บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    ที่นอนชมพู ;)

    แต่พระท่าน ก็โอเคเนอะ :D
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ที่ไหน???:eek:
    ผ้าห่มนวมค้าบ
     
  3. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    ก็ว่า สีหวานแหวว :D
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นำภาพมาฝากค่ะ วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    จินตนาการ ความฝัน จิตใต้สำนึก

    ทั้ง จินตนาการ ความฝัน และจิตใต้สำนึก ล้วนเป็นสิ่งซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ที่จะแสดงออกมาเมื่อคนผู้นั้นอยู่ในภาวะที่นอกเหนือการควบคุมโดยระบบของสมองในภาวะปกติ เช่น ในเวลาที่ เคลิบเคลิ้ม หลับใหล หรือขาดสติ

    คำว่าจินตนาการ มีผู้ให้ความหมายไว้หลายนัยยะด้วยกัน อาทิ เป็นมโนภาพ ที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งมีลักษณะที่เหนือจริง หรือแตกต่างไปจากความเป็นจริง ทั้งรูปลักษณ์ คุณลักษณะ และความพิเศษต่าง ๆ โดยทั่วไปจินตนาการมักจะเป็นไปในทางสร้างสรรค์ ในแนวอุดมคตินิยม แต่ก็มีไม่น้อยที่บางครั้งจินตนาการของคนบางคนออกมาในลักษณะที่ตรงกันข้าม เช่นในรูปของสัตว์ประหลาด หรือ มนุษย์ต่างดาว บางทฤษฏีกล่าวว่าจินตนาการเป็นการแต่งเติมประสบการณ์ที่บกพร่องของตนให้มีความสมบูรณ์ขึ้น ซึ่งขอบเขตของจินตนาการก็ขึ้นอยู่กับแรงขับดันภายในจิตใจของคน ๆ นั้น ซึ่งก็คือคำตอบว่าเหตุใดจินตนาการของแต่ละคนจึงกว้างไกลไม่เท่ากัน
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สำหรับความฝัน ในทางวิทยาศาสตร์คือเงาสะท้อนของภาพ เหตุการณ์ เสียง ข้อความ และความนึกคิด รวมถึงอารมณ์และความรู้สึก ในเวลาที่เรานอนหลับ อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัย

    ทั้งนี้ เคยมีผู้คำนวณไว้ว่า คนเราตั้งแต่เกิดจนอายุ 80 ปี นั้น ได้ใช้เวลาไปกับการนอนถึง 27 ปี ซึ่งในแต่ละคืนตลอดระยะเวลา 27 ปี นั้น เราน่าจะฝันกันคนละร่วม 10,000 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเรามักจะจดจำความฝันกันไม่ค่อยได้ เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่ฝันเมื่อตอนที่ใกล้จะตื่น หรือกระทบจิตใจอย่างรุนแรงในทางพุทธศาสนาแบ่งความฝันออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ และ ธาตุกำเริบ
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กรรมนิมิต เกิดจากผลกรรมหรือการกระทำที่เราทำไว้ ซึ่งแสดงออกมาทางความฝัน เพื่อเป็นการเตือนล่วงหน้า

    จิตนิวรณ์ เป็นเพราะจิตของเรามีความพะวงอยู่กับเรื่องบางเรื่อง จึงเก็บมาคิด แม้ในสภาวะที่ร่างกายหลับใหล จิตก็ยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องนั้นอยู่

    เทพสังหรณ์ ว่ากันว่าเกิดจากแรงดลใจของเทวดาอารักษ์ที่มาบอกเหตุทั้งดีและร้าย เป็นความฝันที่มักจะเกิดในยามใกล้จะรุ่งสาง ซึ่งร่างกายอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น

    สำหรับธาตุกำเริบ อันนี้อาจจะเกิดขึ้นบ่อยที่สุด โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารเกินขนาด หรือมีรสจัด ในเวลาก่อนนอน

