นี่คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อถูกทาง

---สมส่วน--- · 9 กรกฎาคม 2015

[FONT=&quot]อานิสงค์ของศีล 5 ไม่ต้องรอชาติหน้า ก็ได้เห็น [/FONT]
[FONT=&quot]ศีล 5 นั้น เอกอุตร มีไว้หยุด ชั่วทั้ง 3 [/FONT]
[FONT=&quot]ศีล 5 จะติดตาม นำความงาม มาให้เรา[/FONT]
[FONT=&quot]ศีล 5 จะพาปราชฌ์ ผู้ฉลาด มาคอยเฝ้า[/FONT]
[FONT=&quot]ศีล 5 คุ้มครองเรา เฝ้ารักษา สอนกรรมดี [/FONT]

[FONT=&quot]ศีลคือที่ตั้งแห่งความดี ทั้งหลายทั้งปวง [/FONT]
[FONT=&quot]ศีลคือที่ตั้ง แห่งยานทั้งหลาย มี มหายาน เป็นต้น [/FONT]
[FONT=&quot]นิกายทั้งหลาย อาศัย ศีล เป็นแดนเกิด [/FONT]
[FONT=&quot]ศีลคือที่ตั้ง แห่งสมาธิ และ ปัญญา [/FONT]
[FONT=&quot]ศีลเกิด สมาธิเกิด ปัญญาเกิด [/FONT]
[FONT=&quot]
หมดปัญหา เรื่องยานต่างๆ และ นิกายต่างๆ [/FONT]
[FONT=&quot]ศีล สมาธิ ปัญญา คือเรื่องเดียวกัน [/FONT]
[FONT=&quot]ดั่งคำที่ว่า สีเลนะโภคะสัมปะทา ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์ ทั้งหลาย สีเลนะ สุคะติง ยันติ ศีลนำมาซึ่งความสุข [/FONT]
[FONT=&quot]สีเลนะนิพพุติงยันติ ศีลนำมาซึ่งนิพพาน [/FONT]
[FONT=&quot]ศีลทั้งหลายทั้งปวง ศีล 5 เป็นหลักชัย ในศีลทั้งหลาย [/FONT]
[FONT=&quot]
ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ก็เป็นศีล ที่เป็นไป เพื่อนิพพาน[/FONT]
[FONT=&quot]ศีลกับนิพพานจึงเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะนิพพาน [/FONT]
[FONT=&quot]อาศัยศีลเป็นแดนเกิด ศีลที่แตกต่างกัน ราวฟ้ากับดิน [/FONT]
[FONT=&quot]ศีลที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง มีคุณงามความดี 3 ทาง [/FONT]
[FONT=&quot]กับศีลที่ผิด ต่อธรรมทั้งหลาย ศีลโลภ ศีลโกรธ ศีลหลง[/FONT]
[FONT=&quot]
ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน ทำดีเพื่อเอาหน้า นี้แหละคือศีลที่ผิด ศีลที่ถูก กับศีลที่ผิด จึงมีความแตกต่างกัน ราวฟ้ากับดิน [/FONT]
[FONT=&quot]โลกที่มากมาย มหาศาล ของอนันต์ จักรวาล ไม่มีที่สิ้นสุด [/FONT]
[FONT=&quot]เรื่องของสิ่งอื่น คิดไปทำไม เพราะอจินตรัย ไม่มีที่สิ้นสุด [/FONT]
[FONT=&quot]
จะพูดเรื่องถูกต้องอาศัยเรื่องผิด จะพูดเรื่องผิดต้องอาศัยเรื่องถูก เพราะถูกผิดเป็นของคู่กัน ฉันใด ก็ฉันนั้น [/FONT]
[FONT=&quot]ใบไม้ในป่าใหญ่ มีมากมายมหาศาล เก็บมาให้ดูแต่ใบ [/FONT]
[FONT=&quot]ที่ดีๆ แค่ 4 ใบ ที่ไม่ไร้สาระ [/FONT]

---สมส่วน--- · 9 กรกฎาคม 2015

การเกิดขึ้นของทุกสิ่ง ทุกอย่าง ต้องอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน

ทุกสิ่งทุกอย่าง ในมหาอนันตจักรวาลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องพึ่งพาอาศัย
ซึ่งกันและกันเป็นแดนเกิด เพราะมีเมล็ดผักกาด เพราะมีดินที่อุดมสมบูรณ์
เพราะมีแสงสว่าง เพราะมีน้ำ เพราะมีลม จึงจะเกิด ผักกาดขึ้นมาได้

---สมส่วน--- · 14 กรกฎาคม 2015

สิ่งที่ขาดจากกันไม่ได้ เพราะมีความเกี่ยวเนื่อง อาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน

ทาน คือน้ำใส ชำระใจ ให้สะอาด
ศีล คือนักปราชญ์ คอยหนุนช่วย อวยพรชัย
ภาวนา คือเสาหลัก ปักจิตมั่น ไม่ไปไหน
สมาธิ คือห้องใจ น้อมมาไว้ แต่สิ่งดีๆ
ปัญญา คือไฟดวงใหญ่ มีไว้ใช้ ส่องดูเหตุผล
เห็นแจ่มแจ้งชัด ในสิ่ง ผิด ถูก ดีชั่ว ถูกต้องตามความเป็นจริง ในสิ่งทั้งปวง
ทานตาย ศีล ภาวนา สมาธิ ปัญญา จบ
ศีลตาย ทาน ภาวนา สมาธิ ปัญญา จบ
ภาวนาตาย ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา จบ
สมาธิตาย ทาน ศีล ภาวนา ปัญญา จบ
ปัญญาตาย ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ จบ
ตาย 1 อย่างจะไม่เหลืออะไร ใน 4 อย่าง
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัย พึ่งพา ซึ่งกันและกัน
คอยอบรม คอยสั่งสอน คอยช่วยเหลือ คอยตำหนิ ติเตือน
ในสิ่งที่ผิด ต่อเหตุผล คอยให้กำลังใจ กันอยู่เสมอ ต้องอาศัย
ซึ่งกันและกัน นี่คือสัจจะธรรม ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้องอาศัย ซึ่งกัน
และกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง ต่างก็มีหน้าที่ ไม่เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง มีความสำคัญ มีความยิ่งใหญ่ อยู่ในตัวของมันเอง
สิ่งยิ่งใหญ่ ต้องอาศัย สิ่งยิ่งใหญ่ เป็นแดนเกิด ทานใหญ่
ศีลใหญ่ ภาวนาใหญ่ สมาธิใหญ่ ปัญญาใหญ่
อุปมา ดังว่านี้ ตรองให้ดี จะมีผล รู้สิ่งใหญ่ สิ่งทั้งหลาย
ในสากล จะเห็นตน ในนิพพาน ได้ทันที

