ประวัติท่านพ่อเมตตา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย หลวงพ่อเมตตา, 18 กันยายน 2015.

  1. หลวงพ่อเมตตา

    หลวงพ่อเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    509
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +738
    ประวัติท่านพ่อเมตตา
    **********
    ตอนแสงธรรมนำทางชีวิต
    กว่าที่จะได้ประวัติท่านพ่อมาบันทึกและเรียบเรียงไม่ใช่เรื่องงาย ด้วยเพราะท่านพ่อไม่ค่อยเล่าเรื่องราวต่างๆให้ใครต่อใครฟังมากนัก ต้องอาศัยความพยายามในการจดบันทึก ในแต่ละตอนแล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ หากเกิดความกังขาหรือสงสัยในตอนใดก็จะหาโอกาส ถามความชัดเจนจากท่านพ่อเอง ก่อนอื่นต้องขอบอกกับผู้อ่านทุกท่านว่าเป็นบทความที่ผู้เขียน บันทึกและเรียบเรียงขึ้นเอง ในบางตอนอาจไม่ชัดเจน ด้วยท่านพ่อได้บอกว่า บางอย่างพ่อไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก ด้วยเหตุผลต้นกรรม หรือวิบากกรรม กรรมลิขิตไว้ พ่อเป็นพระบ้านนอกไม่ได้เรียนหนังสือ ถ้าลูกๆได้รู้ ได้เห็นเหมือนที่พ่อได้รู้ ได้เห็น ก็จะเข้าใจพ่อมากขึ้น แต่ผู้เขียนพอที่จะจับต้นชนปลายในประวัติของท่านพ่อได้ดังนี้ ท่านพ่อเล่าว่า.

    โยมมารดาเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะตั้งครรภ์นั้นท่านได้ฝันว่า หลวงพ่อถวิน สุวรรณโชติ พระเกจิคณาจารย์สายกรรมฐานแห่งวัดศรีแก้วได้นำเอาแหวนมาให้แก่ท่าน ท่านจึงรับเอาด้วยความตื้นตันใจ พอตื่นขึ้นท่านได้นึกถึงนิมิตนี้ว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วมีความรู้สึกว่าตนเองได้ตั้งครรภ์ เป็นแน่แท้
    หลังจากนั้นเป็นระยะเวลา ๑๐ เดือนเต็ม โยมมารดาก็ได้ให้กำเนินบุตรชาย และโยมมารดาได้ให้นามว่า ทยุตธร นามสกุล พะวงษ์ ได้ถือกำเนิดเมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ ปี จอ บ้านเลขที่ ๐๑๔ หมู่ที่ ๑๒ ตำบลศรีแก้ว อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ นามบิดา นายถาวร พะวงษ์ นามมารดา นางสาริกา พะวงษ์
    -ในสมัยครั้งเยาว์วัย รางกายของฉันไม่แข็งแรงเหมือนเด็กคนอื่นนัก ประกอบกับเป็นถิ่นธุระกันดารห่างจากความเจริญ ชาวบ้านยังนับถือ เทวดา ภูตผี ตามถิ่นฐานบ้านเขมร เมื่อเกิดการไม่สบายเจียนไม่รอดแล้ว จึงได้อาศรัยใบบุญ หลวงพ่อนวล กิตติญาโณ เจ้าอาวาสวัดเกียรติแก้วสามัคคี นำเอาฉันไปถวายเป็นลูกท่าน เพื่อให้ท่าน ทำพิธีปัดเป่า ภูตผีที่มารังควาน หลวงพ่อนวล ท่านจึง ทำพิธีปัดเป่าเสกน้ำมนต์ ผูกด้ายคาถา ให้ ฉันจึงมีชีวิต จนถึงปัจจุบัน ได้สืบถอด ตำรา มหาเพชรกลับหนังเหนียว จากปู่ของตน คือนายบุญเทียน พะวงษ์

    เมื่ออายุครบเรียนประถมทางบ้านจึงให้ไปเรียนที่โรงเรียนบ้านศรีแก้ว จนถึงชั้น ป. ๖ แต่ตอนที่เรียนอยู่ ป.๕ ได้หนีออกจากบ้านมาเป็นลูกศิษย์วัดที่ วัดเกียรติแก้วสามัคคี จนเรียนจบชั้นปีที่ ๖ และในตอนที่เป็นลูกศิษย์วัดนั้นเอง ได้ขอครูบาอาจารย์ เรียนตำราโหราศาสตร์ จาก เจ้าอาวาส(ปัจจุบัน พระครูศรีรัตนาภิรักษ์ จอ.ศรีรัตนะ) และพ่อจารย์ วิเชียร กมล (น้องชายของหลวงพ่อนวล กิตติญาโณ) ได้มนต์คาถาวิชาต่างๆ บางส่วน จนชำนาญ สามารถดูดวงให้ผู้อื่นได้ ตอนอายุ ๑๓ ปี

    -บรรพชา เมื่อเรียนจบชั้น ป. ๖ แล้ว ทางบ้านมีฐานะยากจน ในสมัยนั้น ไม่มีเงินที่จะส่งลูกเรียนได้ ท่านพ่อเป็นลูกคนโต จึงคิดที่จะออกบวชเป็นสามเณร ให้น้องชายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมแทน จึงไปคุยกับทางมารดา มารดาจึงอนุญาตให้ออกบวช เมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ ปี ขาล ณ วัดจันทาราม ตำบลพิงพวย อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ
    นามพระอุปัชฌาย์ พระครูอรรถกิจสุนทร (เสียง ธมฺมทินฺโน) เจ้าคณะอำเภอศรีรัตนะ
    สมัยนั้น หลวงพ่อพระครูรัตนภูมิพิจารณ์ พระมหาเถระแห่งอำเภอศรีรัตนะ ได้ย้ายวัดกลับจากวัดสำโรงระวี มาอยู่ที่บ้านเกิด คือวัดเกียรติแก้วสามัคคี ด้วย อายุ ๘๐ พรรษา ๖๐ ท่านชรามากแล้ว ท่านบอกว่าจะกลับมาตายที่บ้านเกิดของตน ดังนั้น ทางเจ้าอาวาส(ปัจจุบัน พระครูศรีรัตนาภิรักษ์ จอ.ศรีรัตนะ) จึงได้ส่งให้ท่านพ่อไปดูแลหลวงพ่อ พระครูรัตนภูมิพิจารณ์ อยู่กับหลวงพ่อ เพราะด้วยท่านพ่อก็มีฐานะเป็นหลานชายหลวงพ่ออยู่แล้ว จึงได้ไปอุปถากรับใช้ ท่าน และได้ศึกษา ตัวขอมเขมร จนได้สืบทอด วิชาคาถาอาคมต่างๆ พร้อมตำรา ต่างๆ จากหลวงพ่อพระครูรัตนภูมิจารณ์ อยู่กับหลวงพ่อได้ ๒ ปี หลวงพ่อก็มรณภาพ ท่านพ่อเป็นคนที่อยู่ดูแลหลวงพ่อที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ จ. อุบลราชธานี ๒-๓ สัปดาห์ ฉันอยู่กับหลวงพ่อจนลมหายใจสุดท้ายของหลวงพ่อ สิริอายุหลวงพ่อพระครูรัตนภูมิพิจารณ์ ๘๒ ปี พรรษา ๖๒ (ระยะ ๒ ปี ที่ได้อุปฐากและเรียนวิชาคาถาอาคม)
    ในช่วงนั้น มีพระมหาเถระอีกรูป รองจาก หลวงพ่อพระครูรัตนภูมิพิจารณ์ คือ พลวงพ่อพระครูสิริธรรมมงคล ทางเจ้าอาวาส(ปัจจุบัน พระครูศรีรัตนาภิรักษ์ จอ.ศรีรัตนะ) จึงได้ส่งให้ฉันไปดูแลหลวงพ่อ พระครูสิริธรรมมงคล อยู่กับหลวงพ่อ ได้ไปอุปถากรับใช้ ท่าน และได้ศึกษา ตัวขอมเขมรอยู่กับหลวงพ่อได้ ๑ ปี หลวงพ่อก็มรณภาพ ท่านพ่อเป็นคนที่อยู่ดูแลหลวงพ่อที่โรงพยาบาลศรีรัตนะ ๒ เดือน ท่านพ่ออยู่กับหลวงพ่อจนลมหายใจสุดท้ายของหลวงพ่อ สิริอายุหลวงพ่อพระครูสิริธรรมมงคล ๘๒ ปี พรรษา ๖๒ (ระยะ ๒ ปี ที่ได้อุปฐากและเรียนวิชาอักขระตัวขอม)

    -จากนั้นเมื่ออายุ ๑๗ ปี หนีไปอยู่ที่วัดกะเบาเดื่อ ไปอยู่รับใช้หลวงพ่อพระครูวัดกระเบาเดื่อ ได้เรียนอักขระขอมและมนต่างๆจากหลวงพ่อพระครูวัดกระเบาเดื่อ และไปเรียนแคล้วคลาด และลงน้ำมันอักขระ มนต์คาถา (คุณไสย์ มนต์ดำและอวิชชาต่าง) จากพ่อจารย์ คุณพระ บ้านกะเบาเดื่อ ตำบลกะเบาเดื่อ อ.ขุนหาร (ท่านเคยเป็นขุนโจร)จนหมดตำราวิชาที่จะสอน (ปัจจุบันท่านเสียชีวิตแล้ว สิริอายุ ๗๐ กว่าปี)

    -ในตอนนั้นออกจากวัดกะเบาเดื่อ ไปแสวงหาโชคลาภ ออกหาหวย-ของขลังต่างๆ-ของเก่าต่างๆ-ว่านต่างๆ-และเหล็กไหลตามสถานที่ต่าง และตนเองก็ไม่ใส่ร้องเท้าด้วย ตามเขตชายแดนลาว จังหวัดอุบลราชธานี,จังหวัดอำนาจเจริญ,จังหวัดมุกดาหาร เขตชายเดนเขมร จังหวัดศรีสะเกษ,จังหวัดศรีสุรินทร์,จังหวัดบุรีรัมย์
    -ไปเรียนวิชาเป่าสีผึ้งให้เต็มตลับ โยมยายเขมร ที่ บ้านนาตำบล แถวเขตชายแดนเขมร ใกล้บ้านแซรไปร(เป็นคนเดียวที่ท่านบอกมนต์ และเรียนปากตอปาก) (ปัจจุบัน ท่านเสียชีวิตแล้ว สิริอายุ ร้อยกว่า ปี)
    -ไปเรียนวิชาสาลิกา และลงอักขระ มนต์คาถาวิชามหาเมตตาต่างๆ จากพ่อจารย์ เปรม บ้านละลม ตำบลละลม อ.ภูสิงห์ จนจบ ๓ คาบ จนหมดตำราวิชาที่จะสอน (ปัจจุบันท่านเสียชีวิตแล้ว สิริอายุ ๘๐ กว่าปี)

    -อุปสมบท อายุครบ ๒๐ ปี ทางเจ้าอาวาส(ปัจจุบัน พระครูศรีรัตนาภิรักษ์ จอ.ศรีรัตนะ) จึงจัดให้มีงานบวชและขอให้เลิก ใช้วิชา หาหวย,ของขลังต่างๆ จึงจะบวชพระให้ วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะแม
    นามพระอุปัชฌาย์ พระเทพวรมุนี(วิบูลย์ กลฺยาโณ) เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ (ปัจจุบันมรณะภาพแล้ว)
    นามพระกรรมวาจาจารย์(พระมหาพนาวัลย์ จกกธมโม ปธ.๗)พระครูศรีรัตนาภิรักษ์ เจ้าคณะอำเภอศรีรัตนะ
    นามพระอนุสาวนาจาจารย์(พระมหาพิเชษฐ์ ถาวรธมโม ปธ.๖) พระครูเมธีกิตติสาร เจ้าคณะตำบลศรีแก้ว
    ณ พัทธสีมาวัดเกียรติแก้วสามัคคี ตำบลศรีแก้ว อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ได้นามฉายาว่า ปริญฺญาโณ
    บวชพระ ได้ ๗ วัน เป็นเลขาเจ้าคณะอำเภอศรีรัตนะ(พ.ศ.๒๕๔๖-๒๕๔๗ แล้วลาออก)
    -ไปเรียนวิชาสาลิกา และมนต์คาถาวิชามหาเมตตาต่างๆ จากพ่อจารย์ ลี ดอนชัย บ้านโคกใหญ่ อ.ภูสิงห์ ก่อนท่านเสียชีวิต ๗ วัน ท่านมาหาที่วัด ขณะที่บวชพระ ได้ ๗ วัน ท่านลงวิชามหาเมตตา ๑ วัน ๑ คืน และเรียนปากต่อปาก จากนั้น ๗ วันท่านกลับไปเสียชีวิต ที่บ้านโคกใหญ่ (ปัจจุบันท่านเสียชีวิตแล้ว สิริอายุ ๙๐ กว่าปี)
    -ในตอนนั้นออกแสวงหาวิชาต่างๆ แต่เน้นกับ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระเถระเท่านั้น เช่น หลวงพ่อสายวัดตะเคียนราม,หลวงพ่อศิลา วัดโพนปลัด,หลวงพ่อเกลี้ยง วัดโนนเกด, และไปกราบครูบาอาจารย์ที่นับถือ เช่น หลวงปู่หงษ์ สุสานทุ่งมน,หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร้,หลวงปู่เหรียญ วัดอรัญญบรรพต แล้วกลับมาจำพรรษาที่บ้านเกิด
    -๒๕๔๗-มีญาติโยมมานิมนต์ไปจำพรรษาที่พักสงฆ์บ้านโคน เป็นที่พึ่งทางใจช่วยรดน้ำมนต์ เสกคาถาด้ายมงคล ช่วยเหลือทุกคนที่มาอาศัย นำชาวบ้านสร้างศาลาการเปรียญ สิ้นเงิน ๒ แสนกว่าบาท และกุฏิสงฆ์อีกหนึ่งหลัง ประมาณ ๕ หมื่นกว่าบาท ทั้งนี้มีคนบางกลุ่มไม่พอใจ จึงพากันโจมตีหลวงพ่อเมตตา และบังคับให้หลวงพ่อเมตตา ออกจากที่พักสงฆ์ จำต้องออกไปอาศัยอยู่กับ สานุศิษย์ ที่สวนมะขาม อ.หมวกเล็ก จ.สระบุรี ๑ เดือนเศษ แล้วรับนิมนต์ไปอยู่ที่ วัดคำใหญ่ อ.แก่งคอย จ. สระบุรี พาญาติโยม พัฒนาวัด บูรณะศาลาการเปรียญ และได้สร้างกุฏิ ๑ หลัง ประมาณ ๒ แสนบาท
    -๒๕๔๙ไปจำพรรษาที่วัดป้อมวิเชียรโชติการาม จ.สมุทรสาคร ตามคำชวนของพระภิกษุที่เจอกันบนรถไฟ
    ได้เรียนบาลีที่วัดป้อมวิเชียรโชติการาม เป็นนักเทศ นักบรรยาย ประจำวัด แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาสอบบาลี ก็ไม่เข้าสอบ จึงขอย้ายกลับบ้านเกิดตามคำนิมนต์ของชาวบ้านวัดเกียรติแก้วสามัคคี
    พ.ศ.๒๕๕๒-ปัจจุบัน เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเกียรติแก้วสามัคคี


    ตอนมนต์คาถาวิชาอาคม
    **************

    เหรียญอดีตเจ้าอาวาสหลวงพ่อนวลวัดเกียรติแก้ว
    เพื่อแจกงานผ้าป่า ปี ๒๕๕๓ ทางสาย ประเทศไต้หวันมาร่วมเป็น ประธานสายได้เหรียญ ไปบูชาทุกคน ในระหว่างเดินทางกลับ ทางสายประเทศไต้หวัน(ในประเทศ)เกิดอุบัติเหตุขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่มีใครเป็นอาไร ปีถัดมาทางสายประเทศไต้หวัน มาขอบูชาเหรียญอดีตเจ้าอาวาสหลวงพ่อนวลวัดเกียรติแก้ว เอาไปเกือบหมด (จากประธานสายไต้หวันมาเล่าเหตุการณ์ให้ท่านพ่อฟัง)
    กุมารเมตตา
    (เป็นประสบการณ์ของพระหนุ่ม เณรน้อยที่อยู่กับท่านพ่อ)ทางศิษยานุศิษย์ที่เคยลางานมาบวชหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เคยโดนกุมารของหลวงพ่อเมตตาแกล้งจนไม่ได้หลับ ทั้งมาหยอก มาดึงขา และกระโดดข้าม บางคนเห็นเป็นตัวกุมารเลย.

    วิชาอาคม
    (จากเพื่อนสนิทหลวงพ่อเมตตาเล่าให้ฟัง) ใน พ.ศ. ๒๕๕๔ มีโยมมานิมนต์ไปพักที่บ้านริมเขื่อน
    สิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี และในตอนกลางดึก ได้ฟันเห็นรุกเทวดา ๒ ตน มายืนดูหลวงพ่อเมตตา แล้ว รุกเทวดา ๒ ตน ได้คุยกันว่า พระรูปนี้ (หลวงพ่อเมตตา) ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้ามากพวกเราทำอะไรท่านไม่ได้ดอก แล้วเพื่อนของหลวงพ่อเมตตา ก็ได้เล่าให้ฟ้งในรุ้งเช้า.
    พ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๕๗ เป็นรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดตายู

    วัตถุมงคลด้านประสบการณ์
    ตะกรุด ศรพระนารายณ์
    (ประสบการณ์จากศิษย์ท่านพ่อ คือคุณประหยัด)ได้ตะกรุดจากท่านพ่อตอนเจิมรถคันใหม่ แล้วแขวนไว้ในรถกระบะมิสซู สีดำ ขากลับจากทำธุระที่ จังหวัดนครราชสีมา กลับมาถึงเขตอำเภอขุนหาร(นายประหยัด) ตนได้บีบแตรรถ ด้วยเหตุว่าแถวๆนั้นมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และยังมีศาลเจ้า/ผ้าสีต่างๆผูกไว้ตามต้นไม้ เมื่อบีบแตรแล้ว ตนเองเกิดอาการหน้ามืดมองไม่เห็นทาง รถจึงเสียหลักตกทาง ไปพุ่งชนต้นไม้ใหญ่ด้านขวาของรถ(ฝังคนขับ)ด้านหน้าถึงท้ายรถ พังยับเปิดประตูไม่ได้ ตนจึงมาตรวจดูรางกายของตนเอง แต่ก็ไม่พบแม้แต่รอยถลอกสักที่
    หลังจากที่เครียร์ทุกอย่างได้ วันต่อทางญาติๆของตนจึงได้ไปดู บริเวณที่เกิดเหตุ และได้เขาไปหาหมอดู(รางทรงปู่ฤาษี) ทางรางทรงจึงบอกว่า มีภูตผีวิญญาณคิดจะลองของของตน แต่เคราะห์ดีที่บารมีหลวงพ่อเมตตา ช่วยไว้ได้ทันจึงไม่เป็นไร ทางรางทรงยังบอกอีกว่า ตนมีของดีติดตัว ทั้งในรถและในตัว ยังมีครูบาอาจารย์คอบปกป้องรักษาคุ้มภัยให้ ท่านคงเป็นพระภิกษุอย่างแน่นอน แต่ท่านยังไม่แก่ ดังนั้นตนจึงมาคิดทบทวนดูแล้ว จึงคิดถึงหลวงพ่อเมตตา เพราะว่า วันที่ออกรถนั้น ตนได้เอารถไปให้หลวงพ่อเมตตารดน้ำมนต์ และเจิม หลวงพ่อยังให้ตะกรุดดอกดำ ปิดทอง(ทราบในภายลังว่าเป็นตะกรุดศรพระนารายณ์) ไว้ในรถห้ามเอาออกจากรถ ยังให้ตนพกติดตัวตลอดอีกดอก หลวงพ่อช่วยผมไว้แท้ๆ

    ตะกรุด ศรพระนารายณ์
    (จากประสบการณ์คนขับรถท่านพ่อตอนอยู่วัดตายู)ได้รับโทรศัพท์ จากท่านพ่อ ว่า รถเก๋ง ท่านพ่อ ที่กำลังออกไปงานกิจนิมนต์ที่จังหวัดอุบลราชธานี พอใกล้ถึงเขตบ้านจาน คนขับรถ(วันนั้นไม่มีคนขับอยู่ หลวงพ่อจึงให้นายสันติขับไป เป็นครั้งแรก) จึงออกตัวจะแซงรถสิบล้อ แต่กะระยะไม่ได้รถเก๋งจึงไปเฉียดหน้ารถสิบล้อ อีกประมาณ ๑ ศอกจะถูกท่านพ่อ(ท่านพ่อจะนั่งเบาะหลังตลอด) รถท่านพ่อเกือบพลิกแต่ยังตั้งลำอยู่ได้และเกือบโดนสิบล้อเหยียบ แล้วจากนั้นเมื่อหลวงพ่อเคลียทุกอย่างเสร็จจึงกลับมาที่วัน ยกเลิกกิจนิมนต์ที่ อุบล พอกลับมาถึงวัด จึงได้ไปรอดูท่านพ่อว่าเป็นอย่างไรบ้าง พอท่านพ่อมาถึงวัด ลงจากรถ แล้วบอกว่า พ่อไม่เป็นไรให้เอารถไปซ้อมที่ อู่ อำเภอขุนหาร ตนไม่เชื่อว่าหลวงพ่อไม่เป็นอะไรจึงไปจับดูที่แขน และขาของท่านพ่อ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่รอยถลอกเลย ทั้งๆที่รถแถบประตูด้านหลวงพ่อพังยับมาถึงไฟท้ายเลย.

    ตะกรุด ศรพระนารายณ์
    เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ เวลา ๑๖.๐๐ น. ศิษย์ผู้ติดตามหลวงพ่อหลับมาจากกิจนิมนต์ พอมาถึงทางแยก อำเภอพยุห์ ในเวลานั้นมีรถติไฟแดงอยู่มาก(๑๐ กว่าคัน) ในเวลานั้นคนขับรถประจำหลวงพ่อขับไปเรื่อยๆ ทันใดนั้น รถคันหน้าเหยียบเบรกกระถันหัน คนขับจึงเหยียบเบรกเหมือนกัน(รถอีซูซุ แอดแวนเจอร์)แต่ด้วยรถใหญ่จึงมีกำลังลาก ไปพุ่งชนที่เดียวสี่คัน รถท่านพ่อเป็นคันที่ชนสุดท้าย ด้านหน้าฝากระโปงพับครึ่งหม้อน้ำแตก คนขับจึงหันไปดูท่านพ่อแต่เห็นท่านพ่อกระเด็นไปโดนเบาะหน้าอย่างแรง ตนจึงประครองหลวงพ่อขึ้นมานั่ง หลวงพ่อได้ถามว่า มีใครเป็นอะไรไหม พ่อไม่เป็นไร และท่านพ่อได้สั่งให้คนขับลงไปดู ว่าที่โดนชนมีใครเป็นอะไรบ้าง (ผู้เขียน)ได้ถามท่านพ่อว่า พ่อเป็นไรบ้าง “พ่อไม่เป็นไร” คือคำตอบของท่านพ่อ ท่านพ่อว่า ชนที่เดียวสามคันเลย คันที่ ๑ ท้ายยุบ คันที่ ๒ ท้ายยุบกันชนหัก คันที่ ๓ ด้านหน้าเป็นหนักคงผังมาก ด้านหน้ากับด้านหลังผังพอๆกัน คันสุดท้ายของเราฝาประโปงพับครึ่งหม้อน้ำ พัดลม แตกและพัง เกือบถึงตัวเครื่อง


    จากใจสู่ปลายปากกาศิษย์ท่านพ่อเมตตา
    *********
    ความสามัคคีพร้อมเพรียงกันทำให้เกิดพลัง สร้างสิ่งใดก็จะสำเร็จสมดังความตั้งใจ หากคนในประเทศชาติบ้านเมืองสมานฉันท์สามัคคีกัน เชื่อมั่นว่าสามารถรักษาบ้านเมืองเอาไว้อย่างปลอดภัย สามัคคีทำให้คนไทยได้ปรองดองกันเป็นหนึ่งเดียว มิให้แตกแยกกัน หากเราใคร่ครวญตามเนื้อเพลง เราจะภาคภูมิใจในความเป็นไทย เพราะบรรพชนได้กลั่นกรองถ้อยคำมาให้ อนุชนรุ่นหลังได้สำเหนียกในเนื้อความ เพื่อป้องกันชาติไทยไม่ให้ตกเป็นของใครอื่น
    เมื่อต้นเดือนสิงหาที่ผ่านมา ท่านพ่อ(หลวงพ่อเมตตา)ได้บอกทางคณะศิษยานุศิษย์ว่า จะมีคณะศิษย์กลุ่มหนึ่งที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จะรวมกลุ่มกันออกมาในนาม ค่ายสายลมแห่งอาสา สานสัมพันธ์ สมานฉันท์ สู่ชุมชนตามแนวพระราชดำหริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ประมาณ ๒๐๐ กว่าคน ที่สำนักหลวงพ่อเมตตา ทางคณะศิษย์เอกหลวงพ่อเมตตาได้มาปรึกษาหารือกัน จึงได้จัดที่ให้ไปพักที่โรงเรียนบ้านตายู ด้วยเหตุว่า ที่สำนักมีห้องน้ำ-ห้องสุขาไม่เพียงพอ และท่านพ่อ ได้กำชับมาว่า ให้ดูแลอย่าได้ขาดตกบกพร้องแม้แต่อย่างเดียว เพราะว่าเป็นลูกๆของหลวงพ่อทั้งหมด ที่มีพลังกำลังจะเป็นเยาวชนที่ดีของสังคม และประเทศชาติของเราในภายหน้า พวกเขาเหล่านี้จะเป็นคนที่มาพัฒนา หมู่บ้านชุมชน ในที่ต่างๆ
    ในนามคณะศิษย์หลวงพ่อเมตตา ขอขอบคุณ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ทีได้ให้ทางนิสิตนักศึกษา นำทีมโดย นายจัตุพล เกษร นายทนงศักดิ์ มะลิวงค์ และองค์กรนิสิตนักศึกษาทุกท่าน ที่มาพัฒนาชุมชนหมู่บ้าน-ร่วมแรงร่วมใจกันขุดลอกคลองทางส่งน้ำ ได้รวมกำลังเป็นพลัง มาทาสีศาลาการเปรียญให้ทางวัดหลวงพ่อจนเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยเป็นที่สวยงาม และระดมความคิดสติปัญญาทำแปลงปลูกผักให้เด็กนักเรียนของโรงเรียน ทำให้เด็กนักเรียนมีแรงบัลดาลใจที่จะพัฒนาหมู่บ้านชุมชนของตัวเอง และยังพากันสร้างเขตกั้นรั้วสระใหญ่ หนองสาธารณะ เพื่ออนุรักษ์ไว้ซึ่งธรรมชาติไว้คู่ชุมชน ยังมีผลงานอีกมากมายที่ยังสาธยายไม่หมด ซึ่งงานนี้ดูเหมือนท่านพ่อ จะดีใจเอามากๆ เพราะได้เห็นลูกๆ มาหาพร้อมกัน เป็น ร้อยๆ สังเกตจาก ท่านพ่อ ไม่รับงานนิมนต์ ข้างนอกเลย ในระยะเวลาที่ ค่ายอาสายังอยู่ ท่านพ่อจะไปดูแลด้วยตัวท่านเอง กลางคืนก็จะออกไปตรวจดูความเรียบร้อย เมื่อพักผ่อนกันหมดแล้ว ท่านพ่อก็จะกลับมาจำวัดที่สำนัก และสั่งกำชับให้ คณะศิษย์ออกไป รักษาความปลอดภัยให้กับลูกๆทุกคืน โดยเฉพาะคืนสุดท้ายท่านพ่อไม่ได้นอนเลย ท่านพ่อออกเวรเองเลย อยากจะให้น้องๆ นักศึกษา รับรู้ว่า ท่านพ่อของพวกเรา ทุ่มเทกับสานุศิษย์ ลูกๆทุกคน โดยที่ไม่เคยหวังสิ่งอื่นใด มาตอบแทน นอกจาก ให้ลูกๆ ออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง รู้จักเจ็บ รู้จักแพ้ รู้จักแก้ไข และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มาสานฝัน ปณิธานของลูกเอง แล้งลงมือสานฝันนั้นให้เป็นจริง ท่านพ่อบอก ว่า ให้ลูกทุกคนให้ทำหน้าที่ของตัวเราให้ดี ก็พอ คือ เป็นลูกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ และเป็นประชาชนที่ดีของประเทศชาติและบ้านเมือง “ความสำเร็จของชีวิตนั้น เป็นของคนที่เข้าใจ และพอใจ ในวิถีทางแห่งตน”(ท่านพ่อเมตตา)
    ขอให้ทุกคนมีจิตมุ่งมั่นที่จะกลมเกลียวเหนียวแน่นในกลุ่มนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ของเราโดยเริ่มที่ตัวเรา ครอบครัว หมู่บ้านชุมชน และประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ให้เกิดความเจริญรุ้งเรืองยืนยง
    คงมั่นตลอดไป ให้เหนียวแน่นเหมือนก้อนข้าวเหนียว แต่อย่าทำตัวให้เหมือนก้อนข้าวเหนียวที่ถูกน้ำ ผลที่จะตามมาคือ ความพินาศ ของชาติเราเอง


    ตอนหัวอกสมภาร
    *********
    เรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นเมือมีคนหวังร้ายบางกลุ่มไม่พอใจที่ท่านพ่อเป็นผู้นำพาชาวบ้าน และคณะเยาวชนพัฒนาวัดวาชุมชน จนเป็นที่ยอมรับกันและดูเหมือนทุกอย่างต้องให้ท่านพ่อเป็นผู้ออกหน้าเสมอมา แต่ก็ไม่เป็นผลดีสำหรับผู้มีอิทธิผลบางคนที่กลุ่มของตนขาดความนิยมไป จึงได้หาเรื่องราวต่างๆมาใส่ความท่านพ่อ แต่ก็ไม่เป็นผลด้วยท่านพ่อไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินทองของกองกลางทางวัดอยู่แต่เริ่มแรกอยู่แล้ว และดูเหมือนว่า ท่านพ่อจะล้วงรู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ท่านพ่อจึงเตรียมการณ์ และระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งในการพัฒนาวัดหมู่บ้านชมชน และงานต่างๆ ท่านพ่อจะเอาเงินส่วนตัวของท่านที่ได้จากโยมทางกรุงเทพ และทางคณะศิษย์ถวายท่านพ่อไว้ใช้ส่วนตัว ท่านพ่อจะเอาในส่วนนี้มาพัฒนาส่วนต่างๆเสมอมา จนในบางครั้งท่านพ่อแทบไม่มีเงินติดตัวเลย ต้องไปหยิบยืมจาก สานุศิษย์ หรือ โยมที่ท่านพ่อรู้จักแบบสนิทสนมกันเพื่อมาพัฒนาทั้งคน เยาวชน และชุมชน ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อต้องประสบกับปัญหาต่างๆเป็นอย่างมาก ในส่วนของเงินกองกลางผู้มีหน้าทีแทบไม่เคยให้ท่านพ่อเห็นตัวเงินด้วยเลย
    เมื่อปลายปี ๒๕๕๖ ทางคณะศิษย์จากกรุงเทพได้ทราบข่าวว่า สถานะท่านพ่อกำลังลำบากเป็นอย่างมาก จึงเดินทางออกมาหาท่านพ่อ ประมาณเกือบเที่ยงคืนตัวแทนคณะศิษย์ทางกรุงเทพมหานครเดินทางมาถึง(ผู้เขียนได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย) และได้ถามท่านพ่อว่า กราบนมัสการหลวงพ่อ ทุกวันนี้ หลวงพ่ออยู่สุขสบายดีหรือครับ ท่านพ่อนั่งนิ่งอยู่ระยะหนึ่ง จึงได้ตอบออกมาว่า ทุกวันนี้ พ่อไม่รู้ว่าสุข หรือทุกข์ ตัวแทนคณะศิษย์ทางกรุงเทพมหานคร จึงเป็นตัวแทนของพวกเรา นิมนต์หลวงพ่อย้ายออกจากที่แห่งนี้
    รุ้งเช้าวันต่อมา ท่านพ่อจึงได้เรียกศิษย์ผู้ใกล้ชิดทั้งหมดในเขตจังหวัดศรีสะเกษ มาปรึกษาหารือ จึงได้ข้อสรุปว่านิมนต์ท่านพ่อย้ายออกจากสถานที่ตรงนี้ ท่านพ่อจึงได้ปรึกษากับโยมที่อุถัมภ์ทางกรุงเทพ และก็ตกลงว่าย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเราลูกๆสานุศิษย์จึงได้แบ่งหน้าที่กัน ดูแลท่านพ่อจนกว่าท่านพ่อจะมีที่พำนักแน่นอน ท่านพ่อในช่วงนี้ได้เร่ร่อน ไปในที่ต่างๆตามคำนิมนต์ ของทางคณะศิษยานุศิษย์ เช่น จังหวัดพิจิตร จังหวัดนครปฐม จังหวัดราชบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครราชสีมา แต่ท่านพ่อไม่ยอมพักอยู่นาน ท่านพ่อบอกว่า ที่ตรงนี้มิใช้ที่ของพ่อ ตลอดระยะเวลา สี่เดือนที่ท่านพ่อออกหาวัดเพื่อตั้งสำนักใหม่ ทำให้สุขภาพของท่านพ่อแย่ลง และสุดท้ายท่านพ่อตัดสินใจกลับจังหวัดศรีสะเกษ

    ท่านพ่อพาไปเยี่ยมโยมแม่ที่บ้านเกิด โยมแม่ท่านถามว่า มีชาวบ้านโจทย์ กันว่า เรากินเงิน ของกลุ่มแม่บ้านตายู (เงินขายเห็ด) (ผู้เขียนได้บันทึกไว้ตอนที่ท่านพ่อคุยกับโยมแม่)ความจริงแล้ว โครงการเพาะเห็ดขอนนี้ เป็นโครงการที่เราเขียนเสนอเพื่อของมให้กลุ่มแม่บ้านตายูเอง มีเงินงบตกลงมา ๖๐,๐๐๐ บาท ซึ่งมีกลุ่มแม่บ้านถือเอาไว้ ที่แรกก็โตเถียงกันว่าให้เอาเงินมาแบ่งกันให้จบๆไป แต่เราบอกว่าเงินนี้เป็นของหลวงให้มาเพื่อเป็นทุนในการทำโครงการต่างๆ ของหมู่บ้านนี้ ก็เลยตั้งให้มีผู้ดูแล มากลุ่มหนึ่ง ที่จะทำตามโครงการที่นำเสนอไป และแล้วก็ได้ทำโรงเรือนเพาะเห็นขึ้นมา ตามแบบแปลนที่ เราได้เขียนเอาไว้ในการจ่ายนั้นๆ มีประธานแม่บ้านเป็นคนจ่าย ตามที่เรา ไปหา อุปกรณ์มา เช่นใผหญ้าคา-ไม้ไผ-ไม้ยูคา-ผ้ายาง-ผ้าเสลน-และค่าแรง มีขนาด 5x15 เมตร ร่วมเงินทั้งหมด ๖๐,๐๐๐ กว่าบาท (ตามรายการจ่ายที่บันทึกไว้ที่ประธานแม่บ้าน)
    ดังนั้น เงินไม่พอที่จะซื้อถุงเห็ด เราจึงขอกับโยมอุปฐากที่กรุงเทพ ให้เงินมา สองสามหมืน เพื่อซื้อเชื้อเห็ด ประมาณ สามร้อยกว่าถุง (ของเรา ๑๐๐ ถุง) ในการเก็บก็มีบัญชี การเก็บว่าในแต่ละวันได้ผลผลิตเท่าไร ใครเป็นคนเก็บและมอบให้ แม่บ้านท่านหนึ่งเก็บเงินที่ขายเห็ดได้ แต่แม่บ้านท่านนั้น บอกวาเราเป็นคนเอาเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท และบอกกับเจ้าคณะอำเภอศรีรัตนะ ต่อหน้าสาธารณะชน จึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องดั้งกล่าวขึ้นทั้งหมู่บ้านและคณะสงฆ์ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้ ทางเจ้าคณะอำเภอไปฟังการประชุมที่วัดตายูที่มีการฟองร้องเรื่องนี้ สรุปว่า "ไม่เป็นไรเรื่องเล็กเงินเจ็ดหมืนท่าน(หลวงพ่อเมตตา)หามาได้(คืน)"
    และเราเองก็ได้ไปชี้แจงให้เจ้าคณะอำเภอทราบที่มาที่ไปของเรื่องดังกล่าวแล้ว มลทินเรื่องราวต่างๆ จึงกลับกลายเป็นของท่านพ่อ ที่ต้องรับภาระในการชำระหนี้สินธุที่ได้นำมาพัฒนาวัดและชุมชน

    หลวงพ่อเมตตา เวทยาจารย์ แห่งลุ่มน้ำมูล
    ตอนวัดร้างกลางป่าอายุราว ๓๐๐ กว่าปี
    *********
    ท่านพ่อเมตตา เลาให้ฟังว่า...วันแรกที่มาเห็นสถานที่แห่งนี้ แทบไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง เหมือนเคยเห็นในนิมิตแห่งความฝัน มันเป็นสภาพวัดร้างมาหลายร้อยปี มีพระสถูปเจดีย์ที่เก่าแก่ ยังคงสภาพเป็นฐานพระสถูปเจดีย์อยู่สูงราวประมาณ ๔-๕ เมตร เห็นจะได้ ฐานเป็นอิฐมอนแดง มีฐาน มีเอว เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัต ชาวบ้านแทบนี้เรียกกันว่า “สิมเก่า” (สีมา) โดยสภาพรวมเมื่อมองดูรอบๆก็จะเป็นป่าไม้ทั้งหมด มีต้นไม้ใหญ่ๆ เท้าล้อเกวียน อยู่หลายสิบต้น ในส่วนเขตแดนของวัดจะมีคูน้ำเก่าล้อมรอบมาจรดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัต เมื่อสอบถามรายละเอียดจากชาวบ้านในละแวกนั้น จึงได้ทราบว่า สถานที่แห่งนี้ แต่สมัยก่อนเคยเป็นวัดเก่าแก่มีมานานหลายร้อยกว่าปี เคยมีหมู่บ้านอยู่ในละแวกนี้ ซึ่งมีชื่อว่า บ้านลิ้นฟ้า โดยมีวัดแห่งนี้เป็นจุดศูนย์รวมทางจิตใจแต่เนื่องด้วยเกิดโรคระบาทอย่างรุนแรง จึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านต้องอพยพโยกย้าย ออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ทางทิศตะวันตกของวัดเก่าแห่งนี้ ห่างประมาณ ๓ กิโลเมตรกว่าๆ จึงเป็นเหตุให้วัดแห่งนี้ต้องร้างตามกาลเวลา

    ท่านพ่อได้เห็นเอกสารทางราชการ คือ –ใบโฉนดที่ดินวัด –ใบยกเป็นวัดร้าง ซึ่งในเอกสารมีใจความสำคัญว่า “วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๘ ที่อยู่วัดบ้านเทิน ฮ้าง ยกเป็นวัดฮ้าง (วัดร้าง) อายุประมาณ ๒๕๐ ปี ผู้ครอบครอง พระสงฆ์ เมื่อ พ.ศ.๒๒๔๘ มีเนื้อที่ ๑๐ ไร่” ท่านพ่อพาเดินดูที่วัดเก่าตามคูน้ำสำรวจดู พื้นที่จริงๆ น่าจะประมาณ ๒๐ ไร่เศษ และยังคงมีของเก่าโบราณอยู่ หลายอย่างที่พอเป็นร้องรอยไว้เป็นหลักฐานได้คือ

    -พระสถูป ที่ทำด้วยอิฐมอนแดง วางเรียงกันเป็นรูปร่างพระสถูป หรือเจดีย์ ที่ยังคงสภาพเดิม อยู่ใจกลางพื้นที่ของวัดร้างเมืองเก่า แห่งนี้ พอแสดงเป็นหลักฐานได้ว่า ก่อนหน้านี้หลายร้อยปี ในสถานที่แห่งนี้ เคยเป็น วัดเก่าหรือเมืองเก่า อย่างแท้แน่นอน
    -บ่อน้ำโบราณ ที่ขุดด้วยแรงงานคน มีอิฐมอนแดงก่อขึ้นมา จากข้างล่างบ่อถึงปากบ่อ เป็นรูปวงกลม มีฐาน และที่สำคัญ ณ ปัจจุบันนี้ ก็ยังมีน้ำใสอยู่ตลอดฤดูกาล

    ก่อนหน้านี้มีพระภิกษุมาบุกเบิกอยู่หลายท่านด้วยกัน แต่ก็ไม่มีท่านใดอยู่ได้นาน มีเพียงแต่ ท่านอาจารย์ศักดิ์ที่ท่านเดินเรื่องของยกเป็นวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษา ท่านอาจารย์ศักดิ์เมื่อท่านได้ทราบข่าวว่า ท่านพ่อเมตตา มีเหตุต้องย้ายออกจากวัดบ้านตายู ด้วยมีผู้คนกลุ่มหนึ่งใส่ร้ายป้ายสี ทำให้ท่านพ่อเมตตามีมลทิน ท่านอาจารย์ศักดิ์ จึงออกตามหาจนไปพบท่านพ่อที่วัดมหาพุทธาราม จึงเป็นเหตุให้ท่านพ่อเมตตาตัดสินใจออกมาสำรวจดูที่วัดแห่งนี้ ท่านพ่อเมตตาบอกว่าวัดร้างแห่งนี้ยังไม่มีเสนาสนะ หรือกุฏิ ศาลา คงมีแต่โรงศาลาเล็กๆที่ชาวบ้านออกแรงศรัทธาสร้างขึ้นเพื่อใช้ในกิจของสงฆ์ วัดร้างแห่งนี้ยังรอท่านผู้มีบุญที่จะมาสืบสานสร้างต่อ อาทิเช่น กุฏิ-ศาลา ห้องน้ำ-โรงครัว ฯลฯ ซึ่งวัดร้างแห่งนี้ เต็มไปด้วยแมกไม้ นา นา พันธ์ หลายอย่างหลายชนิด แต่ละต้น มีอายุหลายร้อยปี ยังคงสภาพป่าอย่างเห็นได้ชัดเจน เหมาะแก่การ ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เป็นอย่างมาก วัดแห่งนี้จึงมีชื่อในทางเอกสารทางราชการว่า วัดป่าบ้านเทินเก่า ตั้งอยู่ที่ บ้านลิ้นฟ้า ตำบลลิ้นฟ้า อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ

    ท่านพ่อเมตตา เวทยาจารย์ แห่งลุ่มน้ำมูล
    วัดร้างกลางป่า ตอน ๒
    *********
    เสียงจักจั่นเรไร ร้องสนั่นดังก้องไปทั่วป่า เมื้อยามสนธยาล้วงลับดับขอบฟ้า พอพ้นเสียงสัตว์ป่าร้องยามเมื้อมืดสนิทในเวลายามราตรีกาล ทั่วทุกสารทิศถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด แห่งราตรี แม้กระทั้งดวงดาวบนท้องฟ้านภากาศ ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ด้วยแมกไม้ นา นา พันธุ์ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมเต็มไปหมด มีเพียงแสงเทียนกลิ่นธูปของท่านพ่อที่ยังคงอยู่ในยามราตรีกาลในคืนนี้.
    ระยะแรกตกกลางดึกในยามหลังจากที่ท่านพ่อ เจริญภาวนาสาธยายมนต์ และแผ่เมตตาให้ลูกหลานสานุศิษย์แล้ว ถึงเวลาต้องพักผ่อนนอนจำวัตร แต่ก็มิได้พักผ่อนตามเคย ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต้องการมารบกวน ด้วยเจตนาหรือไม่ ก็ไม่เป็นที่ทราบได้ พอแสงเทียนแห่งการเจริญภาวนาดับลง ตกดึกสงัดยามใกล้รุ้ง ก็มีสิ่งที่มองไม่เห็นมารังควาญ ทุบตีข้าวของเครื่องบริขาร ด้วยเมตตาบารมี ครูอุปัชฌาย์อาจารย์มาช่วยเหลือ เหมือนได้ยินเสียงมีคนมาทุบตี บริเวณด้านหัวนอน แต่ไม่โดน กลับกลายไปโดน เศียรพระนารายณ์ ทำให้ปลายชฎาหัก ตกลงมาพร้อมกับรูปพระอุปัชฌาย์พระเทพวรมุนี (วิบูลย์ กลยาโณ) และไม่ตะพดล้มฟาดกับบานหน้าต่าง ท่านพ่อจึงได้ตื่นลุกขึ้นมาดู แต่เมื้อพิจารณาดูแล้ว ไม่พบเห็นสิ่งใดปรากฏ มีเพียงแต่ ไม้ตะพดลม รูปพระอุปัชฌาย์ตกลงมา แต่ที่หน้าตื่นตกใจ คือที่เห็น เศียรพระนารายณ์ตกลงมาทำให้ยอดชฎาหัก
    ในคืนต่อมาก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นรอบที่สอง จำต้องเรียกให้ทางคณะศิษย์ทางในตัวเมืองศรีสะเกษ ออกมาซ่อมแซม กรอบรูปที่แตก และยอดเศียรพระนารายณ์ที่หัก หลายคืนต่อมา ก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นอีก แต่ครั้งนี้ไม่ได้ปรากฏในห้องของท่านพ่อ แต่เป็นบนหลังคาของกุฏิที่ท่านพ่อพักอาศัย เหมือนว่ามีสิ่งที่ใหญ่และหนักตกลงมาบนหลังคา เสียงดังประหนึ่งว่าเสียงประทัดก็มิปาน มันตกลงมาเหมือนห่าฝนแทบไม่ขาดสาย แต่ท่านพ่อมิได้ออกไปดู ยังคงนั่งเจริญสมาธิภาวนา ตามกิจวัตรของท่านพ่อต่อไป รุ้งเช้าจึงได้ออกตรวจตรา แต่ก็หาพบกับสิ่งใดไม่ มีเพียงแต่สังกะสีที่ยุบตัวลง เป็นร้องรอยหลายที่หลายจุด ทั้งๆที่เมื้อคืนก็ไม่มีที่ท่าว่าจะมีลมแรง หรือฝนตกแต่อย่างใด.
    ท่านพ่อบอกว่า... คงเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งในเขตวัดร้างกลางป่าแห่งนี้ ตามมารังควาญรบกวนลองใจเป็นแน่แท้.
    แต่เนื่องจากทางวัดเกียรติแก้วสามัคคี ได้ขอนิมนต์ท่านกลับมาจำพรรษาที่วัด ในปี พ.ศ.๒๕๕๗ ท่านพ่อจึงรับนิมนต์ กลับมาจำพรรษาที่วัดเกียรติแก้วสามัคคี จนถึงปัจจุบันนี้

    สถานะปัจจุบัน
    เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเกียรติแก้วสามัคคี
    เป็นเลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอศรีรัตนะ
    เป็นพระฐานานุกรม พระเทพประสิทธิคุณ
    วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ที่ พระครูปลัด

    บันทึกและเรียบเรียง
    นนท์วีระพล
    คณะศิษย์ท่านพ่อเมตตา
     
  2. หลวงพ่อเมตตา

    หลวงพ่อเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    509
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +738
    ด้วยคณะสานุศิษย์ มีความประสงค์ จะสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม สัตตนาคาภิรตาราม จึงมาดูที่ ตามคำปรารภคณะเจ้าภาพ ที่มีจิตคิดเป็นกุศล มีเนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 80 ตรว. ที่บ้าน คำลือชา
    ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี
    ราคา 3 แสนบาท
    ประสานงาน/สอบถามได้ที่
    พระครูปลัดทยุตธร ปริญฺญาโณ
    (หลวงพ่อเมตตา)
    ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเกียติแก้วสามัคคี ต.ศรีแก้ว
    อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ
    โทร. 082-1000472 / 080-7777384
    ร่วมบริจาคได้ที่ ธนาคาร กสิกรไทย
    เลขที่บัญชี 004-8-36014-9

    1000018_778970642247805_38432760684080743_n_778970642247805.jpg

    IMG_5886.JPG

    IMG_5900.JPG

    IMG_5903.JPG


    IMG_5925.JPG

    1-116.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...