ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 23 มกราคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ในวันนั้นท่านอาจารย์เสาร์ต้องประหลาดใจที่ศิษย์ของท่านได้ล่วงรู้ถึงความจริง อันปรากฏอยู่ในใจของท่าน ซึ่งท่านไม่เคยปริปากบอกใครเลย ฉะนั้นจึงทำให้ท่านรู้สึกว่า ท่านอาจารย์มั่นฯ นี้ ต้องมีความดีความจริงความชัดเจนในใจอย่างแน่นอน ในวันนั้นก็ได้คุยกันเพียงเท่านี้แล้วก็เลิกกันไป

    อยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์เสาร์ได้ไปนั่งอยู่ที่สงัดเฉพาะองค์เดียว เริ่มด้วยการพิจารณาถึงอริยสัจจ์โดยอุบายอย่างหนึ่งคือ การพิจารณากายจนชัดแจ้งประจักษ์เกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายขึ้น และท่านก็เริ่มดำเนินจิต เจริญให้มาก กระทำให้มากจนเป็นญาณ สามารถทวนกระแสมาถึงที่ตั้งของจิตได้ และวันนั้นท่านก็ตัดเสียซึ่งความสงสัยได้อย่างเด็ดขาด เมื่อได้รับการอธิบายจากท่านอาจารย์มั่นฯ ซ้ำอีกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ควรจะเจริญให้มากจนกว่าจะพอแก่ความต้องการ เมื่อจวนถึงกาลปวารณาออกพรรษาท่านก็ทราบชัดถึงความเป็นจริงทุกประการ และท่านก็บอกแก่อาจารย์มั่นฯ ว่า เราได้เลิกการปรารถนาพระปัจเจกโพธิแล้ว และเราก็ได้เห็นธรรมจริงแล้ว

    เมื่อท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้ฟังก็ได้พูดให้ความแน่ใจว่า เป็นจริงเช่นนั้นแล้ว ต่างก็มีความอิ่มเอิบในธรรม ระยะเวลานั้นท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านมีพรรษา ๒๖ พรรษา ท่านได้ปฏิบัติท่านอาจารย์เสาร์เหมือนกับท่านเป็นพระใหม่ คือปฏิบัติตั้งแต่การล้างบาตร ซักจีวร ปูที่นอน ตักน้ำถวายสรง ถูหลัง ทุกประการ ซึ่งแม้อาจารย์เสาร์จะห้ามไม่ให้ทำ แต่ท่านก็ปฏิบัติได้โดยมิได้มีการแข็งกระด้างแต่ประการใด

    ก่อนเข้าพรรษาปรากฏว่ามารดาของท่านอาจารย์มั่น ฯ ซึ่งยังกระหายต่อการปฏิบัติศึกษาธรรมอยู่มิวาย จึงอุตส่าห์ล้มลุกคลุกคลานตามวิบากของคนแก่ติดตามไปที่ถ้ำภูผากูด เพื่อศึกษาอบรมตนให้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมปฏิบัติ ท่านอาจารย์เสาร์จึงได้บวชชีให้อยู่ปฏิบัติ ณ ถ้ำนี้โดยจองเอาที่เงื้อมแห่งหนึ่งเป็นที่ปฏิบัติธรรม เร่งความเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืนอยู่ที่ถ้ำนั้น

    ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม หลังจากหายป่วยแล้วก็ติดตามไปปฏิบัติกับท่านอาจารย์มั่น คือไปทุกหนทุกแห่ง ซึ่งเริ่มติดตามพบที่ถ้ำในปีนี้เอง
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ.๒๔๖๐
    บ้านดงปอ ห้วยหลวง อำเภอเพ็ง
    ในพรรษานี้ ท่านอาจารย์มั่น ฯ จำพรรษาที่ป่าแห่งหนึ่ง ที่บ้านดงปอ ต.ห้วยหลวง อ.เพ็ง หลังจากที่ท่านได้เปิดศักราชแห่งการปฏิบัติธรรมอย่างได้ผลแล้ว ท่านก็เริ่มอบรมพระภิกษุสามเณรอย่างเด็ดเดี่ยวจริงจัง เพื่อผลงานในด้านนี้ของพระพุทธศาสนาจะได้เด่นขึ้น อันจักเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

    ในปีนี้บรรดาพระภิกษุที่หลายผู้เคยได้รับรสพระธรรมจากท่าน และผู้ที่ได้เคยสดับแต่กิตติศัพท์ก็ได้ติดตามมาปฏิบัติกับท่าน

    การจำพรรษาของท่าน ท่านไม่ต้องการอยู่รวมกันหลายองค์ เพราะจะทำให้ไม่วิเวก ดังนั้นท่านจึงตรวจดูเฉพาะองค์ที่กำลังจะได้รับผลที่แน่นอนให้จำพรรษาอยู่กับท่าน เพื่อที่จะได้แนะนำตลอดระยะเวลา เพื่อความก้าวหน้าไม่หยุดยั้งของศิษย์

    ส่วนผู้ที่กำลังจะทำการอบรมเพื่อรอความแก่กล้าของสมาธิ ท่านก็แนะนำให้ไปอยู่แห่งละองค์สององค์ จะได้อบรมตนให้ยิ่งไม่ต้องกังวลกับใคร แต่พอเมื่อสงสัยในการปฏิบัติเกิดขึ้น ท่านเหล่านั้นจะมาหาให้ท่านอาจารย์ช่วยแก้ความสงสัยเป็นราย ๆ ไป การที่บรรดาศิษย์ได้ไปอยู่ตามสถานที่ต่าง.ๆ มิใช่ว่าท่านจะทอดธุระเสียแต่อย่างใด ท่านต้องใช้ญาณภายในตรวจตราพร้อมทั้งคอยสดับตรับฟังข่าวอยู่ตลอดเวลา ท่านพิจารณาเห็นเหตุการณ์ของศิษย์แล้วถ้าเป็นเหตุสำคัญ ท่านจะใช้ให้พระหรือโยมไปตามพระองค์นั้นมาหาท่านทันที เพื่อจะได้แก้ไขเหตุการณ์ให้ดำเนินไปเพื่อความถูกต้อง และได้ผลเป็นประมาณ

    เช่นคราวหนึ่ง ท่านจำพรรษาอยู่ที่บ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร มีอาจารย์องค์หนึ่งพักอยู่บนภูเขาเรียกกันว่าภูค้อ อาจารย์องค์นั้นไม่ฉันอาหารตลอด ๓ เดือน ผู้คนได้แตกตื่นกันไปหาท่านอย่างล้นหลาม แต่อาจารย์องค์นั้นไม่ได้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ฯแต่อย่างใด ท่านจึงเพียงแต่แนะนำศิษย์ของท่านว่า การไปอยู่ป่าอยู่เขาทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะไปทำอภินิหารอดอาหาร อยู่ถ้ำเพื่อที่จะให้คนไปหาเป็นการผิดวิสัย พวกเราอย่าได้พากันทำเช่นนั้นเพราะตามความเป็นจริงแล้ว การอยู่ป่าต้องทำตัวเก็บตัวแสวงหาความสงบด้วยใจจริง โดยความบริสุทธิ์ในการแสวงหาธรรมปฏิบัติ การอยู่ป่าอยู่เขาโดยการเพื่อแสวงหาลาภหาปัจจัยนั้นไม่ถูกต้อง พวกเธอถ้าหากว่าจะพึงแสวงหาความสงบแล้ว ต้องอย่าไปทำอะไรที่ชวนให้คนหลงตามไปหา ซึ่งมันจะไม่เป็นการบริสุทธิ์ใจของนักปฏิบัติ

    การควบดุมการปฏิบัติของศิษย์นั้น ท่านพิถีพิถันมาก พยายามติดตามดูความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ถ้าท่านได้พิจารณาเห็นว่าศิษย์รูปนั้นจะเป็นผู้มีนิสัย วาสนาเป็นผู้ที่ปฏิบัติเข้มแข็งและจะพึงเห็นอรรถเห็นธรรมในเบื้องหน้าแล้ว ท่านยิ่งจะติดตามคอยแนะนำการปฏิบัติให้ทุกระยะ ตัวอย่างเช่น ท่านอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ผู้เป็นน้องชายของท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้เข้ามามอบตัวเป็นศิษย์ของท่าน หลังจากนั้นท่านก็ได้พิจารณาเห็นว่าท่านมหาปิ่นนี้มีบุญวาสนา ได้บำเพ็ญมาพอสมควรที่จะเห็นอรรถธรรมได้ ท่านจึงพยายาม.แนะนำธรรมปฏิบัติให้อย่างละเอียดและลึกซึ้ง

    อยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์มหาปิ่น ท่านนั่งพักอยู่ในกุฏิหลังเล็กมุงหลังคาแฝกในเสนาสนะป่าซึ่งท่านก็ได้ผ่านการนั่งสมาธิมาแล้ว ๒ ชั่วโมง เป็นเวลาประมาณ ๒๓.๐๐ น.เศษ พลางท่านก็ได้นึกไปถึงอาจารย์มั่นฯ ว่า

    ท่านอาจารย์มั่นมิได้ร่ำเรียนพระปริยัติธรรมมากเหมือนเรา ท่านจะมีความรู้กว้างขวางได้อย่างไร เราได้ร่ำเรียนมาถึง ๕ ประโยค จะต้องมีความรู้กว้างขวางมากกว่าท่าน และที่ท่านสอนเราอยู่เดี๋ยวนี้จะถูกหรือมิถูกประการไรหนอ

    ก็ขณะนั้นเองท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านนั่งอยู่กุฏิของท่านห่างกันคนละมุมวัด ท่านก็ทราบวาระจิตของท่านมหาปิ่นทันทีว่า กำลังจะคิดดูถูกท่านอยู่ และการคิดเช่นนี้ย่อมเป็นภัยแก่การบำเพ็ญสมณธรรมอย่างยิ่ง ท่านจึงลุกขึ้นถือไม้เท้าเดินไปที่กุฏิมหาปิ่นทันที และเอาไม้เท้าเคาะข้างฝาที่ทำด้วยใบไม้ดังปั๊บ ๆ แล้วก็ส่งเสียงขึ้นว่า

    ท่านมหาปิ่น นี่เธอจะมานั่งดูถูกเราด้วยเหตุไร ? การคิดเช่นนี้เป็นภัยต่อการบำเพ็ญสมณธรรมจริงหนา มหา

    มหาปิ่นได้ฟังตกใจสุดขีด เพราะมิได้นึกฝันเลยว่า เรานั่งคิดอยู่คนเดียวในเวลาที่ดึกสงัดเช่นนี้ ท่านอาจารย์มั่น ฯ จะมาล่วงรู้วาระจิตของเราได้ จึงรีบลุกขึ้นจากกุฏิตรงเข้าไปกราบเท้าท่านอาจารย์มั่น ฯ รีบกราบเรียนว่า

    กระผมกำลังนึกถึงท่านอาจารย์ในด้านอกุศลจิต กระผมขอกราบเท้า จงอโหสิกรรมให้แก่กระผมเถิด ตั้งแต่วันนี้ต่อไปกระผมจะบังคับจิตมิให้นึกคิดถึงสิ่งที่เป็นอกุศลจิตอย่างนี้ต่อไปอีก

    (ตรงนี้ผู้เขียนขอแทรกข้อความตอนเชียงใหม่ให้ผู้อ่านได้ทราบตอนสำคัญไว้ เพราะจะรอเขียนตอนท่านอยู่เชียงใหม่ก็จะไม่ทันใจผู้เขียนและผู้อ่าน)

    เมื่อท่านพักอยู่บนภูเขากับพวกมูเซอร์ ในจังหวัดเชียงใหม่ มีพระหลวงตา (หมายถึงผู้มีครอบครัวแล้วถึงบวช) ๓ องค์ ได้พยายามติดตามถามข่าวหาท่านอาจารย์มั่นฯ อยู่ถึง ๓ ปี จึงได้ข่าวว่าอยู่บนภูเขากับพวกมูเซอร์ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อรู้ชัดแน่แล้วจึงรีบไปเพื่อที่จะได้พบท่านทั้ง ๓ หลวงตาก็เดินทางปีนป่ายภูเขาขึ้นอย่างความตั้งใจจริง ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากแต่ประการใด เพราะตั้งใจมานานแล้ว พึ่งจะใกล้ความสำเร็จ ซึ่งทั้ง ๓ หลวงตาคงจะเข้าใจว่า เมื่อพบท่านแล้วคงจะได้ธรรมแสงสว่างไม่ยากนัก จึงได้อุตส่าห์ติดตามเป็นเวลานาน ก็พอดีเป็นเวลาเย็นประมาณบ่าย ๕ โมง จึงได้ถึงสถานที่อาจารย์มั่นฯ อยู่ เมื่อถึงแล้วก็เข้าไปนมัสการท่าน ท่านกำลังฉันน้ำร้อนอยู่ มีพระเณรอยู่ด้วย ๒-๓ องค์ คอยปรนนิบัติอยู่ เมื่อหลวงตาทั้ง ๓ กราบแล้วท่านก็ถามว่า เธอตามหาเรามานานแล้ว วันนี้มาจากไหน สามหลวงตาก็งงเป็นที่สุดว่าท่านรู้ได้อย่างไร และก็ตอบพร้อมกันว่า วันนี้มาจากอำเภอสันทราย แล้วท่านก็ให้พระไปจัดสถานที่อยู่ให้ตามจะพึงมี

    จำเดิมแต่นั้นหลวงตาทั้งสามก็พยายามปฏิบัติตามโอวาทของท่านอยู่อย่างเต็มความสามารถ ทั้งสามหลวงตาเล่าว่า ไม่ว่าพวกฉันจะนึกอยากฟังธรรมข้อใด ท่านจะต้องเทศน์ธรรมข้อนั้นให้ฟังโดยไม่ต้องออกปากถามเลย ฉันอัศจรรย์ใจจริง แต่....อยู่มาวันหนึ่ง ฉันทั้งสามได้ไปนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่งามมาก หลังหินเสมอเรียบดี พวกเราก็นั่งประชุมสนทนากัน. ก็พูดถึงเรื่องทางบ้านว่า ป่านนี้ภรรยาของเราอยู่กันอย่างไรหนอ ลูกของฉันมี ๔ คน ลูกหญิงเป็นสาวยังไม่ได้แต่งงานเลย อีกองค์ก็พูดว่า ภรรยาน่ากลัวจะไปมีผัวใหม่ อาจจะทิ้งลูกเสียก็ได้และก็พูดกันหลายอย่างเป็นเวลากว่าชั่วโมง ทุกองค์ก็ต่างกลับมา แต่ก็มิได้อาลัยในคำพูดเหล่านั้นดอก พูดแล้วก็แล้วกันไป

    แต่ที่ไหนได้ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้รู้เรื่องราวของเราหมด และในวันนั้นก็ได้มีพระภิกษุสามเณรทุกแห่งที่อยู่แถวใกล้ๆ นั้นมาประชุมกันหมด ท่านก็ยกเอาเรื่องทั้งสามหลวงตาขึ้นมาพูดในท่ามกลางบริษัทว่า

    ดูสิ ทั้งสามหลวงตานี่ อุตส่าห์มาอยู่ป่า บวชแล้วยังคิดถึงมาตุคามลูกเมีย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะมาอยู่ในกลางป่าเช่นนี้ซึ่งไม่ควรเลย น่าอับอายท่านผู้รู้ นี่แน่ะ หลวงตา เธอเป็นพระกี่เปอร์เซ็นต์

    เท่านั้นเองพวกเราทั้งสามอายเพื่อนอย่างหนัก นั่งก้มหน้า เมื่อเลิกประชุมแล้วพวกเราทั้งสามก็ร้อนไปหมด จึงเป็นอันว่าพวกเราอยู่ไม่ไหว คืนนั้นประมาณเที่ยงคืนพวกเราก็เก็บบาตร กลดหนีกันทั้งคืน ปากก็พูดว่า อรหํ ๆ ๆ ทั้งเดินหนีไปมิได้อำลาท่านเลย โดยมิได้คำนึงว่าทางที่เดินมานั้นมีทั้งหมีทั้งเสือทั่วไป แต่พวกเรากลัวท่านอาจารย์มั่นฯ มากกว่าเสืออีก
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๖๑
    ถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย
    หลังจากอยู่ปฏิบัติและถวายความรู้ในธรรมปฏิบัติอันยิ่งแก่อาจารย์ของท่านแล้ว ท่านเห็นหมู่คณะตามท่านมามากรู้สึกกังวลขึ้น ท่านจึงปลีกตัวออกจากหมู่ เดินธุดงค์ไปแต่องค์เดียวจนบรรลุถึงถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย ในปีนี้ท่านต้องการพิจารณาถึงความจริงทั้งหลายอันเกิดแก่การบำเพ็ญในตนของท่าน และต้องการวัดผลการปฏิบัติที่ท่านไค้แนะนำสั่งสอนแก่บรรพชิต และคฤหัสถ์ว่า ผลต่างๆของการปฏิบัตินั้น ได้เป็นไปตามความมุ่งหมายมาเดิมหรือไม่ และเป็นผลที่ถูกต้องทำนองคลองธรรมคำสอนของพระพุทธองก์จริงหรือไม่

    เมื่อได้ใคร่ครวญทั้งความนึกคิดอันเป็นภายนอก และพิจารณาตามญาณอันเป็นภายใน ท่านก็พอใจในผลงานเหล่านั้นว่าเป็นประโยชน์มาก สมควรที่จะยอมเสียสละในการแนะนำสั่งสอนพุทธบริษัทต่อไป

