บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ใครชอบปีนต้นงิ้วต้องอ่าน :rolleyes:

    สรรพคุณและประโยชน์ของต้นงิ้ว
    1. รากใช้เป็นยาบำรุงกำลัง (ราก)
    2. ยางใช้เป็นยาบำรุงโลหิต (ยาง)
    3. ช่วยแก้โรคมะเร็ง (เมล็ด)
    4. เปลือกต้นช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนของโลหิต (เปลือกต้น)
    5. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการใช้เปลือกต้นงิ้วแดง 1 กิโลกรัม นำมาล้างให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปใส่ในหม้อต้มยาสมุนไพร เติมน้ำสะอาดลงไป 5 ลิตรและต้มจนเดือด แล้วให้รินเอาแต่น้ำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว (250 มิลลิเมตร) วันละ 2 ครั้งทุกเช้าและเย็น (น้ำงิ้วที่ได้จะมีสีแดงเหมือนน้ำกระเจี๊ยบ) (เปลือกต้น)
    6. ดอกแห้งใช้ทำเป็นยาแก้พิษไข้ได้ดีมาก (ดอก) ส่วนหนามมีสรรพคุณแก้ไข้ ลดความร้อน ดับพิษร้อน (หนาม) ช่วยแก้ไข้พิษ ไข้กาฬ (หนาม)
    7. ช่วยระงับประสาท (ดอก)
    8. ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (ดอก)
    9. รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาทำให้อาเจียนถอนพิษ (ราก,เปลือกต้น)
    10. ช่วยรักษาต่อมทอนซิลอักเสบ ต่อมในคออักเสบ (ใบ)
    11. ช่วยแก้ต่อมน้ำลายอักเสบ (ใบ)
    12. ช่วยรักษากระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (เปลือกต้น,ราก)
    13. ช่วยแก้อาการท้องเสีย ลงท้อง (เปลือกต้น,ราก,ดอก,ผล) บรรเทาอาการท้องเดิน (เปลือกต้น,ดอก)
    14. เปลือกต้นช่วยแก้บิด (เปลือกต้น,ดอก,ยาง) แก้บิดมูกเลือด (ดอก ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าดอกแดงจะใช้แก้บิดเลือด (บิดถ่ายเป็นเลือด) ให้นำดอกมาต้มเป็นน้ำชาผสมกับน้ำตาลทรายแดง ใช้ดื่มตอนท้องว่างวันละ 3 ครั้ง ส่วนดอกเหลืองจะใช้แก้บิดมูก ให้ใช้ดอกเหลืองหรือส้มที่เป็นดอกแห้ง เข้าใจว่าใช้ต้มเป็นน้ำชาดื่ม
    15. ช่วยแก้อาการท้องร่วง โดยใช้ดอกตากแห้งนำมาต้มกับน้ำดื่ม (ยางจากต้น,เปลือกต้น,ดอก)
    ขอบคุณที่มา : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ...อุทธัจจะ...

    อุทธัจจะ คือ สังโยชน์ระดับละเอียดชนิดหนึ่งซึ่งแสดงออกมาในรูป "ความฟุ้งซ่าน" เนื่องจากความไม่แน่วแน่ของจิต ก็ดี, ความไม่ชัดเจนของความคิด ก็ดี, ความรู้ที่มากหรือจินตนาการที่มากเกินไป ก็ดี ฯลฯ ส่งผลให้เกิดความฟุ้งซ่าน

    แต่หากความฟุ้งซ่่านนั้นไม่พัวพันร้อยรัด ก็ไม่ใช่ "สังโยชน์" จะเป็นเพียงนิวรณ์ เหมือนเมฆน้อยลอยมาบดบังดวงจันทร์เป็นครั้งคราวฉะนั้น เกิดแล้วดับไปไม่เที่ยงตามเหตุปัจจัยหนุนนำ หากความฟุ้งซ่านเป็นเพียงนิวรณ์ เป็นของไม่เที่ยง ไม่พัวพันร้อยรัดแล้ว อาศัยเพียง "ขณิกสมาธิ" คือ สมาธิเพียงเล็กน้อย, ตื้นๆ ไม่ลึกไม่ถึงขั้นมีฌาน ก็สามารถบรรลุธรรมได้

    แต่หากความฟุ้งซ่านนั้นมีมากเกินไป จนกลายเป็นบ่วงร้อยรัด เป็นอุปสรรคขัดขวางการบรรลุธรรม ก็จะพัฒนาไปเป็น "อุทธัจจะ" ได้

