บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    เรื่องนี้เป็นแต่เพียงมุมมองหนึ่งครับในแง่ ตัณหา ราคะ

    หากเป็นแนวที่ผมชอบจะไปแนวๆ เวทมนต์ หน่อยหนะครับ อิอิ




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2018
  2. เทวินตพรหม

    เทวินตพรหม พรหมวิหาร4มรรคมีองค์แปด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    651
    ค่าพลัง:
    +1,005

    ผมขออภัยครับคุณ หน้าแหกครั้งใหญ่มากกกกกกก Frozen Flower ผมไม่ได้จำชื่อเรื่อง เห็นนางเอกก็คิดว่าหนังเกาหลีอีกเรื่อง....พอคุณบอกตัญหาราคะ ผมก็ยังเข้าใจว่าคงหมายถึงเรื่อง รักๆใคร่ๆ แบบ ตามหาอดีตชาติอะไรแนวนั้นมั้ง
    ไปsearching ตกเก้าอี้เลย T^T """""""""" ปิดลำโพงเสียงแทบไม่ทัน...

    ส่วนตัวผมชอบแนว Fantastic ,,,Games of Thorn อะไรแบบ Sci-Fi Zombie หนังพวกทหารบุกอิรัก โหดๆ หรือ พวก สามก้ก จิงเกสข่าน พวกหนังจีนคอลเลคชั่น แบบนั้น
    ถ้าโรแมนติก รักๆใคร่ๆ ส่วนใหญ่ผมจะเก็บอารมณ์ติสท์ไว้ร้องเพลงครับผม ^^
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไปอ่านเจอเห็นว่าดี ก็เลยนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นธรรมทานค่ะ

    นักปฏิบัติทั้งหลาย ควรรู้ไว้เกี่ยวกับเรื่อง "นิมิต" ที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน และทุกๆ ท่านที่ปฏิบัติธรรมต้องพบเจอแน่นอน

    นิมิตจริง (แท้) หรือ นิมิตปลอม (เทียม) ที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ก็เผื่อว่าจะมีประโยชน์ ต่อท่านผู้ประพฤติปฏิบัติกัมมัฏฐานทั้งหลาย ทั้งที่กำลังเริ่มปฏิบัติและกำลังปฏิบัติอยู่เป็นปกติ ให้เข้าใจถึงสภาวะของนิมิตจริงกับสภาวะของนิมิตปลอมว่าต่างกันอย่างไรบ้าง

    -นิมิตปลอม นักปฏิบัติบางท่านเวลานั่งภาวนาไปเรื่อย ๆ เมื่อจิตอยู่ในสภาวะที่จิตเกิดนิมิต อาจจะเป็นนิมิตทางความคิด นิมิตทางเสียง หรืออาจจะเป็นภาพนิมิตขึ้นมา โดยส่วนมากเมื่อเกิดภาวะต่าง ๆ ดังนี้ ก็มักจะปักใจเชื่อว่า สิ่งที่ปรากฎขึ้นกับตนเองนั้นเป็นของอัศจรรย์ คิดว่าตนเองทำได้แล้ว ก้าวหน้าแล้ว

