นาม คือคู่ปรับของ รูป จริงหรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Deejing007, 26 เมษายน 2018.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ซ้าย คือคู่ปรับของ ขวา จริงหรือไม่ (ไม้ตะเกียบ)

    +++ ได้คำตอบแล้ว ก็ "งั้น ๆ แหละ" นะครับ
     
  2. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ส่วนตัวผมรู้สึกว่า หรือรู้เป็นนัยว่า นามรูป มันไม่ใช่สาเหตุที่จะไปยุ่งหรือไปแยกอะไรพูดง่ายเพราะมันประกอบขึ้นเป็นเราดีดีนี่เองขาดอันใดเป็นไม่ได้ สิ่งที่น่าจะมองหาคือเหตุแห่งนามรูปซึ่งคือขันธ์ แต่รู้ขันธ์ก็ไม่ใช่ไปแยกมันอีก แต่ที่ต้องรู้เพราะเหตุที่ว่ามันเป็นบ่อเกิดของรูปธรรมและนามธรรมทั้งมวล เมื่ออิงอาศัยฝ่ายใดก็ไปตามนั้นเช่น ฝ่ายราคะบ้าง วิราคะบ้าง หรือฝ่ายไม่ทั้งสองอย่าง มันจะต่อเนื่องไปอีกว่าสิ่งใดทำให้เลือกฝ่าย ก็จะเข้าบทพระสัทธรรมโดยปริยาย อันนี้โดยนัยคือรู้เพราะเคยได้ยินมาคับ
     
  3. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    จากปฎิจจสมุปบาท การเกิดดับของนามรูปในชาติปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ช่วงดังนี้

    1. อดีตเหตุ.........ได้แก่อวิชา_สังขาร
    2. ปัจจุบันผล.......ได้แก่ วิญญาณ_นามรูป_สฬายตนะ_ผัสสะ_เวทนา
    3. ปัจจุบันเหตุ.......ได้แก่ ตัณหา_อุปาทาน_ภพ
    4. อนาคตผล.........ได้แก่ ชาติ_ชรา_มรณะ_โสกะ_ปริเทวะ_ทุกขะ_โทมนัส_อุปายาส

    เมื่อเป็นดังนี้ จึงเห็นได้ว่าอวิชาเป็นเหตุในอดีต ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมกลับไปตัดวงจรวัฏฯไม่ได้ ส่วนตัณหาเป็นเหตุในปัจจุบัน ดังนั้นจึงสามารถตัดวงจรวัฎหมุนวนเวียนวียนนี้โดยไม่ต้องข้ามภพข้ามชาติ ในช่วงกลาง ทางอายตนะทั้ง 6 ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เอง พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่เหล่าพระภิกษุไว้ว่า

    “เพราะอาศัยซึ่งจักษุ เห็นรูปทั้งหลาย จึงเกิดจักษุวิญญาณ การประจวบพร้อมธรรม 3 ประการคือ ผัสสะ เพราะมีผัสสะจึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาจึงมีตัณหา
    เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทานจึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติ จึงมีความดับแห่ง ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลายจึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นย่อมด้วยอาการอย่างนี้”

    เช่นเดียวกับจักษุฯ
    • เพราะอาศัยซึ่งโสตะ ได้ยินทั้งหลาย จึงเกิดโสตะวิญญาณ
    • เพราะอาศัยซึ่งฆานะ ได้กลิ่นทั้งหลาย จึงเกิดฆานะวิญญาณ
    • เพราะอาศัยซึ่งชิวหา รู้รสทั้งหลาย จึงเกิดชิวหาวิญญาณ
    • เพราะอาศัยซึ่งกาย ถูกต้องสัมผัสทั้งหลาย จึงเกิดผัสสะวิญญาณ
    •เพราะอาศัยซึ่งมโนนึกคิดเรื่องทั้งหลาย จึงเกิดธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2018
  4. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    อารมณ์หรือสิ่งเร้าที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ คือ อายตนะภายใน 6 จะรองรับเป็นคู่กับ อายตนะภายนอก คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกายหรือโผฏฐัพพะ และสิ่งที่ใจนึกคิดหรือธรรมารมณ์ อารมณ์หรืออายตนะภายนอกย่อมเกิดแก่ทุกคนที่มีการกระทบ(ผัสสะ) อารมณ์ภายนอกย่อมหลั่งไหลเข้ามาหมุนวงจรปฏิจจสมุปบาทให้การหมุนดำเนินต่อไป


    1.การกำหนดทางตา
    เมื่อตาเห็นรูป คือจักษุประสาท กระทบกับรูปารมณ์ เกิดจักษุวิญญานแล้ว ผัสสะย่อมเกิดตามมาการดับได้ตรงนี้คือ ใช้สติกำหนดรู้ว่าเห็น เมื่อเห็นแล้วสักแต่รู้ว่าเห็น ไม่มีการปรุงแต่งว่า ผู้หญิง ผู้ชาย คนนี้ สวย หล่อ ชอบ ไม่ชอบ การกำหนดรูปที่เห็นปรากฏว่าเป็นเพียงสักแต่ว่ารูป การเห็นแบบนี้เรียกว่าการเห็นแบบปรมัตถ์ ส่วนจิตที่กำหนดรู้อยู่คือนามปรมัตถ์ เช่นนี้แล้วการกำหนดรู้ย่อมเป็นสัมมาทิฎฐิทำให้กิเลสเข้าไม่ได้ เมื่อเข้าถึงสภาวะปรมัตถ์นี้แล้วผู้ชายก็ไม่ปรากฏผู้หญิงก็ไม่ปรากฏ มีแต่รูปกับนามเท่านั้นที่ เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา อย่างต่อเนื่องถี่ยิบ
    หากรูปารมณ์เกิดขึ้นแล้วสติกำหนดไม่ทันจิตจะเกิดการรับรู้ผู้ชายผู้หญิง ทำให้เกิดเวทนาคือความชอบ ไม่ชอบหรือเฉยๆ ตามมาย่อมนำเข้าสู่วัฎของปฏิจจสมุปบาทต่อไป

