ประวัติพระมหาเถระผู้เลิศด้วยฤทธิ์ญาณตบะ "หลวงปู่ชอบ ฐานสโม"

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 12 มิถุนายน 2007.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ฐานสโมปูชา
    ภาคสอง
    ธุลีที่ปลิวไปแทบบาท


    . ภาพพระภิกษุปรากฎที่ห้วยน้ำริน
    พูดถึงเรื่องเทวดา พญานาค เกี่ยวกับหลวงปู่ที่ครูบาอาจารย์เล่า ๆ กันมา บางท่านอ่านแล้ว อาจสงสัย ลังเล ไม่เชื่อ แต่เฉพาะผู้เขียน (คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต) นั้นเชื่อสนิทใจ อย่างน้อยก็เคยได้ประสบกับตัวเองมาแล้วเมื่อตอนไปกราบท่าน
    [​IMG]
    จำได้ว่าเป็นเวลาราวเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ผู้เขียนกำลังไปสัมมนาแบองค์การต่างประเทศที่เชียงใหม่ ต้องใช้เวลาในการสัมมนาถึง ๑ สัปดาห์เต็ม พอดีทราบข่าวว่าหลวงปู่ชอบมาพักที่วัดห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จึงรีบไปกราบด้วยความดีใจ ระยะนั้นหลวงปู่ยังไม่เข้ากรุงเทพฯ บ่อยเหมือนสมัยนี้ นานนักจะได้ข่าวท่านสักครั้ง เราจึงคิดสะระตะ ขอใช้เวลาระหว่างนั้นให้เป็นประโยชน์คุ้มค่าที่สุด ให้ได้กราบหลวงปู่ให้เต็มอิ่มที่สุด
    ตื่นแต่มืด วิ่งไปตลาด ซื้ออาหารไปถวายจังหันที่แม่ริม แล้วก็รีบกลับมาเข้าสัมมนาที่ในเมืองเชียงใหม่ ตกเย็นเสร็จการประชุม วิ่งไปวัดห้วยน้ำรินอีก ทุกวัน ๆ บางทีเย็น เขามีงานเลี้ยง เราก็เลี่ยงเสีย
    วิ่งรอก ห้วยน้ำริน แม่ริม กับในเมืองเชียงใหม่เป็นว่าเล่น
    บ่ายวันนั้น สัมมนาเสร็จเร็วกว่าเคย จึงไปถึงวัด แต่ยังไม่ทันมืด พอรถเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ข้ามคลองชลประทานแล้ว รถก็เชิดหัวขึ้นไปสู่บริเวณวัด ซึ่งเป็นเนินสูงขึ้นไป ผู้เขียนมองเห็น พระ ๗
     
  2. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]
    อัศจรรย์ปาฏิหาริย์ฐานสโมปูชา
    ภาคสอง
    ธุลีที่ปลิวไปแทบบาท

    ๒. ผู้มาร่วมงานฉลองอายุหลวงปู่
    [​IMG]
    หลวงปู่หลุย เข็น หลวงปู่ชอบ
    อายุพรรษาท่านทั้งสองเท่ากัน
    --------------------------------

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างที่มีงานฉลองอายุของ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ และ พระคุณเจ้าหลวงปู่หลุย ซึ่งท่านทั้งสองต่างมีฐานะเป็น เพชรยอดมงกุฎ
     
  3. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    การนิมนต์ทางจิตฯ
    จากหนังสือ "ฐานสโมปูชา" ของคุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต
    คัดมาจากหนังสือประสบการณ์ทางวิญญาณ
    ของคุณทองทิว สุวรรณทัต
    โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 008823 - โดย คุณ : ยุ [ 13 พ.ค. 2546 ]
    เนื้อความ :
    "ฐานสโมปูชา" ของคุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต แต่ละตอนนั้นอ่านแล้วติดใจ เพราะทั้งสนุกและได้รับความรู้ไปในตัว ดังเช่นตอนต่อไปนี้
    การนิมนต์ด้วยจิต
    "เกี่ยวกับเรื่องราวความสามารถรับรู้วาระจิตคน ไม่ว่าอยู่ไกลเพียงไหนหรือแม้แต่อยู่คนละซีกโลกก็ตาม เรื่องเหล่านี้เคยได้ยินครูบาอาจารย์พูดกันอยู่มาก ระยะแรกๆผู้เขียนเข้ามากราบท่านก็ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องทำนองนี้เลย บ่อยครั้งที่รู้สึกแปลกใจว่าบางครั้งเราพูดกันอยู่อีกเมืองหนึ่งเหตุใดท่านจึงทราบ ระยะหลังก่อนท่านอาจารย์จวนจะเสียชีวิต ท่านเคยอธิบายให้ฟังว่า การรับรู้หรือรับฟังนี้ อย่าว่าแต่จะพูดกันอยู่ในศาลานี้เลย ต่อให้พูดกันอีกเมืองหนึ่ง หรือแม้กระทั่งอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ก็สามารถได้ยินหรือรับรู้วาระจิตนั้น ถ้าเผื่อกำหนดจิตให้รับทราบ ดังนั้นความสามารถทำนองนี้ของบรรดาครูบาอาจารย์(บางองค์)จึงเป็นที่รู้และกลัวเกรงระมัดระวังของบรรดาเหล่าศิษย์ทั้งหลาย
    สำหรับหลวงปู่ของเรา ความสามารถในเรื่องทำนองนี้เป็นที่เลื่องลือกันเป็นอย่างมาก ในระยะแรกที่ผู้เขียนได้กราบท่านไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้สักเท่าไร เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปนานแล้ว มานั่งคิดย้อนถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะการที่พูดถึงกันว่า การนิมนต์ด้วยจิต คือ เวลาจะนิมนต์หลวงปู่หรืออยากพบท่าน ไม่ต้องนิมนต์ด้วยปากดอก เพียงแต่เราคิดถึงท่านก็จะมาหา หรือบางทีเป็นภาพปรากฏขึ้น
