น้องผมเป็นคนไม่เชื่อการตายแล้วเกิดและอื่นๆ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สุโขสุขี, 7 มกราคม 2013.

  1. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    912
    ค่าพลัง:
    +1,469
    น้องชายผมจะออกแนววิทยาศาตร์คือต้องเห็นกับตาสัมผัสได้ถึงจะเชื่อ เรื่องที่ไม่เห็นจะไม่เชื่อเด็ดขาด เช่นการตายแล้วเกิด น้องผมจะบอกว่าตายไปก็จบกันไม่มีการเกิด หรือเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อต่างๆก็จะไม่เชื่อเลย หรือว่าเรื่องกฎแห่งกรรมน้องจะบอกว่าเป็นแค่กุสโลบายให้คนไม่กล้าทำสิ่งไม่ดีเฉยๆ แบบนี้น้องผมจะบาปหรือเปล่าครับ และทำยังไงถึงจะให้น้องเชื่อเรื่องพวกนี้ว่าเป็นจริง ครับ

    ปล.ถึงแม้น้องผมจะไม่เชื่อแต่ไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดีหรือที่เลวร้าย อย่างมากก็ดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน ครับ
     
  2. I_am_free

    I_am_free เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +207
    ไม่ต้องทำอะไรครับ ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องยกเหตุผล 108 ครั้งนึงผมก็เคยเป็นแบบน้องคุณนั่นแหล่ะ เชื่อมั่นในตัวเอง มีอัตตาสูง ไม่ยอมรับฟังหรือเชื่อใครง่ายๆ คิดว่าเรารู้ เราเก่ง เราถูก การเปลี่ยนความคิดโดยคนอื่นเป็นไปได้ยากครับ ผมบอกได้เลย ถ้าจะเปลี่ยนความคิดน้องคุณก็ต้องเปลี่ยนด้วยตัวเค้าเอง จากการเกิดทุกข์ การปฎิบัติเพื่อดับทุกข์ ถ้าบุญเก่าเค้าเคยมีสะสมไว้ วันนึงข้างหน้าก็จะมีเหตุปัจจัยทำให้เค้ารับรู้และเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม กฏธรรมชาติ เลิกยึดติดกับตัวกู ของกูได้เองครับ ไม่แน่
    อีกหน่อยเค้าอาจปฎิบัติมากกว่าพี่ชายก็ได้ครับ :)
     
  3. toseal

    toseal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +618
    ผมก็เคยเป็นแบบนั้นนะครับ คือต้องเจอกับตัวจริงๆครับ ขอบคุณความทุกข์
     
  4. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    ช่างเหมือนพี่ชายผมราวกับแพะ!...น้องของท่านสุขีฯได้เข้าถึงมิจฉาทิฏฐิประเภท อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ (ความเห็นทำนองไม่มีชาติหน้าภพหน้า กรรมดีกรรมชั่วไม่มีผล ตายเมื่อไหร่หมดไปเมื่อนั้น.)..และนัตถิกทิฏฐิ (เห็นว่า ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ปฏิเสธทั้งเหตุและผล )..น่าเป็นห่วงยิ่งนัก ...เพราะคติที่ไปของทั้งสองนี้คือนรกและเดรัจฉานเท่านั้น.....

    อนึ่ง..แม้การมีมิจฉาทิฏฐิ ก็เกิดจากเหตุเช่นกัน...เหตุให้เกิดมิจฉาทิฏฐิคือ...
    ...เพราะไม่ได้สดับคำสอนของบัณฑิต คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..
    ...ที่ไม่ได้สดับคำสอนของบัณฑิต คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ก็มีเหตุคือ ไม่ได้คบกัลยาณมิตร..
    ..เมื่อไม่ได้คบกัลยาณมิตร ก็ได้แต่คบพาลมิตร เป็นเหตุให้ไม่มีโยนิโสมนัสสิการ...ย่ิอมได้สดับและรับเอาสิ่งที่เป็นปัจจัยแก่มิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย..ได้โดยง่าย
    .....ครั้นไม่มีโยนิโสมนัสสิการเสียแล้ว การที่จะใคร่ครวญคิดได้ในทิฏฐิที่ถูกตรง ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้..แม้ในทางโลกเขาอาจฉลาดกว่าไอน์สไตน์ก็ตาม...

