น้ำพลังมหัศจรรย์ สิ่งที่ควรรู้หากยังมีลมหายใจอยู่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย banpong, 21 มิถุนายน 2014.

  1. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,439
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ที่มาของพลังแม่เหล็ก (Magnenetic energy)
    น้ำพลังมหัศจรรย์ สิ่งที่ควรรู้หากยังมีลมหายใจอยู่
    [​IMG]
    ที่มาของพลังแม่เหล็ก (Magnenetic energy)
    1. น้ำที่อยู่ตามธรรมชาติ จะได้รับพลังงานแม่เหล็กรวม 3 ทิศทาง คือ
    1.1 Material Magnetism เป็นเส้นแรงแม่เหล็กจากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้ สนามแม่เหล็กนี้คลุมโลกทั้งใบ
    1.2 Gravitational Magntism หมายถึงแรงดึงดูดของโลก (Gravity)
    1.3 Planetary Mangetism คือพลังงานแม่เหล็กของจักรวาล ซึ่งแรงที่สุดเพราะเห็นได้จากสามารถยึดดาวต่างๆ ให้อยู่ในระเบียบ ถ้าไม่มีพลังนี้ดึงไว้ โลกคงจะหมุนกระเด็นออกไปจากวงโคจรของสุริยจักรวาล
    2. น้ำจากเครื่องกรองน้ำ เครื่องกรองน้ำที่มีพลังแม่เหล็กที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ นอกจากมีตัวกรอง (Filter) แล้ว เช่น ไส้กรองเซรามิค ไส้กรองคาร์บอน แบบต่างๆ แล้ว จะต้องมีแท่นแม่เหล็ก (magnetic Disc) ใส่ไว้ด้วย เครื่องกรองน้ำประเภทนี้บางชนิดอาจจะมีเหล็กไว้บริเวณท่อน้ำไหลออก (Point of Use) หรือก๊อกน้ำ และบางชนิดอาจมีลักษณะ เป็นก้อนกลมตรงกลางเป็นรูกลวง ความแรงประมาณ 4,000 Gausses แต่ถ้าใช้ขนาด 10,000 Gausses จะทำให้น้ำที่เพียงไหลผ่าน ก็ได้รับพลังงานกลายเป็น Magnetized Water (น้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก) หรือถ้าเรียกอย่างถูกต้องคือ Magnetic Treamtment Water
    ถ้าที่มีเครื่องกรองน้ำอย่านำไปตั้งใกล้เครื่องคอมพิวเตอร์ ไมโครเวฟ ฯลฯ เพราะจะทำให้แม่เหล็กในเครื่องเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น
    โลก คือ แม่เหล็กขนาดใหญ่ (The Great Magnet, the Earth)
    พลังแม่เหล็กมีหน่วยวัดเรียกว่า “เก๊าส” (Gauss) คำนี้เป็นภาษาเยอรมัน ตั้งขึ้นโดยท่าน Carl Friedrich Gauss ในปี ค.ศ. 1835
    ความแรงของสนามแม่เหล็กวัดได้ที่บริเวณผิวโลก (Earth’s Electromagnetic Field) มีค่าเฉลี่ยประมาณ 0.5 Gauss ณ บริเวณเส้นศูนย์สูตร (Equator) แต่ไม่เท่ากันทั้งโลก มากบ้าง น้อยบ้างตามภูมิศาสตร์ ซึ่งอาจจะดูตัวเลขน้อย แต่เมื่อต้องสัมพันธ์กับน้ำหนักของโลก ในการคำนวนพลังงาน Electromagnetic Energy จะได้ตัวเลขมหาศาล ถึงแม้จะเป็นจุดทศนิยมถึง 5 หลักก็ตาม
    นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงคลื่นความถี่ในสนามแม่เหล็ก (Magnetic Frequencies) บนผิวโลกนี้ สาเหตุหลักเกิดจากอิทธิพลของดวงอาทิตย์ ทำให้สัตว์ที่อพยพเดินทาง (Migratory Animal) เกิดความสับสนเพราะหลงทิศ อาจมีการเปลี่ยนแปลงบโครงสร้าง ดี เอน เอ (DNA) ในนิวเคลียสของเซลล์ของสัตว์ชั้นต่ำได้ด้วย และเป็นเหตุให้แบคทีเรียบางชนิด (เช่น พวก Staphylococcus) ดื้อยา หรือเกิดไวรัสพันธุ์ใหม่ ซึ่งมนุษย์ไม่เคยรู้จักมาก่อน (จากบทความเรื่อง The Great Magnet, the Earth)