    ระยะแรกที่ผู้เขียนเริ่มรู้สึก คือ ครั้งหนึ่งจำไม่ได้แน่ชัดว่าเป็น พ.ศ. ไหน แต่เป็นปีต้น ๆ ที่เราเริ่มมีการจัดกฐินกัน เราดำริจะทอดกฐินที่วัดหลวงปู่ ผู้เขียน(คุณหญิงสุรีพันธุ์ )หมายถึงวัดป่าสัมมานุสรณ์ ที่จังหวัดเลย ก่อนหน้านี้นั้นการทอดกฐินเป็นสิ่งที่พวกเราไม่ได้คิดไม่ได้ฝันมาก่อนว่าจะต้องจัดทำกัน เมื่อมาเริ่มตั้งต้นด้วยกฐินที่วัดท่านอาจารย์วันในปี พ.ศ. 2519 แล้ว ก็ทำติดต่อกันมา โดยปีต่อมาเป็นวัดท่านอาจารย์จวน ปีถัดมาก็วัดป่าหนองแซงที่หลวงปู่หลุยจำพรรษาอยู่ต่อๆเนื่องไป บางปีเป็นวัดหินหมากเป้ง แต่เราตั้งใจกันไว้ว่าจะไม่ทอดกฐินปีละหลายวัด เพื่อว่าปัจจัยที่หามาจะได้สามารถไปช่วยทะนุบำรุงพระศาสนา สำหรับวัดที่ไปทอดในปีนั้นๆ ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำดีกว่าแบ่งทอดกฐินหลายๆวัด แล้วแบ่งไปวัดละนิดละหน่อย โดยจะจัดสร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์อะไรก็ลำบาก
    [​IMG]
    ปีนั้นตกลงกันว่าจะไปทอดกฐิน ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์ โดยมีจุดประสงค์จะช่วยเรื่องงานก่อสร้างเจดีย์ของหลวงปู่ที่ท่านว่าจะไว้เก็บอัฐิธาตุของท่านให้เสร็จลุล่วงไป เรียนถามท่านอาจารย์บัวคำซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น ท่านว่ายังต้องใช้เงินอีกราว 7-8 แสนบาท หลังจากนั้นจึงมีการกำหนดแผนงานกฐินขึ้นมา โดยมากกฐินของพวกเราที่ทำกันมาก็มักจะประกอบด้วย กฐิน 1 วัด ตามด้วยผ้าป่าอีก 5-6 วัด แต่ถึงเวลาเข้าจริง ๆ กลายเป็นทอดผ้าป่า 8-9 บางทีถึง 10 วัด แถมวัดโน่น วัดนี่ โดยเฉพาะตอนหลวงปู่หลุยยังอยู่ท่านมักจะว่า เอ้า.....บังคับสุรีพันธุ์เอาบังคับเอาให้ไปช่วยวัดโน้นวัดนี้ อะไรทำนองนี้ เป็นเรื่องที่สนุกสนานชื่นอกชื่นใจที่หลวงปู่บอกทางบุญให้เรา
    เนื่องจากเราจัดไปทอดกฐิน-ผ้าป่าหลายวัด การเตรียมงานจะต้องมีการติดต่อให้ทราบก่อนว่า กฐินใหญ่จะต้องกำหนดวันที่ท่านว่างและอยู่วัด ทราบกำหนดของวัดใหญ่แล้วจะได้สามารถกำหนดรายการของวัดอื่นๆ และเส้นทางการเดินทางให้ต่อเนื่องกัน เวลานั้นผู้เขียนจึงอยากพบท่านเพื่อจะกราบเรียนถามถึงเรื่องนี้ คิดว่า เอ...ทำไงจะได้พบหลวงปู่ เราอยากพบท่านจะได้กราบเรียนถามท่านว่าว่างหรือเปล่า อยู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์มาถึงบอกว่า "หลวงปู่ชอบมาถึงกรุงเทพฯ แล้วสั่งให้โทรฯ บอกสุรีพันธุ์"
    ตอนนั้นไม่ทันเฉียวใจ ไปกราบท่านเวลาท่านมากรุงเทพฯ บางครั้งท่านมาพันที่ กม.27 บางครั้งท่านก็พักที่วัดอโศกการาม ผู้เขียนไปกราบท่านไม่ทันได้ฉุกคิด คิดว่าเป็นเหตุการณ์ประจวบเหมาะ บังเอิญอยู่เรื่อยๆ บังเอิญหลายๆครั้งเข้า เอ๊ะ มันไม่น่าจะบังเอิญ เราอยากพบท่านครั้งใด ท่านมักจะ บังเอิญ ต้องลงมากรุงเทพฯให้โทรฯ มาตามสุรีพันธุ์ว่า ท่านมาถึงแล้ว ทุกครั้งที่เรามีธุระอยากจะกราบเรียนถามท่าน
    เรื่องที่ต่อเนื่องและเห็นชัดเกี่ยวกับ การนิมนต์ทางจิต คือในปี 2535 เป็นปีแรกที่หลวงปู่เทสก์เตือนผู้เขียนว่า อายุล่วงไปมากแล้วควรงดการจัดทอดกฐิน ผ้าป่า ซึ่งเสียเวลาเตรียมการมาก หันมาภาวนาให้เป็นกิจจะลักษณะเสียที ผู้เขียนเรียนท่านว่า งานสร้างศาลาภูทอกยังไม่เรียบร้อย เพราะศาลานี้สร้างสำหรับถวายพระราชกุศล เวลานั้นผู้เขียนอยากพบหลวงปู่ชอบตั้งใจจะนิมนต์ท่านมาเป็นประธานในพิธีเททองหล่อพระประธานที่ภูทอก ในวันที่ 23 ตุลาคม ปี 2535
    วันหนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงระยะที่ผู้เขียนไปจำพรรษาที่ วัดหินหมากเป้ง ได้ไปกราบอาจารย์ติ๊กที่วัดป่าห้วยลาด ซึ่งอยู่แถวภูเรือ จังหวัดเลย ขากลับคิดจะแวะวัดโคกมนเป็นเวลา 4 โมงกว่าเกือบ 5 โมง คุณอุดม ลัมกานนท์ ซึ่งไปกับผู้เขียนหันมาถามว่า
    "พี่ไม่แวะไปกราบหลวงปู่ก่อนหรือ"
    ตอนนั้นผู้เขียนเกรงว่าหากจะแวะโคกมนเราก็อดที่จะอ้อยอิ่งคุยกับท่านนาน คงกลับเข้าหินหมากเป้งไม่ทันเวลา 6 โมงเย็น ระยะนั้นที่วัดหินหมากเป้งมีระเบียบให้ปิดประตูใหญ่เวลา 6 โมงเย็น
    คนที่อยู่ในวัดหากจะต้องไปธุระข้างนอก ต้องเข้าวัดให้ทันก่อนเวลาปิดประตู หากกลับเข้าวัดช้าอาจจะเป็นเรื่องเป็นเรื่องยุ่งยากลำบาก
    วันนั้นผู้เขียนเลยตัดสินใจไม่แวะเข้าวัดโคกมน คุณอุดมถามอย่างสงสัยว่า
    "แล้วพี่จะนิมนต์หลวงปู่ได้ยังไง ท่านอาจารย์ติ๊กก็กำชับมาให้พี่นิมนต์หลวงปู่ชอบไปเป็นประธานงานเททองให้ได้"
    ผู้เขียนตอบเล่นๆ
    "ไม่เป็นไร นิมนต์หลวงปู่ทางจิตก็ได้ นิมนต์ขอให้ท่านมาพบเราที่วัดหินหมากเป้ง"
    สองวันต่อมา ขณะที่ผู้เขียนกำลังเดินจงกรมภายในกุฏิที่วัดหินหมากเป้ง กุฏิที่หลวงปู่เทสก์ได้เมตตาอนุญาตให้สร้างขึ้น โดยท่านเป็นผู้เลือกที่ให้อยู่ที่บริเวณริมแม่น้ำโขง ไว้สำหรับเป็นที่พักภาวนา มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผู้เขียนเปิดประตูออกไปดู แม่ชีคนหนึ่งมาขอพบ พอถามว่ามีธุระอะไร
    แม่ชีบอกว่า "มาจากโคกมน หลวงปู่ให้มาล่วงหน้ามาบอกคุณหญิงว่าเดี๋ยวท่านจะมา"
    ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจ "หลวงปู่มาเยี่ยมหลวงปู่เทสก์"
    แม่ชีตอบ "ใช่ ท่านให้แม่ชีมาบอกคุณหญิงก่อน"
    ผู้เขียนซักต่อ "แล้วหลวงปู่มาได้ยังไงละ"
    ก็ได้คำตอบว่า "มากันรถหลายคัน ส่วนคันที่แม่ชีนั่งมาเป็นคันหน้ามาถึงก่อน"
    ผู้เขียนรู้สึกตกใจ จำได้ว่าเป็นวันที่ 1 สิงหาคม เพียงสองวันหลังจากวันที่เกือบจะแวะวัดโคกมน!