    จึงจะเห็นได้ว่า สติสำคัญมาก และยังต้องเป็นสติ ประกอบด้วย วิริยะ สมาธิ และปัญญาอีกด้วย จึงสามารถกำหนดเห็นการเกิด-ดับในขั้นปรมัตถธรรม
    และถึงแม้ในขณะที่ยังเป็นขั้นสมมุติบัญญัติเราก็ยังได้ประโยชน์มหาศาลจากกำหนดสติในทุกเรื่องราว แบ่งเป็นสติเบื้องต้น สติท่ามกลางและสติบั้นปลาย ไม่ว่าทำงานเล็กน้อยตั้งแต่กวาดบ้านถึงงานใหญ่ก็จะไม่มีผิดพลาดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2018
  5. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    รูปนามไม่ใช่คู่ปรับครับ
    หากแต่เป็นสิ่งที่อิงอาศัยกัน พึ่งพากันอยู่โดยปริยายครับ
    เรียกว่าสหชาตปัจจโย
    ในประดาธรรมทั้งมวลที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้มีคู่ปรับเพียง
    กิเลสกับธรรมเท่านั้นครับ
    ที่เหลือเป็นเพียงการแสดงอุบายวิธีการปฏิบัติเท่านั้น
     
  6. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    2 การกำหนดทางหู
    เมื่อรูปารมณ์ เกิดขึ้นทางตาแล้วให้กำหนดรู้ที่รูปารมณ์เพียงแต่รูปนามปรมัตถ์ล้วนๆ โดยไม่มีการสมมติว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา การที่เราจะเห็นรูปนามปรมัตถ์อาจต้องหรื่ตาลงหรือลืมตาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น โดยธรรมชาติรูปรมณ์คือคลื่นแสงที่มีการเกิดดับตลอดเวลา เมื่อกำหนดอารมณ์ปีมัตถกได้ก็จะเห็นการเกิดดับของรูปนาม และสิ่งที่ตามมาคือพระไตรลักษณ์ของรูปนามที่จะปรากฏชัดเจนขึ้น

    การได้ยินก็เช่นเดียวกัน เมื่อสัททารมณ์ (คลื่นเสียง) มากระทบโสตประสาทให้กำหนดรู้ในการได้ยิน ตามหลักวิทยาศาสตร์คลื่นเสียงจะมีลักษณะของความถี่ที่ไม่ใช่คลื่นเดียวกันแต่เป็นคลื่นต่อเนื่องมีการเกิดดับต่อเนื่องกันอย่างไม่ขาดสายทำนองเดียวกับคลื่นไฟฟ้าที่มีวงจรของการเกิดดับติดต่อกันอย่างรวดเร็วมากจนกระทั่งรู้สึกว่ามีแสงไฟสว่างอยู่ตลอดเวลาดังนั้นเมื่อมีการได้ยินเกิดขึ้นหากตั้งใจกำหนดที่เสียงด้วยวิริยะสติสมาธิและปัญญาก็จะเห็นการเกิดดับและพระไตรลักษณ์ของรูปนามชัดเจน แต่ถ้าไปกำหนดที่หูก็จะไม่ปรากฏการณ์ ของการเกิดดับดังกล่าวนอกจากนั้นหากกำหนดที่หูจะเป็นการกำหนดอตีตานมณ์คืออารมณ์ที่ผ่านไปแล้วไม่ใช่ปัจจุบันอารมณ์

    (ยังมีต่อ ) บันทึกของครูอาจารย์ไว้เผื่อเป็นประโยชน์กับผูอ่านในอนาคตครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2018
  7. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    3. การกำหนดทางจมูก
    เมื่อได้กลิ่น ให้กำหนดรู้ที่จมูก เพราะกลิ่นที่โชยมากับลมและกระทบกับฆานะประสาททำให้เกิดการได้กลิ่นขึ้นไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นกลิ่นอะไร หอม ไม่หอม ชอบ ไม่ชอบกลิ่นปรากฏเพียงแวบเดียวนั้นก็ดับไป

    4. การกำหนดทางลิ้น
    การได้ลิ้มรสให้กำหนดรู้รสที่ลิ้น เพราะอาหารที่ได้รับประทานไปกระทบกับลิ้นคือชิวหาประสาททำให้เกิดการลิ้มรสขึ้น ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นรสอะไร อร่อย ไม่อร่อย ชอบ ไม่ชอบ รสปรากฏเพียงแวบเดียวเท่านั้นก็ดับไป

    5.การกำหนดทางกาย
    การถูกต้องสัมผัสให้กำหนดรู้บริเวณที่ถูกต้องสัมผัสว่าสิ่งที่มาถูกต้องสัมผัสทางกายนั้นได้แก่ ความเย็น ความร้อนความอ่อน ความแข็ง ความหย่อน ความตึง รวมถึงความเคลื่อนไหว การสัมผัสถูกต้องปรากฏเพียงแวบเดียวเท่านั้นก็ดับไป

    6. การกำหนดทางใจ
    หมายถึงการรู้หรือการคิด เมื่อธรรมารมณ์เกิดขึ้นทางใจให้กำหนดรู้ โดยหลักที่ว่าเมื่อรู้ก็สักแต่ว่ารู้แค่นี้ก็หยุด อย่าไปเลยเถิดหรือมากไปกว่านี้ เชานเดียวกันให้กำหนดแต่เพียงอาการรู้ซึ่งเป็นอารมณ์ปรมัตถ์ไม่ให้มีการปรุงแต่งจนเกิดเป็นอารมณ์บัญญัติมิฉะนั้นแล้วกิเลสต่างๆจะพรั่งพรูเข้ามาหรือเกิดตัณหา จนเป็นเหตุให้วงจรของความทุกข์ไม่สามารถหยุดลงได้