    ขอยกตัวอย่างสภาวะของนิมิต เช่น ปรากฎนิมิตเป็นภาพในอดีตของตนเองหรือของบุคคลอื่นบ้าง ภาพในปัจจุบันบ้าง ภาพในอนาคตกาลบ้าง เมื่อเกิดปรากฎนิมิตเช่นนี้ ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้นักปฏบัติบางท่านกระหยิ่มยิ้มย่อง เกิดความมั่นใจในตนเอง บางท่านคิดไปถึงว่าตัวเองมีอิทธิฤทธิ์ บางครั้งถึงกับเป็นหมอดูกันไปเลย เที่ยวดูจิตดูใจของผู้อื่น ทั้งที่จริง ๆ แล้วบางครั้งนิมิตที่ปรากฎนั้นยังเป็นของปลอมอยู่ ที่ยังใช้งานอะไรไม่ได้ บางครั้งนิมิตที่ปรากฎก็เกิดจากจิตของเราเองที่ปรุงแต่งให้เกิดเป็นเสียง เป็นภาพขึ้นมาให้ปรากฎอย่างที่เราอยากให้เป็น ที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นของปลอมที่เกิดขึ้นมาหลอกจิตเราเท่านั้น หรือเกิดขึ้นเพื่อทดสอบจิตเราว่าสามารถจะยกระดับจิต ให้พ้นนิมิตปลอมเหล่านั้นไปได้หรือไม่
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อนึ่งท่านนักปฏิบัติบางท่านอาจจะแย้งว่า บางครั้งในขณะที่ปฏิบัติอยู่นั้นไม่ได้มีการคิดปรุงแต่งจิต ไม่ได้ชักนำจิตให้คิดโน่นคิดนี่ แต่ทำไมจึงปรากฎนิมิตขึ้นมาได้ เพราะเหตุที่ว่าจิตเป็นตัวศูนย์กลางที่รับอารมณ์สัมผัสทั้งหลายที่วิ่งเข้า มา เมื่อจิตน้อมรับไว้แล้วไม่ปล่อยวาง จิตจึงเก็บเป็นความจำไว้ส่วนหนึ่ง แต่ตัวเราอาจหลงลืมไปว่าจิตมันก็ทำหน้าที่ของมันอยู่ทุกขณะ พอเกิดนิมิตขึ้นมาก็เลยเชื่อมั่นว่าเป็นของจริง จึงไม่ได้หยิบยกนิมิตที่ปรากฎนั้น มาพิจารณาตามเหตุและผล เพราะเหตุที่ท่านขาดสติใช่หรือไม่ จะกล่าวตอบว่าใช่ หรือไม่ใช่ ทางใดทางหนึ่งก็ไม่ได้ เนื่องจากท่านสามารถนำนิมิตเหล่านั้นมาบรรยายให้บุคคลอื่นฟังได้อย่างชัดเจน นั่นก็หมายความว่าท่าน "มีสติ" แต่เป็นสติที่วิ่งไปตามอำนาจของกิเลส

    ถ้าจะกล่าวถึงอีกมุมหนึ่งว่าท่าน "ไม่มีสติ" ก็เพราะว่าไม่ได้ทำให้ท่านนักปฏิบัติเกิดปัญญา รู้แจ้ง เห็นแจ้ง ยกขึ้นเป็นข้อธรรมให้หลุดพ้นได้ นิมิตปลอมที่ปรากฎขึ้นทั้งหลายนี้ ล้วนทำให้ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายไม่ก้าวหน้า บางท่านหลงลืมความเป็นจริงที่ว่า นี่เราเกิดมาทำไม เราเป็นใคร ต้องทำอะไร ซึ่งที่กล่าวมานี้ท่านนักปฏบัติต้องค้นหาด้วยตนเอง รู้แจ้งแก่จิตใจตนเอง
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    -นิมิตจริง (แท้) ผู้ที่ปฏบัติจะทราบได้อย่างไรว่านิมิตที่เกิด ขึ้นกับเรานั้นเป็นนิมิตที่เป็นของจริงแท้แน่นอน ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้นั้นเป็นอย่างไร ตามความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติมานั้นไม่ว่าสิ่งที่ปรากฎขึ้นในนิมิตนั้นจะ เป็นภาพคน สัตว์ หรือวัตถุธาตุต่าง ๆ ก็ตาม ในภาวะความเป็นจริงนิมิตที่ปรากฎขึ้นนี้มันจะต้อง "มีอยู่จริง เกิดขึ้นจริง" อาจจะแสดงผลให้ผู้ปฏิบัติทราบในปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ๆ