    เทวดามากราบรูปหลวงปู่
    "หลวงปู่จะมาวัดหินหมากเป้ง....ก่อนอื่นคงต้องรีบไปเรียนหลวงปู่เทสก์ให้ท่านทราบก่อน เพื่อเตรียมต้อนรับหลวงปู่ชอบ ตัวผู้เขียน คิดว่านับเป็นโอกาสพิเศษ อันเป็นมงคลยิ่งที่หลวงปู่ทั้งสองท่านจะมาพบกัน ควรที่จะบอกต่อ ๆ ให้คนอื่น ๆ ในวัดได้ทราบด้วย
    ผู้เขียนก็รีบไปบอกพรรคพวกใครต่อใครให้ทราบกัน แล้วนึกขึ้นได้ เอ๊ะ แม่ชีที่มาบอกข่าวหายไปไหน อยากคาดคั้นถามให้แน่ใจอีกสักครั้ง เพราะเกิดลังเลว่าจะเชื่อคำบอกของแม่ชีคนนั้นได้แค่ไหน เกิดถ้าหลวงปู่ไม่มาอย่างที่บอกละ อารามตื่นเต้นกับข่าวนี้ เรารีบบอกคนโน้นคนนี้ให้ทราบกันหมด ก็ถ้าหลวงปู่ไม่มาละ เพื่อนฝูงคงหาว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ แต่ถึงอย่างไรก็ตัดใจว่าคงเชื่อถือได้ ไม่น่าจะเป็นข่าวเท็จ
    เพียงชั่วครู่เดียวก็ทราบกันไปทั้งวัด ผู้เขียนรีบไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ว่า โอกาสอย่างนี้หาได้ยากเป็นโอกาสพิเศษ ขอโอกาส ขออนุญาต หากล้องมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก หลวงปู่เทสก์ยิ้มอย่างเมตตา ท่านเห็นด้วยให้ไปหากล้องถ่ายรูปมา เรียนถามท่านว่า จะให้ใครเป็นผู้ถ่ายรูปดี หลวงปู่เทสก์ตอบผู้เขียนว่า
    "คุณนั่นแหละเป็นคนถ่าย"
    สักประเดี๋ยว หลวงปู่ชอบก็มา ชาววัดหินหมากเป้งทุกคนตื่นเต้นดีใจ แต่งตัวห่มผ้ามารอที่กุฏิเพื่อกราบหลวงปู่ต่างชื่นอกชื่นใจที่เห็นภาพหลวงปู่ทั้งสองมาพบกัน ตัวผู้เขียนถ่ายรูปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกระทั่งฟิล์มหมดม้วน ด้วยความดีอกดีใจต่อภาพที่ท่านยิ้มหัวต่อกัน คุยทักทายกันอย่างร่าเริงล้อเลียนกัน โดยเฉพาะที่ท่านทักกันเรื่อง "ขาลาย" เลยทำให้แอบทราบความลับว่า หลวงปู่เทสก์ก่อนบวชท่านก็เคยไปสัก "ขาลาย" เช่นเดียวกับหลวงปู่ชอบ แต่คนไม่ค่อยรู้กัน
    ภาพที่ถ่ายวันนั้น พอส่งฟิล์มไปล้าง ด้วยความปลาบปลื้มใจ ผู้เขียนสั่งอัดรูปอย่างละ 200 รูป 400 รูป มาแจกกันให้ทั่ววัด ต้องไปสั่งอัดถึงอุดรฯ และยังสั่งอัดรูปใหญ่อีกคิดจะเก็บไว้ถวายหลวงปู่ เกือบลืมเล่าไปว่า การมาวัดหินหมากเป้งคราวนั้น หลวงปู่ท่านพูดคล้ายกับว่า ที่นิมนต์มาท่านก็มาให้แล้ว มีธุระอะไร ผู้เขียนจึงถือโอกาสกราบนิมนต์ท่านไปเป็นประธานเททองหล่อพระที่ภูทอกในวันที่ 23 ตุลาคม
    วันหนึ่ง ผู้เขียนเจอกับเหตุการณ์น่าประหลาดอีก หลังจากเสร็จจากการทำวัตรเย็น ฟังเทศน์ และต่อท้ายด้วยการเจริญภาวนาที่ศาลาใหญ่ราวๆสามทุ่มก็เลิก ต่างแยกย้ายกันกลับกุฏิ ผู้เขียนเดินกลับกุฏิ โดยขณะนั้น ใจยังคงรู้สึกอิ่มเอมจากการภาวนา ผู้เขียนมองไปทางริมโขง พลันให้ฉงนใจที่เห็นกุฏิหลังหนึ่งสว่างไสว ทีแรกตกใจเพราะเหมือนๆ กับกุฏิของผู้เขียนมาก คิดว่าเราเผลอเปิดไฟทิ้งไว้ ปกติที่หินหมากเป้ง จะใช้ไฟฟ้ากันอย่างประหยัดมาก อย่างผู้เขียนเองจะเปิดไฟพอให้รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหนแล้วก็ปิด ใช้ไฟฉายส่องแทน เพราะไม่ต้องการใช้ไฟวัดอย่างฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่ใช่เพราะกุฏิของเรามีสองหน้าต่าง แต่กุฏิที่กำลังเห็นมีสามหน้าต่างข้างในสว่างไสว ข้างนอกสว่างจ้า ราวกับมีใครเอาไฟสปอร์ตไลท์สาดส่องทั้งตัวบ้าน
    ขณะที่ผู้เขียนกำลังจับตาจ้องมองภาพนั้น ไม่ได้หยุดเดินคงเดินไปช้าๆ จนกระทั่งเท้าสะดุดเอารากไม้เข้า เมื่อเงยหน้าอีกครั้งภาพกุฏิหลังนั้นหายวับไปแล้ว ผู้เขียนเดินต่อไปที่กุฏิที่พัก กุฏิผู้เขียนยังอยู่ในความมืด เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจ เลยลองเปิดไฟรอบบ้านทุกดวงให้สว่าง แต่ก็หาได้สว่างเท่ากับกุฏิหลังที่เห็นเมื่อกี้นี้ไม่ อีกอย่างหนึ่ง มุมที่ผู้เขียนสังเกตเวลาเดินมาจากศาลานั้น ปกติจะมองไม่เห็นกุฏิที่ผู้เขียนอยู่ เพราะมีกุฏิหลังอื่นบัง แต่ภาพที่เห็นเมื่อสักครู่ที่ผ่านมากลับเห็นชัดประหนึ่งไม่มีกุฏิ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาบดบังเลย
    ทำให้นึกไปถึงเมื่อครั้งสร้างกุฏิหลังนี้ ตอนนั้นหลวงปู่เทสก์ท่านได้เมตตาช่วยเลือกแบบให้ ใจเราอยากทำหน้าต่างสามบาน แต่เนื่องจากกั้นทำห้องนอนสองห้อง จึงไม่อาจทำได้ ช่างทำไว้ให้แต่หน้าต่างสองบาน จำได้ว่าหลวงปู่ยังบอกว่า
    "หน้าต่างถ้าไม่ชอบใจจะแก้ก็ได้นะ ให้เป็นหน้าต่างสามบาน"
    ยังคิดแปลกใจว่า หลวงปู่ท่านทราบได้อย่างไรว่า เราอยากได้หน้าต่างสามบาน เพราะไม่เคยบอกเรื่องนี้กับท่านหรือใครเลย แต่ก็เรียนท่านไปว่า หลวงปู่เมตตาอย่างไร ก็ให้เป็นไปตามนั้นคงไม่ต้องแก้ไขอะไร
    เป็นไปได้ไหมว่า การที่ใจเราอยากได้หน้าต่างสามบานกุฏิทิพย์ที่ปรากฏให้เห็นจึงมีหน้าต่างสามบาน หลวงปู่ชอบเคยบอกว่า เวลาพวกเทพมากันมากๆ แสงเทพจะสว่างไสวยิ่งกว่าเปิดไฟร้อยแรงเทียนหลายๆ ดวงพร้อมกัน หากเป็นแสงเทพจริงแล้ว เทพท่านมาที่กุฏิเรา ทำไม!
