ปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น เรียบเรียงโดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 6 มิถุนายน 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อาหารทิพย์ในความรู้สึกของพระนั้น ขณะมองเห็นในมือของเทวดาที่ถือมานั้นเป็นเหมือนดินสอพองสีขาวจางๆ ไม่ขาวจริงดังผ้าขาว สิ่งนั้นแลที่เทวดาบอกกับท่านว่าเป็นอาหารทิพย์ของทวยเทพทั้งหลาย เทวดาผู้นำมานั้น มาขออนุญาตท่านเอาอาหารทิพย์นั้นถูไปตามร่างกายท่านแต่เพียงเบาๆ เพื่อโอชารสของอาหารทิพย์จะได้ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายส่วนต่างๆ โดยรวดเร็ว และมีกำลังเช่นเดียวกับรับประทานอาหารทั่วๆ ไปหรือยิ่งกว่านั้น พระท่านไม่อาจอนุญาต กลัวเป็นอาบัติ เพราะตะวันก็บ่ายแล้ว เทวดาก็เป็นเพศหญิงและมาเพียงคนเดียว เผื่อบัดดลมีใครมาเห็นเข้า อย่างน้อยก็ตำหนิ แม้ไม่มีความเสียหายในทางพระวินัย มากกว่านั้นเขาอาจเข้าใจว่าเป็นความจริงและตำหนิติเตียนแบบโลกๆ ว่าพระกับผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองในถ้ำในเขาเปลี่ยวๆ ไม่มีผู้ชายอยู่เป็นเพื่อนแม้คนเดียว เทวดาซึ่งเป็นกายทิพย์จะกลายเป็นเรื่องหญิงผู้ก่อกรรมทำเข็ญกับพระขึ้นมา เรื่องก็จะไปกันใหญ่ และกลายเป็นความเสื่อมเสียไปมากมาย ซึ่งความจริงก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างบริสุทธิ์โดยปกติ
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ด้วยเหตุผลที่อ้างนี้ ท่านจึงไม่ยอมให้เทวดามาแตะต้องกาย ไม่เพียงจะนำอาหารทิพย์มาถูกายเลย เทวดาจึงขอยืนยันตัวเองต่อท่านว่า จะไม่ทำอะไรให้ท่านเสียหาย เพราะการมาเกี่ยวข้องของเทวดาแม้แต่น้อย เพราะกายเทวดาก็เป็นกายทิพย์ อาหารที่นำมาบำรุงก็เป็นอาหารทิพย์ ไม่มีส่วนใดที่จะกระเทือนถึงพระวินัยและองค์ท่านให้เสียไป ที่มองเห็นนี้ก็ใจทิพย์มองเห็นกายทิพย์ และใจทิพย์มองเห็นอาหารทิพย์ ที่ฟังการสนทนากันอยู่เวลานี้ก็เป็นหูทิพย์ฟังเสียงทิพย์ มิได้เกี่ยวกับกายหยาบตาเนื้อหูหนังแต่อย่างใดพอจะขัดข้องแก่ท่านและวินัยเลย การมาของเทวดาก็เพื่ออุปัฏฐากบำรุง หวังบุญหวังกุศลกับท่านผู้มีความหนักแน่นและมุ่งมั่นต่อธรรมอย่างยิ่ง มิได้มาเพื่อทำลายท่านและพระศาสนาให้เสียหาย ขอท่านจงเห็นใจและอนุญาตเมตตาให้เทวดาได้มีส่วนกุศลที่ควรจะได้จากท่านบ้างเถิด อย่าได้สลัดปัดทิ้งเทวดาผู้หวังบุญเพื่อเป็นปัจจัยต่อเติมเสริมภพชาติ ให้เจริญรุ่งเรืองในปัจจุบันและอนาคตให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จากกุศลที่ควรจะได้นี้เลย
    <o:p></o:p>
    พระพูดกับเทวดาว่า ขณะที่เทวดามาอยู่กับอาตมา อาตมาหลับตาลงก็มองเห็นเทวดา ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นเทวดา เผื่อคนอื่นเขามีตามิใช่คนตาบอดมาเห็นเราสองคนเข้าที่นั่งอยู่ด้วยกันเวลานี้จะว่าอย่างไร จะเป็นความงามตามจารีตของผู้หญิงซึ่งอยู่ด้วยกันสองต่อสองไหมล่ะ ขอจงคิดให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไป เทวดาตอบท่านว่า ที่เห็นนี้เป็นใจท่านและตาท่านผู้มีธรรม คือมีสมาธิมีญาณสามารถมองเห็นได้อย่างถนัดชัดเจน แม้ตาเนื้อท่านมองเห็น ก็เป็นมาจากญาณภายในสนับสนุน จึงทำให้เห็นได้ราวกับตาเนื้อมองเห็นจริงๆ ความจริงก็คือตาในท่านต่างหากทำให้ตาเนื้อมองเห็นไปด้วย ถ้าท่านไม่มีญาณภายในเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ท่านจะไม่สามารถมองเห็นกายทิพย์ของเทวดาได้เลย
    <o:p></o:p>
    เพื่อความแน่ใจที่ท่านจะไม่ต้องระแวงสงสัยว่า จะมีใครมาสอดรู้สอดเห็นเทวดาที่มานั่งอยู่กับท่าน เทวดาจะรับรองยืนยันว่านอกจากท่านเพียงองค์เดียวแล้ว คนอื่นแม้ร้อยๆ พันๆ คนหรือมากกว่านั้นมาที่นี่ ก็จะไม่ให้มองเห็นเทวดาได้เลยแม้เพียงคนเดียว เทวดามีอำนาจพอจะปิดกั้นสายตาคนธรรมดาได้โดยไม่ลำบากเลย เว้นแต่ท่านผู้มีธรรมและมีญาณหยั่งทราบ เทวดาเคารพ และปิดกั้นไม่ได้ อีกประการหนึ่ง เทวดาไม่ใช่ผู้วิเศษวิโสมาจากที่ไหน แต่ก็มาจากแดนมนุษย์ผู้รักศีลรักธรรม ยินดีในการทำบุญสุนทานประจำนิสัยนั่นแล เมื่อมาพบเห็นท่านผู้ปฏิบัติดีก็เลื่อมใสศรัทธาอยากบำรุง จะได้มากน้อยเพียงไรก็เป็นบุญกุศล และเป็นนิสัยปัจจัยแก่ตัวเพียงนั้น ท่านจึงควรเห็นใจและเมตตาอนุเคราะห์ให้ทำในสิ่งที่ควรทำได้<o:p></o:p>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สิ่งใดที่ผิดวิสัยของสมณะ เทวดาจะไม่หาญทำ เพราะดีและชั่วก็ออกจากกรรม คือการทำของตัวเอง เทวดาเข้าใจและเคารพไม่ฝ่าฝืน แต่สิ่งที่อาราธนาวิงวอนขอความเมตตาอนุเคราะห์อยู่เวลานี้ เป็นเรื่องของธรรมล้วนๆ ไม่มีเรื่องพระวินัยและเรื่องโลกเข้ามาเจือปนเลย เช่นเดียวกับที่ท่านเคยแสดงธรรมแก่เทวดามาแล้ว จะมีคนเดียวหรือกี่คนก็ไม่ขัดข้องทางพระธรรมวินัยฉะนั้น

    ขณะเทวดากับพระองค์นี้กำลังโต้วาทีกันอยู่นั้น เป็นเวลาที่อยู่ในสมาธิภาวนา มิได้เป็นเวลาปกติธรรมดา แต่ที่ท่านพูดกับเทวดาว่า เทวดามานั่งอยู่กับอาตมา อาตมาหลับตาก็มองเห็นเทวดา ลืมตาก็เห็นเทวดานั้น เป็นกาลสถานที่และอิริยาบถทั่วๆ ไปที่ท่านพอรู้ได้เห็นได้ตามวิสัย ฉะนั้นที่เทวดาอ้างเหตุผลเพื่อขอความอนุเคราะห์จากท่าน จึงน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ควรทำได้ เพราะเป็นเรื่องของใจล้วนๆ ที่ในสมาธิภาวนา แต่ที่พระท่านถามเทวดายอกย้อนไปมา ก็เป็นการแสดงออกทางสมาธิโดยธรรม มิได้เกี่ยวกับจะเป็นอาบัติเพราะความฝ่าฝืนพระวินัย ด้วยกิริยาที่ทำโดยทางสมาธิสมาบัติ

    ขณะท่านทำสมาธิของบ่ายวันนั้น ปรากฏว่าเทวดาเอาอาหารทิพย์มาถูร่างกายท่านจริงๆ กายที่เทวดามาถูก็เป็นกายในสมาธิ มิได้เป็นกายธรรมดา ความรู้สึกทางสมาธิขณะเทวดานำอาหารทิพย์มาถูกาย ปรากฏว่าเบามากผิดธรรมดา เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ร่างกายรู้สึกเบาหวิวและมีกำลังผิดปกติ ราวกับได้ฉันจังหันในวันนั้น ท่านองค์นี้ว่า เวลาปกติในบางวันก็มองเห็นเทวดาได้ ไม่เพียงต้องเข้าสมาธิแล้วจึงจะรู้จะเห็นดังนี้

    แต่การเห็นเทวดาด้วยสมาธิหรือด้วยตาเนื้อของผู้เริ่มฝึกหัดภาวนาใหม่ๆ ย่อมมีทางหลอกลวงตัวเองได้ ไม่จริงเสมอไป ฉะนั้นแม้ผู้มีนิสัยในทางนี้และอาจรู้เห็นอะไรต่างๆ ได้ก็ตาม อาจารย์ต้องคอยกำชับกำชาไว้เสมอ ยังไม่ปล่อยให้ออกรู้ตามนิสัย ต้องรอไปจนกว่าสมาธิมีความชำนาญในการเข้าการออก และเข้าใจวิธีปฏิบัติต่อสิ่งรู้เห็นต่างๆ ว่าอะไรจริงอะไรปลอมพอควรแล้ว ถึงกาลเวลาที่ควรปล่อยก็ปล่อยบ้าง แต่มิใช่ปล่อยแบบปล่อยตัวไปด้วย โดยไม่คำนึงสิ่งผิดถูกชั่วดี ที่มาเกี่ยวข้องกับสมาธิประเภทนั้น ผู้เห็นเทวดาแบบหลอกตนนี้ ย่อมมีแทรกอยู่ในวงคณะปฏิบัติเช่นกัน แต่ถ้าผู้นั้นมีความมุ่งมั่นในธรรม ไม่เผยอเย่อหยิ่งในความรู้ที่ถือว่าพิเศษของตน และไม่หลงไปตามสิ่งที่รู้เห็นก็แก้ได้ไม่ยากนัก<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สำคัญที่ผู้มีนิสัยชอบพองๆ อยู่บ้างแล้ว พอเจอสิ่งต่างๆ ดังกล่าวเข้า น่ากลัวเป็นโรคเรื้อรังไม่สนใจต่อยาเอาเลย นอกจากจะพยายามแพร่เชื้อให้ระบาดลุกลามออกไปก่อความเสียหายแก่ผู้อื่น ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจในวิธีการวิธีกลนี้เท่านั้น จึงเป็นโรคชนิดที่น่าระวังอยู่มาก ผู้เขียนมิใช่นักรู้นักเห็นเทวบุตร เทวธิดา เปรต ผีอะไรเลยก็ตาม แต่ถ้ามีผู้มาคุยเรื่องทำนองนี้ให้ฟัง แบบเรื้อรังลุกลามไม่มีพวงมาลัยและเบรกกำกับอยู่บ้าง ก็ขยาดครั่นคร้ามเหมือนกัน เพราะปกติเราก็อาจมีโรคพรรค์นี้ติดนิสัยสันดานอยู่แล้ว พอได้เชื้อเพิ่มเข้าไป ก็กลัวทางโรงพยาบาลของโรคชนิดนี้ไม่ยอมรับเข้าเป็นคนไข้ ยิ่งจะวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เพื่อกันโรคนี้อย่างได้ผล คือ ขอให้ผู้เป็นอาจารย์เป็นผู้เข้าใจในทางนี้และทางสมาธิปัญญาอื่นๆ มาด้วยดีเถิด เพียงผู้ใดก็ตามมาพูดแย็บเรื่องทำนองนี้ขึ้น ต้องรู้ทันทีว่าเป็นความจริงหรือปลอม และสามารถชี้แจงแก้ไขได้ทันที ถ้าผู้นั้นสนใจฟังเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ ก็ปฏิบัติตนได้ถูกต้องตามท่านไม่มีทางเสียหาย ที่น่ากลัวก็คือ เมื่ออะไรผ่านเข้ามาก็คว้าเอามาเป็นสมบัติและเป็นของจริงเสียสิ้น โดยไม่คำนึงว่าผิดหรือถูกประการใดบ้าง ของจริงประเภทนี้จึงมีทางก่อความกระเทือนและเสียหายแก่ตนและผู้อื่นได้อย่างไม่มีขอบเขต เพราะเป็นของจริงที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับท่านที่เคยผ่านมาแล้ว นักภาวนาจึงควรระวังด้วยสติปัญญาด้วยดี อย่าให้ของจริงประเภทนี้เกิดขึ้นได้ จัดว่าเป็นผู้รู้รอบคอบต่อการดำเนิน เป็นสิริมงคลแก่ตนและวงพระศาสนา