---สมส่วน--- · 16 กรกฎาคม 2015

ตายก่อนตาย ก็เห็นได้ ในความเป็น ปรกติ นิพพาน คือ ปรกติ ปรกติคือนิพพาน

อิอิอิอิ อยู่ไหนท่าน ตายก่อนตาย หมายดู รู้ทันโลก ตายก่อนตาย รู้ทุกข์โศก
โลกทั้งผอง ตายก่อนตาย รู้เห็นได้ ใจตรึกตรอง สิ่งทั้งผอง เกิดดับ อยู่ที่เรา
ตายเห็นตาย เห็นได้ ปัญญาเห็น เป็นเห็นเป็น เห็นได้ปัญญาเกิด ปัญญาเห็น

ปัญญาเกิด อยู่ที่เรา เราเห็นทาน ทานเห็นเรา เราเห็นศีล ศีลเห็นเรา เราเห็นภาวนา
ภาวนาเห็นเรา เราเห็นสมาธิ สมาธิ เห็นเรา เราเห็นปัญญา ปัญญาเห็นเรา
ทุกสิ่งทุกอย่าง เราเป็นคนเรียนรู้ ในเหตุผล เราก็จะรู้ ในเหตุผล ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน

ฉันใดก็ฉันนั้น สงบว่างเบาเย็น ตายเห็นตาย สงบว่างเบาเย็น เป็นเห็นเป็น นิพพานเห็นเรา
ถ้าเราเห็นนิพพาน เมื่อใดก็เมื่อนั้น เพราะเราเห็นเรา เรารู้ที่ตัวเรา เราพ้นที่ตัวเรา
เราเกิดที่ตัวเรา เราก็ดับที่ตัวเรา ในที่สุด สงบว่างเบาเย็น ก็ได้เห็น อยู่ที่เรานั้นแล

สมทิ สมวา · 16 กรกฎาคม 2015

ตา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา รวมกันแล้ว มีกี่ตา อิอิ
ตาไม่ปรกติ เป็นเช่นไร หรือ อยู่ตรงข้าม

ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นปรกติ หรือ
ทั้ง 2 อย่างรวมกันแล้วเป็นตาที่ 3 อิอิ หรือ คือ

คือ หรือ เห็นทั้งหมด แล้วเลือกเอา ตามใจเราคนเดียว หรือตามใจคนทั้งโลกอิอิอิอิ

---สมส่วน--- · 17 กรกฎาคม 2015

ิอิอิอิอิ said: ↑

ตา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา รวมกันแล้ว มีกี่ตา อิอิ
ตาไม่ปรกติ เป็นเช่นไร หรือ อยู่ตรงข้าม

ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นปรกติ หรือ
ทั้ง 2 อย่างรวมกันแล้วเป็นตาที่ 3 อิอิ หรือ คือ

คือ หรือ เห็นทั้งหมด แล้วเลือกเอา ตามใจเราคนเดียว หรือตามใจคนทั้งโลกอิอิอิอิ
Click to expand...

สาธุ ด้วยตานอก อันฟ้าฟาง ด้านขวา
สาธุ ด้วยตาใน ดวงใหญ่ อันใสบริสุทธิ์ อยู่ตรงกลาง ระหว่างใจ
สาธุ ด้วยตานอก อันฟ้าฟาง ด้านซ้าย ขอนอบน้อม กับปัญหา เชาว์ปัญญา ของท่าน อิอิอิอิ ด้วยแรงศรัทธา
กาย วาจา ใจ ของเรา โลกทั้งโลกของเรา สงบ ว่าง เย็น เบาสบาย
ของเรา ได้สั่นสะเทือน หวั่นไหว ไปหมดทั้งโลก
ปัญหาของท่านนั้น สูงมาก น้อยคนนัก ที่จะขึ้นไปถึง
แม้เราเอง ก็ยังหวั่นไหว ขอตอบท่าน เท่าที่เรามีปัญญา
ผิดเพื่อแก้ไข ขอท่านจงอภัย ให้ด้วย ถูกสว่างไสว เราท่านได้ ปัญญา ญาณ ของจริงนั้น บริสุทธิ์ ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ
ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ต่างคนต่างช่วยกัน อาศัยพึ่งพา ซึ่งกัน และกัน สงบ ว่าง สว่าง เย็น เห็นนิพพาน ที่อยู่ในตน
ชื่อว่าปราชญ์ ฉลาดเลิศ ประเสริฐศรี
ปัญญาดี มีเหตุผล ค้นปัญหา
มีแนวคิด ตั้งคำถาม ตรงปัญญา