    ทันใดก็นึกขึ้นมาได้ว่า ได้เอาภาพหลวงปู่สององค์ที่ท่านกำลังคุยกันมาขยายใหญ่ใส่กรอบ ตั้งบูชาไว้ที่กุฏิที่พักชะรอยเหล่าเทพทั้งหลายคงจะมากราบรูปหลวงปู่ที่เราตั้งไว้บูชาในนั้น เพราะตามประสบการณ์ของผู้เขียนเวลาเห็นภาพทำนองนี้สิ่งที่เห็นจะชัดเจน หากว่ามีอะไรที่มาบดบังขวางสายตาอยู่ข้างหน้า ก็คล้ายกับจะถูกมองทะลุผ่านไปลอยเด่นราวกับไม่มีอะไรบดบังอยู่เลย
    รุ่งขึ้น ได้เล่าถวายหลวงปู่เทสก์เรื่องภาพกุฏินั้น เอารูปไปให้ท่านดูด้วยเรียนถามท่านถึงการที่กุฏิผู้เขียนสว่างไสว
    "เข้าใจว่าเป็นเพราะมีเทวดามากราบรูปหลวงปู่ใช่ไหมเจ้าคะ"
    ท่านทำหน้ายิ้มๆ ปกติหากเราเข้าใจไม่ถูกต้องหรือไม่ใช่แล้ว ท่านจะพูดปฏิเสธหรือทักท้วงคำพูดนั้นทันที
    ครั้นนำรูปนี้ไปเรียนถามหลวงปู่ชอบบ้าง
    "ใช่ไหมเจ้าคะ เทวดาเขามากราบรูปหลวงปู่ทั้งสององค์ ถึงได้มีแสงสว่างเจิดจ้าอย่างมากมาย ยิ่งกว่าเราเปิดสปอร์ตไลท์ทั้งบ้านเสียอีก"
    หลวงปู่อมยิ้มไม่ตอบ
    พูดถึงเทวดาที่หินหมากเป้ง ครั้งหนึ่งผู้เขียนไปนั่งภาวนาบนพลาญหินริมฝั่งโขงภาวนาไปพักใหญ่ออกรู้สึกเมื่อยจึงลืมตาขึ้นมองไปบนฟ้า เห็นองค์หลวงปู่เทสก์ใหญ่ ใหญ่มากคลุมทั้งวัดหินหมากเป้ง บอกให้เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ดู บางคนเห็น บางคนก็ไม่เห็น พอไปเล่าถวายหลวงปู่ท่านก็ยิ้มๆ ถามว่า เห็นเหมือนกันเรอะ แต่ท่านไม่ได้ปฏิเสธอะไร ธรรมดาถ้าคิดไม่ถูกท่านจะบอกว่าคิดกันไปเอง หรืออะไรทำนองนั้น คราวนั้นท่านเพียงแต่ยิ้มๆแล้วเสริมว่า
    "เอ้า....ภาวนาต่อไปให้ดีนะ"
    อีกครั้งหนึ่ง ที่พลาญหินริมโขงเช่นกัน กำลังภาวนาไปสักสองชั่วโมง มีเวทนามาก เผลอลืมตามองไปทางมณฑปที่หลวงปู่อยู่ เห็นแสงที่ยอดไม้ เป็นวิมานเรือนยอดสวยมาก ธรรมดาก่อนหน้านี้ เวลาเราเห็นแสง จะเป็นแสงสีเดียว แต่แสงที่กำลังเห็นเป็นแสงหลายสี สีเขียว สีเหลือง สีแดง สุดท้ายเป็นแดงจัด แล้วปรากฏมีเทวดาเดินออกมาจากวิมานมาให้เราเห็น จำได้ว่าเครื่องแต่งกายเป็นสีแดงขลิบดำ ดูอยู่พักหนึ่งจึงบุ้ยใบ้ชี้มือให้เพื่อนคือ คุณชมศรี สุทธเชื้อนาค ดู คุณชมศรีแต่แรกไม่เห็น ต่อมาก็เห็นภายหลังมาเล่ากัน เธอบอกว่าเป็นแสงสีขาวสีเดียว ไม่เป็นหลายสีอย่างผู้เขียนเห็น
    เมื่อเล่าถวายให้หลวงปู่ฟัง ท่านว่า
    "คุณสุรีพันธุ์เห็นวิมานเทวดา" เรียนท่านว่า
    "ทำไมสวยมาก"
    ท่านชี้มือไปที่ต้นมะม่วงใกล้กับอีกต้น
    "ต้นนี้ก็มีเทวดา"
    แล้วชี้ไปที่ต้นอื่นๆอีกหลายต้น
    "ต้นนั้น ก็มี"
    หรือบางวันมองมาทางมณฑป ก็ให้นึกแปลกใจ
    "เอ๊ะ..ทำไมวันนี้ท่านเปลี่ยนม่านไปแล้ว เป็นสีเขียวเรืองสวย เขียวอมฟ้าสวยมาก เมื่อวานเราก็ไม่ทันสังเกต"
    พอรุ่งขึ้นเช้ามามองอีกที
    "อ้าว ก็ม่านอันเก่านี่ เป็นม่านสีเหลืองซีดๆอย่างเก่า"
    พอไปเล่าถวายให้ท่านฟัง
    "หนูนึกว่าหลวงปู่ให้เปลี่ยนม่าน พอไปดูวันรุ่งขึ้นกลับเป็นม่านอันเก่า"
    เรียนท่านเพิ่มเติมว่า การเห็นทั้งหมดนี้เป็นการเห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ได้เห็นในนิมิตร คือตาเห็น ๆ นี่แหละ หลวงปู่เทสก์ท่านอธิบายว่า เป็นอำนาจของสมาธิ คือก่อนหน้านั้นเราทำสมาธิ แม้เมื่อลืมตาแล้ว จิตก็ยังทรงอยู่ในสมาธิอีกระดับหนึ่ง จึงเห็นภาพที่ภพภูมิของมนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
    จากคุณ : ยุ [ 13 พ.ค. 2546 ]
     
  4. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    เรื่องเล่า...หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ระลึกชาติ
    [​IMG]
    โพสท์ใน http://www.thaimisc.com/ กระทู้ที่ 00173
    คัดจากหนังสือคุณทองทิว สุวรรณทัต (มีหลายเล่ม)
    ผู้เขียนเคยสัมภาษณ์ผู้ระสึกชาติได้มาหลายรายและได้นำคำสัมภาษณ์นั้นๆมาเขียนหลายเรื่องแล้ว แต่ไม่มีเรื่องใดดูจะอัศจรรย์ดังเรื่องของผู้ระลึกชาติได้เท่าท่านนี้เลย ทั้งนี้เพราะท่านเป็นพระเถระ ที่ใช้ชีวิตสมณเพศทั้งหมดอยู่กับการปฏิบัติ จนบางครั้งแทบจะเอาชีวิตไปทิ้งกลางป่ากลางดง และเนื่องจากผลของการปฏิบัติธรรม จึงทำให้ท่านสามารถระลึกชาติย้อนหลังไปได้อีกหลายสิบชาติ
    ท่านผู้นี้คือ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ซึ่งเป็นศิษย์เอกที่เลิศในทางอภิญญาของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะบูรพาจารย์ของพระเถระทั้งหลายในปัจจุบัน
    แต่ก่อนที่จะเล่าสู่กันฟัง จำเป็นจะต้องเรียนท่านผู้อ่านทั้งหลายให้ทราบเสียก่อนว่า เรื่องของ หลวงปู่ชอบ ระลึกชาติตอนนี้ ผู้เขียนได้รับอนุญาตจาก คุณสุรีพันธุ์ มณีวัต ศิษย์ของท่านผู้บันทึกชีวประวัติของหลวงปู่เรียบร้อยแล้ว จึงขอขอบพระคุณคุณสุรีพันธุ์ มา ณ โอกาสนี้
    ในเรื่อง บุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือ ญาณระลึกชาติได้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลวงปู่จะมีหรือไม่ สมเด็จพระพุทธองค์ได้ญาณนี้เมื่อคืนวันตรัสรู้ในเวลาปฐมยามซึ่งเป็นญาณลำดับแรกที่ทรงบรรลุ ทราบทราบระลึกชาติหนหลังได้ ทั้งของพระองค์เองและสัตว์โลกอื่นๆ ตั้งแต่ชาติหนึ่งจนถึงอเนกชาติหาประมาณมิได้....
