" บันทึกธรรม "

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 26 ตุลาคม 2014.

  1. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    บันทึกธรรม


    ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น


    ขอกล่าวประสบการณ์ทางธรรมะนี้ เพื่อเป็นข้อคิด ข้อปฏิบัติ ข้อเตือนใจแก่ผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลาย

    เพื่อพาตนเองพ้นจากทุกข์ และธรรมที่จะปรากฏต่อจากนี้ไม่ได้เป็นของผม เพราะธรรมทั้งหลาย

    ทั้งหมดนี้ที่เป็นเครื่องขนเหล่าสัตว์ให้พ้นจากกองทุกข์นั้นมาจากปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น


    ผมเป็นเพียงสัตว์ที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร เป็นผู้วนเวียนในกองทุกข์ มาอย่างนี้ไม่รู้ว่ากี่ชาติ กี่อสงไขยแล้ว

    วันหนึ่งผมได้พบธรรมอันประเสริฐแล้ว และไม่รอช้าจะใช้กายใจนี้ พิสูจน์ความจริงว่า สัทธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ตรัสรู้นั้น จะทำให้ผมพ้นทุกข์ได้จริงหรือไม่


    ผมจึงขอเล่าผ่านบันทึกนี้




    “เกิดมาทำไม”

    ผมเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง ความทุกข์ในชีวิตก็คงไม่ต่างจาก

    คนทั่วไปมากนัก สมัยเด็กๆจำได้ว่ามีอยู่ครั้งนึง นั่งงงๆ รำพึงกับตัวเองว่า “เราเกิดมาทำไม”

    แล้วเอามือลูบที่แขนตัวเองว่าทำไมตัวแป็นอย่างนี้ เป็นความคิดชั่วขณะหนึ่งที่ผุดขึ้นในจิต

    แต่ก็ขณะนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ แล้วเหตุการณ์นั้นก็เลือนลางไป ผมผ่านชีวิตวัยเด็กมาโดย

    ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นนัก ผมก็รู้จักการไหว้พระ การทำบุญ จากคนในครอบครัว แต่ก็ไม่ได้มี

    โอกาสได้เข้าวัด ทำบุญซะเท่าไหร่ พ่อแม่ผมมักสอนให้ไหว้พระ ขอพรให้เรียนเก่งๆ ตอนนั้น

    ผมก็เชื่อว่า “พระท่านจะบันดาลให้ผมเรียนเก่งๆได้จริง”ผมอยากได้อะไรก็มักไหว้ขอพรจาก

    สิ่งศักสิทธิ์ ในตอนเด็กผมรู้แต่เพียงว่า พระพุทธรูปที่อยู่ตรงหน้าเป็นพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคย

    มีคนบอกผมเลยว่า พระพุทธเจ้า คือใคร มีความสำคัญอย่างไร พระองค์สอนอะไร แต่ผมก็

    อาศัยพระพุทธรูปเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในฐานะสิ่งศักสิทธิ์ผู้วิเศษที่ดลบันดาลได้ทุกสิ่ง

    ถ้าผมเป็นเด็กดี วัยเด็กนั้นผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดคุย และเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน

    เพราะผมปลูกฝังจากพ่อแม่สอนเสมอในเรื่องนี้เสมอๆ ในวัยเด็กจำได้ว่าอารมณ์ที่จะโกรธคนนั้น

    คนนี้ แทบจะไม่มี อาจจะเป็นเพราะการถูกปลูกฝังในเรื่อง “การถ่อมตัว” ก็ได้





    “ทำงานแล้วตัวใหญ่”

    ผ่านเวลามาก็เป็นช่วงผมเริ่มทำงาน พอทำงานก็เริ่มมีเงิน เริ่มซื้อสิ่งของต่างๆให้ตัวเอง

    เริ่มจากรถมอเตอร์ไซค์คันแรก พอซื้อมาก็รู้สึกว่าตัวตนเริ่มใหญ่ขึ้น มันเกิดข้อเปรียบเทียบ

    ขึ้นในใจทันทีว่า เรามีมอเตอร์ไซค์ แต่คนนั้นไม่มีเหมือนเรา ทำงานครั้งแรกในโรงงานแหน่งหนึ่ง

    เป็นพนักงานฝ่ายผลิต จากนั้นก็ย้ายงานมาทำเกี่ยวกับที่ตัวผมเองเรียนมา ผมได้ทำงานในออฟฟิศ

    หน้าที่ออกแบบเครื่องจักร ได้เงินเยอะขึ้น งานสบายขึ้น และอย่างเดิมคือ พอเงินเยอะก็ซื้อของ

    ทุกอย่าง ที่ตัวเองอยากได้ เพื่อสนองตัณหาความอยากของตัวเอง แล้วผมก็พบว่ามันเป็นเพียง

    ความสุขเล็กๆ ที่ผมได้จากการซื้อของ ก็อาจจะมีความสุขซักวันสองวัน หรือบางครั้งแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง

    และพบว่าบางครั้งมันน้อยที่สุดคือไม่กี่นาทีเท่านั้น การที่ผมได้ทำงานดี มันยิ่งสร้างตัวตนแบบ

    เหนียวแน่นขึ้นในใจ ขณะผมเดินผ่านพนักงานฝ่ายผลิตหรือช่างเทคนิค ใจมักกระหยิ่มว่า “เราดีกว่า”

    แม้ไม่ได้ออกมาทางกระทำแต่ใจผมรู้สึกอย่างนั้น ความทะยานอยาก คือ อยากดี อยากเด่น

    ดูเหมือนมันจะยิ่งเพิ่มขึ้น เห็นคนอื่นเค้ามีรถเก๋ง ใจมันอยากได้ อยากมีเหมือนเค้า

    และในที่สุดก็เอามาจนได้ พอยิ่งมีรถตัวตนผมมันยิ่งใหญ่ขึ้นไปอย่างรู้สึกได้ มักจะมองเห็น

    คนขับมอเตอร์ไซค์ ขี่จักรยาน เป็นอีกระดับจากเรา ทั้งๆที่เมื่อก่อนผมก็ขับมอเตอร์ไซค์ ขี่จักรยาน

    จิตมันสร้างตัวตนจากสิ่งสมมุติทั้งหลายเหล่านี้ ไปยึดมาเป็นของเรา และคิดว่าเป็นจริงเป็นจังว่า มีเรา

    มีของเรา เราดี เราเด่นเหนือคนอื่น


    ผมใช้ชีวิตแบบคนส่วนใหญ่สมัยนี้ วิ่งไล่ล่าความสุขที่ฝากไว้กับสิ่งของภายนอกตัว และแสวงหา

    การยอมรับจากคนอื่น ตอนนั้นผมหลงคิดว่าได้คำตอบที่ผมสงสัยตอนเด็กแล้ว “เราว่าเกิดมาทำไม”





    “อยากเหนือกว่าผู้อื่น”

    ผมใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ โดยที่ยังหาความหมายที่แท้จริงยังไม่เจอ แล้ววิถีชีวิตผมก็เปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง

    เมื่อวันหนึ่งพี่ที่ทำงานที่เดียวกับผมคนหนึ่ง เข้ามาพูดถึงเรื่องธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยได้ยิน

    จากที่ไหนมาก่อนเลย พร้อมกับยื่น ซีดีธรรมะให้ผมหนึ่งแผ่น ซึ่งซีดีธรรมะนั้นผู้บรรยายคือ

    "ดร.สนอง วรอุไร" ผมรับมาด้วยอาการยินดีทั่วไปไม่ต่างจากได้ โลชั่น แชมพู ที่เค้าแจกฟรี

    หน้าห้างสรรพสินค้าเลย ซึ่งพี่คนนี้คือกัลยาณมิตรของผมคนแรก และเค้าพูดกับผมว่า “ธรรมะนี่ดีนะ

    ลองไปฟัง อย่าเพิ่งเชื่อพี่ ” ผมรับมาเสร็จก็วางบนโต๊ะทำงาน แล้วกลับเพ่งความสำคัญไปที่งานต่อ

    หลังเลิกงานผม ก็ไม่ลืมที่จะหยิบซีดีธรรมะกลับไปด้วย และลองใส่มันเข้าไปในวิทยุในรถ

    และเนื่องจากที่ทำงานผมอยู่ไกลจากที่ทำงาน ก็ได้ฟังธรรมะไปร่วมๆชั่วโมง ฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า

    “มหัศจรรย์จัง” ไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อน ในสิ่งที่ผมได้ยิน ดร.สนอง พูดนั้นมันตอบปัญหา

    ที่ผมเคยสงสัยตอนเด็กๆได้ ในเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องสวรรค์ เรื่องเทวดา นางฟ้า และเรื่องรู้ใจ

    ทายใจคนอื่นได้ ถูกตอบจากบุคคลๆหนึ่งที่ผมนั่งฟังอยู่ร่วมๆชั่วโมง แล้วผมก็เกิดความรู้สึกในใจว่า

    อยากเห็นสวรรค์ นรก อยากรู้ใจคนอื่น อยากเป็นเหมือน ดร.สนอง ท่านบ้าง มันเกิดเป็นความรู้สึกที่

    ผมอยากจะเหนือกว่าคนทั่วไป ซึ่งธรรมะในซีดีแผ่นนั้น จะมีส่วนที่เป็นเนื้อหาธรรมะเรื่องความไม่เที่ยง

    เรื่องสัจจะความจริง ฯลฯแต่เหมือนมันฟังไม่เข้าหูผมเลย หูผมจะได้ยินเฉพาะเรื่องที่ตัวผมเองอยากรู้

    เท่านั้น คือ เรื่องปาฏิหารย์เหนือธรรมชาติ แล้วก็คิดว่า “นี่เองหรือคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้”