    อนึ่ง พระอริยบุคคลที่หลุดพ้นอุทธัจจะได้ คือ พระอรหันต์ นอกจากนั้น ก็ไม่อาจหลุดพ้นอุทธัจจะ

    ดังนั้น การที่บุคคลทั่วไปมีความฟุ้งซ่าน ก็ไม่แปลก บ้างมีความฟุ้งซ่านไม่รุนแรง ไม่ถึงขั้นพัวพันร้อยรัดเป็นสังโยชน์ คือ จัดเป็นความฟุ้งซ่านระดับนิวรณ์เท่านั้น, บ้างมีความฟุ้งซ่านรุนแรง พัวพันร้อยรัดจนเป็นสังโยชน์ที่เรียกว่า "อุทธัจจะ" ก็มี หากกลายเป็นอุทธัจจะแล้ว ต่อให้บรรยายธรรมดีเท่าไร ก็ไม่ช่วยให้บรรลุธรรมได้ จำต้องเอาตัวเองให้หลุดพ้นจากอุทธัจจะนั้นให้ได้ก่อน จึงจะเข้าถึงธรรมได้ ในที่สุด

    บางท่านที่มีอุทธัจจะ จะสังเกตุได้จากการมีความคิดมากเกินไป, สงสัยมากเกินไป, จินตนาการมากเกินไป ก็มี เป็นลักษณะหนึ่งของอุทธัจจะ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นแบบนี้จะมีอุทธัจจะเสมอไป (คนที่มีวิจิกิจฉาก็มีความสงสัยมากเกินไปได้) แต่ไม่ได้หมายความว่ามีตลอดเวลา

    ในพระอรหันต์สามารถมีความฟุ้งซ่านได้มากมาย หากสิ่งนั้นเป็นเพียงกองขันธ์ที่ไม่เที่ยง เกิดแล้วดับไปตามเหตุปัจจัย และไม่ได้มีอำนาจถึงขั้นร้อยรัด เป็นอุปสรรคขัดขวางการบรรลุธรรมได้ เช่น ยามฟังธรรม ไม่มีความฟุ้งซ่าน แต่พอไม่ได้ฟังธรรมแล้วก็กลับมีความฟุ้งซ่านมากมายเป็นปกติ เช่นนี้ ไม่ใช่อุทธัจจะ เพราะไม่ได้ร้อยรัดจนเป็นอุปสรรคขัดขวางการบรรลุธรรมแต่อย่างใด

    ดังนั้น อย่าเพิ่งมองคนที่ฟุ้งซ่านว่าจะไม่อาจบรรลุธรรมได้ หากเขาสามารถหลุดพ้นความฟุ้งซ่านได้เมื่อฟังธรรม ตรงกันข้าม อย่าเพิ่งคิดว่าคนที่ดูไม่ฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลาจะเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว เพราะเขาอาจยึดมั่นยึดอยู่กับความคิดว่า จะต้องไม่มีอุทธัจจะก็ได้

    โพสต์เมื่อ 8th February 2013 โดย SuperMouth Gaia
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เวลาใกล้ตาย ควรคิดอะไร หลวงปู่หล้าแนะนำไว้

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) จ.มุกดาหาร ได้เทศน์ให้ญาติโยมฟังไว้ว่า ตายคาภาวนายังดีกว่าตายคานึกถึงสิ่งของ เวลาเราจะตาย เรานึกถึงสิ่งของอันใด ใจขาดด้วย ก็ไปเป็นเขียดกะปาดบ้าง อยู่ตามรั้วอยู่ตามไร่ตามนา ถ้าเรานึกถึงหลานคนนั้นคนนี้ แล้วก็ใจขาดคาที่นั่น เราไปเกิดเป็นเป็ดเป็นไก่เขาหรือเป็นหลานเขา เวลาจะตายสำคัญ อสัญกรรม กรรมเมื่อจวนเจียน

    เวลาใกล้จะตายเห็นแสงไฟ ปรากฏเห็นแสงไฟมา ยังไม่คิดไปทางอื่นแล้วก็เลยตายในขณะนั้นก็ไปเกิดในนรก

    ถ้าเวลาใกล้จะตายปรากฏเห็นท่าน้ำหรือป่าไม้ แล้วก็สิ้นลมปราณในเวลานั้นยังไม่คิดไปทางอื่น ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    เวลาใกล้จะตายปรากฏว่ามืดมนอนธกาล มองไม่เห็นอะไรเลยคล้ายๆว่ากลางคืน สิ้นลมปราณในขณะนั้นก็ไปเกิดเป็นเปรต