    พระพุทธองค์ไม่แต่จะเคยเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มนุษย์ ที่เป็นทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ พระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้น หากท่านเคยเป็นคนยากจนเข็ญใจ ก็มีอยู่หลายชาติ ทั้งเคยเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้การตกนรกหมกไหม้ก็เคยผ่านขุมนรกต่างๆ มาแล้วเช่นกัน ทำให้พระพุทธองค์ทรงเบื่อหน่ายในชาติกำเนิด การเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างยิ่ง การจุติแปรผัน ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ของสัตว์โลกไม่มีที่สิ้นสุด
    ญาณนี้เองเป็นเบื้องต้น เป็นบันไดขั้นแรกในคืนวันเพ็ญเดือนหก เมื่อสองพันห้าร้อยสามสิบพรรษาเศษที่ผ่านมา และเป็นเหตุให้พระองค์ไปสู่การตรัสรู้ คือ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในกาลต่อมา
    สำหรับญาณการระลึกรู้อดีตชาตินี้ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เคยขอโอกาสกราบเรียนถามหลวงปู่ ซึ่งท่านก็ยอมเล่าให้ฟังบ้างเป็นสังเขป
    หลวงปู่บอกว่า ท่านไม่ได้ระลึกชาติได้มากมายอะไร ที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงระลึกได้เป็นอเนกชาติหาประมาณมิได้นั้น เป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงมหาสติ มหาปัญญา มหาบารมีอย่างหาผู้ใดเทียบมิได้
    สำหรับหลวงปู่นี้ เท่าที่ระลึกชาติได้ ท่านไม่เคยเป็นกษัตริย์มักจะเป็นคนตกทุกข์ได้ยากเสียมากกว่า
    [​IMG]
    เคยเป็นพ่อค้าขายผ้าชาติลาว ออกเดินทางมากับ พ่อเชียงหมุน(อุปัฏฐากคนหนึ่งในชาตินี้) ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทย มาทานผ้าขาวหนึ่งวาและเงิน 50 สตางค์ บูชาถวายพระธาตุพนมพร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ได้บวชได้พ้นทุกข์ ท่านเล่าว่าท่านเคยมาช่วยสร้างพระธาตุพนมด้วยสมัยพระมหากัสสปะเถระเจ้า พระธาตุพนมนี้สร้างก่อนพระปฐมเจดีย์
    ท่านเคยเป็นคนยางอยู่ในป่า เคยเกิดเป็นทหารพม่ามารบกับไทย แต่ยังไม่ทันฆ่าคนไทย ก็ตายเสียก่อน เคยเกิดอยู่เมืองปัน พม่า ชาตินี้ท่านก็ได้กลับไปดูบ้านเกิดในชาติก่อนที่เมืองปันด้วย
    เคยเป็นทหารไปหลบภัยที่ถ้ำกระ เชียงใหม่ และได้ตายเพราะอดข้าวที่นั่น
    หลวงปู่ เคยเป็นพระภิกษุ รักษาศีลอยู่กับพระอนุรุทธ เคยเป็นสามเณรน้อย ลูกศิษย์พระมหากัสสปะ
    สำหรับการเกิดเป็นสัตว์ นั้น หลวงปู่เล่าว่า ท่านผ่านพ้นมาอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญ เช่นเคยเกิดเป็นผีเสื้อแล้วถูกค้างคาวไล่จับเอาไปกินที่ถ้ำผาดิน เคยเกิดเป็นฟาน หรือเก้ง ไปแอบกินมะกอก กินยังไม่ทันอิ่มสมอยาก ก็ถูกมนุษย์ไล่ยิง เขายิงที่โคกมนถูกที่ขา วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตายที่บ้านม่วง
    เมื่อครั้งเกิดเป็นหมีไปกินแตงช้าง (แตงร้าน) ของชาวบ้านถูกเจ้าของเขาเอามีดไล่ฟันถูกหัวถูกหู เคราะห์ดีไม่ถึงตาย แต่ก็บาดเจ็บมาก ต้องทนทุกข์ไปจนกระทั่งหายไปเอง
    เคยเกิดเป็นไก่ มีความรักผูกพันรักชอบนางแม่ไก่สาว จึงอธิษฐานให้ได้พบกันอีก ทำให้กลับมาเกิดเป็นไก่ซ้ำถึง 7 ชาติ
    เคยเกิดเป็นปลา ซึ่งอยู่ในสระ (ปัจจุบันอยู่ที่สวนหลังบ้านของ พล.อ.อ.พโยม เย็นสุดใจ)
    ท่านเล่าถึงชีวิตของการเป็นสัตว์ว่าแสนลำเค็ญ อดอยากปากแห้ง มีความรู้สึกร้อน หนาว หิวกระหายเหมือนมนุษย์ แต่ก็บอกไม่ได้ พูดไม่ได้ ต้องเที่ยวซอกซอนไปอยู่ตามป่า ตามเขาตามประสาสัตว์ ฝนตกก็เปียกหนาวสั่น แดดออกก็ร้อนไหม้เกรียม อาศัยถ้ำ อาศัยร่มไม้ไปตามเพลง บางทีมาอยู่ใกล้หมู่บ้านหิวกระหาย เห็นพืชผลที่ควรกินเป็นอาหารได้ พอจะจับใส่ปากใส่ท้องได้บ้าง ก็กลับกาลายเป็นของที่เขาหวงห้าม มีเจ้าของต้องถูกเขาขับไสไล่ทำร้าย
    ชีวิตที่เวียนว่ายวนอยู่ในกองทุกข์ตามอำนาจกรรมที่กระทำมานี้ แต่บางทีภพชาตินั้นก็ยืดยาวต่อไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหายกตัวอย่างเช่น ตอนท่านเกิดเป็นไก่ ใจนึกปฏิพันธ์รักใคร่นางแม่ไก่ ชื่นชอบภพชาติที่เป็นไก่ของตน ปรารถนาขอให้พบนางไก่อีก ก็ต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อยู่เช่นนั้น
    หลวงปู่เล่าว่า แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง เมื่อท่านระลึกชาติได้ เห็นภพชาติที่เวียนวนกลับไปเกิดเป็นสุนัขถึงหมื่นชาติ ท่านยังเกิดความสลดสังเวช ถึงกับขออธิษฐานเลิกปรารถนาพุทธภูมิ เพราะการบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตนั้น ท่านจะต้องบำเพ็ญต่อไปอีกเป็นแสนกัปแสนกัลป์ฯ เคราะห์ดีที่ท่านเกิดสลดสังเวชคิดได้ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสามารถดำเนินความเพียรเร่งรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จได้
    วันหนึ่งระหว่างหลวงปู่กำลังวิเวกอยู่ที่เชียงใหม่ ตกกลางคืนท่านก็เข้าที่ภาวนาตามปกติ ปรากฏภาพนิมิต มีแม่ไก่ตัวหนึ่งมาหาท่าน กิริยาอาการนั้นนอบน้อมอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งมาถึงก็ใช้ปีกจับต้องกายท่าน จูบท่าน ท่านประหลาดใจที่สัตว์ ตัวเมียแสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อพระเช่นนั้น จึงได้ดุว่าเอา แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็อ้างว่า เคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาถึง 7 ชาติแล้ว ความผูกพันยังมีอยู่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ แม้จะรู้ว่าพระคุณเจ้าเป็นภิกษุสงฆ์ไม่บังควรจะแสดงความอาวรณ์ผูกพันเช่นนี้ ตนมีกรรมต้องมาบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่ำต้อยน้อยวาสนา ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองอยู่มาก อย่างไรก็ดี เมื่อพระคุณเจ้าผู้เคยเป็นคู่ชีวิตมาอยู่ในถิ่นที่ใกล้ตัวเช่นนี้ ตนอดใจมิได้จึงมากราบขอส่วนบุญบารมี