    “นั่งสมาธิครั้งแรก”

    หลังจากผมได้ฟังซีดีธรรมะแผ่นนั้นแล้ว ก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นทันที หลังจากนั้นผมก็

    เข้าอินเตอร์เน็ต ดาว์นโหลดธรรมะของดร.สนอง และของท่านอื่นมาฟัง เต็มไปหมด

    แม้แต่หนังสือที่ผมอ่านก็เป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำสมาธิทั้งสิ้น ยิ่งอ่าน ยิ่งฟัง ก็ยิ่งอยากปฏิบัติ

    ครั้งแรกลองนั่งสมาธิระหว่างพักกลางวันที่ทำงาน ผมหามุมสงบๆได้ ก็เริ่มด้วยการดูลมหายใจ

    ที่เข้า – ออก โดยบริกรรมว่า พุท-โธ ครั้งแรกที่นั่งจิตร่วมเป็นสมาธิเร็วมาก มีอาการตกวูบๆไป

    นิ่งสนิท จนไม่รับรู้ถึงลมที่เข้า – ออกอีก และรู้สึกว่าร่างกายผมหายไป และรู้สึกผมทำสมาธิ

    ไปได้ซักพัก ก็ได้ยินเสียงเบาๆ ไกลๆ เป็นเสียงอ๊อด ทำงานนั่นเอง ผมออกจากสมาธิมา

    รู้สึกปลอดโปร่งอย่างมาก มองสิ่งต่างๆรอบๆตัวชัดขึ้น บ่ายวันนั้นไม่ง่วงนอนเลย และผมก็เก็บ

    ความประทับใจในการนั่งสมาธิครั้งแรก แล้วพยายามนึกถึงขณะนั่งสมาธิแล้วเอาไปเทียบเคียง

    กับหนังสือธรรมะบ้าง เสียงธรรมที่ดาว์นโหลดมาบ้าง ว่าผมได้ฌานไหน


    ผมค้นข้อมูล เทียบเคียงตำรา พอรู้ว่าจิตเป็นฌานนั้น ฌานนี้ ก็ยิ่งมีกำลังใจในการปฏิบัติ

    โดยครั้งต่อมาด้วยความที่รู้ว่าครั้งแรกที่ทำ เป็นฌาน ก็เกิดความอยากว่าครั้งนี้ต้องดีกว่าครั้งที่แล้ว

    หรืออย่างน้อยต้องเหมือนครั้งที่แล้ว และความอยากนี้เองเป็นอุปสรรคในการทำสมาธิของผม

    ครั้งที่สองนี้จิตไม่เป็นสมาธิเลย และมีอาการปวดหัว ปวดตา อีกด้วย ซึ่งมาจากการบังคับ

    อยากให้สงบ ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้ ในตอนนี้ผมอยากให้สมาธิที่ผมทำมันเที่ยง คงอยู่กับผมไปตลอด

    คิดว่ายิ่งสงบยิ่งดี


    ผมยังคงเพียรนั่งสมาธิ ทุกครั้งที่ผมนั่งรถประจำไปทำงาน เพื่อนๆผมจะหลับกัน แต่ผมกลับนั่งสมาธิ

    ภาวนาพุท-โธ ไปจนถึงที่ทำงาน ก็ทำงานไปตามปกติ รอจนพักเที่ยงผมก็จัดแจงรีบไปกินข้าว

    แล้วกลับมาที่หลบมุมประจำของผมเพื่อนั่งสมาธิ จนถึงเวลาเข้างาน พอเลิกงานนั่งรถกลับผมก็นั่งสมาธิ

    บนรถอีกเช่นเคย ผมเอาจริงเอาจังกับการนั่งสมาธิ ผ่านฌานนั้นออกฌานนี้ ด้วยการที่ทำบ่อย

    จิตจึงเป็นสมาธิได้ง่าย มาถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ทราบว่า ผมจะทำไปเพื่อะไร พระพุทธเจ้าให้ผมนั่งสมาธิ

    ไปเพื่ออะไร แต่ผมรู้อย่างเดียวว่า ถึงไม่ได้อะไรผมก็ได้ความสุขจากการทำสมาธิ แค่นี้ก็พอแล้ว




    .........................................
     