    เวลาใกล้จะตาย ได้ปรากฏเห็นวิมานและปรากฏเห็นเทวบุตรเทวดา แล้วก็สิ้นลมปราณในขณะนั้น ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวดาเป็นอินทร์เป็นพรหมอยู่ในสรวงสวรรค์หรือพรหมโลก

    เวลาใกล้จะตาย ปรากฏเห็นครรภ์มารดา ก็ไปถือปฏิสนธิเกิดอีกในครรภ์

    ส่วนพระอรหันต์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เวลาใกล้จะตายก็มาเห็นกายเราส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น ลมหายใจเข้าออกเป็นต้น หรือ กระดูกท่อนใดท่อนหนึ่งเป็นต้น หรือผม ขน เล็บ ฟัน อันใดอันหนึ่งเป็นต้น หรือธาตุน้ำอันใดอันหนึ่งในสกลร่างกายเป็นต้น มีดี เสลด น้ำเลือด เหงื่อ น้ำมันข้น น้ำลาย ไขข้อ น้ำมูตร หรืออันใดอันหนึ่งเป็นต้น ต่อจากนั้นแล้วท่านก็พลิกจิต ไม่ได้ติดอยู่ในผู้รู้ทั้งหลาย ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบันด้วย ท่านก็เข้าสู่พระนิพพานไปซะ หาธรรมอันไม่ตาย

    ถ้าเราไม่หัดไว้ทีนี้ ใกล้จะตายมาพุทโธๆแด่เด้อ พุทโธๆเด้อ พุทโธๆยังไงเมื่อมีชีวิตอยู่มันก็ยังไม่ภาวนา เดี๋ยวจะเจ็บอันนั้นปวดอันนี้ ร้องครางไปสารพัดแล้วไม่หัดไว้เดี๋ยวนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องหัดไว้ ถ้าตายคาภาวนาพุทโธ ถึงจะมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกก็ตาม เราก็ไปสุคตินานอยู่เหมือนกัน

    ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “อยู่กับทุกข์”

    ?? ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่หล้า เขมปัตโต” ??

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    จัดพานดอกไม้ตกแต่งวิหารสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องจักรพรรดิ์ เมื่อปี 2016. งานปริวาสกรรม

    ใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นเท่าที่มี ชาวบ้านที่นี่น่ารักค่ะ ต่างก็เก็บดอกไม้ที่ตนปลูกไว้ที่บ้านมาร่วมกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เพราะมันไม่ใช่บุพเพสันนิวาส แต่มันคือความผูกพันที่มีต่อกันมาหลายภพหลายชาติ...ซึ่งฉันรู้ดี แต่พูดออกไปไม่ได้ มันมากกว่ารัก

    ฉันรู้ตั้งแต่ตอนที่ฉันมีอายุ 29 ปี เรื่องราวต่างๆ เขามีชื่อว่าอะไร นามสกุลอะไร อยู่ที่ไหน และจะพบกันเมื่อไหร่ เหตุที่ต้องพบกันล่าช้ามาจากอะไร ฉันเฝ้ารอคอยวันที่จะได้พบเจอกัน มันซ่อนอยู่ในใจลึกๆ ความรู้สึกนั้นคืออะไร...ฉันไม่รู้ ฉันรู้เพียงว่าฉันรอคอยใครคนนั้น รอแค่เพียงได้พบเจอ ได้ถามไถ่ เหมือนรอของขวัญจากสวรรค์ การเดินทางที่เนิ่นนาน วิบากกรรมที่ต่างคนต่างต้องไปชดใช้ และก็ได้พบเธอ ฉันอยากบอกว่าคิดถึงมาก คิดถึงมานาน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันไม่เคยลืมเธอ แม้จะพยายามลืมสักกี่ครั้ง ก็ลืมไม่ได้ เพราะเรา...... นี่ล่ะมั้งวัฏฏะ

    และฉันยังคงเดินทางต่อไปจวบจนสิ้นลมหายใจ แล้วเริ่มต้นรอใหม่ในชาติหน้า 555

    ต่างคนต่างมีจุดมุ่งหมายในการเกิด เส้นทางของนักสร้างบารมี สั่งสมและสะสาง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2018
  6. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    อารม โลกสีชมพู ก็มานะคับ

