นิทานสำหรับผู้เริ่มต้นแถมไม่รู้เรื่องทางธรรมอะไรเลย แล้วยังมาขี้เกียจไม่อยากไปหาอาจารย์ที่วัด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Sataniel, 27 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ด้วยเห็นหลายๆท่านคอยช่วยเหลือนักปฏิบัติที่ติดขัดในสิ่งต่างๆ ถึงผมจะยังอ่อนด้อยอยู่มากแต่ก็อยากจะคอยแนะนำผู้ที่เริ่มต้นใหม่ๆที่ไม่รู้จะเริ่มทางไหน ทำอะไรยังไงดี เนื่องจากข้าพเจ้าในอดีตเป็นคนที่ที่ไม่เคยสันทัดเรื่องพวกนี้เลยจะเล่านิทานให้ฟังถึงการปฏิบัติสำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลยถึงการพิจารณา วิธีคิด หรือสิ่งต่างๆ หากไม่ตรงกับใครก็ค้านได้เลยนะครับเพราะผมก็ไม่ใช่ผู้รู้จริง และนิทานเรื่องนี้เป็น ปัจจัตตัง ถ้าผิดหมวดจะย้ายก็ได้นะครับ





    (แนวคิดสำหรับผู้เริ่มต้น)

    อันวัยรุ่นสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครเชื่อเกี่ยวกับทางธรรม ผมก็เช่นกัน ยุคนี้นั้นมีกิเลศมากมาย ใครละจะเข้าวัดทำบุญ แต่แล้วด้วยบุญกรรมนำทาง ผมได้ไปอ่านหนังสือเรื่องหนึ่งที่เป็นแนวจอมยุทธ จึงเกิดกิเลศหนาเตอะทื่อยากจะทำอย่างงั้นได้บ้าง จึงได้พยายาม ศึกษาโดยแนวคิดวิทยาศาสตร์ เพราะไม่เคยรู้เรื่องธรรมะอะไรเลย และยังไม่รู้ด้วยว่าการฝึกนั้นคืออานาปานสติ สิ่งแรกในการศึกษาในเชิงวิทย์ที่ควรมีคือ ตีความ ตั้งสมมุติฐาน และหาคำตอบ จึงได้ไปค้นหากับอาจารย์กูเกิ้ล ว่า ลมปราณ คืออะไร ค้นหามากมายจึงได้ค้น พบเกี่ยวกับ พลังจักรวาล บลาๆ พอค้นหาได้จึงอ่านแบบรวมๆและสรุปคำตอบออกมาและทดลองกระทำเพื่อให้รู้ว่าสมมุติฐานที่สรุปคำตอบออกมานั้นใช่หรือไม่



    (เริ่มฝึกอานาปานสติกรรมฐาน)

    หลังจากได้คำตอบว่า คำๆนี้คืออะไร จึงค้นหาวิธีปฏิบัติจากกูเกิ้ลตามเคยจึงพบว่า สามารถทำได้หลายทางโดยการใช้ปัญญาทางโลกวิเคราะห์ว่าทางไหนเป็นไปได้ แล้วเป็นไปได้โดยง่าย โดยยาก หรือทางสบาย ทางที่ง่ายที่สุดคือไปฝึกที่เส้าหลิน แต่มันต้องใช้เงินจึงตัดไป สำหรับคนกิเลศหนาและขี้เกียจการฝึกอยู่บ้านย่อมดีที่สุดจึงได้ทดลองทำอยู่บ้าน โดยหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆโดยเซฟวิธีการฝึกฝนหลายๆวิธีไว้และทดลองปฏิบัติ โดยทดลองโดยการเจริญอานาปานสติ(อานาปรานสติในเว็บไซต์ที่ได้อ่าน) โดยอ่านแล้วสรุปด้วยปัญญาทางโลกว่า ให้ตามลมหายใจก่อนในระยะแรก จากหลักวิทย์ ทำให้ได้คำตอบมาว่าต้องเข้าใจลมหายใจก่อน ก่อนที่จะรู้ลมหายใจ ดังนั้นจึงทดลองโดยการหายใจให้เต็มปอด หายใจแรงๆ หายใจเบาๆ. ฯลฯ. จนคิดไม่ออกถึงลมหายใจแบบอื่นๆ จึงได้ทดลองปฏิบัติต่อไป



