บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    21/9/2013

    เมื่อถึงกาลแห่งไฟ
    จำไว้นะ ปี ๓๐๑๕ เราจะมาจุติอีกครั้ง

    เห็นมังกรเขียว เกร็ดเงามันระยิบระยับ แล้วมีแสงบางอย่างที่ออกมาจากปาก แล้วเห็นท้องฟ้าเมฆเป็นสีแดงเหมือนไฟ แล้วเห็นผู้หญิงขี่มังกรขาวลงมา
     
  2. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    ห่างหายไปนาน หลับเพลินหรือจ้า?
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมตตาธรรมค้ำจุนหนุนนำโลก
    หลุดทุกข์โศกหลุดช้ำกรรมทั้งหลาย
    เพียรเมตตาให้เกิดกับใจกาย
    ย่อมสลายอาฆาตพยาบาทจอง

    ปลดกายปลดจิตยึดติดไว้
    ปลดอาลัยปลดรักปลดสงสาร
    คุณธรรมหนุนนำสว่างกาล
    แดนสงสารแดนทุกข์อย่าทุกข์ใจ

    เมตตาอัปมาโณโหนตุ......
    สรรพสัตว์บรรลุซึ่งมรรคผล
    สว่างสิ้นดินแดนทุรชน
    เสพซึ่งผลบรมสุขทุกข์ไม่มี

    ก้าวต่อไปก้าวไปอย่าได้ท้อ
    อย่ามัวรอคนนั้นนี้ที่ใจหมาย
    จะตระหนกฟกช้ำใจและกาย
    จงมุ่งหมายสลายกิเลสเหตุแห่งกรรม

    อัปมาโณพุทโธ อัปมาโณธัมโม อัปมาโณสังโฆ อยู่ในจิต
    จึงลิขิตบทกลอนสอนให้เห็น
    แม้ทุกข์ยากกายใจไม่อยากเป็น
    ปฏิบัติให้เห็นเย็นที่ใจ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    ท้อแล้วคับ อิอิ
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อย่าเพิ่งท้อ สู้ๆ ค่ะ:D:D:D
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ก๊อปมาฝากจ้า:D

    ฐานจิต 9 ฐาน

    1)ฐาน1-สะดือ ชายเอียงขวาเท่าเม็ดข้าวสาร หญิงเอียงซ้าย เท่าเม็ดข้าวสาร ฐานนี้เป็นที่ระงับ"ทุกขเวทนา"ทั้งปวง

    2)ฐาน 2-เหนือสะดือประมาณ 3 นิ้ว(นอกเนื้อในหนัง) เป็นที่ระงับ"อกุศลจิต" และยัง"กุศลธรรม"ให้เกิดขึ้นโดยสะดวก เป็นที่ประชุมธาตุ 4 และสัมปยุตธาตุ 6 ธาตุ 18 ชุมนุมลงเป็นธาตุ คือ ตัว อ.(อ.อ่าง) แล้วเปลี่ยนเป็นเลขศูนย์(0) ทำลายธาตุและตั้งธาตุได้จากฐานนี้

    3)ฐาน 3-ในเนื้อหัวใจ(ลิ้นปี่) เป็นที่ปฏิสนธิวิญญาณ เจือไปด้วยกุศลกรรม-อกุศลกรรม-และอัพยากฤต ถ้าตั้งสติสัมโพชฌงค์สะกดได้ จิตจึงจะดำเนินถูกทาง ไม่เช่นนั้น ก็จะเป็นดุจน้ำใส สีขาว สีดำผสมกัน.....แต่ถ้าตั้งสติมนสิการในโพชฌงค์ 7 จนตลอด และรวมเป็นเอกธรรมจิต ก็รวมลงเป็นเอกัคคตารมณ์แล้ว จะทำลายมโนธาตุ-ธรรมธาตุ-มโนวิญญาณธาตุได้ ณ สถานท่ามกลางนี้ จิตจักสงบและบริสุทธิ์

    4)ฐาน 4-ที่สุดลำคอ(ลูกกระเดือก) : เป็นสถานที่หลับ เป็นที่ร่วมอุปหารสัณฐิติ ภังคะ- เป็นที่ขาดรส เป็นที่ภังคะ- เป็นนิโรธสัจจะ รวมกัน จะเห็นจะรู้"นิโรธสัจจะ"บางชนิดได้ ณ สถานที่นี้ และหลับง่ายๆ.....