    เอิ้กๆ
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    มันต้องมีอ่ะนะ นีสนุง อินเทรนด์เล็กน้อย;)
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นำมาตกแต่งเป็นเครื่องสักการะบูชาพระรัตนตรัย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กิเลส ธรรม มรรค ผล นิพพาน อยู่ที่เดียวกัน
    เห็นอย่างนั้นที่ใจดวงเดียว
    ขันธ์ห้าเป็นแค่เครื่องมือในกระบวนการผลิต
    นึกคำสวยๆ ไม่ออก
    อดีตธรรมทำให้หลุดพ้นไม่ได้ อนาคตธรรมทำให้หลุดพ้นไม่ได้ หลุดพ้นได้แค่ปัจจุบันธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไหลดำและไหลเขียวหรือไหลน้ำพี้

    ก้อนแร่ศักดิ์สิทธิ์ มีอายุมากกว่า 1,000 ล้านปี ชาวบ้านน้ำพี้ได้นำหินมาผ่านกระบวนการความร้อนประมาณ 1,000 องศาขึ้นไปจนกลายเป็นหยดน้ำรวมตัวกันเป็นก้อนหรือผลึก เมื่อแข็งตัวจะมีสีดำหรือสีเขียวมีความมันวาว ซึ่งหินนี้ประกอบไปด้วยแร่ควอทซ์หรือซิลิก้า เซอร์เพนทีนและแร่เหล็ก ซึ่งแร่นี้เป็นแร่ที่หาพบได้ยากมากในโลกนี้ จะมีเฉพาะที่จังหวัดอุตรดิตถ์และเขตติดต่อกับจังหวัดน่าน อยู่ใต้พื้นผิวโลกมากกว่า 100 กิโลเมตร มีอายุหลายร้อยล้านปี ไหลน้ำพี้นี้ก่อนจะเผาให้เป็นหยดได้ขอขมาและทำพิธีก่อนเผา เป็นไหลตามธรรมชาติที่ได้จากหิน ไม่ผสมสารใด ๆ ซึ่งเรียกว่าสารควอทซ์ และเซอร์เพนทีน เนื่องจากเป็นธาตุเดียวกับที่นำไปเป็นส่วนผสมแก้วหรือกระจกทั่วไป

    ความเชื่อและอิทธิฤทธิ์เกี่ยวกับไหลน้ำพี้ เชื่อว่าล้างอาถรรพ์ อันเกิดจากคุณไสย์ มนต์ดำ ลมเพลมพัด ป้องกันภูตผีปีศาจหรือเดรัจฉานวิชาได้ อีกทั้งมีคุณวิเศษด้าน แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยมและค้าขาย เสริมบารมีในการทำมาค้าขาย ไหลน้ำพี้เป็นธาตุเดียวกับเหล็กไหล "ไม่ต้องปลุกเสกก็มีอิทธิฤทธิ์และอำนาจในตัวเอง"
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไหลน้ำพี้ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับเหล็กไหล พบและหาได้เฉพาะ บ้านน้ำพี้ ตำบลน้ำพี้ จังหวัดอุตรดิตถ์ ไหลน้ำพี้มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเพียงตั้งจิตอธิฐานภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือให้บังเกิดความสำเร็จ

    อิทธิฤทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ของไหลน้ำพี้ มีคุณวิเศษ ถ้าอยากรู้ก็ต้องหามาสักการะบูชา เมื่อได้มาแล้วก็ตั้งจิตอฐิษฐานให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและคุ้มครอง ปกป้องรักษา ตั้งอยู่ในศีล หมั่นปฏิบัติธรรมและศรัทธาอย่างแรงกล้า ประกอบไปด้วยปัญญาในการศึกษา นี่คือปัญญาบารมีสะสมจะนำมาซึ่งความสำเร็จ

    ความเชื่อในเรื่องอิทธิปฏิหารย์ถือว่าเป็น เรื่องอจินไตย ที่ไม่ใช่เรืองแปลกสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ฌาน สามารถสัมผัสในมิติพลังเร้นลับของธาตุกายสิทธิ์ต่างๆ ได้ รู้ เห็น ได้ด้วยตนเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เขาเล่ามา...เราเล่าต่อ
    จาก...กลุ่มหลวงปู่เทพโลกอุดร

    หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านคือใคร...หรือใครคือหลวงปู่เทพโลกอุดร..!มาติดตามอ่านกัน (หลวงปู่เทพโลกอุดรไม่ได้มีแค่องค์เดียว ตอนที่ 1)