    ในวันหนึ่งขณะท่านนั่งสมาธิได้รับความสว่างอยู่นั้น ท่านหวนพิจารณาถึงความรู้ของท่านและที่ได้แนะนำสั่งสอนผู้อื่น ได้ปรากฏว่า อันที่จริงอริยธรรมเหล่านี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วอย่างชัดเจน แต่เพราะเหตุที่ผู้ศึกษาไม่ได้ทำให้เป็นจริงขึ้น จึงปรากฏว่าเป็นสิ่งที่ลึกลับยากแก่การจะรู้จริงได้ แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงแสดงแจ้งชัดสักเท่าใดก็ตาม เช่นพระองค์แสดงอนัตตลักขณสูตร โปรดปัญจวัคคีย์ให้ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้น พระองค์ก็ทรงแสดงชี้ลงไปที่กายคือรูปของปัญจวัคคีย์นั่นเอง ได้ทรงแสดงว่า รูปํ ภิกฺขเว อนตฺตา รูปไม่ใช่ตน แม้รูปของปัญจวัคคีย์ก็มีอยู่แล้ว ทำไมปัญจวัคคีย์จึงไม่พิจารณาเอาเองเล่า มารู้แจ้งเห็นจริงเอาตอนที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้ดู จึงค่อยมาได้สำเร็จ

    ข้อนี้ก็เป็นเช่นกับตัวของเรานั้นเอง ได้อุตส่าห์เที่ยวไปแสวงหาอาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิกระทั่งทั่วประเทศไทยและต่างประเทศ แต่ครั้นจะมารู้จริงได้ก็คือการมาศึกษาปฏิบัติเอาโดยตนเอง ตามแนวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง แต่ว่าเท่าที่เราเองได้เข้าใจนั้นก็เพราะเราไปเห็นความจริงเท่านั้น ทั้งๆ ที่ความจริงก็อยู่ใกล้นิดเดียว แต่ว่าการรู้ปฏิบัติเพื่อความรู้จริงนี้มันเป็นสิ่งที่แปลก เพราะเห็นว่าการทำจิตเป็นนามธรรม เมื่อเกิดความอัศจรรย์หรือความสบาย ก็ไปเข้าใจเสียว่าดีเสียแล้ว จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถจะรู้ยิ่งขึ้นได้ จึงไม่ควรตำหนิผู้ที่เขาพากันทำสมาธิแล้วหลงใหลไปตามโลกียฌาณหรือตามวิปัสสนูปกิเลส เพราะเขาเหล่านั้นก็ได้รับความสงบความเย็นใจซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แต่ที่ควรตำหนิก็เพราะว่า เขาไม่พยายามหาโลกุตรธรรมนั่น แม้แต่เราในเบื้องแรก เราก็ได้พบโลกียฌาน ฌานมากมาย ซึ่งมันก็ทำให้เราต้องหลงใหลมันไปพักใหญ่ แต่เราพยายามที่จะแสวงหาให้ยิ่งขึ้น เราจึงไม่ติดอยู่เพียงแค่นั้น

    อันการติดอยู่หรือเข้าใจผิดในธรรมปฏิบัติจิตอันเป็นภายในนี้ มันไม่ไปนรกดอก แต่ว่าการที่ไปติดมัน มันทำให้ต้องล่าช้าต่อการรู้ยิ่งเห็นจริงต่างๆ หาก เราเองเมื่อได้ความรู้แจ้งนี้แล้ว จึงได้พยายามเพื่อความที่จะทำจิตให้ก้าวหน้าโดยไม่หยุดยั้ง ทุกหมู่ทุกจำพวกในบรรดาผู้บำเพ็ญจิตในกัมมัฦฐานทั้งหลายนั้น ต่างก็มุ่งหวังเพื่อความดีความเจริญทุกหมู่ทุกคณะ แต่เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเอง ที่ทำให้เขาต้องเสียประโยชน์

    ท่านได้ปรารภไปถึงอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ฉิบหายเสียจากคุณอันใหญ่ เนื่องด้วยดาบสทั้ง ๒ นั้น ได้มรณะไปเสียก่อนที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ ความจริงดาบสทั้งสองก็เป็นผู้สำเร็จฌานชั้นสูงกันทั้งนั้น อันว่าฌานชั้นสูงนี้ ก็เป็นการให้ความสุขอันยิ่งแก่ผู้ได้สำเร็จอยู่มากแล้ว แต่เพราะเหตุใดเล่าพระพุทธองค์จึงทรงแสดงว่า ฉิบหายเสียจากคุณอันใหญ่ ก็เพราะว่ายังไม่หมดจากกิเลส เพราะเพียงแต่ข่มกิเลสไว้ เหมือนกับศิลาทับหญ้าเท่านั้น

    อันที่จริงฌานชั้นสูงนั้น ก็เป็นเบื้องต้นแห่งการดำเนินไปสู่ความหมดจิตจากกิเลส แต่เพราะความที่ดาบสนั้นไม่เข้าใจวิธีแห่งการอันจะพึงทำจิตเข้าลู่อริยสัจเท่านั้น ข้อนี้เป็นประการสำคัญนัก เพราะการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะเหตุนี้คือ อริยสัจจ์นี้ แต่ท่านได้พิจารณาคือไปอีกว่า การบำเพ็ญจิตต้องอาศัยปัญญาจึงจะรู้ถูกผิด และมิใช่จะเอาแต่ทำจิตอย่างเดียว ต้องมีสิ่งแวดล้อมภายนอกอีก อาทิเช่นธรรมวินัยทั้งอย่างหนักและอย่างเบา แม้ว่าจะพยายามทำจิตสักเท่าใดก็ตาม ถ้าประพฤติผิดพระวินัยน้อยใหญ่แล้วจะทำจึงย่อมไม่บังเกิดผล

    พร้อมกันนั้นต้องเป็นผู้สันโดษมักน้อย รักษาธุดงควัตรต่าง ๆ อันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสหยาบ ด้วยว่าสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ที่จะต้องพยายามปฏิบัติให้เป็นอันดี เท่ากับเป็นเครื่องบำรุงส่งเสริม เช่นกับรถยนต์ เครื่องยนต์กลไกต่างๆ ถึงเป็นเครื่องดีมากสักเท่าใดก็ตาม ถ้าขาดการบำรุงรักษา ก็ไม่สามารถที่จะให้ผลแก่ผู้ใช้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือเช่นต้นไม้ต่าง ๆ ถ้าเราจะปลูกบ้านให้ได้ผลก็ต้องบำรุงรักษาจึงจะให้ผลแก่เจ้าของได้

    การบำเพ็ญจิตก็เช่นเดียวกัน ควรจะได้กำหนดข้อปฏิบัติอันเป็นการสันโดษมักน้อยเอาไว้ โดยการฉันหนเดียว การฉันในบาตร การบิณฑบาต การปัดกวาดทำความสะอาดเสนาสนะ การอยู่โคนต้นไม้ การอยู่ป่า การมีจีวรเพียงแต่ไตรจีวร การรักษาวัตรทั้งหลายมีเสขิยวัตรและอาจาริยวัตรเป็นต้น

    ในปีนั้นท่านได้พิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ อันที่จักนำไปเพื่อความเจริญในการปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้กำหนดแนวทางปฏิบัติที่แน่นอนแก่บรรดาศิษย์ทั้งหลาย พร้อมกันนั้นท่านได้ทำตัวของท่านให้เป็นตัวอย่างอีกด้วย ทั้งการที่แก้ไขความประพฤติเพื่อให้เป็นการเหมาะสมจากมรรยาทที่ต่ำไปหาที่สูง อันนี้ก็ต้องทดสอบในธรรมวินัยให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องด้วย

    หลังจากที่ท่านพิจารณาถึงหลักพระธรรมวินัย ของพระพุทธองค์ทั้งภายนอกนามตำรับตำรา และภายในคือการพิจารณาหาความจริงอันเป็นข้อเท็จจริงซึ่งจะป้องกันความงมงายต่าง ๆ เช่นสีผ้าท่านก็กำหนดได้ว่าในครั้งพุทธกาลใช้ผ้าลีอะไร ท่านยังทราบว่าพระอนุรุธเถระเจ้า ใช้ผ้าสีคร่ำอ่อน พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรเถระใช้สีวัวโทนและท่านพระมหากัสสปะใช้ผ้าสีคร่ำเป็นต้น

    บางครั้งท่านได้คำนึงถึงท่านพระสารีบุตรซึ่งครั้งหนึ่งได้ชวนพระโมคคัลลานะไปบำเพ็ญสมณธรรม ณ ถ้ำแห่งหนึ่งเป็นเวลาหลายวัน อยู่มาวันหนึ่งท่านพระสารีบุตรได้ป่วยเพราะโรคปวดท้องกำเริบขึ้น อันพระโมคคัลลานะถามว่า ท่านเป็นโรคนี้เคยฉันยาอะไรจึงหาย พระสารีบุตรตอบว่า โรคนี้ต้องได้ฉันข้าวมธุปายาสมีน้ำอ้อยผสมกับน้ำตาลกรวดจึงหาย

    ขณะนั้นเทวดาที่สิงอยู่ในถ้ำนั้นได้ยินก็ต้องการที่จะให้พระเถระได้ฉัน จึงรีบไปยังบ้านอันเป็นโคจรตามของพระเถระทั้งสองแล้วก็เข้าไปสิงในร่างของเด็ก ทำอาการให้เด็กชักดิ้นชักงอ อันบิตามารดาต้องพยายามแก้ไขทุกอย่างเด็กก็ไม่ทุเลา เทวดาที่สิงจึงบอกว่า นี่ พวกท่านต้องการให้ลูกหายไหม

    บิดามารดาตอบว่า ข้าพเจ้าต้องการเป็นที่สุด

    เทวดาที่สิงอยู่ในร่างเด็กก็บอกว่า ท่านจงทำข้าวมธุปายาส มีน้ำอ้อยผสมน้ำตาลกรวดไปถวายท่านพระสารีบุตรเท่านั้นเอง บุตรของท่านก็จะหายทันที

    อันบิดามารดาของเด็กรับว่า เพียงเท่านั้นข้าพเจ้าทำได้ และพระเถระนี้ข้าพเจ้าก็เลื่อมใสท่านเป็นอย่างยิ่ง

    แล้วเทวดานั้นก็ออกจากร่างเด็กๆ ก็หายทันที

    รุ่งเช้าพระโมคคัลลานะออกบิณฑบาตแต่เช้า ได้ไปถึงบ้านนั้น อันเขาทั้งหลายได้ถวายอาหารแก่พระโมคคัลลานะแล้วก็ถวายข้าวมธุปายาส และขอร้องให้ไปถวายแก่พระสารีบุตร อันพระโมคคัลลานะนำมาแล้วก็น้อมเข้าไปถวาย ท่านพระสารีบุตรได้พิจารณาว่าอาหารนี้ไม่บริสุทธิ์ท่านจะนำมาทำไม

    เพราะเหตุใดท่านพระโมคคัลลานะถาม

    เพราะว่าเทวดาไปบังคับเขาพระสารีบุตรตอบ ส่วนท่านพระโมคคัลลานะได้พิจารณาก็ทราบทันที แล้วพระโมคคัลลานะจึงอุทานว่า เราตาบอดไปเชียว

    แล้วนำมธุปายาสนั้นไปเททิ้ง พระสารีบุตรก็กำหนดจิตให้บริสุทธิ์ หายจากโรคปวดท้องทันที

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้พูดเป็นอุบายว่า ความบริสุทธิ์ของศีลนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความผ่องใสเป็นทางให้เกิดความจริงได้ เพราะศีลมีทั้งอย่างหยาบและอย่างละเอียด

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้พูดเสมอว่า ท่อนไม้ยางใหญ่ๆ มันเข้าตาคนไม่ได้หรอก ผงธุลีเล็กๆ ต่างหากมันเข้าตาคน

    ในราตรีหนึ่งระหว่างกาลเข้าพรรษา ขณะที่กำลังบำเพ็ญสมณธรรมอยู่เกิดความสงบเยือกเย็นมาก จนเกิดแสงสว่างพุ่งไปสู่พระอภิธรรมทั้ง ๗ พระคัมภีร์ขึ้นมาแล้วได้พิจารณากำหนดพิจารณาแยบคายค้นคว้าสามารถรู้ได้ทั้งอรรถและทั้งแปล อย่างคล่องแคล่ว ได้พิจารณาอย่างละเอียดตลอดคืนยันรุ่ง พอรุ่งเช้าออกจากสมาธิแล้ว ความรู้เหล่านั้นปรากฏว่าลบเลือนไปเสียเป็นส่วนมาก ยังจำได้เฉพาะที่สำคัญ พอรู้ความหมายเฉพาะเรื่องหนึ่งๆ เท่านั้น ท่านได้พิจารณาวาสนาบารมีของท่าน แล้วคำนึงถึงว่าเมื่อแจ่มแจ้งแล้วทำไมจึงลบเลือนไปเสีย

    ท่านได้ทราบในญาณของท่านว่า ปฏิสัมภิทานุสาสน์ ความรู้ที่จะพึงแตกฉานในพระธรรมวินัยนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะได้มีความแตกฉานเป็นปฎิสัมภิทาญาณก็หามิได้

    เช้าวันนี้เมื่อเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน มีโยมผู้ชายคนหนึ่งมาใส่บาตรแล้วพูดขึ้นว่า เมื่อคืนนี้ผมฝันเห็นท่านเปิดเอาหนังสือพระไตรปิฎกออกมาอ่านเป็นอันมาก ท่านคงภาวนาดีในคืนนี้ ท่านได้ยินโยมพูดก็เพียงแต่ยิ้มแย้มนิดหน่อยแล้วก็เดินบิณฑบาตต่อไป
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๖๒
    เสนาสนะป่าบ้านค้อ อำเภอผือ จังหวัดอุดรธานี
    ในปีนี้ท่านจำพรรษาอยู่ที่เสนาสนะป่าบ้านค้อ อำเภอผือ เป็นปีที่เริ่มแนะนำข้อปฏิบัติแก่พระภิกษุเป็นส่วนมาก ซึ่งปรากฏว่าท่านอาจารย์สุวรรณ สุจินฺโณ ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ท่านอาจารย์ตื้อ ท่านอาจารย์แหวน สุจิณฺโณ ท่านอาจารย์หนูใหญ่ ได้ติดตามมาปฏิบัติอยู่กับท่าน ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้แนะนำเพื่อความก้าวหน้าแห่งการดำเนินจิตเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากท่านทุกองค์เหล่านี้ได้บำเพ็ญ ได้ผลในทางปฏิบัติกันมาแล้ว เพียงเพื่อจะอบรมให้เกิดความแก่กล้าขึ้นเท่านั้น

    ท่านได้แนะนำถึงข้อสำคัญในเรื่องความหลงในญาณว่า ผู้ต้องการพ้นทุกข์จริงๆ แล้ว ต้องไม่หลงในความเป็นเหล่านั้น ท่านได้อธิบายว่า ญาณคือความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นในระหว่างแห่งความสงบ เป็นต้นว่าญาณระลึกชาติหนหลังได้ ญาณรู้จักเหตุการณ์ในอดีต ญาณรู้จักเหตุการณ์ในอนาคต รู้จักวาระจิต ความนึกคิดของบุคคลอื่นเป็นต้น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิชาที่น่าอัศจรรย์มากทีเดียว แต่ถ้าหากว่าหลงและติดอยู่ในญาณเหล่านี้แล้ว จะทำให้เกิดความเนิ่นช้าในการปฏิบัติ เมื่อเข้าสู่อริยสัจธรรม แต่ญาณเหล่านี้เป็นอุปกรณ์อย่างดีพิเศษ ในอันที่ดำเนินจิตเข้าสู่อริยลัจจ์หรือการทรมานบุคคลบางคน แต่ว่าจะต้องรู้ว่ามันเป็นญาณ อย่ายินดีหรือติดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะเท่ากับว่ามันเป็นผลพลอยได้ เกิดจากการบำเพ็ญจิตเข้าสู่อริยสัจจ์นั่นเอง ถ้าหากว่าเราไปยินดีหรือไปติดอยู่เพียงเท่านี้แล้ว ก็จะก้าวเข้าไปสู่ความพ้นไปจากทุกข์ไม่ได้

    แม้แต่พระเทวทัตในสมัยครั้งพุทธกาลก็สำเร็จญาณถึง ๕ ประการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้สมกับความประสงค์ แต่หลงอยู่ในความรู้ญาณของตน เกิดทิฐิมานะว่าคนเก่งตนดี ถึงกับต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้าแทนเอาเลยทีเดียว แต่ที่ไหนได้ ในที่สุด โดยอาศัยความหลงญาณ กลับต้องเสื่อมหมดทุกอย่าง ไม่พ้นทุกข์ ไม่เข้าถึงอริยสัจ แต่กลับตกนรกไปเลย.