  2. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    “อยากได้ปัญญา”

    ผมทำสมาธิ แบบอย่างเอาจริงเอาจัง ทำทุกเวลาที่ว่าง ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่าๆ

    ผมจะหลับตาทำสมาธิ พุทโธไม่ได้ขาดเลย เมื่อไหร่ที่ได้ที่นั่งเหมาะๆ และสถานการ์ณเป็นใจ

    ผมก็จะแกล้งทำเป็นหลับ แต่ความเป็นจริงผมกำลังนั่งสมาธิอยู่ เพราะไม่อยากให้ใครมาถาม

    หรือล้อว่ากำลังนั่งสมาธิอยู่ ผมทำถี่ขึ้น บ่อยขึ้น จนเป็นความเคยชินไปแล้ว ผลของการนั่งสมาธิ

    ก็คือ จะรู้สึกแจ่มใส มีสติ มีความสุขทั้งขณะทำสมาธิ และเวลาปกติความสุขมันเยิ้มออกมา

    รู้สึกว่าตัวเบาๆขณะลืมตาในชีวิตประจำวัน ลมหายใจก็ละเอียดจนรู้สึกว่าไม่มีลมหายใจ

    ไม่ต่างจากการนั่งหลับตาทำสมาธิเลย ผมปฏิบัติสมาธิไปเรื่อยๆจนได้ฟังธรรมะอยู่ตอนหนึ่ง

    มาสะดุดกับคำว่า “วิปัสสนา” ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญา ผมได้ยินอย่างนั้นก็ทำให้อยากได้ปัญญา

    จึงหาซีดีมาฟัง หนังสือมาอ่านเรื่องวิปัสสนา จนเกิดความคิดที่จะปฏิบัติแบบจริงๆจังๆ

    มีครูบาอาจารย์ดู และก็ได้คำแนะนำจากพี่ที่เป็นกัลยาณมิตรคนแรกของผม แนะนำไปวัดแห่งหนึ่ง

    คือ “วัดภัททันตะอาสภาราม” ผมไม่ลังเล ดูแผนที่ที่ได้มาจากพี่เค้า ก็ว่าแผนเตรียมตัวไปวันหยุด

    ที่จะถึงนี้ทันที


    แรงขับเคลื่อนในตอนนั้น คือ เต็มไปด้วยความโลภ ที่อยากจะเห็นเทวดา นางฟ้า ซึ่งผมทำสมาธิ

    มาระยะหนึ่งแล้วก็ยังไม่ได้เห็นซักที กะว่าไปวัดครั้งนี้อาจจะได้ของดีกลับบ้าน หรืออาจจะได้ปัญญา

    มาโชว์คนอื่นก็ได้ ซึ่งมาถึงเวลานี้ผมก็ยังไม่เคยรู้เลยว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์สอนอะไรกันแน่





    “บินเดี่ยว”

    แล้วก็ถึงวันที่รอคอย วันที่ผมอาจจะไปเอาของดี กระเป๋าสิ่งของเตรียมพร้อม กำลังใจเต็มที่

    ออกเดินทางไปวัดภัททันตะฯทันทีแต่เช้า หวังจะเอาของดีคนเดียว พอถึงวัดก็รู้สึกพอใจมาก

    ที่วัดเงียบสงบเหมาะแก่การปฏิบัติ ผู้มาปฏิบัติที่นี้แยกนอนเป็นห้องๆ ผมเข้าไปเก็บกระป๋า

    เปลื่ยนชุด ลงมาปฏิบัติ ก็ได้เห็นนักปฏิบัติแต่ละคนเอาจริงเอาจังกันมาก ไม่มีใครคุยกันเลย

    ทำให้ผมยิ่งตั้งใจปฏิบัติ ที่วัดสอนแนวสติปัฏฐาน4 โดยกำหนดสติดูที่หน้าท้องว่า “พองหรือยุบ”

    แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิบัติในแนวทางของทางวัด แต่ใช้ดูลมหายใจ ภาวนาพุท-โธ เอา ผมรู้สึกว่า

    มาปฏิบัติที่วัดสงบดี ผมยังคงคิดว่า การทำให้จิตสงบ ในฌานสูงๆ เป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนา

    นั่งแต่ละบัลลังก์ ก็อยากจะให้เหมือนกันทุกครั้งไป ผมอาศัยการจำมาแบบผิดๆถูกจากการ

    ฟังธรรมะในซีดี และหนังสือ โดยการตีความด้วยความสนใจของผมเป็นหลัก ผมจำมาว่า

    ถ้าอยากได้ปัญญาก็ต้อง “วิปัสสนา” พอจิตผมเริ่มสงบ เข้าถึงฌานลึกๆ ผมก็ถอยลงมาในฌานต้นๆ

    ที่ยังมีการตรึกได้ แล้วนึกคิดถึงความตาย คิดว่าเราต้องแก่ แล้วไปคิดพิจารณาถึงความสกปรก

    ของร่างกายในส่วนต่างๆ ผมปฏิบัติอย่างนี้ตลอดสองวันที่มาปฏิบัติที่วัด คิดว่าคงต้องได้ปัญญา

    หรือ อาจจะได้เห็นเทวดา นางฟ้าบ้าง อย่างที่หวังไว้ แต่พอถึงช่วงสุดท้ายก็ต้องถอนหายใจยาวๆ

    กับความผิดหวังที่ตั้งเอาไว้สูง ผมทำแค่ความสงบ และยังไม่เข้าใจการวิปัสสนาที่แท้จริงว่าต้อง