    พระปิณโฑลภารทวาชเถระ หรือพระปิลโทรโล่ หรือป้วดล่อตั้ว เป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล และยังเป็นพระอรหันต์องค์ที่ 1 ใน 18 พระอรหันต์ทองคำ ตามความเชื่อของคติพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน
    พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เดิมเป็นพราหมณ์ในพระนครโกสัมพี แคว้นวังสะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าอุเทน ชื่อว่า ภารทวาชโคตร ท่านมีชื่อตามโคตรของท่านว่า ภารทวาชมาณพ เมื่อเจริญวัยได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบไตรเภท ได้ตั้งตนเป็นอาจารย์บอกศิลปวิทยาแก่มาณพทั้ง 500 คน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ภารทวาชมาณพมีนิสัยโลภในอาหารเป็นเนืองนิตย์ ตะกละกินจุ เที่ยวแสวงหากินกับบรรดาศิษย์ของตนไม่เลือกที่ ทำให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์เกิดความเบื่อหน่ายในพฤติกรรมนิสัยความตะกละของของอาจารย์ที่ทำให้พวกตนได้กินอาหารน้อย จึงพากันละทิ้งสำนัก ทำให้ภารทวาชมาณพกลายเป็นคนหมดสิ้นเนื้อประดาตัวไม่รู้จะไปขออาหารจากที่ไหน จึงเดินทางไปยังกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เมื่อไปถึงเมืองนั้นแล้ว ได้เห็นว่าพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ ได้ลาภสักการะเป็นอันมาก ภัตตาหารก็อุดมสมบูรณ์ จึงบวชในพระศาสนาด้วยความประสงค์จะได้อาหาร และก็ยังเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในการบริโภคอยู่

    เมื่อท่านบวชแล้ว ท่านถือเอาบาตรขนาดใหญ่เที่ยวบิณฑบาตไป ในการรับภัตท่านก็รับภัตเอาจนเต็ม ท่านดื่มข้าวยาคูเต็มภาชนะ เคี้ยวกินขนมเต็มภาชนะ บริโภคข้าวเต็มภาชนะ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลความที่ท่านไม่ประมาณในการบริโภค ฉันอาหารมากเกินพอดีต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่พระองค์ยังไม่ทรงอนุญาตให้ถลกบาตรแก่ท่าน เพื่อมิให้ท่านสามารถรับภัตได้ครั้งละมาก ๆ เมื่อท่านฉันภัตเสร็จ ล้างบาตรแล้ว เมื่อจะวาง ท่านก็คว่ำบาตรวางลงแล้วดันครูดส่ง ๆ ไปไว้ใต้เตียง ในตอนที่จะใช้บาตรนั้น ก็จะถือเอาก็ครูดลากเอาบาตรนั้นออกมา บาตรนั้นเมื่อเวลานานเข้า ขอบปากบาตรก็กร่อนไปเรื่อย ๆ ด้วยการถูกครูด จนกระทั่งเหลือเป็นเหมือนแผ่นกระเบื้อง รับภัตได้เพียงข้าวสุกทะนานเดียวเท่านั้น ภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ถลกบาตรแก่ท่านอีก ดังนั้น ท่านจึงได้ชื่อ ปิณโฑละ เพราะบวชเพื่อต้องการภัต แต่โดยโคตร ชื่อว่า ภารทวาชะ เหตุนั้น รวมชื่อทั้งสองเข้าด้วยกันจึงเรียกว่า ปิณโฑลภารทวาชะดังนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ต่อมาท่านได้ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ทรงอบรมท่านให้ตั้งอยู่ในความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภคด้วยอุบายวิธี แต่นั้นท่านจึงเริ่มบำเพ็ญความเพียร ตั้งอารมณ์วิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต ได้อภิญญา ๖ ในวันบรรลุพระอรหัต หลังจากที่ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ บรรลุพระอรหัตแล้ว ท่านก็ได้สมาทานธุดงค์ เป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตร มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัดไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร ผู้มีวาทะกำจัด หมั่นประกอบในอธิจิต พระผู้มีพระภาคทรงเห็นท่านพระปิณโฑลภารัทวาชะ ได้ถือปฏิบัติเช่นนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า "การไม่ว่าร้ายกัน ๑ การไม่เบียดเบียนกัน ๑ การสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในภัต ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ" ท่านถือเอาผ้ารองนั่งออกจากวิหารนี้ไปวิหารโน้น ออกจากบริเวณ นี้ไปบริเวณโน้น เที่ยวบันลือสีหนาทว่า "ท่านผู้ใด มีความสงสัย ในมรรคหรือผล ท่านผู้นั้นจงถามเรา" ดังนั้นด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องท่านว่า เป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้าน ผู้บันลือสิงหนาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ตอนที่ 2