    ...ครั้นพอกพูนเสพคุ้นนานไป ย่อมเข้าถึงความสั่งสมแน่นหนา ชอบใจนิยมในมิจฉาทิฏฐินั้น จนถอนไม่ได้..แม้จะเกิดมา ก็ย่อมแล่นเข้าหาหรือรับเอาแต่มิจฉาทิฏฐิที่ตนชอบใจได้โดยง่ายและรวดเร็ว ปราศจากความลังเล..เหมือนนกที่ถูกนายพรานดักไว้ด้วยตาข่าย ย่อมดิ้นไม่หลุด ฉะนั้น..



    การแก้ไขทำได้อย่างเดียวคือเขาต้องเปิดใจรับเอาเองเท่านั้น..ใครอื่นที่จะแก้ไขทิฏฐิของใครๆนั้น ไม่อาจทำได้..แม้พระพุทธเจ้า ดูเหมือนจะทรงแก้ไขผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิได้มากมายมหาศาล ก็เพราะเขาเหล่านั้น....เปิดใจ เงี่ยโสตลงสดับ และรับเอาเอง ..หาใช่เพราะพระพุทธเจ้าบังคับยัดเยียดหรือเสกเป่าให้เขาเหล่านั้นเปลี่ยนใจไม่...

    การแก้ไขทิฏฐิของใครๆเป็นเรื่องยากยิ่งที่สุดในบรรดาเรื่องยากทั้งหลาย..การสร้างอุปกรณ์ส่งไปดาวอังอังคารหรือพลูโต ยังจะง่ายเสียกว่า ..

    ท่านสุขีฯ ทำได้แต่เพียงสั่งสมพอกพูนสัมมาทิฏฐิของตนให้แน่นหนามั่นคง เมื่อท่านมีสัมมาทิฏฐิมั่นคงแล้ว การแสดงออกของท่านทางกายวาจา จะเป็นสิ่งที่เขาอาจเห็นความต่างและสนใจขึ้นมาก็ได้...การทุ่มเถียงโต้แย้งด้วยเหตุผลจะเป็นได้แต่การทะเลาะเเตกสามัคคีกันเท่านั้น เพราะหลักการต่างกันแต่ฐานแล้ว..เมื่อรับทิฏฐิของกันและกันไม่ได้ก็คุยกันเรื่องอื่นเถิด..อย่าได้สร้างความขัดแย้งเพราะเห็นต่างกันเลย...เวลานี้ยังต้องอยู่ด้วยกันก็สมานปรองดองกันไว้....อีกไม่นาน ต่างก็ต้องไปกันคนละทางตามทิฏฐิอันเป็นเพื่อนแท้ที่ตนมีเฉพาะตนนั่นแหละ.....

    ท่านสุขีฯ อาจหาหนังสือธรรมะดีๆ หรือ print ไปวางในที่ๆสายตาของน้องจะเห็น เผื่อเขาสนใจใคร่รู้อาจแอบอ่าน....บางที...บางที...(ไม่หนาเท่าไรนักหรอก..!)อาจช่วยเขาได้ทัน...ขอเอาใจช่วยสุดแรงเกิดครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2013
  5. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    แสดงว่า น้องคุณ ก็เหมือนกับอีกราวๆ6พันกว่าล้านคน ที่นับถือลัทธิ ศาสนาอื่นๆ
    แม้พุทธ ทั้งเถรวาทและมหายานก็ตามที มีราวๆ700ล้านคนทั่วโลก
    แต่น้องคุณก็ไร้สังกัดอยู่ดี
    เขาเรียกใกล้เกลือกินด่าง น่าจะนับเป็นพวกไม่มีศาสนา เหมือนฝรั่งยุโรป อเมริกา
    สัตว์โลกพวกนี้ ถือเป็นพวกบัวใต้น้ำและใต้โคลนตรม
    ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคนเอง ที่จะมารู้ มารับ มาเชื่อและศรัทธาพุทธศาสนา
    ในกรณีสอนก็ไม่ฟังแบบนี้ มิจฉาทิษฐิแบบนี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็บอกให้ฆ่าทิ้ง คือ ไม่สอน
     
  6. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    วางอุเบกขาครับ
     
  7. nai_Prathom

    nai_Prathom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +694
    ต้องรอถึงวันที่เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิต
    เช่น วิบากกรรมให้ผล จนมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายในชีวิต
    ถ้าเป็นผู้มีปัญญา ก็จะเริ่มค่อยๆเข้าใจได้เองว่า มีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตนเองในปัจจุบัน ราวกับว่า สิ่งนั้นเป็นผลมาจากอดีตที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ แต่ผลนั้นได้เกิดขึ้นแล้วกับตนเอง