    ในนิมิตนั้นปรากฏว่าหลวงปู่ได้เอ็ดอึงเอาว่าเราเป็นคนเจ้าเป็นสัตว์ จะมาเคยเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร เราไม่เชื่อเจ้า
    แม่ไก่ก็เถียงว่า ถ้าเช่นนั้นคอยดู พรุ่งนี้เช้าตอนท่านไปบิณฑบาต ข้าน้อยจะไปจิกจีวรท่านให้ดู
    ตอนเช้าหลวงปู่ครองผ้าออกไปบิณฑบาตตามปกติท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้นึกอะไรมาก ด้วยคิดว่าเป็นนิมิตเหลวไหลไร้สาระ แต่เมื่อท่านเดินบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านยางที่ชื่อบ้านป่าพัวะ อำเภอจอมทอง ก็มีแม่ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามาจิกจีวรท่านข้างหลัง! หมู่เพื่อนที่ไปด้วยก็ตกใจ เพราะเป็นสัตว์ตัวเมีย เกรงท่านจะอาบัติ จึงช่วยกันไล่ แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็ยังพยายามวิ่งเข้ามาอีก
    คืนนั้นหลวงปู่เข้าที่พิจารณาซ้ำ ก็รู้ว่าแม่ไก่ตัวนั้นเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมา 7 ชาติแล้วจริงๆ เป็นที่น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่งที่นางกระทำไม่ดีไว้ ไม่มีศีล จึงต้องตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้
    ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้อ่านบทความนี้แล้ว พึงระวังเทอญฯ
     
  5. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    เมตตาไม่มีประมาณ
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    [​IMG]
    โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 008629 โดยคุณ : mayrin [ 25 เม.ย. 2546 ]
    เนื้อความ :

    [​IMG]
    เมตตาของหลวงปู่นั้นไม่มีประมาณ ใคร ๆ ก็อยากทำบุญกับท่าน ด้วยรู้ว่า ท่านเป็นนาบุญของโลก เป็นนาบุญที่ไม่มีนาบุญใดยากจะเทียบเท่า ยิ้มของท่าน สว่าง สงบ เปิดโลกให้มีแต่ความเบิกบาน
    ดังนั้น เมื่อหลวงปู่ออกจากป่ามาอยู่ในวัดตามชายเมือง ไม่หลบลี้อยู่กลางป่า กลางดง หรือบนเทือกเขาสูงเช่นกาลก่อน พวกศรัทธาญาติโยม จึงมีแต่ความปลื้มปีติ นิมนต์ท่านไปโปรดตามบ้านเรือนของตน จนแทบจะแย่งกัน
    คิวนิมนต์หลวงปู่ยาวเหยียด เลย อุดร ขอนแก่น หนองคาย สกลนคร กรุงเทพฯ ศรีสะเกษ มหาสารคาม หาดใหญ่ ภูเก็ต... สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ปราจีนบุรี
    จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ประจวบศีรีขันธ์ ราชบุรี เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด นครพนม มุกดาหาร
    ท่านจะนั่งรถในเส้นทางอันยาวนานนั้นโดยไม่ปริปาก ไม่เคยบ่นร้อน ถ้ารับนิมนต์แล้วไม่เคยบ่นหนาว ไม่เคยบ่นเมื่อย นอกจากจะมีผู้เรียนถาม
    "หลวงปู่ไปบ่อย ๆ ไม่เหนื่อยหรือครับผม"
    "เมื่อยอยู่"
    "เมื่อยแล้วไปอะหยัง"
    "เขานิมนต์ เมื่อยอยู่ อดเอา"
    บางครั้งกราบเรียนถามท่าน "หลวงปู่ ฮ้อน (ร้อน) บ่"
    หลวงปู่ตอบ "อื้อ !" ครั้นถามว่า "หลวงปู่หนาวบ่" หลวงปู่ก็ตอบ "อื้อ !" เช่นกัน
    ทั้งผู้ถาม ผู้ตอบต่างหัวเราะกันยกใหญ่
    เรียนถามต่อว่า ทำไมถึงตอบ "อื้อ" ทั้งหมด ท่านตอบว่า มันง่ายดี มันแล้วเลย ไม่ต้องร่ำไร"
    คำตอบที่ว่า "อือ - อื้อ" หมายความว่า "ใช่" หรือ "ถูก" หรือเป็นการตอบรับ ไม่ขัดข้อง อนุญาต เป็นคำที่หลวงปู่ใช้บ่อยและมากที่สุดกว่าคำอื่น ๆ
    เวลารับนิมนต์ไปโปรดศรัทธาญาติโยม หากบังเอิญต้องค้างคืน เจ้าภาพ เรียนถามหลวงปู่ว่า "วันนี้จะนิมนต์พักที่บ้าน หรือหลวงปู่จะพักที่วัดครับ"
    หลวงปุ่จะตอบว่า "เอาใด๋กะดี"
    บางครั้งมีโยมขับรถไปส่งหลวงปู่ หากเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่ครับ ต้องการเร็วหรือช้าครับหลวงปู่"
    หลวงปู่ตอบ "เอาพอดี"
    ครั้งใดที่โยมทำอาหารมาถวายให้ฉัน และถ้าเรียนถามหลวงปู่ว่า อาหารอย่างนั้น - อย่างนี้...ของหนู ของกระผม ฉันแล้วเป็นยังไง อร่อยไหม? ทำนองนี้ หลวงปู่จะตอบว่า "ดีอยู่" เสมอ
    มีโยมคนหนึ่งจะซื้อนาฬิกามาถวายเพื่อทำบุญถวายกุศลให้ญาติ เรียนถามหลวงปู่ "หลวงปู่ต้องการนาฬิกายี่ห้ออะไรครับ"
    หลวงปู่ท่านไม่ทราบชื่อนาฬิกายี่ห้อต่าง ๆ ท่านเลยตอบว่า "เอาอย่างดี" เล่นเอาผู้ถามหัวเราะ...ด้วยความดีใจ
    คนมักจะถามท่านเสมอ "หลวงปู่ สบายดีไหมครับ - ค่ะ"
    หลวงปู่จะตอบเป็นปกติว่า "สบายดีอยู่ แต่ย่าง (เดิน) บ่ได้"
    ที่มากที่สุด จะมาขอให้ท่านรดน้ำมนต์ พรมน้ำมนต์ให้เป็นสิริมงคล และที่มากที่สุดกว่าอย่างอื่น คือ มาขอให้ท่านเป่าศีรษะให้จนบางครั้ง ท่านอดไม่ได้ต้องถามอย่างนึกขำ
    "หัวเป็นบาดบ่ (เป็นแผล)"
    เรื่องเป่าศีรษะ หรือ เป่าหัวนี้เป็นเรื่องที่พระเณรผู้ปรนนิบัติ ออกจะกลุ้มใจมาก เพราะหลวงปู่เหม็นน้ำมันใส่ผม ทนกลิ่นไม่ได้ จนบางครั้งถึงไม่สบาย ขอร้องกันเช่นไร ญาติโยมก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง มักจะอ้างเข้าข้างตัวเองกันอยู่เสมอว่า เป่าให้ผมนิดเดียว คนเดียว
    แต่คนละคน...ต่าง นิดเดียว คนเดียว หลาย ๆ คน ก็หลายนิดเดียว หลายคนเดียว

    [​IMG]
    ท่านพระอาจารย์วัน อุตโม (ศิษย์หลวงปู่มั่น)
    วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
    -------------------------------------------------------------------------------------
    ผู้เขียนจำได้ว่า ท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ เคยบ่น ให้ผู้เขียนฟังเรื่อง เป่าหัว นี้ โดยเฉพาะการไปรบกวนพระเถระผู้ใหญ่ผู้มีอายุ ท่านพระอาจารย์วัน ว่า
    จริงอยู่ ท่านเมตตาไม่มีประมาณ แต่ว่าท่านอายุมากแล้ว ลมท่านจะหายใจเอง ยังจะไม่ไหวอยู่แล้ว ยังขัด ๆ อยู่ แล้วยังจะให้ท่านมาเป่าให้ ท่านต้องเหนื่อยหอบมากไปอีกเท่าไร บาปไม่รู้ตัว
    ...เราคงเป็น บัวใต้น้ำ - ปทปรมะ ประเภทที่เพิ่งผุดจากเหง้าอยู่ล้ำลึกหมกจมอยู่กับโคลนตมที่รังแต่จะเป็นเหยื่อแก่เต่าปลานั่นเอง...!