    (เมื่อเจอทางตันก็ต้องใช้ปัญญา)

    ต่อมาเมื่อเจริญได้สักระยะ ย่อมเจอปัญหาเป็นปกติ คือการที่ไม่อาจหยุดความคิดได้ จึงได้นั่งมโนด้วยปัญญาทางโลก จากหลักวิทย์(อีกแล้ว)มีหลักการที่จะทำสิ่งใดๆให้สำเร็จโดยเร็วต้องใช้สมมุติฐานและความเป็นไปได้ เพราะหากไม่ตั้งสมมุติฐานไว้ก็เหมือนเรือที่เดินสมุทรอย่างไร้จุดหมาย คิดได้จึงนั่งนึกถึงตอนไหนที่เราไม่ได้คิดอะไรเลย จึงได้คำตอบว่าตอนตอนกำลังทิ้งตัวนอน พอได้คำตอบแรกจึงได้ทดลองโดยการทำตัวให้คล้ายกับสภาวะที่มโนไว้ จนสงบ พอสงบจึงตามลมหายใหม่ (แนวทางแต่ละคนไม่เหมือนกันควรปฏิบัติตามที่ตนสามารถทำได้ ดังนั้นจึงควรเริ่มต้นในแบบที่ตนถนัดมากกว่าจะไปงมโข่งเอา ด้วยวิธีการมโนว่าตอนไหนที่ตนดับความคิดได้หรือหากบางคนสามารถทำได้ด้วยวิธีอื่นก็ทำไป)



    (ได้ผลปฏิบัติก็นำไปวิเคราะห์ต่อ)

    หลังจากนั้นจึงทดลองใหม่ถึงจะสงบมากขึ้นก็จริงแต่ก็ยังมีความคิดแวบเข้ามาอยู่ดีจึงเบื่อแล้วคิดว่าช่างมันจะคิดอะไรก็คิดไปรู้แค่ลมหายใจก็พอแล้ว จึงได้ตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆโดยช่างหัวความคิดไปเลยถ้าจะแวบก็ต้องกลับมารู้ลมให้เร็ว โดยช่วงแรกรู้สึกได้แค่ลมหายใจที่ปอดแต่จากการอ่านเรื่องลมปราณมาทำให้รู้ว่าลมหายใจมันกระจายไปทั่วตัวจึงพยายามจะรู้สึกให้ทั่วถึงที่ๆลมหายใจผ่านจึงได้ พยายามรู้สึกถึงลมในที่อื่นๆให้มากขึ้น แต่แล้วผลจากการทำแบบนี้กลับทำให้จิตไม่ฟุ้งซ่านมากขึ้น และความคิดค่อยๆดับลงไป หลังจากนั้นพอเริ่มจะรู้สึกได้มากที่ขึ้นแต่ก็ยังคงค้างอยู่เช่นเดิมจึงนั่งมโนต่อไปว่ายังขาดอะไรอยู่ ผลจากการมโนจึงตั้งสมมุติฐานว่า ที่ไม่สามารถไปขั้นต่อๆไปได้เพราะว่า ไม่ถึงระดับที่เรียกว่าชิน การปฏิบัติสิ่งต่างๆทางโลก มี เริ่มฝึก(ภาวะเกร็งไม่กล้าทำอะไร) เริ่มเข้าใจ(เกร็งน้อยลงกล้าลองอะไรๆมากขึ้นในระบบ) ชิน ยกตัวอย่างการขับรถนั่นเอง จึงได้ทดลองทำไปเรื่อยๆตามสมมุติฐานว่าจะต้องชินให้ได้โดยไม่ต้องตั้งสมาธิมากเพื่อจะรู้สึกอะไรทั้งนั้นในแบบแรก



    (ไม่ว่าจะปฏิบัติสมาธิแบบไหนก็ต้องค้างเติ่งกันเป็นธรรมดา)

