เรื่องเด่น นิพพาน มีอยู่ ๓ อย่าง

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย huayhik, 4 ตุลาคม 2010.

  1. huayhik

    huayhik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    181
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,131
    นิพพาน ๓ อย่าง


    นิพพานนั้นองค์สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนได้ว่า มีอยู่ ๓ อย่าง คือ


    ๑. นิพพานชั่วขณะเรียกว่า “ตะทังคะนิพพาน” หมายความว่าจิตเข้าสู่ความพ้นจากกิเลส คือความหลุดพ้นชั่วขณะ ในขณะที่จิตเข้าสู่ความหลุดพันอย่างนั้นก็เป็นเหตุให้เดความสุขอย่างสุดยอดทีเดยวแต่เมื่อเหตุยังมี ทิษฐิคือความคิดความเห็นยังอยู่ ย่อมนำจิตเข้ามาสู่ในโลกีย์วิสัยอีกได้ นิพพานอย่างนี้ท่านเปรียบเสมือนหนึ่งลิงที่อยู่นิ่งได้ชั่วขณะเดียว แต่ก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่ได้เสียเลยนิพพานชนิดนี่ท่านเรียกว่า “ตะทังคะนิพพาน” คือนิพพานชั่วขณะ​

    ส่วนอีกสองประการนั้น เป็น นิพพานอยู่ชั่วกาลนาน เรียกว่า “สะอุปาทิเสสะนิพพาน” เป็นการที่นำดวงจิตเข้าสู่นิพพานอย่างถาวร ไม่กลับออกมาอีกแล้ว เพราะว่าตัดเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือคงอยู่แต่ร่างกายเท่านั้น ยังกิน ยังเดิน ยังพูด ยังนอนอยู่
    <O:p</O:p
    ส่วนอีกอย่างหนึ่งนั้นเรียกว่า “อะนุปาทิเสสะนิพพาน” นิพพานชนิดนี้ไปหมดทีเดียว ร่างการก็ไปแล้ว ดวงจิตก็หลุดพันจากกิเลสอาสวะทั้งปวงเข้าสู่นิพพาน เรียกกันว่าดับสนิททีเดียว ไม่มีเชื้อให้ลุกติดอีกได้ เหมือนเมล็ดพืชที่ปราศจากยางาเพราะถูกคั่วเสียแล้ว แต่ไม่ใช่หมายความว่าเมล็ดพืชนั้นจะสูญหายไปจากโลก
    <O:p</O:p
    ถาม ขอถามปัญหาเกี่ยวกับคำว่า “สะอุปาทิเสสะนิพพาน” กับ “อะนุปาทิเสสะนิพพาน” นั้นหมายถึงว่าดับกิเลสมีเบ็ญจขันธ์เหลือหรือดับเฉพาะบางส่วน มีบางท่านได้ยืนยันว่า “สะอุปาทิเสสะนิพพาน”คือว่าดับกิเลสที่มีเบ็ญจขันธ์อยู่
    <O:p</O:p
    ตอบ “สะอุปาทิเสสะนิพพาน” คือการดับกิเลสที่มีเบ็ญจขันธ์อยู่ เพราะเหตุว่า อุปาทานยังครองสังขารนั้น
    <O:p</O:p
    ถาม หมายถงพระโสดา สกิทาคา อนาคาใช่ไหม สวน”อะนุปาทิเสสะนิพพาน” นั้นหมายถึงพระอรหันต์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวง ปัจเจกพุทธทั้งหลายเช่นนี่ ขอทราบความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ครับ
    <O:p</O:p
    ตอบ ใครเป็นคนอุตตริที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจเช่นนี้เออ เรื่องนี้จะต้องพูดกันยืดยาว เอาละ ให้ตั้งใจฟังกันทุกคน
    <O:p</O:p
    เรื่องนี้ครั้งหนึ่งเคยได้พูดกันมาแล้ว่า นิพพานในพุทธศาสนา หรือขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีอยู่ ๓ ประการ คือ เรียกว่า นิพพานสามขั้น
    <O:p</O:p
    ขั้นที่ ๑ เรียกว่านิพพานชั่วคราว หรือ “ตะทังคะนิพพาน” คือเมื่อเข้าสู่นิพพานแล้ว ทิษฐิก็นำจิตนั้นออกจากแดนนิพพาน การเข้านิพพานในขั้นนี้ เมื่อผู้ที่ทำจิตถึงซึ่งการที่จะเข้าสู่นิพพานแล้วย่อมเข้าได้ทุกคน แต่ไม่เป็นการถาวร “สะอุปาทิเสสะนิพพาน” นั้น หมายถึงนิพพานที่ยังมีร่างกายอยู่ เพราะเหตุว่าสังขารยังมีอุปาทานครอง แต่เป็นนิพพานที่ไม่กลับออกมาอีกแล้ว เป็นอรหันต์ตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิตได้แก่พระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่นั้น ตั้งแต่สมัยพุทธันดรมาจนกระทั่งสมัยนี้
    <O:p</O:p