    ส่วนจิตใต้สำนึกนั้น เป็นสภาวะหนึ่งของจิต ในทัศนะของซิกมันด์ ฟลอยด์ จิตใต้สำนึกเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแสดงออกโดยการใช้จิตหรือสติปัญญา คล้ายคลึงกับในเวลาที่มีสำนึก แต่เจ้าตัวเองไม่มีการรับรู้การแสดงออกดังกล่าว
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ในโลกตะวันตกได้มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องจินตนาการ ความฝัน และจิตใต้สำนึก กันมานานพอสมควรแล้ว และมีหนังสือทั้งวิชาการและนวนิยายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ออกมาหลายเล่มด้วยกัน และหลายเรื่องได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด รวมทั้งเรื่องล่าสุดที่กำลังฉายอยู่ในเมืองไทยตอนนี้คือ ‘อินเซ็ปชั่น’ (Inception) ซึ่งเขียนเรื่องและกำกับการแสดงโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน โดยมีลีโอนาร์โด ดีคาปริโอ รับบทนำ ซึ่งหนังเรื่องนี้ไปไกลถึงการเจาะเข้าไปในความฝันของผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย และออกแบบจินตนการตามที่ต้องการ จนจิตใต้สำนึกของเหยื่อหลงเชื่อในสถานการณ์ที่ตนเผชิญ และฝังใจในความฝันนั้น

    ถึงแม้ว่าเมืองไทยเราคงยังไม่มีใครที่จะเจาะเข้าไปสร้างจินตนาการในฝันของใครได้ แต่สิ่งเพ้อเจ้อไร้สาระที่เกิดจากสื่อต่าง ๆ ซึ่งขาดจิตสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคม พากันยัดเยียดลงในหัวของคนไทยและเยาวชนไทยที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นมาโดยตลอด ก็สามารถจะสร้างจิตใต้สำนึกที่หลอนคนไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าไปอีกนานเลยล่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    เรื่องของเรื่อง คือความฝัน ;)
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เรื่องเก่าๆ กำลังหมุนวนกลับมา
    การเกิด-ตายในแต่ละภพชาติ
    ก่อเกิดสิ่งที่ตามมาหลากหลายจนถึงปัจจุบัน
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กงล้อแห่งสัญญา
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ...ทรัพย์...

    ใครๆ ก็อยากมีทรัพย์ ทรัพย์ภายนอกหามาเท่าไหร่ ใช้แล้วก็หมดไป

    ทรัพย์ภายในเมื่อได้มาแล้วไม่มีวันหมด ติดตามไปข้ามภพข้ามชาติ ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด ยิ่งสละออก ยิ่งเกิดทรัพย์ภายใน

    ทรัพย์ภายในดึงดูดทรัพย์ภายนอก และยังเป็นทรัพย์ที่ค้ำจุนจิตใจไม่ให้ตกต่ำไปจนถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ได้....มาสร้างทรัพย์ภายในกันเถอะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    บทความจากเฟสบุคชื่นศิริ แอน

    โชคชะตาไม่เคยแกล้งใคร
    เพราะใครทำอย่างไรย่อมได้รับสิ่งนั้นตอบแทน
    โชคชะตาทำหน้าที่เพียงคำนวนดอกเบี้ย
    ได้ดอกหรือเสียดอก เกิดจากการฝากหรือการยืม
    ชะตาดีชะตาร้าย .. ก็เช่นนั้น
    ฉะนั้นความสมหวังหรือผิดหวังที่ได้พบเจอ .. ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

    หัดโทษตัวเองซะบ้าง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระธรรมวินัย ที่พระตถาคตประกาศไว้แล้ว เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง

    พระธรรมวินัย ( ปล่อยวางซึ่งสุขในโลกธรรม ๘ ) โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ในที่สุดนั้น ว่าด้วย" กิน กาม เกียรติ โดยปัญญานั้น มีคุณมาก คือการหยั่งรู้ ซึ่งการวางสุขในโลกธรรม ๘ เหมือนดั่งไม่มีหัวใจ โดยสลัดคืนลมหายใจซึ่งก็คือจิตนี้ ทิ้งให้เจ้าของเดิม คืนให้กับธรรมชาติ ถ้ากำหนดได้ทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว ย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นของเราได้เลย โดยนัยที่พระตถาคตทรงตรัสไว้ดีแล้วว่า...ข้าไม่ใช่แค่ตาคู่นี้ ข้าไม่ใช่แค่หูคู่นี้ ข้าไม่ใช่แค่ลิ้นลิ้นนี้ ข้าไม่ใช่แค่ร่างกายนี้ ข้าไม่ใช่แค่สตินี้ ข้าไม่ใช่อย่างที่ข้าเห็น ข้าไม่ใช่อย่างที่ข้าได้ยิน ข้าไม่ใช่อย่างที่ข้าได้กลิ่น ข้าไม่ใช่รสสัมผัส ไม่ใช่ความคิดและสิ่งกระตุ้นเร้า ข้าไม่ใช่ภาพนี้ ไม่ใช่เสียงนี้ ข้าไม่ใช่กลิ่นนี้ ไม่ใช่ความคิดนี้ ไม่ใช่รสนี้ ไม่ใช่สตินี้ ข้าไม่ใช่ธาตุของโลกนี้ ข้าไม่ใช่ท้องฟ้า ข้าไม่ใช่อากาศ ข้าไม่ใช่น้ำ ข้าไม่ใช่สติของข้าเช่นกัน ไม่มีธาตุใดรั้งข้าไว้ได้ ชีวิตและความตายจับข้าไม่ได้ ที่ข้ายิ้มนั้น เพราะข้าไม่ได้เกิดและข้าไม่ได้ตาย ชีวิตไม่ได้ให้กำเนิดข้า และความตายก็พรากชีวิตข้าไปไม่ได้ ตัวตนของข้าไม่พึ่งพาชีวิตและความตาย ไม่มีทางเป็นไปได้

    เมื่อมีธรรมเป็นกายแล้ว( พระธรรมวินัย ) ส่วนธรรมกายเท็จนั้นเราจึงไม่ต้องการ..." ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "

    พระธรรมนั่นแหละคือกายอันสูงสุด จึงเปรียบเหมือนกับพระพรหม หรือศาสดาในศาสนาอื่นเป็นสิ่งสูงสุดที่จะเคารพบูชา พระพุทธเจ้าจึงไม่รู้จักตาย อยู่เหนืออำนาจเหตุปัจจัย คือเป็นอนันตกาล แล้วคิดดูว่าใครจะไปฆ่าพระองค์ให้ตายได้ การที่พูดว่าพระพุทธเจ้า ปรินิพพานไปแล้ว นั้นเป็นภาษาคนทั่วไป แต่ภาษาธรรม ก็คงต้องพูดว่า กิเลสต่างหากที่ดับตายไป มีแต่ธรรมชาติล้วนๆเป็นไปตามเหตุปัจจัย ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นจะสลัดเปลือกที่ห่อหุ้มดวงจิต คือกิเลส มีอวิชชา ซึ่งมี กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ เป็นต้น ออกไปได้เท่าไหร่ ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นครอบงำจิตใจได้เท่าไหร่ ธรรมกายก็จะปรากฎเท่านั้น เป็นนิโรธธาตุ สิ่งนี้ที่เรียกว่า "ต้นธาตุต้นธรรม" จากการที่ได้วางสุขในโลกธรรม ๘ โดยลลัดคืนลมหายใจหรือจิตนี้ ให้เจ้าของเดิมคือธรรมชาติ และเมื่อธรรมชาติครอบโลกธาตุหมด จนเข้าถึงการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสิ่งสูงสุด คือ ความเป็นพุทธะ พระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ในวักกลิสูตรว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต" ตถาคตคือธรรมกาย เสมอกัน หรือแม้แต่พระอรหันต์ ขีณาสพทั้งหลาย...โดยนัย...ที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า

    อานนท์! ความคิดอาจมีแก่พวกเธอ อย่างนี้ว่า "ธรรมวินัยของพวกเรา มีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา" ดังนี้.