    แต่เรายังโชคดีอยู่บ้างที่มีบุญได้มีโอกาสกราบไหว้ ครูบาอาจารย์ ผู้ทรงศีล วิสุทธิ์ ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ผู้เป็นนาบุญเอกของโลก...อย่างหลวงปู่ ท่านจึงได้แผ่กระแสเมตตา ให้อย่างท่วมท้น ไม่มีประมาณ
    แม้ท่านกำลังอาพาธ ลำบากในการพูด การเปล่งวาจา แต่เมื่อเหล่าศิษย์ผู้เป็นบัวใต้น้ำขอโอกาสกราบเรียนถามปัญหา ท่านก็จะเมตตาตอบให้โดยดี
    แม้บางครั้ง คำถามเหล่านั้นจะฟังดูเป็นเรื่องหญ้าปากคอก หรือแสนเชย และไม่เอาไหนเพียงใด ก็ตาม
    ให้โอกาสบรรดาบัวอ่อน...ใต้น้ำเหล่านั้น ได้เติบโตมีโอกาสจะหลุดพ้นจากภาวะของการที่จะถูกเต่าปลากัดกินเป็นอาหารได้บ้าง
    บรรดาเหล่าบัวใต้น้ำสำนึกในเมตตาธิคุณ กรุณาธิคุณ ของหลวงปู่อย่างหาที่สุดมิได้ เป็นพระคุณอย่างสุดจะพรรณา และขอกราบแทบเท้าของพระคุณท่านไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง....
    ----------------------------------------------------------------
    คำถาม หลวงปู่เจ้าคะ เวลาภาวนาทำอย่างไรจิตจึงจะรวม
    หลวงปู่ ให้พิจารณาความตาย
    คำถาม หนูนั่งภาวนาครั้งหนึ่ง เกิดมีกลิ่นเหม็นร่างกายของตัวเองอย่างรุนแรง จนแทบอาเจียน แต่หนูพยายามฝืนทนนั่งภาวนาอยู่ต่อไป คิดว่าเหม็นก็ช่างมัน ทนเอา
    อีกสักครู่เกิดอาเจียนออกมาคล้ายเสลดกองอยู่บนตัก เต็มไปหมด ประมาณได้สัก ๑ กระโถน พอหนูออกจากภาวนาเอามือมาจับดู ปรากฏว่าไม่เห็นมีอะไร มันเป็นอะไรคะ หลวงปู่
    หลวงปู่ ธรรม
    ------------------------------------
    คำถาม หลวงปู่ครับ กระผมนั่งสมาธิอยู่ มันเกิดมีแสงสีม่วงมาแยงเข้าตา จะทำอย่างไรครับ
    หลวงปู่ เกิดขึ้นมันกะหายไปเอง
    ถาม... ไม่ต้องไปสนใจมันใช่ไหมครับ หลวงปู่
    หลวงปู่ อื้อ บ่ต้องดีใจ บ่ต้องเสียใจ ฮ้ายกะซ่าง ดีกะซ่าง (ร้ายก็ช่าง ดีก็ช่าง)
    ------------------------------------
    คำถาม (ของข้าราชการบำนาญ อดีตนายอำเภอ)
    หลวงปู่ครับ กระผมและครอบครัวเดินทางมาไกล เพื่อกราบนมัสการหลวงปู่ โอกาสนี้ขอฟังธรรมะ หรือเทศน์สั้น ๆ เพื่อจะได้นำไปเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตต่อไป
    หลวงปู่ นิ่งสักครู่ประมาณ ๒ - ๓ นาที แล้วตอบว่า "เอาใจใส่" และว่า "มนุสโส ปฏิลาโภ"
    ------------------------------------
    คำถาม ของคนหูหนัก (เกือบหนวก) ผู้หนึ่งชื่อนายคำ เป็นคำมีสัตย์มีศีลธรรมดีคนหนึ่ง และเป็นนักภาวนาที่หาตัวจับยากในบรรดาชาวบ้านด้วยกัน
    แกมีอาการแปลก ๆเกี่ยวกับการภาวนามาเล่าถวายหลวงปู่เสมอ ซึ่งท่านก็เมตตาแนะนำ เมื่อแกหายหน้าไป ท่านจะถามหาและเมตตาแกมาตลอดเวลาร่วม ๒๐ ปี
    วันหนึ่งได้โอกาส แกเรียนถามหลวงปู่ว่า
    หลวงปู่ครับ เป็นเพราะกรรมอันใดหรือ ทำไมหูผมจึงหนวก ผมเคยได้ทำกรรมอะไรไว้บ้างครับ
    หลวงปู่ แต่ก่อนเวลาพระกำลังเทศน์ มีญาติโยมนั่งฟังอยู่หลาย ที่ศาลาโรงธรรม แล้วบ่สนใจฟัง ซ้ำยังเป่าแคน ตีฉิ่ง ตีกลอง มารอบศาลาที่พระเทศน์ให้โยมฟังอยู่ แล้วเว้าหยอกผู้สาวเวลาผู้สาวเหลียวมากะพากันเฮ !
    จนพระที่กำลังเทศน์อยู่เสียสมาธิ ทำให้ลืมคำเทศน์ ต้องตั้งนะโมฯ ขึ้นใหม่ ตั้งเทื่อสองเทื่อ (ครั้งสองครั้ง)... กรรมอันนี้จึงทำให้หูหนวก
    ถาม... ชาตินี้สิพ้นกรรมบ่ หลวงปู่
    หลวงปู่ อือ
    ------------------------------------
    คำถาม (มีญาติโยมคนหนึ่งมาปรารภว่า ตนมักจะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่เสมอ และฝันร้ายเป็นนิจ กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า) จะให้ทำอย่างไร จึงจะหายจากฝันร้าย และอยู่เย็นเป็นสุขเสียที
    หลวงปู่ ให้ตั้งสติให้คัก ๆ (แน่วแน่, ดี ๆ) และระลึกถึงพระรัตนตรัย และสวดยันทุนนิมิตตังฯ
    ------------------------------------
    [​IMG]
    คำถาม กระผมได้ยินท่านอาจารย์เปลี่ยน (วัดป่าอรัญญวิเวก เชียงใหม่) เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนหลวงปู่สั่งให้ลูกศิษย์ไปบิณฑบาตแต่บ้านคนจน ๆ แม่นบ่ครับ หลวงปู่
    หลวงปู่ อื้อ !(เพื่อให้โอกาสคนจนได้ทำบุญมากกว่าคนมีเงินอยู่แล้ว)
    ------------------------------------
    คำถาม หลวงปู่คะ ทำอย่างไรจึงจะเรียนหนังสือให้จำได้เก่ง ๆ
    หลวงปู่ จั๊ก (ไม่รู้) ตัวเจ้าของเองกะลืมอยู่ ผู้ถาม...เลยหัวเราะ
    ------------------------------------
    คำถาม ทำอย่างไร จะให้หลานไม่ต้องติดทหารครับ
    หลวงปู่ทำน้ำมนต์ให้หลานด้วยครับ หลานกำลังสมัครสอบ แต่พอดีต้องเกณฑ์ทหาร ไม่อยากให้ติดทหาร กลัวจะเสียการเรียน
    หลวงปู่ ถืกกะดี บ่ถืกกะดี (ถึก = ถูก)
    ------------------------------------
    คำถาม โยมผู้หญิงเคยไปพักภาวนาที่วัด แต่เกิดกลัวผี เพราะที่วัดเป็นป่าช้า มีการเผาศพเป็นประจำ เลยมากราบเรียนหลวงปู่ตรง ๆ
    หนูกลัวผีเจ้าค่ะหลวงปู่ หลวงปู่มีคาถากันผีไหมเจ้าคะ ขอให้หนูด้วย
    หลวงปู่ สุขัง สุปะติ
    (เป็นคาถาแผ่เมตตา นิสังสะสุตตะปาโฐ... คาถาเต็มบท ... สุขัง สุปะติ สุขัง ปฏิพชฌะติ นปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติฯ มนุสสานัง ปิโย โหติ อะมนุสานัง ปิโย โหติ.