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านเน้นว่า ญาณเหล่านี้มันน่าคิดจริง ๆ เพราะมันวิเศษแท้ ทั้งเยือกเย็นทั้งสว่างผ่องใส ทั้งรู้อะไรที่เป็นอดีต อนาคต ตามความประสงค์ ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริง ที่ไปติด ณ ที่นี้ เราจะสังเกตเห็นได้ตรงที่เกิดทิฐิขึ้นมาอย่างหนึ่ง คือการถือตัวว่าดีกว่าใคร ๆ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นครูบาอาจารย์หรือเพื่อนสหธรรมิกหรือศิษย์ หาว่าศิษย์สู้เราไม่ได้ ใครก็สู้เราไม่ได้ ทิฐิชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ตัวของตัวเองไม่รู้ตัวเอง ซึ่งท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านเปรียบว่า มีจระเข้ตัวหนึ่งใหญ่เหลือเกินอยู่ในท้องทะเล มันไม่รู้ว่าหางของมันอยู่ไหน เมื่อมันไม่รู้ มันเห็นหางของมัน มันก็กินหางของมัน กินไป ๆ จนเหลือแค่หัว เลยม้ำช้ำหมดเลย

    และท่านก็อธิบายว่า การหลงตัวด้วยญาณนี้มันละเอียดนัก เราจะสังเกตได้อีกอย่างหนึ่ง คือการขาดจากความรอบคอบบางสิ่งบางประการ เพราะเหตุแห่งการถือตัว เช่นการกล่าวคำดูถูกดูหมิ่นต่อเพื่อนสหธรรมิกด้วยกัน หรือต่อครูบาอาจารย์ของตน หรือบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับการดำเนิน

    ญาณทุกญาณ ท่านอาจารย์มั่นฯ กล่าวว่า มันต้องเสื่อม มันจะคงตัวอยู่ได้ตลอดไปหาได้ไม่ แม้จะใช้ความพยายามสักเท่าใดก็ตาม คือว่าครั้งแรก ๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นความจริงได้ แต่ต่อไปก็เลือนเข้า ๆ กลับกลายเป็นความนึกคิด โดยอาศัยสัญญาเก่า นี้คือความเสื่อมแห่งญาณ ลูกศิษย์มีหลายองค์ ที่ต้องเสื่อมลงจากญาณเหล่านี้อย่างน่าเสียดาย ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสื่อม จึงต้องรีบดำเนินจิต เข้าสู่อริยสัจจ์เสียเลย เพราะความที่จิตเข้าสู่อริยสัจจ์ได้แล้ว มันก็ห่างจากความเสื่อมเข้าไปทุกที ๆ

    ท่านยกตัวอย่างว่าท่านอาจารย์หนูใหญ่ อายุคราวเดียวกับท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร ไม่พยายามดำเนินจึงเข้าสู่อริยสัจจ์แต่ว่ามีวิญญาณแหลมคมดี เอาแต่ญาณภายนอกอย่างเดียว จึงเสื่อมไปได้ คือท่านอาจารย์หนูใหญ่นั้น ปรากฏว่า เมื่อปฏิบัติไปแล้วเกิดญาณรู้ความจริงบางอย่างได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นที่ปรึกษาหารือแก่สหธรรมมิกด้วยกันได้เป็นอย่างดี ทั้งมีความรู้พิเศษเป็นที่น่าอัศจรรย์มาก เมื่อหมู่คณะที่อยู่รวมสำนักกับท่านประพฤติผิดธรรมวินัยในข้อวัตรปฏิบัติแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ท่านสามารถรู้ได้ด้วยญาณของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นแต่ประการใด

    อาทิเช่นครั้งหนึ่ง เวลาตอนบ่าย สามเณรทั้งหลายได้จัดน้ำปานะ (อัฏฐบาล) ถวายพระเวลาที่พระทั้งหลายกำลังดื่มอยู่นั้น ขณะนั้นท่านอาจารย์หนูใหญ่ กำลังทำสมาธิอยู่ในความสงบ ได้ปรากฏเห็นพระเหล่านั้นในญาณ ของท่านว่า กำลังฉันอาหารกันอยู่ ท่านจึงไปที่ท่ามกลางหมู่คณะนั้นแล้วกล่าวว่า พวกเรากำลังฉันสิ่งของที่เจือด้วยอนามิสแน่ เพราะมันไม่บริสุทธิ์ ซึ่งพระภิกษุสามเณรทั้งหลายกำลังฉันน้ำปานะกันอยู่ พากันสงสัย และสามเณรผู้ทำก็ยืนยันว่าบริสุทธิ์ไม่มีอะไร เพราะทำมากับมือ แต่อาจารย์หนูใหญ่ก็ยืนยันว่าไม่บริสุทธิ์แน่ จึงได้มีการตรวจค้นกันขึ้น ได้พบเมล็ดข้าวสุกติดอยู่ที่ก้นภาชนะนั้นจริง ๆ เพราะเหตุนั้นหมู่คณะทั้งหลายจึงเกรงขามท่านมาก เพราะเมื่ออยู่ใกล้ ๆ กับท่านแล้วต้องระวัง ระวังความนึกคิด เป็นเหตุให้เกิดสติสัมปชัญญะขึ้นมาก

    แต่นั้นแหละเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อท่านอาจารย์หนูใหญ่ได้ออกไปไกลจากอาจารย์มั่น ฯไม่ค่อยจะได้เข้าไปศึกษาบ่อยๆ เมื่อภายหลังได้เกิดญาณเสื่อมจากคุณธรรมส่วนยิ่งโดยไม่รู้สึกตัว ต่อสู้กับกิเลสมาก คือไปไม่ได้ จึงลาสิกขาบท ไปอยู่ในฆราวาสวิสัย ยอมอยู่ใต้อำนาจของกิเลสต่อไป

    ท่านอาจารย์มั่นฯหลังจากเล่าความเป็นไป ของท่านอาจารย์หนูใหญ่ให้เป็นตัวอย่างแล้ว ท่านก็เน้นลงไปอีกว่า บุคคลผู้ที่ได้ญาณนี้แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ย่อมเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งทีเดียว เพราะเท่ากับกับได้สมบัติมหาศาลแล้วรักษาสมบัติไม่ได้ หรือใช้สมบัติไม่เป็น ไม่ได้ประโยชน์จากสมบัตินั้น ผู้ที่ได้ญาณก็เหมือนกันว่าจะทำมันขึ้นมาได้แสนยากลำบากนัก แต่เมื่อได้มาแล้วไม่รู้จักรักษาและไม่รู้จักทำให้มันเป็นประโยชน์ จึงเป็นสิ่งที่นักปฏิบัติทั้งหลายควรสังวรเป็นอย่างยิ่ง

    สำหรับเรื่องญาณ หรือความสงบ ถ้าหากไปหลงมันเข้าปล่อยให้เกิดแต่ความสงบอย่างเดียวย่อมไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรจะได้ เพราะสถานที่นั้นเป็นที่สบายอย่างยิ่งและน่าอยู่ มันทำให้เกิดความสุขอย่างน่าพิศวง และเป็นสถานที่น่าคิดอยู่ของหมู่โยคาวจรทั้งหลายจริงๆ มิหนำซ้ำบางทีท่านก็หลงไปถึงกับว่าที่นี่เองเป็นที่หมดไปจากกิเลส อันที่จริงแล้วที่นี่เองจำเป็นต้องแก้ไขตัวของตัวเองอย่างหนัก เหมือนกันกับคนที่กำลังนั่งนอนสบาย และจะให้ทำงานหนักก็จำเป็นต้องทั้งบังคับทั้งปลอบ

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านชี้ตัวอย่างท่านอาจารย์เทสก์ เทสรงฺสี (พระนิโรธรังสีฯ) ว่า ท่านเทสก์นี้ได้ติดอยู่ในญาณนี้นานยิ่งกว่าใครๆ ในระยะที่ท่านเทสก์หลงอยู่ในญาณนั้น เราได้พยายามแก้ไขอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้คลายจากความเป็นเช่นนี้นั้น กว่าจะได้ผลต้องใช้เวลาถึง ๑๒ ปี เพราะท่านอาจารย์เทสก์ได้ติดอยู่ในญาณถึง ๑๒ ปี ครั้นเมื่อท่านอาจารย์เทสก์แก้ไขตัวของท่านได้แล้วถึงกับอุทานว่า เราหลงไปถึง ๑๒ ปี ถ้าไม่ได้ท่านอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิแก้ไขเราแล้วก็จะต้องติดไปจนตาย

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้เน้นหนักว่า การแก้ไขสิ่งของที่ดีที่เกิดขึ้นนี้ลำบากกว่าแก้สิ่งของไม่ดี เพราะความไม่ดีรู้กันในหมู่ผู้หวังดี หาทางแก้ไขได้ง่าย ส่วนความดีที่ต้องติดดีนี่แก้ไขยาก ผู้ติดดีจึงต้องใช้ความพยายามหลายอย่าง เพราะขั้นนี้มันเป็นขั้นปัญญา เนื่องจากการเกิดขึ้นภายในนั้นมีพร้อมทั้งเหตุและผล จนทำให้เชื่อเอาจนได้ จะไปว่าอะไรแต่อย่างอื่นที่ไกลจากอริยสัจธรรม แม้แต่วิปัสสนาซึ่งก็เป็นทางไปสู่อริยสัจจ์อยู่แล้ว แต่ผู้ดำเนินไม่มีความรอบรู้พอ กลับกลายเป็นวิปัสสนูปกิเลสไปได้ การเป็นวิปัสสนูปกิเลสนั้นคือ

    โอภาโส แสงสว่างไม่มีประมาณ แสงสว่างที่เกิดจากจิตที่สงบยิ่งเกิดแสงสว่างขึ้น เป็นแสงสว่างที่จะหาสิ่งเปรียบเทียบยาก ผู้บำเพ็ญจิตเบื้องต้น พอจิตสงบแล้วเกิดนิมิต เห็นแสงสว่าง เท่านั้นไม่จัดเข้าในวิปัสสนู เพราะแสงสว่างที่จัดเข้าในวิปัสสนูนี้ เป็นแสงที่เกิดจากการเห็นของธรรมชาติ แม้การเห็นเป็นธรรมชาติ เป็นของจริงก็ตาม การที่จะถือเอาของจริงแม้นั้นก็ผิด เพราะความจริงที่เห็นนี้สำหรับพิจารณาด้วยญาณต่างหาก ไม่ใช่จะให้ติดข้องพัวพัน ถ้าติดข้องก็เกิดเป็นกิเลส ก็เลยยึดเข้าไปหาว่าได้ชั้นนั้นชั้นนี้ เลยยิ่งเหลวไปใหญ่ แสงสว่างที่เห็นของจริงนี้ท่านจึงจัดเป็นวิปัสสนูเพราะไปหลงเข้าแล้วหาว่าดี แม้เพียงเท่านี้ ความจริงมันเป็นเพียงเครื่องมือพิจารณาต่อไป ท่านจึงห้ามติด

    ญาณะ ความรู้ไม่มีประมาณ ความรู้ที่เกิดในขั้นต้น เป็นต้นว่ารู้ว่าจิตสงบ หรือรู้อยู่เฉพาะหน้าบ้าง อย่างนี้ไม่จัดเข้าในขั้นนี้ ความรู้ที่จัดเป็นวิปัสสนูนั้น คือความรู้ที่หยั่งรู้ว่า จิตเรานี้ว่ามีความสว่างจริง เช่นเห็นธาตุ ว่าเป็นธาตุจริง ชนิดนี้เราไม่เคยเห็นไม่เคยรู้มาก่อน แน่ล่ะ ถ้าจะเป็นของจริง เลยเข้าใจว่ารู้นี้เป็นธรรมแท้ จึงเป็นกิเลส เป็นเหตุให้ถือตัว แต่ความจริงแล้วท่านให้ใช้ความรู้นี้พิจารณาให้ยิ่งเท่านั้น มิใช่ให้ถือเอาความรู้ ก็เท่ากับถือเอาเครื่องมือว่าเป็นของจริง ท่านจึงห้ามติด

    ปีติ ความอิ่มใจอันแรงกล้า ความอิ่มใจซาบซ่านในตัวอันเกิดขึ้นแก่ผู้ฝึกสมาธิในขั้นต้น ไม่จัดเข้าในชั้นนี้ ปีติที่จัดเป็นวิปัสสนูปกิเลสนั้น คือความเยือกเย็นอันได้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น เช่นเห็นว่า ธาตุทั้งหลาย สักแต่ว่าธาตุ เป็นธรรมธาตุแห่งสภาพจริงๆ ความปีติเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยพบ ก็จะได้พบ เมื่อพบเข้าเลยเกิดความอิ่มใจอย่างแรงกล้า เข้าใจว่าเป็นของจริงทำให้ติด เกิดกิเลสเป็นเหตุให้ยึดถือว่า เป็นธรรมพิเศษหรืออมตธรรม ก็เลยจะเป็นทางให้ยึดแล้วก็ทำให้เนิ่นช้า ท่านจึงห้ามติด

    ปัสสัทธิ ความสงบยิ่ง การทำจิตสงบชั่วครั้งชั่วคราวของผู้เริ่มความเพียรไม่นับเข้าในชั้นนี้ ปัสสัทธิที่จัดเป็นวิปัสสนูฯ นั้น คือความสงบที่มีกำลังอันอาจจะจำแนกธาตุออกไปได้ว่าธาตุนั้นเป็นดิน เป็นน้ำเป็นต้น เพราะสงบจริง จึงจะเห็นธาตุเป็นธาตุจริง ซึ่งสามารถจะให้จิตหลง เพราะความสงบนี้เยือกเย็นมากขึ้นเป็นกำลัง แม้จะทำให้เกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ แต่ถ้าไปติดเพียงเท่านั้นแล้วก็เข้าใจว่าเป็นของจริง กลับกลายเป็นกิเลส ท่านจึงห้ามติด

    สุขะ ความสุขอันลึกซึ้ง ความสุขเกิดแก่จิตของผู้ฝึกหัดใหม่นั้น แม้ครั้งสองครั้งหรือชั่วครั้งชั่วคราวไม่จัดเข้าในชั้นนี้ สุขะที่จัดเป็นวิปัสสนูฯ นั้นเป็นผลไปจากการเห็นธาตุทั้งหลายว่าเป็นจริง เกิดความสงบสุขยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ความสุขนี้จะมีชั้นสูงขึ้นตามลำดับแห่งการเห็นตามเป็นจริงแห่งธรรมธาตุ ถ้าติดก็เป็นกิเลส เป็นเหตุให้พอใจเพียงแค่นั้น จะไม่ก้าวหน้าต่อไป ท่านจึงห้ามติด

    อธิโมกข์ ความน้อมใจเชื่อ ของจริงเป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นฐิติธรรม อาศัยอวิชชาเป็นเครื่องปิดบังจึงไม่สามารถจะเข้าถึงได้ แต่เมื่อพอแก่ความต้องการแล้วก็เป็นอันว่าถึงได้แน่นอน เมื่อทำไม่พอแก่ความต้องการแล้วก็ถึงไม่ได้ เหมือนกับคนทั้งหลายจะพากันเดินทางจากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพฯ เช่นเขาทั้งหลายอยู่เชียงใหม่ แต่กรุงเทพนั้นน่ะมีจริง พอเขาเดินมาถึงลำปาง เขาก็พากันน้อมใจเชื่อว่า ลำปางนี่แหละคือ กรุงเทพ ฯ เขาเหล่านั้นก็ลงรถไฟโดยถือเอาลำปางเป็นกรุงเทพฯ เมื่อน้อมใจเชื่อเช่นนี้เป็นอันถึงกรุงเทพ ฯ ไม่ได้ กรุงเทพมีจริงแต่ต้องขึ้นรถไฟรถยนต์จากเชียงใหม่ไปให้พอแก่ความต้องการ ก็จะต้องถึงจนได้ อันการบำเพ็ญจิตยิ่งบำเพ็ญยิ่งละเอียดขึ้นเป็นลำดับ น่าทึ่งน่าอัศจรรย์มากมายเหลือจะนับจะประมาณ มีสิ่งประหลาดมากมายทีเดียวจึงเป็นสิ่งที่คล้ายกับธรรมชั้นสูง โดยเหมือนกับมีธรรมผุดขึ้นมาบอกว่า ถึงธรรมชั้นนั้นชั้นนี้บ้าง ได้เห็นอริยสัจจ์บ้าง ได้เห็นจะบรรลุบ้าง อะไรมากมายที่จะเกิดขึ้นน้อมใจเชื่อมันแล้ว เป็นกิเลสตัวใหญ่กางกั้นความดี ที่กำลังจะก้าวหน้าไปอย่างน่าเสียดาย

    ปัคคาหะ ความเพียรอาจหาญ การบำเพ็ญจิตจนเกิดความดี ความงาม ความที่ละเอียดอ่อน โดยอาศัยพลังงานแห่งจิต โดยที่ต้องการให้ถึงเร็ว เป็นการเร่งเกินแก่ความพอดี อย่างไม่คำนึงถึงว่าร่างกายมันจะเป็นอย่างไร เอาใจเป็นใหญ่ หักโหมความเพียรอย่างไม่ปรานีปราสัย นี่ก็เป็นทางเสียหาย เพราะเหตุใด ท่านจึงจัดเป็นอุปกิเลสแห่งวิปัสสนาด้วยเล่า ก็เพราะว่าในที่นี้นับว่าเป็นความปรารถนาอย่างรุนแรงของใจ จนอาจจะเป็นอันตรายได้ โดยขาดมัตตัญญู ความเป็นผู้รู้จักประมาณไป จึงกลายตัวมาเป็นอุปกิเลส ซึ่งทำให้เกิดความมัวหมอง ถึงกับจะกางกั้นความเจริญชั้นสูงต่อไป แต่การจะถือเอาวิปัสสนูฯ ข้อนี้มาทำให้เกิดหย่อนความเพียร เรื่องก็ยิ่งเสียหายกันไปใหญ่อีก ในที่นี้ท่านต้องการความพอดี เหมือนกับการรับประทานอาหาร ความอิ่ม นี่คือความพอดี ถ้าเรารับประทานไม่อิ่ม แต่เราถือว่า อิ่มนี่คือไม่พอดี ถ้าเรารับประทาน อิ่มยิ่งเติมเข้าไป ก็เกินความพอดี เราจะต้องทราบความละเอียดที่เกิดผลตามสมควร จึงจะชื่อว่าพอดี ไม่หักโหมเกินไป จนเป็นเหตุให้ถือเอาความเพียรข่มผู้อื่นอันจะกลับกลายเป็นกิเลสไป

    อุปฐานะ สติกล้า สตินี้ไม่น่าจะเป็นอุปกิเลส เพราะสตินี้เองสามารถดำเนินจิตให้ตั้งเที่ยงอยู่ได้ แต่ว่าไม่ว่าอะไรทุกสิ่งทุกอย่างจะดีสักเท่าไรก็ตาม ถ้าเกินไปก็ใช้ไม่ได้ แม้สติกำหนดเพ่งกันเกินไป กำหนดอยู่ในกายานุปัสสนา ไม่รู้จักพักผ่อน เกินแก่ความต้องการไม่ช้าก็ต้องเลอะเลือน ธรรมดาการใช้สติกำหนดต้องรู้จักพักตามสมควร เพราะถ้าไม่รู้จักพักแล้ว เมื่อมันเกิดความเลอะเลือนขึ้น ความสงสัยก็ตามมา ก็จะกลับกลายเป็นอุปกิเลสไป

    อุเบกขา ความวางเฉย การจัดอุเบกขาเป็นวิปัสสนู ฯ นั่นคือการไปเข้าใจเอาเองว่า นี่เป็นวิมุตติธรรม หรือความละเอียดแห่งจิต เท่านี้ถือว่าเป็นการบรรลุธรรมชั้นสูง เลยวางเฉย ถือว่าเป็นสิ่งแน่นอน ยังไม่ถึงอริยสัจจ์เต็มที่ มาวางเฉยเสียก่อนเป็นการคำนึงเอง หรือเป็นการ ชิงสุกก่อนห่าม ท่านจึงจัดว่าเป็นเครื่องเศร้าหมอง นักปฏิบัติควรระวังเป็นพิเศษในข้อนี้ อย่าไปวางเฉยเอาง่าย ๆ ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อน

    นิกันติ ความพอใจ ความพอใจแม้จะเป็นธรรมชั้นละเอียดก็ยังใช้ไม่ได้ เพราะจะเป็นการพอใจอยู่เพียงหนทาง ไม่เชื่อว่าพอใจในสถานที่ต้องการ เพราะการถึงสถานที่ที่ต้องการนั้น มิใช่เป็นความพอใจ แต่เป็นความจริง และของจริงนั้นเมื่อเป็นขึ้น ย่อมเป็นสิ่งล่วงพ้นจากความพอใจที่จะพึงกำหนดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ถ้าทำความพอใจในธรรมละเอียดไม่ดี จะกลายเป็นอัตถวาทุปาทานไปเสีย จะเสียงานใหญ่ในการที่จะบำเพ็ญให้ก้าวหน้าต่อไป.

