บันทึกลึกแต่ไม่ลับ.. เกจิอาจารย์ขลัง สายเขาอ้อ พ่อท่านแปลก เคราเหล็ก

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย smart7667, 31 พฤษภาคม 2013.

  1. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    บันทึกลึกแต่ไม่ลับ..
    พลังเหนือพลังแห่งจิต..เกจิอาจารย์ขลัง สายเขาอ้อ
    พ่อท่านแปลก เคราเหล็ก...วัดปากปรน จังหวัดตรัง


    [​IMG]
    พ่อท่านแปลก เคราเหล็ก

    ก่อนเขียนถึง..พ่อท่านแปลก..ขอเกริ่นถึง...สำนัก "เขาอ้อ" ปัจจุบันตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ลักษณะเป็นภูเขาเตี้ยๆ ไม่สูงมากนัก เป็นภูเขาลูกเดียว โดยมีทุ่งนาโอบล้อมภูเขา ในภูเขาลูกนี้มีถ้ำซึ่งลึกและยาวออกไปหลายกิโลเมตร มีทางเข้าถ้ำ 1 ทาง ปากถ้ำขนาดกว้าง 1.50 เมตร สูงประมาณ 1.80 เมตร บริเวณปากถ้ำกว้างประมาณ 2 วา ยาว 10 วา โดยประมาณต่อจากบริเวณปากถ้ำเข้าไปมีทางแยกออกไปหลายสาย ถ้ำนี้มีชื่อว่า "ถ้ำฉัตรทันต์บรรพต" ในสมัยโบราณนับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว "เขาอ้อ" เป็นสถานที่บำเพ็ญพรตของบรรดา พราหมณาจารย์ต่างๆ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ปะขาวหรือตาปะขาว บำเพ็ญพรตจนเกิดฤทธิ์ต่างๆ ตามลำดับชั้นภูมิ หรือศึกษาวิชาไสยเวทย์แขนงต่างๆ จนเชี่ยวชาญ ประขาวหรือตาปะขาว ได้ถ่ายทอดตำราวิชาศาสตร์แขนงต่างๆให้กับศิษย์ได้เรียนและสืบทอดปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อๆ กันมา ครั้นต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายเข้ามาสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ก็เป็นยุคที่พระพุทธศาสนาเจริญเข้ามาแทนศาสนาพราหมณ์ แต่สำนักเขาอ้อก็ยังคงเป็นสำนักไสยศาสตร์ที่ถ่ายทอดสรรพวิชาให้แก่ศิษย์รุ่นหลังๆ มาอย่างต่อเนื่อง ศิษย์สำนักเขาอ้อ รุ่นหลังจึงเปลี่ยนจากพราหมณ์หรือปะขาวมาเป็นภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลหาความสงบวิเวกจากสถานที่ป่ารกชัฎมาเป็นวัดในพุทธศาสนาสืบเท่าจนทุกวันนี้

    "สำนักเขาอ้อ" ปรากฏชื่อเสียงมานานนับพันปีตั้งแต่สมัยโบราณ ครั้นมาถึงสมัยศรีวิชัยเจ้าเมืองแต่ละเมืองนิยมส่งบุตรหลานไปศึกษาเล่าเรียนเป็นศิษย์ของสำนักนี้ จนกล่าวได้ว่าสำนักเขาอ้อเป็นตักสิลาของไสยเวทย์ที่มีประวัติสืบทอดมายาวนานที่สุดศิษย์ของสำนักเขาอ้อแต่ละท่านจัดได้ว่าเชี่ยวชาญแตกฉานในวิชาศาสตร์แขนงต่างๆ อย่างลึกซึ้งบวกผสมผสานกับหลักธรรมด้านสมถะและวิปัสนากัมมัฎฐาน หลักคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน ถึงกาลเวลาจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม เหตุที่ทำให้"สำนักเขาอ้อ" ตั้งอยู่ได้ยาวนานและมั่นคงอันเนื่องมาจากกฏระเบียบของ "สำนักเขาอ้อ" ที่มีความเข้มงวดในการคัดเลือกศิษย์และศิษย์ที่ถูกคัดเลือกเข้าไปก็ปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามกฏของสำนัก เป็นที่ทราบกันดีว่าวิชาทางไสยเวทย์ ไม่ได้เป็นวิชาทางพระพุทธศาสนาจะมุ่งเน้นไปทางหลุดพ้นจากวัฎสังสาร ส่วนวิชาไสยเวทย์เป็นวิชาทางศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า คัมภีร์ไสยเวทย์ประกอบด้วยวิชาไสยเวทย์แขนงต่างๆ เช่นการผูกหุ่งพยนต์, การเล่นแร่แปรธาตุ, การทำให้เกิดภาพลวงตาในอาการต่างๆ และการอ่านโองการณ์ต่างๆ คัมภีร์ไสยเวทย์เป็นคัมภีร์ที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของเวทย์มนต์, คาถาอาคมและอาถรรพ์ต่างๆ ซึ่งศาสนาพราหมณ์เป็นต้นกำเนิดก่อนพุทธศาสนา วิชาทางไสยเวทย์ต่างๆ จึงถือกำเนิดมาจากศาสนาพราหมณ์แทบทั้งสิ้น

    [​IMG]
    สำนักเขาอ้อ ตักศิลาแห่งไสยเวทย์

    "สำนักเขาอ้อ" เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วทั้งแคว้นมาลายู ในอดีตจังหวัดพัทลุงเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งของภาคใต้ ศาสนาพราหมณ์จึงแพร่หลายมาพัทลุงก่อนพระพุทธศาสนา ซากโบราณสถานและสถานที่สำคัญๆ ทางศาสนาพราหมณ์ปัจจุบันยังมีให้เห็นเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่อยู่ของพวกพราหมณาจารย์หรือตาปะขาวมาก่อน วิชาไสยเวทย์หลักดั้งเดิมของสำนักเขาอ้อที่เป็นวิชาหลักของสำนักนี้ก็คือ