    พอทำไปเรื่อยๆจนชินได้ เรากลับรู้สึกสงบขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องตั้งสมาธิมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่ทั้งตัวอยู่ดี แต่ก็ช่างมันพยายามทำต่อไป จนกระทั่งทำไปเรื่อยๆจนเห็นนิมิตลูกกลมๆสีน้ำเงินโผล่ขึ้นมา ไอ้เราก็ตกใจตอนแรกก็งงไปพักนึง นึกว่าเจออะไรเข้าแล้ว หลังนั่งคิดถึงเหตุการณ์ตะกี้แล้วจึงคิดว่าช่างมันสิ ลูกกลมๆมันไม่เกี่ยวอะไรกับลมปราณในจีนเลยนี่หว่าจึงไม่สนใจและปฏิบัติต่อไป จึงพบกับความแน่นในหน้าอกที่ขณะสมาธิมากๆจะแน่นในจุดนี้จึงคิดว่านี้แหละคือลมปราณหลังจากสัมผัสได้จึงแต่ก็ยังไม่ค้นพบวิธีคุมลมหายใจเพื่อจะเดินลมปราณก็ไม่รู้จะทำยังไง จนนั่งคิดจนรู้ว่าการหายใจเข้าจะรู้สึกว่าดูด หายใจออกจะรู้สึกว่าดัน จึงทดลองสัมผัสลมและเคลื่อนมันโดยการดูดเข้าจุดที่สัมผัสได้ไป พอทำจนชินจึงทดลองกับจุดอื่นๆที่ได้รู้มาว่ามีตามหลัก จักระ ในร่างกายก็ดูดเข้าไปเรื่อยๆทำไปจนกระทั้งพบวาระความรู้สึกหนึ่งคือรู้สึกมีความสุข ปิติ หรือที่โลกสมมุติภาษาว่า สมาธิระดับฌาน พอทำได้แล้วก็ค้างเติ่งอยู่ในสมาธิแบบนั้นเพราะไม่รู้หนทางที่จะไปต่อแล้ว



    (เรียนรู้เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการศึกษาจะทำให้สำเร็จไว)

    หลังจากนั้นเวลาปฏิบัติทีไรก็ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น จึงคิดว่าเราต้องขาดอะไรไป เพราะว่าหากไม่ขาดอะไรก็ต้องทำได้แบบที่เขาทำกันได้ จึงได้ค้นหาสิ่งที่จะช่วยในการทำให้สำเร็จเพิ่มขึ้น หลังจากคิดอยู่ไปสักพักจึงได้คำตอบมาว่าการเรียนไม่จำเป็นต้องเรียนสิ่งเดิมๆแต่ต้องเรียนสิ่งที่นำไปต่อยอดการเรียนรู้ได้ เช่น เรียน บวก ลบ ต่อมา เป็นคูณกับหาร จึงได้ค้นหาจนเจอคำว่าฌาน จึงได้รู้ว่าที่ตนทำได้นั้นอยู่ที่ระดับไหน พอได้อ่านแล้วจึงลองอ่านอีกหลายๆเรื่องเพื่อเพิ่มพูนความสามารถจึงได้รู้ว่าลมปราณจริงๆแล้วก็คือพลังจิตนั่นเองเพราะหากจิตสัมผัสไม่ได้ก็ไม่อาจจะใช้ได้หลังจากที่ได้รู้จึงลองคิดถึงขั้นอื่นๆที่ตนยังไปไม่ถึงจึงตั้งสมมุติฐานขึ้นมาต่อไป ถึง การละ ปิติ และสุขเนี่ยมันทำกันยังไง แล้วความคิดดับเนี่ย มันคือยังไง หลักวิทย์คือมองคำตอบที่เป็นไปได้ในทุกกรณี จึงได้สมมุติฐานที่เป็นคำตอบมาหลายแบบ 1.การที่จิตรวมเป็นหนึ่งจนไม่สนใจสิ่งอื่นแม้แต่ความรู้สึกเช่นการตั้งใจทำอะไรเช่นเล่น dota จะไม่สนใจไม่รู้สึกถึงสภาวะภายนอกโดยหากตั้งสมาธิมากแม้แต่ความหิวก็ยังพ่ายแพ้ 2.ความรู้สึกพวกนี้มันอยู่ในจิตอยู่แล้วจึงต้องละมันเพื่อให้จิตไม่ไปจับมันอีก 3.เป็นโปรแกรมจิตที่เมื่อเข้าสู่สภาวะนี้แล้วเราจะต้องแปรธาตุจิตให้ไม่เกิดสภาวะนี้(ด้วยความที่เชื่อในทางวิทยาศาสตร์จึงคิดว่าทุกๆสิ่งต้องมีเหตุและผล) หลังจากได้คำตอบจากสมมุติฐานจึงทดลองทำเพื่อทดสอบว่าถูกหรือไม่