    ส่วน “อะนุปาทิเสสะนิพพาน” นั้น หมายความว่าร่าง หรือดวงจิตที่อยู่ในร่างที่เข้าสู่นิพพานแล้วนั้น ได้แตกดับขันธ์ไป ทำให้การนำจิตเข้าสู่นิพพานเป็นการถาวรไม่กลับออกมาอีก ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย โศกปริเทวทุกข์ทั้งปวง
    <O:p</O:p
    ไม่ใช่แบ่งชั้นวรรณะว่า ถ้าเป็นสะอุปาทิเสสะนิพพานแล้ว จะได้ตั้งแต่ชั้นโสดาบันไปจนถึงอนาคา ส่วนอะนุปาทิเสสะนิพพาน คือ นิพพานของสังขารที่ปราศจากอุปาทานครองนั้น จะเป็นนิพพานเฉพาะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทังหลาย ๒๘ พระองค์ก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาวยดุจจะเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรก็ดี ประดุจพระอรหันต์ทั้งปวงที่เข้าสู่นิพพานแล้วเท่านั้นหามิใช่เป็นการแบ่งชั้นวรรณะว่านิพพานอย่างนั้นเฉพาะคนชั้นนั้น นิพพานอย่างนี้เฉพาะคนชั้นนี้ ฉันใดก็ตามเมื่อทำจิตให้เข้าถึงซึ่งแดนพระนิพพาน คือแดนแห่งความสงบแล้วย่อมจะเป็นได้ทั้งสิ้นเสมอเหือนกันหมด หากแต่ว่ายังมีสังขารที่มีอุปาทานครองอยู่ หรือเป็นสังขารที่ปราศจขากอุปาทานครองแล้วเท่านั้น
    <O:p</O:p
    ถาม ภาวะนิพพานนี้จะประสพได้เมื่อยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วจึงจะได้ประสพ
    <O:p</O:p
    ตอบ ไม่น่าจะเป็นปัญหาเลย เมื่อเข้าใจถึงนิพพาน ๓ ประการที่พูดให้ฟังแล้ว ย่อมจะพิจารณาเห็นว่าภาวะนิพพานนั้น จะประสพเมื่อมีชีวิตอยู่ หรือเมื่อหาชีวิตไม่แล้วได้ทั้งสิ้น เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ได้”สะอุปาทิเสสะนิพพาน” เมื่อดับชีวิตไปแล้วก้พึ่งอะนุปาทิเสสะนิพพานและ ตะทังคะนิพพานนั้น ย่อมได้แก่บุคคลทั่วที่มีชีวิตอยู่ หรือผู้ที่ไม่มีชีวิตแล้ว แต่เมื่อทำจิตให้เข้าถึงซึ่งแดนนิพพานนั้นชั่วขณะและเมื่ออยู่ในแดนนิพพานชั่วขณะแล้ว ทิษฐิอันประกอบไปด้วย กามสุขัลลิกานุโยคก็ดี ตัณหา อุปาทานทั้งปวงก็ดี เป็นผู้นำจิตนั้นออกจากแดนนิพพาน
    <O:p</O:p
    ถาม “ภาวะนิพพาน” กับ “จิตที่บรรลุนิพพานนั้น” มีความแตกต่างหรือเกี่ยวข้องกันอย่างไร
    <O:p</O:p
    ตอบ ต่างกัน จะพูดให้ฟัง “ภาวะนิพพาน” หมายถึง ความเป็นอยู่แห่งแดนนิพพาน หรือเราจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ในเมื่อเข้าไปสู่ในที่นั้น เมื่อนำจิตเข้าไปสู่ภาวะนิพพานได้แล้ว จิตนั้นก็เป็นจิตที่เข้าสู่นิพพาน ภาวะนิพพานก็คือภพแห่งนิพพานนั้นเอง “ส่วนจิตนิพพานนั้น”เป็นจิตที่อยู่ในรูป หรือจิตที่ปราศจากรูป หากบำเพ็ญจนกระทั่งจิตนั้นเข้าสู่ภาวะนิพพาน หรือภพแห่งนิพพาน หรือวความเป็นอยู่แห่งนิพพานแล้ว ก็ได้ความเป็นนิพพานโดยสมบูรณ์ ดังจะยกตัวอย่างให้เข้าใจ
    <O:p</O:p
    ภาวะนิพพาน หรือ ภพนิพพานนั้นอยู่ที่ใด ไม่มีผู้ใดที่จะชี้แจงแถลงไข หรือว่าจะวาดรูปให้เห็นได้ แต่มีข้อที่จะพึงอุปมาได้ว่า ประดุจนั่งอยู่ในห้องนี้เป็นแดนแห่งสามัญธรรมดาทั่วไป ครั้นออกจากประตูท้องนี้ไปสู่ห้องอื่น ก็เข้าสู่แดนนิพพานนั้น เพียงชั่วมีอะไรอย่างใดอย่งหนึ่งมากั้นกลางไว้ อาจจะมองเห็นภาวะนิพพานได้ แต่ไม่สามารถจะนำจิตเข้าส่ภาวะนิพพานนัน้ แต่เมื่อใดสามารถนำจิตเข้าสู่ภาวะนิพพานนั้นได้แล้ว จะรู้แจ้งแก่ตนเอง เป็นปัจจัตตง ผู้อื่นจะรู้ได้กับตัวเรายากที่สุด และตัวเราก็ไม่อาจจะชี้แจงแถลงให้ผู้ใดทราบ เรื่องนี้จะต้องไปพิจาณาด้วยจิตของตัวเองแล้วจะเข้าใจอย่างซาบซึ่ง ไม่สามารถจะอธิบายให้เห็นแจ่มชัดได้หรือนัยหนึ่งเปรียบประดุจมีฉากใสๆ ที่ทำด้วยเส้นใยแมลงมุมซึ่งสามารถจะมองทะลุฉากนั้นไปได้ แต่ว่าไม่สามารถจะเข้าไปยังหลังฉากนั้นได้ ถ้าหากเมื่อใดผ่านฉากนั้นไปได้แล้วจะรู้สึกว่าจิตของตัวเราในภาวะนิพพานนั้นเป็นจิตอีกรูปหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับจิตเดิมอย่างยิ่งทีเดียว