    เขียน ไว้เป็นอาจาริยบูชาครับ
    เมื่อราว 10 ปีก่อนผมช่วงหยุดสงกรานต์ผมได้ไปฝึกปฏิบัติกับอาจารย์ท่านนี้เป็นเวลา 7 วันแล้วกลับมาปฏิบัติต่อที่บ้านในช่วงหลังจากออกพรรษาผมเตรียมจะสรงน้ำพระพบว่ามีพระธาตุเสด็จมาในองค์พระนี่จึงเป็นสิ่งยืนยันถึงการปฎิบัติชอบในแนวทางนี้ ด้วยความที่ผมแสวงหาอาจารย์จึงมีอาจารย์ทั้ง พระ พราหมณ์ และฆราวาส ที่ทรงอภิญญา เรื่องปฏิจสมุปบาท จึงนำมาจากหนังสือของอาจารย์แทบทุกตัวอักษรจะปรับแต่งคำให้เหมาะสมเสริมความเข้าใจเพียงเล็กน้อย และเสริมในเรื่องเดียวกัน จากพระที่ทรงอภิญญาเพียงเล็กน้อย หลายท่านอ่านแล้วอาจคิดว่าไม่ใช่พระเขียนซึ่งจริงๆอาจารย์ผมท่านนี้ก็ไม่ใช่พระครับ แต่ท่านเป็นจิตแพทย์มือหนึ่งของมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งอเมริกา ก่อนจะกลับอเมริกาทางมหาวิทยาลัยขอร้องบอกว่าอย่ากลับมาเมืองไทยเลยจะยกตำแหน่งอธิการบดีให้ แต่ท่านก็แจ้งว่าขอมารับใช้บ้านเกิด และเปิดสำนักปฏิบัติธรรมในพื้นที่ส่วนตัวของท่าน ส่วนท่านที่กังขาในความถูกต้องของหลักวิชา อาจารย์ท่านคือ พระอาจารย์ภัททันตะ มหาเถระ อาจารย์หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2018
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ที่พูดไม่ได้ดูถูกนะครับ...แต่อ่านแล้วขำ
    จริงๆไม่อยากเบรคอะไรหรอก...
    แต่เห็นมี องค์ประกอบในการโม้อัพเดท
    ตัวบุคคลมาก เลยจะต้องรีบเบรคหน่อย
    เด่วคนมาอ่านจะหลงไปไกล...
    ทั้งที่ สภาวะที่เอามาพูดแค่พื้นๆ ระดับมโน...
    จะขอพูดให้เห็นในอีกมุมหนึ่งบ้าง....

    บอกได้เลยว่า พวกที่บอกว่า เห็นไตรลักษณ์ชัดเจนครบทั้ง ๓ เนี่ย
    ประกันได้เลย ว่ามโนเอาล้วนๆทั้งหละครับ....
    หรือไม่ก็คงจบ ป.๙ มาแล้วเป็นครูบาร์อาจารย์
    ฝ่ายวิปัสสนาธุระครับ...
    เอาแค่เห็นไตรลักษณ์เดียว ยิ่งมาทางวิปัสสนา
    ป่านนี้ ปัญญาทะลุทะลวง แทบไม่ต้องอ่านอะไรแล้วครับ
    เห็นหนังสือ ก็บอกได้ แล้วหละครับ
    ว่าหน้าไหนเขียนอะไรบ้าง เนื้อหาอะไรครับ
    (เคยเจอไหม ความสามารถแบบนี้)

    แต่ละดวงจิต เอาว่า เก่งโครตๆ เซียนสมาธิ
    แล้วมาต่อวิปัสสนาได้ ตัวจิตมันจะเห็นเพียงแค่
    ไตรลักษณ์ใดไตรลักษณ์หนึ่งเท่านั้น......
    เห็นพร้อมกันหมดเนี่ย มันระดับเหนือโลกแล้ว
    หรือโม้นอกโลก แบบไม่ดูตาม้าตาเรือแล้ว...

    เป็นไปไม่ได้หรอกทางปฏิบัติ..มันจะเก่งว่า
    พระอรหันต์แล้ว....ที่จิตท่านมีฤิทธิสายป่าแล้วครับ...
    และสภาวะอารมย์ ที่เล่ามา ก็ยังมโน
    ระดับกำลังยังไม่เกินปฐมฌานด้วยซ้ำ
    พูดยังกับว่า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ วิเศษวิโสมาก...
    ถ้าบอกว่า มีตำแหน่ง มีการศึกษาทางธรรมมามาก
    เป็นนักวิชาการด้านธรรมะ
    พอฟังได้อยู่ครับ. ตำแหน่งทางโลกจะยิ่งใหญ่
    ระดับ มนุษย์ต่างดาว เชิญให้เป็นนายกรัฐมนตรีประจำดาว
    มันไม่เกี่ยวอะไรกับ ระดับปัญญาญานหรอกครับ
    มันคนระเรื่องกัน.....ป.๔ ก็ได้รับการยอมรับนับถือได้
    จะเอามาพูดประกอบเพื่อ ????
    ต้อง ดร. ต้อง ศจ. ต้องหน้าที่การงาน สูงๆ ดีๆหรือ
    มันถึงจะมีปัญญาญานได้ มันคนระเรื่องกัน...จำไว้


    และแค่พระธาตุเสด็จ เอามาพูดเป็นต่อยหอย...
    ป่านว่า วิเศษอะไรมากมาย...แค่เรื่องของเด็กๆ...
    ทางปฏิบัติเค้าเรียก ภูตอากาศ สามารถเรียกได้จากอากาศปกติ

    และพระธาตุเสด็จเอามาเป็นเครื่องชี้วัดบุคคลไม่ได้หรอกครับ
    บางคนเค้าสะสมบารมีมาทางด้านนี้
    ยังไงก็มีเสด็จมาเรื่อยๆ...
    เค้าเรียกได้เป็น กะละมัง
    แจกคนอยู่เรื่อยๆก็มีครับ....

    ตอนสมัยส่วนตัวนั่งสมาธิใหม่ๆ
    มีพระสรีระเสด็จมา ๗ สี
    นั่งไปนั่งมาอีก ก็มีเสด็จมาเพิ่มเป็น ๑๒ สี
    หลังๆมาได้พระธาตุจากอดีตสมเด็จพระสังฆราชฯ
    ก็มี เสด็จมาเพิ่มขึ้นอีก ๘ องค์ เดิมได้มา ๙
    หลังๆพอลองวิชาเดินโบราณ นั่ง ๑๕ นาที
    ก็มีพระธาตุสีใส เสด็จมา
    พวกนี้มันแค่เรื่องสิวๆ เด็กๆ
    ไม่เห็นว่า มันจะทำให้ข้าพเจ้าเป็นผู้วิเศษ
    หรือเป็นคนดีอะไรเลย..ยังกวนบาทาเหมือนเดิม..
    และไม่เห็นว่า จะมีปัญญาทางธรรม ปัญญาญาน
    อะไรเพิ่มขึ้นเลย มันก็ต้อง มาลด ละ กิเลสเอาทั้งนั้น
    หละ และก็ยังเป็นคนปกติเหมือนเดิมครับ...