    ความไม่เท่ากันของพลังแม่เหล็กบนผิวโลกนี้ เชื่อว่าทำให้สิ่งมีชีวิตตามที่ต่างๆ ของภูมิศาสตร์จะไม่เหมือนกันในบางคุณลักษณะ เช่น พืชจากแหล่งหนึ่งเมื่อไปปลูกอีกพื้นที่หนึ่ง จะมีรสหรือกลิ่นหรือความเหนียวเปลี่ยนไป สมมุติว่าพืชสะตอจากปักษ์ใต้ ซึ่งใกล้เส้นศูนย์สูตรของโลก เมื่อไปปลูกทางภาคกลางของประเทศไทย ถึงแม้จะเป็นสะตอเหมือนกันก็จริง แต่รสหรือกลิ่นจะเปลี่ยนไปจากสะตอปักษ์ใต้ (นอกจากนี้ยังมีผู้นำไปใช้อธิบายถึงความแตดต่างของมนุษย์บินผิวโลกนี้ที่ไม่เหมือนกัน)
    [​IMG]
    1. โครงสร้างเล็กลง ( Microcluster) ในแต่ละกลุ่มของการจับตัวของโมเลกุล
    ถ้านำน้ำมาผ่านสนามแม่เหล็ก (Magnetic Field) พลังงานแม่เหล็กจะทำให้โครงสร้าง (Structure) ทางกายภาพของน้ำเกิดจากการเปลี่ยนแปลง แต่คุณสมบัติทางเคมีของน้ำไม่มีเปลี่ยน โมเลกุลยังคงเป็นไฮโดรเจน (Hydrogen) 2อะตอมกับออกซิเจน (Oxygen) 1 อะตอมเหมือนเดิม แต่เกิดการจับกลุ่มที่มีโครงสร้างจำนวนโมเลกุลน้ำ (H2O) น้อยลง ที่เคยเกาะเป็นกลุ่มละ 14 โมเลกุล (เช่นน้ำประปา) จะลดลงมาเหลือเพียง 6 โมเลกุลต่อ 1 กลุ่ม ซึ่งเราเรียกน้ำที่มีกลุ่มขนาดเล็กกะทัดรัดนี้ว่า Microcluster Water (น้ำกลุ่มเล็ก) นักวิทยาศาสตร์แต่ละสถาบันก็เรียกชื่อกันไปต่างๆ ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้สร้าง เช่น Structured Water, Hexagonal Water, Clustered Water, Nanoclustered Water, Magnetic Resonanance Water, lonized Water, Altered Water, etc
    การมีโครงสร้างเป็นกลุ่มเล็กลงและโมเลกุลของน้ำ (H2O)
    หันมาเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ทำให้มันผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) ทั้งเข้าไปและออกมา ตามอวัยวะต่างๆ ของมนุษย์และสัตว์ รวมทั้งผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Wall) ของพืชได้ง่าย สามารถพาสารอาหารรวมทั้งออกซิเจนเข้าไปในเซลล์และเอาสารพิษกับของเสียออกมาจากเซลล์ ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้เซลล์ไม่เสื่อมคุณภาพ และเซลล์จะแก่ตัว
    2. แรงตึงผิวลดลง (Less Surface Tenion)
    การที่โมเลกุลของน้ำจับตัวกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก และเรียงตัวกันใหม่ขนานไปตามแนวเดียวกัน ไม่แออัด มีระเบียบ นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าแรงตึงผิว (Surface Tenion) จึงลดลงจาก 75 dynes มาเป็น 45 dynes บางครั้งลงมาถึง 38 dynes และยังทำให้เลือดไม้ข้น (Viscosity) มากเกินไปด้วย
    การที่น้ำมีแรงตึงผิวต่ำ ทำให้สามารถละลายสารอาหารต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น ( More Effective Solvent) พาไปให้เซลล์ จนเพียงพอขณะเดียวกันของเสียในเซลล์ ก็สามารถละลายได้ง่ายในน้ำเช่นกันและเอามาทิ้งนอกเซลล์ และถูกนำออกไปจากร่างกายได้โดยสะดวก เซลล์จึงแข็งแรงและมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น