    5)ฐาน 5-ปลายนาสิก(ปลายจมูก) : เป็นที่ทำให้เกิดปีติและปราโมทย์ นำให้ความรู้สิ้น ความเสื่อม ความเกิด ความดับแห่งสังขาร แจ่มแจ้งแก่ใจ และนำให้รู้ปฏิสนธิจิต แห่งสัตว์ทั้งปวง จิตจะสงบได้ง่าย.....

    6)ฐาน 5-จักขุ(ตา): เป็นที่ให้เกิดปัญญาจักขุ พิจารณาเห็นบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์แน่นอน เที่ยงธรรมยิ่งนัก เป็นเหตุให้ได้ทิพพจักษุ เป็นอุบายทำจิตให้ตั้งเที่ยงตรงต่อสติเป็นนิจ.......

    7)ฐาน 7-ระหว่างคิ้ว(อุณาโลม-ตาที่สาม) : เป็นที่ชำระมลทินโทษ ซึ่งเกิดจากอารมณ์ต่างๆ จิตไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ง่วงเหงาหาวนอน เป็นที่ให้เกิดตปะเดชะ มีอิทธิพลมาก เป็นที่สั่งสมปัญญาดีนัก......

    8)*ฐาน 8-บนกระหม่อม : เป็นที่ตั้งแห่ง"ขันติและโสรัจจะธรรม" นำให้เกิด"อาคมปัญญา"และ"อธิคมปัญญา" ส่องเหตุในอดีตและอนาคต รวมในปัจจุบัน และรู้เห็นในธรรมที่เป็นปัจจุบัน คือ วิปัสสนาญาณได้แจ่มใจ.......

    9)*ฐาน 9-ท้ายทอย : เป็นที่ตั้งสนิทของ"สติ-สัมปชัญญะ" เป็นที่เก็บเวทนาทั้งปวง เป็นที่ระงับวิสภาคารมณ์ทั้งปวง เป็นที่รักษาโรคเส้นประสาท และจิตฟุ้งซ่าน(ที่เรียกกันว่า หัวเสีย) เป็นที่ดับความกระสับกระส่าย และพิษร้าย ทุกขเวทนาทั้งหลาย เป็นที่จะกำหนดจิต ทำให้ไปปราศจากบาปธรรมทั้งหลาย ในเวลาจวนจะถึงมรณะกรรม นำจิตให้ถึงวิมุตติธรรมได้ง่าย ถ้าทำได้ชำนิชำนาญดีแล้ว จะเป็นเครื่องมือใช้ได้ ในเวลาเลี้ยวหัวงาน(จวนตาย) อาจนำปฏิสนธิจิตไปสู่สุคติสถาน หรือถึงนิสสรณวิมุตติได้โดยแน่นอน ที่ตั้งนี้เรียกว่า "สัตตประเทศ"

    ฐานที่ 7-อุณาโลม ตาที่สาม เป็นพุทธจักร ช่องทางเข้า-ออกของกระแสจิต......ผู้ได้อภิญญาใช้ฐานนี้เป็นตาทิพย์ มองเห็นภพภูมิ สิ่งลี้ลับในโลก จักรวาลได้......และผู้มีปัญญาญาณ ก็สามารถใช้ตาที่สามนี้ (ปัญญา-แสงสว่าง)ส่องทางไปสู่วิมุตติได้เป็นปริโยสาน.ด้วยกำลังแห่งมหาสติ มหาปัญญา........

    ฐานที่ 3-ลิ้นปี่ กลางทรวงอก เป็นธรรมจักร หมายถึง พระธรรมจักร ที่เก็บบันทึกข้อมูลต่างๆทั้งความดี ความชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ต่อเนื่องมาจากอดีตชาติถึงปัจจุบันและไปสู่อนาคตภพชาติต่อๆไปด้วย(ถ้ายังเกิดอยู่อีก) เป็นเสมือน ซี.พี.ยู.ถังเก็บข้อมูลหลักในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องความจุ เป็นInfinity......พระธรรมจักรเป็นประตูของจิต เป็นตัวระลึกชาติ สุขทุกข์เกิดที่นี่ จะดับ ก็ต้องดับที่นี่ที่เดียว ไม่มีที่อื่นอีก ตรัสรู้ก็ที่นี่เช่นเดียวกัน.......

    ส่วนพระสังฆจักร คือ ตัวเราเอง ผู้ปฏิบัติให้ถึงความรู้แจ้ง ด้วยผลแห่งปฏิเวธวิธี........ถึงความเป็น"พุทธะ"ที่ถูกปิดบังด้วยกิเลส ซ่อนอยู่ภายในเบื้องลึกสุดของจิตวิญญาณ.......
     
