"บวชมาเพื่อไม่เป็นอะไรเลย " พระราชสุเมธาจารย์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 3 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG]
    พระราชสุเมธาจารย์(โรเบิร์ต สุเมโธ)

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    "อาตมาลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ก็เลยฟรี มีโอกาสมาวัดหนองป่าพง ตั้งแต่แรกบวชเป็นพระในเมืองไทย ไปหนองคาย แล้วก็มาที่นี่ให้หลวงพ่อชาสอน อบรมวินัย 40 ปีมาแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะบวชแค่สองปีเท่านั้น ไม่คิดว่าจะอยู่นานขนาดนี้ แม้ว่าจะบวชมานานก็ยังไม่เบื่อหน่ายในความเป็นพระ ยังยินดีทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อชาทำให้เห็นประโยชน์ในการเป็นพระ

    " เมื่อก่อนมีคนบอกว่า อยู่หนองป่าพงอยู่ยาก เคร่งครัดในวินัย แต่พอมาอยู่กับท่าน ได้ยินท่านพูดว่า เราไม่ได้เป็นชาติอะไร เราไม่ได้เป็นผู้ชาย ไม่เป็นผู้หญิง ไม่มีเพศ อาตมาสงสัยมากว่า ถ้าเราไม่เป็นผู้ชาย แล้วเราเป็นอะไร เรามาบวชเป็นพระ ถ้าไม่เป็นพระจะเป็นอะไร"

    พระราชสุเมธาจารย์ ( โรเบิร์ต สุเมโธ) แห่งวัดอมราวดี ประเทศอังกฤษ แสดงธรรมเป็นรูปแรกให้ญาติโยมเรือนหมื่นฟังในคืนวันที่ 16 มกราคม 2554 หลังทำวัตรเย็น ที่หนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นพระชาวต่างชาติรูปแรกที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา และทุกวันที่ 16 มกราคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันมรณภาพของหลวงพ่อชา เป็นวันที่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลกมาชุมนุมพร้อมกันเพื่ออาจาริยบูชาถึงท่านโดยการปฏิบัติธรรม โดยเฉพสะในคืนนี้มีการแสดงธรรมทั้งคืน

    ท่านสุเมโธแสดงธรรมต่อมาว่า มีคนชอบถามว่าบวชเป็นพระมานานแล้วได้อะไร ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง

    "อาตมาบอกไปว่า จริงๆ แล้วบวชมาเพื่อไม่ได้เป็นอะไรเลย ชาวบ้านคนไทยและชาวบ้านอเมริกันเหมือนกัน คือชอบถามว่า บวชเป็นพระต้องการเป็นอะไร อย้างน้อยก็คงอยากจะเป็นโสดาบัน ไม่ก็สกิทาคามี จริงๆ แล้วก็เป็นความโง่ ถ้าคิดว่าบวชเพื่อจะเป็นอะไร

    "ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราบวชเพื่อให้เห็นโทษในความเป็นอะไร การบวชจึงเป็นการไปสู่ความไม่เป็นอะไรเลย แม้ว่าเราจะเรียกตามภาษาชาวบ้านว่าเราเป็นชาวไทย เป็นชาวอเมริกัน เป็นพระ ก็ตาม แต่ความจริงแล้ว เราไม่ได้เป็นอะไร นั่นเป็นเรื่องของสังขาร ความคิดปรุงแต่งเท่านั้นเอง ถ้าเรายึดถือความคิดมากก็สงสัยมาก เกิดคำถาม"

    แล้วท่านก็เล่าย้อนไปถึงสมัยวันรุ่นว่า เป็นคนชอบเรียนหนังสือ ชอบอ่านหนังสือ ชอบคิด ไปไหนก็เอาหนังสือไปด้วย ต้องเอาหนังสือไปอ่านตลอด ถ้าไม่มีหนังสือไม่สบายใจ

    "พอมาบวชที่นี่หลวงพ่อชาบอกว่า ไม่ให้อ่านอะไร มีหนังสือเก็บไว้ในกุฏิก็ได้ แต่ไม่ให้อ่านหนังสือในพรรษา ท่านบอกว่า เห็นใจว่าพระสุเมโธ รู้สึกไม่สบายใจก็อ่านหนังสือ หลวงพ่อบอกว่า อยากให้อ่านหนังสือที่ใจของตนเอง มากกว่า ให้ดูจิตดูใจของตนเอง มีอะไรเกิดขึ้นก็เห็นเป็นอารมณ์ได้ "

    พระสุเมธาจารย์ เดิมชื่อ โรเบิร์ต แจ็คแมน มาเมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และกลับมาอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ชอบเรียนสมาธิตั้งแต่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านเล่าว่า พอสอนหนังสือเสร็จก็ข้ามถนนไปเรียนสมาธิ นั่งหายใจดูอาการยุบหนอพองหนอที่วัดมหาธาตุ นั่งสมาธิไปสามวัน ความสงบมันเกิดขึ้นทันที ความคิดหยุดไป

    "พอพบความสงบ ก็คิดว่าตัวเองตรัสรู้แล้ว ไม่ต้องนั่งนานๆ ไม่ต้องบวชเป็นพระ นั่นคือความโง่ของเรา วันหลังไปนั่งสมาธิอีก ไม่มีความสงบเลย มีแต่ความทุกข์ เราพยายามบังคับตัวตน บังคับจิต แต่มันก็ไม่ได้