เป็นปัญหา อันยิ่งใหญ่ ในโลกิยะธรรม และ โลกุตตระธรรม
ทุกสิ่งล้วน มีตา เป็นปรกติ อยู่ในตัว และไม่ปรกติ อยู่ในตัว
อันว่า ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ ปัญญา นั้น มีตาภายนอก 2ตา
ตาภายใน มี 1 ตา รวมกันแล้ว ก็มี 3 ตา จึงเป็นตา ที่ปรกติ
ฉันใดก็ฉันนั้น ทานมี 3ตา ศีลมี 3 ตา ภาวนามี 3 ตา สมาธิมี 3 ตา
ปัญญามี 3 ตา เมื่อขาดภาวนาไป ก็จึงไม่ปรกติ เก้าอี้ ที่เป็น ปรกติ ย่อมต้องมีครบ 4 ขา ถ้าขาดไป 1 ขา ก็ย่อมไม่ ปรกติ
ฉันใดก็ฉันนั้น ขึ้นชื่อว่าเห็น เราเห็น ขึ้นชื่อว่ารู้ เรารู้ ตาภายนอก
ตาภายใน ก็อยู่กับเรา เกิดที่เรา เราจึงต้องเอาใจเรา เป็นใหญ่ที่สุด
เราตามดูตัวเรา เห็นตัวเรา รู้ตัวเรา แล้วเราจะเอา ใจคนทั้งโลก ทำไม ตามดูคนทั้งโลก ทำไม ตามเห็น คนทั้งโลกทำไม ตามรู้
คนทั้งโลกทำไม เพราะ เหตุว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่นอก ตัวเรา
ล้วนเป็นมายาธรรม ที่หาความจริงไม่มี ตัวเราเองนั้นและ
คือของจริง สงบ ว่าง เบา เย็น เราจึงเอาใจ ของเรา
แต่เพียงผู้เดียว เราไม่เอาใจคน ทั้งโลก เหตุเพราะว่า
คนทั้งโลก ล้วนมี ความคิดดี รู้ดี ปัญญาดี แต่ก็เต็มเปี่ยม
เพรียบแปล้ ไปด้วยความวุ้นวาย โต้เถียงกัน ไปมา ถึงเรื่องถูก
ถึงเรื่องผิด ฉันถูก เธอผิด ฉันคือผู้ชนะ เธอคือผู้แพ้ ฉันคือผู้ฉลาด
เธอคือผู้โง่เขลา มีแต่ความวุ่นวาย ไม่มีที่สิ้นสุด
หาสิ่งจบ ในแดนสงบไม่มี

---สมส่วน--- · 18 กรกฎาคม 2015

เล็ก ใหญ่ คือความหมายเดียวกัน มีค่าเท่ากัน

สิ่งที่ใหญ่ ในโลกนี้ ที่มองเห็น
ล้วนแต่เป็น เหตุและผล ให้ค้นหา
นักปฏิบัติ ทั้งหลาย น้อมนำพิจารณา
เกิดปัญญา เห็นสิ่งเล็ก เพื่อรู้จริง

ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ ปัญญา
จะเล็ก หรือ ใหญ่ อยู่ที่เราปฏิบัติ
ต้นไม้ใหญ่ ที่เราเห็น เมล็ดพันธุ์ ที่เรารู้
นั้นและครูของจริง ในสิ่งทั้งปวง

---สมส่วน--- · 18 กรกฎาคม 2015

พระศีลอริยะเวทไตร

พระศีลอริยะเวทไตร

---สมส่วน--- · 19 กรกฎาคม 2015

สายรุ้งรัศมีแห่งพระนิพพาน

เป็นประกายแสงที่สาดส่องลงมาจากพระนิพพาน ยอดภูเขาแห่งความว่างเปล่าซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปุถุชนคนสามัญทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะขึ้นไปดู ไปชมได้ มีเพียงยานวิเศษลำเดียวเท่านั้น ที่สามารถนำพา ปุถุชนคนสามัญทั้งหลายขึ้นไปดูไปชมได้ โดยใช้เวลาเดินทางเท่ากันกับเวลาในการอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ


 (ประกาศ)
ผู้สร้างผู้กำกับที่ต้องการสร้างประวัติพระธรรม
[FONT=&quot]สมัยกึ่งพระพุทธกาลกรุณาติดต่อผู้แสดงธรรม[/FONT]


 บ้านเลขที่ 23 หมู่ 7 บ้านบุ ตำบลตาจั่น อำเภอคง จังหวัด นครราชสีมา

---สมส่วน--- · 19 กรกฎาคม 2015

การเดินทางของยานวิเศษลำนี้ มีจุดตรวจ ๕ ด่าน คือ

 การเดินทางของยานวิเศษลำนี้ มีจุดตรวจ ๕ ด่าน คือ

๑.ด่านของทาน มีนายตรวจ ๒ นาย ชื่อ ๑) อามิสทาน คือ การให้สิ่งของที่ร่างกายต้องการ มีอาหาร เครื่องนุ่งห่มเป็นต้น ๒) ธรรมทาน คือ การให้กำลังใจ ให้ความเมตตา ให้ความสงสาร ชี้ทางให้ความสว่างแก่ดวงจิตของผู้อื่น คือ การให้ธรรมมะหรือสอนธรรมมะนั่นเอง
มีผู้ช่วย ๒ นาย คือ ๑. สังฆทาน ให้ทานกับพระสงฆ์ ๒. บุคคลิกทาน ให้ทานกับบิดา มารดา ครู อาจารย์ ทานที่สมบูรณ์ที่สุด มีอานิสงค์สูงสุดต้องครบองค์ประชุม ๘ อย่าง คือ ๑. สะอาด ๒. ประณีต ๓. พอสมควร ๔. ตามกาลเวลา ๕. ผู้ที่สมควรได้รับ ๖. ให้เนืองนิตย์ ๗. ให้ด้วยศรัทธาไม่เสียดาย ๘. ให้แล้วมีความสุข
๒.ด่านของศีล มีนายตรวจ ๓ นาย ชื่อ ๑) นายผู้รักษาความดีทางกาย ๒) นายผู้รักษาความดีทางวาจา ๓) นายผู้รักษาความดีทางใจ
๓.ด่านของการเจริญภาวนา มีนายตรวจ ๓ นาย ชื่อ ๑) นายทุกขัง สังขารนี้เป็นทุกข์ ๒) นายอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลง ๓) นายอนัตตา เป็นของไม่มีตัวตน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือนายแห่งดวงจิต ดวงวิญญาณ
๔.ด่านของสมาธิ มีนายตรวจ ๔ นาย ชื่อ ฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ ฌานที่ ๓ ฌานที่ ๔
๕.ด่านของปัญญา มีพระอรหันต์เป็นผู้ตรวจการ เป็นด่านสุดท้ายที่ยานวิเศษลำนี้จะลงจดเพื่อให้ปุถุชน คนสามัญ ได้กราบไหว้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากนั้นก็จะได้เดินเที่ยวชมยอดภูเขาแห่งพระนิพพาน และที่อยู่ของพระอรหันต์ทั้งหลาย จนกว่าจะถึงเวลากลับ
พอถึงเวลากลับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะถามปุถุชน คนสามัญที่อยู่บนยอดภูเขาแห่งพระนิพพานว่าจะอยู่กับพระพุทธองค์ หรือว่าจะไปกับพระอรหันต์ ถ้าอยู่กับพระพุทธองค์ จะไม่ได้ลงมาอีกเลยแต่ถ้าจะไปกับพระอรหันต์ก็จะมียานวิเศษอีกลำหนึ่ง นำพาปุถุชน คนสามัญ ส่งกลับลงมายังที่เดิม สำหรับคนที่ขับยานวิเศษนั้นขึ้นลงอยู่เสมอดั่งคำที่ว่า เมื่อขึ้นได้ย่อมลงได้เป็นธรรมดา