    (มองตัวเองให้ถ่องแท้แล้วแก้ให้ตรงที่เป็น)

    หลังจากทดลองจึงรู้ว่าแบบที่หนึ่งนั้นคือถูกต้อง(เพราะทำได้และสภาวะคล้ายๆกับที่อ่านเจอแม้จะไม่รู้ว่าถูกจริงไหมก็ตาม) เพราะแบบที่สองนั้นแม้จะไม่สนใจมัน มันก็ยังอยู่ๆดี แบบที่สามแม้สมมุติฐานจะถูกแต่ก็ทำไม่เป็นอยู่ดีหรือต่อให้ผิดก็ไม่รู้ ก็ได้แต่คิดแต่ไม่ไปหาคำตอบแล้วเพราะเสียเวลาแถมแบบที่หนึ่งก็พอทำให้ก้าวไปได้จึงไม่สนใจมันและตั้งความรู้สึกในสมาธิทั้งหมดในกายโดยไม่สนใจอะไรเลยไม่คิดอะไรด้วยตั้งแต่ความรู้สึกจนรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีความอัดแน่นที่อัดอยู่ทั่วทั้งตัว โดยในขณะที่ตั้งสมาธิไปนั้นไม่ได้สนใจอะเลยเอาแค่ความรู้สึกอย่างเดียวจนลมหายใจนั้นดับไป พอสัมผัสกับสภาวะนี้ได้ก็ปล่อยทันทีเพราะขาดอาการหายใจ จึงเกิดอาการงงเพราะที่ได้รู้มาคือเกิดลมหายใจที่เบาบางอย่างมาก แต่ที่ทำได้นี่คือไม่มีหายใจเลยสรุปมันใช่หรือเปล่าวะ? คิดได้ดังนี้จึงลองใหม่ โดยการพยายามมีสติรู้ตัวด้วยไม่ใช่แค่นั่งสมาธิเฉยๆ แต่ก็ยังทำไม่ได้อยู่ดีจึงคิดทบทวนว่าตนขาดอะไรพอนึกถึงการเดินลมปราณก็พบว่าสติไม่ทันเพราะเมื่อไม่ได้ตั้งความรู้สึกและสมาธิอย่างมากก็จะหลุดทันที ความรู้สึกของฌานก็เช่นกันมัวแต่ไปสนใจฌาน จึงรู้ว่าสติยังไม่ดีพอ จึงต้องไปหาฝึกสติต่อ โดยการหาสิ่งที่ฝึกสติจึงได้พบว่าการเดินจงกรมสามารถช่วยได้ ด้วยความบ้าจึงเพิ่มแบบการฝึกที่แปลกกว่าชาวบ้าน เพราะคิดว่า การเดินลมปราณที่ตนเองทำได้นั้นยังอ่อนอยู่เพราะถึงเวลาใช้จริงก็อาจจะไม่ทันเมื่อมีอีเว้นท์เกิดขึ้น ด้วยหลักความคิดนี้จึงได้รู้หากจะใช้มันได้จะเกิดตอนจิตสงบจึงฝึกให้สงบไม่เคลื่อนตลอดเวลาโดยการเดินลมปราณตลอดจนกระทั่งฟังเพลงบ้าง หรือฝึกเข้าฌานในขณะเดินหรือทำสิ่งอื่นๆบ้าง โดยต้องมีสติและสมาธิตลอดเวลา ทำมานานจนชินสามารถเข้าออกสภาวะนี้ได้ตลอดเวลาแล้วพอเสร็จกิจก็หมดนิมิตหมาย และก็ไม่คิดจะฝึกต่อเพราะต้องการแค่ฤทธิ์


    (กว่าจะฉลาดก็โง่มานานทั้งๆที่ไม่ควรโง่)