    การที่พลังแม่เหล็ก (Magnenetic Treatment Water) ซึ่งโครงสร้างขนาดเล็ก (Structured Water) มีคุณสมบัติเข้าและออกเซลล์ค่อนข้างว่องไวอย่างนี้ ทำให้เมื่อดื่มน้ำ Magnetized water จะแก้กระหายน้ำได้เร็วมาก
    [​IMG]
    3. การแตกตัวเป็นไอออน (Ion) ของน้ำโมเลกุล (H2O)
    การแตกตัวเป็นไอออน ( Ionization) ก็คือการแยกออกไปหรือเพิ่มเข้ามาของอีเลคตรอน (Electron)
    โมเลกุลน้ำ (H2O) เมื่อถูกกระเทือนด้วยความถี่ของคลื่นแม่เหล็ก (Electromagnetic Vibration) จะทำให้โมเลกุลของน้ำจำนวนหนึ่งแตกตัวเป็นไอออน (Ion) ประกอบด้วยไฮโดรเจน ไอออน (H+) ประจุบวก กับ ไฮดรอกซิลไอออน (OH) ประจุลบ
    H2O H+ + OH
    ไฮโดรเจน ไอออน (OH) บางส่วนจะไปรวมตัวกับกลุ่มเกลือแร่ เช่นแคลเซียม กลายเป็นแคลเซียม ไบคาร์บอเนต (Calcium Bicarbonate) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่าง (Alkaline) ทำให้น้ำมีค่า pH ประมาณ 7.6-8.5
    ไฮดรอกซิน ไอออน (OH) นี้ ถ้า 2 ตัวรวมกันจะเกิดเป็นน้ำ (H2O) อีกครั้งกับออกซิเจนไอออน (O)
    OH + OH H2O + O
    ออกซิเจน ไอออน (O) นี้ จะมีอีเลคตรอนประจุลบ ซึ่งทำหน้าที่หยุดวงจรอนุมูลอิสระ (Free Radical Cycle) คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ (Antioxidant) บางครั้งจะรวมตัวกันเองกลายเป็นแก๊สออกซิเจน (O2) ละลายอยู่ในน้ำโดยอยู่ในวงล้อม ของกลุ่มโมเลกุลโครงสร้างเล็ก (Microcluster) ดัก O2 ไว้เหมือนใส่กรง (Cage) โดยมี Hydrogenbond (บางครั้งเรียก Hydrogen bridge) เป็นตัวช่วยกั้น ซึ่งมีประดยชน์อย่างยิ่งกับเซลล์ของร่างกาย
    น้ำที่แก๊สออกซิเจนอัด เพื่อต้องการให้มีออกซิเจนละลายสูง หวังจะให้เป็นน้ำพลังชีวิต ตามความจริงแล้ว ออกซิเจนจะไม่อยู่ในน้ำโดยวิธีนี้ได้นานเกิน 30 นาที
    ไฮโดรเจน ไอออน (H+) ซึ่งเป็นประจุบวก ถ้ารวมกัน 2 ตัว จะกลายเป็นแก๊สไฮโดรเจน (H2) ละลายในน้ำหรือระเหยออกไปและบางครั้งรวมกับออกซิเจน (O2) กลายเป็นน้ำ (H2O) ความเป็นกรดจึงถือว่าเป็นนัยสำคัญ
    4. อายุของน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก (Magnetized Water)
    ก. คุณสมบัติของการต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ขึ้นอยู่กับอายุของไฮดรอกซิลไอออน (Hydroxyl Ion) ซึ่งจะอยู่ในน้ำไดไม่เกิน 18-24 ชั่วโมง
    ข. ความเป็นด่าง (Alkaline Property ) ซึ่งวัดค่าโดย pH ระดับที่ต้องการควรสูงเกินกว่า pH 7.4 จะอยู่ได้นาน 1-2 อาทิตย์
    ค. การมีโครงสร้างขนาดเล็ก (Microcluster หรือ Structured Water) คือ โมเลกุลของน้ำ 5-6 ตัว ต่อ 1 กลุ่ม (Cluster) จะอยู่ได้ประมาณ 1-3 เดือน
    การที่อายุของแต่ละคุณสมบัติมีช่วงเวลาสั้นไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นกับกับสภาพของสิ่งแวดล้อม ถ้าเก็บน้ำในตู้เย็น หรือเก็บในขวดที่เป็นแก้วปิดสนิท จะมีประสิทธิภาพอยู่ได้นาน