    ------------------------------------
    คำถาม หลวงปู่ครับ เพื่อนมันแกล้งนินทาว่าร้ายผมต่าง ๆ นานา ทำอย่างไรดีครับ
    หลวงปู่ บ่ต้องสนใจ
    ถาม... มันอดไม่ได้นี่ครับ
    หลวงปู่ แผ่เมตตา
    ------------------------------------
    คำถาม หลวงปู่เจ้าคะ พวกเพื่อนฝูงหนูเขาร่ำรวย มีเงินกันทั้งนั้น ทำอย่างไง หนูจึงจะรวยอย่างเขากันบ้างล่ะเจ้าคะ
    หลวงปู่ ทำงาน
    ผู้ถามนิ่งไป คงจะคิดตามหลวงปู่ไม่ค่อยทัน ครั้นแล้วเธอผู้นั้น ก็ถามซ้ำอีกอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจ
    ทำงานแล้วรวยแน่นะเจ้าคะ ?
    หลวงปู่ ทำบุญด้วย
    ------------------------------------
    คำถาม หลวงปู่ครับ ตั้งแต่บวชมา เคยคิดอยากสึกไหมครับ (ผู้ถามเป็นพระ ซึ่งกำลังคิดอยากสึก)
    หลวงปู่ เคย
    ถาม แล้วทำอย่างไรจึงไม่สึกครับ
    หลวงปู่ อยู่ซื่อ ๆ (อยู่เฉย ๆ ) มันกะหายไปเอง
    ---------------------------------------------------------------------
    คัดลอกบางส่วนจาก: ฐานสโมบูชา
    คุณหญิง สุรีพันธุ์ มณีวัต
    ผู้เขียนและเรียบเรียง
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
    นโม วิมุตฺตานํ ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้พ้นแล้วทั้งหลาย
    นโม วิมุตฺติยา ขอนอบน้อมแด่พระวิมุตติธรรม
     
  6. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    เล่าเรื่องหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    แสงส่องใจ
    ๒ มิถุนายน ๒๕๔๗
    [​IMG]
    [​IMG]
    โพสท์ใน PANTIP.COM : ห้องศาสนา กระทู้ที่ Y5323047 โดย คุณ : maneomicz - [ 16 เม.ย. 50]
    ญาติโยมวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่าว่าเคยได้ประจักษ์ในอิทธิฤทธิ์ของการปฏิบัติพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวกับท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม และเคยเล่าให้ฟังด้วยความปิติโสมนัสมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
    ขอนำมาบันทึกไว้เพื่อให้บรรดาผู้สนใจในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา ที่เป็นเพียงจุดเล็กน้อยนักเมื่อเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่แห่งพระธรรมคำทรงสอน ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงนำให้มีผู้รู้ตามเสด็จ ได้พ้นทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับแพ้อีกต่อไป
    เรื่องที่ปรากฏประจักษ์แก่ญาติโยม วัดญาณสังวรารามฯ เมื่อ ๒๐ - ๓๐ ปีมาแล้ว เมื่อท่านพระอาจารย์หลวงปู่ชอบ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ยังมิได้ละสังขารไปเช่นขณะนี้ ครั้งนั้นเกิดฝนแล้ง น้ำตามอ่าง ตามห้วยในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ แห้งขอด ผู้คนเดือดร้อน ญาติโยมผู้หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่หลวงปู่ท่านเคยเป็นพญานาคราช ที่ได้ยินผู้เล่าให้ฟัง โดยไม่เคยได้ฟังโดยตรงตรงจากหลวงปู่ท่าน เพราะไม่เคยรู้จักท่าน เรื่องที่เคยได้ยินก็คือ ที่ใดน้ำแล้งและหลวงปู่ได้รับอาราธนาไปโปรด พญานาคจะตามท่านไปทั้งครอบครัว ช่วยให้น้ำฟู่ฟู่ เต็มไปทุกแห่ง
    ช่วงที่น้ำแห้งทั่ววัดญาณสังวรารามฯ นั้น หลวงปู่ท่านไปโปรดผู้คนตามคำอาราธนาที่อเมริกา เป็นเหตุให้ลังเลกันอยู่เหมือนกันว่า หลวงปู่ท่านจะได้รับทราบคำร้องขอให้ท่านช่วยแก้ความเดือดร้อนเรื่องขาดน้ำหรือไม่ เพราะท่านไปอยู่ไกลถึงต่างประเทศ แต่ด้วยความเดือดร้อนจริงๆ จึงตัดสินใจขอท่าน โดยรวมกันอ่านคำขอพร้อมกัน
    เป็นความจริงที่เล่ากันว่า เพียงผู้เขียนคำขอหลวงปู่จรดปากกาลงบนกระดาษเท่านั้น ฟ้าก็ลั่นสนั่นไปแล้ว เป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างยิ่งในหมู่ผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเล่าต่อไปว่า เมื่อเขียนคำอ้อนวอนขอน้ำจากหลวงปู่จบ พร้อมกันอ่านเพียงสั้นๆ ฝนก็กระหน่ำหนักทันที ลูกเห็บตกเกรียวกราว เป็นที่รู้เห็นกันทุกถ้วนหน้า ความปิติตื่นเต้นยินดีพ้นจะพรรณนา ไม่กี่นาทีน้ำในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ ก็เต็มทั่ว
    เป็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ของหลวงปู่ท่าน ทุกคนซาบซึ้งเช่นนี้ และมีผู้หนึ่งเล่าในภายหลังว่าตั้งใจไปกราบขอบพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่าน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักท่านเลย รู้แต่ว่าขณะนั้นท่านอยู่อเมริกา
    ความตื่นเต้นซาบซึ้งในพระเดชพระคุณท่วมท้นจริงใจ ทำให้น้อมใจไปสัญญากับหลวงปู่ท่าน ว่าท่านกลับจากอเมริกาเมื่อใด อยู่ที่ไหน จะไปกราบสนองความเมตตา อย่างไม่น่าเป็นไปได้ของท่าน บรรดาผู้กราบขอรบกวนท่านนั้น ไม่มีผู้ใดรู้จักท่านมาก่อนเลย
    เพียงได้ยินชื่อเสียงและกิติศัพท์ความเคยเป็นพญานาคราช ในอดีตชาติของท่านเท่านั้น และเป็นยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ หลังเหตุการณ์ที่ฝนตกตามคำขอของญาติโยมวัดญาณสังวรารามฯ มาแล้ว ไม่นานวันขณะที่ญาติโยมพวกนั้นกลับจากวัดญาณสังวรารามฯ ไปรวมอยู่ใน
     
  7. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
     
  8. putipongb

    putipongb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    594
    ค่าพลัง:
    +3,843
    อนุโมทนา สาธุ ขอกราบหลวงปู่ด้วยความเคารพครับ ผมได้กราบหลวงปู่ครั้งหนึ่งที่จังหวัดเลย หลวงปู่พูดไม่ได้แล้วแต่สายตาที่ท่านมองมาเมตตาเป็นที่สุดผมยังไม่เคยลืมเลย ขอขอบคุณคุณแดนโลกธาตุ(ขยันจริงๆ)ที่เผยแพร่เรื่องราวของพระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...