    บางคนได้พบจุดเปลี่ยนของชีวิต ก็อาจเปลี่ยนอย่างจริงจัง บางคนก็อาจเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย บางคนปัญญาน้อยมาก ก็อาจรอเจอกับจุดเปลี่ยนอีกหลายๆครั้ง และอีกหลายๆภพชาติ
     
  8. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    เป็นมิจฉาทิฏฐิครับ คือมีความเห็นไม่ถูกต้อง.. เมื่อมีความเห็นไม่ถูกต้องก็เหมือนคนตาบอดเดินไปในทางที่ไม่รู้ว่าทางไหนผิด ทางไหนถูก คือไม่มีศรัทธา วิธีการจะทำให้คนประเภทนี้ลดทิฏฐิมานะ.. ต้องให้เขามีศรัทธา.. โดยต้องให้พบเจอกับตนเองครับ คนประเภทนี้ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองแล้ว จะไม่เชื่อง่ายๆ.. พูดง่ายๆไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา.. คนประเภทนี้ถ้าเจออะไรหนักๆกับชีวิต ร้ายแรง อาจเปลี่ยนความคิดได้.. หรือจะลองพาไปทดสอบ ถ้าไม่เชื่อว่าผีมีจริง ก็ไปทดสอบให้เจอเลย.. การนั่งสมาธิ ก็ต้องทดสอบคือปฏิบัติ เราพูดไปว่าดี ร้อยครั้งพันครั้งเขาก็ไม่เชื่อ เท่าเขา ปฏิบัติแล้วสัมผัสด้วยตนเอง.. ส่วนเรื่องเหตุ เรื่องผล ในการตอบปัญหา กับคนที่ไม่เชื่อนี้ ลองไปอ่านเรื่อง มิลินทปัญหา.. หรือหนังสือของท่าน ว.วชิรเมธี ( เรื่อง อ่านก่อนตายไม่เสียดายชาติเกิด ) จะมีการปุจฉา - วิสัชนา ระหว่างกษัตริย์( พระยามิลินทร์ ) กับพระนาคเสน เกี่ยวกับเรื่อง บาป - บุญ, นรก,สวรรค์, อดีตชาติ,ชาติหน้า.. ต่างๆ เป็นการตอบคำถามแนววิทยาศาสตร์ปรัชญา ที่มีการเปรียบเทียบให้คนที่ต้องใช้เหตุผลมากๆ เข้าใจได้ง่าย ลองให้น้องคุณอ่านให้จบ( ย้ำว่าอ่านให้จบ ) แล้วลองไปคุยดูใหม่ อันนี้ตอบคำถามได้จริงๆ..
     
  9. ปานศรี

    ปานศรี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +16
    คงพูดแนะนำอะไรมากไม่ได้เหมือนกันครับ ผมเองก็ลองนึกอยู่ทุกวันว่าทำไมเราเชื่อ ทำไมบางคนไม่เชื่อ(บางทีเขาก็หาว่าคนเชื่อเป็นคนโง่)เราก็มานั่งนึกย้อนไปว่าทำไมเราเชื่อ ตรวจสอบตัวเองแล้วก็รู้ว่าเราไม่ได้เชื่อแบบโง่ๆ(คือไม่ได้พิจารณาแล้วก็เชื่อ)แต่มันผ่านการใคร่ครวญ พินิจพิจารณา ศึกษามาต่อเนื่องจนเราเชื่ออย่างแท้จริง
    ผมมักจะบอกคนที่ยังไม่เชื่อเรื่องนี้ว่า พุทธศาสนามีมากว่า2500ปีแล้ว แสดงว่ามันต้องมีอะไรดีจึงยืนยงคงอยู่ขนาดนี้ และหากเราพิจารณาละเอียดลงไปอีก ผู้ที่พูดว่าสวรรค์ นรกมีจริง ทุกท่านก็ล้วนแต่เป็นครูบาอาจารย์ที่แทบจะเรียกว่าหาที่ติติงเรื่องคุณงามความดีของท่านเหล่านั้นไม่ได้เลย หรือหากคิดว่าท่านเหล่านนั้นพูดไปเพื่อหวังลาภสักการะ ก็ยิ่งไม่จริง เพราะครูบาอาจารย์ทุกท่านเหล่านนั้นท่านไม่เอาอะไรเลย อย่างท่านหลวงตามหาบัว ท่านบริจาคทั้งโรงพยาบาลหรือแม้แต่หาทองคำเข้าคลังหลวง วันที่ท่านจากไปแล้ว หากว่าท่านเอาเป็นของตัวเองจริงๆก็คงจะความแตก แต่ที่เห็นคือท่านเหล่านั้นทำให้โลก ให้มนุษย์ให้ได้แต่สิ่งที่ดีงาม
    แล้วถ้าพิจารณาแบบนี้เราก็พอจะคิดได้ว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้ายังไม่เชื่ออีก ก็ให้มาศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง แล้วก็จะรู้เองว่ามันจริงหรือไม่จริง
     