    ขอยกตัวอย่าง เช่น มีผู้ร่วมบุญท่านหนึ่งได้มาพบในวันถวายตู้พระธาตุ เขาได้เล่าถึงปัญหาการทำมาหากินที่ฝืดเคือง จากที่เคยขายของได้วันละสองหมื่นถึงสามหมื่นบาทต่อวันนั้น ได้มียอดขายที่ตกลงเหลือแค่วันละสองพันถึงสามพันบาท รายได้ที่ได้รับมาในแต่ละวันนั้นแทบจะไม่พอจ่ายเป็นค่าจ้างให้กับคนงาน ผมจึงได้ลองใช้จิตตรวจสอบดู ได้เกิดนิมิตปรากฎขึ้นมาว่า ได้เห็นหิ้งบูชาพระภายในบ้านของเขา จัดวางไว้อย่างไม่ถูกที่ จึงได้ถามกับท่านผู้นั้นว่า "หิ้งบูชาพระที่บ้านด้านบนมีอะไรพาดทับอยู่ หรือไม่ และหิ้งบูชาพระจัดวางอยู่ในที่ที่เหมาะสมหรือไม่" ในขณะนั้นเขาตอบกลับมาว่า "ไม่มีอะไรพาดทับอยู่นะครับ ผมเองก็ยังคงยืนยันในนิมิตที่ปรากฎขึ้นกับท่านผู้นั้น หลังจากเขาได้กลับไปบ้านได้ไปสำรวจดูหิ้งบูชาพระตามที่ผมได้บอกกล่าวไป ผลปรากฎว่าหิ้งบูชาพระนั้นได้ติดตั้งอยู่ใต้คานบ้าน และผนังที่ใช้ตรึงหิ้งบูชาพระนั้นก็เป็นผนังที่ใช้ร่วมกันกับห้องน้ำ จากนั้น ท่านผู้นั้นก็ได้โทรศัพท์มาหาผมในวันรุ่งขึ้นว่า "รู้ได้อย่างไรกันครับ ตัวผมเองอยู่บ้านมาตั้งนาน ยังไม่ทราบเลย" ตัวผมเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้แต่นิ่ง ๆ ไม่รู้จะกล่าวตอบไปอย่างไร เนื่องจากเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะตน ได้เฉพาะตน ไม่สามารถถ่ายทอดภาพเหล่านั้นให้ผู้อื่นเห็นเช่นเราได้ นอกจากผู้นั้นได้ปฏิบัติด้วยตนเอง จนสามารถบังเกิดนิมิตเหล่านั้นได้ เฉกเช่น บุคคลหนึ่งเคยได้ทานอาหารที่อร่อย แล้วมาบรรยายถึงอาหารมื้อนั้นให้เพื่อนฟัง เพื่อนผู้นั้นก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงรสชาดอาหารนั้นได้ว่าอร่อยอย่างไร นอกจากเพื่อนผู้นั้นจะต้องไปทานเอง จึงจะรับรู้ถึงรสชาดนั้น ๆ ได้ ตามความรู้สึกของตนเอง
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    การหลงใหล (เมา) ในนิมิต -การถือภพถือชาติ (ระลึกชาติย้อนอดีต) นักปฏิบัติบางท่านนั่งปฏิบัติไปก็หวังว่าจะมี นิมิตใดปรากฎขึ้นบ้าง อยากเห็นนั่นเห็นนี่ สร้างความหวังให้ตนเองแบบลม ๆ แล้ง ๆ จิตก็นั่งคำนึงไปว่าภพชาติที่ผ่านมาตนเองเกิดเป็นใคร ชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไร เกี่ยวข้องผูกพันกับใครบ้าง พอปรากฎนิมิตภาพขึ้น เช่น เคยเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย คู่ครอง ก็ส่งจิตคล้อยตามนิมิตนั้นไป หลงใหลกับภาพนิมิตนั้น ๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมันผ่านภพผ่านชาติมาไม่รู้กี่ภพชาติแล้ว ก็ยังไปนั่งคิดยึดติดอาลัยอาวรณ์กับอารมณ์เหล่านั้นอยู่ สำหรับนักปฏิบัติบางท่านด้วยแล้ว ยิ่งไปพบเจอบุคคลในชาติปัจจุบัน เกิดปรากฎนิมิตขึ้นเห็นว่าตนเองเคยผูกพันเกี่ยวข้องว่าเคยเป็น พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย คู่ครองบ้าง ก็เกิดจิตกิเลสอยากจะไปทำความรู้จักผูกพันให้เหมือนแต่อดีตจนขาดสติที่ทำให้เกิดปัญหาไป เมื่อย้อนกลับมาสู่ความเป็นจริงในภพชาติปัจจุบันที่เราอยู่ ก็จะเห็นว่าเราไม่ได้มีชีวิตความผูกพันกับบุคคลนั้น ๆ เฉกเช่นเดิมแต่อดีต หากแต่เป็นความรู้จักมักคุ้นในฐานะบุคคลอื่นที่เราเพิ่งจะรู้จักกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ไม่จีรังยั่งยืนเหมือนแต่ครั้งอดีต อันเนื่องมาจากเหตุบุญบาปที่เราได้ก่อได้กระทำไว้แต่ภพอดีตเป็นตัวส่งผลให้ เราเป็นไปในภพชาติปัจจุบัน ล้วนแต่ตัวเราเป็นผู้กำหนดไว้เสร็จสิ้น

    ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายควรที่จะพิจารณาว่า มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งตัวของเราเอง ได้เวียนเกิด เวียนแก่ เวียนเจ็บ เวียนตาย มาไม่รู้เท่าไหร่ ครั้นจะนับภพนับชาติก็คงต้องกล่าวว่า ต้นก็ไม่รู้ ปลายก็ไม่เห็น ฉะนั้นท่านทั้งหลายจึงได้รู้แล้วว่า เราเกิดร่วมภพร่วมชาติมานับกันไม่ถ้วน ใยต้องมาอาลัยอาวรณ์โหยหากันอยู่เล่า เร่งรีบปฏิบัติภาวนา ตัดภพ ตัดชาติ ตัดความอาลัยอาวรณ์ทั้งหลายให้สั้นลง เพื่อก้าวไปสู่หนทางแห่งความพ้นทุกข์ทั้งปวงนั่นจะดีกว่า
     
  7. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    แท้ก็ไม่ ไม่แท้ก็ไม่ เอิ้กๆ
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เนอะ ;)
     
  9. เทวินตพรหม

    เทวินตพรหม พรหมวิหาร4มรรคมีองค์แปด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    651
    ค่าพลัง:
    +1,005
    ขอบคุณ สำหรับบทความ นะครับ
    อภินิหาร :D เป็นแต่สนุกๆ ชีวิตจริง ยังต้องทำมาหากินกันอยู่นะครับ และ ตัวเราเป็นใคร หน้าที่ทำอะไรในปัจจุบันก็ต้องทำอยู่ คนเราลืมข้อนี้มากๆ ครับ
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ก๊อปมาเก็บไว้อ่านนานแล้ว ขอนำมาแบ่งปันค่ะ

    ปุณฑริกสูตรคืออะไร??? (ตอนที่ ๑)

    พระสัทธรรมปุณฑริกสูตรคืออะไร???

    สัทธรรมปุณฑริกสูตรเป็นคำสอนสูงสุดของพระศากยมุนีพุทธะ...ในช่วงระยะเวลา8ปีสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระศากยมุนีพุทธะพระองค์ก็ได้เทศนาพระสูตรสัทธรรมปุณฑริกสูตรตลอดชีวิตของพระองค์นั้นเพื่ออุทิศให้กับการสั่งสอนมนุษย์ให้รู้วิธีทางที่จะระงับการทุกข์ยากในชีวิตนี้และคำสอนช่วงสุดท้ายในพระชนม์ชีพของพระองค์อันนี้แหละที่เป็นคำสอนที่ถูกต้องที่สุด

    พระสูตรนี้สอน 2 หลักใหญ่ที่สำคัญคือ

    1.สอนว่าชีวิตของเรานั้นเป็นนิรันดร์

    2.สอนว่าสภาวะพุทธะมิได้อยู่ภายนอกร่างกายของมนุษย์เลย แต่เป็นสภาวะที่สูงสุดของชีวิตที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน สาระสำคัญของคำสอนในสัทธรรมปุณฑริกสูตรคือ มนุษย์ทุกคนสามารถจะนำเอาสภาวะพุทธะซึ่งมีอยู่ในชีวิตของเขาเองนั้นออกมาได้ แต่น่าเสียดายที่ว่า คำสอนนี้ทรงสอนให้แก่พระสงฆ์เท่านั้นเนื่องด้วยว่าประชาชนในสมัยนั้นไม่สามารถเข้าใจคำสอนนี้ได้เลย พระศากยมุนีพุทธะมีความห่วงใยความทุกข์สุขของประชาชนในสังคมมาก และพระองค์ทรงทราบดีว่า ขณะนั้นยังไม่ใช่เวลาที่จะเผยแผ่ปรัชญาธรรมสากลให้แก่ปวงชนในสมัยนั้น พระองค์ได้พยาการณ์ว่า ภายหลังที่พระองค์ได้เสด็จปรินิพานไป2000ปี อันเป็นยุคสมัยธรรมปลาย จะมีพุทธะอีกองค์หนึ่งมาเผยแผ่สั่งสอนปรัชญาธรรมสากล ซึ่งสามารถที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนบรรลุการรู้แจ้งเห็นจริงได้...
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ปุณฑริกสูตรคืออะไร??? (ตอนที่ ๒)

