มันพาไปส่วนสุดของโลก
จะเป็นอะริยต่องไปทางมรรค
ปกิณณกะธรรม
ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย กระร่อน, 22 กรกฎาคม 2020.
หน้า 221 ของ 368
-
-
สติปัฏฐาน ทุกหมวด อาศัยการรู้เฉยๆ หมด ยันปลาย -
เจอหน้ากะโกรธใหม่เดียวกะหายเอง
รู้แล้วละ
ละแล้วดับ
ดับแล้วกะแจ้ง
แจ้งแล้วกะพบทาง
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจสี่
ไม่ใช้รู้เฉยๆๆ -
แต่เวลา เจริญสติปัฏฐาน เขารู้เฉยๆ ในสภาวะนั้น เพื่อเอามาสร้างสติ
สติเกิด มันจึงพ้นเจตนา สามารถละกิเลสออกเป็นสมุทเฉทได้ -
#เดี๋ยวก็ฮู้ ขาดยา แล้ว กาว้อง จะหายโกะเอง เป่า -
-
-
เคยเลิกมา5ปีติดแล้ว
ศีล5ถือว่าใช้ได้เลยไม่ขาดมีทะลุนิดหน่อย -
ตลอดเวลา10ปีนี้เสียเวลากะพวก18มงกฏมาก
คุยไม่รู้เรื่องจริงๆ
พอถามหาค่าเสียหายเงียบเป็นป่าวสาก -
เป็นของเก่าหมด ที่เกิดขึ้นแล้ว
สัญญาเกิดก่อน ญาน ปัญญาเกิดทีหลัง
ในวิธีสติปัฏฐาน มัน มีความเป็น อนิจจา อนัตตา ทุกขัง อยู่แล้ว
เพราะอะไร
เพราะ ว่า มันอยู่ที่กาย กับใจ
เป็นหัวใจในการเจริญสติปัฏฐานอยู่แล้ว
ฉะนั้น เมื่อเราเอากายกับใจ มาเจริญสติ
มันก็คือ เอาพวก อนิจจา อนัตตา ทุกขัง
มาเจริญไปในตัวอยู่แล้ว
การเกิดปัญญาเห็นแจ้ง จิตมันจะเป็นผู้ทำ
การ ตัดสิน ใน อนิจจา อนัตตา ทุกขัง ในตัวอยู่แล้ว
อยู่ที่ ว่า มันจะ ตัดสิน
ใน ตัวใด ตัวหนึ่ง อนิจจา อนัตตา ทุกขัง
ไม่ใช่ ว่า
มัน ต้อง ตัดสิน เรียงกันไป ทุกขัง อนิจจา อนัตตา
หรือ อนิจจา อนัตตา ทุกขัง ครบทั้งสามตัว แบบนี้เข้าใจผิด
เพียงแต่ จิตมันตัดสินผล ตัวใดตัวนึง มันก็แจ้งโลกแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเรียก สามตัว
ท่านจึงได้ บัญญัติ ว่า
ธรรม สามประการ ที่ควรเจริญ คือ
สุญญตสมาธิ อันนี้ คือผลของการ
ที่จิตเห็น ตัดสินผลเป็นอนัตตา
อนิมิตสมาธิ อันนี้ คือ ผลของการ
ที่จิตเห็น ตัดสินผลเป็น อนิจจัง
อัปปนิหิตสมาธิ อันนี้ คือผลของการ
ที่จิตเห้น ตัดสินผลเป็นทุกขัง
ทีนี้
วกมาดู ในวิธี สติปัฏฐาน
ท่านสอน โดยการ รู้ตาม กาย ใจ
นั่นแสดงว่า มันเกิดขึ้นมาแล้ว จึงรู้ตาม
ก็คือ ใช้สัญญานั่นแหล่ะ
สัญญาพวกนั้น
มันก้แสดง อนัตตา อนิจจา ทุกขัง ในตัวอยุ่แล้ว
เพราะมัน คือ กาย กับ ใจ งงม๊ะ
และการเจริญ
มันก้ อาศัย ลักษณะ ที่เรียก ว่า รู้เฉยๆ สะด้วย
รู้เฉยๆ ในการรู้ตามกายใจ
อบรมจนเป็น ภาวิตายะ อาเสวิตายะ พะหุลีกะตายะ