    การที่น้ำมีฤทธิ์เป็นด่าง เพราะเกิดจากเกลือแร่แคลเซียม ไบคาร์บอเนต (Calcium Bicarbonate) ดังได้กล่าวมาแล้ว แต่ขวดที่เป็นพลาสติกจะยอมให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึมผ่านเข้าไป และทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไบคาร์เนตซึ่งละลายอยู่ในน้ำ เกิดเป็น แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ซึ่งไม่ละลายในน้ำ จึงตกเป็นตะกอน และความเป็นด่างจะลดลง
    ขวดที่เป็นแก้วจึงเก็บน้ำให้คงมีประสิทธิภาพได้นานกว่าขวดพลาสติก
    2.) คุณลักษณะของน้ำที่ผ่านสนามแม่เหล็ก (Characteristics of Magnetized Water)
    คุณสมบัติน้ำที่ผ่านสนามแม่เหล็ก ประกอบด้วย
    2.1 การเกาะกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก คือ 6 โมเลกุลของน้ำ (H2O) ต่อ 1 กลุ่ม (Microcluster) แทนที่จะเป็น 30-40 โมเลกุลต่อ
    1 กลุ่ม (Microcluster หรือ Bound Water) ทำให้มันสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งเข้าไปและออกมาจากเซลล์ได้รวดเร็ว เมื่อเข้าไปก็จะนำสารอาหารออกซิเจนเอนไซม์เกลือแร่ต่างๆ เพื่อให้เซลล์ได้ใช้ และเมื่อออกมาก็จะเป็นสารพิษ ของสีย จากการเมตาบอลิซึม (Metabolism) ซึ่งเรียกว่า Metabolic Water เพื่อนำไปทิ้ง ผลก็คือ เซลล์สดใส แข็งแรง มีกำลังทำลายสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่ต้องการได้โดยง่าย และที่สำคัญ เซลล์จะชลอความแก่
    2.2 การมีแรงตึงผิวต่ำ (Less Surface Tension)
    ก. ทำให้กลายเป็นที่มีคุณสมบัติเป็นตัวทำลาย (Solvent) สิ่งต่างๆ ได้ดี สารอาหารทั้งหลายที่ละลายอยู่ในเลือดที่ประกอบด้วยน้ำ 92 เปอร์เซ็นต์ ก็จะถูกพาเข้าในเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ความสำคัญต่อชีวิตคือ มีออกซิเจนละลายอยู่ด้วยอย่างเพียงพอ
    ดังนั้นการกินยาโดยใช้น้ำที่มีแรงตึงผิวต่ำหรืออีกนัยหนึ่ง คือ การดื่มน้ำที่มีโครงสร้างเล็ก (Structured Water, Clustered Water) จะทำให้ยาที่กินถูกพาเข้าในตัวเซลล์ได้ปริมาณตรงตามวัตถุประสงค์ของแพทย์ เพราะยาจะละลายในน้ำ น้ำที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่ – Macrocluster) ทำให้ยายังคงวนเวียนอยู่ในน้ำเหลือง หรือซีรั่มของเลือดเพราะผ่านเข้าเซลล์ไม่ได้ง่ายๆ นอกจากไม่เกิดประโยชน์ทางยาแล้ว ยังอาจจะเกิดความเป็นพิษ และแพ้ยาขึ้นอีกด้วย
    ถ้าเอาไปผสมแอลกอฮอล์ (สุรา) เมื่อดื่มก็จะเมาเร็วขึ้นกว่าผสมกับน้ำชนิดอื่น
    ข. แรงตึงผิวต่ำ ทำให้ความหนืดหรือความข้น (Viscosity) ของเลือดลดลง ประกอบกับน้ำในเลือดเป็นกลุ่ม ที่มีโครงสร้างขนาดเล็ก และเป็นระเบียบ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่ม (Cluster) เพิ่มมาก พอมีเนื้อที่ได้ขยับขยายไม่เบียดกัน เลือดไหลเวียนง่าย (โดยปกติโลหิตมนุษย์จะข้นเป็น 4 เท่า ของน้ำ ถ้าข้นกว่านี้จะถ่ายเทไม่สะดวกเพราะความหนืด) อาการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เช่น ที่สมองจะทุเลาขึ้น ความดันโลหิตก็ไม่สูงและหัวใจไม่จำเป็นต้องบีบตัวมาก