    ท่านที่มีเทวดามาอารักขา ท่านเล่าน่าฟัง ผู้เขียนรู้สึกเพลินไปกับท่าน เวลานั้นท่านไปพักภาวนาอยู่กับพวกชาวไร่ซึ่งมีเพียงสองสามครอบครัว เว้นสี่ห้าวันท่านไปบิณฑบาตกับเขามาฉันหนหนึ่ง แล้วก็หยุดไปเรื่อยๆ แต่การภาวนารู้สึกดื่มด่ำคืบหน้าไม่มีถอย นั่งสมาธิทั้งกลางวันกลางคืน ส่วนผลที่ได้รับคล้ายคลึงกัน แต่เวลากลางวันรู้สึกร้อนบ้าง ผิดกับกลางคืนที่อากาศเย็นสบาย จิตก็ลงได้สนิทเต็มฐานของสมาธิ และลงได้ครั้งละหลายๆ ชั่วโมงกว่าจะถอนขึ้นมา ถ้านึกสงสารเทวดา จะต้อนรับเขา จึงถอนจิตออกมาดูบ้างตอนดึกๆ ถ้าเห็นเขามาก็ต้อนรับเสียบ้าง เสร็จแล้วย้อนจิตเข้าสู่สมาธิตามอัธยาศัย จนกว่าถึงเวลาค่อยถอนขึ้นมา จากนั้นก็พิจารณาภาคปัญญาต่อไปจนเรื่องจะยุติลง

    รวมเวลาเข้าสมาธิแล้วแต่ละครั้ง ถ้าเป็นกลางคืนก็สี่ห้าชั่วโมง กลางวันราวสองหรือสามสี่ชั่วโมง และเดินจงกรมต่อไปหลังจากทำสมาธิแล้ว ทำอย่างนี้เป็นประจำ ไม่ค่อยสนใจกับเวล่ำเวลายิ่งกว่าความเพียรที่กำลังเป็นไปอยู่ในธรรมทั้งหลาย ท่านว่าอาหารจะฉันหรือไม่ก็มิได้เกิดความหิวโหย จะมีบ้างเพียงส่วนร่างกายเล็กน้อย ไม่ถึงกับรบกวนให้วุ่นวายไปตาม ที่เทวดาว่าหิวนั้นเป็นเรื่องของเทวดาต่างหาก องค์ท่านเองมิได้เป็นอารมณ์กับความหิวโหยอะไรเลย เพราะเพลินในธรรมที่สัมผัสใจอยู่ตลอดเวลา อันเป็นโอชารสที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าอาหารอื่นใด
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ส่วนเทวดาท่านว่า เวลากลางวันบางครั้งมองไปเห็นนั่งพับเพียบเรียบร้อย คอยดูแลท่านอยู่บนก้อนหินห่างกันประมาณเส้นสองเส้น บางครั้งกลางวันเงียบๆ เทวดายังลงมาหาท่าน ดังวันมาขออนุญาตเอาอาหารทิพย์มาถูร่างกายท่าน เป็นต้น บางครั้งมองเห็นเทวดาที่มานั่งอยู่ด้วยห่างกันประมาณสองวาอย่างชัดเจน ราวกับเห็นด้วยตาเนื้อจริงๆ ลืมตาขึ้นมาก็ยังเห็นชัดเช่นเดียวกับหลับตา ขณะนั้นจิตสงบเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งไม่น่าจะมองเห็นได้ ปกติของจิตที่ควรรับแขกจำพวกกายทิพย์ต้องขยับลงกว่านั้นบ้าง บางครั้งรู้สึกกระดากพิกลถึงกับต้องถามเทวดาว่า นี่เทวดานิรมิตกายให้หยาบเหมือนกายมนุษย์หรือ จึงมองเห็นได้ชัดเจนทั้งตาใจทั้งตาเนื้อ เหมือนมองเห็นสิ่งต่างๆ

    เทวดาบอกท่านว่าเทวดาจะทำให้กายละเอียดก็ได้ หยาบก็ได้ ไม่ลำบากยากเย็นอะไรเลย ขณะนี้เทวดานิรมิตกายหยาบหรือกายละเอียด ท่านถาม นิรมิตเป็นกายหยาบ เขาบอกท่าน ก็เวลามีคนมาที่นี่มองเห็นเข้าจะทำอย่างไร ท่านถาม ก็ทำให้เห็นเฉพาะท่านเพียงองค์เดียวเท่านั้น ดังได้เล่าถวายแล้วอย่างไรเล่า ท่านไม่ต้องกลัว เทวดาบอกท่าน แต่การสนทนากันมิได้สนทนาด้วยปาก แต่สนทนาทางใจล้วนๆ

    เทวดายังสามารถรู้บุพเพนิวาสได้เช่นเดียวกับพระที่ท่านมีนิสัยในทางนี้ ดังเทวดาองค์นี้เล่าบุพเพนิวาสให้พระท่านฟังอย่างละเอียดลออ ว่าเคยประพฤติตนมาอย่างไรบ้างในอดีต แต่ขอผ่านไปทั้งที่เสียดาย เพราะผู้เขียนไม่สามารถจำได้ทุกแง่ทุกกระทง ที่นำมาลงบ้างก็เพื่อท่านผู้อ่านได้พิจารณาว่า จิตดวงที่เข้าสวมร่างนั่นร่างนี่อยู่ตลอดภพตลอดชาติไม่มีเวลาหยุดยั้งนั้น ได้หมุนตัวไปอย่างไร ทั้งที่บางรายก็ปฏิเสธว่าตายแล้วสูญ การสูญกับความจริงที่ไม่สูญและค้านกันอยู่ในบุคคลคนเดียวนั้น ฝ่ายไหนจะเป็นผู้ยอมรับผลและรับความจริงที่เป็นของตายตัวนั้น นอกจากผู้ปฏิเสธกับผู้ยอมรับความจริงแล้ว ไม่มีผู้ใดจะเป็นผู้รับผลคือการเกิดตาย ต้องเป็นหน้าที่ของสัตว์โลกเป็นกันเอง สุขและทุกข์ที่มีในระหว่างแห่งภพชาตินั้นๆ ก็เป็นหน้าที่ของผู้เกิดตายรับเอง มิใช่คำปฏิเสธว่า “ตายสูญ” และ “ตายเกิด” เป็นผู้รับผลแทน พอจะมีแก่ใจปฏิเสธอย่างสบายโดยไม่คำนึงถึงความจริงว่าเป็นอย่างไรกันแน่
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    การบำเพ็ญทางจิตตภาวนาเป็นทางจะรู้เรื่องของตัว เฉพาะอย่างยิ่งการเกิดกับการตายที่มีอยู่กับตัว ได้ดีเยี่ยมกว่าวิธีพิสูจน์อื่นใดที่ทำให้เสียเวลาไปเปล่า ไม่พบความจริงเป็นเครื่องยับยั้งใจไม่ให้คิดคะนองไปต่างๆ ไม่เข้าเรื่องเข้าราวโดยหาความจริงมิได้ ตัวที่ถูกยอมรับว่าตายแล้วเกิดอีกก็คือใจ ที่ถูกปฏิเสธว่าตายแล้วสูญก็คือใจ ซึ่งเป็นสิ่งลึกลับผิดสิ่งทั้งหลายที่ควรพิสูจน์ได้ด้วยจิตตภาวนาเท่านั้น อันเป็นการพิสูจน์อย่างเยี่ยม และเห็นผลจากความจริงได้อย่างแน่นอน ข้อสำคัญ ขอให้จิตหยั่งลงถึงฐานเดิมของตนเป็นลำดับไป อย่างไรต้องทราบเรื่องของตัวแน่นอน ทั้งเรื่องเกิดเรื่องตาย ทั้งเรื่องไม่เกิดไม่ตายซึ่งอยู่ในใจดวงเดียวกัน ทั้งเรื่องตายแล้วสูญว่าไม่ปรากฏมีอยู่ในใจดวงท่องเที่ยวนี้เลย แม้ในธรรมท่านก็มิได้กล่าวไว้ว่าตายแล้วสูญมีอยู่ในใจดวงนี้ เวลาทำจิตตภาวนาไปก็ไม่เคยเจอว่าจิตตายแล้วสูญ ถ้าเจอก็เจอแต่เรื่องตายกับเกิดเท่านั้น ถ้าจิตรู้ตัวอย่างเต็มที่แล้วก็เจอเอาความไม่เกิดไม่ตายในจิตนั่นไปเสีย ไม่เคยเจอความตายแล้วสูญเลย ดังที่ขยันปฏิเสธกันในพวกเราผู้ไม่สนใจค้นหาเหตุที่มีอยู่กับตน และประกาศตัวอย่างเปิดเผยอยู่ตลอดเวลานี้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ข้อสำคัญถ้าใจซึ่งเป็นตัวการ ไม่ยอมพิจารณาตามสาเหตุที่ควรรับทราบจากตัวเองแล้ว แม้จะมีใครสักกี่ร้อยกี่พันคนมาบอกความจริงซึ่งเป็นสมบัติของผู้นั้นค้นพบเอง ก็ไม่มีทางทำให้เขายอมรับเพื่อถือเอาความจริงนั้น มาปรับปรุงแก้ไขตนให้เป็นคนมีเหตุมีผลและถือเอาประโยชน์ขึ้นมาได้ สุดท้ายก็คงเป็นผู้เกิดและตายท้าทายตัวเองอยู่ร่ำไป ไม่มีอะไรจะยิ่งกว่าเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับคนไข้หนักที่ไม่สนใจคิดเรื่องของตัวมากไปกว่าความสนใจคิดเรื่องห้องในโรงพยาบาล เรื่องหยูกยา เรื่องหมอ และเรื่องนางพยาบาลว่า ไม่ดี ไม่ถูกใจตัวเอง แล้วบ่นและร้องครวญครางอย่างไม่มีขอบเขตให้คนอื่นรำคาญด้วย ทั้งที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยฉะนั้น

    ได้นำเรื่องพระที่มีเทวดามาเยี่ยม และเล่าถึงบุพเพนิวาสท่านให้ฟัง ผู้เขียนได้นำมาประกอบกับเรื่องตายเกิดและตายสูญ พอเป็นเครื่องพิสูจน์แก่พวกเราที่ยังตกอยู่ในวงแห่งปัญหาทั้งสองนั้นจะควรพิสูจน์ตัวเองจบลง จากนี้จะเริ่มลำดับเรื่องต่อไป

    การปฏิบัติของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่น โดยมากท่านชอบอยู่ในป่าในเขาดังกล่าวมา เพื่อหลีกเร้นอยู่สบายในการบำเพ็ญสมณธรรมตามเวลาต้องการ ไม่ทำเวลาให้เสียไปด้วยกิจอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น การก่อสร้าง ท่านถือเป็นข้าศึกแก่สมณธรรม ดังที่ท่านแสดงไว้ในมหาขันธกวินัย เกี่ยวแก่การบำเพ็ญของพระผู้เริ่มต้นฝึกหัดใหม่ซึ่งยังไม่มีหลักจิตภูมิใจ ท่านสอนให้หลบหลีกปลีกตัวหาอยู่ในที่สงัด เช่น ไม่ควรอยู่ในที่ใกล้ท่าน้ำที่ผู้คนหญิงชายจอแจ ไม่ควรอยู่ในสำนักที่กำลังก่อสร้างหรือซ่อมแซม เป็นต้น คิดดูเพียงบาดแผลเล็กๆ ที่ควรจะหายได้ด้วยยาในเวลาไม่นาน แต่เมื่อถูกกระทบกระเทือนจากสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ ก็ย่อมกำเริบได้ทั้งที่รักษาอยู่ ใจก็ย่อมเป็นเหมือนแผลซึ่งต้องการการรักษา และมีทางกำเริบได้จากสิ่งต่างๆ สัมผัสสัมพันธ์อยู่เสมอเช่นกัน