    พระสูตรมหายาน(1): สัทธรรมปุณฑริกสูตร

    (๑) สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นพระสูตรสำคัญของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นพระสูตรที่แสดงถึงความเป็นมหายานอันยิ่งใหญ่ก็ว่าได้ พระสูตรนี้นั้นแทบทุกนิกายในมหายานจะต้องสาธยายสวดอยู่เสมอ นิกายเซนก็สวดอยู่ทุกเช้าค่ำ พระสูตรนี้นั้นมีอิทธิพลมาก จนมีผู้ศรัทธามากมายจนก่อให้กำเนิดนิกายเทียนไท้(เทนได)ซึ่งก่อตั้งโดยคณาจารย์เทียนไท้ ยังแพร่หลายในประเทศจีน และนิกายนิชิเร็น ซึ่งก่อตั้งโดยพระนิชิเร็น ต่อมามีผู้ทำไปสาธยายสวดมนต์มากมาย เกิดเป็นนิกายนิชิเร็นโชชู , นิชิเร็นชู เกิดสมาคมไซคา งักไก ที่แพร่หลายในปัจจุบัน ริชโชโคเซไก รวมๆแล้วผู้นับถือนิกายสัทธรรมปุณฑรีกสูตร(เทียนไท้, นิชิเร็น) คงมากถึง30ล้านหรืออาจมากกว่าเป็นเท่าตัวก็ว่าได้

    สัทธรรมปุณฑรีกสูตรนั้นได้มีการแปลไทยแล้วหลายครั้งอยู่ที่สมบูรณ์ มี ๓ ฉบับได้แก่ ฉบับของชะเอม แก้วคล้าย ท่านแปลจากสันกฤตพากย์สู่ไทยพากย์ ,ฉบับของภิกษุณีธัมนันทา(ขณะเป็น รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์) แปลจากอังกฤษพากย์สู่ไทยพากย์ และฉบับของสมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย

    (๒) สัทธรรมปุณฑรีกสูตร(สัด-ทำ-มะ-ปุน-ทะ-รี-กะ-สูด)หรือพระสูตรดอกบัวขาว จีนเรียกเมี่ยวฝ่าเหลียนฮวาจิง ญี่ปุ่นเรียก เมียวโฮเร็งเงเคียว พระสูตรนี้เป็นพระสูตรสำคัญมากของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเป็นที่ศรัทธาและเคารพอย่างมากของพุทธศาสนิกชนมหายาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเอเชียตะวันออก เวลาในการแต่งพระสูตรนี้มีมติไม่แน่นอน บ้างก็ว่าหลังพุทธปรินิพพานไปร้อยปีหรือหลายร้อยปีมากกว่า บ้างก็ออกมาตรงๆว่าประมาณราวปีพ.ศ.300 เป็นอย่างเร็ว แต่ที่พบฉบับสันกฤตดั้งเดิมที่เนปาลมีอายุหลังพ.ศ.๑๕๐๐ ที่ธิเบตก็ประมาณที่พบที่เนปาล แต่ถ้าว่ากันแล้วต้องมีอายุมากกว่านี้แน่นอน ได้พบเห็นว่าในสมัยท่านนาคารชุนะ(พ.ศ.๗๐๐-๘๐๐)ในหนังสือของท่านก็มีการอ้างอิงข้อความในสัทธรรมปุณฑรีกสูตรอยู่หลายตอน ตามที่สันนิษฐานแล้วก็อาจจะคาดเดาได้ว่าสัทธรรมปุณฑรีกสูตรน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าพ.ศ.๖๐๐
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ฉบับดั้งเดิมนั้นไม่แน่ชัด มีการแปลเป็นจีนพากย์ถึง6สำนวน แต่สามฉบับแรกได้เสื่อมถอยตามกาลได้สูญหายไปแล้ว เหลืออีกสามฉบับ ซึ่งในสามฉบับนี้ ฉบับของพระธรรมรักษะเถระ เป็นฉบับที่เก่าแก่ที่สุดแปลเมื่อปีพ.ศ.๘๒๙ แต่ฉบับที่สำนวนไพเราะสละสลวยที่สุดก็ต้องฉบับของ พระกุมารชีวะ (พ.ศ.๘๘๗-๙๕๖) ท่านแปลเมื่อพ.ศ.๙๓๔ และอีกฉบับหนึ่งที่ท่านชญาณคุปตะกับท่านธรรมคุปตะแปลอีกหนึ่งสำนวน ข้อความอาจแตกต่างกันไปบ้างแต่ใจความนั้นครบถ้วน