    การเสกน้ำมันงาดิบให้เดือดและให้แข็ง ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เพื่อคงกระพันชาตรี การอาบน้ำว่าแช่ยา เพื่อคงกระพันชาตรีและเป็นยาอายุวัฒนะ สักยันต์ที่ตัวหรือมือด้วยดินสอ เพื่อคงกระพันชาตรี, มหาอุตต์, แคล้วคลาดและเมตตามหานิยม ลงตะกรุดพิชัยสงคราม-พิชัยสมบัติ เกี่ยวกับฤกษ์ยาม เกี่ยวกับการรักษาโรคต่างๆ ทำไม้เท้ากายสิทธิ์ "ต้นชี้ตายปลายชี้เป็น"…ในพงศาวดารเมืองพัทลุงตอนหนึ่ง กล่าวถึงพระกุมารกับนางเลือดขาว ตอนที่สองตายายพบจากกอไผ่ แล้วเอาไปเลี้ยงนั้น เมื่อทั้งสองเจริญวัยพอสมควรแล้ว สองตายายจึงนำไปฝากกับ พระอาจารย์ทองหูยาน วัดเขาอ้อ เพื่อสอนวิชาความรู้และในบันทึกตำราของสำนักเขาอ้อว่า นำไปถวายพระอาจารย์ทองหูยาน เมื่อวันพฤหัสบดี ปีกุน เดือนแปด ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 301(พ.ศ.1482) ศึกษาจบแล้วเป็นผู้มีวิชาความรู้ทางคงกะพัน, กำบังหรือยังไพรผูกหุ่นพยนต์ จากบันทึกในครั้งนั้นพอสันนิษฐานได้ว่าสำนักเขาอ้อนี้มีมาก่อนเมืองพัทลุง

    [​IMG]




    เมื่อจุลศักราช 991 (พ.ศ. 2171) "พระสามีราม วัดพะโคะ" หรือที่ทราบในนามของ "หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้" ซึ่งประชาชนยกย่องและเรียกท่านว่า "สมเด็จเจ้าพะโค" ได้ไปเรียนปริญยัติธรรม ณ กรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นยังมีพราหมณ์เป็นนักปราชญ์มาจากประเทศสิงหล (ลังกา) มาตั้งปริศนาปัญหาธรรมที่แสนยาก พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาทรงโปรดให้พระสามีรามเถระแก้ปัญหาธรรมนั้น จนชนะพราหมณ์ชาวสิงหล จึงได้พระราชทานยศเป็น "พระราชมุณี" เมื่อกลับมถึงเมืองพัทลุงได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระรัตรมหาธาตุไว้บนเขาพะโคะ สูง 1 เส้น 5 วา มีระเบียงล้อมรอบพระเจดีย์ครั้งฉลองพระเจดีย์นั้นพระอาจารย์เฒ่าวัดเขาอ้อพัทลุงองค์หนึ่งชื่อว่า "สมเด็จเจ้าจอมทอง" ได้นำพุทธบริษัทไปในงานฉลองพระเจดีย์ทางเรือใบ โดยแสดงอภินิหารแล่นเรือใบเลยขึ้นไปจนถึงเขาพะโคะ ซึ่งไกลจากทะเลมากทำให้ประชาชนที่เห็นอภินิหารต่างเคารพนับถือ และปัจจุบันสถานที่ตรงนั้นเรียกกันว่า "ที่จอดเรือท่านอาจารย์วัดเขาอ้อ" ต่อมาสมเด็จเจ้าพะโคะให้คนกวนข้าวเหนียวด้วยน้ำตาลโตนด ทำเป็นก้อนยาวประมาณ 2 ศอก โตเท่าขา ให้พระนำไปถวายสมเด็จเจ้าจอมทอง ที่วัดเขาอ้อ ครั้นถึงเวลาฉันท์ สมเด็จเจ้าจอมทองสั่งให้แบ่งถวายพระทุกองค์ แต่ศิษย์วัดตลอดจนถึงพระก็ไม่มีใครที่จะแบ่งได้ เอามีดมาฟันเท่าใดก็ไม่เข้า สมเด็จเจ้าจอมทองจึงสั่งให้นำมาให้ท่านๆ จึงใช้มือลูบแล้วส่งให้ลูกศิษย์ตัดแบ่งถวายพระอย่างข้างเหนียวธรรมดาครั้นเวลาต่อมา สมเด็จเจ้าจอมทองได้ให้พระนำแตงโมใบโหญ่ 2 ลูก ไปถวายสมเด็จเจ้าพะโคะ พอถึงเวลาฉันฑ์ก็ไม่มีใครผ่าออก สมเด็จเจ้าพะโคะทราบเข้าก็หัวเราะชอบใจพูดขึ้นว่า "สหายเราคงแสดงฤทธิ์แก้มือเรา" ท่านรับแตงโมแล้วผ่าด้วยมือของท่านเองออกเป็นชิ้นๆ ถวายพระ

    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญฉบับหนึ่ง ซึ่งทางวัดได้รักษาสืบทอดกันมานานนับเป็นร้อยๆ ปี คือ "สานส์ตราของเจ้าพระยาเมืองนครศรีธรรมราช" ที่มีมาถึง "พระยาแก้วโกรพพิชัยบดินทร์สุรินทรเดช อภัยพิริยะพาหะ" เจ้าเมืองพัทลุงลงวันเสาร์ เดือน 9 ขึ้น 8 ค่ำ ปีระกา จุลศักราช 1103 ตรงกับ พ.ศ.2284 (สมัยแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา) มีความว่า ด้วยขุนศรีสมบัติ นายกองสุราเข้าไปฟ้องว่าที่วัดเขาอ้อสร้างมาก่อนแล้วกลับรกร้าง สิ่งก่อสร้างชำรุดทรุดโทรมลงมาก….คราวหนึ่ง พระมหาอินทราชจากปัตตานี ได้มาเป็นเจ้าวัด และได้ปฏิสังขรณ์วัดขึ้นมาใหม่โดยมีตาปะขาวขุนแก้ว เสนาขุนศรีสมบัติเป็นหัวหน้าฝ่ายคฤหัสถ์ช่วยกันซ่อมแซมพระพุทธรูปในถ้ำ 1 องค์ ซึ่งปรักหักพังแล้วเสร็จได้ดำเนินการสร้างเสนาะอื่นๆ จนเป็นที่อยู่อาศัยของสงฆ์ได้ ต่อมาเมื่อได้พระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว พระมหาอินทราชกับคณะดังกล่าวได้จัดการสร้างพระอุโบสถขึ้น ตาปะขาวขุนแก้วเสนาได้มีหนังสือขอพระราชทานคุมเลข ยกเว้นการใช้งานหลวงต่าง ๆ ถวายไว้แก่วัดเพื่อช่วยเหลือในการสร้างพระอุโบสถ 5 คน คือนายเพ็ง, นางพรหม, นายนัด, นายคง และนายกุมาร ครั้นพระอุโบสถเสร็จแล้วก็มีหนังสือบอกถวายพระราชกุศลให้ทรงทราบทรงพระกรุณาโปรดเกล้าๆ พระราชทานพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์องค์หนึ่งหล่อด้วยเงินอีกองค์หนึ่งส่งไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาอ้อ แล้วพระมหาอินทราชพร้อมด้วยสัปบุรุษ ทายก ได้จ้างช่างเขียนลายลักษณะพระพุทธบาท ทำมณฑป กว้าง 5 วา สูง 6 วา ขึ้นบนไหล่เขาอ้อ เป็นทีป่ระดิษฐานลายลักษณ์พระพุทธบาท ต่อมาพระมหาอิทราชทรงเห็นว่าลายลักษณ์ที่จ้างช่างเขียนไว้ไม่ถาวร จึงพร้อมด้วยขุนศรีสมบัติ เรี่ยไรเงินจากผู้ที่ศรัทธาได้ 10 ตำลึง

    มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงความสำคัญของสำนักเขาอ้อ เกี่ยวกับวิชาไสยศาสตร์อยู่ตอนหนึ่งความว่าเมื่อปีพ.ศ.2328 ครั้งที่พม่ายกทัพมาตีเมืองชุมพร, เมืองไชยา, เมืองนครศรีธรรมราช ได้เป็นผลสำเร็จแล้วยกทัพตีมาเรื่อย พระยาพัทลุง (ขุน) กับพระมหาช่วย วัดป่าเลไลย์ ชาวบ้านน้ำเลือด ซึ่งเป็นศิษย์อาจารย์วัดเขาอ้อ มีความรู้เชี่ยวชาญในทางไสยเวทย์ได้ลงตะกรุด, ผ้าประเจียดให้แก่ไพร่พล แล้วแต่งเป็นกองทัพยกไปคอยรับทัพพม่า อยู่ที่ตำบลท่าเสียด ครั้นทัพพม่ายกกำลังมาถึงเห็นกองทัพไทยจากพัทลุงมีกำลังมากกว่าตน แต่ที่แท้จริงมีกำลังน้อยกว่ากองทัพพม่าหลายเท่า แต่ด้วยอำนาจเวทย์มนต์พระคาถาที่พระมหาช่วยนั่งบริกรรมภาวนา อยู่เบื้องหลังทำการผูกหุ่นพยนต์ขึ้น เป็นทหารสูงใหญ่ให้ข้าศึกมองเห็นเป็นคนจำนวนมากและมีกำลังร่างกายสูงใหญ่ ดุดันผิดปรกติ กองทัพพม่าจึงยกทัพกลับไป พระมหาช่วยมีความชอบ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ลาสิกขา แล้วทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น "พระยาทุกขราษฎร์" เป็นผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุง ชาวเมืองพัทลุงได้ยกย่องพระมหาช่วยว่าเป็นวีรบุรุษ จึงได้ร่วมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ประดิษฐานไว้ที่สามแยก ท่ามิหรำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง

    "สำนักเขาอ้อ" เป็นสำนักที่พราหมณาจารย์, ตาปะขาว, โยคี และพระภิกษุสงฆ์ ได้บำเพ็ญพรต เจริญสมถะและวิปัสนากรรมฐานเรื่อยมา สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย ในถ้ำฉัตทันต์บรรพตท่านผู้มีสมาธิแก่กล้าได้ฝึกจิตตั้งแต่ปฐมฌานเรื่อยไปสูงขึ้นไปเป็นลำดับตั้งแต่วิชา 3 ประการ ได้แก่ รูปฌาณ, อรูปฌาณและอภิญญา 6

    ซึ่งวิชา 3 ประการคือ
    1. อตีตังสญาณ คือ ญาณที่สามารถหยั่งรู้อดีต
    2. อนาคตังสญาณ คือ ญาณที่สามารถหยั่งรู้อนาคต
    3. อาสวขญาณ คือ ญาณที่สามารถหยั่งรู้ว่าหมดกิเลส

    รูปฌาณ มี 4 ประการคือ
    1. ปฐมฌาณ ประกอบด้วย องค์แห่งฌาณ 5 ประการ ได้แก่ วิตก, วิจารณ์, ปิติ, สุข, เอกคัตตา
    2. ทุติฌาณ ประกอบด้วย องค์แห่งฌาณ 3 ประการ ได้แก่ ปิติ, สุข, เอกคัตตา
    3. ตติยฌาณ ประกอบด้วย องค์แห่งฌาณ 2 ประการ ได้แก่ สุข, เอกคัตตา
    4. จตุฌาณ ประกอบด้วย องค์แห่งฌาณ 1 ประการ ได้แก่ เอกคัตตา

    อรูปฌาณ เป็นฌาณที่สูงกว่ารูปฌาณมมี 4 ประการคือ
    1. อากาศายัญจายตณฌาณ
    2. อาภิญยัญจายตณฌาณ
    3. วิญญานัญจายตณฌาณ
    4. เนวสัญญานาสัญญายตณฌาณ


    เมื่อสำเร็จอรูปฌาณแล้วไล่สูงขึ้นไปกว่านี้คือ จตุสัมภิทา 4 ประการไปจนถึง อภิญญา 6 ประการพราหมณจารย์ตาปะขาว, โยคีและคณาจารย์ เหล่านั้นได้บำเพ็ญพรตตะบะแก่กล้า สืบทอดกันมายาวนานนับพันปี หลายดวงจิต ที่ดับขันธ์ทิ้งสังขารไว้ในถ้ำแห่งนี้เพื่อศึกษาค้นคว้าร่ำเรียนศาสตร์แขนงต่างๆ และคณาจารย์, พระภิกษุสงฆ์เพื่อค้นหาความหลุดพ้นท่านเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกจิตอันแก่กล้าตั้งแต่วิชา 3 ประการ รูปฌาณ, อรูปฌาณ และอภิฌาณ 6 ท่านจึงจะแสดงฤทธิ์ได้ตามลำดีบสูงขึ้นไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่า "สำนักเขาอ้อ" เป็นเมืองหรือถ้ำตักศิลา ผู้ที่ได้ศึกษาวิชาอาคมแขนงต่างๆ ที่ทางสำนักได้สั่งสอน ได้สำเร็จสืบทอดตามครูบาอาจารย์มาตราบเท่าจนทุกวันนี้...

    [​IMG]
    พระฤาษีพระบรมครูเฒ่าเขาอ้อ หน้าถ้ำฉัตรทันต์บรรพต วัดเขาอ้อ

    พ่อท่านแปลก ปุสฺสเทโว หรือ พระครูสุเวชโกศล...อดีตเจ้าอาวาสวัดปากปรน กิ่งอำเภอหาดสำราญ จ.ตรัง ...
    พระเกจิอาจารย์ผู้สืบสานวิทยาคมสายเขาอ้อ..ตัวจริงเสียงจริงจาก พ่อท่านปาล อดีตเจ้าสำนักเขาอ้อ


    [​IMG]
    แปลกแต่จริง...พ่อท่านแปลกวัดปากปรน.พระขลังที่ไม่ยึดสมมุติบัญญัติ

    [​IMG]
    พ่อท่่านปาลวัดเขาอ้อ..อาจารย์ของพ่อท่านแปลก

    พ่อท่านแปลก ละสังขารเมื่ออายุ 77 ปี ท่านเป็นเถราจารย์อาวุโสท่านหนึ่งในสายเขาอ้อ ที่เวลามีพิธีพุทธาภิเศกหรืองานปลุกเสกต่าง ๆ มักจะนิมนต์ท่านไปร่วมปลุกเสกด้วยทุกครั้ง

    [​IMG]
    พิธีปลุกเสกแห่งหนใดไม่ขาดองค์นี้...พ่อท่านแปลก

    วัดใหญ่วัดน้อยวัดเล็กจะปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นใด ๆ ก็ตามมักจะนิมนต์พ่อท่านแปลกไปร่วมปลุกเสกด้วยทุกครั้ง ....จึงเป็นเครื่องการันตีได้โดยว่า พ่อท่านแปลก มีวิชาอาคมเก่งกาจเพียงใด แม้แต่เคราท่านก็ไม่โกนเนื่องจากมีดโกนที่ว่าคมกริบ ก็ไม่สามารถที่จะโกนหนวดโกนเคราของท่านได้ จึงเป็นฉายาท่านอีก
    ฉายาว่า " พ่อท่านแปลก เคราเหล็ก "

    พ่อท่านแปลกเป็นใครมาติดตามประวัติท่านกันครับ …

    พ่อท่านแปลก? แปลกที่ว่าพระเกจิอาจารย์สายเขาอ้อ องค์นี้เก่งจริง แต่ไม่มีใครรู้จักมากนัก ท่านแอบเร้นสงบวิเวกอยู่ที่วัดปากปรน กิ่งอำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง ทั้งวัดมีท่านอยู่เพียงองค์เดียว สมถะ วิเวก เรียบง่าย น่านับถือ มองดวงตาของท่านแจ่มใสเป็นประกาย แสดงให้เห็นถึงญาณสมาบัติอันกล้าแกร่ง มีเพียงคนในจังหวัดตรังและใกล้เคียงไม่มากนักที่รู้ว่าท่านมีอภินิหาร และแก่กล้าพุทธาคมอย่างยิ่งยวด หลายครั้งหลายหนที่ผู้คนประสบพบเห็นอภินิหารของท่านอย่างน่าอัศจรรย์

    [​IMG]
    พ่อท่านแปลก เคราเหล็ก...ชาวตรังเคารพนับถือมาก

    ไม่สรงน้ำมาหลายปี.. ในบรรดาผู้เคารพเลื่อมใสพ่อท่านแปลกจะทราบกันดีทุกคนว่าท่านไม่สรงน้ำ ไม่เคยเห็นท่านสรงน้ำ ถามท่านว่า

    พ่อท่านไม่สรงน้ำมากี่ปีแล้ว..ท่านตอบว่าจำไม่ได้ แต่แปลกที่ว่าเมื่อเข้าไปนั่งใกล้ท่านกลับไม่มีกลิ่นกายแต่ประการใด วรรณะ ราศี ผิวพรรณของท่านกับผ่องใสเปล่งปลั่งและดูสะอาดตามาก

    พ่อท่านอาบน้ำในกา.. ลูกศิษย์หลายคนของท่านเล่าว่า เคยเห็นท่านนั่งอยู่แต่ตัวเปียกน้ำ ทั้ง ๆ ที่วัดของท่านไม่มีห้องน้ำ และเมื่อสังเกตก็เห็นกาน้ำที่วางข้างตัวท่าน รอบ ๆ กามีน้ำเปียกอยู่โดยรอบ ฝากาเปิดอยู่ จึงถามท่านว่า พ่อท่านไปอาบน้ำที่ไหนมา ท่านหัวเราะแล้วหันไปมองที่กาน้ำ โดยไม่เอ่ยปากพูดอะไร ลูกศิษย์จึงเข้าใจว่าท่านคงอาบน้ำในกา เพราะหลายคนทราบดีว่าพ่อท่านมีวิชาสามารถย่นหนทางและย่อกายได้อย่างน่าอัศจรรย์

    ปืนยิงไม่ออก.. หลายปีมาแล้ว ชาวบ้านรอบๆ วัดแอบเข้ามาเล่นการพนันในเขตวัด โดยใช้ศาลาเป็นสถานที่ เมื่อเล่นไปก็มีคนเสียเงินบ้าง คนได้เงินบ้าง คนที่เสียมากคนหนึ่งเป็นนักเลงในท้องถิ่นนั้น เมื่อไม่มีเงินจะเล่นต่อจึงเข้าไปขอเงินพ่อท่านแปลกที่กุฏิ ท่านรำคาญจึงหยิบเงินส่งให้ไป ชายผู้นั้นหายไปพักหนึ่งก็กลับมาอีก คราวนี้มีอาการเมาเหล้าบอกว่าเงินพ่อท่านหมดแล้วขออีก ท่านจึงบอกว่าไม่มีให้ไปหมดแล้ว ชายผู้นั้นก็เซ้าซี้จะเอาเงินให้ได้ พ่อท่านไม่มีให้ จึงเกิดโมโห ชักปืนขนาด .38 ขึ้นขู่พ่อท่าน เพื่อจะเอาเงิน ท่านก็ตอบว่าไม่มีเพราะให้ไปหมดแล้ว จึงลั่นไกปืนยิงท่าน นัดแรกเสียงดัง ..แชะ.. นัดสอง นัดสาม ก็เป็นเช่นเดิมลูกปืนไม่ลั่น พ่อท่านจึงบอกว่าให้ไปไกลๆ ไปยิงนอกวัดโน้น ชายผู้นั้นจึงเดินออกไปยิงที่หน้ากุฏิของท่านอีก 1 นัด ก็ไม่ออก จึงออกไปยิงขึ้นฟ้าที่หน้าวัด ปรากฏว่ายิงออกทุกนัด เรื่องนี้มีชาวบ้านร่วมเห็นเหตุการณ์หลายคนเล่าให้ฟังตรงกัน (ชายผู้นี้ขอสงวนชื่อ ขณะนี้โดนจับคดียิงคนตายยังอยู่ในเรือนจำ เพราะหลังจากนั้นอีกไม่นานก็ไปยิงผู้อื่นตาย และถูกตำรวจจับได้)

    พ่อท่านแปลก..เกจิอาจารย์ผู้เข้มขลังและปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านถือสันโดษและปฏิบัติธรรมด้วยการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน เป็นเนืองนิจมีกระแสจิตแก่กล้า แต่มีความเมตตาเป็นเลิศ นับเป็นเกจิอาจารย์อีกองค์หนึ่งของภาคใต้ ที่น่าเคารพและศรัทธายิ่ง …

    พ่อท่านแปลก เกิดในสกุล ชูเท้า ที่บ้านร่มเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2478 บิดาชื่อ นายปาน ชูเท้า มารดาชื่อ นางคุ้ม ชูเท้า เมื่อวัยเยาว์ได้ช่วยบิดา-มารดาประกอบอาชีพทำนาอยู่ที่บ้านตำบลร่มเมือง จนมีอายุครบบวช จึงได้อุปสมบทที่ วัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ศึกษาธรรมและได้เรียนรู้วิชาไสยศาสตร์ จึงเกิดความสนใจ วิชาเวทมนต์ คาถาอาคม และ ไสยศาสตร์ แขนงต่างๆ มาก พยายามเสาะหาครูบาอาจารย์ศึกษา จนไปพบ อาจารย์ปาน วัดเขาอ้อ ได้เรียนวิชาการต่างๆ มามากมาย เมื่อออกพรรษาบิดา-มารดาให้ลาสิกขามาช่วยงานทางบ้านทำนาต่อไป จึงต้องสละเพศบรรพชิตทั้งที่จิตใจฝักใฝ่จะอยู่ต่อ

    เมื่อมาช่วยงานทางบ้านมีเวลาว่าง ๆ ก็หันไปแสวงหาอาจารย์เรียนรู้ วิชาทางไสยศาสตร์อยู่เสมอ จนได้พบกับพระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ ที่บ้านควนขนุน ได้รับการชี้แนะแนวทางเวทมนต์วิทยาคมมากมาย ต่อมามีครอบครัวและเมื่ออายุได้ 33 ปี เกิดความเบื่อหน่ายชีวิตทางโลก เพราะมีจิตใจใคร่ทางธรรมอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก จึงตัดสินใจลาครอบครัวออกอุปสมบทตามความตั้งใจอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2510 โดยมี พระครูมุทิตานุรักษ์ วัดท่าแค เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูนิเทศน์ธรรมวินัย วัดท่าแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาผัน วัดโคกโพธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ปุสฺสเทโว ณ พัทธสีมา วัดควนขี้แรด แล้วจำพรรษา ณ วัดควนขี้แรด พัทลุง ได้หนึ่งพรรษา จึงไปอยู่ วัดดอนปรัง แล้วไปจำพรรษาที่ วัดควนโตนด จากนั้นไปอยู่ วัดบางขัน ต.ห้วยไทร อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เพื่อค้นคว้าเรียนวิชา สายเขาอ้อ กับ หลวงพ่อปาน อีกครั้งหนึ่ง จนเรียนรู้ชำนาญสามารถปฏิบัติได้เห็นจริง จึงธุดงค์ข้ามจังหวัดจากพัทลุง หาความสงบวิเวกบนเขาพับผ้า อยู่ในป่าเพื่อฝึกจิตให้กล้าแข็ง

    ปฏิบัติธรรมจนถึง พ.ศ.2512จึงธุดงค์มาถึง วัดปากปรน กิ่งอำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง พบว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระอยู่ มีกุฏิเก่าๆ และศาลาผุพังกับป่ารกทึบสงบวิเวก จึงได้จำพรรษาปฏิบัติธรรมอยู่ ณ วัดปากปรน เพียงองค์เดียว วัดปากปรน ครั้งนั้นเป็นป่าที่สงบตรงกับความต้องการของท่าน มีสัปปายะที่ดีในการบำเพ็ญภาวนา ระหว่างจำพรรษาอยู่ วัดปากปรน เริ่มมีชาวบ้านผ่านมาเข้าไปกราบนมัสการ และเริ่มรู้จักท่านมากขึ้น เพราะนอกจากวิชาคาถาอาคมและไสยศาสตร์แล้ว ท่านมีความชำนาญในตำรารักษาโรคด้วยสมุนไพรอีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากระหว่างที่ท่านธุดงค์อยู่บนเขาพับผ้านั้น มีชาวบ้านซึ่งพบตำรารักษาโรคและตำรับเวทมนต์ในถ้ำวัดในเขา นำเอาตำราทั้งหมดมาถวายท่านเอาไว้ เพราะเอาไว้ในบ้านแล้ว พบสิ่งอัศจรรย์มากมาย เอาไว้ไม่ได้จึงเอามาถวายท่าน ท่านได้ศึกษาตำรับตำราเหล่านั้นอยู่นานหลายปี จนมีความเข้าใจแจ่มแจ้ง