    <O:p</O:p
    ถาม เมื่อจิตบรรลุนิพพานแล้วยามที่มีชีวิตอยู่ สุขอย่างไรก็พอจะอนุมานได้ ทีนี้เมื่อเป็น อะนุปาทิเสสะนิพพาน คือ เบ็ญจขันธ์ทำลายลงไปแล้ว จิตนั้นยังมีอยู่หรือเปล่าว จิตที่เหนี่ยวนิพพานเป็นอารมณ์นั้นมีอยู่หรือเปล่า
    <O:p</O:p
    ตอบ มีอยู่ตลอดไปไม่มีวันเสื่อมคลาย เพราะจิตหรือวิญญาณนั้นเป็น “อมตะ”
    <O:p</O:p
    ถาม และเมื่อจิตอยู่อย่างนั้น ทำไมจิตจึงไม่ทำหน้าที่เกิดอีก
    <O:p</O:p
    ตอบ เพราะว่าจิตหลุดพันจากกิเลสทั้งมวล ไม่มีสิ่งใดมาข้องเกี่ยวอีกต่อไป สิ้นกังวลแล้ว สิ้นวามอยากสิ้นตัณหาอุปทานแล้วเห็นแจ้งแล้วในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็นจึงไม่ต้องการจะกลับมาด้วยความเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง
    <O:p</O:p
    ถาม แล้วจิตที่บรรลุนิพพนานหลังจากจากดับเบ็ญจขันธ์แล้วนั้นมันอยู่อย่างไร เพราะไม่มีร่างที่จะอาศัยอยู่
    <O:p</O:p
    ตอบ ไม่จำเป็นจะต้องมีร่าง ถ้ามีร่างอีกเมื่อใด ก็หมายความว่ากลับมาเกิดใหม่ ซึ่งผิดไปจากหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงกล่าวไว้ว่า “นิพพานนังปรมัง สุญญัง” หมายความว่าในนิพพานนั้น สูญการเกิด สูญกิเลส ยังอยู่แต่วิญญาณที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส เป็นวิญญาณบริสุทธิ์แท้ หรือจิตเดิมแท้ซึ้งไม่มีสิ่งใดมาเคลือบคลุม เป็นจิตที่สว่างแล้ว ไม่มีกิเลสมาหุ้มห่อ ไม่มีอวิชชา คือความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น เป็นจิตที่ไม่ต้องมีชาติ ชรา มรณะ ทุกข์โศกปริเทวอุปายาสใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อจิตซึ่งปราศจากกิเลสอาสวะทั้งมวลเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใสประดุจดวงไฟที่รุ่งโรจน์ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาหาความดับของความรุ่งโรจน์นั้นอีก
    <O:p</O:p
    ถาม ถ้าเช่นนั้นหากมีความต้องการที่จะติดต่อกับจิตของพระพุทธเจ้า จะติดต่อได้ไหม
    <O:p</O:p
    ตอบ ติดต่อได้แน่นอนที่สุด ก็การที่เข้าไปในพระอุโบสถแล้วทำสังฆกรรมทั้งหลาย มีการทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ มีการสวดเจริญพระพุทธมนต์ มีการภาวนาทั้งหลายเหล่านี้ ทำอะไร
    <O:p</O:p
    ถาม น้อมจิตนึกถึงพระพุทธเจ้าครับ
    <O:p</O:p
    ตอบ นั้นแหละเป็นคำตอบที่ตรงอยู่แล้ว สมเด็จพระบรมศาสดา และบรรดาพระอริยะทั้งหลายก็ย่อมทราบการกระทำนี้ แม้แต่ว่าในขณะนั้นจะได้กระทำไปโดยไม่มีความตั้งใจหรือตั้งใจท่านย่อมทราบหมดสิ้น
    <O:p</O:p
    ถาม ก็เมื่อจิตอรหันต์หลังจากนิพพานแล้วอย่างพระพุทธเจ้าเป็นจิตซึ่งไม่มีรูป ไม่มีอายตนะเป็นเครื่องสืบต่อไป จิตนั้นจะมีอานุภาพบันดาลให้ผู้นั้นติดต่อกับพระองค์ได้อย่างไร
    <O:p</O:p
    ตอบ อาจจะลืมคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบางตอนแล้วก้ได้กระมังจึงได้ถามอย่างนี้ พระองค์ได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้ว่า อันจิตของผู้ใดเป็นจิตที่สงบแล้ว จิตนั้นย่อมสามารถทำสมาธิให้เกิดขึ้นได้ จิตของผู้ใดมีสมาธิแล้ว จิตของผู้นั้นย่อมมีพลัง จิตของผู้ใดมีพลังแล้วย่อมสามารถกระทำการใด ๆ ที่ผิดแผกแตกต่างออกไปจากการกระทำของคนสามัญธรรมดาทั้งหลายได้