    และที่ คุณ รัศมีศูรเล่าๆมา
    เนี่ยเป็นสภาวะเด็กๆ มโนเอาทั้งนั้น....
    ยังไม่เกิดมรรคผลอะไรเลย....
    ไม่ได้เสี้ยว ของ คำว่า ปฎิจสมุปบาท อะไรซักแอะ...
    ไม่รู้เอามาพูด เชื่อมโยงกันได้ไง งงแทน....
    ปัญญาทางธรรมยังไม่เกิดเลยสภาวะที่เล่ามาเนี่ย
    ไม่ต้องพูดถึงปัญญาญาน
    ไม่ต้องไปพูดถึง ปฏิจฯอะไรหรอกครับ.....

    โม้ทั้งเพ เหมือนเข้า ม.๑ แต่พูดเหมือนจบ ป.โท
    เข้าใจที่พูดนะครับ....
    ส่วนตัวไม่กังขา ในตัวครูบาร์อาจารย์หรอกนะครับ
    แต่ บอกตรงๆว่า รำคาญ พวกที่ชอบเอาครูบาร์
    อาจารย์มีชื่อ มาอ้าง เพื่อเสริมตนเองให้ดูดีขึ้น....

    ปล.พวกกระโหลกกะลา หมายถึงที่ชอบ
    เอาท่านที่มีชื่อเสียงมาอ้างยกตนเองนะครับ...
    ท้าได้เลย ว่าจิตไม่มีความสามารถใช้งานอะไรได้เลย
    แต่เรื่องมโน โดยรวมกับความคิดฝั่งลึกในอดีต
    ต้องยอม เพราะยึดจนแก้ไขได้ยาก..

    ลองมาแย้งข้าพเจ้าดูไหม...เด่วจัดให้..

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2018
  9. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    จิตยิ้ม รัศมีศูร นิวรณ์ คนเดียวกันรึเปล่าหว่า
    บักบวร สส(เสียเส้น)
    เดี๋ยวเถอะ
     
  10. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    • ECF0895E-4D66-4BE7-AB4C-8BDCA0DF4FEF.jpeg 86A1C32D-57D6-40AF-9BA1-0691472CFFAD.png E31DEC6C-1395-463A-93D6-40DFF1A4D43F.png D029B265-D519-4720-837E-8487EC0AEFBF.png 189E800C-E48A-4BC3-9159-57819FFD036D.jpeg ตอบทีเดียวเลยนะ

    • ศูร สุร สุรีย์ สุริยะ สุริยา สุริยง สุริยน สุริยัน สุริเยศ สุริโย สุริเยนทร์ สูรย สูร สูรยาทิตย์ สุริยมณฑล สุริยเทพ รวิ รวี รพิ รพี รำไพ รวีวร ทินกร ทินสิริ ทินกฤต ทิวากร ทิพากร อุษณกร อุษณรูจี อุษณรัศมี อสรา อุสรา อังศุธร อังศุมาลี อักกะ อักก์ ภากร ภาณุ ภาณุมาศ ภาณุวัฒน์ ภาวิลาศ ภาสกร หะรี มะตาหะรี วิภาวัส วิภากร อาภากร รังสิมา รังสิมันตุ์ ตะวัน ตาวัน อาทิตย กลินท์ ไถง พันแสง สหัสรังสี ศตรัศมี จาตุรนต์รัศมี ตรีโลเกศ นภเกตน์ นิพนาถ นีธรา ทยุมณี ทิพามณี โค จิตราจิส วิวัสวาน ดรณิ ดบัน ตโมนุท วัตรภู สาวิตร

    • แปลว่าอาทิตย์.

    • รัศมีศูร แปลว่า รัศมีอาทิตย์ โลโก้ชัดเจนคงไม่ต้องไปเอาชื่อใครมาใช้ครับ
    ขอภัยที่บทความธรรมมะไม่ถูกใจบางท่าน อาจารย์ฆารวาสท่านนี้ ชื่อ ศจ.นพ.จำลอง ดิศยวณิช ผมไม่ได้บอกว่าฆราวาสที่ทรงอภิญญา ถ้ากลับไปดูดีๆผมบอกว่าผมมีอาจารย์ทรงอภิญญาหลายท่าน พระ พราหมณ์ ฆราวาส
    แต่ที่บอกคืออาจารย์ท่านนี้ท่านเรียนมาทาง สติปัฏฐานสี่ คือสายหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ลองพิมพ์คำว่า จำลอง ดิษยวนิช. ในgoogle ดู จะพบว่าท่านมีผลงานมากมาย. อย่าหาว่าผมสอนนะ แค่ชี้แนะให้ท่านดู. ในเมืองไทยมีสำนักปฏิบัติธรรมที่สำคัญคือสายหลวงพ่อฤาษี สายหลวงพ่อสด สายหลวงปู่มั่น(วัดป่า) สายวัดมหาธาตุ(หลวงพ่อจรัญ)
    แต่ละสายเป็นไปเพื่อการปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ บางสายได้ฤทธิ์ต้องใช้สมาธิมาก บางสายไม่ต้องการฤทธิ์เดช ต้องการแค่ บรรลุธรรม เรียกว่าสุขวิปัสสโก(เว้นแต่มีของเก่ามาแบบนั้นปฏิบัติธรรมสายไหนก็ได้)
    พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญในฤทธิ์. ทรงสรรเสริญในปัญญา. การจะเป็นหมอได้นี่แสดงว่า 1. ต้องฉลาดต้องมี Iq สูง. 2.ต้องมีบุญเก่ามามากในระดับหนึ่ง ได้ช่วยเหลือคนมากมาย 3.ท่านมีผลงานบรรยายปฏิบัติธรรมมากมายทั้งคนไทยและต่างชาติ 4.ท่านเปิดสำนักปฏิบัติธรรมโดยเชิญพระอาจารย์ที่ประมุขของสงฆ์ยังมากราบท่านไปเป็นอาจารย์ กรรมฐานแทบทุกครั้งและผมไม่ได้พูดเลยว่าคนเป็นหมอจะต้องบรรลุธรรมแค่บอกว่าอาจารย์หมอท่านเรียนมาสายไหนกับใครส่วนใครจบความรู้ทางโลกระดับไหนมาก็ได้ใช่ว่าจะบรรลุธรรมไม่ได้ อย่าคิดไปเองครับ ขอเพียงมีปัญญาทางธรรม ก็บรรลุได้หากได้อาจารย์ดี ฝีกปฏิบัติธรรมตามแนวที่ชอบ ตามจริต ตามวาสนาดูอย่างพระจูฬปันถก แค่เอาผ้ามาขัดหม้อก็เกิดปัญญา บรรลุธรรม