จาก การรู้ตาม จน เป็น รู้เท่าทัน
ไม่มีรู้ก่อน มีแต่ รุ้เท่าทัน ปัจจุบันทัน ที
ผลของการรุ้เท่าทันปัจจุบันทันที ไม่มีรอให้วาง
ทิ้งตู้มทันที ถามตัวเองซิ ต้องมีใครบอกมั้ย
ฉะนั้น การที่มีใครบอก มันจึงเรียกว่า รู้ยังไม่จริง -
ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็ไม่ต้องพยายามไปบิ้วท?ให้เห็นทุกขัง อนิจจังเพิ่มใช่มั้ยคะ -
ชื่อ ว่า เป็นผุ้เดินตามทาง อริยะมรรค
ทำไมถึงเรียกว่า อริยะมรรค
เพราะว่า พระอรหันต์ทุกประเภท
เดินทางผ่านสายเดียวกันนี้ทั้งนั้น
คนเดินทางนี้ ลงสติปัฏฐานได้
ย่อม บอกทางต่อได้ ไม่มีอ้าง แต่ ปัจจัตตัง ปัจจัตตัง
ถ้า รักกันหน่อย ปัจจัตตังพ่องงง แนะแนวไม่ได้
เหตุ นี้ พระอรหันต์ ที่บรรลุ สมัยที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น
พระพุทธเจ้า ให้แยกทางกะท่านเลย
เพราะ พระอรหันต์ ท่านสามารถ สอนต่อได้อยู่แล้ว -
ตราบใดที่ คอย ตามรู้กายใจ ไม่ลดละ
แล้ว ก็ไม่ต้องไปคำนึงด้วย
จิตจะตัดสินผล อนัตตา ก็เป็น ผลงานของจิต
ที่มันทำด้วยตัวของมันเอง -
แยกไม่หมดยังเหลือพระสาวก ซ้ายขวา
-
-
กว่าจะ ตอกหัวตะปู ลงเนื้อไม้ได้
วืดไปหลายครั้ง แต่พอตอกเป็น ลงหัวตะปูได้ครั้งนึง
ตะปุก้เริ่มอยู่ ซัดไปครั้งที่สอง ก้เริ่มไม่ต้องประครอง
ซัดไปครั้งที่สาม ยิ่ง แม่นขึ้น สี่ห้า จนหัวตะปูจมมิด
จะเห็นว่า อาศัย อาการเดิมๆที่ตอกลงหัวตะปุได้แบบใด
มีแต่ทำได้ด้วยอาการเดิมนั้นซ้ำๆ
การเห็นปัจจุบันก้ เหมือนกัน ครั้งแรกรู้เท่าทัน ยังไม่แจ้ง
ทำมาด้วยอาการอย่างใด ก็ทำมาด้วยอาการอย่างนั้นเหมือนเดิม มันก็จะ พัฒนาไปเองโดยลำดับ
จะเลื่อยไม้ ให้ขาดก็เหมือนกัน
กว่าจะจับเลื่อย ประครองให้เป็นร่องเลื่อย
ก็วืดโดนนิ้วได้เลือดกันมั่ง
แต่พอมัน ลงเป็นรอยเลื่อยได้แล้ว
ก้อาศัย การเรื่อยแบบเดิมๆ
ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ใช้แต่อาการเดิมๆในการเลื่อย จนมันขาด -
พระโมคคัลลา พอบรรลุ ก้แยกกออก
เหลือแต่พระสารีบุตร ใช้เวลาบรรลุนานกว่าพระโมคคัลลา
แม้พระสารีบุตรบรรลุอรหันต์ ก็แยกออก
มีสัทธิวิหาริก ของท่าน ตามลำดับ
มีแต่พระอานนท์ ที่อยู่กับพระพุทธเจ้าตลอดเพราะเป็นอุปัฏฐาก
แยะยังบรรลุเพียงพระโสดาบัน
เหตุก็มาจากเคยปรารถนา เป็นพระอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ามาก่อน -
-
คลิกละหลวงพี่
หน้า 221 ของ 368