    พระปิณโฑลภารวาช (หลวงปู่เทพโลกอุดร) เหตุเพราะทำผิดพระวินัย พระพุทธองค์จึงทรงลงทัณฑ์ให้อยู่ดูแลพระพุทธศาสนาจนกว่าจะครบ 5,000 (วัสสา) ปี

    สมัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่วัดเวฬุวันมหาวิหารที่กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ มีเศรษฐีผู้หนึ่งได้รับปุ่มไม้แก่นจันทร์ที่มีค่ามากด้วยความบังเอิญ จึงมีความคิดที่อยากจะรู้จักกับพระอรหันต์เพราะ มีพวกลัทธิต่างๆมากมายได้โอ้อวดกันว่าตนเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นเพื่อต้องการให้รู้ชัดว่าใครเป็นพระอรหันต์กันแน่ จึงนำปุ่มไม้แก่นจันทร์นี้มากลึงเป็นบาตรแล้วนำไปแขวนไว้ที่ปลายไผ่ที่สูง 15 วา และประกาศให้ทั่วเมืองว่า "ผู้ใดที่สามารถเหาะนำบาตรแก่นไม้จันทร์ลงมาได้ ผู้นั้นก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เราและเหล่าครอบครัวจะยึดผู้นั้นเป็นสรณะที่พึ่งตลอดชีวิต"
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ต่อมาบรรดาเจ้าลัทธิหรือเดียรถีย์ที่ชื่อเสียงทั้ง 6 คน ได้แก่ ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล สัญชัยเวลัฏฐบุตร ปกุทธกัจจายะ และ นิครนถ์นาฏบุตรต่าง ก็อยากได้บาตรแก่นไม้จันทร์ จึงพากันแสดงตัวและมาขอบาตรแก่นไม้จันทร์กับเศรษฐี แต่ก็ไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์เหาะอะไรเลย เศรษฐีก็ไม่ยอมให้และยื่นคำขาดว่าจะต้องเหาะนำบาตรแก่นไม้จันทร์ลงมาให้ได้ จึงจะเอาไปได้ เดียรถีย์ทั้หกต่างได้พยายามเกลี้ยกล่อมแล้วก็ไม่เป็นผล แม้จะใช่อุบายต่างๆเช่นทำเป็นแสร้งว่าตัวเองเหาะได้แต่ลูกศิษย์ห้ามไว้โดย ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองเหาะไม่ได้ แต่เศรษฐีก็ไม่ยอมให้เช่นกัน