    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ฉบับเดิมมี๒แบบเขียน คือแบบร้อยแก้ว ร้อยกรอง ในเนื้อหาจะกล่าวถึงยกพุทธยานเป็นยานอันสูงสุด ยานทั้ง๓ (สาวกยาน, ปัจเจกยาน, โพธิสัตว์ยาน) เป็นเพียงกุศโลบายเท่านั้น
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ความหมายของแก้วพญานาคในแต่ละสี
    1.สีฟ้าน้ำทะเลหรือสีน้ำเงิน เป็นของพญานาคราชผู้เป็นเจ้าแห่งเมืองบาดาล
    2.สีขาวใส เป็นของพญานาคที่เคร่งครัดบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมจนมีบารมีแก่กล้า มีความสะอาด บริสุทธิ์หมดจด
    3.สีแดง เป็นของพญานาคที่มีตบะเดชะอันทรงพลัง เป็นสีของพญานาคผู้เป็นแม่ทัพ และทรงฤทธิ์อำนาจ
    4.สีชมพู เป็นพญานาคเพศเมีย บันดาลโชคลาภ และชื่อเสียงเงินทอง เกียรติยศ ให้เกิดขึ้น
    5.สีม่วง เป็นของพญานาคที่มีจิตใจเยือกเย็น เช่น พญาสุวรรณนาคราช เป็นต้น
    6.สีเหลือง หรือ สีส้ม เป็นของพญานาคฝักใฝ่ในการบำเพ็ญตบะบารมี มีจิตน้อมเข้าสู่ธรรมะ
    7.สีเขียว เป็นของพญานาคที่เพียบพร้อมด้วยสมาธิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญู รู้แจ้งโลก ทรงมองเห็นจิตของมนุษย์ ว่า ผู้ที่สอนได้ คือผู้ที่มีสัญญาและใจ ส่วนที่บอกว่า สอนไปก็ไม่มีประโยชน์ นั่นเพราะ เค้าเหล่านั้น ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ถ้าจิตน้อมไป ไม่ใช่เป็นบัวใต้น้ำที่สอนไม่ได้เลย แต่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะควรแก่เขา เวลาอันควรที่จิตแต่ละท่านน้อมมาทางธรรมนั้นต่างกัน เช่น บางท่านจิตน้อมที่จะศึกษาธรรมแค่ได้ฟังธรรมเท่านั้น บางท่านจิตน้อมมาเพราะญาติที่รักเสียชีวิต หรือบางท่านจิตน้อมมาที่จะฟังก็ต่อเมื่อจะเสียชีวิต พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าอินทรีย์ก่อนจะทำกาละจะแก่กล้าจิตจะน้อมมาในธรรมมากถ้ามีผู้บอกสอนตอนนั้น
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    **บารมีหกประการของพระโพธิสัตว์**

    การปฏิบัติตนตามวิถีทางของพระโพธิสัตว์ เป็นการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความสมบูรณ์สูงสุดนี้เอง เราตั้งจิตปรารถนาจะช่วยเหลือสรรพสัตว์อย่างจริงใจ ซึ่งก็จะหมายความว่าเราเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นและสัตว์โลกทั้งปวงมากกว่าประโยชน์ของตัวเราเอง