---สมส่วน--- · 19 กรกฎาคม 2015

พระศีลอริยะเวทไตร

พระศีลอริยะเวทไตร

พระศีลอริยะเวทไตร คือ ปรัชญาธรรม ๕ ประการ อันเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติธรรม เพื่อนำท่านผู้ปฏิบัติธรรมเดินทางเข้าไปสู่สัจจะธรรมแห่งความเป็นจริง โดยการปฏิบัติตามคำสอนของปรัชญาธรรมนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกขั้นตอน ในปรัชญาธรรม ๕ ประการจะขาดธรรมข้อใดข้อหนึ่งนั้นมิได้ เป็นปรัชญาธรรมอันทรงค่ายิ่งของการปฏิบัติธรรม เพื่อเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมนั้นคือพระนิพพาน เพื่อความเข้าใจในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงหนทางไปสู่ธรรมอย่างถูกต้อง เพื่อความเป็นไปตามลำดับขั้นของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง

ปรัชญาธรรม ๕ ประการ

๑.มีศรัทธา เคารพ รัก อย่างมั่นคงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการให้ทาน
๒.มีใจมั่นคงอยู่ในศีลชั่วนิรันดร เพื่อชำระดวงจิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ โดยการเจริญภาวนา
๓.มีสติไตร่ตรองอยู่ในอริยสัจจ์ ๔ คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลงของสิ่งต่างๆ โดยการปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ ๘
๔.มีความรู้รอบด้านในโลกธรรม ๘ ประการ ด้วยโลกธรรมเป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ปล่อยวาง ส่งคืนเพื่อความหลุดพ้น ในท่ามกลางของเวทไตร
๕.เอาพระคุณของเวทไตร รื้อถอนโลกธรรม ๘ ประการทีละ ๓ ๆ พร้อม ๓ ถึง ๙ ครั้ง และ ๓ ในคุณอันอื่น แล้วรวมความรู้สึก ความนึกคิดตั้งอยู่ครั้งสุดท้ายเข้าสู่รูปฌานทั้ง ๔
นี่คือปรัชญาธรรมของพระพุทธศาสนาโดยย่อที่ให้คุณประโยชน์ คือความสงบสุขอันยิ่งใหญ่แก่มวลมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้ปฏิบัติตามทุกข้อของปรัชญาธรรม ๕ ประการ ถ้าหากแม้นว่าผู้ปฏิบัติธรรมขาดธรรมข้อใดข้อหนึ่ง ในปรัชญาธรรม ๕ ประการนั้น ก็จะไม่สามารถได้รับคุณประโยชน์ คือความสงบสุขในพระพุทธศาสนานี้ได้
ดังจะเปรียบให้เห็นถึงความสำคัญในปรัชญาธรรม ๕ ประการนั้นว่า ในโลกนี้จะมีต้นไม้ใบหญ้าเกิดขึ้นได้ก็จะต้องอาศัยสิ่งต่างๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นได้สร้างสิ่งต่างๆ ด้วยความเกี่ยวเนื่องกัน คือ มีปัจจัยปรุงแต่งโดยแบ่งภาระ หน้าที่ความสำคัญของสิ่งต่างๆ เพื่อความต่อเนื่องกัน เพื่อความอาศัย พึ่งพาซึ่งกันและกัน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมิได้เลย ปรัชญาธรรม ๕ ประการก็เช่นเดียวกัน เหมือนกันกับธรรมชาติ จะขาดธรรมข้อใดข้อหนึ่งนั้นมิได้เลย ต้องอาศัย พึ่งพา มีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน จึงจะเกิดธรรมอันเลิศ ธรรมอันประเสริฐ ธรรมอันสมบูรณ์ และเป็นสุดยอดแห่งธรรมคือพระนิพพาน ดังจะเปรียบให้เห็นได้ดังนี้คือ โลกเต็มใบนี้อันอุดมสมบูรณ์ที่สุด มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น มีต้นไม้ใบหญ้าเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยธรรมชาติ โดยมีปัจจัยปรุงแต่ง พึ่งพาอาศัยกัน มีความเกี่ยวเนื่องกัน จึงเกิดขึ้นได้เป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๑ บริเวณหรือสถานที่ที่เป็นดินและมีน้ำเป็นสิ่งประกอบต้องอาศัยซึ่งกันและกันเป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๒ ดวงอาทิตย์ให้ความสว่าง ให้ความร้อนไปตามกาลเวลาที่เหมาะสมเป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๓ ฤดูกาลต่างๆ ที่ให้ดอกให้ผลเป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๔ เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ เป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๕ ความสำคัญที่ยกขึ้นมาเปรียบให้เห็นนี้นับได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าขาดเสียข้อใด ข้อหนึ่งก็จะไม่มีต้นไม้ ใบหญ้า หรือสิ่งต่างๆ ให้เราได้เห็น เพราะขาดปัจจัยปรุงแต่งข้อใด ข้อหนึ่งนั่นเอง
ดังจะได้อธิบาย ขยายข้อความของปรัชญาธรรม ๕ ประการ เพื่อเป็นประโยชน์ เพื่อความเข้าใจในการปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง เพื่อความเป็นไปตามลำดับขั้นของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง
การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องตามความจริงมี ๓ ทาง คือ ปฏิบัติทางกาย ปฏิบัติทางวาจา และ ปฏิบัติทางใจ กายดี วาจาดี ใจดี คือลักษณะของผู้ปฏิบัติธรรมในเบื้องต้น ฝึกกาย ฝึกวาจา ฝึกใจ คือ ลักษณะของผู้เข้าสู่
ธรรมมะในเบื้องต้น