    หลังจากที่งมโข่งตันมาหลายแบบฝึกจากจินตนาการ เพราะเชื่อในหนังสือ the top secret โดยการนั่งจินตนาการถึงสภาวะที่ตนอยากสำเร็จว่าเป็นยังไงและปรับสภาวะเราให้คล้ายกับที่มโนแน่นอน มันก็ไม่เหมือนซะทีเดียว ไม่ว่าจะปรับจนลมปราณเบาหรือหนักก็ตาม เพราะไม่ได้ต้องการจะหลุดพ้นจึงเสียเวลามโนเพื่อหวังเอาฤทธิ์ที่มากขึ้น ทั้งดูดจากภายนอก บลาๆ เวลาผ่านไปโง่มาตั้งนานทั้งๆที่ก็ไม่น่าจะโง่ได้พอจะถึงคราวฉลาดก็มาซะเฉยๆก็คิดได้ว่า เออเนอะก็จะมานั่งเปิดโรงงานมาม่าทำไมในเมื่อมีคนสอนวิธีทำมาม่าอยู่แล้ว(มีวิธีสอนต่างๆในเน็ตอยู่แล้วจะไปค้นหาเอาเองทำเผือกอะไร) แต่แล้วพอเสิร์ชไปอ่านเรื่อยๆก็ยังงงอยู่ดีทั้งลมปราณเก้าอิมเก้าเอี๊ยงคือการดูดกระแสเย็นจากฟ้าเข้ามา อิหยังแล้วกระแสเย็นนี่มันดูดยังไงวะ ไม่รู้ว่าที่ดูดเข้ามาใช่ไหมอีกจึงฝึกมั่วๆไป แต่ก็ไม่ยอมเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หลังจากฉลาดแล้วจึงเอาเวลาไปอ่านธรรมที่มีเอี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ


    (โดนด่าทำเอาบรรลุ)

    อ่านธรรมมากก็รู้มากยิ่งรู้มากก็ยิ่งเครียดมากมองไปไหนก็เจอแต่คนเกรียน ทำแต่เรื่องโง่ๆจิตตอนนั้นสภาพเบื่อเซ็งอย่างมาก เจอใครก็ไม่ชอบเพราะเห็นแต่ทำแต่สิ่งไม่ดี แต่แล้วสวรรค์โปรดหลังจากไปสังสรรค์กับเพื่อนมา เพื่อนคนนี้ปฏิบัติได้ก่อนมาสักระยะ เพราะเจอทุกข์ทางใจอันหนักหน่วงไม่ได้มาเพราะกิเลศเหมือนผม เพราะรู้ว่าคนๆนี้ก็ปฏิบัติจึงสนทนาธรรมกัน แม้ว่าจะฝึกพอได้ฤทธิ์นิดหน่อยแม้จะโชว์ยังไม่ได้ก็เกิดความมั่นใจอันมากล้นเพราะมโนไปว่ากูแม่งเมพวะ เจอแต่เกรียนไปวันๆไม่แคร์พวกนั้นหรอก คุยไปคุยมาเพื่อนดันพบว่าไอ้เรานี่โคตรเกรียนเลยเจอประโยคจับใจไปว่า ไอ้ที่เราไปมองคนอื่นอย่างงั้นอย่างนี้นั่นแหละเรากำลังเห็นตัวเอง มึงก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกที่มึงไม่ชอบใจหรอก นั่นเจ็บจี้ดเลยเชียว หน้าหงิกหงอกลับบ้านไปคิด มโนไปจนพบว่า เออก็จริงวะ เหมือนบางคนแฟนไปทำงานดึกๆไม่เป็นไรไม่สนใจ แต่บางคนแฟนทำงานดึกๆหาว่าไปมีกิ๊ก มโนไปเองทั้งนั้น จึงได้พบว่าตัวตูเองเนี่ยแหละเป็นบ่อเกิดของปัญหา จึงเข้าใจและปล่อยวางละสักกายทิษฐิได้เฉยเลย จึงได้เริ่มมาปฏิบัติอย่างจริงจังเฉกเช่นทุกวันนี้


    ตัดจบหนึ่งหน้ากระดาษ นิทานจบแล้วขอให้ผู้เริ่มต้นใหม่ๆลองใช้ปัญญาวิเคราะห์ดูว่าขาดอะไรไปควรเริ่มตรงไหนนะครับจะได้เร็วกว่าคลำทางเอาที่ไม่รู้เลยว่าจะเดินไปไหนนั่นเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2018
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    อืมม์..เกรียนกลับใจ
     
  3. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    55555 ถูกต้องเลยครับท่าน
     
  4. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เล่าได้ดีมากครับ

    นักปฏิบัติ ต้องพึ่งตัวเองให้มาก

    ต้องลองด้วยตัว

    แก้ไขปัญหาด้วยการโยโส....