    เวลาผ่านไป 7 วัน ยังไม่มีใครสามารถเหาะนำบาตรแก่นไม้จันทร์ลงมาได้ ทำให้ชาวเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่า ในโลกนี้คงไม่มีพระอรหันต์ละมั้ง ในขณะเดียวกัน พระมหาโมคคัลลานเถระกับ พระปิณโฑลภารทวาช กำลังออกบิณฑบาตรอยู่ได้ฟังชาวเมืองที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่มีพระอรหันต์ในโลก ทำให้พระมหาโมคคัลลานะคิดว่าชาวเมืองกำลังดูหมิ่นพระพุทธศาสนา จึงต้องการให้ชาวเมืองได้รับรู้ว่า ในโลกนี้มีพระอรหันต์จริง ท่านก็คิดว่าตนเองนั้นมีอิทธิฤทธิ์มากที่จะแสดงได้แต่ท่านก็มีใจกว้างจึงยก ให้พระปิณโฑลภารทวาชเป็นผู้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระปิณโฑลภารทวาชรับคำของพระโมคคัลลานแล้วเข้าจตุตถฌานสมาบัติอันเป็นฐาน แห่งอภิญญา กระทำอิทธิฤทธิ์เหาะขึ้นไปบนอากาศ พร้อมทั้งแผ่นศิลาที่ยืนอยู่นั้น เหาะเวียนรอบกรุงราชคฤห์แล้วเหาะลอยเลื่อนมาอยู่ยังที่แขวนบาตรแก่นไม้ จันทร์เพื่อนำบาตรลงและเหาะตรงหลังคาเรือนของเศรษฐี ท่านเศรษฐีเห็นดังนั้นแล้วก็ดีใจที่ได้เห็นพระอรหันต์ที่แท้จริง และตกใจกลัวว่าก้อนหินจะล่วงลงมาทับบ้านของตน จึงกราบหมอบลงจนอกติดพื้นดินแล้ว กล่าวนิมนต์ให้ลงมา พระเถระจึงสลัดก้อนหินไปประดิษฐานในที่เดิมแล้วเหาะลงมาจากอากาศ เมื่อพระเถระลงมาแล้ว ท่านเศรษฐีจึงนิมนต์ให้นั่ง ณ อาสนะที่จัดถวาย ให้คนนำบาตรแก่นไม้จันทร์ที่ลงมาจากที่แขวนไว้บรรจุอาหารอันประณีตจนเต็ม แล้วถวายพระเถระรับแล้วก็กลับสู่วิหาร ส่วนชาวเมืองเมื่อได้เห็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของพระปิณโฑลภารทวาชจึงพากัน ชุมนุมติดตามพระเถระที่วิหารเพื่อหวังให้ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ชมอีก จึงเกิดเสียงอื้ออึงจนไปถึงพระกรรณของพระพุทธองค์ พระองค์ทรงตรัสถามกับพระอานนท์ ผู้เป็นพระพุทธอุปัฏฐากว่า เสียงอะไร เมื่อทรงทราบเรื่องราวแล้ว จึงทรงตรัสเรียกประชุมสงฆ์ และเรียกพระปิณโฑลภารทวาชมาเข้าเฝ้า ทรงไต่สวนกับพระเถระ พระเถระก็ยอมรับทุกประการ พระพุทธองค์ก็ทรงติเตียนพระปิณโฑลภารทวาช และบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ หากภิกษุฝ่าฝืนต้องอาบัติทุก กฎ นอกจากนั้นทรงตรัสให้นำบาตรแก่นไม้จันทร์ไปทุบให้เป็นผงเพื่อทำยาหยอดตา และบัญญัติสิกขาบทห้ามใช้บาตรไม้ หากภิกษุใช้ ต้องอาบัติทุกกฎ พระพุทธองค์จึงทรงลงทัณฑ์พระปิณโฑลภารวาชให้ดำรงค์ธาตุขันธ์อยู่ก่อน เพื่อจะยังศรัทธาปสาทะพระเจ้าอโศกมหาราชในการขยายพุทธอาณาเขต และท่านยังต้องทำหน้าที่เป็นประธานของพระอรหันต์ในการดูแลพระพุทธศาสนาจนกว่าจะครบ 5,000 (วัสสา) ปี

    (มีต่อตอนที่ 3)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2018
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ตอนที่ 3

    หลวงปู่เทพโลกอุดร..ทำตามพุทธประสงค์ ท่านจึงอธิษฐานจิตให้มีชีวิต(ขันธ์ห้า)อยู่ถึง 1 กัปล์(5,000 ปี)

    ประมาณ 218 ปีหลังจากที่พระพุทธเจ้าเข้าสู่มหาปรินิพพาน ก็เข้าสู่ยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ของเมืองปาฏาลีบุตรและผู้ยิ่งใหญ่ของโลก หลังจากพระองค์ได้ทรงขยายอาณาเขตประเทศและเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปทั่วชมพูทวีปแล้ว ก็ทรงมีพระราชศรัทธาที่จัดงานพิธี “ มหกรรมปัญจวารษิกะ ” หรือการถวายมหาทานแด่พระอริยสงฆ์ (ยกเว้นพระคลังหลวงซึ่งเป็นของแผ่นดินเท่านั้น ที่ไม่ได้นำออกมาถวายนอกนั้นนำมาถวายทั้งหมด) โดยที่ในกาลพิธีนั้นมีพระภิกษุสงฆ์สามแสนองค์ได้มาล้อมรอบพระองค์ แสนองค์เป็นพระอรหันต์ นอกจากนั้นก็เป็นพระอริยะในลำดับต่างๆ รวมตลอดถึงท่านที่เป็นปุถุชน หากที่ประธานสงฆ์ว่างอยู่ พระเจ้าอโศกเกิดความสงสัยจึงตรัสถามถึงเหตุผลต้นปลายแล้ว
    พระยศะ เจ้าอาวาสผู้ชรา ผู้ทรงไว้ซึ่งอภิญญามาก ได้ทูลว่า “ มหาบพิตร อาสนะที่ว่างไว้นั้น สำหรับประธานการสงฆ์ ”
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระเจ้าอโศกตรัสถามว่า “ ก็พระคุณเจ้าไม่อาวุโสกว่าทุกๆ รูปดอกหรือ ”
    พระยศะทูลว่า “ อาสนะอันทรงเกียรตินี้ เหมาะแต่กับท่านพระปิณโฑลภารทวาช ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นเอตทัคคะในทางบันลือสีหนาท ”