<table align="left" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td height="13" width="227">
</td> </tr> <tr> <td>
</td> <td>
</td> </tr> </tbody></table>

ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย บัดนี้ท่านได้เข้าสู่ธรรมโดยสมบูรณ์แล้ว ขอให้ท่านจงตั้งจิตให้ตรงแล้วพิจารณาสิ่งต่างๆ ตามตัวอักษร คือหัวข้อธรรมในปรัชญาธรรม ๕ ประการ ที่อยู่ในยานวิเศษลำนี้ เพื่อขึ้นไปสู่ยอดภูเขาแห่งความว่างเปล่า คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นที่อยู่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ดั่งพุทธพจน์ของพระองค์ที่ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”

 <table align="left" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td height="13" width="259">
</td> </tr> <tr> <td>
</td> <td>
</td> </tr> </tbody></table>

---สมส่วน--- · 20 กรกฎาคม 2015

ปรัชญาธรรม ๕ ประการ

ปรัชญาธรรม ๕ ประการ
๑.มีศรัทธา เคารพ รัก อย่างมั่นคงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการให้ทาน
- ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่น เชื่อมั่นในคุณงามความดี เชื่อมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระศาสดา
- เคารพ คือ พลังแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน แปลได้อีกอย่างหนึ่งคือ ผู้ปฏิบัติตาม
- รัก คือ ความห่วงใย ความภักดี
ศรัทธา เคารพ รัก ๓ อย่างนี้รวมกันจึงจะมีความสมบูรณ์และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ แปลได้โดยความสมบูรณ์ว่า เป็นผู้ปฏิบัติตามอย่างนอบน้อม สุดเศียรเกล้าด้วยความจงรักภักดี อันความศรัทธา เคารพ รัก ๓ อย่างนี้ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าไปถึงธรรม เป็นจุดเริ่มต้นของผู้ปฏิบัติธรรม ดังได้ยินมาเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร ทรงเสียสละทานอันยิ่งใหญ่ คือการเสียสละออกจากพระราชบัลลังย์ มหาราชปราสาท พร้อมด้วยข้าทาสบริวาร แก้วแหวนเงินทองทั้งหลาย ซึ่งล้วนแต่เป็นของมีค่าของโลกธรรม ๘ ประการทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พระองค์ไม่มีความยินดีหรือห่วงใยในสมบัติเหล่านั้นเลย พระองค์ทรงทำการเสียสละ ละทิ้งสมบัติเหล่านั้น เพื่อให้เป็นทานอันยิ่งใหญ่ นี่คือแบบอย่างอันดีงาม อันงดงามของพระองค์ ในการไปสู่การปฏิบัติธรรม เป็นจุดเริ่มต้น เป็นจุดแรก ที่พระองค์ทรงเริ่มค้นหาพระสัจจะธรรม การให้ทานจึงเป็นจุดแรกที่ชี้ทางไปสู่ธรรม ไปสู่ศีล จนในที่สุดพระองค์ก็ได้เข้าถึงธรรมอันสูงสุด เป็นพระบรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง เป็นพระศาสดาเอกของโลก เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน การให้ทานจึงเป็นข้อปฏิบัติที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ฝึกธรรม