    <O:p</O:p
    _________________________________________________________________​


    ขอโทษทีนะครับผมพิมพ์ไม่เก่งเลยต้องให้ผู้อื่นพิมพ์ครับ เลยนานไปหน่อย

    จากหนังสือ : คำสั่งสอนอบรมณ์ของสมเด็จท่านพระพุฒาจารย์ (โต พหรมรังสี)
     
  2. คาคะ

    คาคะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +1,533
    อนุโมธนาบุญคะ ขอห้ข้าพเจ้าถึงซึ่งพระนิพานด้วยไม่ปารถนาสิ่งไดแล้ว เบื่อหน่ายทุกอย่างอยากถึงซึ่งพระนิพานโดยเร็ว
     
  3. สี่จุด

    สี่จุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    705
    ค่าพลัง:
    +3,658
    ขอมีนิพพานเป็นที่ตั้ง หลังดับจิต ไม่กลับมาในวัฏฏสงสารนี้......
    สาธุ.......
     
  4. kanyaratsrimane

    kanyaratsrimane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +570
    อนุโมทนาสาธุ นิพพานนังปรมัง สุญญัง สาธุ สาธุ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. พอชูเดช

    พอชูเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,285
    ค่าพลัง:
    +4,339
    สาธุครับ

    -มหาโมทนากับกุศลจิตทุกท่าน ขอให้สำเร็จตามที่ปรารถนาครับ

    สาธุ
     
  6. =พอ=

    =พอ= Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +27
    ทำให้เข้าใจสภาวะนิพพานได้มากขึ้นเลยทีเดียว
    อนุโมทนาสาธุ
     