  10. Kimzo

    Kimzo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +1,046
    เมื่อก่อนก็เคยไม่เชื่อค่ะและก็สงสัยไปตามคนไม่เคยศึกษาพระธรรมเลยแต่ตอนนี้เชื่อแล้วค่ะว่ามันมีจริงจากที่ได้อ่านเรื่องราวในเว็บนี้มามากพอสมควร
    เมื่อก่อนมีช่วงนึงค่ะคบเพื่อนเที่ยวกลางคืนกินเหล้ากันเกือบทุกอาทิตย์แถมเรากินยาลดความอ้วนอีกซึ่งยาลดความอ้วนอันตรายมากๆมันกดประสาทช่วงนั้นเลยเหมือนคนเสียสติไปแล้วค่ะพูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องเบลอๆงง
    แต่ช่วงหลังๆมารักษาศีล5มากขึ้นสติสัมปชัญญะฟื้นฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
    ถ้าน้องคุณไม่ค่อยศึกษาธรรมคุณลองแนะนำหนังสือธรรมที่อ่านง่ายๆสำหรับวัยรุ่นอย่างเช่นหนังสือ"ถ้ารู้กูทำไปนานแล้ว"ดูนะคะอ่านง่ายดีนะคะไม่ซีเรียสจนเกินไปหวังว่าคงช่วยคุณแนะนำน้องคุณได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
     
  11. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    คุณรู้มั้ยครับ กว่าใครสักคนจะเชื่อในกฏแห่งกรรมนรกสวรรค์ ต้องบำเพ็ญบารมีมาไม่น้อย
    มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะเชื่อ
    ดังนั้น ปล่อยวางดีกว่าครับ พูดมากเซ้าซี้ เขาก็รำคาญเปล่าๆ
    ถึงเวลาแล้วเขาจะรู้เอง
     
  12. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    จำตอนเด็กที่เขาทำไม่ดี ฆ่าหรือทรมานสัตว์หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ดีได้หรือเปล่า ถ้ามีเหตุการณ์แบบที่เขาทำไว้เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง นั่นแหล่ะลองถามเขาดูว่า เคยจำเหตุการณ์แบบนี้ในสมัยเด็กได้หรือเปล่า? ถามเขาว่ามันจะเรียกว่ากฎแห่งกรรมได้ไหม?
     
  13. wayokasin

    wayokasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +277
    น้องชายผมจะออกแนววิทยาศาตร์คือต้องเห็นกับตาสัมผัสได้ถึงจะเชื่อ เรื่องที่ไม่เห็นจะไม่เชื่อเด็ดขาด เช่นการตายแล้วเกิด น้องผมจะบอกว่าตายไปก็จบกันไม่มีการเกิด หรือเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อต่างๆก็จะไม่เชื่อเลย หรือว่าเรื่องกฎแห่งกรรมน้องจะบอกว่าเป็นแค่กุสโลบายให้คนไม่กล้าทำสิ่งไม่ดีเฉยๆ แบบนี้น้องผมจะบาปหรือเปล่าครับ และทำยังไงถึงจะให้น้องเชื่อเรื่องพวกนี้ว่าเป็นจริง ครับ
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:

    เป็นธรรมดาครับ แบบนี้มีเยอะครับ ดู ๆ แล้วก็เป็นคนดี แต่ออกจะรั้น นิด ๆ ความดื้อรั้นนั้นถ้ายังไม่ก้าวไม่พ้นความเป็นปุถุชน ก็มีกันทุกคน (ผมก็มีครับ) คนรั้นแบบนี้มีข้อดีเยอะนะครับ เขาจะมีความเพียรสูงมาก อดทนดี ทำอะไรทำจริงใช่มั้ยครับ?
    คนแบบนี้ ครูอาจารย์ ท่านชอบมากครับ เพราะฝึกได้ง่าย เพราะความไม่เชื่อ ไม่ยอมรับ มีจริงหรือไม่ เขาจะต้องไปพิสูจน์เอง ใครจะไปบอกเขาไม่ได้ พอท่านบอกปุ๊บคนแบบนี้จะไปทำทันที(ปฏิบัติกรรมฐาน)... ไม่มีความสงสัยอะไร เพราะว่าไม่เชื่อเขาจะทำจนถึงที่สุดว่ามี หรือ ไม่มี ใช่หรือไม่ใช่ เขาจะทำความเพียร จนกว่า ทุกอย่างจะกระจ่างชัดด้วยตัวเขาเอง เพราะรั้น เพราะอยากรู้ว่ามีจริงมั้ย คนรั้น ๆ ส่วนใหญ่ มีความตั้งใจสูง สมาธิจะดี ทำให้การปฏิบัติไปได้ไวกว่าคนอื่น แบบก้าวกระโดด เพราะไม่ค่อยสงสัย จะทำไปจนกว่าจะรู้เห็นด้วยตนเอง เพราะเครื่องกั้นของเขามีน้อย
    คนแบบนี้ฝึกไม่ยากหรอกครับ ให้เขาไปทำดูเอง แต่ต้องทำจริง ๆ จัง ๆ นะครับ ถ้าจะเอาผลของมันจริง ๆ ทำทุกวัน ต่อเนื่อง ทำได้มาก ได้น้อย ถ้าทำทุกวัน ผลของการปฏิบัติของจะเกินคาด ที่นี้สิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ จะมาเองเขาจะรู้เอง โดยไม่ต้องหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์โต้แย้งได้เลย อยากรู้ต้องทำเอาเอง ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันแล้วแต่บารมีที่ได้สั่งสมมา
    ก็ลองไปตามโรงบาลดูครับ ไปห้องที่เด็กแรกเกิด แล้วคิดดูซิว่า ถ้าตายแล้วสูญ ไม่มี การเกิดแล้วเด็กจะมาได้ไง ป่านนี้ คนคงหมดโลกแล้ว ครับ... เมื่อวานยังมี วันนี้ยังมี พรุ่งนี้ ก็กำลังจะมาถึง ฉะนั้น อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ชาติหน้าจะไม่มีไปได้ได้อย่างไร คนก็เกิดทุกวันนี่ครับ อย่าลืมว่ากายมุษย์ทำงานได้เท่านี้ หู-ตา อวัยวะ ของมนุษย์ รับได้เท่านี้ อะไรที่กายนี้ไม่อาจรับรู้ได้ หยั่งลงไปไม่ถึง คนทั้งหลายย่อมบอกว่าไม่มี เพราะมันเกินวิสัยของปุถุชนจะรับรู้ได้ เพียงเพราะว่า เขาไม่อาจเห็น และไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ ก็เลยเชื่อทันทีว่าไม่มี อากาศมีมั้ย ก็ ตอบว่า ไม่มี มองไม่เห็น จับไม่ได้ แล้วทุกวันนี้ ท่านหายใจเอาอะไรเข้าไป ความรัก โลภ โกรธหลง หลง ดีใจ-เสียใจ พอใจ-ไม่พอใจ ก็ไม่มีตัวตน มองก็ไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่เวลาที่เราโกรธเรามีอาการยังไง เราสุขใจ แสดงอาการออกมายังไง ทำไมคนภายนอกจึงรู้ได้ว่าเรากำลังโกรธ เรามีความสุข บางทีสิ่งที่มีอยู่ ก็ ไม่จำเป็นว่า ต้องจับต้องได้ และมองเห็น
    เพราะร่างกายนี้ทำให้เรา รู้เห็นได้เท่านี้ มีบางอย่างที่อยู่เหนือวิสัยของกายเนื้อ ที่จะรับรู้ได้ มันเป็นข้อจำกัดทางกาย คุณก็ฝึกจิตให้ละเอียดลงไป สะอาดลงไปกว่านี้ ก็จะรู้เห็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ทางกาย กายนี้มันรู้ได้เฉพาะสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น
    โยม: หลวงพี่เทวดาไม่เห็นมีจริงเลยผมนั่งเครื่องบินตั้งหลาย ครั้งไม่เห็นขับชนเทวดาสักที่ สงสัยไม่มีจริงละมั้ง
    หลวงพี่: โยมเข้าใจผิดแล้ว โยมอยู่ในโลกของรูปธรรมแต่โยมอยากจะเห็น ในสิ่งที่เป็นนามธรรม ถ้าโยมอยากเห็นโยม ก็ ทำตัวเองให้เป็นนามธรรมสิ จะโยมทำได้มั้ยล่ะ จะได้รู้ ได้เห็น โยมเป็นของหยาบ แต่เทวดาเหล่านั้นเป็นของละเอียด
    ถ้าโยมทำให้ตัวเองละเอียดได้เท่าเขา โยมจะเห็นพวกเขาได้
    -----------------------------------------------------------
     