    ทำอย่างไร ซึ่งต้องมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาว่า “ทำเหตุไม่ถูก ผลจะออกมาถูกได้อย่างไร”





    “เหนือกว่าใครในโลก”

    หลังกลับจากวัด ผมก็ปฏิบัติอยู่เหมือนเดิม ไม่ทิ้งการปฏิบัติคิดว่า ไม่นานสิ่งที่ผมหวังต้องเห็นผล

    ผมให้ความสำคัญ การนั่งสมาธิเป็นงานหลักของผม แต่หน้าที่การงานที่เลี้ยงชีพผมเป็นงานรอง

    แล้วเริ่มออกชักชวนคนรอบข้าง และได้คนที่สนใจมาไม่กี่คน คนหนึ่ง คือ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมฯ

    แม้ผมจะไม่รู้ธรรมะอะไรมาก งูๆปลาๆไป แต่อาจเป็นเพราะของเก่าของเค้าทำให้ผมกล่าวชักชวน

    ได้ไม่นานนัก ผมก็ได้เพื่อนมาร่วมปฏิบัติธรรม เกือบทุกๆวันหยุด ต้องพากันไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม

    พอเจอธรรมะอะไรดีๆก็จะแชร์กัน ผลการปฏิบัติก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่จะทำสมาธิแล้วจิตจะสงบ

    ทุกวัน จะมีบางวัน ที่ต้องคิดเรื่องงานมากๆ หรือมีปัญหามากระทบใจ วันนั้นก็จะไม่สงบ...

    ช่วงที่ผมฝึกสมาธิ ผมสังเกตุอารมณ์ของตัวเองว่า มันเฉยๆ อารมณ์ไม่ค่อยเกิด เหมือนกับว่า ราคะ โทสะ

    มันหายไป แต่พอเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาจะรุนแรงมาก ซึ่งจิตที่มีโทสะของผมไม่ได้หายไปไหน มันถูกกด

    ด้วยฌาน และความเป็นที่จิตมีมานะยิ่งเพิ่มขึ้น ผมมักจะมีความคิดอยู่เสมอว่า “เราเก่งที่ทำฌานได้

    ฌานที่เป็นรื่องยากของคนอื่น กับเราเป็นเรื่องง่าย” ผมมีความคิดนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอด คิดอยากจะเอาเพิ่ม

    อยากมี อยากเป็นด้วยความโลภ และคิดว่าตัวเองเหนือกว่านักปฏิบัติด้วยกัน และเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป

    ที่ไม่ได้รู้จักของดีแบบผม จนมาถึงเวลานี้ผมก็ยังไม่รู้ว่า “พระพุทธเจ้า สอนอะไร” และผมยังขึ้นชื่อว่าอยู่ห่าง

    จากพระพุทธองค์ แม้ว่าตอนนั้นผมจะคิดว่า ผมเป็นคนมีธรรมะก็ตาม





    “ผลที่ได้จากการทำสมาธิ”

    ผมทำงานอยู่ได้ประมาณ 1 ปี โดยจ้างผมทำงานสำคัญโปรเจ็คๆหนึ่ง จ้างแบบเป็นสัญญาปีต่อปี

    โดยไม่ได้เป็นพนักงานประจำ ผมรอวันที่ต่อสัญญาเพื่อที่จะได้ทำงานต่อ ผมคิดว่าคงได้ทำงานที่นี่ต่อแน่ๆ

    แต่เหตุการ์ณไม่เป็นอย่างนั้น ก่อนการต่อสัญญาของผม เป็นช่วงที่บริษัทฯมีปัญหา ก่อนหน้านี้มี

    การจ้างพนักงานออกจำนวนหนึ่งแล้วเพื่อลดรายจ่ายบริษัท จึงมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้างานในแผนก

    และหัวหน้างานใหม่ก็ไม่ต่อสัญญาให้กับผม เป็นอันว่าผมต้อง ออกจากบริษัท เป็นคนตกงาน

    หลังออกจากงานได้หนึ่งวัน ผมเก็บกระเป๋าไปวัดทันที ตั้งใจจะอยู่ 7 วัน หวังจะเอาดีทางธรรม

    แต่ด้วยความร้อนรุ่ม การเข้าวัดปฏิบัติธรรมครั้งนั้น ไม่มีความสงบเลย จิตใจกระวนกระวาย คิดถึงอนาคต

    ของตัวเองจะทำอย่างไร จึงอยู่วัดด้วยความร้อนลุ่มได้เพียง 5 วัน จึงตัดใจออกจากวัดมา ระหว่างทางกลับบ้าน

    นึกถึงหนังสือที่เคยอ่าน และผมเคยตั้งเป้าหมายจะเป็นคนรวยระดับพันล้านก่อนผมจะอายุสามสิบให้ได้

    ก็เลยได้ความคิดจะเปิดบริษัทฯของตนเอง ผมกลับถึงบ้านวางแผนการเปิดบริษัทฯ เตรียมการต่างๆเอาไว้