  7. pagorn

    pagorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +2,848

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ฮุโต๋

    ฮุโต๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +44,568
    บุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับคุณสี่จุดนี่ช่างน่าสงสารที่สุด เพราะเมื่อละร่างสังขารแล้วดวงจิตคุณลงนรกขุมลึกที่สุด เพราะคุณดูถูกดวงจิตที่ได้ตั้งจิตกลับพระนิพพาน และเป็นการบังอาจปรามาส พ่อใหญ่แห่งพระนิพพานโดยตรง และพร้อมด้วยพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์เจ้าทุกพระองค์ การปรามาสพระองค์โดยตรงถือเป็น อนันตริยกรรมที่หนักมาก ประตูสวรรค์ นิพพาน ปิดหมด
     
  9. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ขอเสริม เรื่องนิพพาน มี3ชั้นหรือ 3ขั้น ครับ

    ในพุทธกาล กล่าวถึงเรื่องการเป็นสำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้น หมายถึงจิตรู้แจ้งและตัดละอาสวะกิเลสได้โดยสิ้นเชิง สภาวะนี้เกิดขึ้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่หรือจะเกิดขึ้นในสภาวะที่สังขารดับ หรือตอนตายหรือเสียชีวิต ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ และด้วยที่เหตุนี้พุทธองค์ได้ทรงกล่าวไว้ว่า
    ในกรณีพระสงฆ์ ผู้เป็นสาวก หากสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจิตละกิเลสได้แล้วนั้นการจะละสังขารทันทีโดยกระทำด้วยฤทธิ์ถอดจิตออกไปนั้นไม่ควรกระทำ เพราะเนื่องด้วยยังไม่หมดอายุไข จึงห้ามมิให้กระทำการละสังขารแต่ จะต้อง ดำรงสังขารต่อไปจนหมดอายุไข
    ส่วนฆาราวาสนั้นย่อมสามารถกระทำการถอดจิตละสังขารได้โดยไม่ผิดวิสัย แต่กรณีพระสงฆ์สาวกนั้นไม่สามารถกระทำได้ และเมื่อถึงวาระแห่งการหมดอายุไขดับสังขาร ก็จะกำหนดจิต เพื่อเข้าถึงพร้อมแห่งการนิพพาน หากพระสงฆ์ผู้ใดกระทำด้วยฤทธิ์ถอดจิตและนิพพานไปทันทีนั้นย่อมถือว่าผิดวินัย พระพุทธองค์ท่านมีเหตุผล แต่ไม่ทราบได้ว่าเพราะอะไร แต่ อย่างที่รู้พระอรหันต์หลายพระองค์ก็ต้องอดทนสู้อยู่กับสังขารที่ต้องมีทุกขเวทนา หรือบางที่ยังมีเจ้ากรรมนายเวรยังตามมาให้โทษไม่จบสิ้นแก่สังขารของพระอรหันต์เหล่านั้น หรือนี่จะเป็นเหตุผล ของนักปฏิบัติธรรมผู้เป็นนกรบธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ต้องยืดหยัดต่อสู้ในวิบากกรรมจนถึงที่สุดแห่งที่สุดของวิบากกรรม เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2012
  10. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    =====
    เมื่อกี๋ ปู่บอกว่าในใจว่า อ้าวท่านสำเร็จแล้วรู้แจ้งในธรรมแล้ว จะทิ้งกันไปหรือท่านจะรีบไปไหนละอยู่ช่วยสอนธรรม ขัดเกล่ากิเลสกันก่อน อยู่ช่วยพาสรรพสัตว์ข้ามวัฏฏะไปพร้อมกับท่านด้วยสิ หรือจะไปคนเดียว สาธุ สาธุ สาธุ

    บางทีผมก็เพี้ยนๆอย่าถือสาผมนะครับ ขอเจริญธรรมครับ
     
  11. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    =====
    การไม่เห็นด้วยมิได้หมายความว่าคัดค้านทั้งหมด เขาเขาอาจจะคิดว่าเขาอาจจะอยากนิพพาน ก่อนดับจิตก็ได้ครับ ไม่มีใครผิดนะครับ เพื่อจะได้นำธรรมที่ตนรู้และหลุดพ้นแล้วไปบอกธรรมแนะนำคนอื่นๆครับ ซึ่งมีอานิสงฆ์มากๆครับ
     
  12. Phunyanuch

    Phunyanuch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2012
    โพสต์:
    717
    ค่าพลัง:
    +3,276
    ขอโมทนาธรรมทานค่ะ .... ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระนิพพานค่ะ สาธุ สาธุ
     