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ไม่ว่าจิตที่เพิ่งเริ่มฝึกหัด หรือฝึกหัดมานานแต่ยังไม่ได้หลักเกณฑ์ที่พอไว้ใจได้หรือไว้ใจได้อย่างเต็มภูมิแล้ว ย่อมมีทางกำเริบได้เช่นเดียวกับแผลใหม่และแผลเก่านั่นแล ถ้าไม่ระวังรักษา ฉะนั้นการระวังรักษาจึงเป็นความไม่ประมาท ทั้งผู้เริ่มฝึกหัดและผู้ฝึกหัดมานานแล้ว จะถือว่าตนเป็นกรรมฐานเก่าอบรมมานาน เข้าไหนเข้าได้ อย่างนั้นไม่ได้ เป็นความประมาท หรือจะมีใครมาว่าประมาทจน “ด้าน” ก็น่าจะจริงคำเขา เพราะเพียงการฝึกเก่าหรือใหม่ไม่สำคัญเท่าความเป็นหลักฐานมั่นคงของใจ นั่นเป็นจุดมุ่งหมายของธรรมที่ประทานไว้ ฉะนั้นในสมัยปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสอนบรรดาศิษย์เน้นหนักในทางความเพียรในสถานที่สงัด สำหรับพระธุดงค์สายของท่าน และไม่สอนให้เป็นอาจารย์ใครก่อน สอนให้เป็นอาจารย์ตนในอันดับแรก เพื่อใจจะได้มีหลักฐานมั่นคงจนสามารถรักษาตัวได้ ไปที่ไหนไม่มีภัยแก่ตนและผู้อื่น ส่วนประโยชน์เพื่อผู้อื่นจึงค่อยตามมาเอง เมื่อนักปฏิบัติผู้นั้นมีภูมิจิตภูมิธรรมเท่าที่ควรหรือสมบูรณ์เต็มที่แล้ว<o:p></o:p>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เริ่มแรกท่านต้องสอนเพื่อตนก่อนอื่น คล้ายกับจะไม่ให้มองดูหน้าใครเลย นอกจากมองดูความผิดถูกชั่วดีของตนเท่านั้น ทั้งสอนให้ระวังสิ่งทำลายจิตใจโดยทางอ้อม คือ เรื่องก่อความยุ่งยากหรือเครื่องกังวลใส่ตน ด้วยการจัดนั้นสร้างนี้อันเป็นงานของโลกเขาทำกัน มิใช่งานสำคัญของพระธุดงค์ผู้มุ่งความหลุดพ้นในขั้นดำเนิน และสอนให้สนใจภาวนาดูกิเลสความฟุ้งเฟ้อของตัว มากกว่าการเสริมมันด้วยการหาภาระหยาบๆ มาเกี่ยวข้องวุ่นวายจนกลายเป็นยาเสพย์ติดขึ้นมาในใจ ไม่ได้จัดนั้นสร้างนี้อยู่ไม่ได้ เพราะกิเลสรบกวน ต้องพามันเที่ยวด้วยทำกิจนั้นงานนี้พอเป็นอารมณ์เครื่องอาศัยไปชั่วคราว เสร็จแล้วก็กวนอีกและกวนอีกจนต้องพามันเที่ยวประจำแก้ไม่ตก ทีแรกก็คิดว่าทำเพื่อแก้รำคาญ ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ สุดท้ายเลยหนักเข้าจนกลายเป็นเพิ่มรำคาญ กลายเป็นเรื่องกวนทั้งตนและผู้อื่นให้ขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปตามๆ กัน เพราะนักปฏิบัติยึดทางนี้เป็นทางเดินของการแก้กิเลส และความสงบสุขของตนและบ้านเมือง กิเลสจึงได้ใจอยากให้พามันเที่ยวแบบนี้จนไม่มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจเข้าสู่ความสงบเลยยิ่งดี วงปฏิบัติจะได้ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์เหลืออยู่
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ขณะท่านเน้นธรรมลงอย่างถึงใจ ท่านเองรู้สึกน่ากลัวมาก เพราะไม่ถึงใจเราที่ชอบในทางตรงข้ามกับท่าน เช่น ท่านเน้นลงว่า เอา นักปฏิบัติคนใดอยากแซงไอ้เฒ่าผู้โง่เขลาเต่าปลาก็แซงไป เมื่อได้ธรรมดวงเลิศมาด้วยวิธีนั้นก็ขอนิมนต์มาโปรดไอ้เฒ่าบ้างพอได้เห็นฟ้าเห็นดินกับเขาบ้าง ไอ้เฒ่าอยู่แต่ในป่าภาวนาแบบหลับหูหลับตา ไม่ได้มองดูเดือนดาวและโลกสงสารว่าเจริญหรือเสื่อมไปอย่างไรบ้าง ผู้ต้องการความเจริญก้าวหน้าแบบทันสมัยก็จงเอาแบบทันสมัยมาใช้ ภิกษุเฒ่าไม่มีปัญญาหาแบบทันสมัยมาใช้ ก็เอาแบบธุดงควัตรเก่าแก่ที่พระพุทธเจ้าประทานให้มาใช้ไปตามภาษาของตน แต่ใครๆ ก็ชอบมายุ่งมาก วุ่นอยู่ไม่วาย ไม่ให้อยู่สบายได้พอชั่วขณะบ้างเลย
    <o:p></o:p>
    เมื่อมาแล้วแทนที่จะใช้สติปัญญาสอดส่อง มองข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องยึดดำเนินตาม แต่กลับเป็นพระสมัยเดินทางลัดตัดกิเลสด้วยกิจนั้นงานนี้ เพื่ออวดโลกว่าตนมีความสามารถวาสนา นั่นหรือวาสนา เห็นแต่กิเลสมันร้อยรัดเอาจนหาเวลาอยู่สงบสุขไม่ได้แม้แต่ขณะเดียว มีแต่อารมณ์ฉุดลากไปตรอกนั้นซอยนี้จนก้นไม่ติดพื้น นั่นหรือวาสนาของพระปฏิบัติ ผมโง่ ไม่ทราบว่าวาสนาเป็นอย่างไร และการส่งเสริมวาสนาที่ถูกทางของพระปฏิบัติส่งเสริมอย่างไร ก็งานของผู้ปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอดเป็นยอดตนกับงานทั่วไปนั้นมันผิดกันเพียงไร ทำไมจึงชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องเข้าราว เพียงผมยังมีชีวิตอยู่ก็เห็นเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เวลาผมตายไปแล้วจะเป็นอย่างไร แม้จะโง่แสนโง่ก็พอทราบได้จากพฤติการณ์ที่กำลังเป็นไปอยู่ในวงปฏิบัติเวลานี้
    <o:p></o:p>
    ประการหนึ่ง พอออกไปจากที่นี่แล้วก็จะเที่ยวพูดอวดโลกเขาว่า ตนเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น อย่างไม่มีเวลางับปากจนเขาเบื่อจะฟัง นั่นซิ ที่สำคัญตอนหนึ่ง ที่นี่อาจารย์มั่นเป็นพระป่าๆ แต่ลูกศิษย์อาจารย์มั่นโดยมากเป็นพระที่ทันสมัยนั่นซิ ตอนมันจะเน่าเฟะไปหมด ด้วยศิษย์อาจารย์มั่นประกาศขาย ผมจึงวิตกกับพระปฏิบัติเราที่จะแสดงตัวแผลงๆ ออกนอกลู่นอกทาง โดยอ้างเอาครูอาจารย์เป็นสินค้าหน้าร้านขายกิน ประการหนึ่งก็ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน แต่มิได้เข้าใจว่าเป็นประเภทกาฝาก คอยดูดเลือดท่านและประชาชนอย่างลึกลับ ประการที่สองก็ทำให้เขาเอือมระอาในการประกาศตน การกระทำ และการรบกวนต่างๆ ที่ไม่มีประมาณ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องทำลายตน ทำลายครูอาจารย์ ทำลายวงปฏิบัติและพระศาสนาให้เสียหายไปด้วยทั้งสิ้น<o:p></o:p>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    นิมิตที่เคยปรากฏขณะภาวนาว่ามีพระวิ่งแซงหน้าแซงหลังไป ซึ่งเป็นการส่อแสดงถึงความเก่งกล้าหน้าด้านของพระปฏิบัติผู้ไม่มีหิริโอตัปปธรรมในใจนั้น เริ่มแสดงเป็นประจักษ์พยานขึ้นมาทุกที ทั้งที่ผมยังไม่ตาย ตอนผมตายไปแล้ว ใครมีลวดลายแห่งเสือโคร่งเสือเหลืองอย่างไรที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน จะต้องนำออกแสดงอย่างเต็มฝีมือโดยไม่สงสัย การขายตัวและขายครูอาจารย์ก็เริ่มขายเล็กขายน้อยไปบ้างแล้วแต่บัดนี้ ด้วยวิธีการต่างๆ ตามลวดลายของแต่ละคน อันเป็นการแสดงความเสียหายในอนาคตให้เห็นอย่างชัดเจนแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    ท่านเน้นว่า มีใครบ้างที่อยากเป็นคนเก่งกล้าหน้าด้านไม่มียางอายแต่ขณะนี้อยู่แล้ว ทั้งที่อยู่กับผมเวลานี้ให้บอกมา จะได้ยกให้เป็นศาสตราจารย์ทางภาคปฏิบัติเสียแต่บัดนี้ทั้งที่ยังโง่เต็มตัว แต่อยากให้เขาชมว่าตนเป็นผู้ฉลาดเต็มภูมิให้สมใจที่อยากเป็น จงแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ คนเก่งหายากเราอยากพบ เวลาตายแล้วจะเสียดาย หมดวาสนาไม่ได้พบ จึงขอพบขณะนี้ที่ลมหายใจยังอยู่ดังนี้

    นี่แลเวลาเด็ดท่านเด็ดจริงจนผู้ฟังเหงื่อแตกโชก ร้อนยิ่งกว่าถูกไฟ ส่วนผู้ฟังด้วยความสนใจต่ออรรถต่อธรรมและมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติจริง เด็ดเท่าไรใจยิ่งหมอบยิ่งยอมยิ่งเย็น ผิดกับท่านแสดงธรรมดาเป็นไหนๆ

    ที่นำมาลงนี้เพื่อท่านผู้อ่านได้รู้เรื่องท่านทั้งฝ่ายดีฝ่ายเด็ดและอะไรต่างๆ ตลอดฝ่ายลูกศิษย์ทั้งหลายที่อาจมีผู้เข้าใจว่า จะดีตามท่านไปเสียทุกอย่างหรือทุกราย ความจริงก็ย่อมมีดีชั่วสับปนกันไป เช่นเดียวกับพ่อแม่มีลูกหลายคนซึ่งมีทั้งดีและไม่ดีผสมกันไปฉะนั้น ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ก็เป็นคนมีกิเลส อาจมีดีและมีที่ตำหนิสับปนกันไปอย่างหลีกไม่พ้น การสังเกตพิจารณาด้วยดีทุกกรณีทั้งภายในภายนอกแล้วดำเนินนั้น เป็นความรอบคอบชอบธรรม และเป็นมงคลแก่ผู้นั้นโดยเฉพาะ ก่อนจะเป็นมงคลแก่ท่านผู้อื่นที่พลอยได้รับ