    ขอย้อนถามท่านว่าการเอาหลักธรรมแนวสติปัฏฐาน4 มาเผยแผ่มันไม่ถูกต้องตรงไหน มันไม่เหมาะสมตรงไหน ผมไปยกหูชูหางอวดอ้างอะไร กระทู้นี้ห้องนี้ท่านเป็นเจ้าของหรือไร การโพสต์ก็เหมือนพวกวิตกจริต ใช้คำพูดเหยียดไปกับบุคคลที่สามบุคคลอื่นเหมือนกันนักเลงคีย์บอร์ด นอกจากโพสท์ในห้องนี้ ท่านได้นำธรรมไปเป็นประโยชน์กับใครในสังคมบ้างละครับ
    คุณพิมพ์ชื่อผมยังผิดเลย จิตคุณละเอียดขนาดไหน
    เลยขอถามกลับไปว่าตามที่คุณอวดอ้างฤทิธามานี่ คุณบรรลุธรรมขั้นไหนแล้ว คนอื่นต้องปฏิบัติตามแนวทางคุณหมดหรือถึงจะได้ธรรมแบบที่คุณกำลังเป็นเนี่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2018
  11. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    หนูน้อยพิน็อคคิโอเอ๋ย
    การที่เราเรียกเธอว่านางตัณหานั้นเป็นการจงใจ
    เพื่อให้นางราคะปรากฏตัวออกมาเท่านั้นเอง
    ดูก่อนนางอารตี
    เธอพลาดแล้ว
    จริงๆมึงต้องการใช้ชื่อรัศมีสูรอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ
    แต่มึงกลัวโดนสามัคคีบาทาจากท่านอื่นๆไง
    55555555
    กูเฉลยตามที่มึงขอแล้วนะว่าทำไมระดับกูต้องจงใจเรียกชื่อผิด
    ขนพองสยองเกล้าเลยมั้ย
    55555555
    ไอ้อ่อนเอ๊ย
     
  12. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    คุณทะเลาะกับใครผมไม่รู้หรอกไม่สนด้วย
    แต่คุณเขียนชื่อผมถูก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ตัวครูบาร์อาจารย์ส่วนตัวไม่ติดใจหรอก
    บอกแล้ว ไม่ชอบพวกที่มันเอาท่านมาอ้าง
    มะรึง ก็ไม่อ่านดีๆเนาะไอ้ ฟายยยย

    ๕๕๕ ตกสระ อู คำเดียว มันเล่นเลย ๕๕๕
    ถ้าไม่ใช่ตัว คุณ ก็อย่ารับซิวะ ๕๕๕
    ถ้ารับว่าเขียนผิดแสดงว่า ก็คือคุณ
    นั่นหละ โครตยึดเลย
    ต้องเขียนขื่อมันให้ถูกนะ เด่วมันตาย ๕๕๕ ทำเป็นดัดจริตเอก
    ภาษาไทยไปได้ ฟายย
    ป่านนั้นเอาภาพประกอบสีฟ้า
    เกี่ยวกับการจับผิดมาลง ๕๕๕
    แต่มาแสดงสันดานจับผิดเรื่องแค่นี้ ๕๕๕
    แค่นี้ก็รู้แล้ว กะจอกมาก เด็กๆ

    ส่วนตัวไม่แย้งหลักการสติปัฎฐาน ๔
    หรอกครับ (พิมพ์ผิดเปล่าวะ เด่วไอ้ขี้โม้
    ว่ามีอาจารย์ทรงอภิญญามันเล่นอีก
    สงสัยมันจบ ดร. เอกภาษาไทย มันถึงได้จิตละเอียดจับผิดได้ป่านนี้ หรือญาติมันคงเป็น
    ผู้ตรวจอักษรแน่เลย ๕๕๕. โห เก่งวะ
    ความสามารถในการจับผิดเป็นยกให้เลย
    ๕๕๕)

    ที่แย้งคือ นาย รัศมีศูร (พิมพ์ถูกไหมวะ
    เด่วพิมพ์ชื่อมันผิด ตกสระอูไป มันเล่นยันชาติหน้าแน่ เรียกอีช่างจับผิด ดีไหม
    ละเอียดในเรื่องที่โครตฉลาด๕๕
    คนดีชอบทำ คนอะไรน๊าาา ชอบจับจับผิด ๕๕). เรียกใหม่ว่า ไอ้ขี้โม้ระดับกระโหลกกะลาแล้วกัน มันตรงกับ กมลสันดานดี ๕๕



    สันดานไอ้ ศูรกะโหลกกะลา คือ
    การบรรยายสรรพคุณทางโลกท่านอื่นๆ
    แล้วยกไปยกมา เพื่อเสริมอะไร?

    การที่โม้ว่า ตัวเองมีอาจารย์เก่งๆ
    เพื่อมาเสริมที่ตนพูดเพื่อเสริมเพื่ออะไร ?