    การที่พระพุทธเจ้าไม่สามารถพาเราไปได้เฉยๆ หมายความว่าจิตใจของเราจะต้องมีความโน้มเอียงที่จะปรารถนาจะพ้นทุกข์ เห็นโทษภัยของทุกข์ และเข้าใจเหตุแห่งทุกข์ด้วย การมีความโน้มเอียงเช่นนี้ได้ จำเป็นจะต้องมีพระพุทธเจ้าอยู่ ดังนั้นแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะไม่สามารถพาเราไปได้เฉยๆ แต่พระพุทธเจ้าก็เป็นเหตุให้เกิดมีคำสอนและมีแบบอย่างที่แสดงให้เราเห็นว่า การข้ามไปอีกฝั่งนั้นเป็นสิ่งที่เป็นจริง ปฏิบัติได้ และผลของการปฏิบัตินั้นดีอย่างไร
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    การที่เรามีจิตปรารถนาจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์สูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย หมายความว่าเรามี “โพธิจิต” โพธิจิตแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ “โพธิจิตอธิษฐาน” ได้แก่จิตที่อธิษฐานปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุประโยชน์ของการปรารถนาดังกล่าว และมีจิตมุ่งมั่นอย่างจริงใจที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ กับ “โพธิจิตปฏิบัติ” ได้แก่การลงมือปฏิบัติเดินตามเส้นทางของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจริงๆ เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้อย่างแท้จริง

    โพธิจิตสองแบบดังกล่าวนี้ เป็นสองส่วนของโพธิจิตที่เรียกว่า “โพธิจิตสมมุติ” หมายความว่าเป็นโพธิจิตที่ตั้งอยู่ฐาน ได้แก่ สมมติสัจจะ พระพุทธศาสนาแบ่งความจริงออกเป็นสองประการคือ “สมมติสัจจะ” หมายถึงความจริงที่เราพบเห็นอยู่เป็นประจำ ที่เราใช้คำต่างๆ เรียก เช่น โลกของเราที่ประกอบด้วยน้ำ ดิน ภูเขา ท้องฟ้า คน สัตว์ ฯลฯ ล้วนเป็นสมมติสัจจะทั้งสิ้น โพธิจิตอธิษฐานกับโพธิจิตปฏิบัตินั้น เป็นส่วนหนึ่งของโพธิจิตสมมติ เนื่องจากว่าการปฏิบัติกับการอธิษฐานนั้นเป็นเรื่องของสมมติบัญญัติ คือเรื่องของโลกที่เรารู้จักนี้เอง
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ส่วนความจริงอีกแบบหนึ่ง ได้แก่ “ปรมัตถสัจจะ” ได้แก่ความจริงโดยเนื้อแท้ของตัวเอง สิ่งที่เราควรเข้าใจก็คือว่า สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะนั้นแท้จริงแล้ว มิได้แยกกันอยู่ ไม่ใช่ว่ามีโลกของความจริงสมมติโลกหนึ่ง แล้วก็โลกของความจริงปรมัตถ์อีกโลกหนึ่ง แตความจริงก็คือว่า โลกใบเดียวกันนี้แหละ เป็นทั้งความจริงสมมติและความจริงปรมัตถ์ในเวลาเดียวกัน ในตัวเดียวกัน เรื่องนี้นักเรียนธรรมะหลายๆท่านยังเข้าใจไม่ถูกต้อง ท่านนาคารชุนเองก็กล่าวว่า แท้จริงแล้วไม่มีความแตกต่างกันแม้เพียงน้อยนิดระหว่างสังสาระกับนิพพาน ก็หมายความว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างความจริงทั้งสองนี้เอง โลกที่เราเห็นอยู่นี้หากมองด้วยสายตาของผู้ที่ยังมีกิเลส ก็เป็นโลกสมมติหรือโลกบัญญัติ ทึกทักไปว่าบัญญัติต่างๆ เป็นความจริง แต่โลกเดียวกันนี้เอง หากมองด้วยสายตาของผู้ที่ปราศจากกิเลส ก็จะเป็นโลกของนิพพาน หรือโลกของความจริงปรมัตถ์
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ทีนี้การปฏิบัติตามบารมีหกประการของพระโพธิสัตว์ ก็เป็นเรื่องของโพธิจิตปฏิบัติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโพธิจิตสมมุตินี่เอง เนื่องจากเราจะติดข้องอยู่ในโลกของสมมติบัญญัติ พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนอุบายวิธีที่จะพาเราไปสู่โลกของพระนิพพาน การสั่งสมบารมีทั้งหกก็เป็นการสั่งสมบุญบารมี เพื่อให้เป็นกำลังที่จะเดินทางไปสู่เป้าหมายอันได้แก่พระสัมมาสัมโพธิญาณ