    แต่พอมาสำรวจเงินออมผมก็พบว่า มันไม่พอจะเปิดบริษัท แม้จะเอาไว้ใช้จ่ายก็คงจะอยู่ได้ไม่กี่เดือน

    แต่ผมยังไม่ถอดใจ ตระเตรียมความพร้อมทุกอย่างไว้ แล้ววันหนึ่งผมได้ไปดูสถานที่เช่าเพื่อทำเป็นออฟฟิศ

    ก็ได้พบกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เค้าได้ขอร่วมหุ้นกับผมทั้งๆที่ผมยังไม่ได้ออกปากชวนแม้แต่นิด ผมกับไปคิด

    ดูกับพี่สาว เมื่อมีโอกาสเข้ามาแล้วก็ควรจะคว้าเอาไว้ แล้วที่สุดผมก็ได้ส่วนที่ผมขาดอยู่ นั่นคือ เงินทุน

    ความคิดที่ผมจะเปิดบริษัทเองก็สำเร็จ แบบที่ผมไม่ได้ออกแรงไคว่คว้าซักเท่าไหร่ ผมเชื่อว่ามันเกิดจาก

    “ครุกรรมฝ่ายดี” ที่ผมปฏิบัติสมาธิจนจิตเป็นฌานอยู่ประจำ พระพุทธเจ้าตรัสถึงอานิสงค์ของ การทำฌานว่าเป็น

    กรรม(หนัก)ฝ่ายดีที่ให้ผลก่อนในปัจจุบัน และนี่คือจุดหักเหครั้งใหญ่ในชีวิตผม




    .........................................
     
  3. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    “ห่างการปฏิบัติ ห่างธรรม”

    ผมกลับมามุ่งมั่นกับทางโลก กับงาน กับบริษัทที่ผมกำลังจะสร้างมันขึ้นมา

    และคิดกระหยิ่มในใจอยู่ว่า เราโชคดีมาก อยากได้อะไรก็ได้ และสิ่งนี้ยิ่งสร้าง

    ความเป็นตัวตนผมให้เหนียวแน่นขึ้นไปอีก คิดว่าตัวเองคงไม่มีทางตกต่ำ

    เพราะเมื่อผมเปิดบริษัทฯ ก็มีผู้ใหญ่อีกหลายคนเข้ามาให้การสนับสนุน เวลานั้น

    ผมทุ่มไปกับงาน และหลงความรื่นรมย์ในทางโลก จากที่เคยขับรถไปไหนก็

    จะฟังแต่ธรรมะ แต่ตอนนี้ไม่เคยเปิดฟัง แม้แต่ซีดีธรรมะที่ผมเคยเปิดจนแผ่นสะดุด

    วันนี้กลับไปอยู่ในกล่อง และไม่ได้รับความสนใจจากผมอีก เรื่องการนั่งสมาธิก็น้อยลง

    น้อยลง จนไม่ได้นั่งสมาธิอีกเลย






    “ผมนี่แหละจะนักธุรกิจที่ไม่เคยล้มเหลว”

    พอเปิดบริษัท งานก็เข้ามาทันทีจากคนรู้จัก ทั้งที่ยังจดทะเบียนบริษัทยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ

    ผมจัดการทำทุกอย่าง ทุกขั้นตอนอย่างละเอียด ทุกอย่างล้วนผ่านตัวผมทั้งสิ้น ผมตั้งใจทำ

    และหมายมั่นปั้นมือว่าธุรกิจที่ผมทำนี้ จะทำให้ผมได้รวยเป็นพันล้าน ผมเคยดูประสบการณ์

    ของนักธุรกิจดัง ที่เค้ามักจะบอกว่า ต้องพบอุปสรรค และล้มลุกคลุกคลานไม่น้อยกว่าจะสำเร็จ

    แต่มาถึงตอนนี้ผมกลับคิดเข้าข้างตนเองว่า ผมปิดประตูความล้มเหลวเรียบร้อยแล้ว เพราะผมคิดว่า

    มีผู้ใหญ่หลายคนพร้อมให้ความช่วยเหลือ คิดว่าตนเองมีความรู้ธุรกิจอย่างดี คิดเข้าข้างตัวเองว่า

    “ผมนี่แหละจะเป็นนักธุรกิจคนแรกที่ไม่เคยล้มเหลว”






    “พังทลาย”

    ความมุ่งมั่นผลักดันผมให้ทำแต่งาน แต่เมื่อดำเนินธุรกิจไปก็ประสบปัญญา ลูกค้าไม่จ่ายเงิน

    หลายราย ผมก็พยายามอุดข้อผิดพลาดนั้น แต่ธรุกิจมันมีปัจจัยหลายด้าน เงินที่สำรองหมดลงเรื่อยๆ

    บริษัทกำไรน้อย จนในที่สุดเงินก็หมด รายรับไม่พอกับรายจ่าย ถึงที่สุดผมก็หันเข้ากู้เงินธนาคาร