๒.มีใจมั่นคงอยู่ในศีลชั่วนิรันดร เพื่อชำระดวงจิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ โดยการเจริญภาวนา มีใจมั่นคงอยู่ในศีลชั่วนิรันดร คำว่าศีล นั้นก็คือ เจตนา และคำว่าชั่วนิรันดร คือ อนาคต เจตนานั้นเป็นปัจจุบัน เมื่อเจตนาเกิดขึ้นแล้ว อนาคตก็เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ดังนั้นปัจจุบัน และอนาคตนั้นเองเป็นศีล มีใจมั่นคงอยู่ในศีลเพื่อชำระดวงจิตให้สะอาดอยู่เสมอ ศีลคือข้อปฏิบัติในการละเว้นจากการทำความชั่วมี ๓ ทาง คือ ๑) ทางกาย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ๒) ทางวาจา ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ๓) ทางใจ ไม่มีความคิดโลภอยากได้สิ่งของ ของผู้อื่น ไม่ผูกโกรธแค้น ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน ศีลจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ข้อปฏิบัติในการทำความดีมี ๓ ทาง มี ทางกายดี ทางวาจาดี และทางใจดี
พรมวิหาร ๔ ข้อคือ ธรรมของผู้ปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงศีลโดยสมบูรณ์ เต็มเปี่ยมด้วยศีลมี
๑.) ความเมตตา ความรักใคร่ ๒.) ความกรุณา ความสงสาร
๓.) มุทิตา ความพลอยยินดี ๔.) อุเบกขา ความวางเฉย
การเจริญภาวนา คือ การตั้งจิตให้แน่วแน่ ตั้งจิตให้ตรง ท่องบ่นจำความต่างๆ แล้วพิจารณา วิเคราะห์ให้เห็นถึงความเป็นไปในสิ่งต่างๆ เช่น การเจริญภาวนา ตรวจดู พิจารณาดู สภาพของกายสังขาร โดยกล่าวคำว่า ทุกข์ขัง สังขาร ทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับลง อนัตตาเป็นของไม่มีตัวตน มีใจมั่นคงอยู่ในศีลเพื่อการชำระจิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ โดยการเจริญภาวนาจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติเพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับธรรมข้อที่ ๑ ดังตัวอย่าง ผู้มีทานคือ ผู้ตั้งอยู่ในความดี เป็นผู้มีศีล ทานจึงมีความเกี่ยวข้องกับศีล ศีลมีความเกี่ยวข้องกับการเจริญภาวนา
๓.มีสติไตร่ตรองอยู่ในอริยสัจจ์ ๔ คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลงของสิ่งต่างๆ โดยการปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ ๘ สติ คือ ความคิดที่มีความฝังแน่นติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยที่ไม่มีความคิดอย่างอื่นมาแทรกแซง เช่นเอาความคิดไตร่ตรองอยู่กับรูปผู้หญิงและรูปผู้ชาย โดยมี อายตนะภายนอก และอายตนะภายในเป็นเครื่องไตร่ตรอง อายตนะภายนอก มี ๑) รูป คือ สิ่งที่มองเห็นด้วยตา ๒) เสียง คือ สิ่งที่ได้ยินด้วยหู ๓) กลิ่น คือ สิ่งที่ได้ดมด้วยจมูก ๔) ลิ้น คือ สิ่งที่รู้รสชาติด้วยลิ้น ๕) กาย คือ สิ่งที่รู้สึกทางกาย ๖) ใจ คือ สิ่งที่รู้สึกทางใจ อายตนะภายในมี ๖ อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อริยสัจจ์ ๔ มี
๑. ทุกข์ คือ สิ่งต่างๆ ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลง มีอยู่ในโลกนี้ อันเราไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้น ให้ตั้งอยู่ ให้ดับลง กับเราเช่น รูปแห่งความแก่ชรา เป็นต้น ความแก่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลง สิ่งเหล่านี้ที่เราไม่ปรารถนาให้เกิดกับเรา แต่มันก็เกิดกับเรา
๒. สมุทัย คือ สิ่งต่างๆ ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ตั้งอยู่ในโลกนี้ ดับลงในโลกนี้ อันเราปรารถนาอยากให้เกิดขึ้นกับเรา อยากให้ตั้งอยู่กับเรา อยากให้ดับลงกับเรา เรียกอีกอย่างหนึ่งคือ เหตุแห่งความอยากทำให้เกิดทุกข์
๓. นิโรธ คือ การละความอยากในสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ตั้งอยู่ในโลกนี้ ดับลงในโลกนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งคือ การเสียสละ ส่งคืน ไม่อยากเกิดขึ้น ไม่อยากตั้งอยู่ ไม่อยากดับลง หรือไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่นั่นเอง เหตุแห่งความดับทุกข์
๔. มรรคมี องค์ ๘ คือ ข้อปฏิบัติเพื่อไปถึงทางดับทุกข์ พ้นทุกข์ มี
๑. สัมมาธิฐิ ความเห็นชอบ ความเห็นที่ถูกต้อง เห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของกายสังขาร เป็นทุกข์
๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ความคิดที่ถูกต้อง ไม่คิดโลภ ไม่คิดโกรธ ไม่คิดหลง ไม่คิดพยาบาท ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น
๓. สัมมาวาจา วาจาชอบ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ
๔. สัมมากัมมันตะ การกระทำชอบ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
๖. สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ พยายามละความชั่วที่มีอยู่ในใจให้หมดไป พยายามสร้างความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นเจริญขึ้นต่อไป
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ มีจิตตั้งอยู่ในศีล มีจิตตั้งอยู่ในทาน มีจิตตั้งอยู่ในการเจริญภาวนา
๘. สัมมาสมาธิ สมาธิชอบ พิจารณาอยู่ในสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เห็นไปตามสภาพของความเป็นจริงในกองสังขาร คือ ทุกขัง สังขารนี้เป็นทุกข์ อนิจจังเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อนัตตา คือ ของไม่มีตัว ไม่มีตน เป็นแต่เพียงดวงวิญญาณหรือดวงจิตเท่านั้น โดยการอยู่ในรูปฌาน ๔ เป็นเครื่องพิจารณา
รูปก็คือสิ่งต่าง ๆ ที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังจะได้อธิบายต่อไปนี้
รูปฌานที่ ๑ มี ตรึก, ตรอง, วิตก, วิจารณ์, ปิติ, สุข จิตรวมเป็นหนึ่ง
รูปฌานที่ ๒ มี วิตก, วิจารณ์, ปิติ, สุข, จิตรวมเป็นหนึ่ง
รูปฌานที่ ๓ มี ปิติ, สุข จิตรวมเป็นหนึ่ง
รูปฌานที่ ๔ มีความรู้แจ้งในสิ่งต่าง ๆ รูปต่าง ๆ ที่เราพิจารณา มีจิตที่วางเฉย คือ ความวางเฉย รวมเป็นหนึ่งนั่นเอง จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบ รูปฌานที่ ๑ ถึง รูปฌานที่ ๔ เหมือนดังเมล็ดมะม่วงที่กำลังปลูกอยู่นั้น ย่อมจะออกราก ออกลำต้น ออกกิ่ง ออกใบไปตามลำดับ เมื่อเมล็ดมะม่วงกำลังออกราก ออกลำต้น ออกกิ่ง ออกใบ แล้วก็ละทิ้งเปลือกที่ห่อหุ้ม เพื่อเจริญต่อไปเท่ากับกำลังเข้าฌานที่ ๑ เมื่อมะม่วงกำลังเจริญเติบโตไปตามลำดับโดยการแตกกิ่งก้านสาขามีร่มเงาเทียบเท่ากับรูปฌานที่ ๒ ในเมื่อมะม่วงเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ย่อมจะออกดอกเตรียมให้ผล เวลามะม่วงกำลังออกดอก ออกผลเทียบเท่ากำลังเข้ารูปฌานที่ ๓ เมื่อออกดอก ออกผลแล้วย่อมจะได้เมล็ด เมื่อได้เมล็ดนั้นแล ถือว่าได้เข้าไปสู่รูปฌานที่ ๔ แล้วโดยสมบูรณ์เหมือนกับเป็นคนใหม่ ซึ่งเท่ากับได้เมล็ดมะม่วงอันใหม่ ดังนั้นจึงได้กล่าวว่ารูปฌาน ๔ พิจารณารูป คือ การพิจารณาดูกายสังขาร เข้าฌานตรวจดูพิจารณาดูตามความเป็นจริงของร่างกาย สังขาร มนุษย์นี้ กายนี้ สังขารนี้ เป็นทุกขัง ทุกสิ่งในร่างกายนี้เป็นทุกข์ อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อนัตตา เป็นของไม่มีตัว ไม่มีตน เป็นดวงจิต เป็นดวงวิญญาณที่ไม่มีวันแตกดับ อีกอย่างที่ผู้ปฏิบัติธรรมควรทำความเข้าใจ คือ จิตของผู้ใดก็ตามถ้ามีใจเข้าถึงทานด้วยใจอันบริสุทธิ์ เข้าถึงศีลด้วยใจอันบริสุทธิ์ เข้าถึงการเจริญภาวนาด้วยใจอันบริสุทธิ์ บุคคลผู้นั้นแล ถือว่าได้เข้าถึงมรรคมีองค์ ๘ ประการ แล้วโดยสมบูรณ์