    ถ้าดูไม่ออกก็ไปตายซะ ฟายย


    จึงกลายเป็นผลงานเสียอย่างอื่นได้ แต่เสียหน้าไม่ได้ ๕๕๕ ป่านนั้น อ้าง สมุฯ สติฯ
    (เขียน ย่อพอเข้าใจ เด่วมีบัก กระบือ
    มาจับผิดว่าเขียนผิดแล้วไปยกให้ตัวเองดูเท่ห์อีก)
    กลายเป็นการถ่ายทอดวิชา
    สติปัญญาอ่อน แบบมโนเอา แต่อ้างเป็น
    สติปัฎฐาน ๔ กะโหลกกะลาเอ่ย

    มันโม้ว่า คนสอนมันมีแต่ท่านดูวิเศษ
    แต่มันบอกว่า ไม่เน้นฤิทธิ์อ้างพระพุทธฯ
    (จริงๆคือมันไม่มีความสารถพอ๕๕๕
    พูดง่ายๆมันฝึกไม่สำเร็จ ๕๕๕)

    แต่มันอ้างอีกท่านชื่อขึ้นต้น จ.ในอดีต
    ประมานว่าฟังธรรมบรรลุได้ จะบอกคนอื่นๆเป็นนัยๆว่า ความสามารถตรูหางอึ่ง แต่บรรลุได้ ๕๕๕

    นิสัยพื้นๆ กะโหลก กะลาแบบนี้
    เค้ารู้ทันหมดหละน้อง ศูร (เจตนานะเว้ย)

    ตั้งแต่เค้ามายังไม่เคยบอกว่าตนเองเก่ง
    ยอกว่ามีฤทธิ์อะไรเลย.

    บักเอกภาษาไทย ด้านจับผิด
    โชว์โง่แบบเต็มๆ ๕๕๕

    สรุปคือ รัศมีศูร มันแปลชื่อด้วย
    เพื่ออะไรวะ คนอะไรแปลขื่อตัวเอง๕๕๕

    อ้างสรรพคุณทางโลกบุคคล
    เพื่อดึงว่าเกี่ยวข้อง ด้วย

    มันโม้ว่าคนสอนมันไม่ธรรมดา
    แต่มันไม่มีความสามารถทางจิตอะไร

    มันอ้างสรรพคุณท่านโน้นนี่นั้น
    เพื่อเสริม สิ่งมันได้จากการมโนฯ
    อ้างวิชาการ สมุฯ สติฯ หลายอ้างจัง
    เพื่อเสริม ที่มันได้บรรยายแบบมโน

    จะพูดเสริมเพื่ออะไร งง?

    สังเกตุได่ว่า ถ้าปี๊แปะจะคล่องมาก
    เพราะถ้าเขียนเองจะไปไม่เป็น
    กลายเป็นมโนฯ
    แต่อ้างคนสอนหน่อย เพื่อความเท่ห์
    เด่วไม่หล่อ กูไม่เก่ง ดูธรรมดาไป ๕๕๕

    ๕๕๕ โม้คนสอนตัวเองมีแต่ท่านที่ไม่ธรรมดา
    แต่มามโนทางธรรมเพื่อยกตัวเอง ๕๕๕


    นักเลงคีย์บอร์ด คงเก่งแต่ปาก กับ
    ขอบโม้ ชอบอ้างมั่ง อีกข้อจับผิดเก่ง ๕๕
    แต่สำหรับไอ้กะโหลกกะลา รัศมีศูร
    แม้ข้าพเจ้าเป็นคนธรรมดา
    ไม่เก่งอะไร ไม่มีธรรมอะไร
    กวนบาทาด้วย
    แต่ตัวๆ แสดงกรรมฐานในระดับ
    ใช้งานได้ ต่อหน้าท่านที่
    มะรึงเอามาโม้ไหม กองไหนก็ได้
    เอาที่มะรึง เก่งสุดในสามโลกเลย
    หรือจะอ้างว่าไม่ใช่ทาง
    เพราะอ้างท่าน ชื่อย่อ จ ไว้ ๕๕๕
    ประมานว่าแค่ได้ฟังก็บรรลุ ๕๕๕

    ส่งตรง นาย รัศมีศูร.
    ฉายา จอมโม้ ขี้แถ ขี้แถ
    ขี้อ้าง กะโหลกกะลา นะครับ. (^_^)
    (^_^) (^_^)







     
  14. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    คิดได้แค่นี้เองเหรอ
    อันที่จริงอันที่จริงคุณนพฯ น่าจะไปเล่นการเมืองได้นะ พรรคอภิสิทธิ์ชน ที่ม้อตโต้เขาว่า เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น
    จริงมั้ยละท่านมีแต่เรื่องดี คนอื่นนี่ไม่มีดีเอาซะเลย
    เอ้ะหรือว่าเป็นสมาชิกแล้ว ท่านนพฯซ้อมเรียกไว้ก่อนเน้อะ 555
     
  15. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    6E5A6DB3-E0C7-4EFB-9D42-9106B69D2CEA.jpeg เรียนท่านผู้อ่านท่านทุกท่าน
    ผมเองไม่ได้มีจิตเจตนาใดๆสร้างความวุ่นวายในที่นี้เลยและยิ่งไม่มีเจตนาจะอวดตัวยกตัวใดๆทั้งสิ้นเจตนาเดียวของผมคือนำสิ่งที่พอรู้มาบอกเล่าให้ท่านฟังไม่คิดว่าห้องอภิญญา-สมาธิ จะมีเจ้าพ่อ-เจ้าแม่ครองอยู่และวางภูมิดุจปรมาจารย์ก็ไม่ปานแต่การกระทำตรงกันข้ามไร้ซึ่งพรหมวิหารแบบครูอาจารย์ที่ท่านมีกันแม้ในพุทธบัญญัติก็ยังมีกฏเกณฑ์เพื่อให้ภิกษุอยู่ร่วมกันได้ การตัองมาทะเลาะกับเจ้าพ่อเจ้าแม่ไม่ใช่วิถึของผม ขอยืนยันอีกครั้งว่าผมคัดลอกข้อเขียนเป็นข้อเท็จจริงเป็นหลักการวิธีปฏิบัติจากหนังสือครูอาจารย์มาทั้งสิ้นมิได้เป็นข้อเขียนของตนเองเลยและข้อมูลบันทึกที่ลงไว้เพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านมีแนวทางปฎิบัติได้หลากหลายขึ้นเท่านั้นเอง
    ดังในรูปหลวงพ่อสด ท่านยังได้เขียนรับรองความถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานสูตรไว้ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุ เมื่อ 20 เม.ย.00 ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2018
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ไอ้ส้นบาทา. กมลสันดานอย่างมะรึง
    ถ้าไม่มีคนมาเบรค ป่านนี้คงโม้ตัวเองระดับ
    จักรรวาลแล้ว. ไม่ได้ยกตัวเอง
    พูดมาได้ไม่อายปาก
    ไอ้ที่โม้ข้างบน
    เป็นวิญญาณ บรรพบุรุษ
    มาสิงให้พูดหรือ ฟายยย