  7. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    ขาดหัวใจ อิอิ
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    4 ต.ค. 2015

    ไม่มีใครถาม แค่อยากบอก (ชอบเผือก)

    การพิจารณาร่างกายสังขาร อสุภะกรรมฐานหรือกายคตานุสสติกรรมฐาน ไปพิจารณาจากรูปภาพ เนื้อหนังมังสา หรือว่าโครงกระดูกของคนอื่น ก็ไม่ซาบซึ้งเท่ากับพิจารณาที่ตนครองอยู่นี่หรอก มันเห็นชัดเจนกว่า

    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ดูไปเถอะ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน เลือกดูเฉพาะจุดที่เราชอบไปก่อน ดูมันจุดนั้นแหละจุดเดียว แต่ดูไปทุกวัน ดูให้เห็นความจริงนะ ไม่ใช่ดูแล้วชมชอบ แหมๆ ของฉันมันสวยจริง 555 มันเด้ง มันดึ๋ง มันตึง มันสด อย่างนี้ยิ่งหลงยึดติดร่างกายว่าเป็นเรา เป็นของเราหนักไปอีก เอิ๊กๆๆ

    ลืมการพิจารณาอสุภะของร่างกายเรา ให้ดูเวลาที่เกิดแผลบนร่างกาย ก็ดูไป ให้เห็นเลือด เห็นหนัง เห็นเนื้อ แยกแขน แยกขา แยกลำตัว แยกหัว แยกไส้ฯลฯ แยกออกมาดูเป็นส่วนๆ ไป พอเห็นเป็นส่วนๆ แล้ว มันก็คงไม่สวยแน่

    เล็บที่ถูกตัดออกมา เก็บไว้ดูว่ามันสวยมั้ย? ผมที่ตัดออกมาก็เก็บไว้ดูว่ามันสวยมั้ย? หนังที่ตัดออกมา เก็บไว้ดูว่าสวยมั้ย? มันเป็นของเราหรือเปล่า? หรือว่ามันเป็นแค่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ

    ✴✴✴✴✴✴✴✴✴

    ...กายคตาสติ....อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
    (อง.เอก-ทุก-ติก.๑๒/๓๙)
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ฐาน 3 ค่ะ:D
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สัสสตทิฏฐิ ๔

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ?

    ปุพเพนิวาสานุสสติ
    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัย มนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการคือ ตามระลึกชาติได้ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง หลายแสนชาติบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าอาศัยความเพียร เครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง หลายแสนชาติบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการพร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้

    ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นฐานะที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [๒๘] ๒. อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน ได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้

    ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขาตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.
     
  12. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    ดีๆๆๆ
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [๒๙] ๓. อนึ่ง ในฐานะที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สิบสังวัฏฏวิวัฏฏกัปบ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ได้เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ คงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสอาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สิบสังวัฏฏวิกัฏฏกัปบ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้

    ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นฐานะที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [๓๐] ๔. อนึ่ง ในฐานะที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกนั้น มีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ นี้แล.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่มีทิฏฐิว่าเที่ยง จะบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๔ ประการนี้เท่านั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

    เมื่อตัด หรือไม่ยอมรับเหตุแห่ง สัสสตทิฏฐิ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จึงไม่ยอมรับสัมมาทิฏฐิที่เป็นสาสวะ ในพระไตรปิฏกเล่ม 14
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

    ดังนี้เสีย จึงผลักความเห็น ส่วนของสัมมาทิฏฐิที่ยังเป็นสาสวะว่า เป็น มิจฉาทิฏฐิ แบบกลายเป็น สัสสตทิฏฐิ ไปเสีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2018
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อครั้งที่ได้ไปบวชชีพราห์ม ตอนอายุ 10 ขวบ วัดไผ่ดำ จังหวัดสิงห์บุรี เป็นโครงการสร้างธรรมเจดีย์ของวัดธรรมมงคล (หลวงพ่อวิริยังค์) ซึ่งถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ได้เข้าปฏิบัติธรรมสมาธิเป็นเวลา 7 วัน บรรลุฌาน การถอดจิตที่ครูบาอาจารย์สอนก็คือ เข้าฌานสี่แล้วอธิษฐานในสิ่งที่ต้องการจะรู้ แล้วจึงถอยลงมาฌานสาม อธิษฐานกำกับอีกครั้ง แล้วกลับเข้าฌานสี่อีกครั้ง พุ่งจิตให้ทะลุเข้าไป ก็จะเห็นทุกสิ่งที่ต้องการ เหมือนเห็นด้วยตาเนื้อเพราะว่ามันชัดเจนแจ่มแจ้ง