    บางตอนที่ท่านแสดงในวงพระปฏิบัติล้วนๆ และแสดงอย่างเผ็ดร้อน ซึ่งเป็นธรรมเฉพาะไม่ควรนำมาลง แต่ผู้เขียนเป็นคนนิสัยไม่ดี กลับไปชอบใจที่เผ็ดๆ ร้อนๆ มากกว่าธรรมดา เพราะถึงใจที่อยู่ลึกและไม่ชอบโผล่หน้าขึ้นมารับอรรถรับธรรมง่ายๆ เวลาโผล่ขึ้นมารับธรรมบ้าง แม้เผ็ดร้อนก็ยอมทนเอา จึงได้นำมาลงไว้เพื่อท่านผู้อ่าน ซึ่งมีความรู้สึกคล้ายคลึงกัน อาจสะดุดใจนำไปคิดเพื่อประโยชน์สำหรับตัวบ้าง หากเป็นการไม่สมควรก็ขออภัย ตามธรรมดาธรรมก็ย่อมมีทั้งลึกทั้งตื้น ทั้งหยาบทั้งละเอียด การแสดงก็ควรจะมีลักษณะต่างๆ กันไปตามนัยแห่งธรรม เพื่อผู้ฟังซึ่งมีนิสัยต่างๆ กันจะได้สนุกเลือกเอาตามจริตที่ชอบ ที่นำมาลงนี้ก็คิดในทำนองนั้นเหมือนกัน ตามแต่จะเลือกติเลือกชมเพื่อประโยชน์สำหรับท่านเอง เฉพาะผู้เขียนนับว่าสุดกำลัง ที่อยากให้ท่านได้รับประโยชน์จากหนังสือโดยทั่วกัน<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พวกภูตผีย้ายครอบครัวเช่นเดียวกับมนุษย์<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ขอย้อนกลับมาดำเนินเรื่องอาจารย์องค์ที่ยังค้างอยู่ต่อไป คือ ท่านพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ การบำเพ็ญธรรมรู้สึกสะดวกมาก รู้เห็นสิ่งต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกมากมายกว้างขวางผิดกับที่ทั้งหลายอยู่มาก เห็นเป็นโอกาสดี ท่านจึงพักบำเพ็ญอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายเดือน การพิจารณาแจ่มแจ้งดีทั้งกลางวัน กลางคืน อากาศก็ดี ถ้ำก็อยู่เปิดเผย รับลมได้ดีตลอดเวลา จึงไม่มีปัญหากับดินฟ้าอากาศ เย็นสบายสม่ำเสมอ แต่ที่นั่นรู้สึกมีอะไรพิเศษอยู่บ้างทั้งภายในภายนอกเกี่ยวกับด้านสมาธิภาวนา เวลาพิจารณาภายในใจก็สงบได้อย่างละเอียดมาก เวลาออกเดินทางปัญญาก็คล่องแคล่วไม่อืดอาดล่าช้า อันเป็นลักษณะเกียจคร้านเข้าแอบแฝง ท่านว่าที่นั่นเทวดามักมาเยี่ยมเสมอ หลายชั้นหลายภูมิทั้งเบื้องบนเบื้องล่างไม่ค่อยขาด เรื่องเหล่านี้ท่านถือเป็นธรรมดา
    <o:p></o:p>
    ที่แปลกอยู่บ้างก็คือ พวกผีพากันย้ายบ้านเรือนครอบครัวจากแถบบ้าน...บ้าน... ฯลฯ ใกล้ภูเขา...จังหวัด...ทางภาคอีสาน ไปอยู่ภูเขาทางจังหวัดเชียงใหม่กันมากมาย มีทั้งขี่ม้า ขี่วัว อุ้มลูก หาบกระบุงตะกร้า ขนครอบครัวผ่านไปหน้าบริเวณที่ท่านพักอยู่ พอไปถึงหน้าบริเวณนั้น หัวหน้าผีพาบริษัทบริวารเข้าไปกราบไหว้ท่าน ท่านถามการไปมาของผีเหล่านั้น ได้รับคำตอบจากเขาว่า กำลังพากันย้ายครอบครัวลูกหลานมาจากบ้านนั้นๆ ดังกล่าวแล้ว มาอยู่ภูเขา...จังหวัดเชียงใหม่ โดยพวกผีบอกว่าทางโน้นอดอยากกันดารมาก ผู้คนไม่มีศีลธรรม มีแต่ฉกลักปล้นขโมยและฆ่าฟันรันแทงกันไม่เว้นแต่ละเวลา ผีก็มีนิสัยคล้ายกันกับมนุษย์ คือ กลายเป็นผีไม่มีศีลธรรมไปตามมนุษย์ เบียดเบียนกัน ทำลายกันเหมือนมนุษย์ ทำให้เกิดความเดือดร้อนระส่ำระสายอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนแต่ก่อน ทราบจากญาติๆ เขามาเยี่ยมบอกว่าทางเชียงใหม่นี้มีความผาสุก มนุษย์ก็มีศีลธรรมดีกว่าที่อื่นๆ สัตว์จำพวกมนุษย์ไม่รู้จักดังพวกผมนี้ที่อยู่เชียงใหม่ก็มี และมีศีลธรรมดี มีความร่มเย็นเป็นสุขดีกว่าที่อื่นๆ จึงได้พากันย้ายครอบครัวมาตามคำญาติเล่าให้ฟัง (คำว่าญาติกรุณาทราบว่าเป็นผีเช่นกัน)
    <o:p></o:p>
    ท่านถามเขาว่า คำว่าอดอยากกันดารนั้น อดอยากกันดารอย่างไร เพราะไม่ได้อาศัยข้าวปลาอาหารบ้านเรือนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มใช้สอยเหมือนมนุษย์ จะต้องปลูกสร้างขวนขวายให้ลำบากและมีการเบียดเบียนแย่งชิงกันอยู่กันกินเหมือนมนุษย์ เขาตอบว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่มีวิบากกรรมติดตัวอยู่แล้ว จะไปเกิดไปอยู่ที่ไหน ก็มีวิบากกรรมเป็นเครื่องสนับสนุนและบีบคั้นราวีเหมือนกันหมด จะเกิดเป็นรูปร่างวัตถุหรือร่างใดไม่สำคัญหรอกท่าน มันสำคัญอยู่ที่กรรมดีชั่วมีอยู่กับตัวเท่านั้น ไปเกิดไปอยู่ในกำเนิดใดที่ใดก็คือผู้นั้นอยู่นั่นเอง สำหรับความสุขทุกข์ที่จำต้องอาศัย ฉะนั้นคำว่าอดอยากและสมบูรณ์จึงมีได้ในสัตว์ที่มีกรรมดีชั่วหนักเบาไปตามภูมิของตน
    <o:p></o:p>
    ท่านถาม : ที่ว่าผีมีศีลธรรมและไม่มีศีลธรรมนั้นเป็นอย่างไร ผีก็รู้จักศีลธรรมเช่นมนุษย์ทั้งหลายเหมือนกันหรือ
    <o:p></o:p>
    เขาตอบ : คำว่าศีลธรรมนั้นมีอยู่ทั่วไป ไม่เพียงแต่มนุษย์อย่างเดียว ความดีและความสุขในหลักธรรมชาตินั้น สัตว์รู้กันทั่วโลก แต่ชื่อนั้นอาจรู้หรือไม่รู้ก็ได้ เพราะไม่สำคัญเท่าธรรมชาติที่สัตว์ทั้งหลายชอบและจำต้องอาศัยโดยทั่วกัน ความดีนั่นแลคือศีลธรรม สุขที่เกิดจากความดีนั่นแลคือศีลธรรมอีกเหมือนกัน แต่เป็นฝ่ายเหตุกับฝ่ายผล ต่างกันเพียงเท่านั้น ที่ว่าผีมีศีลธรรมคือผีผู้ดี มีนิสัยดี กิริยาที่แสดงออกต่อเพื่อนผีด้วยกันดี ที่ว่าผีไม่มีศีลธรรมก็คือผีผู้ไม่ดี มีนิสัยไม่ดี กิริยาที่แสดงออกทุกอาการต่อเพื่อนผีด้วยกันไม่ดี เช่นเดียวกับมนุษย์ผู้ดีและมนุษย์ผู้ไม่ดีแสดงออกต่างกันนั่นแล ฉะนั้น ศีลธรรมมีอยู่ที่ไหนที่นั้นจึงร่มเย็น ขาดศีลธรรมที่ไหนที่นั่นจึงร้อน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านถาม : คำว่าญาตินั้นหมายความว่าอย่างไร และเคยเป็นญาติกันมาแต่เมื่อไร
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เขาตอบ: ญาติผีกับญาติคนก็เหมือนกัน คือ แต่เมื่อครั้งเป็นมนุษย์เคยเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างสนิทติดจมเช่นเดียวกับมนุษย์เป็นกัน เวลาตายไปกลับได้มาเกิดเป็นผีด้วยกัน และต่างคนยังจำกันได้อย่างถนัดชัดเจน จึงเป็นญาติกันโดยสายโลหิตมาแต่มนุษย์จนปัจจุบันอย่างแยกไม่ออก นอกจากกรรมจะแยกให้ไปเกิดในที่ต่างกันจึงสุดวิสัยที่จะจำ
    <o:p></o:p>
    ท่านถาม : เวลามาอยู่เชียงใหม่แล้วจะไม่คิดถึงบ้านเก่าที่เคยอยู่มา เช่นมนุษย์ย้ายบ้านใหม่แล้วยังคิดถึงบ้านเก่าละหรือ
    <o:p></o:p>
    เขาตอบ : ไม่มีอะไรให้คิดถึง เพราะผีไม่มีไร่นาสาโทบ้านช่องแบบมนุษย์ มีแต่สิ่งละเอียดติดตัวเท่านั้น จึงไม่คิดถึง
    <o:p></o:p>
    ท่านถาม : กระบุงตะกร้าที่พากันหาบพะรุงพะรังมานี้ เอามาทำไมกัน ม้า วัว เหล่านั้นเอามาทำไม ทิ้งไว้โน้นไม่ได้หรือ
    <o:p></o:p>
    เขาตอบ : ก็เครื่องใช้ของผี สมบัติของผี ผีต้องนำติดตัวไปด้วย หรือจะว่าวิบากกรรมของผี วิบากกรรมของคน สมบัติของผี สมบัติของคนก็ไม่ผิด เมื่อวิบากกรรมมีอยู่กับตัว
    <o:p></o:p>
    ท่านถาม : การอยู่ทางโน้นก็ดี การมาอยู่เชียงใหม่ก็ดี ต้องมีบ้านเรือนอยู่และมีหมู่มีเพื่อนอยู่ด้วย หรือต่างคนต่างอยู่
    <o:p></o:p>
    เขาตอบ : ต้องมีบ้านเรือนและมีหมู่เพื่อนลูกหลาน เช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์อื่นๆ นั่นแลท่าน เพราะพวกนี้ก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งเช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย เป็นแต่มีรูปกายไม่ปรากฏในสายตามนุษย์และสัตว์บางจำพวกเท่านั้น แต่เปิดเผยในจำพวกกายทิพย์ด้วยกัน ความสุขความทุกข์มีเหมือนกัน เพราะใจผีกับใจสัตว์ทั้งหลายมีกรรมและวิบากกรรมเหมือนกัน จะเกิดในภพกำเนิดใด อยู่ที่ใด จึงมีวิบากกรรมเป็นเครื่องเสวยเหมือนกัน<o:p></o:p>
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านว่า เวลามองพวกผีที่หอบขนครอบครัว ผัวเมียลูกหลานผ่านมาเป็นจำนวนมากนั้น ไม่ผิดอะไรกับมนุษย์เราย้ายครอบครัวเหย้าเรือน ลักษณะการไปที่เต็มไปด้วยภาระแบกหามต่างๆ ย่อมแสดงให้เห็นความทุกข์ความกังวลหม่นหมอง เช่นเดียวกับมนุษย์ย้ายครอบครัว และสัตว์บางจำพวกเช่นมด ขนไข่จากที่นี่ไปอยู่ที่นั้นนั่นแล ทำให้คิดในธรรมบทว่า กรรมจำแนกแจกสัตว์ให้เป็นต่างๆ กัน และเสวยผลต่างๆ กันตามวิบากของตนที่ทำไว้ ใครเกิดเป็นอะไร อยู่ที่ใด ย่อมตกอยู่ในอำนาจแห่งกรรมดี ชั่ว สุข ทุกข์ด้วยกัน ไม่มีพิเศษจากกรรมต่างกันอะไรเลย ผู้ทำดี ผลที่สนองตอบก็เป็นสุข ผู้ทำชั่ว ผลนั่นก็เป็นทุกข์ คำว่าสุขหรือทุกข์มีได้ในสัตว์ทั่วไปไม่นิยมชาติกำเนิด เป็นเพียงหยาบละเอียดต่างกันเท่านั้น ทั้งกายหยาบ กายละเอียด สรุปแล้วก็คือเรือนร่างแห่งความสุข ทุกข์เราดีๆ นี่เอง จึงไม่ควรตื่นเต้นในการเกิดซึ่งเท่ากับการตาย ในขณะเดียวกัน ผู้ไม่อยากตาย แต่ยังปรารถนาอยากเกิดเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ก็เท่ากับปรารถนาความตายอยู่นั่นเอง