    ก็พบทางของตน
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ทุกคนจิตเดิมไมันบริสุทธิเหมือนกันนั้นหละไม่ว่าจะฝึกอะไร สายไหน
    แนวไหน แบบไหน ลูกใคร ญาติใครศิษย์ใคร ปลายทาง ก็เพื่อให้จิตมันกลับ
    คืนสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของมันนั่นหละ

    ระหว่างทางเป็นปกติทุกดวงจิต
    ที่จิตจะต้องเป็นไปตาม “จริต
    อนุสัย วิบาก” อย่างใดอย่างหนึ่ง
    เพราะจิตเราไม่รู้เท่าทัน
    หรือหลงมาตั้งแต่เกิดแล้ว
    และก็เป็นไปตามกิเลส ไปตกเป็นทาสมัน
    ยิ่งไปตาม จริต อนุสัย วิบาก ซ้ำไปอีก
    ก็ยิ่งไปกันใหญ่ นอกจากเราจะปล่อยวาง
    จนจิตเราคลายตัว เราถึงจะเริ่มค่อยๆรู้
    และเริ่มไม่ก่อเหตุ ให้ไปตาม อนุสัย จริต วิบากเหล่านั้น

    ซึ่งมีแต่ปัญญาระดับพระพุทธเจ้า
    ที่ค้นพบ แล้วมาจำแนก แยกแยะ
    ตลอดจนชี้ทางเดิน เพื่อการหลุดพ้น
    ความไม่รู้ต่างๆเหล่านั้น ไว้เป็นแนวทาง
    ให้เราปฎิบัติทิ้งไว้บนโลกใบนี้

    แต่ด้วยความไม่รู้ตั้งแต่เกิด
    ด้วยการตกเป็นทาสกิเลสมันมานาน
    ด้วยจริต อนุสัย วิบาก ที่แตกต่างกัน
    ที่คลี่คลายไม่เท่ากัน

    มันเลยส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพทางจิต
    ส่งผลต่อการปฎิบัติที่ดูแตกต่างกันได้นั่นเอง
    ปล เล่าให้ฟังเล่นๆ
     
  6. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ใช่ครับพี่กล่องไม้ขีดไฟ แต่ปัจจุบันก็ตันอยู่นะครับเลยอาศัยถามผู้รู้และไปปฎิบัติแทนแล้วครับ 555
     
  7. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ขอบคุณครับพี่นพ จะนำไปใช้เพิ่มจากสิ่งที่ได้รู้มาครับ กำลังพยายามไต่อยู่ครับ 555
     
  8. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ตอนแรกเห็นท่านพิมพ์มาซะเยอะ เลยไม่กล้าบอกเลย

    จริงๆ ถ้าได้มีครูบาอาจารย์ แล้วไปสอบอารมณ์เรื่อยๆ จะก้าวหน้าไวมาก

    ตัวเราทบทวนตัวเอง เห็นไม่ค่อยรอบ เดี๋ยวปูดตรงโน้น เดี๋ยวปูดตรงนี้ ตามกันไม่ทัน
     
  9. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    มีอะไรแนะนำบอกได้เลยครับท่าน อะไรที่เป็นปัญญาผมเอาหมดครับ 55
     
  10. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ครับ
    ผมก็ดูลมหายใจ เป็นเครื่องอยู่ อยู่กับลมตัวเอง
    และเล่นลมปรานให้ประสานลมในกาย