    อานนท์! พวกเธออย่างคิดอย่างนั้น

    อานนท์! ธรรมก็ดี วินัยก็ดีที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา

    อานนท์! ในกาลบัดนี้ ก็ดี ใครก็ตามจักต้องมีตน เป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
    มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นอยู่

    อานนท์! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด แล...เมื่อชาวพุทธมีพระยาธรรมิกราช ซึ่งเป็นธรรมอันใหญ่่เปรียบเหมือนรัฐธรรมนูญในทางโลก แล้วจะต้องการอะไรอีกเล่า...ดังนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อนาคามี: พระในเพศฆราวาส

    พระในเพศฆราวาส ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ฆราวาสสามารถที่จะบรรลุอริยบุคคลได้ทุกชั้น แต่พระโสดาบันและสกทาคามีนั้น ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่คล้ายๆ กับ ปถุชน เช่น ท่านยังมีครอบครัว มีสามี ภรรยา และลูก เพียงแต่ท่านมีศีล 5 บริสุทธิ์ ท่านละสังโยชน์ คือ กิเลสทั้ง 3 ตัวได้

    สิ่งที่สำคัญก็คือ สำหรับอริยบุคคล 2 ชั้นนี้ ท่านยังสามารถบริโภคความสุขได้ทั้ง 3 ประการ คือ
    1.กามสุข ความสุขจากกาม
    2.ฌานสุข ความสุขที่เกิดจากฌาน
    3.นิพพานสุข ความสุขที่ได้จากการเข้าถึงนิพพาน

    แม้ยังไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างชนิดเต็มตัว แต่ท่านสามารถหน่วงเหนี่ยวอารมณ์แห่งนิพพานได้

    สำหรับอริยบุคคลชั้นสูงขึ้นไป คือ ในระดับพระอนาคามีและพระอรหันต์ ท่านไม่ได้บริโภคกามสุข ท่านบริโภคเฉพาะฌานสุขและนิพพานสุขเท่านั้น ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากการที่พระอนาคามีนั้นท่านสามารถละ สังโยชน์ คือ กิเลสเพิ่มได้อีก 2 ตัว ก็คือ กามราคะ ท่านสามารถตัดความรัก ความยินดีในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส ท่านสามารถตัดปฏิฆะ คือ ความโกรธเสียได้
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อท่านสามารถตัดความรักและความโกรธได้แล้ว จึงทำให้ท่านเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์ แต่ศีลในที่นี้ไม่ได้เป็นศีลเหมือนอริยบุคคล 2 ระดับ ดังกล่าวแล้ว พระโสดาบันและพระสกทาคามีนั้น เป็นผู้ที่มีศีล 5 บริสุทธิ์โดยธรรมชาติ ส่วนพระอนาคามีนั้นมีอธิศีลเหมือนพระโสดาบัน แต่ข้อแตกต่างกันก็คือ พระอนาคามีมีศีล 8 โดยธรรมชาติหรืออาจเรียกได้ว่าศีลอุโบสถก็ได้

    ที่สำคัญก็คือ พระอนาคามีเป็นผู้ที่มีอธิจิตบริบูรณ์ คำว่า อธิจิต ก็หมายความว่า เป็นผู้ที่มีสมาธิที่สมบูรณ์ ท่านทั้งหลายโปรดสังเกตว่า ในการฝึกสมาธินั้นมีกิเลสตัวสำคัญที่รุมล้อมทำร้ายจิตใจของเรา เรียกว่า นิวรณ์ทั้ง 5 ได้แก่