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้เน้นหนักลงไปถึง ฌาน และญาณนี้หนักมากในพรรษานี้ เพื่อให้ศิษย์ทั้งหลายได้สำเหนียก เพื่อความก้าวหน้าของตน
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๖๓
    เสนาสนะ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย

    การจำพรรษาของท่านอาจารย์มั่นฯ นั้น โดยส่วนมากท่านย้ายสถานที่อยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อจะได้บำเพ็ญประโยชน์ให้ได้มาก ๆ และมิให้จำเจที่จะต้องเกิดความกังวลอีกด้วย และแม้ว่าท่านจะไปจำพรรษาที่ไหนก็ตาม บรรดาลูกศิษย์ผู้หวังดีจะต้องติดตามไป เพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติจากท่านเพื่อให้ก้าวหน้าต่อไป แม้ว่าจะได้ทราบชัดถึงหนทางที่ท่านได้แนะนำให้อย่างแจ่มแจ้งแล้วก็ตาม แต่ข้อละเอียดบางประการ ก็ต้องอาศัยการอบรมจากท่านอยู่อย่างใกล้ชิด


    ในปีนี้พระภิกษุสามเณรรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ก็เริ่มมากขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากว่า ก่อนนี้ การปฏิบัติโดยเฉพาะ การบำเพ็ญสมณธรรมนั้นเป็นของลึกลับมาก ยากแก่การที่มาดำเนินกันอย่างง่าย ๆ แต่ท่านพระอาจารย์มั่น ฯ ก็มาเปิดศักราชการปฏิบัติ โดยกำหนดการปฏิบัติอย่างง่ายๆ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือพระภิกษุสามเณร ก็สามารถทำได้ด้วยกันทั้งนั้น และก็ได้ประสบผลอย่างทันตาด้วย โดยไม่ต้องไปเสียเวลายกครู ยกขัน ๕ ขัน ๘ เหมือนอย่างแต่ก่อน แม้สามเณรองค์เล็กก็สามารถปฏิบัติให้เกิดความอัศจรรย์ได้ อันพุทธบริษัทในสมัยนั้นบางจำพวกก็ยังพากันกล่าวถึงว่า มรรคผลธรรมวิเศษนั้นหมดเขตหมดสมัยแล้ว จึงได้พากันไม่สนใจต่อการบำเพ็ญสมณธรรม เพราะถือว่าเปล่าประโยชน์ แต่ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ท่านได้มาเปิดศักราชแห่งการปฏิบัติจิต แก้ไขความคิดเห็นของผู้ที่ยังหลงงมงายเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง เพราะว่าสามเณรองค์เล็ก ๆ เมื่อปฏิบัติแล้วก็ได้รับผลแห่งความเย็นใจ และฆราวาสผู้ปฏิบัติก็ได้รับผลเป็นที่พึงพอใจอย่างฉับพลัน ความจริงที่เกิดขึ้นแก่บุคคลที่น้อมนำมาเชื่อและปฏิบัติตามนี้ จึงได้ลบความเชื่อถือที่ว่ามรรคผลหมดเขตหมดสมัย


    การที่ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้เผยแพร่ความจริงของการปฏิบัติ ที่เป็นการเผยแพร่โดยให้บุคคลที่น้อมตัวเข้ามาเชื่อได้เห็นเอง คือให้กระทำแล้วได้รู้เองว่า รสของพระสัทธรรมนั้นเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้เกียรติคุณของท่านจึงแพร่ไปอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ของท่านมีมากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ตัวท่านและศิษย์ที่มารับการอบรมก็ได้รับรสพระสัทธรรม และช่วยให้บุคคลอื่นนอกนั้นมาร่วมเป็นสมาชิกในการดำเนินการปฏิบัติจิต และก็บรรดาผู้ที่น้อมตัวเข้ามาเป็นศิษย์ของท่าน ก็เป็นอันรับรองได้เลยทีเดียวว่า จะต้องได้รับผลแน่นอน เพราะปรากฏในภายหลังว่า ศิษย์ของท่านได้กลับกลายเป็นผู้มีความสำคัญ ในการเผยแพร่การปฏิบัติที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณ ทำประโยชน์แด่พระพุทธศาสนาเป็นอันมาก


    ทั้งนี้เนื่องมาจากว่า ท่านได้กำหนดวางรากฐานการปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสมแก่กาลสมัย เพราะการกำหนดมาตรการอันเป็นสิ่งที่ท่านได้กำหนดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจริง ๆ ปรากฏตามประวัติที่ท่านต้องออกไปอยู่ในถ้ำแต่ผู้เดียวบ้าง ศึกษาจากครูบาอาจารย์บ้าง และการที่ท่านได้ทำความรอบคอบในการวางรากฐานแห่งการปฏิบัตินี่เอง เป็นผลให้เกิดความมั่นคงในวงการของนักปฏิบัติผู้นับเนื่องในความเป็นศิษย์ของท่าน และการที่ท่านจะวางมาตรการของท่าน ก็ต้องวางให้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ ดังนั้นท่านจึงได้อ้างถึงพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมแก่ใคร เพราะอะไร ท่านได้แสดงเสมอว่า พระปัญจวัคคีย์เมื่อจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระองค์ก็ทรงชี้ลงไปที่รูปของพระปัญจวัคคีย์เอง มิได้ทรงแสดงเกินกว่ารูปพระปัญจวัคคีย์เลย เช่นทรงแสดงว่า รูปํ ภิกฺขเว อนตฺตา ดูก่อนพระภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ตน ปัญจวัคคีย์ก็มีรูปมาแต่ไหน ๆ แต่ทำไมไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์ มาสำเร็จเอาตอนที่พระพุทธองค์ทรงชี้ให้ คนเราก็เช่นเดียวกัน แม้เราพากันพิจารณาดูรูปก็ต้องไม่ผิดหนทางแน่นอน ท่านได้อ้างอิงอย่างมีหลักฐานเช่นนั้น จึงเป็นที่น่าเชื่อถืออย่างยิ่งแก่บุคคลที่เข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติกับท่าน


    ณ ที่ท่าบ่อนี้เอง บัดนี้ได้กลับกลายมาเป็นวัดป่าอันเป็นสถานที่บำเพ็ญกัมมัฏฐานเป็นเหตุให้เกิดมีผู้บุญขึ้นมาอีกมาก ได้นามว่า วัดอรัญญวาสี มีพระอาจารย์เทสก์ เทสรงฺสี พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์สุวรรณ พระอาจารย์หลายและองค์อื่นๆ อีกมาก ที่ได้มาเห็นว่าสถานที่นี้ดี เหมาะแก่ การบำเพ็ญสมณธรรม และได้มาบำเพ็ญแล้วก็ได้รับประโยชน์ทางใจจากสถานที่นี้มากมายทีเดียว
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๖๔ เสนาสนะป่าบ้านห้วยทราย กิ่งคำชะอี
    จังหวัดนครพนม

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้จำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านห้วยทราย เขตจังหวัดนครพนม ปรากฏว่าได้มีพระภิกษุ ๕ รูปและสามเณรอีก ๕ รูป ร่วมจำพรรษากับท่าน ในปีนี้ท่านได้เริ่มศักราชแห่งการแก้ความเห็นผิดแก่ชาวบ้านตามท้องถิ่นที่ท่านได้ไปพักพาอาศัย โดยการแนะนำถึงพระไตรสรณคมน์ว่า การนับถือพระพุทธเจ้าและพระธรรม พระสงฆ์นั้นเป็นประการสำคัญ การนับถือภูตผีปีศาจต่างๆ ของประชาชนแถบนี้ ในสมัยนับถือกันหนักมาก ซึ่งท่านก็พยายามแสดงเหตุผลและพยายามให้เข้าใจจริง จนทำให้ประชาชนเหล่านั้นได้ละความถืออย่างผิดๆ นั้น เช่นเขานับถือว่า บิดามารดาตายแล้วก็มาอาศัยอยู่ที่หิ้ง คอยทำให้ลูกหลานเจ็บป่วย ตลอดจนการปลูกศาลเจ้าที่.พระภูมิเจ้าที่ เป็นต้น เมื่อประชาชนละความเห็นผิดนั้นแล้ว ก็ให้ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะเสียหมด พร้อมทั้งปลูกศรัทธาในการเจริญกัมมัฏฐานภาวนา ซึ่งปรากฏ ว่าประชาชนในถิ่นนั้นจนตราบเท่าทุกวันนี้ ได้เป็นผู้เกิดความสนใจ ในการเจริญกัมมัฏฐานภาวนาสืบต่อกันมา และท่านได้พักอยู่ที่เสนาสนะป่าบ้านห้วยทรายนี้ประมาณ ๑๐ เดือนจึงได้เดินธุดงค์ต่อไป


    ท่านอาจารย์เสาร์ ท่านพักอยู่ที่ถ้ำภูผากูดถึง ๕ พรรษา ออกพรรษาแล้วไปพักจำพรรษาในเขตท้องถิ่นของอำเภอมุกดาหาร และกิ่งอำเภอคำชะอีไปๆ มาๆ เมื่อท่านอาจารย์มั่นฯ ออกจากบ้านห้วยทรายแล้ว ท่านต่างก็ได้ร่วมทางเดินธุดงค์ออกขึ้นไปทางทิศเหนือขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านหนองลาด บ้านม่วงไข่พรรณา ซึ่งเป็นบ้านที่ใกล้บ้านเดิมของท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร และออกเดินธุดงค์ไปทางบ้านหนองแวง บ้านโพนเชียงหวาง ตามหนทางถิ่นนี้เป็นป่าดงพงพีเต็มไปด้วยไม้เต็งรัง ไม้แดง ไม้ตะเคียน เป็นป่าทึบ ท่านได้พักพิงและพาหมู่คณะศิษย์ทำความเพียรเป็นระยะไป และได้ลูกศิษย์เพิ่มขึ้นตามระยะทาง ทั้งที่เป็นพระภิกษุสามเณรและเด็ก


    จากนั้นท่านก็ธุดงค์ต่อไป ถึงบ้านหนองใส บ้านตาลโกน บ้านตาลเนิ้ง อันเป็นบ้านเดิมของท่านอาจารย์วัน อุตฺตโม บริเวณถิ่นนี้มีหมู่บ้านเป็นหย่อมๆ พวกเขาส่วนมากเป็นชาวนา การไปตามแถวถิ่นนี้ท่านจะแนะนำหมู่ชนให้ละจากการนับถือภูตผีปีศาจ โดยความหลงผิดเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นตัวอย่างให้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ของท่านได้เจริญรอยตามที่ท่านได้ทำมาแล้ว คือให้ละจากการถือผิด ให้เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง พร้อมทั้งปลูกศรัทธาในการเจริญกัมมัฏฐานภาวนาไปด้วย


    จากนั้นท่านก็ธุดงค์ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านหนองปลาไหล บ้านพังโคน กิ่งวาริชภูมิ แม้ในขณะที่ท่านพาหมู่คณะที่เป็นศิษย์ธุดงค์ไปตามหมู่เขาลำนาไพรนี้ เมื่อพักอยู่นานๆ เข้าก็จะมีทั้งพระภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกา สนใจจากทางไกลๆ เข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติกับท่าน เพราะเหตุว่าการปฏิบัติแต่ก่อนนี้เป็นสิ่งลี้ลับ กลับมาเปิดเผยจะแจ้งขึ้น ท่านผู้ใดได้บำเพ็ญตามท่าน แม้แต่อุบาสกอุบาสิกา ซึ่งเป็นฆราวาสมาบำเพ็ญก็ได้ผลอย่างน่าประหลาด ผู้ที่เป็นพระภิกษุจะมาอยู่ดูดายไม่ปฏิบัติ ก็จะด้อยกว่าฆราวาสด้านปฏิบัติธรรม ก็จะเป็นการทำให้ฆราวาสดูถูกดูแคลนได้ จึงปรากฏว่า บรรดาพระภิกษุทั้งหลายเกิดการตื่นตัวขึ้น มาหาท่านเพื่อขอมอบตัวเป็นศิษย์ ทั้งพระผู้ใหญ่อันเป็นพระเถระ และพระผู้น้อย ทั้งพระเก่า ๆ ที่เป็นพระเถระซึ่งติดตามท่านไปห่าง ๆ ก็สามารถสอนธรรมกัมมัฏฐานได้เช่นท่านเหมือนกัน การเดินธุดงค์จึงเป็นการเผยแพร่พระธรรมปฏิบัติไปในตัวด้วย



    ในขณะนั้นพระอุปัชฌาย์เกิ่ง อธิมุตตโก ท่านอาจารย์ดี วัดม่วงไข่พรรณาก็ได้มาขอเรียนกัมมัฏฐานภาวนาจากท่านอาจารย์มั่นฯ จนปรากฏว่าได้ผลอย่างมหัศจรรย์ จึงได้พาหมู่คณะอันเป็นศิษย์เข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติอีกด้วย ระยะนี้เริ่มมีผู้สนใจในการปฏิบัติกับท่านเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป็นคณะหมู่ใหญ่ขึ้น เขตในท้องถิ่นนั้นและเขตใกล้เคียงได้เกิดศรัทธา ปฏิบัติเห็นอรรถธรรม ต้องการบรรพชาอุปสมบท แต่ขณะนั้นท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านยังไม่ได้เป็นอุปัชฌาย์ จึงได้นิมนต์ท่านพระครูอดิสัยคุณาธาร (อากโร คำ ) ที่วัดศรีสะอาด เจ้าคณะจังหวัดเลยมาเป็นอุปัชฌาย์


    การทำการอุปสมบทในสมัยนั้น เป็นการเริ่มต้นวางระเบียบการบวชตาผ้าขาวแต่ก่อนที่จะทำการบรรพชาอุปสมบท การบวชตาผ้าขาว คือการรักษาศีล ๘ และให้รับประทานอาหารเพียงมื้อเดียว และฝึกหัดดัดแปลงนิสัยใจคอ ทั้งฝึกสมาธิให้เป็นประดุจพระหรือสามเณรไปตั้งแต่ยังเป็นตาผ้าขาวนี้เสียก่อน ถ้าการฝึกยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็ยังไม่บรรพชาอุปสมบทให้ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี การฝึกผู้จะบวชนั้นปรากฏว่าเรียบร้อยดีมาก


    ระเบียบนี้จึงได้มีขึ้นในคณะกัมมัฏฐานจนถึงปัจจุบัน คือผู้ที่จะบวชเป็นการถาวร ต้องทำการฝึกหัดให้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ตลอดจนพระวินัยเป็นการเตรียมเพื่อจะทำการบรรพชาอุปสมบท


    ในแถวๆ บ้านโพนเชียงหวางนี้มีผู้มีบุญวาสนาได้ปวารณาตนเข้ามาปฏิบัติอยู่ด้วยท่านอาจารย์มั่น ฯ และลูกศิษย์ของท่านมาก ทั้งปรากฏเป็นผู้เข้มแข็งในการเจริญสมณธรรมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งปรากฏในภายหลังว่าได้เป็นพระอาจารย์ผู้สันทัดในการสอนกัมมัฏฐานมากขึ้นในแถบนั้น.