    2.3 การมีคุณสมบัติเป็นด่าง (Promote more Alkaline pH in the Body
    ก. ร่างกายของมนุษย์ (ยกเว้นกระเพาะอาหารและไต) จะมีค่าเป็นด่าง (pH 7.4) น้ำดื่มที่มีค่าเป็นด่างมากกว่า pH 7.4 จึงช่วยทำลายขยะของเสียที่มีฤทธิ์เป็นกรดภายในเซลล์ของอวัยวะต่างๆ
    อวัยวะภายในร่างกายต้องอยู่ในภาวะเป็นด่าง แต่ทำงานในลักษณะเป็นกรด การย่อยอาหารทุกชนิและทุกครั้งจะก่อให้เกิดขยะของเสียที่เป็นกรดสะสม การมีสภาวะกรดในเลือดสูง ถ้าไม่มีน้ำดื่มที่เป็นด่างมาช่วยทำปฏิกิริยาต่อต้าน (Buffer) เอาไว้ ก็จะทำให้ร่างกายต้องไปดึง (บางตำราเรียกว่า ไปขโมยเอาเกลือแร่ แคลเซียม และแมกนีเซียมออกมาจากเนื้อของกระดูก ฟัน แล้กล้ามเนื้อเพื่อมาล้าง (Buffer) ความเป็นกรด อันเกิดจากขยะของเสีย (Acidic Waste) ในร่างกาย หรือเกิดมาจากมลภาวะต่างๆ ของสิ่งแวดล้อม (Environmental Polluion)
    ข. สภาวะเป็นด่างอันเนื่องมาจากไฮดรอกซิลไอออน (Hydroxyl Ion OH) ซึ่งมาจากการแตกตัวเป็นไอออน (Ionization) ของน้ำ (H2O) โดยอิทธิพลจากพลังงานคลื่นแม่เหล็ก ผลที่ได้รับตามมาคือ มีออกซิเจน (O2) จะเกิดขึ้นจำนวนมาก และส่วนใหญ่จะละลายโดยทันทีอยู่ในน้ำนั้น จะเห็นได้โดยถ้าเอาน้ำดังกล่าวมาใส่ทิ้งไว้มรขวดแก้วที่ปิดสนิท จะเกิดมีพรายน้ำเม็ดเล็กๆ แพรวพราวเต็มไปหมด เกาะอยู่ด้านในขวด จนอาจกล่าวว่าถ้าน้ำเป็นด่างจะมีออกซิเจนละลายอยู่เสมอ
    น้ำบริสุทธิ์อย่างน้ำกลั่น จะเป็นกรดอ่อนๆ เพราะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากอากาศละลายเกิดคาร์บอนิก (HCO3)
    ออกซิเจนนี้นอกจากให้พลังงานกับเซลล์ ทำให้เซลล์แข็งแรงออกซิเจนยังช่วยทำให้เชื้อจุลินทรีย์อัตรายประเภทไม่ชอบอากาศ (Anaerobic Bacteria) เกิดไม่ได้หรือหยุดเจริญในที่ๆมีออกซิเจน การไม่แบ่งตัวทำให้แบททีเรียมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้
    จากผลงานวิจัยของ ดร.Otto Warburg ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ใน ค.ศ. 1931 ที่พบว่าโรคมะเร็ง ไม่ชอบอยู่ในที่มีออกซิเจน ดังนั้นถ้าอวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนอย่างสมบูรณ์จากน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก (Magnetized Water) ตามทฤษฎีโรคมะเร็งไม่ควรจะเจริญงอกงามที่อวัยวะนั้นๆ
    การได้รับรางวัลโนเบล ถือว่าเป็นคนเก่งของโลก ดร.Ottburg ผู้นี้ได้รางวัลถึงสองครั้ง จึงถือว่าไม่ธรรมดา
    ค. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อันเกิดจากออกซิเจนไอออน (O) ให้อิเลคตรอนประจุลบ ไปตัดวงจรของการเกิดอนุมูลอิสระ (Free Radical Cycle) ซึ่งเป็นตัวทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆ (Degenerative Disease) เช่นโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มิถุนายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...