    ไอ้ภูมิจิตอสูรกายตัวไหน
    มันเที่ยวบอกว่ามันมีแต่
    ครูบาร์อาจารย์เก่งๆ
    ไอ้สัตว์นรกตัวไหน เขียนผิดคำเดียว
    มันยกตัวเองเรื่องความละเอียดของจิต
    พิมพ์เกินห้าร้อยคำ แต่มันเอาคำผิดคำเดียว
    มายกตัวเอง ฟายยยย

    ไม่แน่จริงนี่หว๋า. นึกว่าเจ๋ง
    โม้ไว้มาก เจือกบอกไม่เจตนา ๕๕๕


    ที่แท้ก็พวกกะโหลกกะลาทำมาเป็นอัพเดท
    ตัวเองให้ยิ่งใหญ่. ถุยยยย
    ทำเป็นเอาครูบาร์อาจารย์
    มาอ้างยกตัวเอง แต่พอเจอท้า
    ตอแหลว่าไม่เจตนา
    ก่อนหน้าพูดหา ป้ามะรึงหรือ.

    ความสามารถทางจิต
    หางอึ่งอ่าง ทำเป็นสะเอ่อ
    พูดความละเอียดของจิต

    คิดว่าในนี้มีคนดูมะรึงไม่ออกหรือ
    ว่ามีความสามารถจริงแค่ไหน ฟายยย

    ดีใส่ตัว ชั่วใส่คนอื่น พูดมาได้
    ไม่อายปาก

    ขี้โม้อย่างมะรึง อ้างอาจารย์คือดี
    บอกไม่เก่ง คือไม่ดีหรือ ๕๕๕
    ตรงไหน
    มีแต่มะรึงโม้ยกตัวเองคนเดียว



    เค้าเรียกความจริงนะ ไอ้ฟายยยย จำไว้

    ป่านนั้นโม้ว่าพระธาตุเสด็จองค์พระ
    สีขาวๆเป็นใยๆหรือเปล่า ๕๕๕

    ป่านนั้นว่าเป็นศิษย์ท่านเก่งๆ ๕๕
    แต่ไม่กล้ารับคำท้า ๕๕๕
    พูดเหมือนเก่งมากประกอบ
    การโม้ระดับธรรมะมโน ๕๕

    ป่านนั้นพูดธรรมระดับสูงๆ
    อ้างสติปัฎฯ อ้างโน้นนี่ แต่
    ก็อยู่ระดับมโน ๕๕

    ป่านนั้นเอารูปครูบาร์อาจารย์มาลง แต่
    เป็นเสียเอง ๕๕๕

    ไม่ใช่ดีเข้าตัว ชั่วเข้าคนอื่นๆ
    เค้าเรียก เค้นความจริง
    จากพวกขี้โม้กระโหลกกระลา
    จอมอ้างยกตนเอง

    ดีเข้าตัว ต้องว่าตัวเองดีกว่าตรงไหน
    แล้วทับถมคนอื่นๆ อย่าโง่ซิครับ

    ป่านนั่นจับผิดคำป่าน จบ ดร. ด้านอักษร
    ทำไมการใช้คำแค่นี้
    ถึงโง่จังวะ ฟายยย

    ปล. ที่ด่า มีข้อไหนเห็นแย้ง
    และไม่เป็นความจริงก็บอกมาเลย
    จะแถเหมือนวิชาธรรมะมโนเพื่อ??

    มันใช้ไม่ได้หรอก เพราะคนรู้ทัน
    มาเบรค ไม่งั้นคงมี ลูกอีช่างจับผิดคำ
    โม้ระดับโลกในห้องนี้แล้วหละ

    เอ้า ที่ด่าไปผิดตรงไหน
    หลักฐานมีเห็นๆ จะยังแถ
    อะไรอีกไหม

    พ่อกะโหลกกะลา เอาคำแปล
    ชื่อตัวเองมาด้วย ๕๕๕ พึ่งเคยเจอ ๕๕
    จอมอ้างอาจารย์ จอมยกตัวเอง
    ๕๕๕๕๕

    ส่วนตัวคนธรรมดานะ
    ไม่ใช่ใช่คนเก่ง
    หรือเป็นคนดี มีธรรมสูงอะไร
    คือคนทั่วไป
    ก่อนจะด่าใครกลับ
    หัดศึกษาคนหน่อย คิดว่าคนอื่นๆจะโม้
    เหมือนตัวเองหละซิ ๕๕๕
    จะได้ไม่โดนข้อกล่าวหา
    โง่ซ้อนโง่
    หรือโง่แล้วโง่อีกนะครับ (^_^)

     
  17. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง พระพุทธเจ้าไม่รับคำด่าของอักโกสกภารทวาชพราหมณ์
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสสนทนากับ อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่า
    เมื่อมีแขกมาเยี่ยมที่บ้านของตน ผู้เป็นเจ้าของบ้านย่อม ทำการต้อนรับด้วยวัตถุต่าง ๆ ทั้งของเคี้ยวของบริโภคและเครื่องดื่ม ถ้าหากแขกไม่รับสิ่งของเหล่านั้น สิ่งของเหล่านั้น ย่อมตกเป็นของเจ้าของบ้าน ฉันใด
    เมื่อพราหมณ์ด่าพระองค์ด้วยถ้อยคำอันหยาบคายอย่างนี้ พระองค์ไม่รับคำด่าของพราหมณ์ คำด่าดังกล่าวเป็นของพราหมณ์ เพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันนั้น
    คืนของๆท่านไปด้วย สัมปจิตฉามิๆๆๆ.....
     