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านว่า ผมนำเรื่องของผีของเทพที่เคยพบเห็นมาเทียบกับเรื่องของตัวและสัตว์ทั่วไปจนได้ความชัดเจนว่า ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกัน เช่นเดียวกับสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ถูกขังไว้ในที่แห่งเดียวกันฉะนั้น ทำให้เกิดความสลดสังเวชต่อความเกิดตายที่เราและสัตว์ทั้งหลายกำลังตกอยู่ โดยไม่มีวันเวลาว่าจะพ้นไปได้เมื่อไร และทำให้มีความขยันทางจิตตภาวนาเพื่อรื้อถอนกิเลสอันเป็นตัวนำของภพชาติมากขึ้น ตามเหตุการณ์ที่ประสบมา คำว่าภพหรือชาติก็คือที่ตั้งแห่งทุกข์โดยตรง ผู้ประสงค์ความสุขอันสมบูรณ์จึงไม่ควรปรารถนาความเกิด ซึ่งเป็นการขัดแย้งหรือตัดรอนความประสงค์นั้น นอกจากความสิ้นเชื้อภายในใจนั้นเป็นความสุขอันสมบูรณ์แท้
    <o:p></o:p>
    ท่านว่า ไม่เพียงทราบเรื่องเปรตผีเทวบุตรเทวดาเท่านั้น แม้ท่านอาจารย์มั่นที่นิพพานแล้ว ยังเมตตามาเยี่ยมและแสดงธรรมโปรดท่านเสมอ ส่วนมากโอวาทท่านอาจารย์มั่นที่แสดงแก่ท่าน หนักไปในความไม่ประมาท โดยยกสติขึ้นเป็นเครื่องประกันความเพียรว่าผู้มีสติในอิริยาบถนั้นๆ ไม่เฉพาะเวลาเข้าที่ทำสมาธิภาวนา หรือเข้าทางจงกรมโดยความมีสติ จึงจะเรียกว่าทำความเพียร สตินั่นแลคือธรรมรับรู้ ธรรมต้านทาน ธรรมต่อสู้ ธรรมหลบฉากในวิธีการรบ ธรรมคืบหน้ากล้าตายในสงครามระหว่างกิเลสกับจิต ถ้าขาดสติเพียงอย่างเดียวก็เจ๊ง ท่านอาจารย์มั่นสอน นักปฏิบัติจึงควรบำรุงสติ สติควรมีอยู่กับธรรมทุกขั้นทุกภูมิของจิต ไม่ว่าขั้นเริ่มฝึกหัด ไม่ว่าขั้นจิตเป็นสมาธิ ไม่ว่าขั้นเริ่มฝึกหัดทางปัญญา ไม่ว่าขั้นปัญญาและขั้นปัญญาอันแหลมคม สติมีความจำเป็นกับธรรมทุกขั้นไปตลอดสาย<o:p></o:p>
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สติไม่ควรให้อยู่ในวงจำกัดว่าควรมีน้อยเพียงนั้น หรือควรมีมากเพียงนั้น แต่ควรให้มีจนแก่กล้าเป็นขั้นมหาสติได้ยิ่งดี เพราะสติเป็นธรรมสำคัญในวงความเพียรที่ผู้ปฏิบัติควรสนใจอย่างยิ่ง ไม่ว่ากิจใดทั้งในและนอก ทั้งหยาบและละเอียด สติเป็นธรรมจำเป็นที่ควรแทรกอยู่ด้วยทุกกรณี สมาธิทุกขั้นปัญญาทุกภูมิ สติต้องเป็นพี่เลี้ยงให้เป็นไป ถ้าขาดสติเป็นเรื่องขาดมากกว่างานทุกชิ้นที่ขาดไปไม่ได้ทำ จะทำงานใดหรือไม่ แต่สติไม่ควรให้ขาดไปจากตัวจากใจ ผู้พยายามบำรุงสติไม่ลดละ ไม่ว่ากิเลสจะหนาแน่นเพียงไรในหัวใจ จะต้องเบิกทางให้เดินจนได้ คือ สมาธิทุกขั้นปัญญาทุกภูมิจะเกิดและมีกำลังได้ด้วยอำนาจสติเป็นเครื่องบำรุงหนีไม่พ้น ทางเชื่อมโยงแต่ขั้นเริ่มแรกจนถึงวิมุตติพระนิพพาน ได้แก่สตินี่แลเป็นผู้สนับสนุน ใครจะเจริญสมถะหรือวิปัสสนาขั้นใดก็ตาม ถ้าขาดสติแล้วสมถะและวิปัสสนานั้นไม่มีทางเจริญได้เลย
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นับแต่เริ่มแรกปฏิบัติมาจนสุดทางเดิน ผมไม่มองเห็นธรรมใดที่เด่นและฝังลึกในใจเท่าสตินี่เลย สติเป็นทั้งพี่เลี้ยงเป็นทั้งอาหาร เป็นทั้งยารักษาของสมาธิและปัญญาทุกขั้น ธรรมดังกล่าวนี้จะเจริญได้จนสุดขั้นของตน ล้วนขึ้นอยู่กับสติเป็นผู้บำรุงรักษาโดยจะขาดไม่ได้ ท่านจงฟังให้ถึงใจ ยึดไว้อย่าหลงลืมว่า สตินี่แลคือขุมกำลังใหญ่แห่งความเพียรทุกด้าน ต้องผ่านสตินี้ก่อนจะเคลื่อนไหวโยกย้ายความคิดเห็นไปในทางใด หยาบหรือละเอียดในธรรมขั้นใด ต้องมีสติเป็นตัวการสำคัญในวงความเพียร
    <o:p></o:p>
    ปัญญาเมื่อถึงคราวคิดค้น จงคิดค้นให้เต็มฝีมืออย่าออมแรง กลัวปัญญาจะล้นฝั่ง ถ้าสติมีกำกับปัญญาไปทุกระยะที่พิจารณาคิดค้นแล้ว ปัญญาจะไม่ล้นฝั่งกลายเป็นความเหลวไหลไปได้ ที่ปัญญากลายเป็นน้ำล้นฝั่งจนหาที่จอดแวะและยุติไม่ได้นั้น เพราะขาดสติกำกับ ปัญญาจึงกลายเป็นสัญญาไปจนหาจุดความจริงไม่เจอ ปัญญาที่มีสติเป็นเพื่อนสองต้องก้าวขึ้นสู่หาปัญญาโดยไม่คาดหมาย ลงใจมีมหาสติมหาปัญญาเป็นเพื่อนสองแล้ว กิเลสจะหนาแน่นยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกก็ไม่ทนความแตกทลาย เพราะอำนาจของมหาสติมหาปัญญาไปได้ การทำความเพียร อย่าสนใจมองดูเวลาสถานที่หรือสิ่งใด ยิ่งไปกว่าการมองดูจิตหรือเหตุการณ์ที่เกิดดับอยู่ภายในจิตด้วยสติ พิจารณาด้วยปัญญา นี่แลคือทางพ้นทุกข์ทั้งมวลอยู่ตรงนี้ ไม่อยู่กับสถานที่กาลเวลา
    <o:p></o:p>
    แต่การแสวงหาที่วิเวกสงัดเพื่อชัยภูมิอันเหมาะสมนั้นเป็นความชอบธรรม แต่ระวังอย่าถือสิ่งนั้นเป็นอารมณ์จนกลายเป็นการสร้างอุปสรรคแก่ตน เพราะความกังวลแสวงหาสถานที่ การแสวงหาสถานที่ก็แสวงจนเป็นที่พอใจ สติก็ตั้งปัญญาก็คิดไปในขณะเดียวกันอย่าให้เสียเวลาไปเปล่า สติปัฏฐานสี่และสัจธรรมสี่ นั่นคือสนามรบ จงทุ่มเทสติปัญญาศรัทธาความเพียรลงที่นั่น อย่าสงสัยว่ามรรคผลนิพพานจะมีอยู่ในที่อื่นใด นอกไปจากวงสติปัฏฐานสี่และสัจธรรมสี่นี้ ธรรมดังกล่าวเป็นที่ยืนยันรับรองมรรคผลมาแต่ดึกดำบรรพ์ และยังเป็นธรรมรับรองมรรคผลเต็มภูมิอยู่อย่างสมบูรณ์ไม่มีอะไรบกพร่อง<o:p></o:p>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การบกพร่องไม่สามารถถึงที่ประสงค์ได้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาศรัทธาความเพียรของแต่ละราย มิได้ขึ้นอยู่กับธรรมดังกล่าวที่เป็นธรรมยืนยันรับรองตายตัวอยู่แล้ว ท่านจงทำความมั่นใจต่อมรรคผล ด้วยการคุ้ยเขี่ยขุดค้นสติปัฏฐานสี่หรือสัจธรรมสี่ให้เต็มภูมิสติปัญญาที่มีอยู่ ท่านจะเป็นผู้หยิบยื่นมรรคผลให้แก่ท่านเอง ด้วยความสามารถของตนโดยไม่คาดฝัน ในวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอน
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ที่อธิบายนี้คือที่รวมแห่งมรรคผลว่า ไม่มีอยู่ในที่อื่นใด ท่านจงพยายามตามนี้ จงหายสงสัยในองค์พระศาสดา องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ ตลอดครูอาจารย์ ที่โลกว่าท่านเข้าสู่นิพพานไปแล้ว
    <o:p></o:p>
    คำว่านิพพานมิได้อยู่ตามจุดที่โลกคาดคะเนหรือเดากัน แต่อยู่ที่โลกไม่สามารถคาดเดาได้ ท่านจะเห็นนิพพานที่นั่น เห็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นครูอาจารย์ และเห็นท่านเองที่ตรงนั้น แล้วหายสงสัยโดยประการทั้งปวง ที่นั่นคือที่ไหนเล่า? ก็คือสติปัฏฐานสี่และสัจธรรมทั้งสี่ กับใจที่มีมหาสติมหาปัญญาคุ้ยเขี่ยขุดค้นอย่างละเอียดทั่วถึง จนเป็นธรรมของจริงล้วนๆ ขึ้นมาทุกส่วน ไม่มีความรู้ความเห็นใดปลอมแปลงแฝงอยู่ในสติปัฏฐานสี่และสัจธรรมทั้งสี่นั่นเลย ต่างอันต่างจริง คือสติปัฏฐานสี่ก็จริง สัจธรรมทั้งสี่ก็จริง ใจก็จริงด้วยปัญญา นั่นแลคือวิมุตติ นั่นแลคือนิพพาน นั่นแลคือที่สถิตอยู่แห่งองค์ศาสดา องค์พระธรรม องค์พระสงฆ์ และครูอาจารย์ที่ท่านบริสุทธิ์ จะเป็นที่ไหนกันอีกเล่า ? นั่นแลคือที่ยุติความกังวล นั่นแลที่ปล่อยวางภพชาติทั้งมวล นั่นแลคือที่ปล่อยวางทุกข์ทั้งปวง ท่านปล่อยวางกันที่ตรงนั้น
    <o:p></o:p>
    ท่านจงพยายามในข้อปฏิบัติเพื่อความปล่อยวางที่จุดนั้น อย่าคาดคะเนอย่าเดาให้เสียเวลาและเหนื่อยเปล่า เพราะธรรมนั่นมิใช่ธรรมคาดคะเน มิใช่ธรรมเดา แต่เป็นธรรมจริง ใครจริงในข้อวัตรปฏิบัติที่ประทานไว้ ผู้นั้นจะเข้าถึงธรรมจริงปราศจากความด้นเดาใดๆ ทั้งสิ้นดังนี้<o:p></o:p>
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พอเมตตาสั่งสอนจบลง ท่านอาจารย์องค์นั้นก้มลงกราบโดยทางสมาธิภาวนา เสร็จแล้วท่านอาจารย์มั่นขยับเคลื่อนองค์เล็กน้อยแล้วหายลับไปเลย คราวนี้ท่านมิได้เหาะมาโดยทางอากาศ เวลาท่านจากไป องค์ท่านก็หายลับไปเลย ท่านว่าตามนิมิตสำหรับท่านอาจารย์มั่นเอาแน่ไม่ค่อยได้ คือ บางทีท่านเหาะลอยมาทางอากาศและกลับไปทางอากาศ แต่บางทีก็เดินมาอย่างธรรมดาและหายไปอย่างธรรมดา รูปลักษณะท่านเป็นร่างเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่ท่านเมตตาสั่งสอน ท่านมาในร่างเดิม ท่านว่าท่านอาจารย์มั่นมาเมตตาสั่งสอนท่านเสมอ