    คืนวันที่ 7 ได้ถอดจิตมาดูบ้าน เนื่องจากเป็นห่วงคุณแม่ แต่ไม่กล้าไปดูพ่อแม่พี่น้อง เพราะว่าครูบาอาจารย์บอกว่า เราจะเห็นสิ่งที่อยู่กับทุกคน เห็นจิตของแต่ละคน มีความกลัวอยู่ในใจว่าถ้าไปเห็นสิ่งที่ไม่ดีของพวกเขาแล้ว จะทำให้ใจเราเศร้าหมองได้ จึงทดลองดูพระแก้วมรกตที่อยู่บนหิ้งพระแทน พระแก้วมรกตสีเขียวที่เห็น ณ ขณะนั้น กลับเป็นพระแก้วใสมีรัศมีแพรวพราว เห็นแค่นั้น ก็กลับมาที่เดิม นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เพราะว่าหลังจากนั้น ไม่เคยคิดที่จะถอดจิตอีกเลย เนื่องจากเรายังอ่อนด้อยในโลกทิพย์ ยังไม่รู้วิธีการป้องกันตัวเอง จากผู้มีมนต์คาถาหรือไสยดำต่างๆ อันตรายต่างๆ ที่แฝงตัวในโลกทิพย์

    หลังจากกลับมาจากวัด ก็มักจะมีคนเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวเดินตามหลังเราตลอดเวลา สิ่งนี้น่าจะเป็นเทวดาที่คอยคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม

    ปล. ยังมีรายละเอียดที่ไม่ได้เล่าไว้
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไตรลักษณ์-ลักษณะ 3 แห่งสามัญลักษณะ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความมิใช่ตัวตน(อนิจจตา ทุกขตา อนัตตา)

    สามัญลักษณะ-ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง ได้แก่ 1)อนิจจตา-ความเป็นของไม่เที่ยง 2)ทุกขตา-ความเป็นทุกข์ หรือความเป็นของคงทนอยู่มิได้ 3)อนัตตา-ความเป็นของมิใช่ตัวตน

    1.สัพเพ สังขารา อนิจจา = สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

    2.สัพเพ สังขารา ทุกขา = สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์

    3.สัพเพ ธัมมา อนัตตา = ธรรมทั้งปวงมิใช่ตัวตน

    ลักษณะเหล่านี้มี 3 อย่าง จึงเรียกว่า ไตรลักษณ์ ลักษณะเหล่านี้ เป็นของแน่นอน เป็นกฎธรรมดา จึงเรียกว่า ธรรมนิยาม......

    อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา*

    นอกจากทุกข์แล้ว ก็ไม่มีอันใดจะเกิดขึ้น ไม่มีอันใดจะแปรปรวน ไม่มีอันใดจะดับไป ทุกข์เท่านั้นแหละเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นแหละแปรปรวน แล้วก็ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

    ทุกข์ก็ดี อนิจจังก็ดี ก็มีความหมายเดียวกัน จะปรารภอนิจจังโยงมาหาทุกขัง จะโยงทุกขังมาหาอนิจจัง ก็ความหมายเดียวกัน ถ้าเข้าใจว่าเป็นความหมายคนละอันแล้ว เรียกว่า หลงบัญญัติ และปัญญายังไม่ชัดแจ้ง ยังไม่พ้นความสงสัยในอนิจจัง และทุกขัง

    ส่วน"อนัตตา"นั้น แม้จะเกี่ยวข้องอยู่ แต่อนัตตาก็เป็นธรรมอันลุ่มลึกในพระพุทธศาสนามากมายนัก ถ้าขาดปัญญาอันถ่องแท้แล้ว ก็มักจะยืนยันว่าสูญ จนเลยเขตเลยแดน กลายเป็นเลยเถิดไป เมื่อไม่รู้แจ้งในอนัตตาแล้ว ไฉนจึงพ้นจากอัตตา และไม่ติดอยู่ในอนัตตาด้วย นักภาวนาเกิดทุ่มเถียงเกี่ยงงอนกันในเรื่องอนัตตา จนหน้าดำหน้าแดง จนกลายเป็นสงครมกิเลสอนัตตากันขึ้นเป็นส่วนมาก

    อัตตา อนัตตา....ไม่ใช่ไฟกิเลส ไม่ใช่ไฟทุกข์ ไม่มีพิษสงอันใด เมื่อรู้เท่าทัน เป็นความจริงตามสมมุติ เป็นความจริงทางปรมัตถ์เท่านั้น ปรมัตถ์เป็นธรรมฝ่ายลุ่มลึกของความเป็นจริงอันลึกซึ้ง มีทั้งเกิดทั้งดับ และมีทั้งไม่เกิดไม่ดับอยู่รวมกัน นักปฏิบัติไม่ชัดในกรรมฐาน ในปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม ที่ตนตั้งไว้มั่นโดยเฉพาะ ย่อมถูกต้มโดยความหลงใหลของตนเอง ที่ดองอยู่ในขันธสันดาน ที่ล้อมรอบอยู่ในเมืองจิต เมืองใจ

    ผู้ปฏิบัติที่มีสติ มีความสงบเย็นละเอียดพอ ย่อมเข้าใจในความสุขุมลุ่มลึกต่างๆด้วยตนเอง หมดความสงสัยในธรรมของตน.....