    การธุดงค์ที่ให้เกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ที่ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้ดำเนินขึ้นในปีนั้น เป็นการวางแผนแบบใหม่ขึ้นคือ เมื่อถึงคราวที่จะทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ท่านก็จัดผู้ทรงคุณธรรมภายในและมีปฏิภาณเฉลียวฉลาดในการแสดงธรรมเป็นหัวหน้าชุดละ ๓ - ๔ องค์ ท่านเป็นหัวหน้าไปพักบ้านหนึ่งบ้านใด อาจจะเป็น ๗ วัน ๑๐ วัน ๑ เดือน สุดแล้วแต่ความเหมาะสมอันจะเป็นประโยชน์ได้ และหัวหน้าตามหลังท่านมาก็พักอยู่ตามทาง ตามบ้านที่ท่านพักตามกำหนดที่ท่านอาจารย์มั่นฯ พัก และทำการสอนกัมมัฏฐานภาวนา ติดตามท่านมาตลอดแห่งหนทางการไปธุดงค์ และการที่จะตัดสินใจไปที่ใดนั้นเป็นหน้าที่ของท่านอาจารย์มั่น ฯ ซึ่งการไปไม่ว่าจะเป็นที่ใด ท่านจะพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะพึงเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง คือชาวบ้านเหล่านั้น และกุลบุตรในแถบถิ่นนั้นจะพึงมีบุญวาสนาพอจะรับธรรมปฏิบัติจากท่านได้ ท่านก็จะพาคณะเดินทางไปยังประเทศตำบลนั้น


    นี้เป็นวิธีที่ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโมนำเอามาเป็นแบบดำเนินการหลังจากท่านอาจารย์มั่น ฯ เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ท่านได้มอบศิษย์ทั้งหลายให้อยู่ในความปกครองของท่านอาจารย์สิงห์ทั้งหมด ท่านอาจารย์สิงห์ ท่านได้ดำเนินธุดงค์พิธีนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ โดยได้เดินทางมาจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งปรากฏว่าได้มีวัดเสนาสนะป่า อันเป็นแหล่งสถานที่บำเพ็ญสมณธรรมแก่ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา เป็นอันมาก นับเป็นจำนวนพันๆ แห่งทีเดียว


    อีกวิธีหนึ่ง การธุดงค์นั้น ท่านจัดให้ไปแสวงหาความสงบโดยเฉพาะ วิธีนี้ได้จัดขึ้นให้เป็นประโยชน์เฉพาะภิกษุสามเณร คือผู้ที่บวชใหม่ หรือบวชเก่า แต่ยังปฏิบัติไม่ได้ผลเท่าที่ควรจะได้ ก็ต้องไปธุดงค์ คือจะต้องแสวงหาสถานที่ไกลจากบ้านพอสมควร อาจจะเป็นป่าไม้ หรือภูเขา หรือเป็นถ้ำ หรือเป็นป่าช้า พักอยู่บำเพ็ญสมณธรรมโดยเฉพาะ ไม่สอนอุบาสกอุบาสิกา แนะนำกันในระหว่างพระภิกษุสามเณร อบรมกันให้ยิ่งด้วยการกำหนดจิตพยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แก้ความสงสัยที่เกิดขึ้นหลังจากการเกิดผลขึ้นจากบำเพ็ญ ถ้าหากว่าแก้กันไม่ไหวก็จะนำไปหาท่านอาจารย์ใหญ่ เพื่อแก้ไขความสงสัยทั้งหลาย



    การอยู่นั้นสุดแล้วแต่สถานที่ ถ้าเป็นที่สงบสงัดดี บำเพ็ญสมณธรรมได้ผล ก็อยู่นาน ถ้าเป็นที่ไม่ค่อยสงบหรือไม่ได้ผลในการบำเพ็ญสมณธรรมเท่าไร ก็จะอยู่ไม่นาน การธุดงค์แบบนี้จะอยู่กันชั่วคราวทุกสถานที่ แต่ถ้าเป็นสัปปายะดีก็อาจจะอยู่เป็นเวลาหลายวัน หลายเดือน นี้หมายความว่าได้ประโยชน์ในการบำเพ็ญจริงๆ



    แม้การจำพรรษาก็เหมือนกัน ท่านจะต้องแสวงที่ๆ จะพึงได้ประโยชน์แก่การบำเพ็ญสมณธรรมจริงๆ จึงพยายามหาวิธีการปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งพระอมฤตธรรม จึงปรากฏว่าได้ดำเนินถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างแต่กาลก่อน เช่นที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า


    อรญฺเญ รุกฺขมูเล วา สุญฺญาคาเร จ ภิกฺขโว



    ในป่า ใต้โคนต้นไม้ เรือนว่างเปล่าเป็นที่สงบสงัด สมควรแก่บุคคลผู้ต้องการด้วยความเพียรและอมฤตธรรมจะพึงอยู่อาศัย



    ครั้งนั้นแม้แต่พระที่เป็นหลวงตา บวชเมื่อแก่ ซึ่งเป็นชาวบ้านโพนเชียงหวางองค์หนึ่ง ได้ติดตามมาปฏิบัติกับท่านอาจารย์มั่นฯ และเคร่งครัดต่อการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง มีความเพียรอันกล้าหาญ จนบังเกิดผลมีความรู้ฉลาดในการปฏิบัติจิต แม้หลวงตานี้จะมิได้เรียนทางปริยัติมาเลย แต่อาศัยการเจริญภาวนาค้นคว้าพระธรรมวินัยเฉพาะด้านจิต ท่านก็แตกฉานจนถึงเป็นที่พึ่งเก่นักศึกษาธรรมปฏิบัติรุ่นหลังต่อมาได้ ซึ่งปรากฏเป็นที่เคารพนับถือของหมู่คณะได้เป็นอย่างดี
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๖๕
    เสนาสนะป่า บ้านหนองลาด อ. สว่างแดนดิน จ. สกลนคร

    ท่านอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่น ฯ พร้อมทั้งศิษย์ของท่านอาจารย์ทั้ง ๒ รุ่นแรก และผู้เข้ามาฝึกหัดใหม่ รวมกันจำนวนมาก จำพรรษาอยู่ที่เสนาสนะป่า บ้านหนองลาด (ปัจจุบันเป็น ร.ร.ประชาบาล) อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร นับเป็นเวลา ๗ ปี ที่ท่านอาจารย์ได้เริ่มแนะนำการปฏิบัติธรรมที่ง่าย และได้ผลจริงจังจนถึงปีนี้ และได้มีผู้ที่ได้รับธรรมชั้นสูงจากท่านจนสามารถสอนธรรมกรรมฐานแทนท่านได้ก็มากองค์ มาในปีนี้ท่านอาจารย์ใหญ่ทั้ง ๒ ใคร่จะได้ปรับปรุงแผนการให้ได้ผลยิ่งขึ้น ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ จึงได้มีการรวมประชุมบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายให้มาจำพรรษา ณ ที่นี้


    แม้ท่านอาจารย์ทั้ง ๒ ก็ได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับธรรมปฏิบัติเป็นประจำ ท่านอาจารย์เสาร์ ก็ได้มอบให้ท่านอาจารย์มั่น ฯ เป็นผู้วางแผนงาน ตลอดถึงแนะนำธรรมปฏิบัติ เพื่อให้ทุกองค์ได้ยึดเป็นแนวการปฏิบัติ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


    ทางฝ่ายบรรพชิต ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้ยืนยันถึงการที่ได้ปฏิบัติมาและแนะนำมาก่อนแล้วนั้น เป็นทางดำเนินถูกต้องแล้ว ว่าแต่ใครๆ อย่าไปแหวกแนวเข้าก็แล้วกัน เพราะเมื่อดำเนินมาเป็นเวลา ๗ ปีนี้ เกิดผลสมความตั้งใจแล้วคือการปฏิบัติตามอริยสัจจธรรม โดยเฉพาะท่านย้ำถึงการพิจารณากายนี้เป็นหลักประกันที่สำคัญยิ่ง ท่านได้ยกตัวอย่างมากมาย นับแต่พระบรมศาสดา และพระสาวกทั้งหลายซึ่งผู้ที่จะผ่านเข้าสู่อริยสัจจ์นั้นจะไม่พิจารณากายไม่มีเลย ข้อนี้ท่านยืนยันอย่างแน่วแน่


    การที่ท่านย้ำลงในข้อการพิจารณาโดยอุบายต่าง ๆ นั้น เพราะกลัวศิษย์จะพากันเข้าใจผิดว่าเป็นการพิจารณาที่ไม่ถูก อาจจะเข้าใจไขว้เขว แล้วจะเป็นการเสียผลเป็นอย่างยิ่ง ทั้งท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้วิตกว่ากลัวผู้ที่ไม่เข้าใจโดยละเอียดถ่องแท้จะพากันเขวหนทางและพาให้หมู่คณะที่อยู่ในปกครองเขวหนทางตามไปด้วย เพราะท่านได้นิมิตในภายในสมาธิของท่าน ณ ค่ำคืนวันหนึ่ง ท่านนิมิตว่า



    ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า เราได้พาพระภิกษุสามเณรเป็นจำนวนมาก เข้าไปบิณฑบาตในละแวกบ้าน ขณะนั้นก็ได้เกิดนิมิตในสมาธิเป็นที่น่าประหลาดใจขึ้น คือ พระภิกษุสามเณรที่ตามเรามาดี ๆ ก็เกิดมีพวกหนึ่งแซงซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ขึ้นหน้าเราไป บางพวกก็เลยเดินออกไปนอกทางเสีย และก็มีอีกพวกหนึ่งที่เดินตามเราไป


    การนิมิตเช่นนี้ ท่านได้เล่าให้ศิษย์ของท่านฟังทุก ๆ องค์ พร้อมทั้งอธิบายว่า



    ที่มีพวกภิกษุสามเณรแซงท่านขึ้นไปข้างหน้านั้น คือบางพวกจะพากันอวดตัวว่าเก่งว่าดีแล้ว ก็จะละจากข้อปฏิบัติที่เราได้พาดำเนิน ครั้นแล้วก็จะเกิดความเสื่อมเสีย ไม่ได้ผลตามที่เคยได้ผลมาแล้ว ซึ่งเขาเหล่านั้นก็จะมาอ้างเอาว่าเป็นศิษย์ของเรา แต่ที่ไหนได้พากันหลีกเลี่ยงการปฏิบัติต่างๆ ที่เรากำหนดให้ไว้ ที่สุดแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อย ๆ เช่นสีจีวรเป็นต้น การจะปฏิบัติเพื่อการพิจารณากายอันนับเนื่องด้วยอริยสัจจธรรมก็ยิ่งห่างไกล



    จำพวกหนึ่งเดินออกนอกทาง คือจำพวกนี้เพียงแต่ได้ยินกิตติศัพท์เราแล้ว ก็อ้างเอาว่าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ฯ บางทีจะยังไม่เคยเห็นหน้าเราเสียด้วยซ้ำ และก็หาได้รู้อุบายแยบคายในการปฏิบัติแต่อย่างใดไม่ หรือพวกที่เคยอยู่กับเรามา เมื่ออยู่กับเราก็คงเคร่งครัดเพราะกลัว แต่พอออกจากเราไปแล้ว ก็ไม่นำพาในข้อธรรมและการปฏิบัติของเรา เพียงแต่มีชื่อว่าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ฯ เท่านั้นแต่ไม่มีข้อปฏิบัติอันใดที่จะถือได้ว่าเป็นแนวทางเป็นตัวอย่างอันนำมาจากเราเลย



    จำพวกหนึ่งที่เดินตามหลังเราไปนั้น จำพวกนี้เป็นผู้ดำเนินตามคำแนะนำของเราทั้งภายนอกและภายใน เป็นผู้ใคร่ต่อธรรม ต้องการพ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร พยายามศึกษาหาความรู้ทุก ๆ ประการที่มีความสนใจ ต่อหน้าหรือลับหลังก็เหมือนกัน รับข้อปฏิบัติแม้เล็กน้อยรักษาไว้ด้วยชีวิตจิตใจ เพราะจำพวกนี้ได้รับผลแห่งการปฏิบัติมากับเราแล้ว เกิดผลอันละเอียดอ่อนจากข้อวัตรปฏิบัติเหล่านี้ ก็เป็นที่แน่นอนว่าจะแปรผันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้



    พวกที่ออกนอกลู่นอกทางนั้นคือ เขาเหล่านั้นไม่ได้รับผลอย่างจริงจังจากการปฏิบัติอยู่กับเรา เพราะเหตุที่ไม่ได้ผลจริงนั้นเอง ทำให้เกิดความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ แต่พวกที่เดินตามเราย่อมได้รับความเจริญ


    การที่ท่านได้เล่าถึงเหตุการณ์ในอนาคตของศิษย์ของท่าน เพื่อเตือนสติให้ระลึกถึงความที่ว่า ธรรมปฏิบัติที่ท่านได้อุตส่าห์ลงทุนลงแรง พากเพียรพยายามทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จนบังเกิดผลมหาศาล จะพึงอยู่นานได้เพียงไรนั้น ก็แล้วแต่ศิษย์ทั้งหลายจะพากันมีสติหรือพากเพียร เพื่อให้เกิดผลจริงจัง จะรักษาการปฏิบัติเหล่านี้ได้ ถ้าใครจักพึงกล่าวว่าเป็นศิษย์ท่านอาจารย์มั่นฯ เขาก็จะได้รักษาไว้ซึ่งข้อวัตรปฏิบัติของท่านอาจารย์มั่น ฯ ผลลัพธ์ที่จะได้ก็จะได้สมจริง


    นอกจากการที่ท่านได้เน้นหนักในการรักษาแผนกการสอนและแนวทางด้านการปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรแล้ว ท่านมาแสดงถึงพุทธบริษัททางด้านฆราวาส



    ทางฆราวาสท่านเน้นหนักการเชื่อถือ เพราะปรากฏว่าพุทธบริษัทบางจำพวกพากันไปนิยมนับถือในสิ่งที่ผิดเสียมาก เช่นนับถือภูตผีปีศาจ นับถือศาลเจ้าที่ นับถือการเข้าทรง นับถือเทพเจ้าต่างๆ นับถือศาลพระภูมิ นับถือต้นไม้ใหญ่ นับถืออารามเก่าแก่ ซึ่งการนับถือสิ่งเหล่านี้นั้น มันผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าโดยแท้ เป็นการนับถือที่งมงายมาก ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทไม่ควรที่จะนับถือสิ่งเหล่านี้เลย เพราะเมื่อไปนับถือสิ่งเหล่านี้เข้า ก็เท่ากับเป็นอ่อนการศึกษามากหรือขาดปัญญาในพระพุทธศาสนา เขาเหล่านั้นได้ปฏิญาณตนว่าได้ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้วกลับมีจิตใจกลับกลอกหลอกหลอนตนเอง ไม่นับถือจริง เพราะถ้านับถือจริง ก็ต้องไม่นับถือสิ่งที่งมงาย ที่พระพุทธองค์ทรงตำหนิแล้ว ดังนั้นจึงปรากฏในภายหลังว่า ภิกษุผู้เป็นชั้นหัวหน้าผู้ที่ได้รับการอบรมจากท่านอาจารย์มั่น ฯ แล้ว จะต้องรู้จักวิธีการแก้ไขผู้นับถือผิดเกี่ยวกับภูตผีปีศาจเป็นต้นได้ทุกองค์ ถ้าแก้สิ่งงมงายเหล่านี้ไม่เป็น หรือพลอยนับถือไปกับเขาเสียเลย ก็จะรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ศิษย์ท่านอาจารย์มั่น ฯ แน่นอน เพราะว่าการแก้เรื่องภูตผีปีศาจเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากการนับถือที่ฝังอยู่ในสันดานมานานแล้ว และสถานที่อันเป็นเทวสถานหรือภูตผีอยู่ ก็จะถือว่ามันศักดิ์สิทธิ์ พากันหวาดเสียวไม่กล้าจะถ่ายถอนหรือกำจัดออกไป



    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้แนะนำทั้งวิธีการจัดการเกี่ยวกับการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวิธีการแนะนำโดยอุบายต่าง ๆ เมื่อท่านแนะวิธีแล้ว ท่านจะใช้ให้ไปทดลองปฏิบัติงานดูถึงผลงานที่ท่านเหล่านั้นไปปฏิบัติงาน


    ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้อธิบายว่าอันที่จริงการนับถืองมงายนี้เกิดจากการไม่เข้าใจถ่องแท้ในพระพุทธศาสนา หรือขาดการศึกษาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนานั้นเอง ยิ่งชาวชนบทห่างไกลความเจริญแล้ว ก็ยิ่งมีแต่เชื่อความงมงายกับสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นล่ำเป็นสันจึงเป็นสิ่งที่แก้ยากมากทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงว่าชาวชนบทจะพากันหลงงมงายหรอก แม้แต่ชาวเมืองหลวงอย่างในกรุงเทพฯ ก็ตาม ยังพากันหลงงมงายในสิ่งเหล่านั้นมาก เช่น เจ้าพ่อนั้นเจ้าพ่อนี้ บางแห่งก็พากันสร้างเป็นเทวสถานแล้วก็ไปบูชาถือเอาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปก็มีมากมาย


    ในเรื่องเหล่านั้นพระเถระบางองค์ถือว่าไม่สำคัญ แต่ท่านได้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกทีเดียว เพราะการจะเข้าถึงซึ่งความเป็นพระอริยะในขั้นแรกคือพระโสดาบัน ก็จะต้องแก้ไขถึงความเชื่อถือในเรื่องความงมงายเหล่านี้ให้หมดไป เพราะท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านต้องการสอนคนให้พ้นทุกข์จริงๆ สอนคนให้ เป็นอริยะกันจริงๆ ซึ่งบางคนพากันบำเพ็ญภาวนา ได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์ของตนว่ามีธรรมปฏิบัติชั้นสูงเกิดขึ้นในใจแล้ว แต่เขานั้นยังมีความหลงงมงายในการนับถือเหล่านั้น ใช้ไม่ได้เป็นอันขาด


    ชั้นสูงในที่นี้ท่านหมายเอาถึงอริยสัจจ์ เพราะวิกิจฉาความลังเสสงสัยต้องไม่มีแก่ใจของบุคคลผู้มุ่งหน้าปฏิบัติเพื่อความเป็นอริยะ


    ในปีนี้ท่านได้แนะนำแก่พระภิกษุแทบจะถือได้ว่าล้วนแต่หัวหน้าทั้งนั้น จึงเท่ากับท่านได้แนะแนวสำคัญให้แก่บรรดาศิษย์โดยแท้ จึงปรากฏว่า หลังจากท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้ธุดงค์ไปจังหวัดเชียงใหม่แล้ว มอบศิษย์ทั้งหลายให้แก่ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งศิษย์เหล่านี้เป็นศิษย์ชั้นหัวกะทิทั้งนั้น จึงเป็นกำลังให้ท่านอาจารย์สิงห์ฯ ในการที่จะปราบพวกนับถือผิดมีภูตผีได้เป็นอย่างดี นับแต่ท่านได้พาคณะออกจากจังหวัดอุบล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ นั้นแล้ว ก็เริ่มแก้ไขสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ โดยการเข้าไปอยู่ที่นั้น แนะนำประชาชนให้ทราบถึงข้อเท็จจริง จนเป็นที่เชื่อมั่นแล้ว พากันละจากการนับถือภูตผีกันมากมายทีเดียว ในจังหวัดทั้งหลายมี อุบล-ขอนแก่น-กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด-มหาสารคาม-นครราชสีมา ตามที่ท่านคณาจารย์เหล่านี้ผ่านไปแล้ว จะปรากฏได้ถูกแนะนำให้เลิกจากการนับถือที่งมงายลงมากมาย นั้นเป็นสมัยตื่นตัว และพากันได้ทราบความจริงอย่างมากมาย ซึ่งชาวชนบทจะไม่เคยได้รับธรรมคำสั่งสอนเช่นนี้มาก่อนเลย
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ.๒๔๖๖
    เสนาสนะ บ้านหนองบัวลำภู อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี
    ในพรรษานี้ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้จำพรรษาที่เสนาสนะป่า. บ้านหนองบัวลำภู อ.หนองบัวลำภูจ อุดรธานี นับเป็นปีที่ ๘ แห่งการแนะนำการปฏิบัติธรรม ซึ่งบังเกิดผลอย่างดียิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากท่านมีญาณสามารถรู้อุปนิสัยของบุคคล ท่านจึงเลือกสอนบุคคลที่ควรแก่การสอน บุคคลใดไม่มีนิสัยที่จะพึงปฏิบัติให้เกิดผล ท่านก็ไม่สอนให้เสียเวลา โดยเฉพาะท่านก็ใช้เวลาสอนพระภิกษุสามเณรเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะท่านมีอุดมคติในใจของท่านอยู่ว่า พระภิกษุสามเณรถ้าหากสอนให้ได้ผลดีแล้ว พระภิกษุสามเณรนั้นแม้องค์เดียวก็สามารถสอนฆราวาสได้นับเป็นจำนวนร้อยจำนวนพัน

    เหตุนั้นท่านจึงพยายามอบรมและแนะนำพระภิกษุสามเณรจริง ๆ และก็บังเกิดผลจริง ๆ ผ่านมา ๘ ปี ได้ผลอย่างอัศจรรย์ยิ่ง เพราะได้เพิ่มผู้รู้ผู้ฉลาดในการปฏิบัติอย่างหนาแน่นก่อนจะเข้าพรรษานี้ ท่านอาจารย์กู่ พระอาจารย์หลวงตาพิจารย์ ท่านอาจารย์กว่า สุมโน เป็นสามเณร และท่านอาจารย์เทสก์ เทสรงฺสี กับท่านอาจารย์ภูมี ฐิตธมฺโม พระอาจารย์หลวงตาชา พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล พระครูปลัดอ่อนตา ที่อยู่วัดบ้านเดื่อ

    ในและนอกพรรษาท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้อยู่ ณ ที่นี้เป็นเวลานาน ได้ทำการอบรมในข้อปฏิบัติเพื่อให้ซึ้งยิ่งขึ้น เพราะการปฏิบัติจิตใจเมื่อปฏิบัติไปจนเป็นจริงขึ้นมาแล้วจึงจะได้ศึกษาความจริง นั้นหมายความว่าต้องเป็นขึ้นมาในตัวของแต่ละบุคคลการแนะนำโดยการอธิบายล่วงหน้า คือการบอกแนวทางนั้น ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านก็อธิบายเพื่อความมั่นใจ และที่แท้คือการพูดด้วยความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นประการสำคัญ อย่างนี้เรียกว่าภูมิจิต ซึ่งเป็นคำที่ท่านพร่ำเสมอว่า ภูมิจิต ภูมิจิตของใครดำเนินไปได้แค่ไหน นี้เป็นเรื่องที่จะต้องได้ถามกันอยู่ตลอดเวลา

    เรื่องการสอบสวนถึงภูมิจิตนี้ เมื่อใครพระเณรรูปใดเข้ามาศึกษายังใหม่ พวกเราก็ไต่ถามกันเองและแนะนำกันเองไป เพราะมาตอนหลัง ๆ นี้ ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านสอนเฉพาะภูมิจิตชั้นสูงแล้ว ฉะนั้นในเบื้องต้นใครมีความรู้พอสมควรก็แนะนำกันในฐานะเป็นพี่เลี้ยง การกระทำเช่นนี้มิได้ถือว่าเป็นการเสียเกียรติของผู้ที่เริ่มเข้ามาปฏิบัติใหม่ เป็นการแบ่งภาระจากท่านอาจารย์มั่นฯ เพราะการศึกษาขั้นต้นนั้น ผู้ที่ได้เคยศึกษากับท่านอาจารย์มั่น ฯ มาก่อนแล้ว ก็ย่อมให้คำแนะนำได้อย่างเดียวกับท่านอาจารย์มั่น ฯ เช่นเดียวกัน ยิ่งครั้งหลังสุดเมื่อท่านอาจารย์มั่น ฯ อายุ ๗๐ กว่าปีขึ้นไปแล้ว ท่านไม่สอนเลยทีเดียวในเบื้องต้น เมื่อผู้ใดพระเณรองค์ใดเข้ามาฝึกใหม่ ท่านจะให้พระเก่าที่ได้รับการศึกษาแล้วแนะนำให้

    แม้เมื่อครั้งท่านเจ้าคุณอริยเวที (มหาเขียน) ท่านพระครู.... (พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) เข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ - ๒๔๘๘ ทั้ง ๒ องค์ ยังต้องรับการฝึกหัดแนะนำจากท่านวิริยังค์ สิรินฺธโร เสียก่อน เพราะท่านวิริยังค์แม้ขณะนั้นพรรษาพระเพียง ๒ - ๓ พรรษาเท่านั้น แต่ได้ปฏิบัติมานาน เชี่ยวชาญการแนะนำทางจิต ซึ่งสามารถสอนให้ปฏิบัติเบื้องต้นได้ ทั้ง ๒ องค์ คือพระมหาเขียนและพระมหาบัว ก็ต้องศึกษากับท่านวิริยังค์เสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้ได้ลู่ทางในอันที่จะศึกษาชั้นสูงต่อไปกับท่านอาจารย์มั่น ฯ เป็นการแบ่งเบาภาระการสอนของท่านอาจารย์มั่น ฯ

    แม้ตัวเราเอง ขณะที่อยู่กับท่านอาจารย์มั่นฯ ก็ต้องรับภาระนี้ตลอดมาเช่นกัน เพราะเหตุที่มีศิษย์ต่างได้รับภาระของครูบาอาจารย์ได้เช่นนี้จึงทำให้การสอนและดำเนินการได้ผลกว้างขวางขึ้นมาก เนื่องด้วยเหตุที่ว่าท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านมีชื่อเสียงกิตติศัพท์ในการปฏิบัติธรรม และเชื่อกันในขณะนั้นว่าถ้าผู้ใดอยู่ปฏิบัติกับท่านแล้วต้องได้รับผลอันเป็นความเยือกเย็น หรือความสว่างบริสุทธิ์แน่นอน จึงทำให้พระภิกษุสามเณรผู้มีความหวังผลในการปฏิบัติธรรม ได้หลั่งไหลไปทำการศึกษากับท่านอาจารย์มั่น ฯ มากขึ้นยิ่ง วาระสุดท้ายก็ยิ่งมากขึ้น ตามลำดับ.

    ขณะที่พักปฏิบัติธรรมร่วมอยู่กับท่านนั้น ท่านได้พาบำเพ็ญเองจะมีการประมาทไม่ได้ ต้องพยายามอย่างเต็มความสามารถของแต่ละบุคคล. ถ้าผู้ใดประมาทหรือไม่พยายามเพื่อการปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว ท่านจะต้องทราบในญาณของท่านทันที ท่านก็จะตักเตือนในขั้นแรก เมื่อผู้นั้นเชื่อก็ดีไป แต่ถ้าไม่เชื่อ ท่านจะตักเตือนเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อผู้นั้นเชื่อก็ดีไป ถ้าไม่เชื่อ ท่านจะตักเตือนเป็นครั้งที่ ๓ ครั้งนี้ถ้าไม่เชื่อท่านก็ไล่ออก ไม่ให้อยู่ ต่อไป ฉะนั้นถ้าหากองค์ใดสามารถอยู่กับท่านได้เป็นเวลานานพอสมควร ก็จะต้องได้ผลสมความตั้งใจแน่นอน เพราะนโยบายและอุบายการฝึกหัดของท่านนั้นมีเพียบพร้อม พร้อมที่จะแนะนำให้แก่ศิษย์ทุก ๆ องค์ที่มีนิสัยเป็นประการใด ท่านก็จะแสดงธรรม หรืออบรมตามที่มีนิสัยวาสนามาอย่างไร จึงทำให้ได้ผลอย่างมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ในข้อนี้ผู้ที่เคยไปอยู่ศึกษาปฏิบัติมากับท่านแล้วจะทราบได้ดีด้วยตนเอง
    การปฏิบัติอันเป็นวัตรที่ท่านอาจารย์มั่นฯ พาศิษย์ของท่านปฏิบัตินั้นออกจะแปลกกว่าบรรดาพระปฏิบัติหรือพระอื่น ๆ ในสมัยนั้นมาก เช่นการฉันหนเดียว การฉันในบาตร เฉพาะการฉันในบาตรนี้ เวลาไปในบ้านหรือเขานิมนต์ให้ไปฉันในบ้านต้องเอาบาตรไปด้วย เขาจัดสำรับคาวหวานอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดีท่านก็เอาเข้าใส่บาตรหมด ด้วยเหตุที่ท่านได้นำมาปฏิบัติเช่นนี้ ศิษย์ผู้หวังดีและใคร่ในธรรมกับได้ผลการปฏิบัติมาแล้ว ก็ต้องรักษาข้อปฏิบัติเหล่านี้

    ท่านพระครูปลัดอ่อนตา ท่านมีความเลื่อมใสท่านอาจารย์มั่นฯ เป็นอย่างยิ่ง และสนใจต่อข้อปฏิบัติของท่านอาจารย์มั่นฯ ยิ่งนัก แต่เนื่องด้วยท่านพระครูรูปนี้ท่านมีนิสัยสนใจมานานแล้ว เมื่อมาได้รับการศึกษาเพิ่มเติมเข้า ยิ่งทำให้ท่านได้มีความเลื่อมใสต่อข้อปฏิบัติภิญโญยิ่งๆ ขึ้นไปอีกตามการปฏิบัติดังที่ได้ปฏิบัติตามแนวของพระอาจารย์มั่นฯ นั้น

    แต่แนวการปฏิบัตินี้มิใช่ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านตั้งขึ้นเอง ซึ่งเป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติจริงเช่นนั้นย่อมเป็นการขัดข้องต่อบุคคลบางคนเป็นธรรมดา เพราะบางคนหาว่ารุ่มร่าม หาว่าอวดเคร่งในท่ามกลางชุมนุมชน หาว่าไม่รู้กาลเทศะ หาว่าคร่ำครึ หาว่าเป็นคนล้าสมัย พากันว่ากันไปต่าง ๆ นานา ท่านพระครูจึงได้นำข้อครหาเหล่านี้เข้ากราบเรียนต่อท่านอาจารย์มั่นฯ ว่า

    พวกเราปฏิบัติตรงต่อพระธรรมวินัยทุกประการ ย่อมเป็นการขัดข้องเขา หากว่าเราปฏิบัติเคร่งครัดเกินไป ไม่รู้จักกาลเทศะ คร่ำครึไม่ทันกาลทันสมัย

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ จึงได้ตอบว่า

    พวกเราผู้ปฏิบัติพระธรรมวินัยนั้น จะถือเอาชาวบ้านนักบวชผู้นอกรีตเป็นศาสดา หรือจะถือเอาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของพวกเรา ถ้าจะถือเอาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของตน ก็ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระองค์เจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วทุกประการ หรือถ้าต้องการเอาผู้อื่นนั้นนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ก็จงปฏิบัติตามผู้นั้นไป

    ครั้นท่านพระครูปลัดอ่อนตาได้ฟังท่านอาจารย์พูดแนะอุบายเท่านี้ ก็ทำให้เกิดความเลื่อมใสในข้อปฏิบัติต่างๆ ที่ได้ดำเนินตามท่านอาจารย์มั่นๆ และก็การปฏิบัติตามท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็คือปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัดและตรงแน่ว

    เมื่อท่านพระครูปลัดอ่อนตาได้อยู่อบรมกับท่านอาจารย์มั่นฯ พอสมควรแล้ว ท่านได้ลาพระอาจารย์มั่นฯ เดินธุดงค์ไปตามสถานที่ที่อันสงัดวิเวก ตามชนบทหมู่บ้านอันอยู่ชายป่าและภูเขา จนได้รับความเย็นอกเย็นใจเป็นไปกับด้วยความเพียรตามสมควรแล้ว ท่านก็กลับไปทางภูมิลำเนาเดิม แต่ไม่ได้เข้าไปพักที่วัดเดิมของท่าน ได้เลยไปพักอยู่ที่ริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งใกล้กับบ้านโนนทัน (ต่อมาได้เป็นวัดชื่อวัดโยธานิมิต จนถึงปัจจุบันนี้) และใกล้กับกรมทหารด้วย

    สมัยนั้นกรมทหารพึ่งจะยกมาตั้งอยู่ใหม่ ทั้งยังไม่มีวัดอื่นที่ใกล้เคียงนั้นด้วย ผู้บังคับการทหารพร้อมด้วยชาวบ้านจึงได้นิมนต์ให้ท่านพักอยู่ในสถานที่นั้น แล้วช่วยกันจัดการทุก ๆ อย่างจนเป็นวัดขึ้นโดยสมบูรณ์ เพื่อให้ถูกกับทหารสร้างจึงให้นามว่า โยธานิมิต

    ต่อมาไม่นานท่านพระครูปลัดอ่อนตาพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหมดมีความเห็นพร้อมกันว่า เราก็ได้ปฏิบัติข้อวัตรธรรม.ทุกอย่างตามรอยของท่านอาจารย์มั่นฯ จนได้รับผลอย่างพอใจพวกเราแล้ว ยังขาดสิ่งสำคัญคือยังไม่ได้เป็นพระธรรมยุตเหมือนท่าน เพื่อให้เป็นการสมบูรณ์ในการเลื่อมใสในตัวท่านและข้อปฏิบัติของท่าน เราควรทำทัฬหิกรรมเสียใหม่ เมื่อพร้อมใจกันแล้วก็ได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) มาเป็นอุปัชฌายะ เมื่อสำเร็จแล้วท่านพระครูปลัดอ่อนตาก็พาคณะไปอยู่ที่วัดโยธานิมิตนั้นตามเดิม

    ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ก็ให้ท่านอาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโน ผู้ทรงคุณวุฒิ อายุพรรษามากเป็นลูกศิษย์ต้นของท่านอาจารย์มั่นฯ ให้ไปอยู่ด้วยเพื่อเป็นการให้นิสัย แต่ท่านพระครูปลัดอ่อนตาท่านก็คงแก่เรียนมาแล้วและเป็นผู้รักในการปฏิบัติตามแนวของท่านอาจารย์มั่นฯ อย่างดีแล้ว ก็เป็นอันรับผิดชอบในตัวเองได้
    ในกาลต่อมาไม่ช้านัก ท่านอาจารย์สุวรรณก็จาริกไปหาวิเวกส่วนตัว และท่านพระครูปลัดอ่อนตาก็อยู่ในวัดนั้นทำประโยชน์ในด้านการปฏิบัติและแนะนำพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาสืบต่อไป
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๖๗
    เสนาสนะป่าบ้านค้อ รอบสอง

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้พักจำพรรษาที่บ้านค้อ อำเภอผือ อุดรธานี เป็นรอบที่สอง แต่ย้ายสถานที่ใหม่ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดแล้ว การจำพรรษานี้นั้นก็เช่นเดียวกับพรรษาก่อน ๆ เนื่องด้วยมีพระภิกษุสามเณรสนใจในตัวของท่านมากขึ้น จึงได้หลั่งไหลมาศึกษาธรรมปฏิบัติกับท่านมากขึ้นเป็นลำดับ และท่านก็ได้แนะนำข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ให้ตามที่ได้แสดงไว้แล้วโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะว่าเป็นข้อปฏิบัติที่พิสูจน์ได้แน่ชัดแล้วว่าเป็นทางพ้นทุกข์ได้จริง และได้ผลแก่บุคคลผู้ตั้งใจจริงเป็นแต่ว่าท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านคอยประคับประคอง และเป็นผู้นำเพื่อให้เกิดผลอย่างจริงจังแก่ผู้หวังดี ดังนั้นเมื่อผู้ได้เข้าไปศึกษาปฏิบัติกับท่านแล้วจึงไม่มีการผิดหวังได้ผลแทบร้อยเปอร์เซ็นทีเดียว