    จนจิตตั้งมั่น เป็นอารมณ์เดียว ไม่ดีใจเสียใจกับอะไร

    จากนั้นก็มาเล่นกับความคิดเจ้าของ
    บังคับให้มันคิด เพื่อนำทางไปสู่ปัญญา

    มันมีหลักอยู่ว่า
    สมาธิอบรมปัญญา
    ปัญญาอบรมจิต

    จิตที่โดนอบรมด้วยปัญญาโดยมีสมาธิหนุน
    จะสามารถถอดถอนกิเลสอาสวะต่างๆได้
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไม่ได้แซวนะ ไอ้ตรง "9ล9" นี้ ผมก็เคยหาอยู่ เป็นวักเป็นเวรเหมือนกัน เจ้าตัว "ฯ" มันอยู่บนหัวของตัว "น" นั่นเองนะ

    +++ กล้าพิสูจน์ กล้าตรวจสอบ ตรงนี้แหละที่เรียกว่า "อาจหาญ" ตัวจริง ตรงนี้เท่านั้นจึงเรียกว่า "นักปฏิบัติ" ยินดีด้วยนะ
    +++ ใช่เลย
    +++ ตามนี้เลย ถูกแล้ว
    +++ ใช่เลย...
     
  12. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ขอบคุณครับพี่ไม้ขีดไฟ จะนำไปปฏิบัติครับผม
     
  13. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ขอบคุณครับพี่ธรรมชาติ เดี๋ยวผม edit แก้ก่อนครับ 555
     
  14. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ตรงที่เน้นตัวเข้มๆ นี้แหละครับ ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ เริ่มจากเรื่องเล็กๆ และขยายขอบเขตการเห็นการเข้าใจออกไปในทุกๆเรื่องครับ การตีความ คำตอบ สิ่งที่เราตอบให้กับตัวเอง จะบ่งบอกถึงความยังมีอัตตาแค่ไหน มีกิเลสแค่ไหน มีอุปาทานแค่ไหนของเราได้เป็นอย่างดีครับ ค่อยๆว่ากันไปเนอะ
     
  15. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ขอบคุณครับจะนำไปวิเคราห์ตัวเองครับท่าน
     
  16. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    เพราะ อยาก ครับจึงพยามทำ และเพราะ ไม่อยาก ครับจึงไม่ต้องพยามอีก
     
  17. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ผมไม่เข้าใจครับท่านงูปลาๆ ธรรมผมยังไม่แน่นพอช่วยแถลงไขอีกนิดได้ไหมครับ จะได้นำไปปฏิบัติเป็นธรรมทานครับ
     
  18. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
    สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
    [​IMG]
    ๒. สนิทานสูตร
    [๓๕๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
    อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
    พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    กามวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้นมิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น
    พยาบาทวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น
    วิหิงสาวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น ฯ


    [๓๕๖]
    ก็กามวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น
    พยาบาทวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น
    วิหิงสาวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น อย่างไร

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ความหมายรู้ในกามบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยกามธาตุ
    ความดำริในกามบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความหมายรู้ในกาม
    ความพอใจในกามบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความดำริในกาม
    ความเร่าร้อนเพราะกามบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความพอใจในกาม
    การแสวงหากามบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะกาม
    ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เมื่อแสวงหากาม ย่อมปฏิบัติผิดโดยฐานะ ๓ คือ กาย วาจา ใจ


    ความหมายรู้ในพยาบาทบังเกิดขึ้นเพราะพยาปาทธาตุ
    ความดำริในพยาบาทบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความหมายรู้ในพยาบาท
    ความพอใจในพยาบาทบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความดำริในพยาบาท
    ความเร่าร้อนเพราะพยาบาทบังเกิดขึ้น เพราะอาศัยความพอใจในพยาบาท
    การแสวงหาพยาบาทบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะพยาบาท
    ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เมื่อแสวงหาพยาบาทย่อมปฏิบัติผิดโดยฐานะ ๓ คือ กาย วาจา ใจ


    ความหมายรู้ในวิหิงสาบังเกิดขึ้น เพราะอาศัยวิหิงสาธาตุ
    ความดำริในวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความหมายรู้ในวิหิงสา
    ความพอใจในวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความดำริในวิหิงสา
    ความเร่าร้อนเพราะวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความพอใจในวิหิงสา
    การแสวงหาวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะวิหิงสา
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เมื่อแสวงหาวิหิงสา ย่อมปฏิบัติผิดโดยฐานะ ๓ คือกาย วาจา ใจ ฯ


