ประวัติชาติไทยตั้งแต่ต้นกัป พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ(พิมพ์เป็นตัวอักษร)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เก่ากะลา, 27 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    สมัยกาลนี้ ยังเป็นยุคดึกดำบรรพ์หรือระยะกาลสืบต่อจากยุคต้น ไม่มีเรื่องมากนัก เพราะมีมาแล้วคือ เข้าไปหลบซ่อนเมื่อหมดภัยแล้ว ก็ออกมาสืบต่อเริ่มชีวิตกันใหม่
    อย่างที่จ้าวขุนสรวงเล่าว่า บ้านเมืองสิ้น ผ้าหาย ลืมทำเอาใบไม้นุ่งห่มกันมา

    แผ่นจารึกลำดับอ่าน ที่ ๗๑๗ หน้า๑
    ขุนสือไทย และขอมฟ้าไทย ได้บันทึกคำเล่าของขุนสรวง ซึ่งมาทรงไทยงาม ลงกระเบื้องจาน ยังได้ทำเส้นหนักให้เห็นเป็นเลข ๒ พออ่านได้ อันหมายถึง พุทธันดรที่ ๒ และไทยสมัยที่ ๒ คือยุคสมัยแถน จารึกอ่านแล้วตัวลายเลือนลางมาก ถึงกระนั้น ก็ได้ความอย่างนี้
    a.2217649.jpg
    สือไทย ฟัง ขุนสวง สิง ไทยงาม
    เล่า คนเหลืองสอง เมื่อ
    หมู่คนยังหลาย มีหมู่คน
    นี้ รวมเข้าคนเมือง ชื่อ
    แถนไทย ลว กูช่วยให้รู้อู่
    รู้ผี รู้ผ้า ข้าว (เรือน) บ้าน
    กดหมาย ลายอ่าน
    เมืองแถน ข้าวล้น คนหลาย
    ถือผีพ่อแม่ ยืนนาน

    นับได้ว่าเป็นยอดของไทย ที่มีหลักฐาน คือ รูปเคารพ ประเพณี และการกระทำอันสืบเนื่องกันมา ได้คิดสร้างลายสือไทยขึ้นใช้จดจารึกไว้เป็นหลักฐานอันยืนยาวมาได้ ถึงแม้ว่ากาลสมัยใหม่ได้เข้ามา และไทยจะละเลิกไปบ้าง ถึงกระนั้น ก็ยังมีอยู่ เช่น พิธีไหว้ผี พิธีขึ้นครูบา โดยเฉพาะพิธีไหว้ครูลายสือและพิธีตั้งศาลเพียงตา ครอบพิธีคนปลุกกำลัง พลานุภาพ ตนุกานุภาพ ขึ้นพิธีคงขลัง และเฉพาะเชิญทรง อันเป็นพิธีติดต่อโลกนี้และโลกอื่น หรือ คนกับจ้าว พิธีทั้งหมดนี้ ไทยยังมีอยู่ ]จึงยังเป็นไทยชัดเจนอยู่อย่างทุกวันนี้

    "
    คนเหลืองสอง เมื่อหมู่คนยังหลาย หมู่คนนี้รวมเข้าหมู่คนเมือง นานมาเกิดหลาย คนเมืองชื่อแถนไทยลวะ

    ต้นใหญ่ชื่อขุนแถนไทย เมียชื่อ สีทองงาม
    กูช่วยให้รู้อู่ รู้ผี รู้ฟ้า ข้าว บ้าน เรือน กดหมาย ลายอ่านเมืองแถน ข้าวล้นคนหลาย ถือผีพ่อแม่ยืนนาน
    คนเหลืองสองเกิดขึ้น(รู้ทำเป็นปีฟ้าแสง) มาเมืองแถน
    สอนหมู่เราเข้าเป็นคนเหลืองมาก(เข้าบวชเป็นภิกษุสงฆ์)
    คนเหลืองอยู่ดอมเราหลาย ไปหนหาย(นิพพาน)
    อยู่เรายังเมืองแถน มีคนล้นหลาย รู้คิด รู้สร้างมาก
    นานเข้า มิเอาคำผี มิเชื่อถือคำคนเหลือง เอาร้าย ฆ่ากันตาย ผู้กลัวเข้าถ้ำ ป่า เขา (ตอนนั้น) เข้ารวมหมู่ ตั้งชื่อคนแถน"

    ตอนนี้ เรื่องในพระพุทธศาสนากล่าวว่า เมื่อยุคมิคสัญญีผ่านไปแล้ว

    พุทธันดรที่ ๑ ล่วงไป หมู่คนที่หลบภัยได้ออกมาสั่งสอนกันเอง จึงเริ่มประพฤติดี
    อายุกาลก็เริ่มมากขึ้นกระทั่งถึงอสงไขย ไม่เห็นแก่ตายจึงกระทำอกุศลกรรมกันอีก
    อายุเริ่มลดลงกระทั่งถึงกาลมีอายุ ๓ หมื่นปี
    พระโคนาคมนอุบัติ ครองเรือนอยู่ ๓พันปี ตรัสรู้แล้ว
    ทรงพระชนม์ชีพอยู่ ๓ หมื่นปี ดับขันธปรินิพพาน
    จากนั้น อายุก็ลดลงกระทั่งถึงมิคสัญญี ต่างประหัตประหารกัน ที่เห็นภัยก็หลบเข้าถ้ำ ป่า เขา เมื่อตายกันหมด สงบเงียบแล้วต่างออกมาเริ่มชีวิตกันใหม่ เป็นกาลสุดพุทธันดรที่ ๒ และเริ่มพุทธันดรที่ ๓
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0005.jpg
      scan0005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      297.2 KB
      เปิดดู:
      3,370
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  2. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พระพุทธโคนาคมนกาล(ยุคไทย ขุนแถน)

    ในยุคไทย - ขุนแถนนั้น ตรงกับพุทธันดร-พระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์ ก็มีเรื่อง-พระเจ้าธรรมเสนราชา ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธองค์

    ทรงพระนามว่า - พระติสสสัมมาสัมพุทธองค์นั้น

    ก็ในกาลก่อน กระทั่งถึงพระพุทธกาลพระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์นั้น

    จากกาลมิคสัญญีนั้นก็ได้เจริญขึ้น โสฬสมหานคร ก็ได้เปลี่ยนเป็น - มัชฌิมประเทศ หรือ เป็น - มัธยมประเทศแล้ว ซึ่งมีชื่อรวมว่า - ชมพูทวีปแล้ว
    และมีกาลน้ำท่วมโลก ซึ่งเป็นยุคสมัย - มัตสยาวตารที่ ๑ นั้น ที่รอดอุทกกภัยได้ในครั้งนั้น ก็คือ มนูชนก หรือ ไววัสวัต อันมีพระนามว่า - สัตยพรต
    ซึ่งเป็นมนูที่ ๗ ที่ได้มีสืบต่อมาแต่ มนูที่ ๑

    ส่วนทางเมืองทอง เมืองแก้วนี้ ได้ล่วงผ่านยุคสมัยขุนสรวงมาแล้ว

    ไทยทอง - ได้มีขุนไทยแก้วแล้ว จึงค่อยเปลี่ยนเป็นไทยแก้ว
    ครั้นมิคสัญญี คนผู้ดีได้หลบภัยเข้าอยู่อาศัยตามถ้ำ เมื่อหมดภัยแล้ว ผู้ที่ยังเหลืออยู่ต่างได้ออกมาพบเห็นกัน จึงรวมกัน

    แล้วให้แถนเทียนฟ้าเป็น ขุนแถนขึ้น ได้ร่วมช่วยกันสร้างบ้านเมืองกันสืบต่อมา

    ครั้นขุนต้นล่วงไปแล้ว ที่ ๒
    ก็ได้แต่งตั้งสถาปนาตามชื่อต้นนั้นว่า - แถนเทียนฟ้า เช่นเดียวกัน

    จึงมีชื่อว่าไทยแถน หรือยุคแถน เป็นที่ ๒ จากยุคขุนสรวงนั้น

    กาลเวลาได้ล่วงมาตลอดหลายชั่วขุน
    พระธรรมคำสั่งสอนของพระกุกกุสันธพระพุทธองค์ก็ยังเหลือคงอยู่บ้าง ได้จำกันไว้บ้าง กาลนานมากเข้าก้เลือนลางจางหายไป ทั้งการประพฤติปฏิบัติ กับทั้ง พระศาสนธรรม ก็สูญหายไปทั้งหมด ชาวชนทั้งนั้นประพฤติแต่อกุศลกรรม ขวบกาลที่ไขขึ้นเจริญยืนยาวจึงค่อยลดลง

    แม้ขุนสรวง และ ขุนแก้วผู้ต้น ก็ยังอยู่คอยคุ้มครองป้องกันอยู่ จึงชื่อว่า ยังเคารพนับถือ บำบวง บวงสรวงต้นผีกันมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  3. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    น้ำท่วมโลก

    ครั้นเมื่อขวบกาลอายุ ลดลงมาเหลือเพียง ๗ หมื่นปี ขุนสรวง และ ขุนแก้ว ได้มาบอกว่า อีก ๑๐ ปีจะมีฝนหนัก งน้ำแข็งก็ละลายเป็นน้ำล้นท่วมโลกหล้า ชาวชนและ ปวงสัตว์จะตายหมด

    พวกเจ้า ขุนแถนหัวหน้า พร้อมกับหมู่คนชาวเมือง จงร่วมช่วยกันสร้างเรือใหญ่หลายลำ จงใช้แผ่นเหล็กปลอด ตอกประสักขันเกลียวตรึงให้แน่น แข็งแรงทุกลำ

    ทำทุ่นให้มาก ขนาบตลอดมัดให้ติดกันเป็นกลุ่มเรือพวง

    เอาเสาเท่าๆกัน วางขนาบบนกลาบ และ ใต้ท้องเรือ
    เจาะรูใหญ่ให้ตลอดคานที่วางขนาบทั้งบน และ ล่างทุกตัว แล้วเอาท่อนประสักใส่ตรึงบนกับล่างใช้หัวเกลียวขัน หรือ ผ่าแล้วตอกลิ่มประสักตรึงให้แน่นแข็งแรงก็ได้ ใช้กระดานแผ่นหนาปูบนเป็นพื้น เอายางรักประสมชันและปูน ยาให้ทั่ว
    ทำกลาบนอกให้สูงพอ เจาะรูพอให้น้ำไหลออกได้
    ทำห้องติดกลาบเรือนั้นมีหลังคาแค่กลาบนั้นให้ตลอดทุกลำ จะได้พออยู่

    ตรงส่วนกลางทำเป็นพื้นดิน ปลูกไม้เล็ก และ ผักหญ้า

    ทำคอกงัว ควาย ช้าง ม้า เก้ง กวาง ฬา ฬ่อ อย่างละคู่ มากนักคงไม่พอ
    ทำให้เสร็จใน ๙ ปี อีก ๑ ปีให้จับสัตว์ต่างๆมาขังฝึกหัด และ ปลูกต้นไม้ผักหญ้า

    เรือทุ่นที่ทำเสร็จแล้ว ให้คงที่ไว้บนคานนั้น ถึงคราวน้ำท่วมท้นขึ้นมาพอ ก็จะเคลื่อนลอยไปได้เอง

    และ สั่งว่า พอน้ำท่วมท้นแล้ว ขุนสรวง และ ขุนแก้ว จะมาเป็นเจ้าพ่อทะเล แม่สางและแม่แก้วขวัญฟ้า จะเป็นแม่ย่านาง หรือ เป็นจ้าวแม่ทะเล ช่วยกันประคับประคองเรือให้โต้คลื่นลมพายุได้ ซึ่งจะประคับประคอง พร้อมกับจะคอยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายให้ กระทั่งปลอดภัยพิบัติเพราะน้ำท่วมโลกนั้น

    ยังเหลืออยู่อีก ก็บอกให้มารวมกันที่ใกล้เรือ

    ทั้งช้างม้าวัวควาย เก้งกวางหมาแมว ก็นำมาอย่างละคู่
    เรือทุ่นกลุ่มนั้นใหญ่ และสูง จึงทำสะพานบันไดทอดขึ้นลง
    พอฝนตกหนักเข้า ก็ลงไม่ได้ ต่างก็หลบฝนอยู่ในห้องประทุนเรือนั้น และช่วยกันต้อนสัตว์ต่างๆขึ้นเรือทุ่นนั้น
    พวกช่างต่างตรวจดูเรือ และเตรียมเครื่องมือวัตถุซ่อมแซมไว้พร้อมในภายในใต้ท้องเรือทุ่นนั้น ทุกอย่างจึงครบบริบูรณ์

    น้ำเริ่มสูงขึ้น ได้ท้นท่วมที่ลุ่มราบหมด และเอ่อสูงขึ้นท่วมคาน ]

    แล้วหนุนเรือกลุ่มให้ลอยอยู่บนพื้นน้ำ
    คนสัตว์ที่เหลือต่างก็ปีนขึ้นต้นไม้ ขึ้นหลังคา ขึ้นดอน และปีนขึ้นภูเขา
    ครั้นท่วมท้นกระทั่งยอดมอ และยอดไม้จมอยู่ใต้น้ำ แม้ยอดภูเขาเทือกย่อยก็จมน้ำ
    แม้ยอดเขาอีโก้ก็ปริ่มน้ำแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ให้เห็นได้

    ลมก็แรงบางคราวก็เป็นพายุ ฝนก็ตกกระหน่ำหนัก คลื่นก็ลูกใหญ่ซัดกระแทกตลอด

    ในกลางวัน ทั่วท้องฟ้าก็มืดมัวไม่มีแสงแดด กลางคืนก็ยิ่งมืดคลึ้มทึบตลอด
    ทั้งคนสัตว์ที่เหลืออยู่กับพื้นก็ได้ว่ายน้ำหาที่พักอาศัย พอหมดแรงต่างก็จมน้ำตายหมด

    แม้คนทั้งหลายในเรือทุ่นนั้นก็ไม่มีหวังรอดภัยนั้น

    คราวแรก เรือทุ่นกลุ่มนั้น ซึ่งได้ใช้พวนผูกตรึงโยงไว้กับต้นตอไม้ใหญ่ๆ
    นึกว่าพอจะอยู่ได้ กระนั้น เมื่อลมคลื่นซัดพัดกระพือกระแทกบ่อยๆ ตลอดวันคืนไม่หยุดหย่อนผ่อนเบา