    พอออกพรรษาท่านก็จะพาออกธุดงค์ แสวงหาที่สงัดวิเวกแยกกันออกเป็นหมู่เล็ก ๆ เพื่อมิให้เป็นปลิโพธในหมู่มาก ปีนี้ท่านได้เดินธุดงค์ไปทางบ้านนาหมี บ้านนายูง และบ้านผาแดง-แก้งไก่ ท่านได้พาคณะเข้าไปพักอยู่ที่ป่าในหุบเขาแห่งหนึ่ง และมีหมู่บ้านอยู่ในที่ใกล้ ๆ นั้น เป็นที่อยู่กลางดงลึกมาก เดินเป็นวัน ๆ เต็ม ๆ จึงจะถึง ไกลจากคมนาคมมากทีเดียว


    ที่หมู่ภูเขานั้นมีภูเขาลูกหนึ่งมีลักษณะเหมือนตึกหลาย ๆ ชั้น ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านนั้นเท่าไรนัก ในภูเขาลูกนั้นมีผีตีนเดียวอยู่ตัวหนึ่ง ผีตัวนั้นมันได้เข้าไปอาละวาดพวกชาวบ้านอยู่บ่อย ๆ คือมันทำให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง ถึงให้ตายบ้าง บางครั้งเอาไฟไปเผาบ้านของเขาบ้าง ขว้างค้อน ปาไม้ใส่คนใส่สัตว์เลี้ยงบ้าง เวลามันจะเข้าไปประทุษร้ายคนในบ้านนั้น ได้แสดงกิริยาอาการไม่ผิดอะไรกับคนธรรมดา ต่างแต่ไม่เห็นตัวมันเท่านั้น เสียงมันเดินได้ยิน รอยเท้าก็เห็น แต่ใหญ่และยาวกว่ารอยเท้าของคนธรรมดา เศษบุหรี่ของมันก็ได้เห็น ท่อนไม้ที่มันเอาขว้างไม่หมดก็เห็นทิ้งไว้เป็นกองๆ เมื่อชาวบ้านพร้อมกันเข้าไล่ มันก็วิ่งหนีไป พอสงบคนหน่อยมันก็เข้ามาทำการอาละวาดต่อไปอีก บางคืนพวกชาวบ้านไม่ได้นอนเพราะมันอาละวาดไม่หนี แม้การไปนอนค้างคืนในป่า บางคนเพื่อเฝ้าไร่เฝ้านา หรือด้วยกิจอย่างอื่นก็ดี ย่อมไม่ได้รับความผาสุกเลยเลย ถูกแต่เจ้าผีตัวนี้มันรบกวนอยู่เสมอ



    ครั้งท่านอาจารย์มั่นฯ ไปพักอยู่ที่นั้น พวกชาวบ้านได้เข้าไปร้องทุกข์ต่อท่าน ขอให้ท่านได้เมตตาแก่เขามาก ๆ เมื่อพระคุณท่านจะมีวิธีใดพอจะเปลื้องทุกข์นี้ออกได้ เขามีความยินดีที่จะปฏิบัติตามทุกอย่าง เมื่อท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้ทราบถึงความทุกข์เดือดร้อนของชาวบ้านอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ได้พยายามเจริญเมตตาฌานอย่างมาก พร้อมทั้งแนะนำให้พระที่ติดตามมาช่วยกันเจริญเมตตาฌาน และได้แนะนำชาวบ้านโดยธรรมเบื้องต้นคือ ให้ชาวบ้านมาปฏิญาณตนถึงพระไตรสรณคมน์เป็นอุบาสกอุบาสิกาและให้รักษาศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ทั้งสอนให้ไหว้พระสวดมนต์ บำเพ็ญกัมมัฏฐานภาวนาเจริญเมตตาภาวนาเป็นประจำทุกวัน



    นับแต่นั้นมา เมื่อท่านได้พักอยู่ที่นั้น ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแก่ชาวบ้านนั้นก็ได้สงบระงับไป เมื่อท่านได้ออกไปจากสถานที่นั้นแล้ว ภัยพิบัติเหล่านั้นก็สงบอยู่เย็นเป็นสุขกันตลอด ๑๐ ปี ต่อมาคนเก่าที่สำคัญก็ตายไปบ้าง ทั้งไม่เคยมีผีตัวนั้นมาอาละวาดบ้าง ทั้งไม่เชื่อว่าจะเป็นจริงบ้าง เลยพากันละเลยข้อวัตรปฏิบัติ ไหว้พระสวดมนต์เจริญเมตตาภาวนา ที่ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้แนะนำสั่งสอนไว้ ภายหลังปรากฏว่าผีตัวนั้นได้กลับเข้าไปทำการอาละวาดพวกชาวบ้านนั้นอีก ในครั้งนี้ถึงกับได้พากันอพยพครอบครัวหนีไปหมด เพราะฝืนอยู่ต่อไปไม่ได้เสียแล้ว จึงต้องได้ทอดทิ้งให้มันเป็นป่าตามสภาพเดิมของมันต่อไป


    ท่านอาจารย์สุวรรณ สุจิณโณ ท่านองค์นี้ถือว่าเป็นศิษย์รุ่นแรกพร้อมกับท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ปีนี้ท่านได้พยายามติดตามท่านอาจารย์มั่นฯ อย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะได้ทราบความตื้นลึกหนาบางของข้อวัตรปฏิบัติอันเป็นภายนอก และการดำเนินจิตอันเป็นภายใน การดำเนินจิตนอกจากจะหาอุบายเพื่อทำลายกิเลส เพื่อความพ้นทุกข์แล้ว ยังมีการทำให้เป็นอย่างอื่น ๆ อีกมากมาย แม้แต่ท่านอาจารย์มั่นฯ เองก็ได้เคยทำมาให้เป็นตัวอย่างแก่สานุศิษย์แล้ว เช่นเมื่อท่านอาพาธ ท่านใช้ระงับอาพาธของท่านเองด้วยกำลังจิต และระงับอาพาธให้แก่บุคคลอื่นด้วยกำลังจิต


    ในกาลครั้งนั้นท่านอาจารย์สุวรรณท่านเป็นไข้มาเลเรียเรื้อรัง จนป้างหย่อน (ม้ามย้อย คือม้ามโต) อันเป็นผลมาจากไข้มาเลเรียนั้นเอง โรคนี้เองที่ทำความรำคาญให้แก่ท่านตลอดเวลา ซึ่งทำให้จับไข้วันเว้นวัน และทำให้กำลังทรุดลงทรุดลง ท่านจึงได้เข้าปรึกษาการรักษาโรคนี้กับท่านอาจารย์มั่นฯ



    ท่านอาจารย์จึงได้แนะนำอุบายให้คือ



    เมื่อบำเพ็ญจิตให้เกิดกระแส แต่ก่อนที่เราบำเพ็ญมาในเบื้องต้นนั้นเราทำจิตให้เกิดกำลังแล้ว จิตก็จะเกิดกระแส ๆ จิตนี้มีกำลังมากขึ้นจากการอบรม เราได้ใช้กระแสจิตนี้พิจารณากายทุกส่วนจนเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้วอบรมให้มากก็เป็นผล คือจิตดำเนินเข้าสู่อริยสัจจ์ เมื่อเราจะนำมาเป็นประโยชน์แก่การรักษาโรคของตัวของเรา เราก็พึงใช้กระแสจิตนี้เพ่งเข้าที่เกิดโรค เราเป็นโรคอะไรที่ไหน ต้องพิจารณาให้เห็นสมุฏฐานของมันเสียก่อน ว่าตำแหน่งที่เกิดโรคอยู่ตรงไหน เมื่อทราบชัดแล้วก็ใช้กระแสจิตเพ่งเข้าไป การเพ่งเข้าไปในที่นี้ก็เหมือนกับเราพิจารณากายเหมือนกัน ต่างแต่การกำหนดแก้โรคนี้ต้องกำหนดลงจุดเดียว ณ ที่สมุฏฐานของโรคนั้น



    ท่านอาจารย์สุวรรณได้อุบายนี้แล้ว ก็ได้ไปดำเนินจิตอยู่อย่างนั้นองค์เดียวที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง กำหนดลงครั้งแรกได้เห็นสมุฏฐานการเกิดของโรคคือ ม้าม ท่านได้กำหนดลงจุดเดียวด้วยอำนาจแห่งกระแสจิต อันเป็นแสงคมกล้า เพียงสามวันเท่านั้นก็ปรากฏชัดขึ้นในจิต ครั้นแล้วก็หายจากม้ามหย่อนนั้นฉับพลัน ท่านคลำดูอยู่ทุกวัน แต่กาลก่อนม้ามนี้ได้ยานลงมาประมาณฝ่ามือหนึ่ง บัดนี้ได้หดเข้าอยู่เท่าเดิม ตั้งแต่นั้นมาไข้ป่ามาเลเรียก็หยุดจับ ร่างแข็งแรงเป็นปรกติ อย่างน่าอัศจรรย์ ท่านได้เอาไปเล่าถวายท่านอาจารย์มั่น ฯ ๆ ก็รับรอง


    ครั้นท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้พักวิเวกอยู่ที่ผาแดง-แก้งไก่ พอสมควรแล้วก็ได้ออกเดินทางไปทางอำเภอท่าบ่อ ได้เข้าไปพักอยู่ที่ราวป่าใกล้กับป่าช้าของอำเภอท่าบ่อนั้น (ปัจจุบันเป็นวัดอรัญวาสี) ณ ที่นี้เองนับเป็นครั้งสำคัญยิ่งครั้งหนึ่งที่บรรดาท่านผู้ที่มีบุญมีวาสนามาศึกษาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านหลายองค์คือ ท่านอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร ท่านอาจารย์อ่อน ญาณลิริ ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านอาจารย์กว่า สุมโน ท่านเหล่านี้ได้ตั้งใจปฏิบัติตามโอวาทของท่านอาจารย์มั่น ฯ อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แม้ท่านอาจารย์มั่น ฯ จะแนะนำเช่นใด ท่านทุกองค์ต้องทำตามให้จนได้ จนปรากฏว่าทุกองค์ได้ผลทางใจอย่างยวดยิ่ง เลื่อมใสท่านอาจารย์มั่นฯ อย่างถึงขีดสุด แล้วก็ได้ขอให้ท่านจัดการที่จะทำการบวชใหม่ เพราะทุกองค์ได้เป็นพระมหานิกายมาก่อน ท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็ได้อาราธนาท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) มาเป็นอุปัชฌาย์ ทัฬหิกรรมให้จนเป็นที่เรียบร้อยทุกประการ


    ท่านอาจารย์ทุกองค์นี้ภายหลังได้ทำประโยชน์แก่หมู่ชนอย่างใหญ่หลวงทุก ๆ องค์ โดยที่ท่านได้แนะนำผู้เห็นพระภิกษุสามเณร และญาติโยมให้ได้รับธรรมอันลึกซึ้งมากมายทีเดียวและท่านเหล่านี้ทุกองค์ได้สร้างสำนักปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานองค์ละหลายๆ สำนัก ซึ่งก็ปรากฏเป็นสำนักปฏิบัติธรรมอยู่จนบัดนี้มีมากมายหลายแห่งทั่วทุกภาคในประเทศไทย
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ.๒๔๖
    เสนาสนะป่า อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย

    ในปีนี้ท่านอาจารย์มั่น ฯ พักอยู่ที่เสนาสนะป่า (วัดอรัญวาสี ปัจจุบัน) อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย พระอาจารย์เสาร์พักจำพรรษาที่วัดราช ใกล้บ้านน้ำโขง (ปัจจุบันชื่อวัดพระงาม) ท่านอาจารย์สิงห์-มหาปิ่นจำพรรษาบ้านหนองปลาโหล สถานที่ท่านอาจารย์เสาร์พักอยู่นั้นมีพระพุทธรูปเก่าสมัยเวียงจันทร์ชำรุดไปบ้าง ท่านพร้อมกับท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้เป็นผู้บูรณะให้ปกติดังเดิม เมื่อทำเรียบร้อยแล้วประชาชนได้ไปเห็นก็พากันกล่าวชมว่างาม ภายหลังจึงเรียกชื่อวัดนั้นว่า วัดพระงามต่อมาจนถึงทุกวันนี้


    อนึ่งเมื่อท่านพักอยู่ในท้องถิ่นนั้น ก็ได้แนะนำธรรมปฏิบัติ จนเกิดความเลื่อมใสยิ่งในพระพุทธศาสนา และก็ปรากฏว่าประชาชนแถบนั้นได้เป็นผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรมจนถึงทุกวันนี้


    ครั้นออกพรรษาแล้ว ได้พาคณะธุดงค์วิเวกไปทางบ้านหนองปลาโหลและไปถึงบ้านอากาศ (ปัจจุบันเป็นอำเภออากาศอำนวย) ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ก็มารอพบท่านอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาธรรมบางประการ ท่านอาจารย์เทสก์ เทสรํสี กับพระอีก ๔ รูป ก็ได้ธุดงค์ตามท่านต่อไปจนถึงบ้านสามผง ดงพเนาว์ พักอยู่ที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง


    ณ สถานที่วิเวกแห่งนี้ได้กลับกลายเป็นสถานที่สำคัญ คือได้เกิดมีพระอาจารย์ผู้มีบุญวาสนาบารมีได้เข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติ เช่น พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และคณะของท่าน เพราะท่านอาจารย์เกิ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย ผู้คนในละแวกนั้นนับถือมาก เป็นอาจารย์ใหญ่ เมื่อได้ยินข่าวท่านอาจารย์มั่น ฯ มาพักอยู่ที่ป่าและทราบกิตติศัพท์มานานแล้ว จึงใคร่ที่จะทดลองไต่ถามอรรถปัญหาต่าง ๆ ท่านอาจารย์เกิ่งพร้อมคณะจึงได้ไปพบท่านที่ป่าแห่งนั้น


    เมื่อได้ ไต่ถามอรรถปัญหาธรรมต่าง ๆ ท่านอาจารย์เกิ่ง และคณะก็เกิดความอัศจรรย์ ในการโต้ตอบอรรถปัญหาของท่านอาจารย์มั่น ฯ เพราะแต่ละคำที่ได้รับคำตอบตรงใจจริงๆ ตอนหนึ่งท่านอาจารย์เกิ่งได้ถามว่า



    ท่านปฏิบัติจิตกัมมัฏฐานเพื่ออะไร



    ได้รับคำตอบว่า เพื่อความบริสุทธิ์


    ท่านอาจารย์เกิ่งถามว่า ความบริสุทธิ์เกิดจากอะไร



    ได้รับคำตอบว่า เกิดจาก อริยสัจจธรรม



    ท่านอาจารย์เกิ่ง ถามว่า สัจจธรรมอยู่ที่ไหน


    ได้รับคำตอบว่า อยู่ที่ตัวของคนทุกคน



    ถามว่า อยู่ในตัวของทุกๆ คน ทำไมทุกคนจึงไม่บริสุทธิ์


    ตอบว่า เพราะเขาไม่รู้วิธีการ


    ถามว่า ทำไมจึงจะต้องมีวิธีการ


    ตอบว่า เหมือนกับทรัพยากรพวกแร่ธาตุต่างๆ อยู่ใต้ดิน คนไม่มีวิธีการ ก็เอาแร่ธาตุทรัพยากรเหล่านั้นมาใช้ไม่ได้ แร่ธาตุจะมีประโยชน์ต่อมนุษย์ ก็ต่อเมื่อมนุษย์มีวิธีการนำขุด นำเอามาใช้ให้ถูกต้องตามวิธีการ แม้อริยสัจจธรรมก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่ในตัวเราเอง ก็จะต้องมีวิธีการที่ถูกต้อง จึงจะบังเกิดเป็นอริยสัจจได้


    เท่านั้นเองท่านอุปัชฌาย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก ก็เลื่อมใส และเข้ามาขอปฏิบัติอยู่กับท่านอาจารย์มั่นฯ จนเกิดความเย็นใจเป็นอย่างยิ่ง ได้ขอมอบตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ฯ พร้อมใจกันกับศิษย์เพราะได้ปฏิบัติจิตกันทั้งศิษย์อาจารย์ ยอมสละบวชทำทัฬหิกรรมใหม่ เป็นพระธรรมยุตทั้งวัด.


    ในครั้งนั้น จึงทำให้ชาวบ้านชาวเมืองได้เลื่องลือกันว่า. พระอาจารย์มั่น ฯ เป็นผู้วิเศษสำคัญ เพราะได้ทรมานพระอาจารย์เกิ่งได้ เนื่องจากชาวบ้านชาวเมืองเลื่อมใสพระอาจารย์เกิ่งมาก ในปีนี้จึงเป็นปีสำคัญมากปีหนึ่ง เพราะหลังจากท่านอาจารย์เกิ่ง ได้มาเป็นศิษย์แล้ว ยังมีท่านยาคูสีลา ที่เป็นอาจารย์ใหญ่อยู่แถบนี้เหมือนกัน เป็นเพื่อนกันกับอาจารย์เกิ่ง เมื่อทราบว่าเพื่อนสละวัดเช่นนั้นก็เฉลียวใจ จึงได้ไปพบ หลังจากพบแล้ว ท่านอาจารย์เกิ่งก็นำท่านยาคูสีลาไปมอบตัวกับพระอาจารย์มั่นฯ ได้ฟังและได้ปฏิบัติตาม ก็เกิดความเย็นใจเหลือเกิน ท่านยาคูสีลาก็ได้สละวัดและศิษย์จำนวนมากมาบวชเป็นพระธรรมยุตทั้งสิ้น.