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านอาจารย์องค์นี้มีนิสัยวาสนาแปลกๆ อยู่บ้าง ที่สำคัญก็คือ ท่านชอบอยู่ในป่าในเขาและชอบเที่ยวคนเดียว แม้จะออกมาเกี่ยวข้องกับหมู่คณะบ้างก็เพียงชั่วคราว และชอบเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ มีเสือเป็นต้น แต่ชีวิตท่านก็ผ่านมาได้ด้วยความราบรื่นปลอดภัย ครั้งหนึ่งตอนกลางวันท่านพักจำวัดอยู่ในกุฎีเล็กๆ เผอิญวันนั้นโยมมารดาท่านไปที่วัด ไม่ทราบอะไรดลใจให้โยมท่านไปร้องเรียกท่านให้ลงไปศาลาอย่างรีบด่วน โดยบอกว่าเวลานี้มีพระนางมัทรีมาอยู่ที่ศาลา ขอนิมนต์ท่านลงไปศาลาเดี๋ยวนี้ๆ ทั้งร้องเรียก ทั้งยืนคอยท่านอยู่หน้ากุฎีให้รีบลงไปโดยด่วน จนท่านตกใจตื่นทั้งหลับและรีบลงมาจากกุฎีทันที มิได้คิดว่าอะไรเป็นอะไร ที่ว่าพระนางมัทรีอยู่ที่ศาลาจะจริงหรือเท็จ ก็ยังมิได้พิจารณา รีบลุกพรวดพราดลงจากกุฎีเลยในเดี๋ยวนั้น
    <o:p></o:p>
    น่าอัศจรรย์เกินคาด เรื่องไม่คาดฝันก็ได้เริ่มเกิดขึ้นในขณะนั้น คือ พอท่านลงจากกุฎีมาด้วยความรีบด่วนได้ประมาณสามวาเท่านั้น ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฎีท่านก็หักล้มลงทับกุฎีท่านในขณะนั้น จนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นเหลืออยู่เลย ถ้าท่านยังนอนหลับอยู่ในกุฎีโดยโยมท่านมิได้มาปลุกอย่างกะทันหันแล้ว อย่างไรก็คงหลับเตลิดไปเลยจนป่านนี้ คงไม่มีวันตื่นแน่นอน ท่านว่า นี่แลคือกรรมที่ยังสืบต่ออยู่จึงยังไม่ถึงที่ ชีวิตก็ยังผ่านมาได้ถึงวันนี้ ไม่งั้นก็คือขณะนั้นแน่นอนเป็นวาระสุดท้ายท่าน พอเรื่องผ่านไปแล้ว ท่านจึงถามโยมมารดาว่า เพราะเหตุไร อยู่ๆ จึงมาเรียกปลุกท่านอย่างรีบด่วนจนไม่ได้ตั้งเนื้อตั้งตัว รีบลุกออกมาทั้งที่กำลังเป็นบ้าหลับบ้าตื่น และเวลาตื่นขึ้นมาแล้วยังงงงันอยู่เลย แม้กระทั่งไม้ล้มทับกุฎี
    <o:p></o:p>
    โยมมารดาบอกว่า เหมือนมีอะไรบันดาลใจให้ต้องรีบไปปลุกท่านให้ลุกเพื่อมาดูพระนางมัทรี ประกอบกับขณะนั้น ก็ปรากฏเห็นพระนางมัทรีมานั่งอยู่บนศาลาจริงๆ ด้วย โดยพระนางทรงบอกเองว่าตนเป็นพระนางมัทรี จึงอยากให้พระลูกชายมาต้อนรับและดูพระนางมัทรี แต่ก่อนเคยได้ยินแต่ชื่อในพระเวสสันดรชาดก ไม่คาดฝันว่าจะได้เห็นองค์พระนางมัทรีเอง เสด็จมาอยู่ที่ศาลาในป่าเช่นนั้น จึงทำให้เกิดความตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก จึงรีบไปปลุกลูกชายให้ตื่นและรีบลงไปศาลาหาพระนางมัทรี เรื่องก็ดังที่ปรากฏนั่นแล โยมท่านว่า ผมเองก็อัศจรรย์ไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องทำนองนี้จะเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นผมต้องตายแล้วแต่บัดนั้น ท่านว่า<o:p></o:p>
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ขณะฟังท่านเล่า ขนลุกซู่ทุกที ท่านว่ากรรมบันดาลจริงๆ ที่ว่าพระนางมัทรีมานั่งอยู่ที่ศาลานั้น น่าจะเป็นเทวดานิมิตเพศเป็นพระนางมัทรีมาช่วยชีวิตท่านไว้ ไม่เช่นนั้นก็คงจบไปแล้วในวันนั้น มิได้เป็นท่านมาจนบัดนี้เลย ฟังโยมท่านพูดว่าเป็นผู้หญิงจริงๆ นั่งอยู่บนศาลา รูปร่างสวยงามมาก ไม่เคยเห็นหญิงใดสวยงามเหมือนหญิงที่ประกาศตนว่าเป็นพระนางมัทรีซึ่งนั่งอยู่บนศาลานั้น แต่เวลาพากันกลับมาดูอีกหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ไม่เห็นมีพระนางมัทรีอยู่ที่นั่นเลย เห็นแต่รูปพระเวสสันดรกับรูปพระนางมัทรีที่มีอยู่บนศาลามาดั้งเดิมเท่านั้น ใครๆ นึกประหลาดและอัศจรรย์ไปตามๆ กันที่เหตุการณ์เปลี่ยนไปในทำนองนั้น
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านอาจารย์องค์นี้รู้สึกหวุดหวิดต่อชีวิตมาหลายครั้ง คือ เคยเผชิญกับเสือมาหลายครั้ง ไม้ล้มทับกุฎีแหลกละเอียด องค์ท่านเทวดาบันดาลให้หนีพ้นไปได้อีก ครั้งสุดท้ายนี้ก็หวุดหวิดไปเหมือนกัน คือ วันนั้นเดินทางไปพักในป่าใหญ่นอกบ้านแห่งหนึ่ง เนื่องจากเดินทางมาจากเขา พอมาถึงที่นั้นค่ำพอดี จึงแวะพักในป่านั้น พอตกกลางคืนราว ๓ ทุ่ม ทั้งฝนทั้งพายุโหมกันมาอย่างหนัก ทั้งลูกเห็บเม็ดโต ๆ ก็ลงพร้อมกัน หาที่หลบหลีกไม่ได้ ต้องยืนพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้วยความจำเป็น ตามองไม่เห็นอะไร ฝนก็ตกเต็มที่ ลูกเห็บก็ลงราวกับพังหินลงจากภูเขา พายุใหญ่ก็โหมกันมาเหมือนต้นไม้จะถอนไปทั้งรากทั้งโคน ขณะยืนเปียกฝน มือข้างหนึ่งถือกลดกางไว้ บ่าข้างหนึ่งสะพายบาตร ยืนหนาวตัวสั่นอยู่ใต้ต้นไม้เหมือนลูกนกถูกฝน
    <o:p></o:p>
    ไม่นึกไม่ฝัน เหตุไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นในขณะนั้น คือ กิ่งไม้ใหญ่ถูกพายุพัดทนไม่ไหว หักขาดตกลงถูกกลดในมือท่านแหลกละเอียดหมด บาตรหลุดบ่าตกกระเด็นไปคนละทิศละทาง คราวนี้เป็นอันว่ายังเหลือแต่ตัวกับลมหายใจทนหนาวอยู่ คอยวาระสุดท้ายจะมาถึง บริขารชิ้นใดตกไปไหนก็ไม่มีทางทราบได้ เพราะเป็นเวลากลางคืน ฝนกำลังตกหนัก พายุกำลังแรงเต็มที่ ตามองไม่เห็นอะไร มีแต่ยืนหลับตาดูลมหายใจอยู่เท่านั้นว่าจะหยุดทำงานกันขณะใด ยังมีติดตัวอยู่เฉพาะสบงกับจีวรที่นุ่งห่มปกปิดกายเท่านั้น ทั้งเปียกปอนไม่มีดีเลย ความหนาวเหน็บเจ็บปวดปรากฏว่ารวดร้าวไปทั้งร่าง ชนิดพูดไม่ออกบอกไม่ถูก นึกว่าตัวเองตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว เนื่องจากความทุกข์ทรมานแสนสาหัส จนหาอะไรเทียบไม่ได้เวลานั้น ยืนนึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูที่ทรงได้รับความทุกข์ทรมาน ยิ่งกว่าตัวที่กำลังได้รับอยู่เวลานั้นมากมาย ท่านไม่เห็นเป็นอะไร ยังเล็ดลอดอันตรายทั้งหลายมาจนได้ตรัสรู้เป็นศาสดาสอนโลก ส่วนเรามีทุกข์บ้างชั่วระยะเวลาฝนตกเท่านี้ยังทนไม่ไหว ก็ควรตายไปเสียอย่าเสียดายชีวิตเลย<o:p></o:p>
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พอฝนและพายุสงบลงซึ่งเป็นเวลานานประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ จึงพอมีลมหายใจคืนมาบ้าง ทีแรกนึกว่าตายไปกับฝนกับพายุและลูกเห็บหมดแล้ว คืนนั้นไม่ได้พักหลับนอนทั้งคืน ทั้งยืนทั้งนั่งตัวสั่นอยู่ตลอดสว่าง ขณะที่ฝนกำลังตกนั้น ก็บังเอิญมีงูสามเหลี่ยมใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาหาท่าน ไล่ก็ไม่ยอมหนี มันเลื้อยเฉียดมาที่เท้า ก้มลงดูใกล้ๆ จึงทราบว่าเป็นงูสามเหลี่ยม ที่พอมองเห็นได้บ้างก็เพราะเป็นหน้าเดือนหงาย แม้จะมืดด้วยอากาศฝนก็ยังพอมองเห็นได้ งูตัวนั้นจากไล่ไม่ยอมหนีแล้ว มันยังมาขดตัวอยู่ข้างๆ คนอีก ห่างกันประมาณครึ่งเมตรเท่านั้น จึงทำให้คิดปลงอนิจจังว่า คราวนี้เราเป็นทุกข์เต็มทน แต่งูตัวนี้เวลาฝนตกคงนึกสนุกจึงออกเที่ยวหาอาหารกิน แทนที่จะไปเที่ยวหาอาหาร ทำไมจึงกลับมานอนขดอยู่ข้างเราอย่างนี้ ซึ่งไล่ก็ไม่ยอมหนี ชะรอยมันคงจะมาเป็นมิตรกับเราในยามทุกข์ยากกระมัง
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    พอปลงอนิจจังตกก็เลยหยุดไล่ ปล่อยให้มันนอนอยู่ตามสบาย แต่ไม่แสดงกิริยาท่าทางน่ากลัวอะไรเลย คงอยู่ตามธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง จวนสว่างมันถึงได้หนีไป ส่วนท่านเองหนีไปไหนไม่ได้เพราะตามองไม่เห็นอะไร ไฟก็จุดไม่ได้ ไม้ขีดไฟที่เก็บไว้ในบาตร ก็ถูกกิ่งไม้ใหญ่ตกลงมาทับหลุดมือหายไปไหนก็ไม่มีทางทราบได้ เทียนไขและโคมไฟที่อยู่ในบาตรก็เช่นกัน ไม่ทราบตกหายไปไหน จำต้องทนนั่งลิงนอนลิงเฝ้างูสามเหลี่ยมอยู่จนถึงสว่าง เมื่อสว่างพอมองเห็นอะไรได้บ้าง จึงเที่ยวค้นดูบริขารต่างๆ ที่ตกหายไป เฉพาะกลดถูกกิ่งไม้ทับแหลกไม่มีชิ้นดีเลย ส่วนบาตรถูกไม้ทับบู้บี้ไปหมดแต่ยังพอแก้ไขได้ จึงนำมาทุบตีที่บุบๆ ออก พอได้ใส่อาหารฉันในวันต่อไป
    <o:p></o:p>
    ตอนเช้าชาวบ้านออกมาดูท่าน ต่างพากันมาปลงธรรมสังเวชว่า ท่านมีบุญมากไม่ตายไปเสียแต่คืนนี้ น่าสงสารท่านเหลือประมาณ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เวลานั้น เพราะทางบ้านก็หลังคาถูกพายุพัดกระเจิงไปตามลมก็มีเยอะ เหตุการณ์ขนาดนี้ถ้ายังไม่ถึงคราวก็ผ่านพ้นไปได้ แต่ใครเล่าจะอยากเจอบ้างเหตุการณ์ทำนองนี้