---สมส่วน--- · 20 กรกฎาคม 2015

๔. มีความรู้รอบด้านในโลกธรรม ๘ ประการ ด้วยโลกธรรมเป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ปล่อยวาง ส่งคืน เพื่อความหลุดพ้นในท่ามกลางของเวทไตร โลกธรรม ๘ ประการ คือ ๑) ลาภ ๒) ยศ ๓) สรรเสริญ
๔) สุข ๕) เสื่อมลาภ ๖) เสื่อมยศ ๗) นินทา ๘) ทุกข์

---สมส่วน--- · 20 กรกฎาคม 2015

ตั้งสัจจะภาวนาไม่ให้ขาดไม่ให้เกิน ก็ได้เห็นสมาธิ ในวันนี้แน่นอน

[FONT=&quot]ตั้งนะโม [/FONT]3 [FONT=&quot]จบ ก่อนภาวนา [/FONT]999 [FONT=&quot]ครั้ง ดังต่อไปนี้[/FONT]
[FONT=&quot]สัมมา อะระหัง อะระหังพุทโธ [/FONT]1
[FONT=&quot]สัมมา อะระหัง อะระหังพุทโธ [/FONT]2
[FONT=&quot]สัมมา อะระหัง อะระหังพุทโธ [/FONT]3
[FONT=&quot]สัมมา อะระหัง อะระหังพุทโธ [/FONT]4
[FONT=&quot]สัมมา อะระหัง อะระหังพุทโธ [/FONT]5
[FONT=&quot]ทำไปตามนี้ จนครบ [/FONT]999 [FONT=&quot]ครั้ง ไม่ให้ขาด ไม่ให้เกิน[/FONT]
[FONT=&quot]แล้วท่าน จะพบสมาธิ จะเห็นสมาธิ จะรู้สมาธิ ในวันนี้ อย่างแน่นอน[/FONT]
[FONT=&quot]เชิญท่านพิสูจน์ ด้วยตัวของท่านเอง แล้วท่านก็จะเห็นในตัวของท่านเอง[/FONT]

---สมส่วน--- · 21 กรกฎาคม 2015

อริยะสัจจ์ นำผู้ปฏิบัติ ให้เห็นนิพพาน

[FONT=&quot]มารทั้ง 5 ทำลายเรา ทุกเช้าค่ำ [/FONT]
[FONT=&quot]เหตุแห่งกรรม ที่เราก่อ รอให้ผล [/FONT]
[FONT=&quot]นักปฏิบัติ องค์อริยะสัจจ์ ช่วยบันดล [/FONT]
[FONT=&quot]ให้หลุดพ้น ไม่หลงกล กิเลสมาร [/FONT]
[FONT=&quot]องค์อริยะสัจจ์ เป็นสมบัติ อันล้ำค่า [/FONT]
[FONT=&quot]เป็นแสงของ ปัญญา หาเหตุผล [/FONT]
[FONT=&quot]ท่านทั้งหลาย จงปฏิบัติ น้อมมาใส่ไว้ในตน [/FONT]
[FONT=&quot]จึงจะหลุดพ้น จากบ่วงของ พญามาร [/FONT]
[FONT=&quot]องค์อริยะสัจจ์ น้อมปฏิบัติ จะได้เห็น [/FONT]
[FONT=&quot]จะได้เป็น โสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล [/FONT]
[FONT=&quot]น้อมองค์อริยะสัจจ์ เข้ามาปฏิบัติ อยู่ในตน [/FONT]
[FONT=&quot]จะได้ยล อรหันตผล จะได้เห็นเป็นนิพพาน [/FONT]

---สมส่วน--- · 22 กรกฎาคม 2015

ต้นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องปรุงแต่ง เพื่อเข้าสู่ธรรม ตามความเป็นจริง ในสิ่งทั้งปวง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท

ปริยัติ ไม่จริง ตายแน่ ปฏิบัติ ไม่เป็นตายแน่ ปฏิเวท ไม่จริง ไม่เป็น ตายแน่
ปริยัติ คือการเรียนรู้ ท่องบ่นจดจำ ในสิ่งต่างๆ มีความรอบรู้ในสิ่งต่างๆ เช่น รู้จักสว่าน รู้จักเลื่อย รู้จักค้อน รู้จักมีด รู้จักชังแลง
รู้จักเสียม รู้จักจอบ
ปฏิบัติ คือการกระทำ คือการใช้ เครื่องมือ ถูกก็คือถูก ถ้าผิดก็เสียเวลา เหมือนคนหลงทาง
ปฏิเวท คือ พิจารณา ตรวจดู เหตุและผล ผลและ เหตุ ของปริยัติ และปฏิบัติ ว่าผิดหรือถูก ปริยัติผิด ปฏิบัติก็ผิด ปฏิเวท ย่อมรู้ ปริยัติถูก ปฏิบัติถูก ปฏิเวทเห็น

---สมส่วน--- · 23 กรกฎาคม 2015

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท

วันนี้วันพระ ตั้งสัจจะ อธิฐานจิต
เกิดแนวคิด แต่สิ่งดี มีจากเหตุจึงเกิดผล
สิ่งทั้งหลาย ร้ายหรือดี เกิดมีอยู่ที่ตน
พิจารณาผล ตามดูเหตุ รู้เห็นจริง

สิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ เกิดขึ้นมาได้
เพราะมีเหตุ เป็นแดนเกิด การที่จะดับ สิ่งทั้งหลาย
ไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ ก็ต้องดับ ที่แดนเกิด
อันเป็น ตัวเหตุนั้นแล

---สมส่วน--- · 24 กรกฎาคม 2015

ปัญหาเชาว์เบาปัญญา เพื่อส่วนรวม อิอิอิอิ อยู่ไหนท่าน

[FONT=&quot]รู้มากมายมหาศาล ช้าง ม้า วัว ควาย วิ่งตาม ตายเปล่า [/FONT]
[FONT=&quot]ฉลาด แล้วตาย เสียชาติผู้รู้ เพราะผูกเวร [/FONT]
[FONT=&quot]รู้จริง ช้าง ม้า วัว ควาย ไม่วิ่งตาม โง่แล้วรอด [/FONT]
[FONT=&quot]นี่คือปราชญ์รู้จริง ไม่ผูกเวร [/FONT]
[FONT=&quot]ฉลาดแล้วตาย อยากให้ช้างเป็นวัว อยากให้ม้า เป็นควาย [/FONT]
[FONT=&quot]เป็นได้ที่ไหน กรรมของสัตว์ [/FONT]
[FONT=&quot]โง่แล้วรอด ช้างคือช้าง ม้าคือม้า วัวคือวัว ควายคือควาย [/FONT]
[FONT=&quot]กรรมมุนา วัฒชติ โลโก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม [/FONT]
[FONT=&quot]ฉลาดแล้วตาย โง่แล้วรอด ฉลาดทำไม [/FONT]
[FONT=&quot]รู้วิ่งตาย รู้หยุดวิ่งรอด เห็น วิ่งแล้วรอด [/FONT]
[FONT=&quot]เห็นหยุดวิ่งแล้วตาย รู้ทำไม เห็นทำไม [/FONT]
[FONT=&quot]รู้คืออะไร เห็นคืออะไร ผู้รู้ทั้งหลาย [/FONT]
[FONT=&quot]ผู้เห็นทั้งหลาย ช่วยตอบที [/FONT]

สมทิ สมวา · 25 กรกฎาคม 2015

วิชัย มณี said: ↑

[FONT=&quot]รู้มากมายมหาศาล ช้าง ม้า วัว ควาย วิ่งตาม ตายเปล่า [/FONT]
[FONT=&quot]ฉลาด แล้วตาย เสียชาติผู้รู้ เพราะผูกเวร [/FONT]
[FONT=&quot]รู้จริง ช้าง ม้า วัว ควาย ไม่วิ่งตาม โง่แล้วรอด [/FONT]
[FONT=&quot]นี่คือปราชญ์รู้จริง ไม่ผูกเวร [/FONT]
[FONT=&quot]ฉลาดแล้วตาย อยากให้ช้างเป็นวัว อยากให้ม้า เป็นควาย [/FONT]
[FONT=&quot]เป็นได้ที่ไหน กรรมของสัตว์ [/FONT]
[FONT=&quot]โง่แล้วรอด ช้างคือช้าง ม้าคือม้า วัวคือวัว ควายคือควาย [/FONT]
[FONT=&quot]กรรมมุนา วัฒชติ โลโก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม [/FONT]
[FONT=&quot]ฉลาดแล้วตาย โง่แล้วรอด ฉลาดทำไม [/FONT]
[FONT=&quot]รู้วิ่งตาย รู้หยุดวิ่งรอด เห็น วิ่งแล้วรอด [/FONT]
[FONT=&quot]เห็นหยุดวิ่งแล้วตาย รู้ทำไม เห็นทำไม [/FONT]
[FONT=&quot]รู้คืออะไร เห็นคืออะไร ผู้รู้ทั้งหลาย [/FONT]
[FONT=&quot]ผู้เห็นทั้งหลาย ช่วยตอบที [/FONT]

Click to expand...

ถ้าอยากรู้จริงให้ไปถามวัว ถามควาย ที่เขาโตมาได้ทุกวัน เพราะเขารู้จริง อิอิ

TheVisionMind · 25 กรกฎาคม 2015

Wellcome back!

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

นี่คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อถูกทาง

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

สมทิ สมวา เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

ไฟล์ที่แนบมา:

พระศีลอริยะเวทไตร.jpg

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

สมทิ สมวา เป็นที่รู้จักกันดี

TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

นี่คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อถูกทาง

ไฟล์ที่แนบมา:

พระศีลอริยะเวทไตร.jpg

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา