บุพกรรมใดนางจิญจามานวิกาจึง เกิดมาดี

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย dangcarry, 20 ตุลาคม 2010.

  1. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    ในหลายๆชาติของนางจิญจามานวิกา จึงได้เกิดมามีสติ ปัญญาดี มีรูปร่าง หน้าตาสวยงาม หลายชาติ ทั้งๆที่ได้ประกอบ กรรมหนักกับพระโพธิสัตว์ นางได้ทำบุญใด ในชาติใด ผลกรรมที่ทำจึงได้ส่งผลช้า จนมาถึงชาติสุดท้ายถึงได้รับกรรมหนัก
    เพราะไม่ได้ทำร้ายเพียงพระโพธิสัตว์ แต่เป็นการให้ร้ายพระพุทธเจ้า จึงอยากทราบ ขอทุกท่านร่วมแสดงความคิดเห็น
     
  2. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    ไม่อิงตำรา แต่อิงหลักความจริงใช่ไหมพี่ งั้นด้ายเล๊ย
    1. หน้าตาสวย เพราะไม่มักโกธร ผิวพันเนียนเลยแระ
    2. การมีรูปร่างดี เพราะรู้จักการวางตัวให้ถูกกาละเทสะ
    3. แต่ว่า ด้วยเรื่องที่ เป็น ข้อ 1 กับ ข้อ 2 นั้น
    ไม่อยู่ในข่ายของศีล และ ยังประกอบอกุศล 10 (อิงตำรานิดนุง)
    และคนที่นางใส่ร้ายคือผู้ทรงศีล และยังเป็นพระศาสดาอีก
    กรรมหนักเลยแระ เพราะขาดสติ และ โมหะ โลภะ ครอบงำ
    เนอะ หากนางทำสติปัฐฐาน 4 ดีดี ไม่ตกนรก หรอกเนอะ
    แม้ นาง จิญจามานวิกา เป็นครูสอนหลบได้ดีมาก
    เวลาหลบโกธร จะด่าๆๆๆ แระ จนเหนื่อย เมื่อก่อนนะ
    ตอนนี้เหลือควันนิดนุงมั้ง แหะ นอกเรื่องนิดนุง


    เดี่ยวรอ ป้าขวัญ กับป้าเต้าเจี้ยวมาด้วยเนอะ
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อิอิ มาแว๊วววว...
    คิดว่า นางจิญจมาณวิกา คงทำบุญมาดีไม่น้อย อาจจะได้เคยทำบุญกับพระโพธิสัตว์
    พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า แต่เพราะขาดปัญญาจึงทำให้หลงทำก่อกรรม
    อย่างที่เคยอ่านเจอ ก็เคยมีชาติหนึ่งได้เกิดเป็นพระชายาของพระโพธิสัตว์ในพระชาติหนึ่ง
    แต่ก็คงไม่มีวาสนาทำให้จบไม่สวยดันไปหลงชายชู้และวางแผนทำร้ายพระโพธิสัตว์อีก
    เหมือนบุญมีแต่ขาดวาสนา ขาดปัญญา ก็เลยพาให้ชีวิตวิบัติทั้งๆที่มีคุณสมบัติดีติดตัวมาก
    เข้าข่ายมีบุญวาสนาได้อยู่ใกล้บัณฑิตแต่เห็นคนพาลเป็นมิตร เห็นบัณฑิตเป็นศัตรู

    เอาเรื่องชาดกมาให้อ่านค่ะ


    <CENTER><BIG>อรรถกถา จุลลปทุมชาดก</BIG> <CENTER class=D>ว่าด้วย การลงโทษหญิงชายทำชู้กัน</CENTER></CENTER><!--อรรถกถา จุลลปทุมชาดกที่ ๓ -->พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อยเมว สา อหมฺปิ โส อนญฺโญ ดังนี้.
    เรื่องราวจักมีแจ้งใน อุมมาทันตีชาดก.
    ก็ในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ. กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า ก็ใครทำให้เธอกระสันเล่า. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นมาตุคามคนหนึ่ง ตกแต่งอย่างสวยงาม แล้วตกอยู่ในอำนาจกิเลส จึงกระสัน.
    พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามมักอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร มีดวงใจกระด้าง แม้โบราณกบัณฑิตให้ดื่มโลหิตที่เข่าขวาของตน บริจาคทานตลอดชีวิต ยังไม่ได้ดังใจของมาตุคาม แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
    ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงอุบัติในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระองค์. ในวันขนานพระนาม ได้รับพระราชทานนามว่า ปทุมราชกุมาร. พระปทุมราชกุมารได้มีพี่น้องอีกหกพระองค์ ทั้งเจ็ดพระองค์นั้นเจริญพระชนม์ขึ้นโดยลำดับ ครองฆราวาส ทรงประพฤติเยี่ยงพระราชา.
    อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาประทับทอดพระเนตรพระลานหลวง ทรงเห็นพระราชกุมารพี่น้องเหล่านั้น มีบริวารมากพากันมาปฏิบัติราชการ ทรงเกิดความระแวงว่า ราชกุมารเหล่านี้จะพึงฆ่าเราแล้วชิงเอาราชสมบัติ จึงตรัสเรียกพระราชกุมารเหล่านั้นมารับสั่งว่า ลูกๆ ทั้งหลาย พวกเจ้าจะอยู่ในพระนครนี้ไม่ได้ จงไปที่อื่น เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้ว จงกลับมารับราชสมบัติอันเป็นของประจำตระกูลเถิด.
    พระราชกุมารเหล่านั้นรับพระดำรัสของพระชนกแล้ว ต่างทรงกันแสง เสด็จไปยังตำหนักของ<WBR>ตนๆ ทรง<WBR>รำพึง<WBR>ว่า พวกเราจักพาพระชายาไปหาเลี้ยงชีพ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วเสด็จออกจากพระนคร ทรงดำเนินทางถึงที่กันดารแห่งหนึ่ง เมื่อไม่ได้ข้าวและน้ำ ไม่สามารถจะกลั้นความหิวโหยไว้ได้ จึงตกลงพระทัยปลงพระชนม์ของพระชายาของพระเจ้าน้อง ด้วยทรงดำริว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ก็จักหาหญิงได้ แล้วแบ่งเนื้อออกเป็นสิบสามส่วนพากันเสวย. พระโพธิสัตว์เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ในส่วนที่ตนและพระชายาได้ ทั้งสองเสวยแต่ส่วนเดียว. พระราชกุมารทั้งหลายทรงปลงพระชนม์พระชายาทั้งหก แล้วเสวยเนื้อได้หกวันด้วยประการฉะนี้.
    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงเหลือไว้วันละส่วนทุกๆ วัน เก็บไว้ได้หกส่วน. ในวันที่เจ็ด เมื่อพูดกันว่าจักปลงพระชนม์พระชายาของพระเจ้าพี่. พระโพธิสัตว์จึงประทานเนื้อหกส่วนเหล่านั้นแก่น้องๆ แล้วตรัสว่า วันนี้ พวกท่านจงเสวยหกส่วนเหล่านี้ก่อน พรุ่งนี้จักรู้กัน ในเวลาที่พระราชกุมารน้องๆ เหล่านั้นเสวยเนื้อแล้วหลับไป ก็ทรงพาพระชายาหนีไป. พระชายานั้นเสด็จไปได้หน่อยหนึ่งแล้วทูลว่า ข้าแต่พระภัสดา หม่อมฉันไม่อาจเดินต่อไปได้. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงทรงแบกพระชายา<WBR>ออกจากที่กันดารไป ในเวลารุ่งอรุณ. เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพระนาง ทูลว่า หม่อมฉันหิวเหลือเกิน. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า น้ำไม่มีเลยน้อง. เมื่อพระนางพร่ำวิงวอนบ่อยเข้า ด้วยความสิเนหาต่อพระนาง จึงเอาพระขรรค์เชือดพระชานุ (เข่า) เบื้องขวา แล้วตรัสว่า น้ำไม่มีดอกน้อง น้องจงนั่งลงดื่มโลหิตที่เข่าขวาของพี่. พระชายาได้กระทำตามพระประสงค์. ทั้งสองพระองค์เสด็จถึงแม่น้ำใหญ่โดยลำดับ ทรงดื่ม ทรงอาบ และเสวยผลาผล ทรงพักในที่สำราญ แล้วทรงสร้างอาศรมบทใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่ง.
    อยู่มาวันหนึ่ง ด้านเหนือแม่น้ำ ราชบุรุษลงโทษโจรผู้ทำผิดพระราชอาญา ตัดมือ เท้า หู และจมูก ให้นอนในเรือโกลนลำหนึ่ง เสือกลอยไปในแม่น้ำใหญ่. โจรนั้นร้องเสียงครวญคราง ลอยมาถึงที่นั้น. พระโพธิสัตว์ทรงสดับเสียงร้องอันน่าสงสารของโจรนั้น ทรงดำริว่า เมื่อเรายังอยู่ สัตว์ผู้ได้รับความลำบากอย่าได้พินาศเลย จึงเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำ ช่วยให้เขาขึ้นจากเรือ แล้วนำมายังอาศรมบท ได้ทรงกระทำการเยียวยาแผลด้วยการชำระล้างและทาด้วยน้ำฝาด.
    ฝ่ายพระชายาของพระองค์ ครั้นทรงทราบว่า พระสามีทรงปรนนิบัติคนเลวทรามซึ่งลอยน้ำมาถึงปานนั้น ก็ทรงรังเกียจคนเลวทรามนั้น แสดงกิริยากระฟัดกระเฟียดอยู่ไปมา. ครั้นแผลของโจรนั้นหายสนิทแล้ว พระโพธิสัตว์จึงให้เขาอยู่ในอาศรมบทกับพระชายา ทรงแสวงหาผลาผลจากดงมาเลี้ยงดูโจรและพระชายา. เมื่อทั้งสองอยู่กันอย่างนี้ สตรีนั้นก็มีจิตปฏิพัทธ์ในบุรุษชั่วนั้น ประพฤติอนาจารร่วมกับเขา ต้องการจะฆ่าพระโพธิสัตว์ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า เมื่อหม่อมฉันนั่งบนบ่าของพระองค์ออกจากทางกันดาร มองเห็นภูเขาลูกหนึ่ง จึงบนบานว่า ข้าแต่เทพเจ้าผู้สิงสถิตบนยอดเขา หากข้าพเจ้ากับพระสวามีปลอดภัยได้ชีวิต ข้าพเจ้าจักทำพลีกรรมแก่ท่าน บัดนี้ เทวดานั้นทำให้หม่อมฉันหวาดสะดุ้ง หม่อมฉันจะทำพลีกรรมแก่เทวดานั้น.
    พระโพธิสัตว์ไม่ทรงทราบมายา ทรงรับสั่งว่าดีแล้ว ทรงเตรียมเครื่องเซ่น ให้พระชายาถือภาชนะเครื่องเซ่น ขึ้นสู่ยอดภูเขา. ครั้นแล้ว พระชายาจึงกราบทูลพระสวามีอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสวามี พระองค์ก็เป็นเทวดาของหม่อมฉัน ทั้งชื่อว่าเป็นเทวดาผู้สูงส่ง เบื้องแรกหม่อมฉันจักบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ในป่าก่อน และกระทำประทักษิณถวายบังคม จักทำพลีกรรมเทวดาในภายหลัง. พระนางให้พระโพธิสัตว์หันพระพักตร์เข้าหาเหว ทรงบูชาด้วยดอกไม้ในป่า ทำเป็นปรารถนา<WBR>จะทำประทักษิณถวายบังคม สถิตอยู่ข้างพระปฤษฎางค์แล้วทรงประหารที่พระปฤษฎางค์ ผลักไปในเหว ดีพระทัยว่า เราเห็นหลังข้าศึกแล้ว จึงเสด็จลงจากภูเขา ไปหาบุรุษเลว.
    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ตกลงจากภูเขา กลิ้งลงไปตามเหว ติดอยู่ที่พุ่มไม้มีใบหนาไม่มีหนามแห่งหนึ่ง เหนือยอดต้นมะเดื่อ. แต่ไม่สามารถจะลงยังเชิงเขาได้ พระองค์จึงเสวยผลมะเดื่อ ประทับนั่งระหว่างกิ่ง. ขณะนั้น พญาเหี้ยตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ขึ้นจากเชิงเขาชั้นล่าง กินผลมะเดื่ออยู่ ณ ที่นั้น. มันเห็นพระโพธิสัตว์ในวันนั้นจึงหนีไป. รุ่งขึ้นมากินผลไม้ที่ข้างหนึ่งแล้วหนีไป. พญาเหี้ยมาอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ ก็คุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์ ถามพระโพธิสัตว์ว่า ท่านมาที่นี้ได้อย่างไร เมื่อพระโพธิ<WBR>สัตว์บอกให้รู้แล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านอย่ากลัวเลย ให้พระโพธิสัตว์นอนบนหลังของตน ไต่ลงออกจากป่า ให้สถิตอยู่ที่ทางใหญ่ แล้วส่งไปด้วยคำว่า ท่านจงไปตามทางนี้ แล้วก็เข้าป่าไป.
    พระโพธิสัตว์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่ออาศัยอยู่ในบ้านนั้น ก็ได้ข่าวว่าพระชนกสวรรคตเสียแล้ว จึงเสด็จไปยังกรุงพาราณสี ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติอันเป็นของประจำตระกูล ทรงพระนามว่า พระปทุมราชา ทรงครอบครองราชย์โดยธรรม มิให้ราชธรรมกำเริบ รับสั่งให้สร้างโรงทานหกแห่ง ที่ประตูพระนครทั้งสี่กลางพระนคร และประตูพระราชนิเวศน์ ทรงบริจาคทรัพย์บำเพ็ญมหาทานวันละหกแสน.
    หญิงชั่วแม้นั้น ก็ให้ชายชั่วนั่งขี่คอออกจากป่า เที่ยวขอทานในทางที่มีคนรวบรวมข้าวยาคูและภัตร เลี้ยงดูชายชั่วนั้น. เมื่อมีผู้ถามว่าคนนี้เป็นอะไรกับท่าน นางก็บอกว่า ฉันเป็นลูกสาวของลุงของชายผู้นี้ เขาเป็นลูกของอาฉัน พ่อแม่ได้ยกฉันให้ชายผู้นี้. ฉันต้องแบกสามีซึ่งต้องโทษเที่ยวขอทานเลี้ยงดูเขา. พวกมนุษย์ต่างพูดกันว่า หญิงนี้ปรนนิบัติสามีดีจริง. ตั้งแต่นั้นมาก็พากันให้ข้าวยาคูและภัตรมากยิ่งขึ้น. คนอีกพวกหนึ่งพูดกันว่า ท่านอย่าเที่ยวไปอย่างนั้นเลย พระเจ้าปทุมราชเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ทรงบริจาคทานเล่าลือกันไปทั่วชมพูทวีป. พระเจ้าปทุมราชทรงเห็นแล้ว จักทรงยินดีพระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก เจ้าจงให้สามีของเจ้านั่งในนี้พาไปเถิด แล้วได้มอบกระเช้าหวายทำให้มั่นคงไปใบหนึ่ง. นางปราศจากยางอาย ให้ชายชั่วนั่งลงในกระเช้าหวาย แล้วแบกกระเช้าเข้าไปกรุงพาราณสี เที่ยวบริโภคอาหารอยู่ในโรงทาน.
    พระโพธิสัตว์ประทับเหนือคอคชสารที่ตกแต่งด้วยเครื่องอลังการ เสด็จถึงโรงทาน ทรงบริจาค<WBR>ทาน<WBR>ด้วยพระหัตถ์เอง แก่คนที่มาขอแปดคนบ้าง สิบคนบ้าง แล้วเสด็จกลับ. หญิงไม่มี<WBR>ยาง<WBR>อาย<WBR>นั้น ให้ชายชั่วนั่งในกระเช้าแล้วแบกกระเช้า ผ่านไปในทางเสด็จของพระราชา. พระราชาทอด<WBR>พระ<WBR>เนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามว่า นั่นอะไร. ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า ขอเดชะ หญิงปฏิบัติสามีคนหนึ่ง พระเจ้าข้า.
    ลำดับนั้น พระองค์รับสั่งให้เรียกนางมา ทรงจำได้ รับสั่งให้เอาชายชั่วออกจากกระเช้า แล้วตรัสถามว่า ชายนี้เป็นอะไรกับเจ้า. นางกราบทูลว่า เขาเป็นลูกของอาของหม่อมฉันเองเพคะ เป็นสามีที่พ่อแม่ยกหม่อมฉันให้เขาเพคะ. พวกมนุษย์ไม่รู้เรื่องราวนั้น ต่างพากันสรรเสริญหญิงผู้ไร้อายนั้น เป็นต้นว่า น่ารักจริง เธอเป็นหญิงปฏิบัติ<WBR>สามีดี. พระราชาตรัสถามต่อไปว่า ชายชั่วผู้นี้เป็นสามีตบแต่งของเจ้าหรือ. นางจำพระราชาไม่ได้ จึงกล้ากราบทูลว่า เป็นความจริงเพคะ.
    พระราชาจึงตรัสว่า ชายผู้นี้เป็นโอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสีหรือ เจ้าเป็นธิดาของพระราชาองค์โน้น มีชื่ออย่างโน้น เป็นชายาของปทุมราชกุมาร ดื่มโลหิตที่เข่าของเราแล้วมีจิตปฏิพัทธ์ในชายชั่วผู้นี้ ผลักเราตกลงในเหว บัดนี้ เจ้าบากหน้ามาหาความตาย สำคัญว่า เราตายไปแล้ว จึงมาถึงที่นี่ ตรัสว่า เรายังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วรับสั่งว่า ท่านอำมาตย์ทั้งหลาย พวกท่านถามเรา เราได้บอกพวกท่านไว้อย่างนี้แล้วมิใช่หรือว่า น้องหกองค์ของเราได้ฆ่าสตรีหกคนบริโภคเนื้อ แต่เราได้ช่วยชายาของเราให้ปลอดภัย พาไปยังแม่น้ำคงคาอาศัย อยู่ในอาศรมบท ได้ช่วยชายเลวคนหนึ่งที่ต้องราชทัณฑ์มาเลี้ยงดู. หญิงคนนี้มีจิตปฏิพัทธ์ในชายชั่วนั้น ผลักเราตกลงไปในเหวภูเขา เรารอดชีวิตมาได้ เพราะตนมีจิตเมตตา หญิงที่ผลักเราตกจากเขามิใช่อื่น คือหญิงชั่วคนนี้เอง และชายชั่วที่ต้องราชอาญาก็มิใช่อื่น คือคนนี้นี่แหละ.
    แล้วได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-

    หญิงคนนี้แหละคือหญิงคนนั้น แม้เราก็คือบุรุษคนนั้นมิใช่คนอื่น ชายคนนี้แหละที่หญิงคนนี้อ้างว่าเป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี ก็คือชายที่ถูกตัดมือ หาใช่คนอื่นไม่ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายควรฆ่าให้หมดเลย ความสัตย์ไม่มีในหญิงทั้งหลาย.

    ท่านทั้งหลายจงฆ่าชายผู้ชั่วช้าลามกราวกับซากผี มักทำชู้กับภรรยาผู้อื่นคนนี้เสีย ด้วยสาก จงตัดหู ตัดจมูกของหญิงผู้ปรนนิบัติผัวชั่วช้าลามกคนนี้เสียทั้งเป็นๆ เถิด.

    ในบทเหล่านั้น บทว่า ยมาห โกมาริปติโก มมนฺติ ความว่า หญิงนี้กล่าวว่า ชายนี้เป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี คือเป็นผัวตบแต่ง ก็คือหญิงคนนี้แหละ แม้เราก็คือบุรุษคนนั้นมิใช่อื่น. บาลีว่า ยมาห โกมาริปติ ก็มี. เพราะท่านเขียนบทนี้ไว้ในคัมภีร์ทั้งหลาย. ความก็อย่างเดียวกัน. แต่ในบทนี้พึงทราบความคลาดเคลื่อนของคำ. ก็พระราชาตรัสคำใดไว้ คำนั้นแหละมาแล้วในที่นี้. บทว่า วชฺฌิตฺถิโย ความว่า ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย ควรฆ่าให้หมด.
    บทว่า นตฺถิ อิตฺถีสุ สจฺจํ ได้แก่ ชื่อว่าความสัตย์ในหญิงเหล่านี้ไม่มีสักอย่างเดียว. บทว่า อิมญฺจ ชมฺมํ เป็นต้น ท่านกล่าวด้วยการลงโทษชายเหล่านั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ชมฺมํ คือ ลามก. บทว่า มุสเลน หนฺตฺวา ได้แก่ เอาสากทุบตีทำให้กระดูกหักเป็นชิ้นๆ. บทว่า ลุทฺทํ คือ หยาบช้า. บทว่า ฉวํ ได้แก่ คล้ายคนตาย เพราะไม่มีคุณธรรม. บทว่า นํ ในบทว่า อิมิสฺสา จ นํ นี้ เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ท่านทั้งหลายจงตัดหู และจมูกของหญิงนี้ผู้ปรนนิบัติผัวชั่ว ไม่มียาง<WBR>อาย เป็นคนทุศีล ทั้งๆ ยังเป็นอยู่.

