ประวัติพระมหาเถระผู้เลิศด้วยฤทธิ์ญาณตบะ "หลวงปู่ชอบ ฐานสโม"

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 12 มิถุนายน 2007.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๒๑. วัดที่หลวงปู่ได้สร้างมาแล้ว
    ช่วงระยะเวลา ๗๕ พรรษา ที่พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโมได้บวชและเดินธุดงค์เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมสำหรับประโยชน์แห่งตนเอง และต่อมาก็เพื่อโปรดประชาชนชาวพุทธ เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมมาโดยลำดับนั้น ในที่ซึ่งท่านบำเพ็ญเพียรภาวนา และเห็นว่าเป็นสถานที่อันเป็นสัปปายะ ควรแก่การเจริญสมณกิจ เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธ ให้ยึดมั่นอยู่ในความดี ท่านจึงได้นำจัดตั้งเป็นวัดขึ้น เท่าที่พอจะบันทึกไว้เป็นหลักฐานมีดังนี้
    ในเขตจังหวัดเลย
    วัดป่าห้วยลาด
    วัดป่าบ้านบง
    วัดป่าสานตม
    วัดป่าม่วงไข่
    วัดป่าโคกมน
    วัดป่าสัมมานุสรณ์
    วัดป่าฐานสโม บ้านซำทอง
    ในเขตจังหวัดเชียงใหม่
    วัดป่าผาแด่น
    วัดป่าโป่งเดือด
    วัดป่าปางยางหนาด
    ในเขตจังหวัดศรีษะเกษ...
    วัดป่าญาณวิเวก
    ในเขตจังหวัดมุกดาหาร
    วัดป่าม่วงหัก ต. กุดโง้ง อ. เมือง
    ในเขตประเทศลาว...
    วัดหลักกิโลที่ ๑๓๖ (บนทางไปเวียงจันทน์)
    ลักษณะที่ตั้งของวัด มีข้อสังเกตว่า ถ้าไม่ตั้งอยู่ในบริเวณเขตป่าช้า ก็ต่างตั้งอยู่ในป่าลึก บนเขาสูงเทียมเมฆทั้งสิ้น
    [​IMG]
    บารมีหลวงปู่ชอบ
    เช่นที่ วัดป่าสัมมานุสรณ์ และ วัดป่าโคกมน ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านที่เกิดของท่าน คือที่บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ต่างเคยเป็นเขตป่าช้ามาก่อน เช่นเดียวกับที่ วัดป่าญาณวิเวก จังหวัดศรีสะเกษและ วัดป่าม่วงหัก จังหวัดมุกดาหาร
    [​IMG]
    ส่วนทุกวัดที่เหลือจากนั้น เช่น วัดป่าห้วยลาด วัดป่าบ้านบง วัดป่าบ้านสานตม วัดป่าบ้านม่วงไข่ ที่จังหวัดเลย และ วัดป่าผาแด่น วัดป่าโป่งเดือด วัดป่าปางยางหนาด ที่จังหวัดเชียงใหม่ ล้วนอยู่บนยอดเขา ทุกคนที่เคยไปกราบท่าน จะต้องเดินทางขึ้น เขาสูงเยี่ยมเทียมฟ้า เห็นม่านเมฆลอยระเรี่ยมากระทบพื้นดินทั้งนั้น
    บางแห่ง ท่านจะอยู่จำพรรษา โปรดสัตว์โลก ทั้งที่เห็นได้ด้วยตา อย่างมนุษย์ สัตว์ และสิ่งลึกลับ เช่น พวกกายทิพย์ เทวดา พญานาค เป็นต้น หนึ่ง หรือ สองพรรษา อย่างวัดป่าสานตม จ. เลย วัดผาแด่น จ. เชียงใหม่ หรือที่ประจำอยู่เป็นการถาวรนานกว่าที่อื่น อย่างที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ และวัดป่าโคกมน จ. เลย อันเป็นบ้านเกิดของท่าน
    แต่บางแห่ง ท่านก็สร้างไว้เพื่อ ประโยชน์สุข พองชาวบ้านบริเวณนั้น โดยบางครั้งบางคราว หลวงปู่จะหลบ
     
  2. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]
    ๒๒. ปฏิปทาของท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    ในสายพระธุดงค์กรรมฐานศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เป็นที่ยกย่องกันว่า หลวงปู่เป็นศิษย์ที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่ง ที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญทางความเพียร มีนิสัยทางมักน้อย สันโดษ ขอบแสวงหาความสงัดวิเวก อยู่ตามป่าตามเขาตลอดมา ข้อปฏิบัติและธรรมภายในของท่านเป็นที่สรรเสริญ แม้จากปากองค์พระอาจารย์ของท่านเอง
    สำหรับธุดงควัตร ๑๓ ที่เป็นแบบธรรมเนียมของพระธุดงคกรรมฐานมาแต่ครั้งพุทธกาลนั้น หลวงปู่ได้ถือปฏิบัติมาเป็นประจำแต่พรรษาแรกที่บวช
    ธุดงควัตร ๑๓ ข้อ นั้นมีอยู่ว่า ...ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ...ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร ...ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ...ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวัตร ... ถือฉันหนเดียวเป็นวัตร ... ถือฉันเฉพาะในบาตรเดียวเป็นวัตร... ถือห้ามอาหารที่ส่งตามมาภายหลังเป็นวัตร ... ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ... ถืออยู่รุกขมูลร่มไม้เป็นวัตร ... ถืออยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร ... ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร ... ถือการอยู่ในเสนาสนะที่จัดไว้ให้อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นเป็นวัตร ... และถือเนสัชชิ การนั่ง (ไม่นอน) ตามแต่จะกำหนดเป็นคืน ๆ ไปเป็นวัตร
    ท่านถือเป็นประจำ นอกจากบางข้ออาจจะปฏิบัติไม่ได้ทุกวัน ด้วยสถานการณ์บังคับ เช่น ถ้าอยู่ตามลำพังองค์เดียว จะบิณฑบาตไปตามแถวไม่ได้ หรือการปฏิบัติต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นวันใดอยู่รุกขมูลโคนไม้แล้ว จะอยู่ในที่กลางแจ้งไม่ได้ อยู่ป่าช้าไม่ได้ (ยกเว้น โคนไม้นั้นจะอยู่ในป่าช้า แต่ก็ไม่อาจถือข้ออยู่ในที่กลางแจ้งพร้อมกันได้ !) หรือข้อเนสัชชิ ก็ต้องปฏิบัติบ้างเป็นบางคราว
    [​IMG]

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม (องค์กลาง)
    ถ่ายภาพในหมู่ศิษย์หลวงปู่มั่น
    ---------------------------------------------------------------------------------------------
    ท่านถือเป็นประจำตลอดมา จนกระทั่งภายหลังท่านมีอายุเข้าสู่วัยชรา ข้อถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรนั้น ญาติโยมอ้อนวอนขอมีส่วนบุญ ท่านจึงอนุโลมรับจีวรถวายบ้าง และเมื่อท่านอาพาธเป็นอัมพาต ฉันไม่ได้มาก แพทย์ก็ได้ขอให้ท่านฉันเพลช่วย ท่านจึงยินยอม การฉันหนเดียวจึงต้องเลิกไป
    ตามคำของครูบาอาจารย์ที่เคยเที่ยวธุดงค์มากับท่านมาแต่สมัยแรก ๆ เล่าว่า ท่านเป็นผู้อยู่ง่าย มาง่าย ไปง่าย ปกติท่านชอบอยู่คนเดียว ไปคนเดียว แต่ถ้าจะมีหมู่พวกก็จะต้องเลือกเฉพาะผู้มีนิสัยใจเพชร เด็ดเดี่ยว สู้อด สู้ทน สู้ลำบาก เหมือนอย่างท่าน
    .....อยู่ง่าย หมายถึงว่า ท่านไม่เลือกเรื่องที่พักนอน ถ้าเป็นในป่า ในเขา ก็ใช้ใบไม้แห้งหรือใบไม้สดมารอง ปูผ้าอาบลงไปก็ใช้เป็นที่นอนได้ ถ้าใกล้หมู่บ้าน มีฟางก็ใช้ฟาง มีใบไม้ใบหญ้าก็ใช้ใบไม้ใบหญ้า หรืออย่างดีก็อาศัยชาวบ้านช่วยจัดทำแคร่หรือร้านเล็ก ๆ ปูด้วยไม้ไผ่ทั้งลำ ถ้ามีเวลาชาวบ้านก็จะผ่าไม้ไผ่ออกเป็น ๒ ซีก ทุบแผ่เป็นแผ่นแบน ๆ เวลานอนค่อยราบเรียบไม่เป็นคลื่นลอนเหมือนใช้ไม้ไผ่ทั้งลำ... แคร่นี้จะกว้างเพียง ๒
     
  3. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]
    ๒๓. เมตตาธรรมที่สืบทอดจากครูบาอาจารย์ไปสู่ศิษย์
    หลวงปู่สอนพระเณรเสมอ ให้แสวงหาที่สงัดวิเวก เร่งทำความเพียรภาวนาอย่างหนัก อย่าประมาท การทำความเพียร ให้ปฏิบัติจนเป็นความเคยชิน ไม่ให้เลือกกาลเวลาหรือสถานที่
    ความจริงแทบจะไม่ต้องพูดด้วยวาจาเลย เพราะองค์ท่านก็เป็นแบบฉบับอันยิ่งยอดของของผู้แสวงหาทางที่อันสงัดวิเวกอย่างแท้จริงอยู่แล้ว เขาสูง... ป่าลึก... ถ้ำอันสงัดลับลี้ที่แทบจะไม่มีเท้ามนุษย์เคยเยี่ยมกรายไปถึง ล้วนเป็นที่ซึ่งท่านเคยดั้นด้นธุดงค์ผ่านไปแล้วอย่างโชกโชน ท่านสรรเสริญอยู่เสมอว่า การทำความเพียรภาวนา จะได้รับความก้าวหน้าทางจิตอย่างดูดดื่มลึกซึ้ง ในสถานที่อันสงัดวิเวก เพื่อความก้าวหน้าทางภาวนา จึงควรที่จะแสวงหาป่าเขาอันสงบสงัดลึกล้ำเป็นที่บำเพ็ญเพียร แต่ท่านก็เตือนบรรดาศิษย์เสมอว่า อย่าให้สิ่งนี้มาเป็นกังวลจนเสียประโยชน์ของเจ้าของ ด้วยมัวแต่ตรึกนึกแสวงหาแต่สถานที่ใหม่เรื่อยไป เมื่อหาสถานที่อันเป็นสัปปายะแก่จิตได้แล้ว ก็ควรพอใจพำนักบำเพ็ญภาวนาต่อไป จนกว่าจิตจะรู้สึก
     
  4. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๒๔. ภัย ๔ อย่างของผู้ภาวนา
    กลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่กำลังจำวัดอยู่ ท่านได้สะดุ้งขึ้นอย่างแรง พระผู้ปฏิบัติอยู่ใกล้ ๆ ต่างรีบจัดหมอนและผ้าห่มถวายท่าน องค์หนึ่งสงสัยจึงกราบเรียนถามท่านว่า ท่านสะดุ้งตื่นด้วยเหตุใด หลวงปู่เลยบอกศิษย์ว่า ดูเมื่อกี้นี้ ไม่เห็นพระ มีแต่จระเข้อยู่เต็มกุฏิ
    ไปดูซิ นอนอยู่ใต้ถุนตัวหนึ่ง นอนอยู่บนเตียงตัวหนึ่ง ตัวใหญ่ ๆ นอนอยู่ตรงกลาง ไปดูซิ...ใช่ไหม..
    พระเณรรีบไปดู ก็จริงดังท่านว่า...!
    กล่าวคือ แทนที่จะเห็นภาพพระเณร ศิษย์ของท่านกำลังนั่งภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้สมกับที่ปวารณาตัวถวายเป็นศิษย์พระกรรมฐาน แต่กลับมีพระเณรนอนอยู่ที่ใต้ถุน...บนเตียง...องค์ใหญ่นั้นนอนตรงกลาง...
    ไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมบรรดาศิษย์จึงเกรงกลัวท่านกันนัก ท่านไม่ต้องลุกเดินไปตรวจตราดูใคร ท่านเป็นอัมพาต นอนอยู่กับที่ แต่ท่านก็ทราบได้ดีว่า ศิษย์คนไหนภาวนาหรือไม่
    ผู้ไม่ภาวนา ท่านเห็นเป็นภาพจระเข้นอนกลิ้งเกลือกกองกิเลสอยู่...!!
    หลวงปู่เตือนเสมอถึงภัย ๔ อย่างของพระกรรมฐาน ท่านได้สอนศิษย์ของท่านควรระวัง... ระวังเหมือนถ้าเฮาจะลงไปในฮ้วงน้ำข้ามโอฆสงสาร ก็ต้องระวังภัย ๔ อย่างคือ คลื่น หนึ่ง จระเข้ หนึ่ง วังน้ำวน หนึ่ง...และ ปลาร้าย อีกหนึ่ง
    ท่านบอกให้ศิษย์ระวัง ทั้งคลื่น ทั้งจระเข้ ทั้งวังน้ำวน และปลาร้าย
    ความดื้อดึง ไม่อดทนเชื่อฟังต่อโอวาทที่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนและนำเปรียบด้วยภัย คือ คลื่น
    [​IMG]
    รูปเหมือนหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่มีพระธาตุเสด็จมาที่ฐานพระ

    วันหนึ่งในเดือนมกราคม ปี พ.ศ.2535 ผู้เขียน ( คุณหญิง<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:personName ProductID="สุรีพันธุ์ มณีวัต" w:st="on">สุรีพันธุ์ มณีวัต</st1:personName> )
    รายละเอียดที่
    : www.agalico.com/board/<WBR>showthread.php?p=32497
    ----------------------------------------------------------------------------------------
    ความเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่หลับแก่นอน ไม่บำเพ็ญเพียร เปรียบด้วยกับ จระเข้
    กามคุณ ๕ อย่าง ...รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เปรียบด้วย ภัย คือ วังน้ำวน ใครหลงติดกามคุณทั้ง ๕ นี้ก็จะ
     
  5. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๒๕. การระลึกชาติของหลวงปู่ชอบ
    ในเรื่อง บุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือ ญาณระลึกชาติ ได้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลวงปู่จะมีหรือไม่ สมเด็จพระพุทธองค์ได้ญาณนี้เมื่อคืนวันตรัสรู้ในเวลาปฐมยาม เป็นญาณลำดับแรกที่ทรงบรรลุ ทรงทราบรู้ระลึกถึงชาติหนหลังได้ ทั้งของพระองค์เองและสัตว์โลกอื่นๆ ตั้งแต่หนึ่งชาติ จนถึงอเนกชาติ...หาประมาณมิได้ ญาณนี้ทำให้ทรงทราบถึงอดีตชาติที่ท่องเที่ยว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป และทรงทำให้รู้สึกสลด รันทด เกิดความสังเวชพระทัยจนน้ำพระเนตรไหล ทรงสลด สังเวช สงสารชาติของพระองค์ ชาติของสัตว์อื่น ที่ท่องเที่ยว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทนทุกข์ทรมานมา ไม่แต่จะเคยเสวยพระชาติเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ นาค มนุษย์ ซึ่งเป็นทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ พระเจ้าจักรพรรดิ แต่เป็นคนยาก

    [​IMG]
    จน เข็ญใจ ก็มีมาก และนอกจากทรงเคยเสวยพระชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่การตกนรกหมกไหม้ก็เคยผ่านขุมนรกต่างๆ มาแล้วเช่นกัน ทำให้พระองค์ทรงเบื่อหน่ายในชาติกำเนิด การเวียนว่ายตายเกิดเป็นที่ยิ่ง การจุติ แปรผัน ตาย - เกิด เกิด - ตาย ของสัตว์โลกไม่มีที่สิ้นสุด
    ญาณนี้เองเป็นเบื้องต้น เป็นบันไดขั้นแรกในคืนวันเพ็ญเดือนหก เมื่อสองพันห้าร้อยสามสิบห้าพรรษากาลที่ผ่านมา ที่ทำให้พระองค์สาวทอดไปสู่การตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ !
    ญาณระลึกชาติได้เช่นนี้ เป็นญาณซึ่งปวงปราชญ์ท่านถือเป็นเครื่องเตือนใจให้สลด สังเวชในภพชาติ และเร่งพิจารณาให้รู้ถึง ทุกข์ รู้ เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ และรู้ ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์
    เร่งพิจารณาทวนกระแส ตัดภพ ตัดกระแสของภพ
    ตัดกระแสของภวังค์ ให้ขาดสิ้นไป
    ท่านตรวจตรา ทวนกระแสดู ใน ปฏิจจสมุปบาท ปัจจยาการว่า...
    เมื่ออวิชชาดับ สังขารก็ดับ

    สังขารดับ วิญญาณก็ดับ

    วิญญาณดับ นามรูปก็ดับ
    นามรูปดับ อายตนะก็ดับ
    อายตนะดับ ผัสสะก็ดับ
    ผัสสะดับ เวทนาก็ดับ
    เวทนาดับ ตัณหาก็ดับ
    ตัณหาดับ อุปาทานก็ดับ
    อุปาทานดับ ภพก็ดับ
    ภพดับ ชาติก็ดับ
    ชาติดับ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความเศร้า ความร้องไห้ ร่ำไร รำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความเสียใจ ความคับแค้นใจ ก็ดับไปตาม ๆ กัน
    [​IMG]
    ภาพถ่ายหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่มีพระธาตุเสด็จ
    --------------------------------------------------
    และทวนหวนกลับกระแสอีกว่า
    เมื่อชาติดับ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความเศร้า ความร้องไห้ ร่ำไร รำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความเสียใจ ความคับแค้นใจ ก็ดับ
    เพราะชาติดับ ภพก็ดับ
    ภพดับ อุปาทานก็ดับ
    อุปาทานดับ ตัณหาก็ดับ
    ตัณหาดับ เวทนาก็ดับ
    เวทนาดับ ผัสสะก็ดับ
    ผัสสะดับ อายตนะก็ดับ
    อายตนะดับ นามรูปก็ดับ
    นามรูปดับ วิญญาณก็ดับ
    วิญญาณดับ สังขารก็ดับ
    สังขารดับ อวิชชาก็ดับ
    อวิชชาดับ แล้วสิ่งทั้งหมดก็ดับไปตาม ๆ กัน

    ปราชญ์ท่านจะค้นดูในปัจจยการ ปฏิจฺจสมุปบาท อย่างละเอียดลออ ท่านจะพยายามทำให้อาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป ดับไป ไม่ให้เหลือเชื้อ เพื่อท่านจะได้เป็นผู้สิ้นไปแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เป็นผู้เสร็จกิจ จบพรหมจรรย์ ไม่มีกิจที่จะต้องทำอีกต่อไป
    การเป็นผู้เสร็จกิจ ท่านหมายถึง กิจ ใน การละ การวาง การถอดถอนกิเลส การประหารกิเลส การดับกิเลส... นั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะท่านได้ละ ได้วาง ได้ถอดถอน ได้ประหาร และดับหมดสิ้นแล้ว จึงเป็นผู้เสร็จกิจ ไม่มีกิจที่ต้องทำอีก เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็มีแต่กิริยาจิต ปฏิปทากิจ ที่จะต้องดำเนินตามปฏิปทาอริยมรรค อริยประเพณี เพื่อความเหมาะสมและดีงามเท่านั้น
    สำหรับญาณการระลึกรู้อดีตชาตินี้ ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ผู้ใฝ่ในการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ได้เคยขอโอกาสกราบเรียนถาม หลวงปู่ก็ยอมเล่าให้ฟังบ้าง
    ท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้ระลึกชาติได้มากมายอะไร ที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงระลึกได้อเนกชาติหาประมาณมิได้นั้น เพราะท่านทรงมหาสติ มหาปัญญา มหาบารมี
    [​IMG]

    เจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ อัฐบริขาร หลวงปู่ชอบ ณ. วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย
    -------------------------------------
    สำหรับท่านนี้ เท่าที่ระลึกได้ ท่านไม่เคยเป็นกษัตริย์ มักจะเป็นแต่คนทุกข์ยากเสียมากกว่า
    <TABLE width="32%" align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พ่อเชียงหมุน หรือ เชียงมั่น คือ ชายที่อยู่ทางด้านขวาของภาพ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="20%" align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พ่อเชียงหมุน หรือ เชียงมั่น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เคยเกิดเป็นพ่อค้าขายผ้าชาติลาว ออกเดินทางมากับพ่อเชียงหมุน (อุปัฏฐากคนหนึ่งในชาตินี้) ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งนี้ มาทานผ้าขาวหนึ่งวา และเงินเป็นมูลค่าประมาณเท่ากับ ๕๐ สตางค์ ในปัจจุบันนี้ บูชาถวายพระธาตุพนม พร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ได้บวช ได้พ้นทุกข์ ท่านเล่าว่า ท่านเคยมาสร้างพระธาตุพนมด้วย สมัยพระมหากัสสปเถรเจ้า พระธาตุพนมนี้สร้างก่อนพระปฐมเจดีย์
    ท่านเคยเกิดเป็นคนยางอยู่ในป่า เคยเกิดเป็นทหารพม่า มารบกับไทย ยังไม่ทันฆ่าคนไทย ก็ตายเสียก่อน เคยเกิดอยู่เมืองปัน พม่า ชาตินี้ท่านก็ได้กลับไปดูบ้านเกิดในชาติก่อนที่เมืองปันด้วย
    เคยเป็นทหาร ไปหลบภัยที่ถ้ำกระ เชียงใหม่ และเคยตายเพราะอดข้าวที่นั่น
    ท่านเคยเป็นพระภิกษุ รักษาศีลอยู่กับพระอนุรุทธะ เคยเป็นสามเณรน้อยลูกศิษย์พระมหากัสสปะ
    เคยเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในพรหมโลก
    สำหรับการเกิดเป็นสัตว์นั้น ท่านเล่าว่า ท่านก็ผ่านมาอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญเช่นกัน เช่น เคยเกิดเป็นผีเสื้อ ถูกค้างคาวไล่จับเอาไปกิน ที่ถ้ำผาดิน
    เคยเกิดเป็นฟาน หรือ เก้ง ไปแอบกินมะกอก กินไม่ทันอิ่มสมอยาก ถูกมนุษย์ไล่ยิง เขายิงที่โคกมน ถูกที่ขา วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตายที่บ้านม่วง
    เมื่อครั้งเกิดเป็นหมี ไปกินแตงช้าง (แตงร้าน) ของชาวบ้าน ถูกเจ้าของเขาเอามีดไล่ฟัน ถูกหัวและหู เคราะห์ดีไม่ถึงตาย แต่ก็บาดเจ็บมาก ต้องทุกข์ทรมานจนกระทั่งหายไปเอง
    เคยเกิดเป็นไก่ มีความผูกพันรักชอบนางแม่ไก่สาว จึงอธิษฐานให้ได้พบกันอีก ทำให้กลับมาเกิดเป็นไก่ซ้ำถึง ๗ ชาติ
    เคยเกิดเป็นปลาขาว อยู่ในสระ ณ บริเวณซึ่งปัจจุบันคือ ที่สวนบ้าน พล.อ.อ. โพยม เย็นสุดใจ
    ท่านเล่าชีวิตของการเป็นสัตว์นั้นแสนลำเค็ญ อดอยากปากแห้ง มีความรู้สึกร้อน หนาว หิว กระหาย เหมือนมนุษย์ แต่ก็บอกไม่ได้ พูดไม่ได้ ต้องซอกซอนไปอยู่ตามป่า ตามเขา ตามประสาสัตว์ ฝนตกก็เปียก ก็หนาวสั่น แดดออกก็ร้อน ก็ไหม้เกรียม อาศัยถ้ำ อาศัยร่มไม้ไปตามเพลง บางทีมาอยู่ใกล้หมู่บ้านหิว กระหาย เห็นพืชผลที่ควรกินชีวิตได้ พอจะหยิบฉวยจับใส่ปากใส่ท้องได้บ้าง ก็กลับกลายเป็นของที่เขาหวงห้ามมีเจ้าของ ต้องถูกเขาขับไสไล่ทำร้าย
    มะกอกสักหน่วย กล้วยสักลูกส้มสูกลูกไม้ แตงสักผล... หยิบปลิดมาใส่ปาก กินยังไม่ทันอิ่มท้อง มนุษย์ก็ไล่ยิง ไล่ฟัน ของเพียงน้อยนิด แต่ต้องแลกด้วยชีวิตทั้งชีวิต ชีวิต...ซึ่งจะเป็นชีวิตของคน หรือชีวิตของสัตว์... ของสัตว์ใหญ่ หรือ ... ของสัตว์เล็ก ก็คือ ชีวิตดวงหนึ่งเหมือนกัน
    ชีวิตที่เวียนว่ายวนอยู่ในกองทุกข์ ตามอำนาจกรรมที่กระทำมานี้ แต่บางทีภพชาตินั้นก็ยืดยาวต่อไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหา ยกตัวอย่างเช่น ตอนท่านเกิดเป็นไก่ ใจนึกปฎิพัทธ์รักใคร่นางแม่ไก่ ชื่นชอบภพชาติที่เป็นไก่ของตน ปรารถนาขอให้ได้พบนางแม่ไก่อีก ท่านก็ต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อยู่เช่นนั้น ท่านเล่าว่า แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง เมื่อท่านระลึกชาติได้เห็นภพชาติที่เวียนวนกลับไปเกิดเป็นสุนัขถึงหมื่นชาติ ท่านบังเกิดความสังเวชถึงกับขออธิษฐาน เลิกปรารถนาพุทธภูมิ เพราะการจะบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตนั้น ท่านจะต้องบำเพ็ญต่อไปอีกเป็นแสนกัปแสนกัลป์ และหากเกิดกิเลสตัณหา ติดข้อง ผูกพันรักใคร่ปรารถนาพบรัก พบทุกข์อยู่นั่นแล้ว การเดินทางในภพชาติก็จะยืดเยื้อเยิ่นยาวต่อไปเป็นอนันตกาล เคราะห์ดีที่ท่านเกิดสลดสังเวชคิดได้ ขอตัดขาด ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสามารถดำเนินความเพียรเร่งรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จได้
    พร้อมกับที่เล่าให้ศิษย์ฟังเรื่องการระลึกชาติ ท่านจะชี้ภัยของการท่องเที่ยว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปในภพชาติต่าง ๆ ให้ฟังเสมอ
    ท่านเตือนย้ำว่า การกำหนดระลึกรู้ได้เหล่านี้ เป็นเพียง ผลพลอยได้ จากการบำเพ็ญเพียรภาวนาให้จิตสงบ หากเกิดขึ้นก็รับรู้ นำมาพิจารณาให้เห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นอริยสัจ ๔ ถือเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเจ้าของฟาดฟันกิเลสให้ย่อยยับอัปราไปโดยเร็ว
    ไม่ใช่ มัวนึกหลง นึกดีใจ เกิดมานะ ว่าเราเก่งกล้าสามารถกว่าคนอื่น
    นั่นเป็นทางหายนะ....!
    เพราะปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นเพียงโลกียญาณ ไม่ใช่โลกุตรญาณ...! ถ้าเจ้าของไม่เร่งดำเนินเข้าสู่ทางไปสู่อาสวักขยญาณ หรือญาณซึ่งถอดถอนอาสวกิเลสให้สิ้นไปดับไป แม้ญาณระลึกรู้อดีตชาติ ซึ่งเป็นโลกียญาณก็ย่อมจะเสื่อมได้
     
  6. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๒๖. สายน้ำผุดบนภูพาน
    ดังได้กล่าวแล้วว่า หลวงปู่และหลวงปู่ขาว เป็นสหธรรมิกที่ถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกัน ต่างนับถือกันในในความเด็ดเดี่ยวอาจหาญไม่หวาดหวั่นภยันตราย ต่างยกย่องกันในด้านการภาวนากล้าสละตาย ต่างเคารพกัน ในเชิงภูมิจิต ภูมิธรรมของกันและกัน
    <TABLE class=maintable cellSpacing=1 cellPadding=0 width=600 align=center><TBODY><TR><TD class=tableb style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; WHITE-SPACE: nowrap" align=middle height=100><TABLE class=imageborder cellSpacing=2 cellPadding=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- BEGIN img_desc --><TABLE class=img_caption_table cellSpacing=0 cellPadding=0><!-- BEGIN title --><TBODY><TR><TH>
    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    </TH></TR><!-- END title --><!-- BEGIN caption --><TR><TD>
    วัดถ้ำกองเพล
    ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ------------------------------------------
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ต่างเคยประกาศ...ใครสละตายได้ ไปกับเรา
    ปกติเมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านทั้งสองก็จะออกวิเวกไปหาที่เงียบสงัดบำเพ็ญความเพียร บางครั้งท่านก็จะแยกย้ายกันไปหาป่าดงพงชัฏ เงื้อมหินผา หรือถ้ำในเขาลึก ด้วยรู้ดีว่า ต่างองค์ต่างมุ่งธรรมแดนพ้นทุกข์ด้วยกัน ทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญเช่นไรก็มิได้หวั่นเกรง ด้วยยอมมอบกายถวายชีวิตสละตาย เพื่อธรรมด้วยกัน ความเพียรก็ดี ความอาจหาญเด็ดเดี่ยวก็ดี ท่านเชื่อว่าเป็นสหมิตรเสมอกัน ไม่มีความอ่อนแอท้อแท้ กลัวทุกข์ กลัวยาก กลัวภัย กลัวเจ็บกลัวตาย ให้เพื่อนอีกคนจะต้องห่วงกังวล เสียเวลาทำความเพียรของอีกฝ่ายไป
    ท่านชี้แจงว่า ในการเดินธุดงค์นี้ หากได้หมู่พวกที่ใจไม่ถึง
     
  7. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๒๗. มาณพน้อยผู้มานิมนต์ข้ามโขง
    ครั้งหนึ่ง สมัยท่านออกปฏิบัติใหม่ ๆ เดินรุกขมูลไปอยู่แถวท่าลี่ จังหวัดเลย ท่านรำพึง ตรึกในใจว่า เราได้มาจนถึงที่นี้ ใกล้ฝั่งดินแดนประเทศลาวเต็มทีแล้ว ถ้าหากจะข้ามแม่น้ำโขงไปเที่ยวฝั่งลาว ไม่ทราบว่าจะมีข้อขัดข้องหรืออุปสรรคใดหรือไม่

    [​IMG]

    แม่น้ำโขง
    --------------------------------------------------------------
    ตามปกติพระกรรมฐานเมื่อท่านจะทำอะไร ท่านมักจะต้องเข้าที่พิจารณาความเป็นไปได้ก่อนเสมอ ครั้งนี้ท่านยังมิได้พิจารณาอะไร ด้วยความคิดที่จะข้ามไปฝั่งลาวยังไม่ทันแน่นแฟ้นเท่าไร เพียงแต่คิดผ่านไปเท่านั้น อย่างไรก็ดี คืนนั้นเอง ระหว่างภาวนา ก็เกิดนิมิตเห็นมาณพหนุ่มน้อยผู้หนึ่งมากราบท่านด้วยเบญจางคประดิษฐ์ กล่าวว่า ทราบว่าพระคุณเจ้าปรารถนาจะไปวิเวกที่ฝั่งลาว ปวงข้าน้อยรู้สึกปีติเป็นอย่างยิ่ง จึงใคร่ขอมานิมนต์พระคุณเจ้าไปโปรดบรรดาพวกเรา สัตว์ผู้มีวาสนาน้อยทางดินแดนฝั่งโน้นด้วยเถิด ในนิมิตนั้น ท่านรับนิมนต์เขาด้วยอาการดุษณีภาพ
    รุ่งเช้า ฉันจังหันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็แต่งบริขารทั้งปวงไปที่ฝั่งแม่น้ำเหียง ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำโขง เห็นมีเรือลำหนึ่ง วาดเข้ามาจากกลางลำน้ำ มาจอดอยู่ที่ท่า คนเรือก็ตะโกนขึ้นมานิมนต์พระคุณเจ้าให้ขึ้นเรือ ท่านถามว่า เรือจะไปที่ใด ท่านจะไปฝั่งลาว เขาก็บอกว่า ยินดีจะไปส่งให้ท่าน ท่านจึงลงเรือนั้นไป คนเรือมีสีหน้ายิ้มละไม และมีกิริยานอบน้อมต่อท่านอย่างผิดสังเกต เมื่อเรือออกจากปากแม่น้ำเหียง ก็ข้ามแม่น้ำโขงมุ่งตรงไปฝั่งลาว แล้วก็จอดเทียบท่านิมนต์ให้ท่านขึ้นฝั่ง

    [​IMG]
    หลวงปู่ประคองบาตรและบริขารขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้ว ก็เหลียวมาเพื่อจะขอบใจและให้พรที่คนเรือนั้นได้กรุณานำพระข้ามเรือมา แต่ท่านก็ต้องประหลาดใจ ด้วยปรากฏว่า มองไปมิได้เห็นเรือลำนั้นเลย และความจริงแม้แต่เรือลำใด...ไม่ว่าเล็กใหญ่ประการใดก็ไม่มีปรากฏในสายตาของท่าน !
    ...ทั้งลำน้ำโขง มีจะเข้ขนาดมหึมาตัวหนึ่ง ลอยฟ่องอยู่กลางลำน้ำแต่เพียงตัวเดียว...!!
    หลวงปู่กำหนดจิตพิจารณา...จึงทราบว่า นั่นคือพญานาคเขามานิมนต์ท่านในนิมิต และแปลงกายเป็นเรือและคนเรือมารับ เมื่อส่งท่านแล้วเขาก็แปลงเพศเป็นจระเข้ให้ท่านได้เห็นเป็นอัศจรรย์ ท่านจึงแผ่เมตตาให้ จะเข้นั้นลอยตัวนิ่งอยู่ราวกับสงบกิริยาอาลัย จึงนึกบอกในจิตว่า เอาละ...เราขอบใจเธอมาก ที่ช่วยเป็นธุระให้เราข้ามน้ำมาครั้งนี้ เราขออนุโมทนาด้วย เราเดินทางต่อไปได้แล้ว ไม่ต้องห่วงใยอะไรเราหรอก
    บอกลาครั้งหลังนี้ จะเข้นั้นจึงได้ผงกหัวลาและจมลงไปในท้องน้ำ
    หลวงปู่ดูจะมีข้อเกี่ยวข้องกับพญานาคเป็นพิเศษ ท่านไปที่ใดก็มักจะมีพญานาคมาอารักขาให้ความสะดวกอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นปกติ
     
  8. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๒๘. บุรุษผู้มาใส่บาตรที่วัดห้วยน้ำริน
    ครั้งหนึ่งท่านพักอยู่ที่ วัดห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ สังเกตเห็นว่า ในบรรดาทายกทายิกาที่มาฟังเทศน์หรือใส่บาตรถวายจังหันทุกวันนั้น มีชายคนหนึ่งที่ดูแปลกกว่าคนอื่น คือถึงจะนุ่งห่มแต่งกายอย่างชาวบ้านธรรมดา แต่ก็ดูภูมิฐานและสำรวมกว่าคนทั่วไป มีดอกไม้กับอาหารคาวหวานมาใส่บาตรทุกวัน สำหรับอาหารทุกชนิดที่เขานำมานั้น แม้จะมองดูเป็นอาหารพื้นเมืองทั่วไป มีปลา มีผัก น้ำพริก หรือแกง ตามปกติ แต่สังเกตว่า ระยะนี้อาหารที่ท่านฉันนั้นมีรสชาติพิเศษ อย่างไรก็ดีท่านก็ไม่แน่ใจว่า อาหารที่มีรสชาติพิเศษนั้นจะเป็นอาหารจากที่ชายผู้นั้นถวายหรือไม่ เพราะเมื่อพระรับถวายจังหันแล้ว ท่านก็จัดลงบาตรรวม ๆ กันไป จะเป็นอาหารจากสำรับใด ถ้วยใด ของโยมคนไหนก็ไม่ได้จดจำไว้
    [​IMG]
    ธรรมดาพระธุดงคกรรมฐาน ท่านจะมีโอภาปราศรัยกับญาติโยมเป็นปกติ ครั้งนี้ ท่านพูดคุยธรรมดา แล้วก็ถามถึงโยมคนที่ว่านี้ เออ...เป็นใคร อยู่บ้านไหน เป็นญาติของใคร ท่านมาคราวก่อน ๆ ไม่เคยเห็น
    ชาวบ้านแถบนั้นซึ่งคุ้นเคยกับท่าน เคยปรนนิบัติพระธุดงค์มานาน ต่างก็นึกขึ้นได้ว่า หลวงปู่หมายถึงผู้ใด แต่ก็ไม่อาจจะตอบท่านได้ว่าเป็นใคร มาแต่ไหน ได้แต่พูดกันว่า เออ...จริงซี นึกได้แล้ว เห็น ๆ เหมือนกัน นึกว่าเป็นญาติกับคนนั้น คนนั้นก็ว่า นึกว่าเป็นญาติกับคนโน้น คนโน้นก็คิดว่ามากับคนนี้
    รวมความว่า ไม่เคยเห็นกันมาก่อน เห็น ๆ อยู่ แต่เวลากลับไม่ทราบว่ากลับไปบ้านที่ไหน กับใคร และเมื่อไร
    วันสุดท้าย หลวงปู่ปะหน้าชายแปลกหน้านั้น นำดอกไม้และอาหารมาถวายจังหันเช่นเคย ท่านถาม เขาก็ตอบว่า บ้านโยมอยู่แถวนี้เอง ตอบยิ้ม ๆ แล้วก็ถอยไปนั่งรอระหว่างท่านฉันอย่างสงบเสงี่ยม ปกติระหว่างพระป่าฉันจังหันนี้ ชาวบ้านก็มักจะนำอาหารที่ถวายแล้วและเหลือจากที่พระนำลงบาตรแล้ว มาตักแบ่งแจกกันรับประทานเป็นกลุ่ม ๆ แต่ชายผู้นั้นมิได้ร่วมวงรับประทานกับกลุ่มใคร เขาคงนั่งอยู่คนเดียวอย่างสำรวมอาการ วันนั้นหลวงปู่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ คอยสังเกตอาการของเขาอยู่เงียบ ๆ
    ท่านฉันเสร็จ ให้พร เมื่อเห็นเขาเก็บของ กราบลา ท่านรออยู่พอไม่ให้น่าเกลียด แล้วก็ลุกตามไป ดูว่าเขาจะกลับไปทางใด
    ปรากฏว่า พอลับจากศาลา เขาก็เดินหายลงไปในสระน้ำหน้าวัด..!!
    ชายคนนั้นคือ นาคมาณพ นั่นเอง.....!
    [​IMG]
    ท่านเล่าว่า พญานาคนั้นมีฤทธิ์มาก เป็นเทวดาจำพวกหนึ่ง เขาสามารถเนรมิตกายได้ต่าง ๆ กัน ท่านเคยถามเขาว่า ต้องการอะไร เขาก็เรียนท่านว่า วิสัยพญานาคนั้นมีความเคารพผู้ทรงศีลผู้ทรงคุณธรรม มนุษย์ผู้เป็นกัลยาณชนปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นไร พญานาคก็ปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นนั้นเหมือนกัน ในกาลก่อน พระพุทธเจ้าสมัยเสวยพระชาติเป็นนาค มีนามว่า พระภูริทัตต์ ก็ยังสู้บำเพ็ญบารมี รักษาศีล บำเพ็ญทานภาวนาจนตัวตาย ในกาลปัจจุบัน กลิ่นศีลอันบริสุทธิ์ของพระคุณเจ้าหอมนัก หอมทั้งใกล้ หอมทั้งไกล หอมทวนลม หอมไปไกล พวกเขาก็ขอโอกาสมาทำบุญถวายทานแด่พระคุณเจ้า เพื่อเป็นการเพิ่มพูนบารมีของตนสืบไปบ้าง
    ท่านถามถึงการเนรมิตกาย เพราะเคยเห็นพญานาคในรูปจำแลงต่าง ๆ หลายครั้งหลายหนแล้ว เขากราบเรียนว่า การเนรมิตกายของพญานาคนั้นง่ายดายมาก จะให้เป็นอย่างไรก็ทำได้ทั้งนั้น
    เขาก็เลยเนรมิตกายถวายให้ท่านดู โดยเตือนว่า นี่เป็นภาพนิมิตทั้งนั้น...เขาหายตัวไปจากที่นั้น ครู่เดียวก็กลายเป็นมาณพหนุ่มน้อยเข้ามาหา ประเดี๋ยวก็เป็นชายชราเดินงก ๆ เงิ่น ๆ เข้ามาหา บัดเดี๋ยวก็หายไป แล้วกลับเป็นหญิงสาวสวย หายไปอีกครู่หนึ่ง ปรากฏว่า กลับมาเป็นเสือใหญ่น่าเกรงขาม กำลังเยื้องย่างเข้ามา จากร่างเสือกลายเป็นพรานขมังธนู ถืออาวุธเข้ามา พญานาคเรียนท่านว่า การเนรมิตกายนั้นไม่ยากเย็นอะไร เพียงคิดก็เปลี่ยนไปได้ตามต้องการ จะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าเป็นมนุษย์ จะเป็นคนเดียวหรือหลายคน แต่ละคนต่างแสดงอากัปกิริยาต่างกันก็ได้ ถ้าเป็นสัตว์ อาจเป็นตัวเดียว หรือหลายตัว ทั้งอาจเป็นสัตว์ต่างชนิดกันก็ได้ เช่น เห็นเป็นภาพ ทั้งช้าง ทั้งเสือพร้อม ๆ กัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นนาค ๒ ตัว หากเป็นพญานาคตัวเดียว จำแลงกายเป็นสัตว์ ๒ อย่าง ๒ ร่างกัน
    เขาสามารถเนรมิตกายได้อย่างน่าพิศวง และรวดเร็วทันใจมาก
    ท่านเล่าถึงการแปลงกายของพญานาคว่า เราได้ปะมาแล้วทุกอย่าง...เป็นงูตัวน้อย ๆ ผ้าขาว ผู้หญิง เสือ มนุษย์ ...กษัตริย์...สารพัด
    ท่านเล่าว่า สำหรับรูปกายที่เป็นพญานาคจริง ๆ นั้น ท่านก็เคยเห็นอยู่ รูปร่างเหมือนกับที่เขาทำไว้ตามโบสถ์ตามวิหารนั้นเช่นเดียวกัน มีหงอน สามหงอนบ้าง ห้าหงอนบ้าง เจ็ดหงอนบ้าง ครั้งหนึ่งท่านเคยเห็นมาด้วยกันคู่สองผัวเมีย ทั้งพญานาคและนางนาคผู้เป็นภริยา
    [​IMG]
    แต่บางทีเขาก็เข้ามาหาท่านในร่างของมนุษย์ แต่งตัวด้วยเครื่องทรงอย่างกษัตริย์ มีข้าราชบริพารเฝ้าแหนแวดล้อมมาดังขบวนเสด็จของพระราชา
    เคยเรียนถามท่านว่า
     
  9. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๒๙. พญานาคในแม่น้ำโขง
    ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ชอบไปวิเวกที่ฝั่งลาวกับหมู่หลายองค์ พร้อมทั้งได้มีโยมตามไปเที่ยวด้วย วันนั้น ญาติโยมท่งฝั่งลาวได้ถวายจังหันคณะของท่านที่ริมฝั่งโขงนั้นเอง หลังฉันเสร็จ โยมช่วยกันเอาบาตรไปล้างที่ฝั่งแม่น้ำโขง โดยเทเศษข้าวและอาหารที่เหลือในบาตรลงในน้ำโขง เกิดอัศจรรย์ที่น้ำในแม่น้ำที่ไหลสะอาดนั้นกลับขุ่นหมด
     
  10. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๓๐. พญานาคผู้มิจฉาทิฏฐิ
    เรื่องพญานาคทั้งหลายที่นำมาเล่านี้ ดูจะเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาต่อพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งนั้น แต่ความจริงมีพวกพญานาคที่ท่านพบเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ไม่เคารพเลื่อมใสในพระกรรมฐานก็มีเหมือนกัน
    <TABLE class=imageborder cellSpacing=2 cellPadding=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- BEGIN img_desc --><TABLE class=img_caption_table cellSpacing=0 cellPadding=0><!-- BEGIN title --><TBODY><TR><TH>หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต </TH></TR></TBODY></TABLE>

    เช่นครั้งหนึ่ง สมัยท่านติดตามพระอาจารย์มั่นไปวิเวกแถบฝั่งแม่น้ำโขงเช่นกัน ขณะนั้นท่านได้พาคณะไปพักอยู่ในเขตป่าร่มรื่นแห่งหนึ่ง บริเวณใกล้เคียงนั้นมีบึงน้ำกว้างใหญ่ น้ำเปี่ยมตลิ่งใสสะอาด ระหว่างที่หมู่เพื่อนเตรียมจะสรงน้ำ และตักน้ำมาสำหรับดื่มกินและใช้สอย แต่หลวงปู่ก็สังเกตว่า บริเวณโดยรอบบึงนั้นสงัดเงียบเกินไป ไม่มีนกกาเกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้เคียง หรือรอยเท้าของสัตว์ชนิดใดก็ไม่มีโดยรอบบึงน้ำ อันดูเป็นการผิดวิสัย เพราะหนองน้ำ หรือบึงใหญ่ ย่อมเป็นที่พึ่งพิงอาศัยของส่ำสัตว์มีชีวิตจะใช้เพื่ออาบกินทั้งนั้น ท่านสงสัยว่าจะเป็นที่ไม่ชอบมาพากล จึงพิจารณาดูก็รู้ว่าเป็นที่ซึ่งพญานาคผู้มีมิจฉาทิฏฐิมาพ่นพิษใส่ในน้ำนั้นไว้ หากพระเณรลงอาบน้ำหรือตักมาใช้สอยดื่มกิน ก็คงจะเกิดอันตรายเจ็บไข้ได้ป่วยกันให้เป็นที่ยากลำบาก ท่านจึงรีบห้ามหมู่เพื่อนไว้ บอกสั้น ๆ ว่าอย่าเพิ่งใช้น้ำเหล่านี้ แล้วท่านก็รีบไปกราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่นถึงข้อที่ท่านสงสัยและได้พิจารณาดู ท่านพระอาจารย์มั่นก็ยืนยันความรู้เห็นของหลวงปู่ว่าถูกต้องแล้ว และว่าท่านก็พิจารณาอยู่แล้ว รู้ว่าพญานาคพวกนี้ยังไม่มีความเคารพเลื่อมใสในศาสนา เห็นพวกเราเป็นศัตรู เข้าใจว่าที่พวกเรามา ณ ที่นี้นั้นจะลองดีแข่งกับพวกเขา และขับไล่ให้พวกเขาต้องระเหเร่ร่อนจากถิ่นที่อยู่ไป เขาจึงได้แกล้งพ่นพิษใส่ในน้ำไว้ ดูทีหรือพวกเราจะทำประการใด หากประมาทมาใช้อาบกินเข้าก็คงจะเจ็บไข้ ต้องหนีจากไป
    ท่านชมเชยความรู้เห็นของหลวงปู่มาก และสั่งยืนยันมิให้พระไปลงอาบน้ำหรือตักน้ำอันมีพิษนั้นมาดื่มกินหรือใช้สอย ท่านว่าเราจะต้องไม่สนใจกับปฏิกิริยาอันไม่ถูกต้องของพญานาคเหล่านั้น ให้พวกเราเจริญเมตตาแผ่ให้เขา ในไม่ช้าเขาก็คงจะต้องละทิฏฐิมานะเป็นแน่แท้ เพราะเมตตาธรรมเป็นธรรมอันเยือกเย็น สามารถดับความร้อนรุ่มกระวนกระวายของจิตที่หลงผิดริษยาอาฆาตได้เป็นอย่างดี
    [​IMG]
    หมู่เพื่อนทราบความแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเกรงใจในหลวงปู่มากขึ้น เพราะนอกเหนือรองลงมาจากท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ก็ดูเหมือนว่า หลวงปู่จะเป็นที่พึ่งอาศัยทางรู้เห็นสิ่งลึกลับกายทิพย์แก่หมู่คณะได้ดีที่สุด ต่างองค์ก็เชื่อฟังคำท่านพระอาจารย์มั่นและหลวงปู่มิได้พยายามย่างกรายไปใกล้บึงน้ำนั้นแต่ประการใด การอาบ การตักน้ำมาใช้ดื่มกินใช้สอย ก็พยายามไปหาจากหนองน้ำแห่งอื่น แม้จะไม่ค่อยสะดวก ด้วยอยู่ห่างไกลกว่าและดูไม่ค่อยสะอาดร่มรื่นเท่า แต่ก็แน่ใจได้ในความปลอดภัยกว่า
    หลายวันต่อมาพระอาจารย์มั่นจึงอนุญาตให้พระลงอาบน้ำและใช้สอยน้ำในบึงดังกล่าวได้ คงจะไม่จำเป็นต้องกล่าวแต่อย่างใดว่า การนี้เป็นไปภายหลังจากที่ท่านได้ทรมานพญานาคเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว ให้ยอมตนเคารพท่าน และรับนับถือพระไตรสรณาคมน์
    ทราบกันในภายหลังว่า หลังจากเมื่อพญานาคยอมตนสิโรราบต่อท่านแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นก็ถามเรื่องการพ่นพิษใส่ในบึงน้ำ ท่านตักเตือนเรียบ ๆ ว่า หากมีพระเณรหรือผู้ใดมาใช้น้ำพิษนี้แล้ว เกิดภัยอันตรายขึ้นก็จะเป็นบาปกรรมอย่างหนักแก่พญานาคโดยแท้ โดยเฉพาะโทษการล่วงเกินพระผู้มีศีลบริสุทธิ์นั้น คงจะไม่ต่ำกว่าการลงสู่ขุมนรก หากยั่นบาป ยั่นกรรม ก็ควรจะเร่งไปถอนพิษให้น้ำเป็นน้ำบริสุทธิ์ เป็นประโยชน์แก่ผู้สัญจรไปมาดังเดิม พญานาคทั้งประหลาดใจและตกใจ...ประหลาดใจ ที่ว่าตนแอบทำ แต่ท่านพระอาจารย์มั่นและหลวงปู่ต่างล่วงรู้ได้ด้วยอำนาจความรู้ภายใน...ตกใจด้วยกลัวโทษทัณฑ์ในการล่วงเกินพระอริยเจ้า จึงได้กราบกรานขอสมาโทษ แล้วรีบไปถอนพิษโดยเร็ว
    ท่านเล่าว่า แต่นั้นมา พญานาคคณะนั้นก็หมดทิฏฐิมานะ มีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนา ถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ปวารณาตัวรับใช้และถวายอารักขาท่านและหลวงปู่ ตลอดจนพระเณรทั้งปวงเป็นอย่างดี และเมื่อถึงโอกาสอันควรก็พากันมาฟังธรรมเสมอมิได้ขาด
     
  11. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๓๑. เรื่องพญานาคอีกครั้ง
    เรื่องนี้ความจริงควรจะบันทึกรวมไว้ในตอนที่ท่านวิเวกอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ แต่โดยที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพญานาค จึงได้นำมาแยกบันทึกเป็นเรื่องรวมต่อเนื่องกันไปกับชุดเกี่ยวกับพญานาค เพื่อความสะดวกในการเข้าใจ
    ระยะนั้นเป็นเวลาหลังจากเสร็จสงครามโลกครั้งที่สองใหม่ ๆ ออกพรรษาแล้ว ท่านไปเที่ยววิเวกในเขตอำเภอแม่ริมกับ หลวงปู่ขาว อนาลโย บังเอิญได้พบกับ ท่านพระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ ซึ่งเคยเที่ยววิเวกกับท่าน และได้เคยจำพรรษากับท่านมาแล้ว ณ สำนักสงฆ์แม่หนองหาร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านจึงชวนกันไปวิเวกตามเขาและถ้ำซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านพอบิณฑบาตถึงได้ โดยมีพระอีกองค์หนึ่งร่วมไปด้วยรวมเป็น ๔ องค์ด้วยกัน

    [​IMG]
    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    ------------------------------
    เขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ ๒ ถ้ำ แต่เป็นถ้ำที่อยู่สูงจากเชิงเขาขึ้นไปประมาณ ๑๕ วา ทางขึ้นชันมาก เวลาขึ้นไปต้องเอามือเหนี่ยวโหนต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นไป พระหนุ่ม ๒ องค์ คือ ท่านพระอาจารย์เหรียญและพระอีกรูปหนึ่งไปอยู่ในถ้ำ ส่วนหลวงปู่ขาว และท่านอยู่บนสันเขาชั้นล่าง ต่ำลงมาจากถ้ำหน่อยหนึ่ง
    ท่านเล่าว่า การภาวนาดีมาก อากาศดีและสงัด ไม่มีอะไรรบกวน ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เขาลูกนั้น เมื่อทราบข่าวว่ามีพระธุดงคกรรมฐานมาพักบนเขาและถ้ำ ต่างก็พากันดีใจ ชักชวนกันมาทำแคร่ที่พักอาศัยให้ สำหรับน้ำใช้น้ำฉัน ก็ช่วยกันหาไม้ไผ่ขนาดลำใหญ่หน่อย มาผ่ากลาง เอาข้อออก ให้เป็นลำรางต่อกัน บนเขาลูกใหญ่นั้นมีน้ำพุผุดไหลมาออกตรงข้างเขา ชาวบ้านก็เอาลำรางไม้ไผ่นั้นไปรองรับน้ำให้ไหลมาไว้ที่หัวเขา และที่ถ้ำซึ่งพระอยู่ จัดเป็นระบบประปาธรรมชาติ ทำให้มีความสะดวก ไม่ต้องกังวลในการลงเขาขึ้นเขาไปลำเลียงน้ำใช้น้ำฉัน น้ำนั้นไหลมาแต่เขาซึ่งอุดมด้วยหินปูน จึงต้องนำมาต้มให้เดือดเสียก่อน ปล่อยให้เย็นจนตกตะกอนแล้วจึงกรองเอามาฉัน
    อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ระบบประปาธรรมชาติเกิดขัดข้อง ไม่มีน้ำไหลมาตามรางน้ำ ไต่สวนได้ความว่า รางน้ำไม้ไผ่ที่ชาวบ้านต่อมาให้ใช้ยังที่พักนั้น ถูกฟันเสียหายหลายจุด ทั้งนี้เพราะไม่กี่วันก่อนหน้านั้น พระที่อยู่ในหมู่บ้านเขาพากันสึกเสียหมด พร้อมทั้งคนในหมู่บ้านเจ็บป่วยกันหลายคน กำนันในตำบลนั้นไปปรึกษากับหมอผี หมอผีบอกว่าเป็นเพราะมีพระกรรมฐานมาอยู่บนเขาและในถ้ำ ผีที่อยู่ในถ้ำกลัวบารมีพระกรรมฐานอยู่ในถ้ำไม่ได้ จึงมารบกวนชาวบ้านให้เจ็บป่วย ถ้าจะให้ชาวบ้านหายเจ็บป่วย ต้องไล่พระกรรมฐานไป กำนันตำบลนั้นจึงประกาศห้ามไม่ใช้ชาวบ้านที่หมู่บ้านของกำนันมาทำบุญตักบาตร รวมทั้งน้ำฉันน้ำใช้ก็ให้ตัดขาดหมด เป็นการบีบบังคับไล่ทางอ้อมให้พระกรรมฐานหนีไป
    อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีผู้เชื่อถือกำนันนั้นทุกคนไป วันแรกคนในหมู่บ้านของตำบลนั้นไม่กล้าใส่บาตร แต่ท่านและคณะก็ไปบิณฑบาตจากหมู่บ้านอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ส่วนน้ำใช้นั้น พวกญาติโยมที่เลื่อมใสก็พากันไปซ่อมแซมให้ใช้ได้ดังเดิม และคอยจัดเวรยามดูแลให้ ไม่นานพวกที่หลงผิดก็รู้สึกตัว เพราะความเจ็บป่วยนั้นเป็นธรรมดาของมนุษย์ และเมื่อท่านสอนให้ชาวบ้านยึดมั่นในพระไตรสรณาคมน์ การเจ็บป่วยของชาวบ้านก็หายขาด ทำให้พากันเลื่อมใสศรัทธาดังเดิม และดูเหมือนจะมากขึ้นกว่าเดิมอีก
    ท่านคงพำนักอยู่ที่สันเขาต่อไปอีกระยะหนึ่ง หลวงปู่ขาวแยกขึ้นไปวิเวกบนดอยแม้วกับท่านพระอาจารย์เหรียญ หลวงปู่ขาวอยู่บนดอยแม้วได้ ๑๐ กว่าวัน ก็กลับลงมาพักที่สันเขาดังเดิม ด้วยไม่ค่อยสบาย ไม่ถูกกับอากาศ
    ระหว่างที่ท่านอยู่ที่สันเขานั้น ได้มองเห็นเขาลูกหนึ่ง ซึ่งอยู่สูงกว่าดอยแม้วที่หลวงปู่ขาวและท่านพระอาจารย์เหรียญไปพำนักมา ท่านคิดว่า บนหลังเขาลูกนี้คงจะวิเวกดี ควรแก่การบำเพ็ญเพียรภาวนา เมื่อท่านพระอาจารย์เหรียญลงมาจากดอยแม้วแล้ว ท่านจึงชวนกลับขึ้นเขาไปใหม่ โดยอธิบายว่า จุดหมายปลายทางนั้นไม่ใช่ดอยแม้ว แต่เป็นเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งอยู่สูงกว่า
    [​IMG]
    <TABLE class=img_caption_table cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TH>
    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    </TH></TR><!-- END title --><!-- BEGIN caption --><TR><TD>
    วัดอรัญญบรรพต
    ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ท่านและท่านพระอาจารย์เหรียญเดินทางไปเพียง ๒ องค์ โดยไม่มีญาติโยมขึ้นไปด้วย มีแต่คนรับจ้างแบกบริขารเพียง ๒ คน ซึ่งตกลงกันว่าจะเป็นผู้จัดทำที่พักบนยอดเขาให้ด้วย การเดินทางนั้น ออกเดินทางไปตั้งแต่เช้าจนพลบค่ำ จึงถึงเขาสูงลูกที่มั่นหมายไว้นั้น พบชาวบ้านป่าปลูกกระท่อมน้อยพำนักอยู่ครอบครัวหนึ่ง
    เขารู้ว่าท่านจะขึ้นไปพักภาวนาบนหลังเขาลูกนั้นก็ร้องเสียงหลง ห้ามว่า อย่าไปเลยท่าน ผีที่เขาลูกนี้ดุมาก
    ท่านถามเขาว่า รู้ได้อย่างไรว่า ผีดุ
    เขาตอบว่า รู้ซีท่าน ไม่รู้ได้อย่างไร ก็เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีพวกผู้ชายแม้วมาเที่ยวเขาลูกนี้กันสามคน กลับไปได้คนเดียว
    ทำไมกลับไปคนเดียว...
    อ้าว ก็ผีมันทำเอาตายไปเสียสองคนน่ะซี ท่านช่างถามได้ ก็ผมบอกแล้วว่าผีดุ...ผีดุ ท่านก็ไม่เชื่อ ! ...เขาบ่น แล้วรู้ไหมท่าน แม้แต่แม้วคนที่เหลือนั้น มันต้องวิ่งมาหาผม ขอให้ผมไปพูดกับผี ให้ผมไปเจรจากับผีให้ มันจึงรอดตัวกลับไปได้ ไม่เช่นนั้น มันก็คงกลายเป็นผีเฝ้าเขาลูกนี้ต่อไป อย่างเพื่อนของมันนั่นแหละ
    ท่านถามว่า พวกแม้ว ๓ คนไปทำอย่างไร จึงเกิดวิปริตขึ้น
    เขาอธิบายว่า แม้วเหล่านั้นเล่นสนุก คึกคะนองกันมาก ส่งเสียงล้อเลียนกันเอะอะ แล้วยังไม่พอใจ พากันไปงัดก้อนหินใหญ่ให้กลิ้งลงมา แข่งกันว่า หินของใครจะกลิ้งตกลงไปไกลกว่ากัน เมื่อก้อนหินตกลงไปในเหวลึกข้างล่าง เสียงดังสะท้อนก้องกลับไปกลับมาในหุบเขา ดังสะเทือนเลื่อนลั่น ก็ตบมือเฮฮา ร้องเอิกเกริกแสดงความสนุกสนานเอ็ดตะโรกันทั้งเขา
    ท่านพระอาจารย์เหรียญช่วยท่านชี้แจงว่า ...ก็เพราะเหตุนั้นน่ะซี จึงเกิดความวิบัติกัน เนื่องจากพวกภูตผีปีศาจที่อาศัยอยู่ตามที่นั้น เขาชอบความสงบ ใครไปทำความวุ่นวาย เขาย่อมไม่ชอบถือว่า ไม่ยำเกรงเขา ไปล่วงเกินเขา เขาจึงทำร้ายเอา พวกอาตมาเป็นพระ ตั้งใจมาอยู่อย่างสงบ เพื่อพักภาวนาหาความสงบทางจิตใจ ไม่ได้มาทำความวุ่นวายสิงคลีอะไร คงจะไม่เป็นไรหรอก
    เขามีสีหน้าไม่สบายใจ ท่านก็เลยพูดสัพยอกว่า
     
  12. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๓๒. แม่ไก่ผู้มาปรากฏตัวในนิมิตภาวนา
    วันหนึ่งระหว่างที่หลวงปู่กำลังวิเวกอยู่ที่เชียงใหม่ ตอนกลางคืน ท่านก็เข้าที่ภาวนาตามปกติ ปรากฏภาพนิมิต มีแม่ไก่ตัวหนึ่งมาหาท่าน กิริยาอาการนั้นนอบน้อมอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง มาถึงก็ใช้ปีกจับต้องกายท่าน จูบท่าน ท่านรู้สึกประหลาดใจที่สัตว์ตัวเมียมาแสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อพระเช่นนั้น จึงได้ดุว่าเอา แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็อ้างว่า เคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาแต่ชาติก่อน และเคยเป็นภรรยาของท่านมาถึง ๗ ชาติแล้ว ความผูกพันยังมีอยู่ ไม่อาจลืมเลือนได้ แม้จะรู้อยู่ว่า ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ ไม่บังควรที่จะแสดงความอาวรณ์ผูกพันเช่นนี้ ตนมีกรรม ต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่ำต้อยวาสนา ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองอยู่มาก อย่างไรก็ดี เมื่อพระคุณเจ้าผู้เคยเป็นคู่ชีวิตมาอยู่ในถิ่นที่ใกล้ตัวเช่นนี้ อดใจไม่ได้ จึงมาขอกราบ ขอส่วนบุญบารมี

    [​IMG]

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม-หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    ---------------------------------------------
    ในนิมิตนั้น หลวงปู่ได้เอ็ดอึงเอาว่า เราเป็นมนุษย์ เจ้าเป็นสัตว์ จะมาเคยเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร เราไม่เชื่อเจ้า
    แม่ไก่ก็เถียงว่า ถ้าเช่นนั้นคอยดู..พรุ่งนี้เช้า ตอนท่านออกไปบิณฑบาต ข้าน้อยจะไปจิกจีวรท่านให้ดู
    ตกเช้าหลวงปู่ก็ครองผ้าออกไปบิณฑบาตตามปกติ ท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้นึกอะไรมาก ด้วยคิดว่าเป็นนิมิตที่เหลวไหลไร้สาระ แต่เมื่อท่านเดินเข้าไปบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านยางที่ชื่อบ้านป่าพัวะ อำเภอจอมทอง ก็มีแม่ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามาจิกจีวรท่านข้างหลัง หมู่เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ตกใจ ด้วยเป็นสัตว์ตัวเมีย ท่านจะต้องอาบัติ จึงช่วยกันไล่ แต่แม่ไก่ตัวนั้น แม้ถูกไล่ออกไป ก็ยังพยายามวิ่งเข้ามาอีก
    คืนนั้นหลวงปู่พิจารณาซ้ำ ก็รู้ชัดว่า ไก่ตัวนั้นเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาแล้วถึง ๗ ชาติจริง ๆ เป็นที่น่าเวทนาสงสารเป็นอย่างยิ่ง...ที่นางทำกรรมไม่ดีไว้ ไม่มีศีลจึงต้องตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนั้น
    เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่หลวงปู่เคยยกเป็นขึ้นมาตักเตือนบรรดาพระผู้เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดให้เห็นชัดถึงผลของกรรม
    สัพเพ สัตตา กัมมัสสกา
    กัมมะ โยนิ
    กัมมะ พันธุ
    กัมมะ ปฏิสรณา
    สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
    ยัง กัมมัง กริสสามิ
    กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา
    ตัสสะ ทายาทา ภวิสสันติ
    เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป จักเป็นทายาท คือว่าจักต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป

    ท่านสอนให้ระมัดระวังเกรงบาป เกรงกรรมเป็นที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่เคยเกิดร่วมชีวิตกัน หากมิได้พยายามรักษาจิต ประกอบแต่กรรมดี ไม่มีศีลเสมอกัน ไม่มีธรรมเสมอกัน ในวัฏสงสารอันยาวนาน สายธารชีวิตย่อมจะต้องแตกแยกจากกัน ยากจะหาโอกาสมาพบพานกันได้ หรือหากพบกันก็อยู่ในฐานะที่เหลื่อมล้ำกัน ตามผลแห่งกรรมที่ตนได้ประกอบมา
    ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
    กลฺยาณการี กลฺยาฯ ปาปการี จ ปาปกํ
    บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น
    ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว
     
  13. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๓๓. อัศจรรย์หลวงปู่นิมิตเสกน้ำให้ได้ฉัน
    เรื่อง
     
  14. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    จริงอยู่ เรื่องราวของหลวงปู่ ในเรื่องความเพียร ในเรื่องความอัศจรรย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นที่รักของพวกกายทิพย์ ฯลฯ เหล่านี้เป็นที่กล่าวขวัญ เลื่องลือ สรรเสริญกันในวงพระกรรมฐานอย่างแพร่หลาย แต่ก็อยู่ในหมู่วงพระกรรมฐานรุ่นผู้ใหญ่ น้อยนักที่พระรุ่นเล็กจะรู้จักท่าน
    เรื่องนี้ พระอาจารย์บุญญฤทธิ์ ปัณฑิโต ได้เมตตาเล่าความรู้สึกของท่านให้ฟัง
    ท่านจำได้ว่า วันนั้นเป็นวันวิสาขบูชา ปี ๒๔๙๓ (ท่านจำ พ.ศ. ได้ดีเพราะเป็นปีหลังจากงานถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่น) ท่านเพิ่งบวชได้เพียง ๓ พรรษา กำลังมีจิตใจคึกคักอยากออกธุดงค์ เหมือนช้างคึกคะนองออกสนามรบ ท่านกำลังอยู่ที่เชียงใหม่ ได้ยินว่าที่วัดเจดีย์หลวง จะมีพระป่ามาชุมนุมกันมาก ท่านก็รีบไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
    ท่านว่า ท่านตื้นตันจนน้ำตาคลอ ที่เห็นพระป่ามาชุมนุมกัน โดยไม่ได้นัดหมายกันถึง ๙๕ องค์ เห็นผ้าเหลืองอร่ามนั่งเรียงรายเต็มบนอาสนสงฆ์
    เป็นภาพที่งามประทับใจมาก และรู้ซึ้งขึ้นมาทันทีถึงพระพุทธวจนะที่ว่า
     
  15. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ๓๕. ในโอกาสหนึ่งที่ไปโปรดศิษย์ที่เวียงจันทน์
    ความจริง เหตุการณ์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นความที่ผู้เขียนได้บันทึกไว้แล้วในหนังสือ
     
  16. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเป็นพระหนุ่ม หลวงปู่ได้ธุดงค์เข้าป่าลึก ขึ้นเขาสูงเป็นประจำ หลายต่อหลายครั้งที่ท่านได้เดินทางเข้าไปในเขตประเทศซึ่งมีชายแดนติดต่อกับไทย คือ ลาวและพม่า โดยมีประสบการณ์นานาชนิดซึ่งเป็นที่เล่าขานกันต่อ ๆ มาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
    <TABLE class=imageborder cellSpacing=2 cellPadding=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <!-- BEGIN img_desc -->
    <TABLE class=img_caption_table cellSpacing=0 cellPadding=0><!-- BEGIN title --><TBODY><TR><TH>
    หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ (ศิษย์หลวงปู่มั่น ,หลวงตาบัว)
    </TH></TR><!-- END title --><!-- BEGIN caption --><TR><TD>
    วัดป่าเขาน้อย
    ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

    ----------------------------------
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ในบั้นปลายแห่งชีวิต พ.ศ. ๒๕๒๖ ท่านได้รับนิมนต์ให้กลับไปเยี่ยมพม่าอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับหลวงปู่หลุย จันทะสาโร และคณะสงฆ์อีกร่วม ๑๐ รูป เช่น หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ หลวงปู่บัวพา ปัญญาพาโส และ ท่านพระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ เป็นอาทิ
     
  17. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
  18. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]หลวงปู่เป็นพระป่า อยู่แต่ในป่าในเขาจนชิน และดูเหมือนจะไม่รู้จักโลกภายนอกที่ว่าเจริญของคนกรุง ท่านมักจะอยู่กับพวกยาง พวกกระเหรี่ยง พวกชาวเขาเป็นปกติ ไม่คุ้นเคย
    ต่อการพบคนใหญ่คนโตมีชื่อเสียงของจังหวัดหรือบ้านเมืองเลย
    ดังนั้น วันหนึ่ง ท่านไปเยี่ยมหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินมากราบหลวงปู่ขาวเป็นวาระแรก ทางบ้านเมืองจึงมาส่งข่าวให้ทางวัดเตรียมตัวรับเสด็จ พอหลวงปู่ทราบว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจะเสด็จ ก็เตรียมหนีทันที หลวงปู่ขาวซึ่งบ่นเช่นกันว่า ไม่ทราบว่าจะ
     
  19. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]วันหนึ่งในเดือนมกราคม ปี ๒๕๓๕ กำลังรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเขียนประวัติให้สมบูรณ์อยู่นั้น มีศิษย์ของหลวงปู่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เธอเป็นศิษย์ผู้หนึ่งซึ่งเคารพ รัก ศรัทธา หลวงปู่อย่างสูงสุด ระหว่างเจ็บ นอนใส่เฝือกอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ก็มีรูปหลวงปู่ไว้กราบบูชาโดยตลอด มีทั้งรูปหล่อเหมือนในท่ายืน...รูปหล่อเหมือนในท่านั่ง...และรูปภาพถ่าย
    วันนั้น เธอได้ยกรูปหล่อเหมือนที่ยืนขึ้นมาทำความสะอาด มีห่อกระดาษเก่า ๆ วางอยู่ใต้ฐานรูป เธอจึงแกะออกมาดู เห็นเป็นพระธาตุจำนวนหลายสิบองค์ เธอก็โทรศัพท์ละล่ำละลักมาเล่าให้ผู้เขียนฟัง เธอยืนยันอย่างแน่นแฟ้นว่า ไม่มีทางที่จะมีใครนำห่อพระธาตุนั้นไปซุกไว้ใต้ฐานรูปหล่อเหมือน เพราะฐานนั้นโปร่ง กลวง และเมื่อวันที่อัญเชิญมา เธอก็จัดทำความสะอาดแล้ว ด้วยความเคารพทะนุถนอมอย่างที่สุด พลิกดูให้สะอาดเอี่ยมทุกแง่ทุกมุม แทบไม่มีฝุ่นละอองชิ้นใดจะผ่านสายตาไปได้
    ห่อกระดาษบรรจุพระธาตุนั้นไม่มีแน่ที่ใต้ฐานรูปหล่อเหมือนนั้น
    แล้ววันนี้มีพระธาตุวางอยู่ใต้ฐานรูปหล่อเหมือนของหลวงปู่ได้อย่างไร
    ขอให้พี่ช่วยไปดูด้วย เธอว่า
    ผู้เขียนยังไม่ทันมีเวลาว่างผ่านไปดู ต่อมาอีก ๒
     
  20. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ชีวประวัติและปฏิปทาของ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้ดำเนินมาแต่เมื่อเริ่มกำเนิด วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ ...จนกระทั่งวันสุดท้าย คือวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๘ ได้ดำเนินมาเป็นมิ่งขวัญของประเทศ เป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่ปวงศิษย์ ทั้งบรรพชิต และฆราวาส และประชาชนทั่วไปอีกนานเท่านาน
    ยามเมื่อดำรงชนม์ชีพอยู่ องค์ท่านเจ้าของประวัติเอง...มิได้สนใจกับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...