบนี้ เจ้าของโรคระบาดก็ปรากฏตัวเป็นกลุ่มใหญ่ โรคระบาดขั้นถึงตายอย่างอหิวาต์นี่ชุดแดง ชุดแดงคนนะ โรคระบาดสัตว์นี่ชุดเขียว บอกผมครับเป็นเจ้าหน้าที่โรคระบาด
ทั้งสองฝ่ายมาแล้ว ก็ถามว่า ถ้าเขามีของนี้บูชาอยู่ หรือจะติดตัวอยู่ก็ตาม พระบูชา
ก็ตามจะมีผลไหม
เขาก็บอกว่า อย่าลืมนึกถึงพระพุทธเจ้านะ ผมเคารพพระพุทธเจ้า ถ้ามีผมจะจัดหลีก
ก็เลยถามท่านบอกว่า โรคระบาดอันดับแรกที่พระองค์จะทรงสงเคราะห์ คือโรคอะไรครับ
ท่านบอก โรดเอดส์
ถามท่านว่า ถ้าเชื้อมันมาจะเป็นอย่างไร
ท่านบอก ถ้าเชื้อเข้ามามันจะด้าน
พอดีท้าวเวสสุวัณท่านอธิบายต่อว่า คำว่า ด้าน คือ ตาย เชื้อมันตาย แต่ว่าทั้งนี้ต้องอาราธนาเช้าอาราธนาเย็น ก็บูชาเช้าบูชาเย็น ต้องบอกไว้เรื่อยๆ โรคระบาดทั้งหมด
ประการที่สอง ท่านบอกว่า ถ้าต้องการความปลอดภัย ท้าวเวสสุวัณท่านอธิบายว่า อำนาจพุทธานุภาพ พุทโธอัปปมาโณ คุณพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้
ธัมโม อัปปมาโณ คุณพระธรรมหาประมาณมิได้
สังโฆ อัปปมาโณ คุณพระสงฆ์หาประมาณมิได้
ถ้าหากว่าไม่ต้องการให้ของหาย ขอให้อธิษฐานบอกว่า ขอผู้ร้ายจงอย่าเห็นบ้าน จงอย่าเห็นประตู หรือศัตรูอย่าเห็นตัว เฉพาะศัตรู
หมายความว่า เขายังไม่คิดจะทำร้ายเขาก็อาจจะเห็น ถ้าจะคิดทำร้ายเขาจะไม่เห็น ถ้าคนนั้นยังเป็นขโมยยังไม่ลักบ้านเรา อาจจะเห็น ถ้าจะลักบ้านเราอาจจะไม่เห็น
ให้อธิษฐานตามนั้นนะ และต่อไปเรื่องลาภสักการะอะไรต่างๆธรรมดา
ทีนี้ท่านบอกอย่างนี้ อย่านึกว่าทุกคนมีไว้แล้วจะกันได้จริงๆ แต่ต้องอย่าลืมว่า ต้องอาราธนาเช้าเย็น จิตใจเข้าถึงหรือเปล่า
ของนี่เขาทำเฉพาะวันนั้นเพิ่งจะทำรุ่นนี้เพิ่งทำ ทีนี้ก็ไม่แน่ ต่อไปนี้ก็ต้องเอดส์กันเรื่อย
มันเป็นอย่างนี้ คือว่าท่านจะทำในสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจอยู่เสมอ ตอนที่ยังสงเคราะห์ทหารอยู่ตามชายแดนนะ ปีนั้นไปเชียงราย พอดีเขาทำพิธีพุทธาภิเษก เขานิมนต์เข้าร่วมพุทธาภิเษก ฉันก็เลยเอาแหนบของฉันนี่มีอยู่ 500 ไปร่วมพิธีด้วย
ท่านบอก กันนิวตรอน
นิวตรอนเวลานั้นฉันยังไม่รู้เลยว่านิวตรอนเป็นอย่างไร แล้วต่อมาเป็นปีที่สองเพิ่งรู้จากพลอากาศเอก อาทร ว่านิวตรอนคืออะไร
ท่านทำปีนั้นแล้วถามท่าน บอกว่า ถ้าเขามีนิวตรอน มีนิวเคลียร์ ลงมาจะเป็นอย่างไร
ท่านบอกไม่เป็นไร ถ้าเขามีของเราอยู่ ถ้ามันลอยอยู่ในอากาศ มันจะพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อย คือว่ามันจะสลายตัวจากที่ตรงนั้น มันไม่มีอันตราย นั่นละสิ่งที่เราไม่รู้ละ คราวนี้ฉันก็ไม่ได้คิด ใครจะคิดละโรดเอดส์
แต่อย่าลืมนะตามที่ท่านท้าวเวสสุวัณบอกนะ ต้องอาราธนาเช้าอาราธนาเย็น คือบอกท่าน
อย่างนี้ต้องดูตัวอย่างพวกโจรในป่า อย่างพวกเรานับถือพระกับเขานับถือพระ แต่เขามั่นคงมาก ตอนเช้าปั๊บปลุกพระอาราธนาพระ ใกล้ค่ำปลุกพระอาราธนาพระ เขาทำอย่างนี้ทุกวัน
ท่านบอก ถ้าทำอย่างนี้จิตใจมั่นคง กันได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าก็แล้วกันนะ อำนาจพุทธานุภาพ ต่อไปก็ทำเหมือนกัน แต่ว่าเวลาปลุกคราวนี้ฉันไม่รู้ เพราะท่านไม่ได้บอก ท่านไปบอกเมื่อเสร็จแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมักจะเป็นอย่างนั้น ท่านทำของท่านเอง
(จากคอลัมภ์ "สนทนาที่สายลม" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 104 เดือนตุลาคม 2532 หน้า 20-23)
หน้า 599 ของ 616