  14. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,499
    มีหลาย ๆ ท่านได้กล่าวแนะไว้ได้ดีควรแล้ว ขออนุโมทนาด้วยครับ
    จริง ๆ แล้ว องค์พระสัมมา ท่านเปรียบเสมือนนักวิทย์นะครับ
    และศาสนาพุทธนี้ ก็ว่าด้วยเรื่อง เหตุ และ ผล ไม่มีสุ่มเดา หรือ จินตนาการนึกคิดใด ๆเลย
    เพราะเหตุนั้น ผลจึงเป็นเช่นนี้หรือไม่ เพราะสิ่งนั้นเป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดหรือไม่ ฯลฯ
    ทุกสิ่งอย่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่เรานี่ ก็ล้วนแต่มีที่มาที่ไปกันทั้งนั้น การที่เราจะเข้าถึงธรรมได้นั้น
    ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ และ ไม่ใช่เพราะใครกำหนด แต่อย่างใดเลย...

    แต่ก่อนผมก็ไม่เคยชอบธรรมมะ นะครับ มีแสดงไว้ที่ ID ว่าศาสนาพุทธ แต่ถ้าถามว่า
    แล้วศาสนาพุทธนี่ สอนอะไร จุดมุ่งหมายคืออะไร ผมบอกได้เลยว่า...ไม่รู้
    ก็นี่ล่ะ เพราะไอ้ความไม่รู้นี่ล่ะ คืออวิชชาดี ๆ นี่เอง ที่มันติดเรามา จนสะสม ภพ ชาติ มานับไม่ถ้วน
    โชคยังดี ที่ได้ประสบพบทุกข์หนัก จนเห็นสัจธรรมความจริงแท้ที่พระองค์ท่านทรงได้ตรัสสอนไว้
    ไม่เช่นนั้นผมคงจะหลงอยู่กับโลกอันมายานี้ ไปอีกนานแสนนาน...

    บางสิ่งบางอย่าง และเรื่องในบางเรื่อง อาจเป็น ปัจจัตตัง
    ควรแล้วที่จะให้เขาประสบพบและเรียนรู้ด้วยตนเอง ช่วยเหลือกันเท่าที่จะทำได้...
    และเมื่อใดที่จิตของเขาเป็นสัมมา เมื่อนั้นการปฏิบัติก็ย่อมที่จะส่งผลดีต่อเขาเป็นแน่แท้
    ก็ขอให้น้องชายของท่านสุโขสุขี มีดวงตาเห็นธรรม ในเร็ววันนะครับ
     
  15. sazukia007

    sazukia007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +710
    ช่างมันดิ

    ของที่พิสูจไม่ได้ด้วยตนเองถ้าได้ยินปุบเชื่อเลยก็เกินไปหละ
    เราว่าคุณดูตัวคุณดีกว่า
     
  16. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    เชื่อก็ช่าง ไม่เชื่อก็ช่าง อย่าไปคาดหวัง

    บุญบารมีของแต่ละคนไม่เท่ากัน คนมีบุญสติปัญญาบารมีมาก ไม่ต้องไปทำอะไรเค้าก็เชื่อของเค้าเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2013
  17. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ความไม่เชื่อไม่ใช่บาป แต่มันเหมือนรถที่ไม่มีเบรค มันก็มีบางคนที่ปลอดภัย แต่ส่วนใหญ่ชนมากหรือชนน้อย
     
  18. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
     

แชร์หน้านี้

Loading...