    ผมรวบรวมเอกสารเพื่อขอกู้เงิน มีแค่โครงการนี้ ที่รับ SME ที่จดทะเบียนไม่ถึงสองปี และเป็นธนาคาร

    รัฐวิสาหกิจซึ่งมีนโยบายไปตามงบประมาณ ผมใช้เวลารวบรวมเอกสารประมาณ 1 สัปดาห์ หลังยื่นเสร็จ

    เพียงสองวัน พนักงานธนาคารบอกผมว่านโยบายนี้หมดแล้วเมื่อสองวันที่แล้ว ต้องรองบประมาณมาใหม่

    อีก 6 เดือน วันนั้นผมตัวชาเลย เพราะก่อนหน้านี้ ผมดึงเงินตรงนั้น จ่ายตรงนี้ เพื่อรักษาเครดิตไว้

    จากวันนั้นผมก็ปล่อยหยุดจ่ายหนี้ทุกอย่าง เพราะไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายหนี้ บริษัทที่ผมเคยหมายมั่นไว้

    ผมหมดกำลังใจเอาดื้อๆ ไม่เข้าออฟฟิศ ไม่ทำงาน เวลานั้นผมหาทางออกไม่ได้จริงๆ

    แล้วปัญหาก็เริ่มก่อตัวเข้ามา





    “ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์”

    เสียงโทรศัพท์มือถือดังทีไร ผมใจสั่นทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ของธนาคารที่ผมถือบัตรเครดิตต่างๆ

    โทรมาทวงหนี้ไม่ได้หยุด บัตรที่ผมมี 6-7 ใบ มีบัตรมากแค่ไหนทุกข์มันทวีคูณแค่นั้น และที่ในสุด

    วันนั้นก็มาถึง วันที่มีคนมายึดรถ ผมคิดในใจโทษโน้น โทษนี่ โทษโชคชะตา ว่าทำไมผมต้องเป็นอย่างนี้

    มันไม่เหลืออะไรแล้ว หมดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วที่พึงนึงที่ผุดขึ้นในใจ คือ “วัด” ผมรู้แต่ว่าอยากไปวัด

    อยากไปไหว้ขอพระประทานในโบสถ์ ให้ชีวิตผมดีดั่งเดิม


    ผมเดินทางไปที่วัดที่อยู่ไม่ไกลนัก นั่งกราบอธิฐานอยู่ในโบสถ์เพียงคนเดียว นั่งคิดถึงอนาคตตัวเอง

    แล้วก็นั่งน้ำตาไหลอยู่หน้าพระประทานนั้นเอง ยิ่งผมคิดก็ยิ่งทุกข์อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปเร็วเหลือเกิน

    ผมนั่งคร่ำครวญอยู่ซักพัก ก็เดินออกมาจากโบสถ์ เวลานั้นผมประหลาดในมากเพราะมีฝนตกลงมาโดยบังเอิญ

    ทั้งๆที่แดดยังจ้าอยู่ ก็คิดเข้าข้างตนเองว่า พระท่านคงรู้แล้ว และคงให้ในสิ่งที่ผมปรารถนา





    “หาที่พึ่ง”

    ทุกวันผมนอนเหนือดแห้งอยู่ที่บ้าน นอนรอหวังให้เกิดปาฏิหาริย์มาทำให้ผมพ้นจากสภาพที่มันทุกข์ครั้งนี้

    แล้วความคิดหนึ่งก็เกิดกับผม ผมเคยได้ยินจากการฟังธรรมเมื่อก่อนนี้ว่า “ธรรมะของพระพุทธเจ้า

    ทำให้คนหายทุกข์ได้” ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่เคยสนใจเลย คิดว่า ผมคงไม่มีวันทุกข์ เป็นเรื่องที่ห่างไกลจากผมมาก

    ผมไม่เคยตระหนักจนเจอเข้ากับตัวเอง ถึงได้รู้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์มันทุกข์ถึงเพียงนี้


    ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีทุกข์แตกต่างกันออกไป เป็นไปตามสิ่งที่ตนเองทำมาแล้วจะมาจากอดีตชาติ

    จากสิบปีก่อน หรือเมื่อวานนี้ก็ตาม ถ้าผู้ใดตระหนักรู้ถึงทุกข์ได้ จะทุกข์มาก หรือทุกข์น้อย ก็ตาม

    จนอยากจะออกจากทุกข์เหล่านั้นได้ ก็ชื่อได้ว่า เริ่มเห็นโทษภัยในวัฏสงสารแล้ว



    .........................................
     