    1.กามฉันทะ ความพอใจในกาม
    2.ความพยาบาท ความขัดเคืองไม่พอใจ
    3.ถีนมิทธะ ความหดหู่และความเซื่องซึม
    4.อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและ รำคาญใจ
    5.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กิเลสตัวสำคัญที่สุด คือ กามราคะ หรือในนิวรณ์เรียกว่า กามฉันทะนั่นเอง แล้วก็พยาบาท ซึ่งในสังโยชน์เรียกว่า ปฏิฆะ ราคะกับโทสะ สองตัวนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในระดับกิเลสชั้นกลาง เพราะว่าเป็นกิเลสที่มารุมทำร้ายจิตใจ ทำให้จิตใจของเรานั้นไม่มีความสงบ เดี๋ยวจิตก็ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ของ ความรัก ความโกรธ เมื่อเราสามารถตัดราคะและโทสะได้ พระอนาคามีจึงชื่อว่าเป็นผู้มี อธิจิตสิกขา คือ เป็นผู้ที่มีสมาธิจิตบริบูรณ์

    ส่วนปัญญาของท่านก็มีอยู่พอควร ถ้าท่านไม่มีปัญญา ท่านไม่สามารถละกิเลสในระดับหนึ่งได้ เพียงแต่ท่านยังมีกิเลสเบื้องสูงอีก 5 ตัวที่ท่านยังไม่สามารถละได้ ภาษาพระใช้คำว่า อุทธัมภาคิสังโยชน์ แปลว่า กิเลสที่เป็นไปในฝ่ายสูง คือ พระอนาคามียังละรูปราคะ คือ ความพอใจในรูปฌานไม่ได้ ยังละอรูปราคะ คือ ความพอใจในอรูปฌานไม่ได้ ยังละ มานะ คือ ความถือตนว่าดีกว่าเขา เสมอกว่าเขา หรือ ต่ำกว่าเขาไม่ได้ ยังละอุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่านระดับเบื้องสูงไม่ได้ และที่สำคัญคือ ท่านยังละอวิชชา ความหลงไม่ได้
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เพราะฉะนั้น นี่คือ ภาระหนักสำหรับพระอนาคามี ที่ยังมีภาระกิจ คือ กิเลสละเอียด ที่จะต้องละต่อไป ครั้งที่แล้วได้อธิบายให้ท่านทั้งหลายฟังว่า ในศีล 8 นั้น ข้อที่น่าสนใจคือ ข้อที่ 3 ในศีล 5 ข้อ คือ กาเมสุมิจฉาจาร หมายความว่า เราจะไม่ยุ่งกับคู่ครองของคนอื่น แต่เราก็ยังมีเพศสัมพันธ์ปกติกับคู่ครองคือสามีและภรรยาของเราได้ แต่พอบรรลุอนาคามีนั้น สภาพจิตของท่านสูงขึ้น เนื่องจากตัดกามราคะได้

    ดังนั้น ศีลข้อที่สามจึงเปลี่ยนจาก กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี มาเป็น อพรัหมจริยาเวรมณี คำว่า อพรัหมจริยาเวรมณี หมายความว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางเพศทุกชนิด เพราะท่านไม่มีภารกิจที่ต้องทำในเรื่องเหล่านี้แล้ว เนื่องจากตัดถอนรากถอนโคนกามราคะได้หมดสิ้นแล้ว
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คำว่า กามราคะ ในศัพท์จิตวิทยา เรียกว่าสัญชาตญาณทางเพศ ซึงในเรื่องนี้มีมุมมองที่ขัดแย้งกันในทางความคิด เนื่องจากทางตะวันตกนี่ ไม่ว่าจะป็น อริสโตเติ้ล ซิกมันด์ ฟรอยด์ เขาถือว่ากิเลสเป็นสารัตถะ แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถที่จะตัดทำลายกิเลสได้ เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ตัดทำลายกิเลสหรือสัญชาตญานเหล่านี้ จะทำให้ความเป็นมนุษย์พิกลพิการ นี่คือ แนวคิดของทางตะวันตก ที่ถือว่ากิเลสกับมนุษย์ หรือกิเลสกับจิตเป็นตัวเดียวกัน