    บารมีทั้งหกนี้ประกอบด้วย ทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ และปัญญา บารมีห้าประการแรกถือว่าเป็นวิถีเข้าสู่บารมีสุดท้ายคือปัญญา เรื่องเหล่านี้มีอยู่ในงานทางพระพุทธศาสนาชิ้นสำคัญ ได้แก่ “วิถีชีวิตของพระโพธิสัตว์” ของท่านศานติเทวะ ทานคือการให้ ประกอบด้วย “วัตถุทาน” คือให้สิ่งของ “อภัยทาน” คือให้ชีวิตแก่สัตว์ (เช่นเขตอภัยทานตามวัดต่างๆ) และ “ธรรมทาน” คือให้ธรรมะเป็นทาน
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ต่อมาคือศีลบารมี ศีลมีหลายประเภท เช่นศีลปาฏิโมกข์ของพระภิกษุ ศีลโพธิสัตว์ของผู้ปฏิบัติตามวิถีของพระโพธิสัตว์ ศีลห้าศีลแปดที่เรารู้จักกันดี แต่ที่ริมโปเชเน้นให้เราปฏิบัติก็คือเว้นจาก “อกุศลกรรมบถสิบ” ประกอบด้วยการเว้นจากการฆ่า ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ มีจิตโลภอยากได้ของเขา (อภิชฌา) มีจิตพยาบาท และมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) อกุศลกรรมบถเป็นหนทางของอกุศลกรรม ซึ่งก็คือหนทางสู่อบายภูมิ ผู้จะปฏิบัติตนตามโพธิจิตอธิษฐานต้องละเว้นจากอกุศลกรรมเหล่านี้ และประพฤติปฏิบัติในทางตรงข้าม เพื่อเป็นการสั่งสมบุญบารมี

    บารมีต่อไปได้แก่ขันติบารมี เป็นสิ่งสำคัญมากๆสำหรับพระโพธิสัตว์ ท่านศานติเทวะกล่าวไว้ว่า ผู้ที่สั่งสมบุญบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน แต่หากเกิดโกรธขึ้นมาแม้ชั่วขณะเดียว บุญบารมีเหล่านั้นก็จะสูญหายไปหมด หน้าที่ของพระโพธิสัตว์คือช่วยเหลือสัตว์โลก แต่ความโกรธเป็นการทำร้ายสัตว์โลก ดังนั้นความโกรธจึงเป็นข้าศึกโดยตรงของวิถีของพระโพธิสัตว์
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ต่อไปคือวิริยบารมี ได้แก่การบำเพ็ญความเพียรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ริมโปเชบอกว่า วิริยบารมีนี้เป็นฐานสำคัญที่จะทำให้บารมีเหล่านั้นเกิดขึ้นได้จริง วิริยบารมีที่ถูกต้องจะต้องเป็นการปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติยินดีที่ได้ทำความเพียรนั้นๆ หากรู้สึกว่าถูกบังคับแล้ววิริยบารมีก็จะไม่เกิด

    ต่อไปคือสมาธิบารมีหรือ “ฌานบารมี” การปฏิบัติสมาธิเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งจิตเป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องปฏิบัติอย่างแน่นอน เพราะปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้หากจิตไม่ได้รับการฝึกฝนด้วยการปฏิบัติสมาธิ สมาธิมีสองแบบคือ “สมถะ” หรือการทำจิตให้สงบแน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นลมหายใจ หรือสิ่งที่ตั้งนิมิตนึกถึง กับอีกอย่างคือ “วิปัสสนา” ได้แก่การเห็นความจริงตามที่เป็น
     

แชร์หน้านี้

Loading...