    [​IMG]
    วัดปากปรน ตรัง

    ดังนั้น นอกจากวิชาที่ท่านได้เรียนมาจาก สำนักเขาอ้อ แล้ว วิชาบางส่วนท่านได้มาจากตำราที่ชาวบ้านพบในถ้ำแล้วเอามาถวายท่าน ด้วยใจที่สนใจไสยศาสตร์มาแต่เดิม จึงทำให้ท่านมุ่งมั่นฝึกฝนจนสามารถปฏิบัติได้จริง มีลูกศิษย์ของท่านหลายคนยืนยันว่า เคยเดินไปกับท่าน ฝนตกลงมา คนที่ร่วมเดินไปพร้อมกับท่านทุกคนเปียกฝนชุ่มโชก แต่ตัวท่านไม่มีฝนตกถูกจีวรเลยแม้แต่เม็ดเดียว สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เมื่อผู้เขียนถามท่านถึงเรื่องนี้ ท่านได้แต่หัวเราะ และเมื่อถามมาก ๆ ท่านก็ยอมรับว่า ท่านมีพุทธคุณปกป้องคุ้มครองอยู่ หลังจากนั้นไม่นาน พ่อท่านแปลก ได้เล่าถึง คาถาอิติปิโส หลายบท และได้เน้นที่บท ฝนแสนห่า ท่านว่าใช้ทางแคล้วคลาด พร้อมทั้งเปรยว่า ฝนแสนห่า ตกลงมาไม่ถูกอย่าง.. พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา ศิษย์เขาอ้อ ซึ่งล่วงลับไปแล้ว ได้เคยเล่าว่า ตะกรุด ที่ท่านลงให้ในทางแคล้วคลาดนั้นชื่อ ตะกรุด ฝนแสนห่า ลงด้วยคาถา ฝนแสนห่า แบบฉบับของ สำนักเขาอ้อ ซึ่งมีเคล็ดพิธีกรรมอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนใคร พุทธคุณของคาถา ฝนแสนห่า นั้น เปรียบประดุจ ฝนแสนห่า ตกลงมาไม่ถูกกาย ใช้ทางแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้ง ในเรื่องนี้ปรากฏว่า วิชาที่ท่านเรียนมาเหมือนกับที่ อาจารย์ศรีเงิน ได้เล่าให้ฟัง เมื่อครั้งท่านมีชีวิตแสดงว่า พ่อท่านแปลก ได้สำเร็จวิชานี้ และสามารถทำได้ขลังมีผลให้เห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ท่านเล่าว่านอกจากจะได้วิชามาแล้ว หากไม่ฝึกปฏิบัติทางจิตจนเข้มแข็ง ก็ไม่สามารถทำได้ตามตำราที่เรียนมา…สายวิชาเขาอ้อมีเคล็ดลับสำคัญตั้งแต่โบราณกาล ทรงความขลังอย่างอมตะตลอดกาล เช่นการ"หุงวิชชา" สำนักตักสิลา เขาอ้อ เป็นพิธีกรรมหนึ่งในศาสตร์ไสยเวทย์ของตักสิลา เขาอ้อ เป็นกุญแจสำคัญ นำมาซึ่งความศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ครั้งโบราณจนตราบเท่าปัจจุบัน..

    การประกอบพิธีกรรม "หุงวิชชา" เป็นสุดยอดวิชาที่พระคณาจารย์สายนี้ประกอบพิธีกรรม โดยอาราธนาพระคุณเจ้าผู้เรืองเวทย์ ในสายเขาอ้อด้วยกันทั้งหมดซึ่งศึกษาพระเวทย์มาในแบบอย่างเดียวกันนั่งบริกรรมเรียงล้อมวัตถุมงคลโดยรอบหรือนั่งปลุกเสกบริกรรมทั้ง 8 ทิศ เดินกระแสจิตอณุโลม ปฏิโลม เพื่อให้วัตถุบริสุทธิ์ต่อด้วยการ 32 เพื่อทำให้วัตถุมงคลประดุจดังมีชีวิตจริงรับรู้และรู้เห็นภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้เคหะสถานหรือตัวบุคคลที่มีวัตถุมงคลติดตัวและอธิฐานจิตได้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ครอบครองวัตถุมงคล คือ การรับรู้และเดินธาตุ 4 เตโช ปฐวี วาโย อาโป คือ ธาตุ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ วัตถุต่างๆ บนโลกนี้ เป็นธาตุ 4 ทั้งหมด แยกเป็นดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ขณะที่พระคณาจารย์เดินธาตุอยู่เพื่อที่จะให้วัตถุมงคลในองค์เดียวกันมีทั้ง 4 ธาตุ สายเขาอ้อมีเคล็ดลับให้เดินธาตุ เตโชก่อนและตามด้วยปฐวี วาโย และอาโป คือให้ปลุกเสกด้านหมาอุตต์ก่อน ตามด้วยคงกระพัน 1, ชาตรี 1, แคล้วคลาด 1, กำบังหรือบังไพร 1, กันเขี้ยวงา 1 ปิดด้วยเมตตามหานิยม 1 ซึ่งจะทำให้วัตถุมงคลนั้นๆ ทรงอานุภาพทุกๆ ด้านตามที่พระคณาจารย์เหล่านั้นเดินกระแสจิต ต่อจากการเดินธาตุพระคณาจารย์เหล่านั้นเข้ากสิณ

    [​IMG]
    พ่อท่านแปลก เคราเหล็ก...หนึ่งในศิษย์สายเขาอ้อ...