  13. justonelife

    justonelife เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +190
    พึ่งรู้ว่าลักษณะการเข้าสู่พระนิพพานนี้มีอยู่สามแบบ ขอบคุณมากครับ ผมเองไม่มีโอกาศศึกษาค้นคว้าธรรมมะ ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  14. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    839
    ค่าพลัง:
    +1,524
    สำหรับผมนิพพานมีเพียง 1 ไม่เป็น2และเป็น3
    ผมไม่นับนิพพานชิมลอง นิพพานชั่วคราว เข้าเป็นนิพพานของพระพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2012
  15. พชรรินทร์

    พชรรินทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +474
    ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานที่ให้ สาธุ สาธุ สาธุ

    นิพพานัง ปัจโย โหตุ

    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
     
  16. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    =====
    ไม่คัดค้านจะเอาแบบไหนก็ดีทั้งนั้นจ๊ะ แต่เอ๊ะ ปู่บอกว่าอ้าวไอ้หลานชายถ้าเอ็งไม่ทำข้อ1ข้อ2ให้ชำนาญไว้จะดีกว่าไหม๊ หรือ เพราะเวลาเอ็งต้องหมดอายุไขแล้วต้องเข้านิพพานแบบข้อ3หรือขั้น3 เอ็งจะได้ทำได้ง่ายๆ เพราะเคยทำข้อ1และ2มาแล้ว พอถึงเวลาก็เข้าข้อ3ได้ง่ายเลยและไม่พลาดด้วย

    ก็แค่หนึ่งความเห็นครับ แบบไหนก็ได้ครับแต่ถ้าทำข้อ2ได้ ข้อ3ก็เรื่องเล็กครับ
     
  17. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    กราบโมทนา สาธุ ๆ
    ในบุญกุศลกับท่านที่
    ได้นำพระธรรมมาเผยแผ่ด้วยครับ
     
  18. ก้อนหิน

    ก้อนหิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +238
    เท่าที่เข้าใจ นิพพานคือล่ะอุปทานขันธ์ทั้งหมด แต่ขึ้นอยู่กับภาระปัจจุบัน
     
  19. ก้อนหิน

    ก้อนหิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +238
    มีขันธ์เกิดรู้สึกทุกข์
     
  20. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    กล่าวถึงเรื่องนิพพาน ท่านพระอาจารย์เล็กล่าวไว้ดีมากครับ และในทางพุทธศาสนานั้นเมื่อกล่าวถึงเรื่องการตัดกรรมนั้นมีด้วยกัน2วิธีการคือ
    1การนิพพาน
    2การอโหสิกรรม แต่การอโหสิกรรมนี้ตัดกรรมได้ไม่หมดแต่เป็นการตัดทอนกรรมให้ลดลง คือเจ้ากรรมนายเวรเราเขาอโหสิกรรมให้เราแล้วก็จริงอยู่
    แต่เศษกรรมและวิบากกรรมนั้นยังให้ผลต่อ คือความหนักเบาของกรรมที่จะสนองเราลดกำลังลงไปเพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาเลิกผูกพยาบาทกับเราแล้ว

    แต่ ถ้าเป็นกรรมหนักเช่น เราไปฆ่าคนตาย แล้วจิตผู้ตายเขาอโหสิกรรมให้เราแล้วก้จริง แต่ด้วยเป็นกรรมหนัก เราก็ยังจะต้องรับผลกรรมคือจะต้องติดคุก หรือบางคนที่หนีไปได้ไม่ติดคุก แต่ก็ต้องหลบๆซ่อนๆจิตใจต้องตกอยู่ในตราบาบไปจนตาย ทำให้ไม่มีความสุข ทำอะไรไม่เจริญเป็นต้น
    ดังนั้นว่าด้วยการตัดกรรมด้วยการอโหสิกรรมข้อนี้นั้น ถ้าเป็นกรรมเล็กน้อย ละหุกรรม นั้นก็อาจจะตัดกรรมได้หมด ด้วยการอโหสิกรรมครับ แต่ถ้าเป็นกรรมหนักหรืออนันตะริยะกรรม นี่ตัดไม่หมด ยังไงก็ต้องได้รับวิบากกรรมไม่มากก็น้อยครับ

    สุดท้ายเราทั้งหลายไม่ควรประมาทในกรรมทั้งหลายทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เพราะมีวิบากกรรมตามให้ผลแน่นอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...