    [๓๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    บุรุษวางคบหญ้าที่ไฟติดแล้วในป่าหญ้าแห้งถ้าหากเขาไม่รีบดับด้วยมือและเท้าไซร้
    ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์มีชีวิตทั้งหลายบรรดาที่อาศัยหญ้าและไม้อยู่ พึงถึงความพินาศฉิบหาย
    แม้ฉันใด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    สมณะหรือพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
    ไม่รีบละ ไม่รีบบรรเทา ไม่รีบทำให้สิ้นสุด ไม่รีบทำให้ไม่มีซึ่งอกุศลสัญญา
    ที่ก่อกวนอันบังเกิดขึ้นแล้ว สมณะหรือพราหมณ์นั้น ย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความอึดอัด คับแค้น เร่าร้อน ในปัจจุบัน เบื้องหน้าแต่มรณะ เพราะกายแตก พึงหวังทุคติได้ ฯ


    [๓๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เนกขัมมวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มี
    เหตุบังเกิดขึ้น อัพยาปาทวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น อวิหิงสา
    วิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น ฯ


    [๓๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็เนกขัมมวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น
    อัพยาปาทวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น
    อวิหิงสาวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น อย่างไร


    ภิกษุทั้งหลาย
    ความหมายรู้ในเนกขัมมะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยเนกขัมมธาตุ
    ความดำริในเนกขัมมะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความหมายรู้ในเนกขัมมะ
    ความพอใจในเนกขัมมะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความดำริในเนกขัมมะ
    ความเร่าร้อนเพราะเนกขัมมะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความพอใจในเนกขัมมะ
    การแสวงหาในเนกขัมมะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะเนกขัมมะ
    อริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อแสวงหาเนกขัมมะ ย่อมปฏิบัติชอบโดยฐานะ ๓ คือ กาย วาจา ใจ


    ความหมายรู้ในอัพยาบาทบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยอัพยาปาทธาตุ
    ความดำริในอัพยาบาทบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความหมายรู้ในอัพยาบาท
    ความพอใจในอัพยาบาทบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความดำริในอัพยาบาท
    ความเร่าร้อนเพราะอัพยาบาทบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความพอใจในอัพยาบาท
    การแสวงหาในอัพยาบาทบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะอัพยาบาท
    อริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อแสวงหาอัพยาบาท ย่อมปฏิบัติชอบโดยฐานะ ๓คือ กาย วาจา ใจ


    ความหมายรู้ในอวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยอวิหิงสาธาตุ
    ความดำริในอวิหิงสาเกิดขึ้นเพราะอาศัยความหมายรู้ในอวิหิงสา
    ความพอใจในอวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความดำริในอวิหิงสา
    ความเร่าร้อนเพราะอวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความพอใจในอวิหิงสา
    การแสวงหาในอวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะอวิหิงสา
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อแสวงหาอวิหิงสา ย่อมปฏิบัติชอบโดยฐานะ ๓ คือ กาย วาจา ใจ ฯ


    [๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    บุรุษพึงวางคบหญ้าที่ไฟติดแล้วในป่าหญ้าแห้ง เขาจึงรีบดับคบนั้นเสียด้วยมือและเท้า ก็เมื่อเป็นเช่นนี้สัตว์ มีชีวิตทั้งหลายบรรดาที่อาศัยหญ้าและไม้อยู่ ไม่พึงถึงความพินาศฉิบหาย แม้ฉันใด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    สมณะหรือพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน รีบละ รีบ
    บรรเทา รีบทำให้หมด รีบทำให้ไม่มีซึ่งอกุศลสัญญาที่ก่อกวนอันบังเกิดขึ้นแล้ว
    เขาย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความอึดอัด ความคับแค้น ความเร่าร้อน ในปัจจุบัน
    เบื้องหน้าแต่มรณะ เพราะกายแตก พึงหวังสุคติได้ ฯ

    จบสูตรที่ ๒
     
  19. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ขออนุโมทนาด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...