  4. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    “เยียวยาด้วยธรรม”

    ผมเริ่มมองเห็นสิ่งแสงสว่างที่กระพริบอยู่ไกล แต่ยังไม่รู้ว่าธรรมะของ
    พระพุทธเจ้า

    จะทำให้ผมพ้นทุกข์ได้อย่างไร ตอนนี้ผมคิดว่าคงเป็นเพราะความมหัศจรรย์ อำนาจ

    แห่งพระพุทธเจ้าคงมาทำลายความทุกข์ผมลงได้ พอเริ่มรู้ว่าจะเอาธรรมะของ

    พระพุทธเจ้ามาเป็นหนทางของผมแล้ว ต่อมาผมก็เริ่มหาวิธีการ ผมจะกลับไปทำ

    สมาธิอย่างเดิม แต่ผมประเมินแล้วว่า สภาวะจิตใจอย่างนี้ คงนั่งทำฌานไม่ได้แน่

    เอาแค่ว่าให้จิตสงบลงได้ก็ดูเป็นเรื่องยากมาก เพราะสารพัดความคิดที่ประเคนเข้ามา

    อย่างไม่หยุด ผมเลยมีความคิดจะไปหาฟังธรรมใน youtube ให้ความอัดอั้น

    ความเครียดลง แต่ผมจะไปดูที่ไหนล่ะ ในเมื่อคอมพิวเตอร์ทั้งของผม และในออฟฟิศ

    ขายหมดเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่โต๊ะเก้าอี้ ถ้าขนไปขายได้คงไม่เหลือแล้ว





    “พุทธวจน และ อานาปานสติ”






    “มันมีแค่นี้”





    “ภายนอกทุกข์ ภายในเฉย”








    .............................
     
  5. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    “ได้คำตอบที่ว่า.. เราเกิดมาทำไม”









    “มรรคมีองค์8 สำคัญไฉน”











    ......................................
     
  6. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    “เกาะลมหายใจ พาขึ้นฝั่ง”







    “หมดมรรคมีองค์ 8 ก็หมดทางออกจากวัฏสงสาร ”










    ....................................
     
  7. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    พุทธวจน

    ภ.ในกรณีนี้ พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า “บัดนี้เรายังหนุ่ม ยังเยาว์วัย ยังรุ่นคะนอง มีผมยังดำสนิท ตั้งอยู่ใน วัยกำลังเจริญ คือปฐมวัยแต่จะมีสักคราวหนึ่งที่ ความแก่จะมาถึงร่างกายนี้, ก็คนแก่ถูกความชราครอบงำ แล้วจะมนสิการถึงคำสอนของท่านผู้รู้ ทั้งหลายนั้นไม่ทำได้สะดวกเลย;

    และจะเสพเสนาสนะอันเงียบสงัดซึ่งเป็นป่าชัฏ ก็ไม่ทำได้ง่ายๆ เลย. ก่อนแต่สิ่งอันไม่เป็นที่ต้องการ ไม่น่าใคร่ไม่น่าชอบใจ (คือความแก่) นั้น จะมาถึงเรา เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ถึงแล้ว ก็จักอยู่เป็นผาสุก แม้จะแก่เฒ่า” ดังนี้.

    ภท.! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุพิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า “บัดนี้ เรามีอาพาธน้อย มีโรคน้อย มีไฟธาตุ ให้ความอบอุ่นสม่ำเสมอ ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก พอปานกลางควรแก่การทำความเพียร;

    แต่จะมีสักคราวหนึ่งที่ ความเจ็บไข้ จะมาถึงร่างกายนี้, ก็คนที่ เจ็บไข้ถูกพยาธิครอบงำแล้วจะมนสิการถึงคำสอนของท่านผู้รู้ทั้งหลายนั้น ไม่ทำได้สะดวกเลย;

    และจะเสพเสนาสนะอันเงียบสงัดซึ่งเป็นป่าชัฏก็ไม่ทำได้ ง่ายๆ เลย. ก่อนแต่สิ่งอันไม่เป็นที่ต้องการไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ (คือความเจ็บไข้) นั้น จะมาถึงเราเราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็วซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ถึงแล้ว ก็จักอยู่เป็นผาสุก แม้จะเจ็บไข้”ดังนี้

    ที่มา พระไตรปิฎก ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๑๗-๑๒๑/๗๘.
     
  8. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    ยินดีด้วยครับ ปัญญาท่านมากกว่าผมเยอะ ผมยังด้อยกว่าท่าน สาธุกับกุศลที่ท่านได้สร้างได้ปฎิบัติด้วยครับ
     
  9. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    ขออนุโมทนากับ คุณ ซีฟอส

    คิดถึงอยู่เหมือนกันไม่ได้อ่านซะนาน

    เห็นคราวก่อนบ่นว่า จะเลิกเขียนแล้ว แต่ยังไงก็รอติดตามอยู่นะ

    กระทู้คุณภาพแบบนี้หาอ่านยาก
     
  10. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    ว่าแต่ สนอง วรอุไร นี่เสียอย่างเดียว คือ ไปโปรโมท สมีคำ ว่าเป็นของแท้
    แล้วไม่ยอมออกมาขอโทษสังคม ยอมรับผิด

    ทำให้หลายคนเสื่อมศรัทธาไปเยอะทีเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...