    กสิณ มีทั้งหมด 10 ประการซึ่งมีดังนี้
    ปฐวีกสิณเกิดฤทธิ์ดังนี้
    นิรมิตคน 1 คน ให้เป็นหลายคนหรือให้คนหลายๆ คนเป็นคนๆ เดียว ทำน้ำและอากาศ
    ให้แข็งได้ ส่วนใหญ่ให้ผูกหุ่นพยนต์ ทำให้เกิดภาพลวงตา

    อาโปกสิณ
    เกิดฤทธิ์ดังนี้
    นิรมิตของแข็งให้อ่อน อธิฐานสถานที่เป็นดิน - หินที่กันดารน้ำทำให้เกิดบ่อน้ำ ฝนแล้ง
    ทำให้เกิดฝนตก

    เตโชกสิณเกิดฤทธิ์ดังนี้
    ทำให้เกิดเพลิงไฟ ทำให้ท้องฟ้าสว่าง ทำให้เกิดพระอาทิตย์ พระจันทร์ทรงกลด เห็น
    ภาพต่างๆ ในที่ไกลคล้ายตาทิพย์

    วาโยกสิณเกิดฤทธิ์ดังนี้
    ทำให้ตัวเบาลอยตามลม เหาะไปในอากาศได้อธิฐานให้เกิดลมพายุได้

    นีลกสิณ
    เกิดฤทธิ์ดังนี้
    ทำให้เกิดสีเขียว อธิษฐานบ้านเรือนทั้งหมู่บ้านให้เป็นป่า ทำสถานที่สว่างให้มืดครึ้ม

    ปีตกสิณเกิดฤทธิ์ดังนี้
    นิรมิตสีเหลืองหรือสีทองให้เกิดขึ้นคือนิรมิตทั้งภูเขาให้เป็นทองคำ

    โลหิตกสิณ
    เกิดฤทธิ์ดังนี้
    นิรมิตสีแดงให้เกิดได้ตามประสงค์

    โอทาตกสิณเกิดฤทธิ์ดังนี้
    นิรมิตสีขาวให้ปรากฏ ทำที่มืดให้สว่าง

    อาโลกกสิณเกิดฤทธิ์ดังนี้
    นิรมิตรูปให้สว่างไสวได้ ทำที่มืดให้สว่าง

    อากาสกสิณเกิดฤทธิ์ดังนี้
    อธิษฐานจิตให้เห็นของในที่ปกปิด ทำให้เกิดอากาศได้พอเพียงอยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลานาน

    ลำดับต่อมาเจริญพระพุทธมนต์ บทต่างๆ สมโภชน์วิชชา คือ ความรู้แจ้งใช้เกี่ยวกับศาสนา / วิชา คือ ความรู้ธรรมดาใช้ทั่วไป
    การทำวิชาเขาอ้อจึงไม่ง่ายดังที่คิด...การเป็นศิษย์เขาอ้อไม่ใช่แค่เดินผ่านวัดเขาอ้อแล้วเป็นศิษย์เขาอ้ออย่างที่หลายท่านทำกัน...

    พ่อท่านแปลก..วัตถุมงคลที่ท่านได้ปลุกเสกไว้ โดยมีลูกศิษย์ได้ช่วยสร้างถวายให้ท่านปลุกเสก แล้วให้ทำบุญเอาไปสร้างถาวรวัตถุใน วัดปากปรน ผู้ที่ได้ไปต่างมีประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์จำนวนมาก

    1. เหรียญรุ่นแรก สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. เป็นเหรียญทองแดงรมน้ำตาลรูปไข่
    2. ล็อกเกตรูป พ่อท่านแปลก สร้างหลังจากเหรียญรุ่นแรกไม่นานนัก
    3. แหวนพิรอด สร้างจากแผ่นยันต์หล่อหลอมเทเป็นแหวน
    4. สายคาดเอว เป็นผ้ายันต์ม้วน แล้วถักด้วยเชือกใช้สำหรับคาดเอว ซึ่งผู้ที่นำไปใช้มีประสบการณ์มากมาย
    5. ผ้ายันต์ ปกป้องคุ้มครอง
    6. ผ้ายันต์ เมตตาค้าขาย
    7. รูปหล่อ เนื้อเซลลิก้าผสมผง หน้าตัก 5 นิ้ว
    8. รูปหล่อ เนื้อทองเหลือง หน้าตัก 2 นิ้ว

    นอกจากนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายรุ่นลองเสาะหาเอาเองเถิด....
    [​IMG]
    เหรียญรุ่นแรก

    [​IMG]
    ด้านหลังเหรียญรุ่นแรก

    [​IMG]
    ล็อกเก็ตพ่อท่านแปลก

    [​IMG]
    ด้านหลังล็อกเก็ต

    [​IMG]
    สายคาดเอวพ่อท่านแปลก


    วัตถุมงคลที่เอ่ยมา ไม่ทราบว่ายังเหลือหรือไม่แต่ข่าวว่าพอท่านละสังขารค่านิยมก็พุ่งพรวดอย่างไม่น่าเชื่อ... วัตถุมงคล ของ พ่อท่านแปลก แทบทุกอย่างมีประสบการณ์ เช่น.... นาง สำอางค์ หนูแก้ว ชาวบ้านตำบลโพรงจระเข้ อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง ได้มานมัสการขอ ผ้ายันต์ ของพ่อท่าน เพื่อเอาไปผูกกับรถมอเตอร์ไซค์ เธอเล่าประสบการณ์กับ พ่อท่านแปลก ว่า เธอเคยป่วยเป็นอัมพาตเดินไม่ได้นานหลายปี มีคนพามาหา พ่อท่านแปลก ท่านต้มยาให้กินและช่วยรักษาเธอ จนทุกวันนี้เธอเดินได้เป็นปกติเหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ ต่อมาเธอได้แต่งงานกับหมออนามัย ตำบลโพรงจระเข้ จึงได้เอาผ้ายันต์และสายคาดเอวของ พ่อท่านแปลก ไปผูกไว้กับรถปิกอัพของสามี ให้ปกป้องคุ้มครองเมื่อเดือนมิถุนายน 2548 สามีเธอขับรถคันนั้นเกิดหลับใน รถแหกโค้งพลิกคว่ำลงข้างถนนสูงหลายตลบ รถพังทั้งหมด แต่สามีเธอไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เธอมาเล่าเรื่องนี้ให้ พ่อท่านแปลกฟัง

    อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นในจังหวัดตรัง หากยังจดจำกันได้ เมื่อเทศกาลสงกรานต์ปี 2550 หรือเมื่อ 5 ปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์น้ำป่าถล่มน้ำตกสายรุ้ง และน้ำตกไพรสวรรค์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 38 ศพ เพียงแต่รายสุดท้ายที่เป็นหญิงสายวัย 31 ปี ชาวตำบลบางดี อำเภอห้วยยอด จ.ตรังนั้น ไม่สารมาถพบร่างไร้วิญญาณของเธอ แม้เจ้าหน้าที่หน่วยอุทยานและเจ้าที่กู้ำภัยจะ ระดมกำลังค้นหาร่างต่อเนื่องมาหลายวัน และเป็นระยะทางยาวไกลนับสิบ ๆ กิโล ทางตำรวจและชาวบ้านจึงได้ลงความเห็นที่จะนิมนต์พ่อท่านแปลกมาทำพิธีโดยพ่อท่านแปลก ได้ทำพิธีบูชาเจ้าป่าเจ้าเขา เพียงแค่อึดใจหลังจากที่พ่อท่านมาทำพิธีเจ้าหน้าที่ ก็สามารถค้นหาศพของหญิงสาวเคราะห์ร้าย ในพื้นที่ตำบลโพรงจรเข้ อำเภอย่านตาขาย โดยห่างจากจุดเกิดเหตุเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตร์เท่านั้นเอง

    ในขณะที่วัตถุมงคลพ่อท่านปลกได้ปลุกเสกเอาไว้หลายต่อหลายรุ่น เพื่อนำเงินมาสร้างศาสนสถานในวัด ผู้ที่ได้รับวัตถุมงคลไปนั้นก็เกิดมีประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์อย่างมายมาย โดยเหรียญรุ่นแรกท่านสร้างครั้งแรกในปี 2538 เป็นเหรียญทองแดงรมน้ำตาลรูปไข่ ต่อจากนั้นยังมีการสร้างล็อกเก็ตรูปพ่อท่าน รวมถึงรูปหล่อเนื้อเซลิก้าผสมผงศักดิ์สิทธิ์หน้าตัก 5 นิ้ว รูปหล่อเนื้อทองเหลืองหน้าตัก 2 นิ้ว แหวนพิรอด สายคาดเอว และผ้ายันต์ โดยวัตถุมงคลท่านนั้น ในหมู่นักนิยมสะสมพระสายใต้ ก็มักจะตามเก็บวัตถุมงคลของพ่อท่านแปลกอยู่เรื่อย ๆ นอกจากนั้นพ่อท่านแปลกยังได้รับการนิมนต์ไปร่วมปลุกเสก " องค์พ่อจตุคามรามเทพ " รุ่นแรกของท่านพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช มือปราบอาคมผู้โด่งดัง และยังได้รับการนิมนต์ไปปลุกเสกวัตถุมงคลต่าง ๆอีกมากมาย ทั้งในภาคใต้และทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 100 รุ่น


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    พ่อท่านแปลกลงจารอักขระ


    ทุกวันนี้กระแสพระเครื่องเมืองใต้ยังคงแรงไม่มีตก.. ที่วัดของพ่อท่านซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอห่างไกลจากตัวเมืองกว่า 60 กิโลเมตร กลับมีผู้คนที่เลื่อมใสศรัทธาพ่อท่านมากราบนมัสการสังขารไม่ขาดสาย และแม้ไม่มีพ่อท่านแปลกแล้วแต่ศิษย์รุ่นหลังก็ต้อนรับอย่างเป็นกันเองด้วยรอยยิ้มอันมีไมตรีจิตเมตตาต่อศิษยานุศิษย์ทั้งใกล้ไกล ไม่ว่าท่านจะมีฐานะอย่างไร..

    พ่อท่านแปลก เกจิอาจารย์ผู้เข้มขลัง และปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านถือสันโดษและปฏิบัติธรรมด้วยการพิจารณา อสุภะกรรมฐาน เป็นเนืองนิจ มีกระแสจิตแก่กล้า จวบจนท่านถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลจังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 รวมสิริอายุ 77 ปี..ข่าวว่างานพระราชทานเพลิงศพพ่อท่านแปลก กำหนดวันที่ 23 ธันวาคม 2555 ปัจจุบันนี้ สวดอภิธรรมทุกวันพระ….

    [​IMG]
    พระครูสุเวชโกศล...พ่อท่านแปลก..อดีตเจ้าอาวาสวัดปากปรน ตรัง
     
  2. ครุฑา

    ครุฑา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +3,081
    เคยอ่านอยู่ในลานโพธิ์เหมือนกัน รู้สึกว่าท่านน่าศรัทธา สายใต้เขาอ้อถือขลังจริงๆ แต่ไม่ได้เก็บของท่านเลย
     
  3. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,505
    **มีพระของท่านอยู่องค์หนึ่งครับ**

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  4. fujyjo

    fujyjo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    969
    ค่าพลัง:
    +1,535
    ผมมีโอกาสได้เชือกคาดของท่านเส้นนึงกับตะกรุดอีก1ดอก
    เชือกท่านจะใช้ผ้าเขียนยันต์แล้วนะมาถักไว้กับเชือกไว้สำหรับขาดที่เอวครับ เวลาไป ตปท. ผมใช้คาดตลอด เนื่องจากเป็นผ้าขี้เกียจมีปัญหาตอนตรวจขึ้นเครื่องครับ
     
  5. ปะจะขะ

    ปะจะขะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +4,409
    ขอบคุณครับสำหรับประวัติหลวงพ่อที่นำมาเล่าสู่กันฟัง ดูแล้วน่าเลื่อมใส

    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...