    เมื่อพระเจ้าอโศกได้ยินดังนั้น ก็เกิดปิติขนลุกซู่ขึ้นมาทันทีแล้วตรัสว่า “ อะไรกัน พระสาวกที่ทันเห็นพระพุทธเจ้ายังมีอีกหรือนี่ ” พระยศะทูลว่า “ มหาบพิตร จริงแล้ว พระปิณโฑลภารทวาช ท่านเกิดอยู่ในสมัยพุทธกาล แล้วยังคงดำรงชีวิตอยู่ ” พระเจ้าอโศกตรัสถามว่า “ ข้าพเจ้าจะได้เห็นท่านไหม ”
    พระยศะทูลว่า “ มหาบพิตร จะทรงได้พบท่านเร็วๆนี้แล้ว เพราะถึงเวลาที่ท่านจะมาแล้ว ” พระเจ้าอโศกทรงปิติปราโมทย์ แล้วอุทานว่า “ นับเป็นลาภอย่างยิ่งของข้าพเจ้า และไม่เคยได้พรใดที่ดีไปกว่านี้มาก่อนเลย นับว่าเป็นเลิศบนพื้นพิภพ ยามเมื่อดวงเนตรของข้าพเจ้าจะได้ทอดทัศนา ท่านผู้ที่มีชีวิตอยู่ทันสมัยพระพุทธเจ้า ”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    การปรากฎตัวของพระปิณโฑลภารวาช (หลวงปู่เทพโลกอุดร) ให้พระเจ้าอโศกมหาราชได้เห็นนั้น ก็เพื่อจะยังศรัทธาปสาทะของพระเจ้าอโศกให้เป็นไปในทางพุทธานุสติ และความมั่นคงในการขยายศาสนจักรออกไปทั่วโลก ตลอดจนเป็นการทำตามพุทธประสงค์ ที่ท่านถูกพระพุทธองค์ทรงลงทัณฑ์ให้เป็นผู้ดูแลพุทธกิจจนกว่าจะครบ 5,000 ปี(วัสสา)
    หลังจากที่พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ตรัสสนทนากับ พระยศะ จบแล้ว พระองค์ก็ทรงประนมมือและทรงยืน มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ครั้นแล้วก็เห็นพระปิณโฑลภารวาช ก็เหาะมาดังราชหงส์ ลงมาสู่ที่ประชุมสงฆ์ ซึ่งนั่งล้อมวงเป็นอัฒจันทร์ โดยท่านได้นั่ง ณ ที่ขององค์ประธาน ทันใดนั้นพระสงฆ์เป็นเรือนแสนก็ลุกขึ้นแสดงความเคารพ และพระเจ้าอโศกก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระปิณโฑลภารวาช ผู้มีกายดุจพระปัจเจกพุทธเจ้า ผมหงอกขาว คิ้วยาวจนปิดตาทั้งคู่ พระเจ้าอโศกทรงนั่งลงแล้วเหยียดตัวทอดยาวบนพื้น ณ แทบเท้าของพระเถระ แล้วก็ทรงคุกเข่านั่งพนมมือ ทอดพระเนตรไปที่พระเถระพลางตรัสด้วยอารมณ์อันหวั่นไหวว่า “ เมื่อข้าพเจ้าเอาชนะข้าศึกศัตรู แล้วนำเอาแผ่นดินและภูเขาจนจรดมหาสมุทรมาอยู่ใต้เอกฉัตรแห่งอธิปไตรได้แล้ว ก็หาได้มีความยินดีเท่าบัดนี้ไม่ ที่ได้เห็นพระเถระเจ้า แม้วันนี้ ก็เท่ากับข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้แสดงองค์เพื่อมาโปรดข้าพเจ้า เท่ากับเพิ่มศรัทธาปสาทะของข้าพเจ้าเป็นทวีคูณ ”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2018

แชร์หน้านี้

Loading...