  18. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ดากี้เอ๊ยดากี้
    จิตเดียวเที่ยวเบียดเบียน
    น่าสลดสังเวชแท้
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    รัศมีศูร. ลูกอีช่างอ้างและโม้จริงๆ ฟายย
    จะโม้ตัวเอง ก็อ้างเป็นศิษย์ท่านมีความสามารถพิเศษ ๕๕๕ พอท้าแสดงความ
    สามารถแล้วเงียบ ๕๕

    จะโม้ธรรมระดับมโน
    ก็อ้างเทียบธรรมสูงๆ ๕๕

    โม้เรื่องพระธาตุเสด็จเพิ่มเสริมยกตน ๕๕
    จะด่าคนอื่นๆก็เอาคำสอน
    ครูบาร์อาจารย์มาอ้าง ๕๕๕

    พอหมดมุขเริ่มด้วยการยกคำสอน
    มาอ้างอีก ๕๕๕

    ข้าพเจ้าพูดความจริง ไม่ใช่กล่าวหา ฟายยย
    ดังนั้นมุขย้อนกลับจึงใช้ไม่ได้หรอก ๕๕๕
    เพราะข้าพเจ้าไม่ได้เป็น ๕๕๕
    ทีหลังจะด่าใคร อย่าโง่ซิ ๕๕

    ระยำจำผิดคำเนี่ยเก่งนักเสือกทำ
    โม้อ้างเรื่องความละเอียดของจิต
    ประมานเก่งมาก
    แต่ไม่กล้า แสดงความสามารถ
    ต่อหน้าครูบาร์อาจารย์ที่ตนเอามาอ้าง ๕๕๕

    ก็แค่ ไอ้พวกนอกคอก ภูมิจิตอสูรฯ
    ที่ชอบอ้าง ชอบยกคำสอนครู มายกตน
    และเอาไว้ขู่คนอื่นๆ. หลงตัวเอง
    อยากได้รับการยอมรับว่าตนเก่ง ๕๕

    กำลังจิตหางอึ่งอ่าง อย่างมะรึง
    ขู่เด็กพึ่งเริ่มคลานพอได้นะ ๕๕๕

    ต่อให้ท่องคาถาก็ไม่ได้ผลหรอก
    เพราะมะรึงไม่มีความสามารถ
    ทางจิตอะไร ๕๕๕๕ ฟายยย เอ่ยย
    กำลังจิตใช้งานก็ไม่มี ๕๕๕
    ถ้าเป็น คุณ ผ่านเอามาโม้ เอามาขู่
    ตรูพอเชื่ออยู่ ๕๕๕

    แน่จริงเถียงซิ ว่าตรงไหนไม่ใช่
    ที่ข้าพเจ้ากล่าว มา

    แถและอ้างอยู่ได้
    ตอนโม้อ้างจริง เก่งจริง โครตเก่ง

    ฟายย ไอ้พวกศิษย์นอกคอกนรก
    เรื่องที่เอามาลง หาอ่านได้ตามเนท
    เค้ารู้ทั่วโลก (ประชดการหาข้อมูลมะรึงโง่)
    ๕๕๕ บุตรอีช่างจับผิด
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ส่วนที่ "คิด/มโน/เข้าใจ" (สมมติ) ว่า นี่คือ "ตน" มักจะอยู่ในส่วนของ "รูป" แสดงปรากฏออกมาเป็น "รูปลักษณ์"

    +++ ส่วนที่ "รู้สึก" (บัญญัติ) ว่านี่คือ "ตน" จะอยู่ในส่วนของ "นาม" ซึ่งไม่มี "รูปลักษณ์" แต่เป็นของ "มีสภาพ" เช่น "อารมณ์ฌาน" เป็นต้น

    +++ หากมี "สติเห็น" ตาม 2 ประโยคข้างบนได้ ก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก
    +++ ถ้าเป็น "สติรู้" ก็ย่อม รู้ ได้เองว่า จริง ๆ "มันแยกกัน" อยู่แล้ว โดยไม่ต้องไปมัวคิด
    +++ ชั่งมันเถอะ จะได้ยินมาจากไหนก็ไม่มีประโยชน์ หากเราไม่ "เห็นมันด้วยตน" ก็ไม่มีวันเข้าใจได้หรอก

    +++ เอาอันเดียว คือ "ดำรงค์สติมั่น รู้ ธรรมเฉพาะหน้า" ถ้าทำตรงนี้ "เป็นจริง ๆ" แล้ว กรรม-ฐาน ทุกกองก็จะมา "รวมตัวกันเองในนี้" แหละ

    +++ ดำรงค์สติมั่น รู้ ธรรมเฉพาะหน้า วิธีทำจริง ๆ คือ "รู้สึกทั้งตัว" เท่านั้นเอง แล้วก็ "อยู่ กับ ความรู้สึกทั้งตัว" ตรงนี้จะได้ "สติมั่น"

    +++ ลองทำดูก็จะ "รู้ชัด ได้ด้วยตนเอง" ส่วน "ธรรมเฉพาะหน้า" ก็คือ "ความรู้สึก ที่มัน แปร สภาพ ไปตามลักษณะของ ฌาน ต่าง ๆ" นั่นเอง

    +++ จะ "ยืน เดิน นั่ง นอน หรือ ทุก อิริยาบท" มันก็ "รู้สึกทั้งตัว ของมันอยู่แล้ว" โดยไม่ต้องไป "บริกรรม หนอ" ต่าง ๆ เลย

    +++ หัวใจของ "การปฏิบัติ" ทั้งหมดจาก "อุบาย" กรรมฐาน 40 จะหล่อหลอมรวมตัวกันลงมาเป็น "สติสัมโภชฌงค์" แล้วจึงพัฒนาต่อไปเอง

    +++ ลอง "อยู่ กับ ความรู้สึกทั้งตัว" สัก 2-3 วัน แล้วเอาไปเทียบกับ "สติสัมโภชฌงค์" ดูว่า "อาการ" ของมันเป็นอันเดียวกันหรือไม่ นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...