    แต่ในทางตะวันออกโดยเฉพาะในทางพระพุทธศาสนา ถือว่ากิเลสเป็นคนละตัวกับจิต กิเลสเป็นเจตสิก เป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิต อาศัยอยู่ในจิต แต่ไม่ใช่จิต ถ้าจิตเปรียบเหมือนเป็นแก้วน้ำ กิเลสก็เป็นเหมือนกับน้ำที่อยู่ในแก้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น แก้วน้ำกับน้ำ เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยกัน แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน

    ในทางพระพุทธศาสนาจึงถือว่า เราสามารถตัดทำลายกิเลสอันเป็นอกุศล คือ ความไม่ดีได้และเมื่อทำลายความชั่วในจิตให้หมดไปจากจิตใจได้แล้ว ในจิตใจก็เหลือไว้ซึ่งกุศลและเจตสิก ซึ่งเป็นคุณธรรมความดีเพื่อจะอยู่เกื้อกูลชาวโลกต่อไป เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท้งหลาย ท่านมีเมตตา มีกรุณา มีปัญญา มีคุณธรรมความดีต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะใช้เกื้อกูลชาวโลก
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สิ่งที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งคือ ข้อ วิกาลโภชนา เวรมณี พระอนาคามีปกติทานอาหารไม่เกินเที่ยง อันนี้ก็น่าแปลกเหมือนกัน ซึ่งบางทานอาจสงสัยว่าทำไมทานน้อย มันก็สัมพันธ์กับศีลข้อที่ 3 คือ อพรัมจริยา ท่านงดเว้นเด็ดขาดจากเรื่องเพศทุกชนิด ก็ไม่ต้องใช้พลังงานมากมาย ทานอาหารมื้อเช้าบำรุงกำลัง ท้องว่างมาหลายชั่วโมง มื้อเพลไม่เกินเที่ยง บำรุงปัญญา ส่วนมื้อเย็นบำรุงกามารมณ์

    สำหรับพวกฆราวาสผู้เสพกาม จำเป็นที่จะต้องบริโภคอาหารในเวลาเย็น ถ้าไม่ทาน คุณพ่อ คุณแม่ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงผลิตพวกเราให้ได้ออกมาชมโลกใบนี้ อันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติวิสัยของปุถุชนคนมีกิเลส แต่สำหรับพระอนาคามี ท่านไม่จำเป็นในเรื่องเหล่านี้แล้ว ศีลข้อต่อไปคือ ที่เราสมาทานว่า งดเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรีที่เป็นข้าศึกแก่กุศล คือ สิ่งที่ทำให้จิตใจเพลิดเพลินยินดี ตกไปในอารมณ์แห่งกามคุณ การทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง ท่านก็ตัดสิ่งเหล่านี้ได้หมด และข้อที่ 8 งดจากการนั่งนอนในที่นอนสูงใหญ่ หรูหราฟุ่มเฟือย สิ่งเหล่านี้ท่านสามารถที่จะตัดได้

    เรื่องของพระอนาคามีเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ท่านทั้งหลายจะสังเกตว่า ในระดับของพระระดับโสดาบันและสกทาคามีนี้ เราจะเรียกท่านเหล่านี้ว่า เป็นชาวบ้านชั้นดีก็ได้ เป็นสุภาพบุรุษชน เป็นสุภาพสตรีชน เป็นคนผู้ชายผู้หญิงที่เป็นคนดี ที่ไม่ละเมิดศีล 5 แต่พระอนาคามี เราไม่อยากเรียกท่านว่าเป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี ชั้นดี เพราะว่าท่านมีบุคคลิกภาพที่แปลกไป นั่นก็คือ ท่านมีชีวิตอยู่อย่างฆราวาสจริง แต่วิถีชีวิตของท่านไม่เหมือนฆราวาส จะเรียกท่านเหล่านี้ว่า อนาคาริก ก็ได้ คำว่า อนาคาริก ก็แปลว่า ผู้ไม่มีเรือน ไม่ครองเรือน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2018

แชร์หน้านี้

Loading...