    แม้ขุนสรวง ขุนแก้ว กับแม่สาง แม่แก้วย่านาง จะมาควบคุมคุ้มครองอยู่ ณ หัวเรือและเสากระโดง พวนที่มัดล่ามโยงผูกตรึงไว้นั้นก็ขาดหมด

    เรือทุ่นกลุ่มนั้นก็เลื่อนลอยไปตามกระแสคลื่นลม
    หมู่คนสัตว์ที่เหลืออยู่ในเรือนี้ พอมีหวังว่าจะอยู่รอดได้
    กระนั้น เฉพาะหมู่คนก็อยู่ไปวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น

    ที่มีโอกาสรู้ และทำสร้างเรือนั้น มีอยู่หลายหมู่

    แต่ก็ทำเรือได้ไม่ใหญ่โต และไม่มั่นคงแข็งแรงพอ ก็ถูกลมคลื่นซัดกระแทกแตกเสียหายจมน้ำตายไปเป็นส่วนมาก
    ยังมีที่เหลืออยู่ก็ที่เรือไม่แตก หรือที่แตกแต่ไม่กระจาย
    และที่ทะลุก็ยังเป็นที่พะยุงตัวอยู่ได้ ก็ถูกคลื่นลมซัดกระพือไม่จำกัดทิศทาง
    ไปถึงบริเวณน้ำแข็ง ณ ทะเลเหนือใกล้ขั้วโลกเหนือก็มี
    ไปถึงแผ่นดินอื่นคือ อมริก(อเมริกา) ก็มี
    ทั้งไปใต้ถึง โปลา(ออสเตรเลีย) และ ไนไตลนี ก็มี

    เฉพาะ แถนไทย ด้วยอานุภาพพ่อขุนสรวง และพ่อขุนแก้ว
    กับแม่นางสาง และแม่แก้วขวัญฟ้า ซึ่งได้เป็นจ้าวพ่อทะเล และ จ้าวแม่ทะเล หรือแม่ย่านางในกาลนั้น
    ได้รักษาคุ้มครองเรือทุ่นนัันให้เลื่อนลอยวนเวียนเป็นวงกว้างอยู่ ณ บริเวณนั้น เป็นแรมเดือน
    เมื่อน้ำลดลงเหลือครึ่งขุนเขานั้น

    เรือนั้นได้ถูกลมคลื่นพัดซัดกระหน่ำให้วิ่งไปในห้วงน้ำเป็นวงกว้างนั้น
    แล้วก็ได้วนเข้ามา ณ บริเวณเดิมนั้น
    ก็ได้ถูกคลื่นลมพัดซัดกระแทกเรือทุ่นกลุ่มนั้นให้หัวเรือพุ่งเข้าชนคอภูเขาลูกหนึ่ง
    กระทั่งคอเขานั้นทะลุ ภูเขานั้นจึงมีชื่อว่า เขาทะลุ ได้เรียกกันมาทุกวันนี้
    เรือนั้นได้กระดอนเซออกมากระแทกกับคอภูเขาอีกลูกหนึ่ง

    กระทั่งคอยอดบิ่น กระเด็นบินออกไป ภูเขานั้น จึงมีชื่อว่า เขาบิ่น และ เขาบิน
    เวลานี้เรียกกันว่า เขาบิน เป็นประจำ

    เรือนั้นจึงเฉียดไม่กระแทกจนแตก

    แล้วได้ลมแรงกระพือพัดหนุนท้ายให้ แล่นไปทางตะวันตก ถึงห้วงบึงใหญ่
    ส่วนนั้นเป็นแถบถิ่นดินสูง และน้ำลดลงมากแล้ว ท้องฟ้าก็แจ้งแดดออกให้ความอบอุ่นบ้างแล้ว

    เรือได้เกยตอม่อหินใต้น้ำ ก็แตกกระจายออกส่วนหัวได้พุ่งไปเกยตื้นเชิงเขาลูกหนึ่ง

    ทั้งคน และสัตว์ได้ขึ้นบกอยู่อาศัย ณ ภูเขานั้น

    ต่อมาจึงสร้างเมืองขึ้นรอบภูเขานั้น
    ภูเขานั้นจึงมีชื่อว่า เขากลางเมือง ใช้เป็นชื่อเรียกกันมาตลอดกาลนาน
    กระทั่ง พ.ศ.๒๔๓๘ พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชได้เสด็จประพาส
    ได้พระราชทานชื่อใหม่ว่า เขาถ้ำจอมพล จึงเปลี่ยนเป็น เขาถ้ำจอมพล กระทั่งกาลบัดนี้
    a.2276198.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0115.jpg
      scan0115.jpg
      ขนาดไฟล์:
      405.8 KB
      เปิดดู:
      2,697
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  4. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    และในถ้ำภูเขานี้ ซึ่งเป็นถ้ำภูเขาหินปูน จึงมีหินงอก และหินย้อยทั้งถ้ำ
    a.2217660.jpg
    ณ พื้นถ้ำซึ่งเป็นหินปูนโคลน เมื่อยังเป็นดินโคลนอยู่นั้นอย่างน้อยสุดก็มีอายุถึง ๒ แสนปี ซึ่งยืนยันว่ามีคนอยู่มาแล้ว
    จึงมีรอยเท้า หรือ รอยตีนใหญ่ที่ชัดเจนปรากฎอยู่ถึง ๕ รอย เป็นรอยใหญ่โตมาก
    a.2217661.jpg

    ซึ่งยาวถึง ๓๖ นิ้ฟุต กว้าง ๑๘ นิ้วฟุต
    ที่ไม่ชัดเจนเช่นมีเพียงหนึ่ง กับรอยเล็กๆอีกป็นจำนวนมาก
    ทั้งก้าวก็ปรากฎยาวกว่าคนสมัยนี้ เมื่อลองดูยังต้องกระโดดจึงถึง
    คงเป็นหลักฐานยุคสมัยขุนแถนไทย อันตรงกับกาลพระโคนาคมนได้



    และก็ส่วนกลางของเรือทุ่นกลุ่มนั้นซึ่งขาดออกกระดอนออกมาจมลงตรงกลางห้วงน้ำบึงใหญ่ เสากระโดงยังคงตั้งอยู่
    ฉะนี้ ห้วงบึงใหญ่นี้ จึงมีชื่อว่า บึงจมเรือ หรือ บึงเรือจม
    ต่อมา จึงเปลี่ยนเป็นชื่อว่า จอมบึง ให้เหมือนชื่อพระราชทานว่า ถ้ำจอมพล ทุกวันนี้จึงเรียกกันเป็นประจำว่า จอมบึง
    ในกาลประมาณก่อน พ.ศ.๒๔๗๐ ยังมีผู้เห็น ตอเสานี้โผล่อยู่กลางบึงนั้น

    ยังเล่ากันเสมอว่า ไม่รู้ใครปักไว้
    ส่วนท้ายเรือได้ลอยไปเกยอยู่กับพื้นตื้นเชิงเขาลูกหนึ่ง
    ผู้คนได้ขึ้นไปอยู่อาศัย ณ ภูเขานั้น
    เมื่อเจริญขึ้นทำผลได้แล้ว จึงนำมาเป็นสินค้าซื้อขายกัน
    ต่างได้ตั้งชื่อภูเขานี้ว่า เขากลางตลาด
    a.2217659.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0116.jpg
      scan0116.jpg
      ขนาดไฟล์:
      406.9 KB
      เปิดดู:
      2,544
    • scan0003.jpg
      scan0003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      235 KB
      เปิดดู:
      2,601
    • scan0004.jpg
      scan0004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      264.9 KB
      เปิดดู:
      2,618
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  5. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ก็กาลที่น้ำท่วมโลกนั้น ได้ท่วมท้นอยู่นาน พอลดลงมากแล้ว
    ณ ที่สูงๆซึ่งเปียกชื้นอยู่แล้ว ทั้งมีฝนตกมาบ้าง
    พืชพรรณผักหญ้า กับ ต้นและย่านพุ่มป่า ก็งอกงามเจริญขึ้นทั่วไป
    สัตว์ที่เหลืออยู่ ครั้นเรือแตกแล้วต่างก็ขึ้นบก จึงได้อาศัยพืชพรรณผักหญ้าใบไม้นั้นๆเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต

    คนที่ขึ้นจากเรือนั้นก็ขึ้นอยู่อาศัยตามเพิงผาถ้ำภูเขา

    ที่ขึ้นอยู่ตามเนินโคกก็เอาต้นไม้ที่เป็นตอตายเพราะถูกน้ำท่วม]
    เอามาทำเสาตั้งขึ้นแล้วเอาไม้ไผ่ทำขื่อ แป อกไก่ ตง รอด
    ใช้ใบไม้ และคามุงโดยเกลี่ยใช้ไม้ขนาบใช้เถาวัลย์ผูกมัด
    ใช้ไม้ไผ่ผ่าสับเป็นฟากปูเป็นพิ้นอยู่อาศัยกัน

    พอน้ำแห้งตลอดพื้นที่ราบที่เป็นโคลนตมก็แข็งแน่นแล้ว ต่างก็ออกมาจากถ้ำได้ช่วยกันปลูกสร้างเรือนบ้าน

    แบ่งที่ที่ใกล้ หนอง บึง ห้วย คลอง แม่น้ำ ทำนา สวน ไร่ ทุ่ง ทำนาปลูกข้าว ทำสวนต้นไม้
    จึงเป็นบ้านเมือง ตลาด สนาม ทุ่งเลี้ยงสัตว์

    ฉะนี้ ถิ่นแดนแถบนั้น จึงมีธรรมชาติซึ่งมีชื่อประจำเนิ่นนานมาแล้วจนชิน

    และรู้ตลอดไปว่า เขาทะลุ เขาบิ่น เขากลางเมือง เขากลางตลาดบึงจม , บึงจมเรือ หรือ บึงเรือจม (จอมบึง) ทุ่งหลวง ทุ่งหญ้า สนามหญ้า ฯลฯ ประจำอยู่แล้ว
    ชาวชนต่างได้ฟังและรู้เรื่องกันมาจึงได้กระทำกราบไหว้ บวงสรวง

    บำบวงต้นผีสางไทยกันมา และกระทำเป็นประจำมา

    ครั้นกาลนานมา กระทั่งถึง ขุนแถนเทียนฟ้า
    กลุ่มหมู่ - เลาว๊ะ หรือ เราว๊ะ คือ เลาลว๊ะ เราลวะ ลว้า
    ฉะนี้ จึงมีชื่อว่า -แถนเทียนฟ้าลว้าไทยโท้
    หรือ พ่อขุนไทยโท้นั้น ก็ได้ฟังเรื่อง น้ำท่วมโลก ซึ่งพ่อขุนสรวง นางสาง พ่อขุนแก้ว แม่แก้วขวัญฟ้าซึ่งได้มาบอกแจ้งแล้วให้สร้างเรือทุ่นกลุ่มได้อาศัยอยู่จึงรอดพ้นภัยน้ำท่วมนั้น

    ท่านต้นทั้ง ๔ นั้น จึงขึ้นเป็น จ้าวพ่อทะเล และ จ้าวแม่ทะเล หรือ จ้าวแม่ย่านาง
    ในส่วนบก ได้ยกขึ้นเป็น จ้าวพ่อทรง จ้าวแม่ทรื้อ (จ้าวแม่ซื้อ)หรือ แม่เชื้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  6. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ท้าวกรุงพาลีไทย
    ในปางแถน ล่วงแล้วมานาน ส่วนไทยในถิ่นแดนทอง และแหลมทองนี้ แต่ก่อนมีชื่อเมืองแถน และคนชาวแถน
    ครั้นนานมา ขุนไทย ได้ครองเมือง มีภูเขาเป็นกำแพง มีบึงใหญ่ หรือทะเลสาบ มีลำห้วย แม่น้ำลำคลอง เป็นที่ถ่ายเทไปมา
    ขุนไทยเทียนแถนนี้ ต้นเดิมอยู่ในถ้ำก่อนได้ออกมาเก็บข้าว ผักผลไม้ จับสัตว์บกน้ำเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต นานเข้าผู้คนเกิดมากล้นหลาย ถ้ำจึงคับแคบไม่พออยู่ จึงออกมาอยู่นอกถ้ำ ได้สร้างโรงเรือนกันแดดฝน จึงพากัน ไปให้กว้างขวาง จึงตั้งที่อยู่ใหม่นั้นว่า พาลี่ และเป็น พาลี กว้างขวางกระทั่งเลยกำแพงออกไป จึงเรียกกันว่า กรุงพาลี
    ณ ถิ่นแดน จอมบึง ณ ถ้ำจอมพล ปรากฏหลักฐานรอยตีน ซึ่งเหยียบลงบนพื้นหินโคลน หรือหินโคลงซึ่งอูดขึ้นใหม่ๆยังอ่อนอยู่ จึงเหยียบเป็นรอยได้ และหินโคลนนั้นได้กลายเป็นหินปูนแล้ว ว่ามีอายุอย่างน้อย๒แสนปี
    ทั้งนี้เป็นกาลล่วงมานานหนักหนา กระทั่งถึง ขุนไทยโท้ ซึ่งอาจเป็นชื่อขุนหัวผู้ครอง เมื่อได้ครองเมืองก็สถาปนาชื่อเป็น ขุนไทยโท้ ตลอด เหมือน ในหลวง ฉะนั้น

    ขุนไทยโท้นี้ เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ออกไปเที่ยวตามฝั่งลำห้วย เดินไปถึงถิ่นใกล้ทะเลกว้างใหญ่ พบหมู่เมือง และคนบกน้ำ มีโตนด มะพร้าว คนรู้จักใช้เรือ แพ ใช้ผ้า ใช้ไฟ ใช้เครื่องดินเผา ใช้หม้อหุงข้าวต้มแกงเหมือนกัน รู้จักใช้เกลือ น้ำอ้อย น้ำตาล
    จึงพักอยู่ และได้พบ สาวทองใส ชอบใจรักใคร่ จึงได้แต่งงานกัน และพากันกลับไปเมืองกรุงพาลี ตั้งให้เป็น แม่นางแท่นคำ (มเหสี) ต่อมามีลูกชื่อ สะพิม (คงเป็นชื่อว่า สะพริ้ม หรือ สะพระพริ้ม)
    และที่ซึ่งได้ขยายออกไป ได้เรียกกันในสมัยนั้นว่า พาลี่
    คำไทยว่า ลี่ นี้ เป็นชื่อ บางลี่ ปรากฏ ณ ฝั่งตะวันออก เหนือเมืองราชบุรีนั้น ต่อมา ชาวบางลี่ ได้สร้างวัดขึ้น จึงตั้งชื่อว่า วัดบางลี่เจริญธรรม

    ขุนสะพิม
    เจริญวัยขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว กับทั้งขุนไทยโท้ และขุนหญิงทองใส ก็ค่อยแก่ลงไป
    ขุนสะพิม จึงทำการแทน ครองผู้คนบ้านเมืองต่อไป
    ด้วยเหตุที่ชื่อเดิมนั้นมีอยู่แล้วว่า
    กรุงพาลี จึงมีชื่อขึ้นตามว่า ท้าวกรุงพาลี เจ้ากรุงพาลี
    ครั้นตายแล้ว ผู้คนจึงยกขึ้นเป็น ท้าวจ้าวกรุงพาลี ผู้จะปลูกบ้านสร้างเรือน ต้องบวงสรวง สังเวย บูชาท้าวกรุงพาลี
    ต่อมาได้สถาปนาชื่อใหม่ตามกาลนิยม

    เดิมชื่อว่า
    ไทยโท้ สถาปนาใหม่ว่า ท้าวโทกะราช
    พระนางทองใส สถาปนาชื่อใหม่ว่า ท้าวเหมพักตร์
    ท้าวสะพิม ยังคงใช้ชื่อเดิม

    ต่อมา ท้าวสะพิม ได้สถาปนา ท้าวสาวผ่อง ขึ้นเป็น หม่อมแท่นคำ(มเหสี)
    แล้วสถาปนาชื่อที่
    แท่นคำว่า ท้าวผ่องประภา
    a.2217668.jpg

    ต่อมามีลูกชายคนแรก ชื่อ แผน และมีอีกหลายคน
    แผน นั้น แต่เด็กมา ชอบจัดที่ถางป่าให้ราบเตียน ต้นไม้ใหญ่เอาไว้ใช้ร่ม มีเด็กหญิงมาร่วมเล่นก่อบ้านสร้างเรือน ทำของกิน เก็บลูกไม้ รวงข้าว หัวเผือกหัวมันป่า
    จัดที่เก็บเป็นร้าน ใช้ใบไม้คือใบโตนดกางออกกว้างใหญ่มุงบังเป็นหลังคาและฝา
    จึงเรียกตามชื่อหญิงนั้นว่า
    ที่ หรือ ที่เก็บ เพราะหญิงนั้นมีชื่อมาแต่เดิมว่า ที่
    จึงเรียกว่า ที่เก็บ ตามชื่อนั้น
    ต่อมาครั้นขึ้นสาวมีอกใหญ่แล้ว ที่ จึงเป็น ที่แผน จึงรู้แผน หรือแผ่น จึงได้กัน อยู่ด้วยกัน
    ครั้นพ่อแม่แกเฒ่ามาก ขุนแผนจึงครองต่อ ได้เปลี่ยน เมืองแถนเทียนฟ้า เป็น เมืองแผน ตามชื่อตัวนั้น
    ส่วนแม่นางที่ ก็ยกขึ้นเป็น แท่นคำ
    และได้มีลูกคนแรกเป็นชาย เพราะมีสะดือนูนใหญ่ขึ้น จึงให้ชื่อว่า ตุมพก (ต่อมาได้เป็น ตุมพกา)
    ตุมพก นี้ ครั้นเจริญใหญ่มีกำลังเข้มแข็งขึ้น ครั้นพ่อให้ครองแทนแล้ว
    จึงยกสถาปนา ขุนแผนพ่อ ขึ้นเป็น จ้าวแผ่นดิน
    แม่ ที่แท่นคำนั้น ได้ตั้งชื่อไว้ว่า ดวงขวัญใจ
    จึงยกขึ้นเป็น จ้าวแม่ดวงดิน แม่อยู่เมือง หรือ แม่เรือน ไม่นานมานี้มีชื่อว่า แม่อยู่หัว
    พ่อขุนท้าวตุมพก หรือ ตุมพกา นั้น ครั้นเจริญวัยขึ้นแล้วได้ครองเมืองสืบต่อจ้าวพ่อ ในตอนนั้นมีคนมากมายแล้ว
    แม้พ่อขุนแผน หม่อมแม่ที่แท่นคำ-ดวงขวัญใจ กับลูกต่อมาอีกหลายคน ท้าวตุมพกาในฐานะพี่ใหญ่ก็ต้องจัดให้ไปอยู่เป็นเมืองๆไป
    พ่อขุนท้าวตุมพก ได้พบ สาวตา หรือ ตรา จึงช่วยกันจัดให้ นางได้ตราเป็นเครื่องหมายให้ จึงชื่อว่า ตราที่
    และ ตราที่ นี้ จัดกันได้ตลอดต่างถิ่นต่างแดนเป็นเมืองต่างหาก
    ครั้นได้แต่งงานกัน พ่อขุนตุมพกา จึงให้แม่นางเป็นหม่อมแท่นคำ
    ต่อมามีลูกชายคนแรก ให้ชื่อว่า ตุมพี

    คำว่า ตุ ตุ๊ ในชื่อ ตุม นี้เป็นชื่อพระได้ เช่น ตุ๊เจ้า ฉะนี้ ตุมพ จึงเป็น ตุ๊ คือ พระ
    พก หรือ พกา
    พะคำท้องถิ่นออกว่า พระ
    กา ก กอ ตรงแล้วว่า พระกอ หรือ ต้นก่อ รวมความว่า ตุ๊พระพ่อก่อเกิด หรือ พระที่ดิน
    จึงเป็น พระพ่อที่ หรือ พระเจ้าพ่อแผ่นดิน คือ พระเจ้าแผ่นดิน พระธรณี
    ส่วนหม่อมแท่นคำตรา นั้น เป็นตราที่นี้แล้ว จึงขึ้นเป็น แม่พระธรณี

    ส่วนท้าวตุมพี ตุ๊ พระพี คือ พระพี่ที่ใหญ่ จึงเป็นลูกแม่พระธรณี
    สำหรับแม่พระธรณีนั้น ที่ประดิษฐ์แบบกันไว้ เป็นรูปหญิงใช้มือทั้ง๒รวบมวยผมบีบให้น้ำพุ่งออกให้ดื่มกินได้ มีความหมายว่า แม่ได้ให้น้ำนมซึ่งหลั่งออกจากหัวนมนั้นให้ลูกดูดดื่มเลี้ยงลูกมาแล้ว
    ท้าวตุมพกา ผู้เป็นพ่อ ท้าวตุมพี ผู้เป็นลูกซึ่งขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงเป็น พระธรณี

    ส่วน ตรา พระนางที่แท่นคำ ต่อมาได้สถาปนาชื่อใหม่ตามสมัยนิยมว่า สุพัตรา แปลว่า มีวัตรอันดี นั้น เป็นจ้าวแม่ให้น้ำนมเลี้ยงลูกเจ้าแผ่นดิน จึงเป็น แม่พระธรณี
    a.2217669.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0022.jpg
      scan0022.jpg
      ขนาดไฟล์:
      313.8 KB
      เปิดดู:
      6,348
    • scan0023.jpg
      scan0023.jpg
      ขนาดไฟล์:
      157.1 KB
      เปิดดู:
      8,120
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  7. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    a.2217681.jpg
    พระธรณีท้าวตุมพี และ หม่อมแท่นพระธรณีท้าวพูทอง

    ตุมพี
    ต่อมาได้ครองกรุงแล้ว จึงขึ้นเป็น ขุนตุมพี
    ได้สาวพูทอง สถาปนาขึ้นเป็นหม่อมที่แท่นคำ
    ได้มีลูกหลายคน คนหนึ่งเป็นชายชื่อ ทัด ต่อมาได้สถาปนาตั้งชื่อใหม่ว่า กายทัตเทพจ้าว
    เมื่อเจริญวัยพอแล้ว จึงได้ครองกรุงพาลีต่อมา
    มีหม่อมแท่นคำชื่อ สัน ต่อมาได้ตั้งชื่อใหม่ว่า พระนางสันทาธิบดี ได้มีลูก๖คน เป็นชายล้วน
    a.2217688.jpg


    ตามตำนานว่ามี ๙องค์ ครั้นเจริญวัยได้ให้ไปครองสถานที่ต่างๆเป็นพระราชสถาน ๙แห่ง เป็นพระภูมิ ๙ องค์


    a.2217692.jpg
    ๑.พระชัยมงคล ครองสถานบ้านเรือน โรง ร้าน

    มีรุปแบบปรากฏเป็นเทพจ้าว ทรงเครื่องเทพจ้าว มือขวาถือหอกสั้น(พระขรรค์) มือซ้ายถือถุงเงินทอง
    มีหม่อมที่แท่นชื่อ ภูมไชยา หรือ ภูมชายา มีรูปแบบปรากฏเป็น เทวีจ้าว ทรงเครื่องเจ้าหญิง มือขวาถือดอกบัวตูม มือซ้ายถือไถ้(ถุงมีสายหิ้งมีฝาปิด) มีลูก คือ เจ้าของที่นั้นๆทุกคน


    a.2218261.jpg
    ๒.พระนครราช ตำนานเดิมชื่อ พระธรรมโหรา ครอง ประตู ป้อมค่าย หอรบ บันได

    รูปแบบปรากฏเป็นเทพจ้าว ทรงเครื่องเทพจ้าว มือขวาถือหอกสั้น มือซ้ายถือพุ่มกอไม้
    มีหม่อมที่แท่น ชื่อ ภูมมาลา ทีรูปแบบเป็นเทวีจ้าว ทรงเครื่องเจ้าหญิง มือขวาถือพวงมาลัย มือซ้ายถือไม้พลองห้อยลง


    a.2218262.jpg
    ๓.พระเทเพน ตำนานเดิมชื่อ พระเยาวะแผ้ว ครองคอกสัตว์ และเล้าต่างๆ

    มีรูปแบบปรากฏเป็นเทพจ้าว ทรงเครื่องเทพจ้าว มือขวาถือหอกสั้น มือซ้ายถือสมุดข่อยจารึกกฎหมาย
    มีหม่อมที่แท่น ชื่อ ทิพมาลี มีรูปแบบเป็นเทวีจ้าว ทรงเครื่องเจ้าหญิง มือขวาถือม้วนเชือก มือซ้ายถือกำหญ้า


    a.2218263.jpg
    ๔.พระชัยศพณ์ ตำนานเดิมชื่อ พระสัพพคนธรรพ์ แยกสัพพ เป็น ศพณ์

    ครองเสบียงคลัง ยุ้งฉาง หอสัมภาระ
    มีรูปแบบปรากฏเป็นเทพจ้าว ทรงเครื่องเทพจ้าว มือขวาถือหอกด้ามยาว มือซ้ายว่างกำนิ้วช้อนขึ้น
    มีหม่อมที่แท่น ชื่อ ศรีประภา มีรูปแบบเป็นเทวีจ้าว ทรงเครื่องเจ้าหญิง มือขวาถือคะนาน มือซ้ายถือถึงย่าม


    a.2218264.jpg
    ๕.พระคนธรรพ์ ตำนานเดิมชื่อ พระสัพพคนธรรพ์ ครองโรงพิธีงาน โรงพิธีแต่งงาน เรือนหอ

    มีรูปแบบปรากฏเป็นเทพจ้าว ทรงเครื่องเทพจ้าว มือขวาถือหอกสั้น มือซ้ายถือหม้อน้ำมนต์
    มีหม่อมที่แท่น ชื่อ สุปริยา มีรูปแบบเป็นเทวีจ้าว ทรงเครื่องเจ้าหญิง มือขวาถือโถแป้ง มือซ้ายถือกำดอกกุหลาบ


    a.2218265.jpg
    ๖.พระธรรมโหรา ตำนานเดิมชื่อ พระนาคราช ครองเรือกสวนไร่นา ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์

    มีรูปแบบปรากฏเป็นเทพจ้าว ทรงเครื่องเทพจ้าว มือขวาถือหอกสั้น มือซ้ายถือกำรวงข้าว
    มีหม่อมที่แท่น ชื่อ ขวัญข้าวกร้า มีรูปแบบเป็นเทวีจ้าว ทรงเครื่องเจ้าหญิง มือขวาถือเคียว มือซ้ายถือกำรวงข้าว


    a.2218266.jpg
    ๗.พระเทวเถร ตำนานเดิมชื่อ วัยทัต ทัต แยกออกเป็น พระธาตุธาร หรือ ทาสธารา

    ครองวัดวาอาราม ปูชนียสถาน พระเจดีย์ พระพุทธรูปสำคัญ
    มีรูปแบบปรากฏเป็นเทพจ้าว ทรงเครื่องเทพจ้าว มือขวาถือปะฎัก มือซ้ายห้อยลงนิ้วกำช้อนขึ้น
    หม่อมที่แท่น ชื่อ ดอกไม้ทอง มีรูปแบบเป็นเทวีจ้าว ทรงเครื่องเจ้าหญิง มือขวาถือดอกพุทธรักษา มือซ้ายถือกำธูปเทียน


    a.2218267.jpg
    ๘.พระธรรมิกราช ครองพืชพรรณธัญญาหารต่างๆ

    มีรูปแบบปรากฏเป็นเทพจ้าว ทรงเครื่องเทพจ้าว มือขวาถือหอกสั้น มือซ้ายถือพวงมาลัยมีช่อยอดลง
    มีหม่อมที่แท่นชื่อ พุ่มไม้ไพร มีรูปเป็นเทวีจ้าว ทรงเครื่องเจ้าหญิง มือขวาถือหวีกล้วย มือซ้ายถือพวงดอกแค-ดอกตูม


    a.2218268.jpg
    ๙.พระธาตุธาร
    หรือ ทาสธารา แยกจากพระวัยทัต ครอง ห้วยหนองคลองบึง บ่อลำธาร แม่น้ำทะเล
    มีรูปแบบเป็นเทพจ้าวทรงเครื่องเทพจ้าว มือขวาถือหอกสั้น มือซ้ายว่างห้อยลงนิ้วช้อนงอขึ้น
    มีหม่อมที่แท่น ชื่อ รินระรื่น มีรูปแบบเป็นเทวีจ้าว ทรงเครื่องเจ้าหญิง มือขวาถือดอกบัวบาน มือซ้ายถือหอยยอด หรือหอยสังข์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0024.jpg
      scan0024.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.1 KB
      เปิดดู:
      3,089
    • scan0025.jpg
      scan0025.jpg
      ขนาดไฟล์:
      299.1 KB
      เปิดดู:
      3,582
    • scan0027.jpg
      scan0027.jpg
      ขนาดไฟล์:
      167.7 KB
      เปิดดู:
      5,275
    • scan0029.jpg
      scan0029.jpg
      ขนาดไฟล์:
      173.9 KB
      เปิดดู:
      3,332
    • scan0031.jpg
      scan0031.jpg
      ขนาดไฟล์:
      196.5 KB
      เปิดดู:
      2,895
    • scan0033.jpg
      scan0033.jpg
      ขนาดไฟล์:
      210 KB
      เปิดดู:
      2,806
    • scan0035.jpg
      scan0035.jpg
      ขนาดไฟล์:
      174.8 KB
      เปิดดู:
      4,588
    • scan0037.jpg
      scan0037.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194 KB
      เปิดดู:
      2,936
    • scan0039.jpg
      scan0039.jpg
      ขนาดไฟล์:
      215.9 KB
      เปิดดู:
      3,888
    • scan0041.jpg
      scan0041.jpg
      ขนาดไฟล์:
      163.8 KB
      เปิดดู:
      3,277
    • scan0043.jpg
      scan0043.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194.1 KB
      เปิดดู:
      2,511
    • a.2217681.jpg
      a.2217681.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.1 KB
      เปิดดู:
      195
    • a.2217688.jpg
      a.2217688.jpg
      ขนาดไฟล์:
      299.1 KB
      เปิดดู:
      217
    • a.2217692.jpg
      a.2217692.jpg
      ขนาดไฟล์:
      167.7 KB
      เปิดดู:
      215
    • a.2218261.jpg
      a.2218261.jpg
      ขนาดไฟล์:
      173.9 KB
      เปิดดู:
      248
    • a.2218262.jpg
      a.2218262.jpg
      ขนาดไฟล์:
      196.5 KB
      เปิดดู:
      196
    • a.2218263.jpg
      a.2218263.jpg
      ขนาดไฟล์:
      210 KB
      เปิดดู:
      190
    • a.2218264.jpg
      a.2218264.jpg
      ขนาดไฟล์:
      174.8 KB
      เปิดดู:
      215
    • a.2218265.jpg
      a.2218265.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194 KB
      เปิดดู:
      237
    • a.2218266.jpg
      a.2218266.jpg
      ขนาดไฟล์:
      215.9 KB
      เปิดดู:
      285
    • a.2218267.jpg
      a.2218267.jpg
      ขนาดไฟล์:
      163.8 KB
      เปิดดู:
      281
    • a.2218268.jpg
      a.2218268.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194.1 KB
      เปิดดู:
      232
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  8. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พ่อขุนแถนไทยมากมายหลายหลาก ต่างชื่อกันบ้าง มีชื่อซ้ำกันบ้าง
    ได้ปกครองอาณาจักรแถนไทยสืบต่อกันมา ต่างก็ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองมากบ้างน้อยบ้าง ตามระบบแบบไทยตลอดมา
    ทั้งได้ติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนความเจริญแก่กัน และกัน อันเป็นสัมพันธไมตรี
    ตลอดถึงจัมปากรัฐ จดถึงชมพูทวีปมัชฌิมชนบท หรือมัธยมประเทศตลอดด้วย

    โดยเฉพาะก็คือ การเรียน - สือไทย หรือ ลายสือไทยได้มีการสอนกันมาก

    เรือนหลวง จวนลูกขุนมูลนาย วัง ได้ตั้งเป็นโรงเรียนขึ้นทุกแห่ง
    การเรียนจึงแพร่หลายให้รู้สือ อ่านออกเขียนได้ และได้ตั้งเป็น ตำราไทย
    มีชื่อว่า รู้สือไทย

    พระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ณ มัชฌิมประเทศนั้น

    ได้เสด็จโปรดชาวโลกตลอดชมพูทวีป และ ถึงจัมปากรัฐ
    พระเจ้ากรุงจัมปาก ทรงพระนามว่า พระเจ้าธรรมราชาธิราช ก็ทรงเลื่อมใส
    ได้ตรัสถึงเป็นสรณ ด้วยความเคารพนับถือ

    ทั้งได้ส่งข่าว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้พ่อขุนแถน ผู้บุรพสหาย ได้ทราบ

    พ่อขุนแถนไทยจึงได้เสด็จ จัมปากรัฐแล้วพากันไปเฝ้าถึงพระมหาวิหาร
    ต่อมา พระผู้มีพระภาคโคนาคมน ก็ได้เสด็จโปรดถึงอาณาจักรแถนไทยด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  9. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ในกาลก่อนสมัยพระพุทธกาลนั้น ณ ราชอาณาจักรจัมปากรัฐนั้น ก็เป็นสมัย-พระเจ้าธรรมราชาธิราชเจ้า ทรงครองราชสมบัติ พระองค์ทรงทศพิธราชธรรม อันเป็นมรดกตกทอดมาจากพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น จึงทรงมีมิตรสัมพันธไมตรีตลอดทุกอาณาจักรประเทศ

    และก็ถึงอาณาจักรประเทศแถนไทยด้วย ก็ในกาลนี้ ในอนาคตวงศ์มีเรื่องอันเป็นพระพุทธพจน์ตรัสเล่าแสดงแก่พระสารีบุตรเถระ จึงเป็นเรื่องในสมัยพระพุทธกาลพระสมณโคดมของเรานี้มีว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าตรัสเล่าว่า-พระยาช้างนาฬาคีรี ซึ่งเป็นบรมโพธิสัตว์นี้ได้ไปบังเกิดเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าธรรมราชาธิราชนั้นซึ่งมีนามชื่อว่า-ธรรมเสนกุมาร เป็นที่๑ กับมีพระอนุชาอีก ๔องค์ คือที่๒ มีนามว่าภัททกุมาร ที่๓ มีนามว่า รามกุมาร ที่๔มีนามว่า ปมาทกุมาร ที่๕มีนามว่า ธัชชกุมาร
    ต่างได้ไปเรียนสำเร็จศิลปศาสตร์ในสำนักทิสาปาโมกขาจารย ณ ตักศิลาพร้อมกัน พระธรรมเสนกุมารนั้นสำเร็จวิชา ทานศีลธรรมศาสตร์
    พระภัททกุมาร สำเร็จธนูศรพิษศิลปศาสตร์
    พระรามกุมาร สำเร็จวิชาดอกไม้ไฟศิลปศาสตร์
    พระปมาทกุมาร สำเร็จวิชาช่างทองศิลปศาสตร์
    พระธัชชกุมาร สำเร็จวิชาบำราบอสรพิษศิลปศาสตร์

    ครั้นสำเร็จแล้วก็กลับมาพร้อมกัน และพร้อมกันเข้าเฝ้า จึงสำแดงศิลปศาสตร์ที่สำเร็จมานั้นให้ทอดพระเนตรเห็นประจักษ์แจ้งทุกพระองค์
    พระเจ้าธรรมราชาธิราชพระราชบิดาได้ตรัสสรรเสริญเป็นอันมาก
    เมื่อจะยกราชสมบัติให้ครองนั้น ได้ทรงพระราชดำริแล้ว จึงตรัสสั่งทั้ง๕
    พระองค์ให้ไปแสดงศิลปศาสตร์ ณ เมืองถิ่นอื่น ใครได้ชมเชยมากก็จะยกให้ผู้นั้นได้ครองต่อไป ได้ทรงจัดเรือให้เสด็จรอนแรมไปตามห้วงมหาสุมุทรใหญ่

    เรือใช้ใบแล่นไปถึงเวลาเที่ยงคืน ละลอกน้ำเกิดเป็นประกายสีพรายเหมือนดอกไม้ไฟ เจ้ารามกุมารสำคัญว่าดอกไม้ไฟมีอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร หวังจะได้จึงกระโจนลงไป ก็ถูกปลาใหญ่กัดกินตายไป

    เรือแล่นไปถึงเวลาเช้า เจ้าปมาทกุมารเห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้น ณ ขอบฟ้าส่งแสงเป็นดวงปรากฎในท้องมหาสมุทร ก็สำคัญว่า ทองคำเนื้อบริสุทธิ์ปราศจากราคีมีอยู่ในน้ำนั้น หวังจะได้ จึงกระโจนลงไปในห้วงน้ำนั้น ก็ถูกปลาใหญ่กัดกินตายไปอีก

    เรือแล่นไปถึงเมืองหนึ่ง ได้จอดพัก เจ้าธัชชกุมารได้ขึ้นไปเที่ยวดูชม ได้เข้าไปในที่ชุมนุมชน คิดหวังจะได้ชื่อเสียง จึงสำแดงศิลปศาสตร์แปลงกายเป็นอสรพิษเลื้อยไปในท่ามกลางมหาชนชุมนุมกันนั้น ชาวชนเห็นเข้าก็หวาดกลัว จึงคว้าจับท่อนไม้พลองเป็นอาวุธไล่ทุบตีจนตายไป

    จึงเหลือแต่ เจ้าธรรมเสนกุมาร องค์เดียวไม่เห็นกลับมา ก็ให้นำเรือกลับไปจัมปากบ้านเมืองเดิม สั่งแล้ว พระองค์เดียวได้เสด็จเที่ยวไปในเมืองนั้น

    ในกาลนั้น มีพระฤษีประมาณ๘หมื่นองค์มาแต่ป่าหิมพานต์ เหาะลอยมาทางอากาศเวหา ลงมา ณ เมืองนั้น แล้วเข้าไปโคจรบิณฑบาตในท่ามกลางเมือง เจ้ากุมารธรรมเสนนั้นได้เห็นตลอดแล้วจึงคิดว่า - ศิลปศาสตร์ที่สำเร็จมา ล้วนเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ พระดาบสนี้เหาะลอยไปได้ทุกองค์ คิดหวังอยากจะเรียนวิชาเหาะนั้น จึงเข้าถาม สมัครเป็นศิษย์พระดาบสได้เอ็นดูกรุณารับแล้ว ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ พาเจ้าธรรมเสนกุมารนั้นเหาะไปยังป่าหิมพานต์ ให้บวชเป็นดาบส แล้วกระทำสมณบริกรรมภาวนา

    ให้เจริญฌาน ยังอภิญญา๕ให้บังเกิดขึ้นแล้ว คิดใคร่ไปแสดงแก่พระราชบิดา จึงลาพระอาจารย์เพื่อกลับไปจัมปากนคร ได้เหาะลอยลงตรงพระพักตร์ ให้พระราชบิดาทอดพระเนตรเห็น พระเจ้าธรรมราชาธิราช ทรงโปรดปรานชื่นชมยิ่งนัก และยกราชสมบัติให้ครองสืบไป

    พระเจ้าธรรมเสนราชานั้น หมายว่าจะทรงบำเพ็ญปรมัตถบารมี สละลูกเมีย และราชสมบัติ จึงรับราชสมบัตินั้น และอุปภิเษกให้เป็น พระเจ้าธรรมเสนราชา กับ พระนางลัมภุสสราชเทวี ล่วงกาลมานาน ได้ประสูติพระราชโอรสองค์แรก นามว่า เจ้าธรรมสารกุมาร ต่อมาได้ประสูติพระราชธิดา นามว่า สาริณีกุมารี

    ฉะนี้ พระองค์พร้อมด้วยพระราชเทวี พระราชโอรสธิดา พร้อมด้วยพระราชบริพารทุกหมู่เหล่า ได้ออกประพาส นอกพระนคร เพื่อลงสาครให้สุขสำราญ ครั้งนั้นมียักษ์ตนหนึ่งได้เห็นพระราชกุมารทั้งสองนั้น ก็มีความหิวกระหาย จึงสำแดงกายให้ปรากฎ ได้ออกคำขอพระราชกุมารทั้ง๒นั้น เพื่อเป็นภักษาหาร
    ทรงสดับแล้วจึงตรัสว่า - ยักษ์ ท่านกล่าวคำนี้เป็นการดียิ่ง จึงจับหัตถ์พระลูกทั้ง๒นั้นจูงไปพระราชทานแก่ยักษ์ ตรัสว่า เชิญท่านมารับเอาปิยบุตรทานของเรา แล้วจับพระเต้าทองหลั่งน้ำลง พร้อมตรัสประกาศว่า ด้วยเดชผลทานที่สละราชกุมารทั้ง๒นี้ ขอให้เกิดผลเป็นที่สุดถึงพระสัพพัญญูสรรเพชรดาญาณ ในอนาคตกาลเบื้องหน้าเถิด พระองค์ตรัสประกาศแก่เทพยดาแล้วก็ดลดาลให้เกิดมหัศจรรย์ต่างๆ เป็นต้นว่า แผนดินไหวทั่วโลกธาตุ

    ส่วนยักษ์ได้รับแล้วก็กินกุมารทั้ง๒ แล้วก็เข้าไปในป่าแดนของตน พระเจ้าธรรมเสน กับพระราชเทวี ได้ทรงกลับพระนคร เมื่อถึงประตูเมืองได้เห็นชายแก่คนหนึ่งนั่งเป็นทุกข์อยู่ จึงตรัสถามได้สดับว่า ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ บุตรภรรยาหามีไม่ จึงนั่งเศร้าโศกอยู่ในที่นี้ ได้สดับแล้วตรัสว่า เราจะยกมเหษีให้เป็นทานบารมี แล้วทรงจับพระหัตถ์จูงพระนางลัมภุสสราชเทวี มอบให้แก่ชายชรานั้น ได้จับพระเต้าทองหลั่งน้ำให้แล้วตรัสว่า เดชะผลทานที่ยกอัครมเหษีให้ครั้งนี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระสรรเพชรดาญาณเถิด ดังนี้แล้ว ก็เกิดมหัศจรรย์ต่างๆเหมือนครั้งแรก

    ชายแก่คนนั้นจึงกล่าวว่า เราแก่เฒ่า ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี จะอยู่ได้อย่างไร จึงทรงยกพระราชสมบัติให้ กระทำพระราชพิธีราชาภิเษก สถาปนาพระนามชื่อว่า พระเจ้ามหาฉัตตธรรมราชา ให้ปกครองสืบต่อไป แล้วก็ตรัสประกาศเพื่อสำเร็จพระสัพพัญญุตตาญาณก็บังเกิดมหัศจรรย์ต่างๆ เป็นครั้งที่๓

    ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงอธิษฐานเรียกบริขารทั้ง๘นั้น ก็ได้เลื่อนลอยตกลงมาตรงพระพักตร์ ทรงครองบริขารนั้นสำเร็จเพศบรรพชาเป็นพระดาบสฤษีแล้ว ทรงเจริญบริกรรมภาวนากระทำฌานสมาบัติ๘ และอภิญญา๕ ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ทรงเหาะไปในอากาศ ยังป่าหิมพานต์ เข้าไปสู้สำนักพระฤษีทั้งหลาย และอยู่ ณ ที่นั้น

    ในกาลนั้น พระอริยสาวกองค์หนึ่งของพระโคนาคมสัมมาสัมพุทธองค์ ได้เข้าพักอยู่สุขสำราญในป่าหิมพานต์นั้น พระฤษีทั้งหลายได้พบเห็นพระอรหันต์แล้วก็มีความเชื่อ และเลื่อมใส ได้เข้าไปกราบสักการบูชาพระอริยสาวกนั้น นิมนต์ให้ยับยั้งอยู่๑ราตรี ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า พระอริยสาวกอรหันต์ ก็ได้พาพระดาบสธรรมเสน[ เหาะเข้าไปในสำนักพระมหาวิหาร และเข้าเฝ้า พระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์นั้น

    พระดาบสธรรมเสนได้เข้าไปกราบนมัสการแทบพระบาทมูลพระสัพพัญญูเจ้า ได้พิจารณาดูพระทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ๓๒ชัดเจนแล้ว ก็ได้เกิดปีติโสมนัสขึ้น ]จึงได้ทูลอาราธนา พระผู้มีพระภาคเจ้าให้แสดงพระสัทธรรมเทศนา สมเด็จพระโคนาคมสัมมาสัมพุทธองค์ ทรงพระกรุณาตรัสว่า ดาบสธรรมเสนผู้เจริญ บัดนี้ ตัวท่านสมควรจะพิจารณาซึ่งกิริยาที่จะให้ไปถึงเมืองแก้ว คือ พระอมตมหานครนิพพานจึงจะชอบแก่ตัวท่าน

    พระดาบสบรมโพธิสัตว์ได้สดับพระพุทธฎีกาเป็นนัยเช่นนั้นก็บังเกิดความเชื่อเลื่อมใสขั้นสัทธาปสาทเต็มเปี่ยมแล้วก็ได้อธิษฐานเล็บของพระองค์ให้คมดุจดาบ ได้ใช้ตัดเศียรเกล้าให้ขาดแล้ว ใช้พระหัตถ์ทั้งสองรับประคองยกขึ้นกระทำสักการะบูชาสมเด็จพระพุทธองค์ และได้กล่าวตั้งความปราถนาว่า พระองค์สมเด็จพระโคนาคมได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐถึงเมืองนิพพานก่อนแล้ว ข้าพระองค์ก็ปราถนาสำเร็จเป็นพระศรีสรรเพชญ์สัมพุทธองค์พระองค์หนึ่ง
    อนึ่ง พระองค์ได้เสด็จไปสู่เมืองแก้วก่อน ข้าพระองค์ขอสำเร็จพระนิพพานในเบื้องหน้าภายหลัง ได้กล่าวคาถาเป็นใจความ๒ข้อดังนี้แล้ว พระบรมโพธิสัตว์ธรรมเสนดาบสนั้นก็จุติ เคลื่อนไปอุบัติ ณ ดุสิตสวรรค์แล้ว ส่วนพระเศียรเกล้าพระสรีรกายนั้นก็ลุกเป็นเพลิงเสมือนเทียนประทีปบูชา มีกลิ่นหอมเป็นสุคนธ์ทิพบูชา ลุกเป็นประทีปต้นเฉพาะ ไม่ลุกลามไหม้ไปที่อื่น ด้วยพระพุทธานุภาพ และด้วยอำนาจอธิษฐานบารมี กระทั่งหมดสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  10. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    และในกาลนั้น ราชอาณาจักรจัมปากรัฐ ติดต่อกับชมพูทวีป ในทางตะวันออกก็ติดต่อ และ มีสัมพันธไมตรีชั้นเพื่อนเกลอกับราชอาณาจักรแถนไทย ณ รัชสมัย พระเจ้าธรรมราชาธิราชเจ้า ก็ทรงมีมิตรธรรม กับพระเจ้าแถนไทยแก้วฟ้า ระดับเพื่อนเกลอ ในกาลที่พระโคนาคมน ตรัสรู้แล้ว ก็ได้ฟังธรรม แม้พระพุทธองค์ แพระอรหันตสาวกก็เสด็จ และมาโปรดเสมอ เพราะพระองค์และพระอรหันต์ก็ทรงทราบว่า พระเจ้าธรรมเสนราชา และพระเจ้าแถนไทยแก้วฟ้า ต่างได้ปราถนาพระโพธิญาณ และทรงบำเพ็ญบารมี จึงมาโปรดเพื่อส่งเสริมเพิ่มให้เต็มตลอดไป

    ก็มีข่าวถึงกันอยู่เสมอ กระทั่งกาลที่ถึงกำหนดแก่กล้า-พระเจ้าธรรมเสนราชา สละพระลูกทั้ง๒สละพระราชเทวี สละราชสมบัติ ตลอดกระทั่ง สละพระเศียรเกล้า และพระสรีรกายทั้งชีวิตเป็นพุทธบูชานั้น ซึ่งเป็นวาระกาลยอดสุดแล้ว พระดาบสได้ดับชีพไปแล้ว แต่พระราชอาณาจักร และพระมเหษียังอยู่เป็นปกติ พระเจ้าแถนไทยแก้วฟ้าได้ทรงทราบข่าว และก็ได้ อนุโมทนาสาธุการแล้ว และ รีบด่วนเสด็จไปเยี่ยมเยียน และประสงค์จะดูแล และทรงอุปถัมภ์มเหษีเพื่อนเกลอนั้น

    ครั้นเสด็จถึง พระนางทรงพาบุรุษแก่เสด็จด้วยออกต้อนรับ และตรัสเล่าให้ฟังว่า พระราชสวามีทรงยกพระนางให้ และทรงกระทำพิธีราชาภิเษกบุรุษเฒ่านี้เป็นพระราชาองค์ใหม่ พระมหาฉัตตธรรมราชา หรือบุรุษเฒ่านั้นครั้นได้พบและได้ฟังพระนางลัมภุสสราชเทวีตรัสเล่าแล้ว จึงได้เปลี่ยนเพศเป็นเทพเจ้าผู้มีศักดิ์ใหญ่ ได้ทรงลอยขึ้นสู่เวหาสแล้ว ได้ประกาศกล่าวว่า

    เรานี้ เมื่อก่อนกาลที่พระโคนาคมนจะอุบัติขึ้น ได้เกิดเป็นพระยาช้างใหญ่ สกุลฉัตรทันต จึงได้เป็นราชาเจ้าโขลงปกครองช้างสุกลเดียวกัน ๘หมื่น๔พัน ณ บริเวณ สระฉัตรทันตนั้น ซึ่งได้ปกครองให้อยู่เป็นสุขตลอดกาลนาน จวบถึงกาลที่พระโคนาคมนอุบัติครองเรือนอยู่๓พันปี ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรม และได้ตรัสรู้เป็นพระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์แล้ว ได้ล่วงมาถึงมัชฌิมโพธิกาล ในกาลนั้น ธรรมเสนราชานี้ ได้ไปบวชเป็นดาบสในสำนักดาบส ในป่าหิมพานต์ ยังได้พบเห็นกัน แต่พูดกันด้วยปากไม่ได้ เพราะต่างชาติกำเนิดกัน กระนั้น ก็พอรู้กันได้โดย - เจโตปริยญาณ

    ในปลายมัชฌิมโพธิกาลนั้น ครั้งนั้น พระโกณฑัญญเถรมหาขีณาสพพระสาวกของพระโคนาคมนพุทธองค์นั้น ได้ไปปรินิพพาน ณ ลานบริเวณ สระฉัตรทันตนั้น เราได้สละงาทั้งคู่ อธิษฐานขอให้มีเลื่อยทิพยนต์ทำงาข้างหนึ่งเป็นโกศบรรจุพระสรีรศพ อีกข้างทำเป็น นกยูงเป็นเชิงรองตั้งโกศ เอาผมขน ณ ศรีษะทำเป็นไส้ประทีปเทียน ตามถวายสักการะบูชา
    กุญชรชาติฉัตรทันตบริวาร๘หมื่น๔พันประชุมกันแล้ว ใช้งวงประคองวางลงบนกระพอง ยังเพลิงให้ลุกขึ้นเผาไหม้อยู่ นกยูงเชิงรองตั้งโกศนั้นดุจมีวิญญาณได้โผผินบินไปในอากาศให้เพลิงไหม้หมดสิ้น แต่อัฐิธาตุทั้งหลายได้ตกเรี่ยรายบนแผ่นดิน ทวยเทพได้ตกแต่งเจดีย์บัญจุพระธาตุไว้แล้ว ในกาลประชุมเพลิงศพพระอรหันต์ครั้งนั้น เราได้กระทำความปราถนาว่า ด้วยเดชผลนี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญูสรรเพชรดาญาณเถิด
    ก็เมื่อถึงกาล จึงจุติได้เคลื่อนขึ้นไปเกิดเป็น เทพเจ้าศักดิ์ใหญ่ ณ ดุสิตสวรรค์ แล้วได้คอยอยู่จนถึงกาลนี้ ก็ได้เห็นธรรมเสนได้สละลูกชายหญิงให้เป็นภักษาหารแก่ยักษ์แล้ว จึงได้มาคอยรอรับสละพระมเหษี และราชสมบัติ ให้สำเร็จผลบำเพ็ญ-ปรมัตถทานบารมียอดสูงสุดนั้นให้บริบูรณ์ และก็ได้สำเร็จสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว

    พ่อขุนไทยแก้วฟ้าก็เป็นพวกเดียวกัน ทั้งเป็นเพื่อนเกลอของพระเจ้าธรรมเสนราชาด้วย เราได้มาในฐานะศักดิ์มนุษย์ได้กระทำหน้าที่มนุษย์สำเร็จแล้วจึงหมดหน้าที่ ทั้งเป็น อมนุษย์ด้วย จึงไม่สมควรทุกประการ ฉะนี้ จึงขอมอบราชสมบัติ พร้อมกับ พระนางเทวีแก่พระองค์ท่าน ได้โปรดอนุเคราะห์ปกครองให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข

    เรา อมนุษย์เทพทั้ง๒ พร้อมด้วยทวยเทพท้าวมนุษย์ทั้งหลาย ร่วมกันกระทำทั้งอินทราภิเษก และ ราชาภิเษกสถาปนา พระองค์ท่านเป็น นภรัตนธรรมราชา กับ ลัมภุสสราชเทวี ก็พระราชเทวีนี้ ณ กาลครั้งที่เป็นมหาปนาทบรมจักรพรรดินั้น พระนางก็เป็นนางสนองพระโอษฐ์ของท่าน จึงให้ครองทั้ง๒ อาณาจักร กับทั้ง พระนางใคร่มีพระราชโอรส ธิดา สืบสกุล ก็พระราชโอรส ธิดา ทั้ง๒ ซึ่งเป็นภักษาหารยักษ์ไปแล้ว ก็เป็นอันพ้น พันธกรณี จึงยังรอคอยกาลเวลาจะมาเกิดใหม่ได้

    ท่านจงกระทำปรามาส(ลูบคลำพระนาภี) ซึ่งพวกเรากระทำได้ ตามธรรมนิยมของนิยตโพธิสัตว์ จงกระทำปรามาสเพื่อเป็นโอกาสจะได้เกิดเป็นคู่แฝด-ชายหญิง สพพโสตถี ภวนตุ เต-ให้สำเร็จผลสมประสงค์จงทุกประการ

    พระเทพเจ้าบรมโพธิสัตว์ธรรมเสนก็กล่าวประกาสิตว่า อิจฉิตํปฏฐิตํ ตุมหํ ขิปปเมว สมิชฌตุ สพเพ ปูเรนตุ สงกปปา จนโท ปณณรโส ยถา สิ่งที่ประสงค์ ที่ปราถนา จงสำเร็จแก่ท่านฉับพลันเถิด ให้สรรพดำริจงเต็มเปี่ยม เหมือนจันทร์เพ็ญเต็มดวง ฉะนั้น เสร็จอินทราภิเษกแล้ว ต่างก็ได้กลับไปยังวิมาณของตน

    ขุนแถนไทยแก้วฟ้า จึงมีนามอีกชื่อหนึ่งว่า พระเจ้านภรัตนธรรมราชา ได้ปกครอง ทั้ง๒อาณาจักรนั้น ได้ทรงกระทำอย่างเทพเจ้าศักดิ์ใหญ่สั่งไว้ ต่อมาไม่นาน พระนางลัมภุสสราชเทวีทรงครรภ์ครบกำหนดแล้ว จึงได้ประสูติพระราชโอรสธิดาแฝด เป็นพระราชโอรส๑ ได้ให้นามชื่อเดิมนั้นว่า เจ้าธรรมสารกุมาร เป็นพระราชธิดา๑
    ได้ให้นามชื่อเดิมว่า เจ้าหญิงสาริณี ต่างได้เจริญวัยจนบรรลุวันรุ่น
    พระเจ้านภรัตนธรรมราชาทรงเห็นแม่ลูก เจริญตามรอยศีลวัตร และ ธรรมศาสนศาสตร์มาตลอด ตามที่เทพเจ้าประกาสิตไว้ จึงทรงกระทำพระราชพิธีอินทราภิเษกพระนางลัมภุสสราชเทวีเป็น สมเด็จพระแม่เจ้าอยู่หัวบรมราชชนนีลัมภุสสราชเทวี

    ทรงราชาภิเษก พระธรรมสารราชกุมาร เป็น สมเด็จพระเจ้าธรรมสารราชาธิบดี และทรงอุปราชาภิเษก พระนางเจ้าสาริณีราชกุมารี เป็น-สมเด็จพระนางเจ้าสาริณีอุปราชินี ให้เสด็จสำเร็จสรรพราชการดำรงที่- สมเด็จอภิประมุขมนตรี กับดำรงที่-สมเด็จพระเจ้าธรรมสารราชาธิบดี และดำรงที่-สมเด็จพระเจ้าอุปราชินี แห่งจัมปากรัฐราชอาณาจักรเอกราชเท่าเดิม
    พร้อมกับเป็นพระราชอาณาจักรมิตรสัมพันธไมตรีตามเดิม
    ทั้งทรงรับร่วมกันคุ้มครองป้องกันตลอดกาลอีกด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  11. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ยุค ๓ (พุทธันดรที่ ๓) ขุนแผนเมืองฟ้า ดวงขวัญใจ

    ยุคแผน เปลี่ยนมาจาก แถน
    ตั้งแต่ พุทธันดรที่ ๓ ถึง เมื่อ ๘พันปีก่อน

    ยุคนี้ ขุนสือไทย และ ขอมฟ้าไทย ได้คิดลายสือ และ ลายร่าง ได้บันทึกในกระเบื้องจาร เล่าเรื่องคนเหลือง (พระพุทธเจ้า) ๑,๒,๓ แค่ทำรอยร่างไว้ ณ มุมเป็น ๑ขีด ๒ขีด ๓ขีด เป้นระยะกาล พุทธันดรที่ ๑,๒,๓

    ในกาลพระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธนั้น พระองค์ตรัสตอบแก่หมู่เปรตเหล่านั้นว่า อนาคตแผ่นดินใหญ่สูงขึ้นประมาณ ๑ โยชน์ พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติ
    แผ่นดินสูงขึ้น ๑โยชน์ คือ ๑๖ ก.ม.

    a.2218324.jpg
    กระเบื้องจาร จารึกลำดับแผ่นอ่านที่ ๗๑๕ หน้า ๑ ขุนสือไทยฟังจ้าวขุนสรวงเล่าแล้วจดลงจารึกไว้ว่า

    "
    เมื่อคนเหลืองสอง(พระโคนาคมน) สิ้นนานล้นหลาย เมืองนี้ชื่อ เมืองแผน

    ขุนชื่อ แผนเมืองฟ้า ขุนหญิงชื่อดวงขวัญใจ
    หมู่มึงชื่อ ลวไทย ถึงคนเหลืองสาม(พระพุทธกัสสป)ก็ดีมาสอนเหล่ามึง

    มื้อนั้น ข้าฟังด้วยสาง มิลุอื่น ลุแผน(พรหม) หมู่ลวไทยไปสู่เมืองแสงใส(นิพพาน)มาก
    กูยังอยู่กับมึง "
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0007.jpg
      scan0007.jpg
      ขนาดไฟล์:
      292.1 KB
      เปิดดู:
      2,658
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  12. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ใน อนาคตวงศ์ เล่าถึงกาลพระกัสสปสัมมาสัมพุทธองค์นั้น
    ชมพูทวีป ก็ได้มีชื่อว่า ชมพูทวีป อย่างนั้น กับมีชื่อว่า มัชฌิมชนบท หรือ มัธยมประเทศ และ จัมปากรัฐ ดินแดนทอง หรือ ไทยทวาลาว ซึ่งท่านเขียนเป็นภาษามคธว่า ทวารวติ คือ กรุงเทพทวารวดี นั่นเอง ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาตามที่มีพระพุทธองค์เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ๒ พระองค์

    ด้านอาณาจักรแถนไทย หลังกาลยุคมิคสัญญีแล้ว ได้เปลี่ยนชื่อจาก แถน เป็น แผน หรือแผนไทย หรือไทยแผน

    หลังจากยุคมิคสัญญี พ่อขุนแผนเมืองฟ้า กับ ดวงขวัญใจ ซึ่งได้ออกมาจากที่หลบมิคสัญญีภัยรอดพ้นมาได้นั้น ต่างก็ได้ยกขึ้นเป็น พ่อขุน แม่ขุนผู้นำ ซึ่งได้นำเพาะปลูกเลี้ยงชีวิต สร้างบ้านเมือง ทำนาค้าขาย ประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้
    ตั้งกฎหมาย ระบบการปกครอง
    มีวิทยาการต่างๆ ก่อสร้างบ้านเรือนเครื่องใช้ต่างๆ รู้จักปั้นเคลือบเผา
    ยิ่งกว่านั้นยังได้คิดค้นหาลายสือเดิมซึ่งสูญหายไปคิดค้นขึ้นใหม่
    ทั้งตัวเลข จดข้อความ จำนวนจำ คำนวณ ทำระยะ
    รู้จักเอาแร่ธาตุมาตั้งเป็นมูลค่าแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน คิดยวดยานต่างๆ
    ศิลปะวิทยาการ มีโรงเรียน โรงหมอ ร้านค้า ถนนหนทาง
    บ้างก็สลักภูเขาทำบ้านเมืองก็มี
    คิดสร้างเรือเล็ก เรือมาดกะสวย เรือมาด เรือยาว เรือสำเภา

    รู้จักใช้แรงสัตว์ ช้างม้าวัวควายทำเกวียน
    กระทั่งใช้แรงเครื่องยนต์ เครื่องกล
    เมื่อเจริญมากขึ้น ต่างก็บุกเบิกตัดไม้ถางป่าขยายออกไปแต่ละด้านจนทะลุถึงกัน เจอกันแล้ว จึงติดต่อไปมาหาสู่แลกเปลี่ยน
    จับวัวควายกวางช้างม้ามาใช้งาน บรรทุกขนส่ง ขับขี่เดินทางไกล

    ทั้งยังค้นไปถึง ทรงสาง หรือ ร่างแสง อันเป็นโลกอื่น กระทั่งทราบชัดถึงสรวงสวรรค์ ได้สนับสนุนยกย่อง ส่งเสริมกระทั่งเป็นที่รู้ และกระทำได้ตลอดกัน จึงเป็นระบบแบบไทย ซึ่งยังอยู่ประจำมาแล้ว
    ได้บำบวง บวงสรวง่านต้นผู้ล่วงลับไปแล้ว ต่างก็ได้ทราบกันว่า ทุกคนที่ตายไปแล้ว ก็ได้ลอยเกิดเป็น ร่างแสง คือ ทรงสาง หรือ ผีสาง จ้าวพ่อ จ้าวแม่
    จ้าวต้นขุน จ้าวต้นขุนหญิง ซึ่งเป็นผีฟ้าแสง หรือแสงหล่น
    จ้าวที่ จ้าวทุ่ง จ้าวท่า จ้าวเขา จ้าวไร่ จ้าวนา จ้าวบ้าน จ้าวเมือง จ้าวกรุง จ้าวพระกาฬไชยศรี จ้าวพระทรงเมือง จ้าวพระเสื้อเมือง จ้าวพ่อขุนตาย
    ตลอดถึงต้นขุนสรวง ต้นแม่นางสาง ต้นปู่ย่าแถน ต้นพ่อขุนแผน ดวงขวัญใจ
    และต้นผู้ทำอะไรได้ ก็ยกขึ้นเป็น ขอม,บา (ครูบาอาจารย์)
    ทั้งนี้พ่อขุนแผนเมืองฟ้าได้สร้างแบบ บวงสรวง บำบวง เชิญทำขวัญ
    ได้สร้างที่เฉพาะ ร้านสาง เรือนสาง ศาลเพียงตา ศาลจ้าว ศาลพระภูมิ
    โต๊ะบูชา พานบูชา ตะลุ่มบูชา กะบะบูชา โตกบูชา บัดพลี ใบสี ร่มฉัตร
    ได้วางแบบ ยืนไหว้ ก้มไหว้ ก้มค้อมคำนับ นั่งไหว้ นั่งกราบ คุกเข่ากราบ

    ได้สร้างแผนคำแต่งเป็นคำกล่าวบวงสรวง บำบวง บูชา บนบาน
    แต่งคำนอบน้อม น้อมไหว้ ขอไหว้ เป็นต้น และวางแผนแต่งคำเชิญ เช่น เชิญเอย...ขอเชิญ
    กับ วางแผนคำอ้อนวอน คำขอร้อง ขอพร เช่น ขอโปรดเอ็นดู ขอได้อำนวยอวยโชคชะตา ขอให้เจริญงอกงาม ขอให้สำเร็จ ขอจงประสิทธิ
    แผนระบบกระทำ เช่น แบบแผน แรกนาขวัญ แบบแผนบำบวงแม่โพสพ
    บูชา สังเวยแม่ย่านางบัดพลี เครื่องบวงสรวงสังเวย ทั้งคำเชิญ คำฝาก แม่ย่านาง

    แบบแผนเชิญขวัญ สู่ขวัญ ทำขวัญเสา วันเกิด โกนผมไฟ โกนจุก
    วันตายก็มี ตั้งดอกไม้ธูปเทียน เวียนเทียนดอกไม้ไฟ พลุ พราวเนียง ช่อระทา กังหันไฟ
    ซึ่งเป็นความเจริญรุ่งเรืองสืบมา

    เมื่อมิคสัญญีอันเป็นกาลสิ้นสุดพุทธันดรที่ ๒ นั้น เริ่มพุทธันดรที่๓ อายุยืนยาวขึ้นไปถึงอสงไขย คือนับไม่ได้ก็เกิดประมาทขึ้น ประพฤติอกุศลต่างๆ อายุลดลงกระทั่งถึง ๒๐๐๐๐ ปี พระกัสสปสัมมาสัมพุทธองค์อุบัติ พระองค์ได้ครองฆราวาสอยู่ ๒พันปี จึงออกมหาภิเนษกรม ได้ทรงทำความเพียรแล้วได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธองค์ ได้แสดงพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร์ปฐมเทศนาจบแล้ว มีพระอรหันต์สงฆ์เป็นบริวารครบพระรัตนไตรแล้ว ได้เสด็จจาริกโปรดเวไนยชนตลอดชมพูทวีปมัชฌิมชนบท ถึง จัมปากรัฐ และ แผนไทยชนบท

    เมืองไทย หรืออาณาจักรไทยแผนนั้น พ่อขุนแผนก็ได้ปกครองกันสืบๆมา
    ผู้ที่ได้เป็นพ่อขุน ก็ขนานนามชื่อว่า ขุนแผนเมืองฟ้า แม่หญิงใดที่ได้ขึ้นที่ขุนหญิง ก็มีชื่อว่า ดวงขวัญใจ ตลอดมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  13. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    a.2218352.jpg
    ขุนแผนเมืองฟ้า ขุนหญิงดวงขวัญ
    ทั้งคู่ทองสำริดได้จากปากท่อราชบุรี
    เฉพาะรูปขุนแผนนั้นความจริงเป็นพระพุทธรูปปางขอฝน
    รูปขุนแผนเมืองฟ้าไม่ได้มา แต่มีส่วนกายวิภาคเหมือนกัน ซึ่งยืนยันว่าช่างเดียวกันทั้งมือขวากวัก เป็นชาวต้นคนของขุนอินและนางกวัก สร้างในสมัยสุวัณณภูมิ ประมาณ พ.ศ.๒๓๕-๓๐๐

    ในภาวะผีฟ้า ดูคล้ายมหาพรหมปุโรหิต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาแผนความรู้ต่างๆ
    ขุนนางดวงขวัญใจ ดำรงอุดทเทพมารดาถึงมหาพรหมี กึ่งเทพกัญญา หมู่ดาวกัญญา
    ผีฟ้าชาย แต่งตัวเหมือนขุนนาง มีรัดเกล้าชั้น สะไบมีเชิงบ่าเป็นดอกไม้
    ส่วนขุนหญิง ผีฟ้าแต่งตัวเหมือนรูปนี้ และบางเบา ปรากฎเพศชัดเจนตลอด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0006.jpg
      scan0006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      237.6 KB
      เปิดดู:
      3,108
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2017
  14. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    กระทั่งถึงขุนแผนเมืองฟ้าชื่อ ไทยสกาว กับขุนหญิงดวงขวัญใจ ชื่อ ขวัญใจ และขุนหญิงจวงแจ่มใส ชื่อ แจ่มใจ
    ทั้ง ๒ นี้ได้ขึ้นที่ ขวาซ้าย ต่างก็มีลูกชายหญิงด้วยกัน
    ขุนหญิงดวงขวัญใจ มีลูกชายชื่อ ชาญฟ่องฟ้า มีลูกหญิงชื่อ ฟ้าส่องแสง
    ขุนหญิงจวงแจ่มใจ มีลูกชายชื่อ กล้าก่องแก้ว มีลูกหญิงชื่อ เฉิมพรฟ้า


    จึงกำหนดเห็นชอบพร้อมกันว่า ตั้ง - ชาญฟ่องฟ้า เป็น ขุนแผนเมืองฟ้า ตั้ง เฉิมพรฟ้า เป็นขุนหญิงดวงขวัญใจ
    และตั้ง กล้าก่องแก้ว เป็นขอมเมืองกล้าก่องแก้ว ตั้ง ฟ้าส่องแสง เป็น ขอมหญิงฟ้าส่องแสง เป็นที่รอง ปกครองบ้านเมืองไทยสืบไป


    จึงได้ ตระเตรียมพิธีการอันใหญ่นั้น จึงสร้างเรือนยาว ๙ ห้อง
    ณ ตะวันออก ๑ ใต้๑ ตะวันตก๑ เหนือ๑
    ตรงกลาง สร้างหอนั่งประชุม เป็นเรือนหอ ๒หอเหมือนกัน

    หอใต้ เป็น หอวังขุนแผน
    หอเหนือ เป็น หอวังขอมบา
    สร้างนอกหอวังเดิม จึงเป็นการขยายเมืองออกไป
    และทั้ง๒หอ นั้น ได้สร้างห่างกัน ๓เส้น
    ที่ ๑เส้น นั้น ได้สร้างเป็นท้องโรงกว้างใหญ่ เต็มพื้นที่ ๑เส้นนั้น
    ทำพื้นยกเป็นที่นั่งประชุม และยกพื้นเป็นที่นั่งแต่งงานเท่ากัน
    และเหมือนกัน
    สร้างเครื่องแต่งตัว ชุดขุนชาย ขุนหญิง และชุด ขอมชาย ขอมหญิง ประดับดวงแก้ว และดอกไม้ทองคำ
    ให้สร้างให้เหมือนกันตลอดถึงรัดเกล้ายอด และเกือกยอด
    แม้พวงเปียจอน ก็ให้ใช้ทองคำ ทำเป็นดอกจำปีประดับแก้วพริบพลี
    ให้สร้างใบสีทองคำ ๕ ชั้น สร้างผ้ายกทองหุ้มใบสีต้นทั้งคู่นั้น

    สร้างเครื่องแบบ หมอหลวงทำขวัญ ใช้ทองคำทำเป็นช่อดอกไม้ประดับขอบคอ ขอบแขน ขอบหน้า ขอบเชิง
    ทำพานทองรองขันทองรองน้ำหลั่งนั้น ให้ใช้สังข์เรี่ยมฉลุทองคำเป็นเครื่องหลั่งน้ำ
    ได้จับมงคลคู่ และจัดผะอบแป้งเจิม

    ครั้นเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และถึงกาลที่ได้กำหนดไว้แล้ว จึงให้มีการเล่น และเลี้ยงกัน เป็นเวลา ๓ วัน ณ วันที่ ๔ มักให้ตรงกับวันศุกร์
    เมื่อประชุมกันพร้อมแล้ว คู่หนุ่มสาวได้แต่งตัวชุดนั้น พร้อมเพื่อนหนุ่มเพื่อนสาว
    และขบวนแห่ก็ได้เคลื่อนมายังท้องโรงใหญ่นั้น
    พระเจ้าพ่อขุน พระเจ้าแม่ขุน ได้นั่งรออยู่แล้ว
    หมอหลวง ได้เดินเข้ามารับ และพามายังที่นั่งนั้นๆเรียบร้อยแล้ว
    พระเจ้าพ่อขุนแผนได้ลุกขึ้นยืน ทุกคน ทั้งคู่แต่งงานด้วย ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

    พระเจ้าพ่อขุน ได้กล่าวประกาศ
    ตั้ง เจ้าชายฟ่องฟ้า เป็น ขุนแผนเมืองฟ้า
    ตั้ง เจ้าเฉิมพรฟ้า เป็น ขุนหญิงดวงขวัญใจ
    ตั้ง เจ้ากล้าก่องแก้ว เป็น ขอมเมืองกล้าก่องแก้ว
    ตั้ง เจ้าฟ้าส่องแสง เป็น ขอมหญิงฟ้าส่องแสง

    ได้รับ รัดเกล้ายอด สวมแล้ว ใช้แป้งเจิมให้ทุกองค์
    แล้วได้ประกาศแต่งงาน
    ขุนแผนเมืองฟ้า กับ ขุนหญิงดวงขวัญใจเฉิมพรฟ้า
    และ ขอมเมือง กล้าก่องแก้ว กับ ขอมหญิงฟ้าส่องแสง
    แล้วได้รับมงคลคู่ สวมให้ ทั้งสองคู่นั้น
    ได้รับ หอยยอดใหญ่ เรี่ยมฉลุทองคำ จ้วงน้ำ แล้วหลั่งลงบนมือคู่ครองนั้น
    เสร็จแล้ว หมอหลวงได้กระทำพิธีเบิกใบสี กล่าวคำทำขวัญคู่ครอง หรือ บ่าวสาวแล้ว
    ได้จุดเทียน ณ แว่นเวียนตลอดแล้วส่งให้ต้น
    ต้นรับ ใช้อุ้งมือประคองด้ามแว่น ยกขึ้นแค่ทรวง วงโค้งลงนอก แล้วยกขึ้นด้านใน ๓ รอบ บางทีก็รอบเดียว
    ตอนขึ้นนี้ ถ้ารอบเดียวก็ใช้มือซ้ายจับไว้ มือขวายกขึ้นเหนือเปลวเทียน โบกควันเทียนไปทางคู่มงคลสมรสนั้น พร้อมกับออกคำอวยชัยให้พร อย่างนี้ตลอดวงประชุมนั้น
    อย่างนี้ เรียก เวียนเทียนทำขวัญแต่งงาน หรือ เวียนเทียนทำขวัญบ่าวสาว
    บางทีก็หลั่งน้ำอย่างเดียว ถ้าใช้สังข์ ก็เรียก หลั่งน้ำสังข์
    ถ้าใช้ขันหลั่ง ก็เรียก หลั่งน้ำเฉยๆ
    ถ้าสาดน้ำ ก็เรียกว่า ซัดน้ำ
    บางที ก็ทำสายสิญจน์ตัดเป็นท่อนยาวประมาณ ๑คืบ ใช้ผูกข้อมือ เรียกว่า ผูกขวัญ
    บางทีก็มี หนุ่มสาววัยรุ่น คู่พระนาง มีเครื่องร่ายบรรเลง ให้จังหวะ
    คู่พระนาง มือซ้ายถือพานข้าวตอกดอกไม้กลีบกุหลาบ ฟ้อนรำ พร้อมกับใช้มือขวากำโปรยเหวี่ยงไป
    และมีการเล่นเป็นที่สนุกสนานรื่นเริงกัน กระทั่งเย็น จึงเลี้ยงอาหารกัน
    ตกกลางคืน ได้ส่งตัวสู่หอแล้วป็นอันเสร็จลงด้วยดี

    จากนั้น พ่อขุนแม่ขุนเดิม ก็เลื่อนขึ้นเป็น พระเจ้าพ่อขุน พระเจ้าแม่ขุน
    ส่วนที่ทำงานนั้น ก็เป็นที่เดิม ขุนแผนเมืองฟ้า และ ขอมบาไทย ได้มาทำงานตามที่เคยมาทุกอย่าง
    พระเจ้าพ่อขุน พระเจ้าแม่ขุน ได้มาดูแลความเรียบร้อยเสมอมาตลอด๖เดือนนั้น
    ทุกอย่างก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดีตลอดกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2017
  15. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ในกาลนั้น ทางชมพูทวีปมัชฌิมชนบท พระกัสสปทศพลได้ตรัสรู้แล้ว พระกิตติคุณได้แพร่ไปตลอด จนมีพระพุทธพรรษาได้ ๑ หมื่น ๑ พันปี พระชนมายุได้ ๑ หมื่น ๔ พันปีแล้ว
    พระเจ้าพ่อขุนแผนเมืองฟ้า เห็นว่า ลูกทั้ง๔ ตั่งอยู่ในหน้าที่ดีตลอด ทั้งประชาราษฎร์ก็ชื่นชมสาธุการทั่วกัน ไม่มัวเมาในอธรรมศักดิ์อับศรีไร้เกียรติคุณ และสดชื่นดีในยุติธรรม และทรงทศพิธราชธรรมตามที่พระกัสสปทศพลประกาศแล้ว
    ประชาชนได้ปฎิบัติรักษาศีล ประพฤติธรรมทั่วไป
    ได้ทราบชัดอย่างแน่แท้แล้ว จึงคิดว่าหลุดพ้นราชภารธุระแล้ว เพราะทรงตั้งปณิธานปรารถนาพระโพธิญาน และทรงบำเพ็ญพระบารมีทางทศพิธราชธรรม ครบมาแล้วตลอดกาลนั้น จึงคิดว่าจะออกไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อจะได้ฟังพุทธพยากรณ์ เช่นโพธิอำมาตย์นั้น

    ถึงกระนั้น ก็ได้ล่าช้า มิได้ฉับพลันเหมือนท่านอื่นๆ จึงชื่อว่า ยังไม่พร้อมด้วยองค์คุณ ซึ่งกรรมบันดาลให้เป็นไปอย่างนั้น จึงพร้อมทุกประการไม่ได้ ครั้นตระเตรียมพร้อมแล้ว จึงสละทั้งราชอาณาจักร์ และราชสมบัติถือผนวชครองขาว แล้วจึงเสด็จดำเนินไปถึงพระมหาวิหาร ได้เข้าเฝ้า และ อาราธนาให้แสดงธรรมว่า พระองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สละราชสมบัติบุตรภรรยา ยศสมบัติครองเรือนทุกประการ เพื่อสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคต ขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด


    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า - น้องเราผู้พุทธางกูร ตถาคตรออยู่๑หมื่น กับพันปีแล้ว หากกรรมบันดาลให้เป็นไป จึงมีเหตุให้เป็นไปอย่างนี้ จึงไม่มีองค์คุณยอดสุด คือ พระอรหันต์ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติไม่มีในกาลนี้ และในการเช่นนี้ ผู้เป็นนิยตบรมโพธิสัตว์แล้วจึงยังไม่ลุถึงองค์คุณยอดสูงสุด น้องเราได้อธิษฐานสำเร็จเป็นเพศดาบสผนวชแล้ว ได้เจริญฌานสมาบัติให้เกิดขึ้นแล้ว จงอุปสมบทเป็นภิกขุในธรรมวินัยนี้แล้วจงประพฤติวิสุทธิธรรมให้บริสุทธิ์ จะเป็นอุปนิสัยให้ลุถึงองค์คุณยอดสูงสุดนั้นพร้อมสมบูรณ์
    ในกาลว่างพระศาสนาระหว่างพุทธันดรนี้ กับพุทธันดรพระโคดมสัมมาสัมพุทธองค์ ในกาลนั้น น้องเราจะได้เกิดเป็น-นันทมาณพพาณิช เป็นพ่อค้าได้เที่ยวค้าขายได้ผลกำไรเป็นทรัพย์สมบัติมากแล้ว และยังเที่ยวค้าขายอยู่นั้น มีพระปัจเจกพุทธองค์๕๐๐องค์ องค์๑ได้ออกจากนืโรธสมาบัติแล้วคิดว่าจะไปโปรด จึงได้เดินเที่ยวบิณฑบาตมาตามทางนั้น
    ซึ่งนันทมาณพได้เห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสขึ้น จึงยกผ้ากัมพลแดงผืนหนึ่งกับทองแสนตำลึง กระทำเป็นเครื่องไทยทาน ถวายแล้วจึงได้ตั้งปราถนา พระปัจเจกพุทธองค์จะอนุโมทนา ทั้งจะมีกุมารีสาวคนหนึ่งจะถวายผ้าห่มแล้วปรารถนาร่วมด้วย ครั้งนั้น น้องเราจะได้ผลองค์คุณยอดสูงสุดครบบริบูรณ์

    บัดนี้ กาลยังไม่พร้อม จงบวชเป็นภิกขุเถิด จึงตรัสให้เป็น - เอหิอุปสมบทเป็น-เอหิภิกขุแล้วได้กระทำความเพียรทางวิสุทธิธรรม๗ ครั้นถึง-สัจจานุโลกมิกญาณก็หยุดยั้งอยู่แค่นั้น เมื่อโชติปาลมาณพบวชแล้ว ก็ได้ดำเนินธรรมปฎิบัติร่วมกัน ถึงอายุขัยแล้ว ต่างก็ปเกิดตามคติวิสัยชั้นดุสิตภพ


    ยุคขุนแผน พุทธันดรที่ ๓ กาลพระพุทธกัสปสัมมาสัมพุทธ เต็มพันล้านปีที่ ๓ คร่อมเข้าไปพันล้านปีที่ ๔ แผ่นดินสูงขึ้นโยชน์ ๑ คือ ๑๖ ก.ม. ตรงกับสมัย "แผน"
    ที่จะขุดลึกลงไปได้ถึง ๑๖ ก.ม.นั้นคงยากมากจึงสุดกำลังที่จะเจาะพิสูจน์กาลนั้นๆได้

    ยุคแผนนี้ มีชื่อต่อลงมาได้ถึงคนปัจจุบัน และไทยรู้จักชื่อและคำไทยดีด้วย ตามชื่อที่อ้างมา

    คนไทยรู้จักกันอยู่คือ แผน แถน สรวง ซึ่งอ้างตามเรื่องว่า มีมาเมื่อต้นกัปย่อมไม่เป็นที่เชื่อถือ

    ยิ่งถ้าพูดตามอายุกาล ๔ พุทธันดร ๕ พัน ๕ ร้อยล้านปีแล้ว จะยิ่งไปกันใหญ่ โลกวิทยาว่าโลกนี้กำลังลุกเป็นไฟอยู่ แล้วเพิ่งมาเริ่มเย็นเมื่อ ๑,๗๕๐ ล้านปีนี่เอง ใช้เวลาเย็นอยู่ ๕๐๐ ล้านปีจึงสงบ ทั้งเริ่มมีสิ่งมีชีวิต และเป็นโลก และมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์เมื่อ ๑,๒๕๐ ล้านปีนี่เอง ว่าตามโลกวิทยา คือ เอกสารหินของกรมทรัพยากรธรณี

    แต่ในฐานะที่เป็นคนและพุทธศาสนา จึงมีหน้าที่เต็มที่จะเชื่อคนไทย

    และเชื่อพระรัตรตรัย คือ มีตถาคตโพธิสัทธาอยู่แล้ว ซึ่งมีหน้าที่พูดอย่างสมบูรณ์
    ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่ผิดถูกอะไร ผู้เขียนไม่มีหน้าที่ไปว่าใครด้วย
    ฉะนี้ จึงเล่าเรื่องที่คนไทยได้เชื่อถือมา จึงสร้างรูปยื่นยันกันมา แม้ในเรื่องยุค หรือ พุทธันดรทั้ง ๓ ก็เชื่อถือกันมาแล้วอย่างน้อยก็ ๒ พันกว่าปีมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2017
  16. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    แมน = ไทย

    เมืองแมน คนไทยแมน กับ เมืองแผน คนแผน ก็คืออันเดียวกัน เปลี่ยนเพียงชื่อเท่านั้น
    เท่าที่เปลี่ยนนี้ดี เพราะทำให้กำหนดกาลเวลาได้ และชื่อยังอยู่ในคำไทย จึงเป็นหลักฐานว่ามีอยู่แล้ว

    กับมีชื่อคำไทยอยู่มาถึงปัจจุบัน และมีไปตลอดที่คนไทยไปมีอยู่

    ในระยะกาลสมัยเมืองแผนคือ หมื่นปี มาถึง ๘ พันปีก่อนนั้น นับว่าไกลจากกาลนี้อยู่ อาจเลือนลางมาจากยุค มิคสัญญี เปลี่ยนพุทธันดรที่ ๓ เริ่มพุทธันดรที่ ๔ และเหมือนกันตลอดโลก ถ้าขืนพูดว่าเจริญมาก่อน หมื่นปี จะคัดค้านกับคำฝรั่ง ทั้งจะไม่เป็นที่น่าเชื่อถือตลอดไป

    ในที่นี้ ก็ขอกล่าวว่า เมืองไทยนี้เจริญมาก่อน หมื่นปี เข้าระยะกาลคิดทำประดิษฐ์ต่างๆ เมื่อก่อนหมื่นปีมาแล้ว ตอนนั้นยังคิดหนังสือไม่ได้ จึงไม่มีการบันทึกหรือเขียนกันไว้ เมื่อเข้าบันทึกหรือจารึกนั้นก็เมื่อ ๘ พันปีมาแล้ว จึงเรียงตามบันทึก

    แต่ใช้สำนวนปัจจุบัน ทั้งคำชื่อเมืองแมนนี้ บัดนี้ ไทยรู้จักกันว่า สวรรค์ชั้นฟ้า


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2017
  17. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    สมัยเมืองแมน ขุนอินเขาเขียว ขุนนางกวักทองมา เริ่มเจริญเมื่อ ๘๐๐๐ปีที่แล้ว(ก่อน พ.ศ.5340 ปี)

    เรื่องย่อ
    ขุนอิน ครองเมืองแผน มีน้องสาวชื่อ นางฟ้าอยู่เรือน ทั้งคู่ยังไม่มีคู่ครอง
    น้องสาวได้กล่าวชื่อ นางกวัก หรือ กวักทองมา (ลูกสาวคนเดียวของขุนเขาเขียวและนางขวัญทองมา เจ้าเมืองอิน) ว่าสวยงาม

    ขุนอิน จึงทำตัวเป็น ขอม(ผู้มีความรู้) ไปเที่ยว
    ได้พบกัน เมื่อนางกวัก กับเพื่อนสาวอาบและเล่นน้ำริมบึงใหญ่
    ขุนอิน จึงลงมุดไปโผล่จับตัวได้ เกิดรักกัน
    นางกวัก พา ขุนอิน ไปอยู่ในถ้ำห้องของตัว
    ขุนเขาเขียว พาพรรคพวกตามมา พบกันแล้วต่างถือท่อนไม้เข้าสู้กัน
    เมื่อขุนเขาเขียวเสียท่า ขุนอินเงื้อท่อนไม้จะฟาด
    นางกวักร้องว่า อย่าฆ่าพ่อ ขุนอินจึงยั้งไว้
    ครั้นขุนเขาเขียวได้ท่า จึงเงื้อท่อนไม้จะฟาด นางกวักร้องว่า อย่าฆ่าผัว
    ขุนเขาเขียวจึงยั้งมือไว้ ร้องถามลูกว่า มึงได้ผัวแล้วหรือ
    นางรับว่า ได้หลายครั้งแล้ว
    ทั้งคู่เข้าไปก้มไหว้ ขุนเขาเขียว รับขุนอินเป็นลูก โดยตั้งชื่อให้ว่า ขุนอินเขาเขียว
    เอาชื่อตัวต่อให้ หมายว่ายอมรับเป็นผู้สืบไปในข้างหน้า
    ขุนอินเขาเขียวจึงเรียกปีนั้นว่า ปีอิน๑
    และกลับมาเมืองแผน ตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองแมน

    ด้วยความรักกัน อยู่มาจึงมีลูกด้วยกันเป็นชาย ๑๓ หญิง๗ คน

    คนแรกชื่อ อู่ทอง นางกวักขอผัวเอาไปยกให้แก่ขุนเขาเขียวและขวัญทองมาเพื่อเป็นขุน

    ต่อไปที่เหลือ ๑๙คน ขุนอินเขาเขียวตั้งชื่อไว้แล้วเอามาตั้งชื่อเดือนปี

    จึงคงอยู่ว่า เดือนอ้าย ปีชวด เดือนยี่ ปีฉลู เดือนสาม ปีขาล เดือนสี่ ปีเถาะ เดือนห้า ปีมะโรง เดือนหก ปีมะเส็ง เดือนเจ็ด ปีมะเมีย เดือนแปด ปีมะแม เดือนเก้า ปีวอก เดือนสิบ ปีระกา เดือนสิบเอ็ด ปีจอม(จอ) เดือนสิบสอง ปีกุน

    ลูกหญิง ๗คน ตั้งเป็นชื่อวันว่า
    ๑วันอา ๒วันอัน ๓วันอาง ๔วันอุ่น ๕วันเอือย ๖วันอู่ ๗วันอี่
    จึงมีชื่อ ปี เดือน วัน ใช้

    ครั้นขุนอินเขาเขียวตาย ขุนห้ามะโรง หรือหัวร่วง ตั้งปีตายนั้นว่า ๓๕๐ เป็นหลักฐานับกันมา
    กระทั่งปีอินได้ ๔,๑๕๐ ปี ขุนโลลาย จึงเปลี่ยนเป็น ปีโล ๑
    และเปลี่ยนชื่อ เมืองแมน เป็นเมืองทอง ชื่อ เมืองแมน จึงหายไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2017
  18. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    a.2218436.jpg
    ขุนอินเขาเขียว และ นางกวักทองมา ได้ที่เขาเขียว ราชบุรี ทั้งคู่้ช่างทำส่วนสั้น อันเป็นส่วนสมัยสุวัณณภูมิ จะเห็นว่ามีสร้อยสะพาย

    สำหรับขุนพระอิน(เขาเขียว) และนางกวักทองมา ซึ่งเป็นผู้ทำความเจริญไว้แก่ไทย
    ไทยทั่วไปจึงยกขึ้นเป็นที่ระลึกถึง บวงสรวง กราบไหว้ขอให้ช่วย จนถึงกาลบัดนี้ ในหมู่ชาวชนบท ชาวบ้านทั่วไปยังทำกันอยู่ แต่ผู้รู้หรือนักรู้อดิศักดิชนได้เปลี่ยนไปเป็นไหว้อื่นๆหมดแล้ว
    ในภาคใต้คนไทยที่เป็นนักเพลงโนรา และ หนัง ยังมีเพลงไหว้ครูระบุถึง ขุนอิน นางกวัก ซึ่งถือว่าเป็นต้นไทย ต้นบา ต้นขอม ต้นครูบาไทย

    แต่คำไหว้ก็ถูกเปลี่ยนไปแล้ว
    เดิมคือ ไหว้ขุนพระอินนางกวักในชั้นโสฬส เปลี่ยนเป็น ไหว้ท้าวอินดทในชั้นโสฬส
    และ ขุนแรกต้น และ แม่โพสพ เปลี่ยนเป็น ไหว้พระปริถวีราชา(จ้าวที่ทุ่งนา) ภุมมาหาลาภหาไชย ไหว้นางโพกภาวดี(โพสพ) นบไหว้นางธรณีคงคาเป็นแม่ใหญ่”

    แม่ซื้อเป็นแม่ธรณี แม่ย่าเป็นแม่คงคา
    ถึงจะเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ ก็ได้เห็นเป็นหลักฐาน

    ณ ภาคกลาง แม่โพสพ เป็นแม่หญิงไทยรู้จักทำข้าว ไทยจึงยกขึ้นเป็นจ้าวแม่ข้าว ได้บำบวงบูชากันมา นักรู้ก็ยกไปให้อินเดียแล้ว
    เพลงขุนอิน และขุนหญิงนางกวัก ได้เข้าไปเป็นเพลงโขน เล่นเรื่องรามเกียรติ์ ก็ต้องเปลี่ยนไหว้ครูไทย ไปไหว้นารายณ์ อิศวร พรหม อันเป็นของชมพูทวีป(แขกแท้ไม่มีชื่อว่า พระ)
    แม้ในพระราชนิพนธ์จะย่อพอได้ความว่า ไหว้ครู ควรจะเป็น ศิษย์ไหว้ครู ผู้สอนวิชาให้แก่ตน
    แต่มีเครื่องตั้งในการไหว้ครูให้เคารพด้วย จึงพาให้เข้าใจว่า ไหว้ผี
    เหล่านั้นเป็นผีอะไรก็ไม่ทราบ ทำให้พวกครูเดือดร้อน เห็นว่าเลวเกินไปจึงคิดหาเทวดาเข้ามาปรับปรุงให้เป็นผีฟ้า จะได้มีศักดิ์โดยสมควร
    พวกโขน เล่นเรื่องรามเกียรติ์อยู่แล้ว จึงเลิกไหว้ครูบาไทย หันไปไหว้ นารายณ์ อิศวร พรหม อันเป็นเทวดาแขก
    ผู้สร้างระบบรำ ระบบเสียงร้อง ระบบเสียงเครื่องทำเพลง คือ บาไทย ขอมไทย ครูบาไทย ก็ต้องหลบเข้าฉากไปหมด
    แม้การรำเพลงไหว้ แบบไทยตั้งใบสีต้น ใช้มือรำๆหว้บังคม ก้มไหว้ ฯลฯ เวลานี้เปลี่ยนไปตามแบบอินเดีย คือ ถาดใส่เครื่องเซ่นบูชา เอาธูปปัก ใช้มือช้อนขึ้นชูรำยื่นถวายพระเป็นจ้าว แล้ว
    เพราะไทยดูถูกกันเองอย่างนี้ ของไทยก็ค่อยสูญไป ของแขกเข้ามาแทนที่ ไทยนักรู้ทั้งหลายจึงยกให้แขกหมดแล้ว ทั้งๆที่แขกไม่มีเลย ก็ได้ไปแล้ว ดูเขาจะไม่ยอมรับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0010.jpg
      scan0010.jpg
      ขนาดไฟล์:
      532.5 KB
      เปิดดู:
      3,327
    • a.2218436.jpg
      a.2218436.jpg
      ขนาดไฟล์:
      532.5 KB
      เปิดดู:
      132
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2017
  19. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    เมืองแมน ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจาก เมืองแผน นั้น ไม่แน่ว่าอยู่ตรงไหน เพราะกาลเวลานานมาถึง ๘,๐๐๐ปีนั้น ดูระยะตามที่ขุนอินเดินทางไปก็ไม่แน่นัก ส่วนเมืองนางกวักคงอยู่ที่เขาเขียว เพราะชื่อขุนเขาเขียวยืนยันอยู่ เมืองแมนอาจอยู่ส่วนใต้ลงมา ตั้งแต่เมืองกาญจน์ลงมา เช่น ขุนอู่ทอง ผู้สร้างกระเบื้องหนา ก่อตึกอยู่ในป่า จึงตั้งชื่อว่า พงตึก
    อ้ายชวดและอ้ายจอ มาอยู่ที่เทือกเขาภูเขาหลวงเหนือ จึงตั้งชื่อว่า เขาอ้ายช่วย หรืออ้ายชวดและเขาอ้ายจอ เจ็ดมะเมียไปอยู่ จึงตั้งชื่อว่า เจ็ดมะเมีย คือ เจ็ดเสมียน
    สิบสองกุนไปอยู่ จึงตั้งชื่อว่า บ้านมกุน
    ห้ามะโรงไปอยู่ จึงตั้งชื่อว่า หัวร่วง ห้วยโรง
    สิบระกาไปอยู่ จึงตั้งชื่อว่า ป่าไก่
    ที่คูบัวไปอยู่กันหลายคน สามขานไปอยู่ จึงตั้งชื่อว่า สามขัน
    หกมะเส็งไปอยู่เป็นหมอ จึงตั้งชื่อ บ้านหมอเส็ง
    เก้าวอกไปอยู่ จึงตั้งชื่อว่า นาวอก
    สี่ถอไปอยู่ จึงตั้งชื่อว่า ถอ หรือ ธ่อ คือ ปากธ่อ

    ฉะนี้ เมืองแมนอาจกว้างขวาง และระยะกาลที่ยืนยาวมาถึง ๔๑๕๐ปี คงสร้างไว้หลายแห่ง แต่ที่สืบต่อกันเรื่อยๆมา คงจะเป็นที่คูบัว อันเป็นถิ่นที่ขุนโลลายลงไว้ว่า
    สร้างเมืองทองที่ดอนโตนด




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2017
  20. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    มีคำระลึกถึงเป็นมนต์ขลังศักดิ์สิทธิ์ประจำมา
    ได้ฟังผู้ใหญ่สอนจำได้เป็นบางคำ ได้เีรียงขึ้นใหม่ตามเค้ามนต์นางกวักว่า

    "โอม - โอ พ่อขุนพระอินเขาเขียว ทรงเรียวแรงแผลงโผนแผ้วพร้อมเพร้วพันตาแจ่มกระจ่าง ข่ามขลังฉมวกแก้วห้ายอด กำจัดตลอดรอดร้ายระรานบารมี มีพระยอดมิ่งขวัญคู่พระศรีศักดิ์พระนางกวักทองมา ขอทรงประทานล่ำทำไร่สวนนาข้าวกร้าค้าขายดีมีลาภผล - ทุกหนแห่งถิ่นที่ขอให้เจริญศรีมีลาภผล ดลดาลโฉลกโชคชน - พลเดชฤทธิ์สิทธิศักดิ์อัครยศรสระรื่นชื่นใจชายหญิงทุกถ้วนหน้าสาระพัดผลรับทรัพย์สิน ขอพระอินช่วยลูกปลูกปั้นสรรเจริญขอเชิญคุ้มครองป้องกันสรรพภัยทุกสถานกาลเวลาทุกทิศานุทิศ เป็นกรรมสิทธิ์แก่ลูกทุกเมื่อ - เทอญ"

    ในความรู้จักของชาวพื้นเมืองไทย มีคำมนต์หรือคำขอเป็นประจำว่า "จ้าวพระคู๊ณ ขุนพระอินช่วยลูกด้วย"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2017
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...