    พระโพธิสัตว์ เมื่อไม่ทรงสามารถอดกลั้นความโกรธไว้ได้ แม้รับสั่งให้ลงอาญาแก่พวกเขาอย่างนี้ ก็มิได้ทรงให้กระทำอย่างนั้นได้ แต่ได้ทรงบรรเทาความโกรธให้เบาบางลง แล้วรับสั่งให้ผูกกระเช้านั้นจนแน่น โดยที่นางไม่อาจยกกระเช้าลงจากศีรษะได้ ขังชายชั่วนั้นไว้ในกระเช้า จนกระทั่งตาย.

    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก.
    เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันได้บรรลุโสดาปัตติผล
    พี่น้องทั้งหกในครั้งนั้น ได้เป็นพระเถระองค์ใดองค์หนึ่ง ในครั้งนี้.
    ภรรยาได้เป็น นางจิญจมาณวิกา
    ชายชั่วได้เป็น เทวทัต
    พญาเหี้ยได้เป็น อานนท์
    ส่วนปทุมราชา คือ เราตถาคต นี้แล.
    จบ อรรถกถาจุลลปทุมชาดกที่ ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2010
  4. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    อิอิ มาแว๊วววว...[​IMG]
    คิดว่า นางจิญจมาณวิกา คงทำบุญมาดีไม่น้อย อาจจะได้เคยทำบุญกับพระโพธิสัตว์
    พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า แต่เพราะขาดปัญญาจึงทำให้หลงทำก่อกรรม
    อย่างที่เคยอ่านเจอ ก็เคยมีชาติหนึ่งได้เกิดเป็นพระชายาของพระโพธิสัตว์ในพระชาติหนึ่ง
    แต่ก็คงไม่มีวาสนาทำให้จบไม่สวยดันไปหลงชายชู้และวางแผนทำร้ายพระโพธิสัตว์อีก
    เหมือนบุญมีแต่ขาดวาสนา ขาดปัญญา ก็เลยพาให้ชีวิตวิบัติทั้งๆที่มีคุณสมบัติดีติดตัวมาก
    เข้าข่ายมีบุญวาสนาได้อยู่ใกล้บัณฑิตแต่เห็นคนพาลเป็นมิตร เห็นบัณฑิตเป็นศัตรู

    เอาเรื่องชาดกมาให้อ่านค่ะ

    โห เพิ่งรู้ว่าได้ครองคู่กับพระโพธิสัตว์เนอะ วาสนาคงมาก
    หลบภัยพิจารณาดังนี้ พระโพธิสัตว์ คงละกามได้มาก
    แต่นางยังมีกามอยู่เต็มๆ เลยแพ้พ่ายกับอุปทานตัวเอง
    เลยไปมีชู้ อันนี้คิดเอาเองเนอะ
    และการวางแผนทำร้ายพระโพธิสตว์ เพราะอำนาจโมหะ
    คือหลงชู้ ได้ไหม แม้เรื่องราวของนางเหมือนข่าวยุคปัจจุบัน
    เฮ้อ อยู่คนเดียวดีกว่าเนอะป้าขวัญ แต่ป้าขวัญไม่ทันแระ แหะๆ และ แหะๆ

     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    เอ.....ตอนฟัง ชาดก รู้สึกว่า มีหลายเรื่องที่ มีผู้หญิงที่ชี้ว่า กลับมาเกิดเป็น
    นางจิญจามานวิกา....แต่พอถามอากู๋ อากู๋บุ้ยใบ้มาแค่ เรื่องเดียวคือ อมิตตดาด๊าดา

    และ อรรถกถาบางส่วนระบุความคล้ายคลึงกันของ พระเทวทัต กับ นางจิญจมานวิกา
    นั้นเหมือนกันตรงที่ ดีหลายๆ...แต่ กลับตั้งจิตไว้ผิด หรือ เสียตรงอธิจิต หรือการ
    อธิษฐาน

    ก็ถ้า เดาเอาจากบุพกรรมของ นางอมิตดาด๊าดา ก็พบว่า กรรมดีที่ส่งผลให้สวยงาม
    นั้น ก็คือ การเคารพต่อผู้ถือพรต(ชูชก) และที่เด่นอีกข้อคือ การกตัญญูยิ่งต่อพ่อแม่
    ตามท้องเรื่อง พ่อแม่อมิตตดาด๊ดาดายกลูกสาวให้ชูชกเพื่อใช้หนี้ ซึ่งก็ไปด้วยดีและยัง
    ปรนิบัติด้วยดี

    แต่....ไม่มีการกล่าวถึงการตั้งใจไว้ผิด อันนี้ก็คงต้องเดาจาก ธาตุกตัญญู ซึ่งก็คง
    จะมีต่อสามีที่ตายลงเพราะเผลอทานอาหารมาก(อาหารประเภทแปรเป็นสารวัตถุระเบิด)
    จึงค่อนข้างตายอนาถ ก็ไม่แน่ว่า พอทราบข่าวการตายอนาถก็อาจจะ เกิดการอธิษฐาน
    ที่จะตามทำร้าย

    อีกเรื่องนี่ ไม่แน่ใจ ที่พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นเจ้าชาย และมีชายาคือนางจิญจมานวิกา
    ที่แสนรัก ถึงขนาดเฉือนเนื้อ และเลือดให้เป็นอาหารประทังชีวิตแก่ชายา แต่กลับ
    เก็บความรังเกลียดที่ต้องกินเนื้อและเลือดนั้นไว้ในใจ คงโดนบังคับให้กิน และคงเพราะหิว
    ด้วย ไม่มีทางเลือก ทำให้มีใจออกห่าง(งอลสุดๆ) แล้วโดนพระเทวทัตมาอาศัยช่องเข้าทำร้าย
    ตามอธิษฐาน....ชาดกนี้ พอชี้ได้ว่า มีบุญเยอะ และ ต้องถือว่าทำร่วมๆกันกับพระโพธิสัตว์
    มาหลายชาติ จึงได้แต่งงานกันก็มี

    ถ้าเอาเท่านี้ ก็น่าจะ ทำบุญร่วมกันมากับพระพุทธองค์นี่แหละ บวกกับ ความกตัญญูยิ่ง
    บวกกับ ความที่ไม่เลือกที่รักมักที่ชังแต่เน้นหน้าที่สมบูรณ์(ชี้ให้เห็นบารมีได้หลายตัวที่ทำมา
    เยอะ) แต่มาเสียเอาตรง ตั้งจิตไว้ผิด คือ

    อธิษฐานบารมีมีมาก แต่เอาไปใช้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

    ส่วนชาติสุดท้ายนั่น ที่ไปตู่พระพุทธองค์ว่ามีลูกด้วย นั่นก็เพราะ กตัญญูต่อพ่อของตน
    ที่บังเอิญเป็นเดียรถีย์ นางอาสาตอบแทนคุณพ่อก็เลยมาปรักปรำพระพุทธองค์(จริงก็มี
    อธิษฐานจิตที่ตั้งไว้ผิด เป็นเหตุด้วย)

    * * * *

    เอ้า ดีแหะ ได้ เควันจมานวิกา มาแสดง ชาดกเรื่องที่สองพอดี :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2010
  6. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    ขอบคุณ หลายๆเด้อ น้องทั้ง 2ที่ให้ข้อมูลดีๆื เดี๋ยวต้องอ่านซ้ำของ K.kwan อีกรอบแบบว่าชอบน่ะ หรือว่ากลัวจำไม่ได้ กันแน่ว๊าาาาาา
     
  7. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    ทำไม คอมเราอนุโมทนาไม่ได้อ่ะ ออกมาอนุโมทนากับน้องaonlin เอ้ยไม่ใช่ค่ะ กับท่านเอกวีร์ ต่างหาก เผลออีกแหละเรา เดียวโดนด่าทางPm อีก อิอิอิ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ...........[​IMG]
    เฮ้อ อยู่คนเดียวดีกว่าเนอะป้าขวัญ แต่ป้าขวัญไม่ทันแระ แหะๆ และ แหะๆ

    อิอิ คนที่ไม่ทันอะ สามีป้าขวัญ อิอิ และ อิอิอิ...
    เพราะทุกวันนี้มันเป็นแบบนี้อะ ...ประจำ...ไม่ค่อยจะเชื่อฟังท่านซะมีเอาซะเรย...
    ประมาณว่า ... โคตรรรรรรร...ดื้อ.อิ๊บอ๋าย..เรย...(ทั้งแม่ทั้งลูก)...อิอิ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ป้าขวัญกะลูก....>>[​IMG]

    คุณซะมี...>> [​IMG]

    อิอิ และ อิอิอิ... เควันจมานวิกา รายงาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2010
  10. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    รู้สึกว่าในเวสสันดรชาดกมีกล่าวถึงเกี่ยวกับบุพกรรมของนางอมิตดาไว้ว่า ชอบนำดอกไม้ไปถวายพระ แต่บางทีไม่เลือกสรรให้ดีเอาดอกไม้ใกล้เหี่ยวไปถวายพระ ด้วยกรรมที่ถวายดอกไม้ทำให้เกิดมามีรูปกายที่งดงาม แต่การไม่เลือกเอาดอกไม้เก่าๆไปถวาย ทำให้ได้สามีแก่อย่างชูชก
    นางจิญจามานวิกาและเทวทัต ในชาติที่ไม่เจอพระโพธิสัตว์ก็ทำบุญทำทานไปตามประสา แต่ถ้าเิกิดมาเจอพระโพธิสัตว์ทีไรก็ต้องหาทางทำร้ายเสมอ ก็เพราะกรรมบีบคั้นที่เกิดจากแรงอาฆาตที่ไม่ยอมปล่อยวาง ซึ่งต้นเหตุของการจองเวรก็มาจากเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
     
  11. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [​IMG]แด่...แมงสาบสาว ผู้มีจิตวิญญาณอันเสรี จาก อิอิ และ อิอิอิ...

    พี่แดง ขรา ...black_pig
    บ่ต้องห่วงน้องหลบ เขามีวิชาแปลงร่างได้สารพัดนึก ในอึดใจเดียว อิอิ
    จะว่าไป น้องแมงสาบ ก็น่าเอ็นดูดีนะคะ ไม่ลองไม่รู้ จินตนาการอย่างไร ก็ไม่สู้สัมผัสแล้วรู้เอง
    เนาะ


    เรื่องของ แมลงสาบคุยกัน

    <!-- Main --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=left bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>

    แมงสาบรุ่นเยาว์: พ่อคับ... เล่าเรื่องคุณปู่ให้ผมฟังหน่อยเด่ะ

    แมงสาบชรา: ก็ได้.. ก็ได้.. แต่แกฟังแล้วต้องเข้านอนนะ ห้ามโยเย...



    เรื่องมันก็มีอยู่ว่า....

    (แมงสาบชรา มองไปบนฟ้า... รำลึกถึงเรื่องราว...)



    ครั้งนั้นปู่ของแกยังเป็นแมงสาบวัยรุ่น แกเที่ยวเดินทางยังที่ต่างๆ ทั่วโลก

    จนวันนึงแกไปพบกับแมงสาบรุ่นสาว... สวย...หัวเป็นสีเหลืองเข้ม...

    ก็คือย่าของลูกนี่แหละ...

    ไปเจอกันที่อเมริกา โน่น...

    ยุคนั้นเราไปขุดทองที่นั่นกันเยอะ...เป็นโรบินฮู้ดน่ะ...



    ปู่กับย่า ครองรักกันอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง...

    ประมาณสองเดือนก็มีลูกเล็กๆ มากมาย หนึ่งในนั้นก็มีพ่อด้วยตัวหนึ่ง...

    ปู่แกเป็นแมงสาบที่แข็งแรง ห้าวหาญ และมีจิตใจที่เป็นอิสระ...เป็นพ่อที่ดี...



    วันหนึ่ง แกมัวแต่กินเศษช๊อกโกแล๊ต ในกระเป๋าเจ้าของบ้านจนเพลิน

    ก็เลยติดกระเป๋าไปที่ทำงาน...

    ย่าแกพยายามเกาะชายกางเกงเจ้าของบ้าน

    เพื่อตามปู่ไปในวันรุ่งขึ้น...

    แต่มันก็สายเกินไป...

    ลุงแดนนี่ (แมงสาบอเมริกัน) บอกว่า...

    ปู่ของแกโดนเหยียบติดรองเท้าไปแล้ว ให้ย่าทำใจซะ คงไม่ได้พบกันอีก...

    ย่ากลับบ้านมาด้วยดวงใจที่แหลกสลาย...แกระทมราวกับชีวิตจะหาไม่...



    แต่แล้ว... วันนึงจึงได้รู้ว่าปู่ยังไม่ตาย...

    แกติดอยู่ในร่องของพื้นรองเท้าของชายผู้หนึ่ง...

    จังหวะที่ถูกเหยียบ แกพยายามหดตัวอย่างสุดแรง...

    ตับไตไส้พุงแกถูกบีบ...พอแกปล่อยตัวจากการหด แกก็ติดแหง็กในซอกรองเท้า...

    ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก...

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=left bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>



    วันที่ชายเจ้าของรองเท้าเดินทางไปถึงที่หมาย...

    แกสวดมนต์วิงวอน ขอให้พระผู้เป็นเจ้าเมตตาแก่ดวงวิญญาณของแก...

    ขอให้มอบพลังเฮือกสุดท้ายให้แก...แกจะกลายเป็นตำนาน...

    วินาทีที่ชายเจ้าของรองเท้าเปิดประตูออก...

    แกถูกแรงบีบอัดมหาศาลจากรอบตัว...

    แกต่อต้านมันไว้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง

    ด้วยพลังแห่งความรักที่มีต่อครอบครัว...

    ต่อลูกน้อยๆ ของแก ชายเจ้าของรองเท้า ก้าวออกมาจากประตู



    เท้ายังลอยไม่แตะพื้น...เท้าที่มีปู่ของแกติดอยู่...

    ลอยเชื้องช้าอยู่กลางอากาศ...

    ปู่แกรวบรวมจิตใจ...ยืดเท้าออกเต็มที่...

    ยืดออกมาจนพ้นจากพื้นรองเท้านั้น...

    เท้าแกสัมผัสพื้น...ก่อนเจ้าของรองเท้าเพียงเสี้ยววินาที...

    แล้วร่างของแกก็แหลกสลายไปกับอากาศธาตุ...

    เป็นฝุ่นผงธุลี...ไปสู่อ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้า...ชั่วนิรันดร...



    เช้าของการถ่ายทอดสดทางทีวี วันนั้น...

    หากใครสังเกตดีๆ...รอยเท้าของ นีล อาร์มสตรอง ที่เหยียบลงบนพื้นของดวงจันทร์

    จะมีรอยขีดเล็กๆ อยู่หลายขีด...

    นั่นล่ะ...รอยเท้าของสิ่งมีชีวิตแรก...ที่เหยียบลงบนดวงจันทร์...

    รอยเท้าของปู่แก...แมงสาบผู้มีจิตวิญญาณอันเสรี...

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>



    สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:

    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR>
    <TR><TD></TD></TR>
    <TR><TD></TD></TR>

    </TBODY></TABLE>
    From: http://variety.teenee.com/foodforbrain/1906.html<!-- End main-->
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bloglover&month=05-2010&date=12&group=8&gblog=276
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2010
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ดู...ดู๊...ดู..ดูเธอว์ทำ ทำไมถึงทำลงไปด้าย...อิอิ

    จากแม่นาง จิณจามานวิกา ทำกรรมอะไรมาถึงเกิดมาดีมี รูปสวย รวยทรัพย์ (และเคยได้สามีหล่อ อิอิ)

    ตอนจบ ไหงกลายเป็น น้องแมงสาบโมเอะ ปายด้าย หนอ เรา...

    สรรพสิ่งไม่เที่ยงหนอ สังขารไม่เที่ยงหนอ ภพภูมิไม่เที่ยงหนอ

    (พี่แดง...ขรา...รัก ภพภูมิ แมงสาบน้อย ขึ้นมามั่ง รึยังคะ คริ คริ...)

    [​IMG]....จาก เควันมานวิกา รายงานสด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2010
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    แวะเอาธรรมมาฝากคุณพี่ อันนี้เป็นคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งในเว็บค่ะ ที่น้องชอบมากอันหนึ่ง
    -----------------------------------

    ธรรมหมุนรอบทิศ ธรรมไม่ติดกรอบ

    ไม่ทอดกรอบ จนมันกรอบ กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ
    แห้งแล้ง ตายซาก กลายเป็นกรงขังจิตวิญญาณของท่าน

    จงก้าว ออกมา จากกรอบ จากคอก มาอยู่นอกคอก

    นอกคอก แบบ มี สติ สมาธิ ปัญญา อามณ์ขันบ้าง นะ
    ------------------------------------
    [​IMG]

    โดย มดเอ๊กซ เจ้าเก่า อิอิ
    BlogGang.com : : itoursab :<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    [​IMG]



    ช่วยแมงสาบด้วยติดบนดวงจันทร์ โดนกระต่างเพ่งกสิญเง้อ
     
  17. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    <TABLE class=bordercolor cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 1px; PADDING-LEFT: 1px; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 1px"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=windowbg2><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">ภาคผนวก

    เรื่องจิณจมาณวิกา



    บุคคลผู้คำสัตย์เสียแล้ว และชอบพูดแต่มุสา มีปรโลกอันข้ามเสียแล้ว จะไม่ทำบาปนั้นเป็นอันไม่มี

    ธรรมอันเอกในที่นี้ท่านหมายเอาสัจจะ หมายความว่า คนไม่มีสัจจะมักพูดเท็จ ท่านว่าคนใดพูด ๑๐ คำ จะหาจริงสักคำหนึ่งก็ไม่ได้ คนนั้นชื่อว่ามักพูดเท็จ

    ข้อว่า มีปรโลกอันข้ามเสียแล้ว นั้นคือไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า จะไม่ทำบาปเป็นไม่มี

    สัจจะในที่นี้ท่านหมายเอาสัจจวาจา คือความจริงทางวาจา หมายความว่าพูดจริง อย่างไรก็ตาม คำจริงที่นักปราชญ์ท่านสรรเสริญนั้นต้องเป็นความจริงที่มีประโยชน์ และถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ดังภาษิตว่า

    สจฺเจ อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา
    สัตบุรุษทั้งหลาย ตั้งอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม คือถูกต้อง

    ดังนั้นสัจจะที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร และไม่ถูกต้อง แม้จะจริงปราชญ์ท่านก็ไม่สรรเสริญ

    คำเท็จแต่ผู้พูดมุ่งประโยชน์ และสำเร็จประโยชน์อย่างดีทั้งแก่ผู้พูดและผู้ฟัง ท่านให้อภัย ไม่ถือเป็นบาป เช่น หมออาจกล่าวเท็จแก่คนไข้ของตนเพื่อมิให้คนไข้ของตนเสียกำลังใจ เพื่อให้มีกำลังใจโรคจะได้หายเร็ว เพราะท่านว่ากำลังใจของคนไข้สำคัญกว่ายา หมอจึงต้องให้กำลังใจแก่คนไข้เสมอ แม้รู้ว่าต้องพูดเท็จบ้างก็ยอม

    การพูดเท็จที่มีโทษมากทั้งทางโลกและทางธรรมก็คือการพูดเท็จที่หักรานประโยชน์ผู้อื่น ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ยกย่องตนเกินความจริง

    คนสมัยโบราณถือสัจวาจาเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะกษัตริย์ จึงพูดกันติดปากว่า “กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ”

    คนมักพูดเท็จทำให้คนอื่นขาดความเชื่อถือ พอถึงคราวสำคัญจะต้องพูดจริงขึ้นมาบ้าง คนอื่นก็ไม่เชื่อถือ ได้รับอันตรายเองอย่างเรื่องหมาป่ากับเด็กเลี้ยงแกะ

    ในทางศาสนาท่านว่า สัจจะเป็นคำไม่ตาย ข้อนี้เป็นธรรมเก่า (สจฺจํ เว อมตา วาจา เอส ธมฺโม สนนฺตโน) คนพูดจริงนำประโยชน์มาให้แก่ตนและคนทั้งหลาย ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส ทำคนที่เลื่อมใสอยู่แล้วให้เลื่อมใสยิ่งๆ ขึ้นไป อย่างเช่นอธิมุตตกสามเณร ให้สัจจะกับโจรไว้แล้วก็รักษาสัจจะจนโจรนั้นเกิดความเลื่อมใส อีกท่านหนึ่งคือ มหาสุตโสมบัณฑิตผู้ทรงให้ปฏิญญากับโจรโปริสาทแล้วรักษาสัญญานั้นมิได้หวงแหนรักษาชีวิตเลย ท่านเหล่านั้นยอมสละชีวิตเพื่อรักษาคำสัตย์ ในที่สุดทำให้โจรโปริสาทเลื่อมใสได้

    บัณฑิตย่อมถือว่า การนิ่งเสีย ไม่ยอมพูด ประเสริฐกว่าการพูดเท็จเพื่อหักรานประโยชน์ผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น

    คำสัตย์ท่านถือเป็นคำสุภาษิตอย่างหนึ่ง ดังที่พระศาสดาทรงแสดงไว้ในสุภาษิตสูตร ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกายว่า

    “วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นสุภาษิต คือ ๑. พูดถูกกาล ๒. พูดจริง ๓. พูดไพเราะอ่อนหวาน ๔. พูดมีประโยชน์ ๕. พูดด้วยจิตเมตตา”

    ส่วนในสุภาษิตสูตร ตติยวรรค แห่งสุตตนิบาต ทรงแสดงลักษณะแห่งคำสุภาษิต ๔ คือ ๑. พูดดีจริง ๒. พูดเป็นธรรม ๓. พูดคำน่ารักน่าพอใจ ๔. พูดคำซื่อสัตย์

    จะเห็นว่าทั้ง ๒ แห่งขาดคำสัตย์ไม่ได้ เพราะคำสัตย์เป็นลักษณะสำคัญของวาจาสุภาษิต คำเช่นนั้นไม่ทำตนและผู้อื่นให้เดือดร้อน

    นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า คนพูดเท็จนั้นเป็นคนสิ้นคิด คือไม่สามารถเอาความจริงมาพูดได้ เป็นคนขลาดเพราะไม่กล้าพูดความจริง อาจมีคนชอบพูดเท็จแย้งว่าคนพูดความจริงต่างหากเล่าเป็นคนสิ้นคิด เพราะไม่สามารถหาคำเท็จมาพูดได้ ตามธรรมดาความจริงเป็นสิ่งมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องเที่ยวแสวงหา แต่ความเท็จจำเป็นต้องเสกสรรปั้นแต่งขึ้น ใครจะมาพูดความจริงก็พูดได้ทันทีตามที่รู้ที่เห็น เพราะฉะนั้นพวกเด็กๆ ก็พูดความจริงได้ แต่คนพูดเท็จเก่งต้องเป็นคนฉลาดมาก เพราะสามารถพูดเรื่องไม่จริงให้คนเห็นว่าจริงได้ แต่เป็นความฉลาดที่เป็นโทษเป็นภัย

    อย่างไรก็ตามคนมักพูดเท็จนั้น จะต้องมีความจำดีจึงจะเท็จไปได้ตลอด คือจะต้องคอยจดคอยจำว่าเท็จไว้อย่างไรบ้าง มิฉะนั้นจะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอน เมื่อมีผู้จับได้บ่อยเข้า ความเคารพเชื่อถือในบุคคลนั้นก็หมดไป เหลือแต่ความรังเกียจเหยียดหยามหัวเราะเยาะเล่น จะพูดจาจริงจังสักครั้งหนึ่งคนทั้งหลายก็เห็นเป็นเท็จไปอีก ตกลงเสียคนไปทั้งชาติ
    ____________________________________ ​




    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5039 vAlign=bottom></TD><TD class=smalltext vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา
    อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 1px; PADDING-LEFT: 1px; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 1px"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=windowbg><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD style="OVERFLOW: hidden" vAlign=top width="16%" rowSpan=2>

    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-4533052513787984";/* 120x600, ถูกสร้างขึ้นแล้ว dddd */google_ad_slot = "9900326374";google_ad_width = 120;google_ad_height = 600;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: medium none; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 120px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-BOTTOM: medium none; POSITION: relative; HEIGHT: 600px"><INS id=google_ads_frame5_anchor style="BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: medium none; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 120px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-BOTTOM: medium none; POSITION: relative; HEIGHT: 600px"></INS></INS>​




    </TD><TD vAlign=top width="85%" height="100%"><TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center>



    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE><HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>ส่วนข้อว่า ผู้มีปรโลกอันข้ามเสียแล้ว นั้นคือผู้ไม่เชื่อปรโลก ไม่เชื่อว่าชาติหน้าจะมีจริง ไม่เอาใจใส่ต่อเรื่องชาติหน้า เข้าทำนองว่า “ขอให้มีความสุขสบายในชาตินี้ ชาติหน้าจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน”


    อรรถกถาแห่งพระคาถานี้แก้ว่า “ผู้มีปรโลกอันปล่อยเสียแล้ว (วิสิสฏฺฐปรโลกสฺส)” ตีความว่าไม่เอาใจใส่ต่อปรโลกคือโลกหน้า เทียบคำว่า วิสฺสฎฺสมาจาโร - ผู้มีความประพฤติอันปล่อยแล้ว คือไม่เอาใจใส่ต่อความประพฤติ ไม่มีมารยาทอันดีงาม ปล่อยกิริยาวาจาตามสบาย เป็นคำที่พระพุทธเจ้าให้เรียกพวกนักบวชนอกพุทธศาสนาบางพวก เช่น พวกเปลือยกายไว้ผมยาวไม่สระไม่ล้าง เช็ดอุจจาระด้วยมือ เป็นต้น นักบวชพวกนี้เรียกว่ามีสมาจารอันปล่อยเสียแล้ว



    ฉบับอังกฤษของ ดร.ราธกฤษนัน แปลคำ “วิติณฺณปรโลกสฺส” ว่า Scoff at another world คือเยาะเย้ยหรือหัวเราะเยาะโลกอื่น รวมความว่าไม่เชื่อโลกอื่น ใครเชื่อเข้าพวกนั้นก็หัวเราะเยาะวาเป็นคนโง่ ยอมเชื่อสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่กล้าทำความชั่วบางอย่างเพราะเกรงโทษในปรโลก เป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นเอารัดเอาเปรียบ



    ในสมัยพระพุทธเจ้า ก็คงมีนักคิดพวกนี้เหมือนกัน สมัยนี้เรียกนักคิดพวกนี้ว่าพวกจารวาก (Charvaka) เป็นพวกวัตถุนิยม



    บรรดาปรัชญาอินเดียนั้น มีจารวากสายเดียวเท่านั้นที่ได้รับนามว่าเป็นปรัชญาวัตถุนิยม (Matarialism) ถือว่าวัตถุอย่างเดียวเท่านั้นจริง เรื่องจิต เรื่องวิญญาณ เป็นเรื่องเหลวไหล ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เป็นผลของวัตถุ หมายความว่ามันมีขึ้นเพราะมีกาย จิตหรือวิญญาณนั้นว่าโดยตัวของมันเองแล้วไม่มี มนุษย์และสัตว์จึงเป็นวัตถุซึ่งประกอบขึ้นจากธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อตายแล้วก็เป็นอันหมดกัน ไม่มีโลกหน้า ไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีนิพพาน



    เรื่องการทำบุญให้ทานเป็นเรื่องของคนโง่ ถูกหลอกลวงให้ประพฤติดีเพื่อบังเกิดประโยชน์แก่ผู้สอนนั้นเอง เรื่องพระเจ้าต่างๆ เป็นเรื่องเพ้อฝันหาสาระอันแท้จริงอะไรไม่ได้ เป็นเรื่องของคนโง่หลอกคนโง่อีกชั้นหนึ่ง



    เพราะความเชื่ออย่างนี้ จารวากจึงเห็นว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ จงสนุกเพลิดเพลินให้เต็มที่ มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย กินอาหารดี แม้จะต้องเป็นหนี้เป็นสินเพราะกินอย่างดีก็ควรทำ เขามีสุภาษิตของเขาเองว่า “ยาวชีวมฺสุขมฺชีเว อิณํ กตฺวา ปิเว ภสฺมิกตสฺส เทหสฺส ปุราคมนํ กุโต เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ขออยู่อย่างมีความสุข แม้จะต้องกู้หนี้ยืมสินมากินก็ยอม (พึงกู้หนี้มากินนมส้ม) เพราะเมื่อร่างกายกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วจะกลับมาอีกไม่ได้”



    จารวากเห็นว่า ความสุข แม้จะยังคลุกเคล้าอยู่ด้วยความทุกข์ แต่มันก็เป็นสิ่งดีงามประการเดียวในชีวิตนี้ เพราะฉะนั้นจึงควรจับฉวยเอาไว้ การยอมทนทุกข์ในชาตินี้เพื่อความสุขในชาติหน้านั้นเป็นความเขลายิ่งไม่มีคนฉลาดคนใดยอมทิ้งข้าวเปลือกเพราะเห็นว่ามันมีเปลือก ทิ้งปลาเพราะเห็นมันมีก้าง เป็นต้น ความสุขและความทุกข์ย่อมคลุกเคล้ากันไป สุขโดยส่วนเดียวนั้นไม่มีทางจะหวังได้



    จารวากยังให้คำคมไว้อีกว่า “นกพิราบในวันนี้ ดีกว่านกยูงในวันพรุ่งนี้” คือให้แสวงหาความสุขเสียในวันนี้ ชาตินี้ เท่าที่สามารถจะหาได้ อุดมคติของชีวิตคือความสุขความพอใจ



    แต่พอมาถึงปัญหาว่า ควรจะแสวงหาความสุขอย่างไร จารวากก็ยอมรับเหมือนกันว่า การประกอบกรรมดีเป็นทางนำไปสู่ความสุข จารวากยังยอมรับศีลธรรมสากลของโลกอยู่ ฯลฯ



    ส่วนพระพุทธศาสนา มีทรรศนะไม่ลงรอยกับจารวากหลายประการ เช่น พระพุทธศาสนาสอนให้ถือธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดแม้จะต้องประสบทุกข์เพราะการประพฤติกรรม ก็ขอให้ยอม ให้ยอมสละทุกอย่างเพื่อธรรมดังภาษิตว่า



    “ธนํ จเช องฺควรสฺส เหตุ


    องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน


    องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ


    จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรนฺโต”


    แปลว่า “บุคคลพึงยอมสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เมื่อระลึกถึงธรรม พึงยอมสละทั้งอวัยวะ ทรัพย์ และชีวิต” รวมความว่าให้ยอมสละทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อรักษาธรรมไว้ จะกล่าวไปไยถึงความสุขเพลิดเพลินเล็กๆ น้อยๆ



    จารวากไม่เชื่อโลกหน้า ปฏิเสธเรื่องการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย แต่พระพุทธศาสนายอมรับว่า โลกหน้ามีอยู่จริง การทำบุญอุทิศให้ผู้ตายมีผลจริง นรกสวรรค์มีอยู่จริง



    จารวากเน้นหนักในเรื่องหาความสุขเพลิดเพลินให้แก่ตน แต่พระพุทธศาสนาเห็นว่าการทำเช่นนั้นเป็นความประมาทมัวเมาเกินไป



    จารวากให้หาความสุขเสียในวันนี้ ชาตินี้ แต่พุทธศาสนาเห็นว่าชีวิตในชาตินี้น้อยเกินไป เหมือนศาลาหยุดพักชั่วคราว ชีวิตอันยาวแท้จริงนั้นอยู่ในโลกหน้าคือนรกหรือสวรรค์ จึงควรยอมสละความสุขเล็กน้อยและในระยะสั้น เพื่อความสุขอันไพบูลย์ยาวนานในโลกหน้า เหมือนยอมเสียภาชนะดินเพื่อได้ภาชนะทองคำ



    จารวากเห็นว่า วิญญาณหรือจิตเป็นผลผลิตของร่างกาย แต่พุทธศาสนาเห็นว่า กายเป็นผลมาจากวิญญาณ คือวิญญาณเป็นผู้สร้างร่างกาย ตามหลักของปัจจยาการที่ว่า วิญญาณํ ปัจฺจยา นามรูปํ (นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย) จิตและกายเป็นคนละอย่าง แต่อาศัยกัน พระพุทธศาสนาทั้งสุญญวาท วิญญาณวาท และเถรวาท เป็นจิตนิยมมากกว่าวัตถุนิยม เห็นว่าจิตมีความสำคัญกว่ากาย ธรรมทั้งหลายมีจิตเป็นหัวหน้าสำคัญที่จิต ตรงกันข้ามกับจารวากทีเดียว ถ้าถึงคราวจะต้องสูญเสีย พุทธศาสนายอมให้สูญเสียชีวิตเพื่อรักษาคุณภาพที่ดีของจิตไว้



    บุคคลผู้ไม่เชื่อโลกหน้าทำบาปได้ง่ายกว่าผู้เชื่อ เพราะเห็นว่าถ้าเอาตัวรอดไปได้ในโลกนี้ก็ปลอดภัย แต่คนเชื่อโลกหน้า แม้จะทำชั่วในที่ลับ ก็เกรงภัยในโลกหน้า จึงไม่กล้าทำ ถ้าทำก็ทำอย่างหวาดหวั่นต่อผลในโลกหน้า



    เมื่อทำความดีก็มีความมั่นคงกว่าคนไม่เชื่อโลกหน้า เพราะมีความหวังว่า หากกรรมนั้นยังไม่ให้ผลในโลกนี้ ก็จะให้ผลในโลกหน้า



    ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า คนไม่มีสัจจะจะมักพูดเท็จ ไม่เชื่อปรโลก จะไม่ทำบาปเป็นไม่มี


    จบบริบูรณ์

    เอามาฝากจ้า เดี่ยวไปหาอีกก่อง แป๊บๆ







    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?format=nanxnan&output=html&ea=0&flash=7.0.19.0&dt=1287646053412&shv=r20101007&jsv=r20101020&correlator=1287646053428&frm=1&adk=4200934904&ga_vid=1948150511.1287548697&ga_sid=1287645307&ga_hid=659816478&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=33&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1004&bih=586&ifk=1164997907&fu=4&ifi=1&dtd=125" frameBorder=0 width=undefined scrolling=no height=undefined allowTransparency></IFRAME><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
  18. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    แฮะๆๆ K.kwan ไอ้การตูนที่ส่งมาให้ ดูไปยิ้มไป แต่ใจยังไม่ถึงเลย ที่จะรักภพภูมิแมลงสาป
    พากเพียรมาหลายปีอยู่น๊า ถ้าได้ไปเกิดเป็นแมลงสาปก็จะต้องทำใจ แต่จะต้องขอพร.......อารัยสักอย่าง...........ขอให้น้องขวัญไปเป็นโมอะ......ให้หลบภัยเป็นโมเอะ...........ส่วนพี่จะเป็นพี่ปีเตอร์
    ไปกันใหญ่....ไปฟังธรรมน้องหลบภัยกันดีกว่า เนอะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • dangcarry.jpg
      dangcarry.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.8 KB
      เปิดดู:
      185
  19. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    ขอความช่วยเหลือ น้องๆหน่อย น่ะ
    พี่อยากเอารูปมาลงบ้างทำยังไง พยายามทำหลายทีแล้วทำไม่ได้ ทีทำข้างบนเรียกเค้ามาทำให้น่ะ
    สอนให้หน่อยจ๊ะ
    ขอบคุณงามๆค่ะ
     
  20. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    คืนนี้จะเอาเรื่องที่หลบภัยโพสต์มา เล่าให้หลานๆฟังด้วยน่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...