    <o:p></o:p>
    นี่แล ชีวิตของพระธุดงคกรรมฐานที่ท่านพยายามฟันฝ่ามาแต่ละองค์ ก่อนจะได้เป็นครูอาจารย์นำธรรมมาสั่งสอนคณะลูกศิษย์ ชีวิตท่านเป็นมากับความทุกข์ทรมานดังที่ทราบอยู่ขณะนี้ แม้เช่นนั้นท่านก็ไม่ยอมลดละความเพียร ที่ท่านนั่งลิงนอนลิงทนหนาวตลอดคืนก็คือการรบข้าศึกอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เรียกว่าวิธีจนตรอก ถูกข้าศึกคือฝนตก พายุพัด ลูกเห็บตก และกิ่งไม้หักตกลงมาทับบริขารแหลกกระจุยกระจาย ซึ่งเป็นข้าศึกชนิดล้อมรอบขอบชิดจนหาทางออกไม่ได้ ที่เรียกว่ารบข้าศึกแบบวิธีจนตรอก ตัวเองแทบตาย แต่ก็ยังผ่านพ้นมาได้ นับว่ายังไม่ถึงคราว และผ่านมาจนได้เป็นครูอาจารย์ให้อรรถให้ธรรม คณะลูกศิษย์ยังได้ฟังธรรมเดนตายจากท่าน ถ้าองค์ท่านไม่เหลือเดนมา ธรรมก็คงไม่เหลือเป็นธรรมเดนมาถึงพวกเรา เมื่อคิดดูแล้วคณะลูกศิษย์รู้สึกได้เปรียบท่านอยู่มาก อยู่ๆ ก็ได้ฟัง ไม่ยากเย็นเข็ญใจเหมือนท่านผู้ขวนขวาย<o:p></o:p>
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านอาจารย์องค์นี้ทุกข์ก็มาก ทั้งเป็นทุกข์ซ้ำซากนับแต่เริ่มปฏิบัติมา ภูมิธรรมท่านก็สูงน่าเคารพบูชาเป็นขวัญตาขวัญใจแก่พวกเรา แม้ทุกวันนี้ท่านมิได้ลดหย่อนความพากเพียร เพราะท่านเคยได้ผลด้วยความเพียร จึงพยายามเพียรเรื่อยมา ไม่เคยเห็นผลจากความเกียจคร้านอ่อนแอ ท่านจึงไม่ยอมอ่อนแอ ท่านที่เคยเห็นผลในทางใดก็มักเพียรในทางนั้นดังได้กล่าวแล้วข้างต้น ท่านอาจารย์องค์นี้ควรเป็นทิฏฐานุคติได้เป็นอย่างดี ยากจะมีผู้ทำได้อย่างท่าน ภูมิจิตภูมิธรรมท่านน่าเคารพเลื่อมใสมาก ทางสมาธิก็เก่ง รู้ได้ทั้งข้างในข้างนอกเกี่ยวกับพวกเปรตผีเทวดาพญานาค ยากจะมีผู้รู้เห็นได้อย่างท่าน ทางปัญญาท่านก็ดี ธุดงควัตรนับว่าท่านเป็นผู้รักชอบมากและรักษาไว้ด้วยดีตลอดมา ท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูงในบรรดาลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นด้วยกัน
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    สมัยท่านอาจารย์มั่นยังอยู่ ท่านได้รับความชมเชยว่ามีนิสัยในการสงเคราะห์เทวดา พูดเรื่องเทวดาเปรตผีพญานาครู้เรื่องกัน เป็นผู้มักน้อยสันโดษ ชอบอยู่โดดเดี่ยวในป่าในเขาคนเดียว มีนิสัยเด็ดเดี่ยวอาจหาญดี ประคองความเพียรดี ไม่ค่อยตื่นเต้นตามโลกสงสารที่นิยมนั้นๆ นี้ๆ กันอย่างง่ายดาย ถือป่าเข้าถ้ำเงื้อมผาเป็นที่อยู่เรื่อยมาตามทางดำเนินของครูอาจารย์ที่พาดำเนิน ไม่เป็นคนมีนิสัยกลับกลอกประจบสอพลอ ที่เข้านอกออกในวิ่งใต้เข้าเหนือได้ แต่ยึดถือเอาสารประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ชอบมีแต่ชื่อไม่มีตัวจริง ถ้าเป็นเงินก็มีแต่บัญชีไม่มีตัวเงิน ส่วนท่าน…นี้เป็นผู้มีคุณธรรมที่น่าชมเชย และชมว่าเป็นผู้พูดน้อยแต่ต่อยมาก ไม่ค่อยมีการพูดพล่ามลมๆ แล้งๆ ซึ่งความจริงไม่ค่อยมีดังที่ควรจะเป็น แต่ท่าน…นี้ชอบพูดจริงทำจริงเป็นนิสัย สมเป็นพระปฏิบัตินับแต่วันบวชมาจนบัดนี้ดังนี้
    <o:p></o:p>
    สำหรับอติเรกลาภท่านไม่ค่อยมีมาก แต่บรรดาพระและคณะศิษย์ท่านก็ทราบได้ดีถึงสาเหตุที่ท่านไม่ค่อยมีสิ่งเหล่านี้มาก เนื่องจากท่านชอบเที่ยวอยู่แต่ป่าแต่เขาเป็นนิสัย ไม่ค่อยออกมาบ้านเมืองที่มีผู้คนมาก และท่านอยู่ไม่ค่อยเป็นที่เป็นฐานที่ผู้คนจะพอทราบและเข้าถึงท่านได้ง่ายๆ อีกประการหนึ่ง ท่านมีนิสัยไม่ชอบเกลื่อนกล่นวุ่นวายกับผู้คนและเครื่องไทยทานทั้งหลายยิ่งกว่าการสนใจในธรรม จึงทำให้มีนิสัยชอบในทางเป็นนักแสวงธรรม และอยู่ตามสถานที่ที่เห็นว่าการบำเพ็ญเพื่อธรรมที่ตนมุ่งหมายจะสะดวก<o:p></o:p>
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านอาจารย์องค์นี้ปกติชอบเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับสัตว์ร้าย ซึ่งน่าจะเคยมีอริศัตรูต่อกันกับสัตว์ทั้งหลายมาแต่อดีตอยู่มากมาย จึงชอบเด่นในทางประสบภัยบ่อยที่สุดในชีวิตแห่งนักบวชท่าน แต่เมื่อสังเกตดูตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่ารายใดมักจะมาเสริมกำลังทางจิตใจท่านให้เด่นขึ้นทุกคราวที่เผชิญ มิได้ทำให้เกิดความอาภัพอับเฉาเศร้าใจและเป็นอันตรายแก่ชีวิตพรหมจรรย์ท่านแต่ประการใด ยิ่งเผชิญบ่อยก็ยิ่งทำให้ท่านเชื่อบุญเชื่อกรรมเชื่อศีลเชื่อธรรม และเชื่อสมรรถภาพทางจิตใจตนเองมากขึ้นกว่าปกติธรรมดา ที่ไม่ประสบพบปะสิ่งใดๆ เสียเลย
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    จึงทำให้สันนิษฐาน หรือคิดด้นเดาไปตามความรู้สึกของวงนักปฏิบัติกรรมฐานด้วยกันว่า เพราะอำนาจแห่งเมตตาจิต อำนาจแห่งจิตของผู้ปฏิบัติ และอำนาจแห่งธรรมอันเป็นธรรมที่เคยให้ความไว้วางใจและความร่มเย็นแก่โลกตลอดมาก็ได้ จึงทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย และได้กำลังจิตใจไปทุกระยะที่มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น ท่านอาจารย์องค์นี้ก็น่าจะอยู่ในข่ายแห่งความเป็นผู้มีเมตตาจิตแรง พอให้เกิดความสะดุดใจ เพื่อลดความโหดร้ายทารุณของสัตว์ต่างๆ ลงได้ จนกลายเป็นมิตรภาพอันสนิทสนมทางภายในแก่กันและกันได้ มิฉะนั้นคงเป็นอันตรายแก่ชีวิตพรหมจรรย์ไปนานแล้ว ไม่ได้มาเป็นเจ้าของประวัติทั้งที่องค์ท่านยังมีชีวิตอยู่ได้เลย
    <o:p></o:p>
    ธรรมจึงเป็นความมหัศจรรย์เกินคาด สำหรับผู้ที่ได้สัมผัสรับทราบประจักษ์ด้วยตนเอง แต่เป็นสิ่งลึกลับสำหรับรายที่ไม่อยู่ในวิสัยจะมีทางทราบได้ แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมต้องเป็นธรรมคู่เคียงกับโลกอยู่เสมอไป มิได้ขึ้นอยู่กับความสัมผัสรับรู้หรือไม่รู้ เชื่อหรือไม่เชื่อของใครๆ เพราะธรรมเป็นเอกสิทธิ์เอกธรรมตามหลักธรรมชาติของตนมาดั้งเดิม มิได้ขึ้นอยู่กับอะไรพอจะเอนเอียงหรือคล้อยตามไปกับสิ่งนั้นๆ
    <o:p></o:p>
    ท่านอาจารย์องค์นี้ท่านคงเชื่อคุณธรรมทั้งหลายดังกล่าวมาอย่างฝังใจ จึงชอบบุกป่าฝ่าอุปสรรคนานาชนิด ไม่มีท้อถอยอ่อนแอ แต่รู้สึกท่านพอใจและดำเนินวิธีนี้อย่างสนิทใจมากขึ้น เราทราบได้เวลาออกพรรษาแล้ว ท่านต้องออกเดินธุดงค์เข้าป่าเข้าเขาหายเงียบไปเลยทุกปี ไม่เห็นท่านมาอยู่มั่วสุมคลุกคลีกับใครๆ เห็นแต่ท่านเข้าป่าเข้าเขาเร่งความเพียรทางใจไม่มีลดละปล่อยวาง ท่านพูดเรื่องป่าเรื่องเขาเรื่องถ้ำเงื้อมผาในสถานที่ต่างๆ ได้อย่างคล่องปากด้วยท่าทางอันพอใจจริงๆ ยิ่งให้ท่านพรรณนาป่าพรรณนาเขาพรรณนาถ้ำพรรณนาเงื้อมผาด้วยแล้ว ทำให้ผู้ฟังสนใจในสภาพเช่นนั้นอยู่แล้วเกิดความเพลินใจไม่อยากให้จบลงอย่างง่ายๆ และวาดมโนภาพไปตามอย่างสุดซึ้งเพลินใจ ประหนึ่งตนก็จะไปปลงภาระอันหนักหน่วงคือกิเลสทุกประเภทจากบนบ่าคือดวงใจ ลงโดยสิ้นเชิงในที่ดังกล่าวนั้นจริงๆ ฟังแล้วเกิดกำลังใจคิดอยากไปและอยู่ในที่เหมาะๆ ดังท่านเล่าให้ฟังเป็นที่บำเพ็ญ ใจจะได้สงบเยือกเย็นง่ายกว่าที่ธรรมดาที่เคยอยู่มาจนจำเจ<o:p></o:p>
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านเล่าว่า บางครั้งจะเป็นเวลาเรากำลังนั่งภาวนาอยู่ หรือจะเป็นเวลาเรานอนหลับก็ทราบไม่ได้ ตอนกลางคืนไม่ทราบว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ เสือโคร่งใหญ่ด้อมเข้ามาจนถึงแคร่เล็กๆ ที่เราพักนอนโดยไม่รู้สึกตัวเลย ตื่นเช้าจึงเห็นรอยมัน เพราะบริเวณที่อยู่อาศัยเราปัดกวาดไว้อย่างเตียนโล่ง อะไรเดินเข้ามาต้องเห็นรอยทันที พอเห็นรอยมันตอนเช้าข้างๆ บริเวณจึงตามดูรอยมันเข้ามา ที่ไหนได้มันเข้ามาจนถึงแคร่ที่นอนเราจริงๆ ไม่ได้ห่างกันอะไรเป็นเมตรๆ ศอกๆ เลย เรากะดูรอยเท้าที่มันเหยียบไว้กับแคร่ที่นอนห่างกันเพียงศอกเดียวก็ไม่ถึง มันคงจะสูดดมกลิ่นคนดิบดีแล้วค่อยถอยออกไป เวลาไปก็กลับออกไปทางเก่าที่มันเข้ามานั่นเอง ไม่เที่ยวเดินตามบริเวณรอบๆ ที่เราพักอยู่เลย