    "ต่อมาเราพิจารณาว่า สัญญา ความจำได้หมายรู้ก็ทำให้เป็นทุกข์ เหมือนสังขาร ความคิดปรุงแต่ง ที่ทำให้เป็นทุกข์ เช่นกัน ถ้าไปยึดติด จากนั้นเราก็เดินทางไปสวนโมกข์ ไปวัดหลวงตามหาบัว ตั้งใจหาที่บวช ก็มีพระแนะนำให้ไปที่หนองคาย อาตมาเลยไปหาท่านเจ้าคุณ เจ้าคณะจังหวัดหนองคาย ท่านให้บรรพชาเป็นสามเณร ปฏิบัติเดี่ยวอยู่ในห้อง 10 เดือน มีสามเณรส่งอาหารให้ทุกวัน เห็นอารมณ์หลายอย่าง กระทั่งเห็นว่าอารมณ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็จะดับไปเอง เราต้องอดทนเพราะมีกิเลสมาก ดูไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็สงบเอง "

    ท่านเล่าย้อนไปถึงครอบครัวของท่านว่า เกิดในตระกูลศาสนาคริสต์ ซึ่งให้ศรัทธานำ ยึดถือคำสอน ไม่ให้พิจารณาอะไร ต้องเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่ ความสงสัยเป็นบาป ห้ามสงสัยพระเจ้า

    "เต่เราเป็นคนที่ไม่เชื่อ ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ฟังเทศน์ของบาทหลวงได้ อ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วย แต่ไม่เชื่อ เกิดความสงสัย ถ้าสงสัยแล้วเราจะมีชีวิตอย่างไร ตอนนั้นอายุ 18-19 ปี อเมริกากำลังจะต่อสู้กับจีนแดง ในประเทศเกาหลี เรากำลังคิดจะหนีจากพ่อแม่ หนีจากมหาวิทยาลัย เลยสมัครเป็นทหาร อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก จากอเมริกาตะวันตกไปญี่ปุ่น ก็ไปศึกษาพุทธศาสนาแบบเซน มีคนญี่ปุ่นให้หนังสือเซนที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ก็ศรัทธากิดขึ้นเอง ไม่ได้เกิดจากความเชื่อถือ เป็นศรัทธาที่ตั้งคำถามได้ไม่ใช่ศรัทธาที่ยึดมั่นถือมั่น ก็มีกำลังใจที่อยากจะศึกษาต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะปัญญาได้ เป็นทหารปีกว่า ก็กลับไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย จบแล้วไปเป็นครูที่มาเลเซียพักหนึ่ง กระทั่งมาบวชที่เมืองไทย เพื่อหาที่ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ จนได้พบกับหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง

    "ตอนนั้น อาตมาฉันอาหารอีสานไมได้ชาวบ้านก็สงสาร ไปขอหลวงพ่อถวายอาหารจีน กับพระสุเมโธ แต่หลวงพ่อไม่ให้ เพราะพระสุเมโธจะเสียนิสัย ท่านไม่ตามใจลูกศิษย์ เราก็เห็นโทษในการตามใจตนเอง เพราะทำให้เรานิสัยไม่ดี หลวงพ่อชาสอนอย่างดี ท่านมีความเป็นครู ท่านพูดถึงแต่เรื่องพุทโธ ผู้รู้ ตอนนั้น ที่เราเรียนมามีแต่เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราก็สงสัยว่า ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ไม่มีตัวตน แล้วใครเป็นผู้รู้ละ ไม่มีอะไรเหลือ ? เราก็สงสัย ถามหลวงพ่อชา ท่านให้เราปฏิบัติเป็นผู้เห็นอารมณ์ รู้อารมณ์ แต่ไม่เป็นอารมณ์นั้น

    "อย่างเช่น เรามีความคิดว่า ไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำวัตร อยากปฏิบัติ ก็ได้แต่ดูไป ดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น นี่เป็นสิ่งที่สำคัญในการพิจารณา เราจะรู้ความโลภ รู้ความโกรธ รู้ความหลง รู้ความทุกข์เป็นอย่างนี้ นี่เป็นการรู้ที่ไมได้มาจากหนังสือ เป็นธรรมอย่าแท้จริง เมื่อเห็นอย่างนี้ก็เห็นทางพ้นทุกข์ได้ เพราะเป็นเรื่องของจิตเราเอง

    "หลวงพ่อชาไม่ได้สอนอะไร นอกจากเรื่องจิต อย่างเดียว"

    และเพราะเรื่องจิตอย่างเดียวนี้เอง ที่ทำให้เป็นกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ การฝึกจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ปัจจุบันคนทั่วโลกให้ความสนใจ และเดินทางมาเมืองไทย ดินแดนแห่งการฝึกจิต

    คนไทยเล่า อยู่ใกล้เกลือ อย่ากินด่าง ?

    http://www.komchadluek.net/detail/2...วชมาเพื่อไม่เป็นอะไรเลยพระราชสุเมธาจารย์.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...