    (*หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    ไม่เที่ยง แต่เลยบ่ายแล้ว อิอิ
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แม่น:D
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระคุณแม่จันดี โลหิตดี

    ท่านบอกเล่าถึงอดีตชาติของท่านในหลาย ๆ ชาติที่ผ่านมาท่านเล่าถึงอดีตของท่านให้ฟังในชาติที่เกิดเป็นพระนางจามเทวี

    “ รูปปั้นนี้ไม่เหมือนตัวจริงเท่าไหร่ ตัวจริงสูงกว่านี้ หน้ายาวกว่านี้” พี่สาวท่านพูด “รูปปั้นนี้ก็สวยมากแล้ว” ท่านบอก “ไม่สู้ตัวจริง ตัวจริงสวยกว่ารูปปั้น พวกเจ้าเห็นไหมสิ่งที่โลกเขาตื่นกัน ก็มีแค่นั้น ตื่นในลาภ ในยศ ลูกหลานเกิดมาก็แบบเดียวกัน ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ก็หลงกันอยู่แค่นี้หละ โอ๊ย! สลดในภพชาติที่ผ่านมา ยิ่งเป็นใหญ่ ยิ่งทุกข์ ชาติเป็นพระนางจาม จะเรียกเป็นกษัตริย์ผู้หญิงก็ใช่ จะเรียกนางพญาก็ใช่ เพราะเป็นกษัตริย์ผู้หญิงไม่มีครอบครัวปกครองบ้านเมือง อะไร ๆ ก็อยู่ในหัวอกหมด” ท่านบอก

    “แต่ก่อน ครั้งเป็นแม่นางจาม พาประชาชน และตัวท่านเองเร่งสร้างบารมีเต็มที่ ทั้งรักษาดินแดน รักษาบ้านเมือง เพราะเป็นกษัตริย์ผู้หญิง กษัตริย์เมืองไหนก็อยากมาตีเอาเป็นเมืองขึ้นจึงลำบาก ทั้งรับศึก รักษาแผ่นดิน ทั้งเร่งสร้างบารมี แต่ในชาตินี้ก็สมใจแล้ว ย้อนดูภพเก่าหนหลัง จะเกิดทางภาคเหนือ มากกว่าภาคอีสาน ไปที่ไหนผ่านตรงไหน ก็เห็นแต่ซากของตัวเอง ร่องรอยการเกิดตายของตัวเอง สลดใจก็แต่ข้าราชบริภาร ผู้ใหญ่ที่เคยช่วยท่านมา น่าสงสาร ผ่านไปที่ไหน ขอยกโทษให้ทุก ๆ คน ทำด้วยความไม่รู้ ถ้ารู้คงไม่ทำ โอ๊ย! น่าสงสาร เพราะต่างก็เคยมีบุญคุณต่อท่านมา”

    ท่านบอก “แม่ดีใจที่ได้มาภาคเหนือคราวนี้ เพราะวิญญาณที่คอยขออภัยโทษมีไม่น้อยดวงจิต บางดวงกรรมไม่มาก พอท่านยกโทษให้พร้อมแผ่ส่วนบุญ รับอนุโมทนา ก็เปลี่ยนภพไปสวรรค์เลยก็มี แต่ที่กรรมหนัก ก็แผ่ส่วนบุญ กลายเป็นกรรมเบาขึ้นก็เยอะ แต่ทุกดวงจิตบอกท่านว่า

    “รอท่านมาโปรดนานแสนนาน แต่ความสุขที่ได้รับเมื่อเจอท่านที่รอคอยก็แสนสุข แต่ก็แสนทุกข์อีกเมื่อท่านจะจากไป”

    ท่านสลดใจสงสารวิญญาณ ครั้งก่อนเคยเป็นมนุษย์ ล้วนเคยเป็นเจ้าใหญ่นายโต เพราะกรรมที่ทำมาในอดีต จึงต้องชดใช้ผลของการกระทำนั้น...

    ที่มา : หนังสือ ขอกราบเทิดทูน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...