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    พอเห็นรอยมันที่กล้าหาญเข้ามาจนถึงตัวคน เรารู้สึกเสียวนิดๆ เพราะรอยมันใหญ่มากผิดปกติ แต่ก็เห็นมาเพียงคืนเดียวเท่านั้น ไม่เห็นมาอีกเลย เราเองก็พักอยู่ที่นั่นเป็นเดือนๆ ถ้ามันสนใจจะเอาเราเป็นอาหารจริงๆ ก็คงกลับมาอีก แต่เห็นหายเงียบไปเลย ได้ยินแต่เสียงมันร้องครวญครางอยู่ตามรอบๆ บริเวณธรรมดาเหมือนที่เคยได้ยินทั่วๆ ไป
    <o:p></o:p>
    ผู้เขียนเป็นคนนิสัยซอกแซก พอได้ยินท่านเล่าให้ฟังก็รีบเรียนถามเป็นเชิงส่งเสริมทันทีว่า นั่นเข้าใจว่ามันเข้ามาไหว้ชมบารมีท่านอาจารย์ต่างหาก มิได้เข้ามาฐานเป็นศัตรู เพราะมันเป็นสัตว์บวชบำเพ็ญธรรมไม่ได้เหมือนมนุษย์ เมื่อเดินเที่ยวเปะปะมาเจอพระผู้มีเมตตาเข้าบ้างก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จะเข้ามากราบไหว้ชมบารมีในเวลาธรรมดาก็เกรงว่าพระท่านจะกลัว เลยแอบด้อมเข้ามาในเวลาท่านหลับจะได้ชมสนิทใจ ทั้งพระท่านก็ไม่รู้สึกตัวและไม่กลัว อันเป็นการเขย่าขวัญโดยผิดความมุ่งหมายที่มันอุตส่าห์มากราบเยี่ยมทั้งที พอได้ไหว้อย่างสมใจแล้วก็รีบถอยออกไปทันที กลัวท่านจะตื่นและกลัว ซึ่งอาจแสดงอาการหรือร่ายมนต์วิชาคาถาอาคมอย่างใดอย่างหนึ่งใส่มันก็ได้ พอให้เสียเส้นใจที่มันเคารพเลื่อมใส กระผมคิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้นมากกว่าอย่างอื่น ไม่เช่นนั้น มันคงไม่กล้าเข้ามาจนถึงที่อยู่แน่ๆ
    <o:p></o:p>
    ท่านหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า มันจะไปรู้ความเลื่อมใสศรัทธาอะไรกับเรา นอกจากมันอาจคิดว่า นี่เป็นอาหารว่างของเราหรืออะไรกันแน่เท่านั้น จึงแอบเข้ามาดู พอทราบว่าเป็นคนซึ่งเป็นสิ่งที่มันเคยกลัวมาแต่เกิด จึงรีบหลบหนีไป นับแต่วันนั้นแล้วไม่เห็นมันมาด้อมๆ มองๆ อีกเลยจนกระทั่งเราหนีจากที่นั่น ท่านว่าสัตว์พรรค์นี้ก็แปลก ราวกับมีอะไรเข้าสิงใจให้มันคิดอยากมาดูพระกรรมฐาน ที่กำลังนั่งทำสมาธิภาวนาบ้าง กำลังเดินจงกรมทำความเพียรอยู่บ้าง กำลังนั่งภาวนาอยู่ภายในมุ้งบ้าง กำลังนอนหลับอยู่บ้าง บางทีอยู่ๆ ตอนเช้ามันคิดอยากขึ้นมาหาเรา ก็ขึ้นมานั่งแบบสุนัข นั่งแล้วดูเราเอาอย่างดื้อๆ โดยไม่ทำท่าให้เรากลัว บางทีกลางคืนก็ทั้งเดินทั้งร้องครวญครางขึ้นมาหาเราอยู่ในถ้ำ เมื่อมาถึงแล้วก็นั่งดูเราเฉยๆ แบบสุนัขนั่ง เสร็จแล้วก็ลงไปโดยไม่ทำท่าทำทางให้เป็นที่น่ากลัวอะไรเลย แต่เราก็อดขยาดมันไม่ได้ เพราะเป็นสัตว์ที่น่ากลัวมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว<o:p></o:p>
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ที่แปลกก็คือไม่ว่าตัวใดมาหาเรา ณ ที่ใดและเวลาใดซึ่งมีแต่ชนิดลายพาดกลอนตัวใหญ่ๆ และยาวเหยียดน่ากลัวทั้งนั้น แต่มิได้แสดงอาการคำรามอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นที่น่ากลัวเลย เพียงมาดูๆ เสร็จแล้วก็หนีไป ไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าเราพักอยู่ในที่เช่นไร เวลาเขามาหาเราก็มาในลักษณะเดียวกัน คือ มิได้แสดงตัวเป็นศัตรูและพยายามจะกัดฉีกเป็นอาหาร แต่มาในลักษณะสัตว์บ้านที่มีความเชื่องชินต่อคนมาแล้ว จึงมิได้แสดงตัวเป็นศัตรูต่อเรา แต่แสงตาที่มันมองมาหาเราแต่ละครั้งนั้น รู้สึกคมกล้ามากตามธรรมชาติของมัน ทั้งที่มันมิได้ใช้แสงตาสัมปยุตไปด้วยความกริ้วโกรธหิวโหยจะตะครุบเรากินเป็นอาหารเลย แต่ก็เป็นแสงตาที่คมกล้าน่ากลัวตามธรรมชาติของมันอยู่นั่นเอง ผู้เขียนปากอยู่ไม่เป็นสุขจึงเรียนถามท่านว่า เวลามันเข้ามาหาท่านอาจารย์ อาจารย์ได้พูดอะไรกับมันบ้างหรือเปล่า
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่าน : พูดบ้างเหมือนกัน เช่นว่าจะขึ้นมาทำไมที่นี่ เพราะไม่ใช่ทำเลหากินของแก เป็นที่พักภาวนาของพระท่านต่างหาก ไปเสีย ไปเที่ยวที่อื่น อย่าขึ้นมาที่นี่ เดี๋ยวพระท่านกลัวแก จะเป็นบาปตกนรกนะ ที่ว่าเดี๋ยวพระท่านกลัวนั่นว่าเฉยๆ ความจริงเรากลัวมันอยู่แล้วแต่ขณะที่มองเห็นทีแรก
    <o:p></o:p>
    ผู้ถาม : ท่านอาจารย์เคยเดินเข้าไปหามันบ้างหรือเปล่า ขณะที่มันขึ้นมานั่งดูท่านอาจารย์อยู่ต่อหน้า
    <o:p></o:p>
    ท่าน : บางครั้งก็เดินเข้าไปหามันเหมือนกันเวลาบอกให้มันหนีไป แต่มันยังไม่ไป คงนั่งดูเราเฉยอยู่ เราก็เดินเข้าไปหามันซึ่งอยู่ห่างกันประมาณสามสี่วาเท่านั้น ทั้งเดินเข้าไป ทั้งชี้ไม้ชี้มือบอกมันว่า โน้นทำเลเที่ยวของแกไม่อด มีแต่ป่าแต่เขาทั้งนั้น จะเที่ยวที่ไหนก็ได้ตามชอบใจ ดีกว่ามาเที่ยวที่นี่ให้พระท่านกลัว ไปเดี๋ยวนี้ อย่าขึ้นมานั่งเล่นให้พระกลัว ท่านกำลังภาวนา เดี๋ยวตกนรกนะ เวลาจะไป มันโดดปุ๊กเดียวแล้วก็หายเงียบไปเลย มันคงรู้เรื่องของพระอยู่บ้างผมว่า ถ้าไม่รู้มันจะขึ้นมาหาอะไรในถ้ำที่เราอยู่ เพราะถ้ำบางแห่งก็โล่งโถงไม่น่าอยู่และไม่น่าขึ้นมาสำหรับสัตว์พรรค์นี้ ซึ่งชอบอยู่ในที่กำบังหลบซ่อนเก็บเนื้อเก็บตัวตามนิสัย มันต้องรู้เรื่องของพระอยู่บ้าง จึงอุตส่าห์ขึ้นมาหาเราในลักษณะคล้ายคลึงกับเด็กที่คิดสนุก ก็พากันขึ้นไปหาพระบนถ้ำซึ่งเคยมีอยู่บ่อยๆ ในเวลากลางวันเงียบๆ แต่เสือผิดกับเด็กอยู่บ้างที่ชอบมาหาพระตอนกลางคืนหรือตอนเช้าๆ ก่อนบิณฑบาต
    <o:p></o:p>
    ผู้ถาม : ก่อนที่เสือจะขึ้นมานั้น ท่านอาจารย์เคยนึกอยากให้มันขึ้นมาหาบ้างหรือเปล่า
    <o:p></o:p>
    ท่าน : จะคิดอยากให้มันขึ้นมาหาประโยชน์อะไรเล่า แม้มันมาชั่วขณะเท่านั้น ก็กลัวมันแทบจะตายและเหงื่อแตกโชกอยู่แล้ว ถ้ามันขืนอยู่ที่นั่นนานๆ ไม่ยอมลงไป น่ากลัวไข้จับสั่นเล่นงานในขณะนั้นโดยไม่ต้องสงสัย ใครจะคิดคะนองดื้อด้านอยากให้เสือขึ้นมาหาไม่เข้าเรื่องเข้าราวอย่างนั้นเล่า แล้วท่านหัวเราะนิดหนึ่ง<o:p></o:p>
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ก็เห็นท่านอาจารย์กล้าหาญไม่นึกกลัวอะไร อยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนคุยแก้ง่วง นึกสนุกขึ้นมาอยากให้เสือมาเป็นเพื่อนคุยบ้าง กระผมจึงได้เรียนถามอย่างนั้น
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านยิ้มแล้วพูดว่า หาเรื่องตายไม่เข้าท่าเข้าทีอะไรเลย ใครจะไปหาญคิดเช่นนั้น ซึ่งเป็นความประมาทผิดธรรม เผื่อมันโผล่ขึ้นมาทำท่าเอาจริงเอาจัง จะมีโลกไหนให้คนกล้าไม่รู้จักตายอยู่ล่ะ ดังนี้
    <o:p></o:p>
    ปฏิปทาของพระกรรมฐานที่ท่านปฏิบัติกันมา ถ้าพิจารณาตามความคิดเห็นของคนทั่วไป ก็น่าจะเรียกว่าล่อแหลมต่ออันตราย แต่ถ้าพิจารณาไปตามธรรม ก็รู้สึกเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราเคยได้ประโยชน์ในทางใด ก็ชอบแสวงหาในทางนั้น ท่านที่เคยได้ผลจากการปฏิบัติในทางนี้ก็ย่อมตะเกียกตะกายในทางนี้ แม้ยากลำบากและเสี่ยงต่อความทุกข์และภัยต่างๆ ก็จำต้องอดทนเอาบ้าง บรรดาท่านที่พอทรงตัวเป็นหลักฐานทางจิตใจได้ จนได้เป็นครูอาจารย์ของประชาชนพระเณร โดยมากท่านปฏิบัติกันแบบนี้แทบทั้งนั้น ดังท่านอาจารย์มั่นพูดว่า ธรรมอยู่ฟากตาย ถ้าไม่รอดตายก็ไม่เห็นธรรมดังนี้ ก็เพราะการเสี่ยงต่อชีวิตจิตใจความเป็นความตายจริงๆ มีจิตใจมุ่งมั่นต่อธรรมแดนหลุดพ้นเป็นหลักยึด
    <o:p></o:p>
    พระกรรมฐานผู้ตั้งหน้าปฏิบัติจริงๆ จึงมักเจอกับความอดอยากขาดแคลนประจำชีวิตในคราวเร่งความพากเพียร แต่จิตใจอิ่มเอิบด้วยธรรม มีความสงบผ่องใสเป็นเรือนอยู่ของใจ ไม่ส่ายแส่วุ่นวาย ธุดงควัตร ๑๓ ข้อ เป็นธรรมจำเป็นสำหรับท่านและเป็นธรรมคู่ชีวิตในการดำเนินเพื่อมรรคผลนิพพาน เช่นเดียวกับธุดงควัตรเป็นธรรมจำเป็นของพระครั้งพุทธกาลฉะนั้น บางองค์ชอบอยู่ร่มไม้ในหน้าแล้งจนมุ้งกลดขึ้นราดำๆ ด่างๆ ไปหมดทั้งผืนเพราะน้ำค้างมาก และตกลงถูกกลดถูกมุ้งซึ่งปราศจากที่มุงที่บังในเวลากลางคืน ถ้าเป็นหน้าหนาว น้ำค้างก็ยิ่งมาก กลดกับมุ้งต้องเปียกทุกคืน ตอนเช้านำออกตากแดดทุกเช้า แม้เช่นนั้นก็ไม่พ้นขึ้นรา ถ้าลงผ้าได้ขึ้นราเป็นจุดดำเล็กๆ แล้ว แม้จะซักฟอกเท่าไรก็ไม่ยอมออก ต้องขาดไปด้วยกัน แต่ก็เป็นเรื่องสุดวิสัยที่จะไม่ให้ขึ้นราได้เมื่อทนตากน้ำค้างไปนานๆ และแห้งไปกับตัว กว่าจะนำออกตากแดดให้แห้ง<o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...