    ระยะนี้เอง ทำให้ชื่อเสียงของท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้กระฉ่อนไปว่า หากใครอยากพ้นทุกข์ ต้องการความบริสุทธิ์ต้องการของจริงในพระพุทธศาสนาแก้ว จงได้พยายามติดตามและปฏิบัติกับท่าน จะได้รับผลอย่างแท้จริง
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๖๙
    เสนาสนะป่าบ้านสามผง
    กิ่งอำเภอศรีสงคราม ท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

    ท่านอาจารย์มั่นฯ และพระภิกษุสามเณรหลายรูป จำพรรษาที่เสนาสนะป่า บ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่านอาจารย์สิงห์กับท่านอาจารย์มหาปิ่นจำพรรษากันที่บ้านอากาศ ท่านอาจารย์กู่ ธมฺทินโน จำพรรษาที่บ้านโนนแดง อาจารย์อุ่น ธมฺมธโร จำพรรษาที่บ้านข่า ท่านอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโร ธุดงค์ออกจากวัดพระงาม อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย แล้วก็ไปเชียงคาน จังหวัดเลย ขึ้นไปที่ภูฟ้า ภูหลวง แล้วก็กลับมาจังหวัดอุดรธานี จำพรรษาอยู่ที่เสนาสนะป่า บ้านดงยาง อำเภอหนองหาน


    หลังจากออกพรรษาแล้วในปีนี้ พระอาจารย์มั่นฯ พระอาจารย์เสาร์ฯ ก็ได้เรียกบรรดาพระอาจารย์ที่เป็นศิษย์ทุกองค์ ให้มาประชุมพร้อมกันที่บ้านโนนแดง ในการประชุมในครั้งนี้ ท่านได้วางระเบียบการปฏิบัติเกี่ยวกับการอยู่ป่า เกี่ยวกับการตั้งสำนักปฏิบัติเกี่ยวกับแนวทางแนะนำสั่งสอนปฏิบัติจิต เพื่อให้คณะศิษย์นำไปปฏิบัติให้เป็นระเบียบเดียวกัน


    เมื่อเสร็จจากการประชุมในครั้งนี้ ทุกองค์ต่างก็แยกย้ายกันออกไปธุดงค์หาวิเวกตามสถานที่จังหวัดต่างๆ โดยมิให้มีการนัดแนะว่าจะไปพบกัน ณ สถานที่ใด แต่ด้วยเหตุอะไรไม่ทราบทุก ๆ องค์ก็เผอิญไปพบกันเข้าอีก ที่จังหวัดสกลนคร ในขณะนั้นนางนุ่ม ชุวานนท์ ผู้ที่เคยมีความเลื่อมใสในท่านอาจารย์ทั้งสอง (พระอาจารย์มั่น ฯ และพระอาจารย์เสาร์ ฯ ) มานานแล้ว และมารดาของนางนุ่ม ได้ถึงแก่กรรมลง กำลังจะจัดการฌาปนกิจ ก็พอดีได้ทราบข่าวท่านอาจารย์ทั้งสอง พร้อมด้วยสานุศิษย์เป็นอันมาก กำลังร่วมกันเดินทางมุ่งหน้าเข้าเขตสกลนคร จึงได้เดินทางไปขอนิมนต์ให้มาพักอยู่ที่เสนาสนะป่า (ซึ่งปัจจุบันนี้ได้กลายเป็น วัดป่าสุทธาวาสแล้ว) เมื่อพระอาจารย์พร้อมด้วยสานุศิษย์นั้นพักอยู่ เพื่อเป็นการฉลองศรัทธาไม่เฉพาะแต่นางนุ่มเท่านั้น แต่เพื่อฉลองศรัทธาของชาวเมืองสกลนครทั้งมวล ซึ่งชาวเมืองสกลนครทั้งหลายได้เห็นพระปฏิบัติมาอยู่รวมกันมากมายเช่นนั้น ก็ทำให้เกิดศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ได้พากันไปศึกษาธรรมปฏิบัติจนได้รับการช่ำชอง และเป็นนิสัยปัจจัยมาจนทุกวันนี้


    ขณะนั้นพระยาปัจจันตประเทศธานี บิดาของพระพินิจฯ ถึงแก่กรรม เจ้าภาพก็ได้อาราธนาพระอาจารย์ทั้งสองพร้อมด้วยสานุศิษย์ เพื่อบำเพ็ญกุศล ท่านอาจารย์ทั้งสองก็ให้อุปการะเป็นอย่างดี เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ จึงได้อนุมัติให้พระไปฉันในบ้านได้ ในงานฌาปนกิจศพบิดาของพระพินิจ เป็นครั้งแรกตั้งแต่นั้นมา เพราะเบื้องต้นพระคณะกัมมัฏฐานได้รักษาธุดงค์วัตรอย่างเข้มงวดกวดขันจริงๆ ไม่มีการอนุโลมให้รับนิมนต์ไปฉันภัตตาหารในบ้าน


    เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจทั้งสองศพนั้นแล้ว พระอาจารย์ทั้งสองและสานุศิษย์ต่างก็แยกย้ายกันธุดงค์ไปคนละทิศละทางตามอัธยาศัย ส่วนท่านอาจารย์มั่นฯ ธุดงค์ไปทางบ้านเหล่าโพนค้อ ได้แวะไปเยี่ยมอุปัชฌาย์พิมพ์ ซึ่งท่านองค์นี้เป็นนักปฏิบัติมาเก่าแก่ แต่การปฏิบัติของท่านยังไม่ถูกทางจริง ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้แนะนำโดยให้เจริญวิปัสสนาจนได้รับผลเป็นที่พอใจ และอุปัชฌาย์พิมพ์ก็ได้ยกย่องท่านอาจารย์มั่น ๆ ว่า


    เป็นผู้มีความชำนาญในการปฏิบัติอย่างยิ่ง


    ต่อจากนั้นท่านก็ลาพระอุปัชฌาย์พิมพ์ ธุดงค์ต่อไป และพักบ้านห้วยทราย ๑๐ วัน โดยจุดมุ่งหมาย ท่านต้องการจะเดินทางกลับไปที่จังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้บรรลุถึงหมู่บ้านหนองขอน ซึ่งชาวบ้านเมื่อได้ฟังธรรมเทศนาของท่านแล้ว เกิดความเลื่อมใสจึงได้พร้อมใจกันอาราธนาให้ท่านจำพรรษา เมื่อท่านเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ก็รับอาราธนา ชาวบ้านจึงช่วยกันจัดแจงจัดเสนาสนะถวายจนเป็นที่พอเพียงแก่พระภิกษุที่ติดตามมากับท่าน
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๗๐
    เสนาสนะป่า บ้านหนองขอน อำเภอบุ่ง
    (อำนาจเจริญ) จังหวัดอุบลราชธานี

    ในพรรษานี้ท่านได้พักอยู่บ้านหนองขอน ตามที่ชาวบ้านได้อาราธนา พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม จำพรรษาที่บ้านหัวสะพาน บริเวณใกล้เคียงกัน


    เมื่อเราได้อยู่ศึกษาธรรมมะปฏิบัติกับท่าน ได้รับผลเห็นที่พอใจ และก็ได้ออกไปบำเพ็ญสมณะธรรมโดยตนเองในสถานที่ต่างๆ ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์มั่น ฯ กำลังเดินทางไปจังหวัดอุบลฯ เราจึงได้พยายามธุดงค์ติดตามท่านไป ในระหว่างทางเราได้ไปพบพระลี (อาจารย์ลี ธมฺมธโร ) ณ ที่บ้านหนองสองห้อง อำเภอม่วงสามสิบ ท่านก็เป็นพระมหานิกายเหมือนกัน เราได้อธิบายธรรมปฏิบัติที่ได้ศึกษามาจากท่านอาจารย์มั่น ฯ แล้วก็พาปฏิบัติจนเกิดความอัศจรรย์ในการปฏิบัตินั้นแล้ว พระลีมีความสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ธุดงค์ร่วมกันกับเรา เพื่อจะได้ไปพบท่านอาจารย์มั่น ฯ


    (เราในที่นี้หมายถึง พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ อาจารย์องค์แรกของผู้เขียน)


    ครั้นออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็ได้เดินธุดงค์ไปถึงตัวจังหวัดอุบล เรากับพระลีก็ได้ติดตามไปพบท่านอาจารย์มั่นฯ ที่วัดบูรพา พอดีขณะนั้นท่านเจ้าคุณปัญญาพิศาลเถระ (หนู) ขึ้นมาจากกรุงเทพฯ ได้พักอยู่ที่วัดบูรพาร่วมกับท่านอาจารย์มั่น ฯ และท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านก็พิจารณาเห็นว่า เรากับพระลีควรจะได้บวชเสียใหม่ เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วน ท่านเจ้าคุณปัญญาพิศาลเถระก็ได้เป็นอุปัชฌาย์ บวชให้เรากับพระลีเป็นพระธรรมยุต


    คณะสานุศิษย์เก่า ๆ ทั้งหลาย อันมีอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร, อาจารย์อ่อน ญาณสิริ, อาจารย์ฝั้น อาจาโร, อาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก พร้อมด้วยศิษย์อาจารย์หลุย อาจารย์กว่า สุมโน, อาจารย์คูณ, อาจารย์สีลา, อาจารย์ดี ( พรรณานิคม ) อาจารย์บุญมา (วัดป่าบ้านโนนทัน อุดรธานี ในปัจจุบันนี้ ) อาจารย์ทอง อโสโก อาจารย์บุญส่ง (บ้านข่า) อาจารย์หล้า หลวงตาปั่น (อยู่พระบาทคอแก้ง) ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์มั่น ฯ เดินทางมาพำนักอยู่ในจังหวัดอุบลฯ ทุกองค์เหล่านี้ก็ได้ติดตามมาในเดือน ๓ เพ็ญ บรรดาศิษย์ทั้งหมด มีท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นต้น ก็ได้ร่วมประชุมอบรมธรรมปฏิบัติอย่างที่เคย ๆ ปฏิบัติกันมา


    ในค่ำคืนวันหนึ่ง ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้เข้าที่ทำสมาธิภาวนาก็ได้ปรารภว่า


    จะออกจากหมู่คณะไปแสวงหาสถานที่วิเวก เพื่อจะได้มีโอกาสพิจารณาค้นคว้าในปฏิปทาสัมมาปฏิบัติ ให้ได้รับความเข้าใจชัดเจน และแจ่มแจ้งเข้าไปอีก แล้วจะได้ปฏิปทาอันถูกต้องนั้นฝากไว้แก่เหล่าสานุศิษย์ในอนาคตต่อไป เพราะพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วนั้น ย่อมมีนัยอันสุขุมลุ่มลึกมาก ยากที่จะทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามพุทธประสงค์ได้ ผู้ปฏิบัติตามรอยพระบาทพระพุทธองค์และปฏิปทาที่พระอริยเจ้าได้ดำเนินมาก่อนแล้วนั้น เมื่อไม่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ย่อมจะเขวไปจากปฏิปทาที่ถูกต้องก็เป็นได้ หรืออาจดำเนินไปโดยผิดๆ ถูก ๆ


    เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้ปฏิบัติดีทั้งหลายก็จะเข้าไม่ถึงศีลถึงธรรม หรืออาจถึงกับป่วยการไม่เป็นประโยชนแก่ตนของตน การปฏิบัติพระธรรมวินัย ในพระพุทธศาสนาก็จะมีแต่ความพอกพูนกิเลสให้เจริญงอกงามขึ้นในตนของตนเท่านั้น ซึ่งไม่สมกับว่าพระธรรมวินัยเป็นของชำระกิเลสที่มีอยู่ให้สิ้นไปจากสันดานแห่งเวนัยสัตว์ทั้งหลาย


    อนึ่ง การอยู่กับหมู่คณะจะต้องมีภาระการปกครอง ซึ่งก็เป็นธรรมดาตลอดถึงการแนะนำพร่ำสอนฝึกฝนทรมานต่าง ๆ ซึ่งทำให้โอกาลและเวลาที่จะค้นคว้าในพระธรรมวินัยไม่เพียงพอ ถ้าแลเราปลีกตัวออกไปอยู่ในสถานที่วิเวก ซึ่งไม่มีภาระแล้วก็จะได้มีโอกาสเวลาในการค้นคว้ามากขึ้น ผลประโยชน์ในอนาคตก็จะบังเกิดขึ้นมาให้เป็นที่น่าพึงใจ


    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ปรารภในใจของท่านในตอนหนึ่ง ระหว่างที่ท่านพำนักอยู่ ณ ที่อุบลนั้น


    ครั้นท่านปรารภในใจอยู่อย่างนั้นแล้ว ท่านจึงได้เรียกศิษย์ทั้งหลาย มีท่านอาจารย์สิงห์เป็นต้นมาประชุมกัน ท่านได้แนะนำให้มีความมั่นคงดำรงอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติอย่างที่ได้เคยแนะนำสั่งสอนมาแล้วนั้น จึงได้มอบหมายให้อำนาจแต่ท่านอาจารย์สิงห์และท่านอาจารย์มหาปิ่น เป็นผู้บริหารปกครองแนะนำพร่ำสอนตามแนวทางที่ท่านได้แนะนำมาแล้วต่อไป


    เมื่อเสร็จจากการประชุมแล้วในการครั้งนั้น ท่านก็กลับไปที่บ้านของท่านอีก ได้แนะนำธรรมปฏิบัติซึ่งท่านได้เคยแนะนำมาก่อนแก่มารดาของท่านจนได้รับความอัศจรรย์อันเป็นภายในอย่างยิ่งมาแล้ว ท่านจึงได้ไปลามารดาของท่าน และได้มอบให้นางหวัน จำปาศีล ผู้น้องสาวเป็นผู้อุปฐากรักษาทุกประการ แม้มารดาท่านก็ได้กล่าวในขณะนั้นว่า


    ลูกเอ๋ย อย่าได้ห่วงแม่เลย ลูกไม่มีหนี้สินในแม่แล้ว ลูกได้อุตส่าห์พากเพียรเรียนธรรมวินัย ก็ได้มาสงเคราะห์ให้แม่นี้ได้รู้จักหนทางแห่งข้อปฏิบัติแล้ว แม่ก็จะดำเนินข้อปฏิบัติของตนไปตามหนทางที่ได้รู้แล้วนั้น จนตราบเท่าชีวิตของแม่ ก็ขอให้ลูกจงประพฤติพรหมจรรย์ไปโดยสวัสดีเทอญ


    เมื่อได้รับคำจากมารดาของท่านแล้วเช่นนั้น ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านก็ได้ทำสัมมาคารวะให้มารดาได้อโหสิกรรมในโทษเพราะความประมาทพลาดพลั้ง และล่วงเกินต่อมารดาตั้งแต่กำเนิดเกิดมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นท่านก็ได้ออกเดินทางต่อไป
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ.๒๔๗๑ - ๒๔๗๒
    ตอนพระอาจารย์มั่นฯ เป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่

    การอยู่กับท่านอาจารย์มั่นฯ ผู้เขียนมีความรู้สึกอย่างหนึ่งคือ วันและคืนนี้ช่างหมดไปเร็วเหลือเกิน ระยะเวลาที่ผ่านไป ๒ ปี ตั้ง ๗๓๐ วัน ดูเหมือนว่า วันสองวันเท่านั้น นี่เป็นเพราะอะไร ? เป็นการตั้งคำถามขึ้นในตัวเอง ก็ได้ความว่า ทุก ๆ เวลานั้นได้ใช้มันเป็นประโยชน์ทุกกระเบียดนิ้ว โดยเฉพาะเมื่อผู้เขียนต้องการทราบอะไรต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติทางจิต ท่านจะแก้ไขให้อย่างจะแจ้งทุกครั้งไปจนเป็นที่พอใจ


    ผู้เขียนมีความสนใจอย่างมากที่ท่านได้ไปอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ถึง ๑๒ ปี เป็นเหตุอันใด ท่านจึงใช้เวลาอยู่ที่เชียงใหม่นานมาก ผู้เขียนจึงหาโอกาสถามถึงเหตุต่าง ๆ แต่แม้ผู้เขียนไม่ได้ถาม ท่านก็ได้เล่าเรื่องต่างๆ ระหว่างอยู่ที่เชียงใหม่ให้ฟังเสมอ นับว่าเป็นความรู้ที่ได้รับหลายประการ ท่านได้พูดถึงสถานที่ บุคคล ตลอดถึงอากาศต่าง ๆ ก็นับว่าน่าศึกษาอยู่มากทีเดียว ผู้เขียนจึงจะได้นำมาเล่าต่อ เพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจในเรื่องของพระอาจารย์มั่นฯ จะทราบความเป็นอยู่ที่น่าศึกษาอย่างยิ่งของท่านที่เชียงใหม่ แต่การเล่านี้ก็จะไม่ใคร่ติดต่อกันนัก เพราะท่านเองก็ไม่พูดติดต่อกัน เพียงแต่ท่านเห็นว่าผู้เขียนสนใจการอยู่เชียงใหม่ของท่าน ท่านก็เล่าให้ฟังเป็นตอน ๆ ไปครั้งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อความละเอียดและแน่นอน ผู้เขียนก็อาศัยถามพระเถระบางท่านที่ท่านได้อยู่ใกล้ชิดที่เชียงใหม่


    ความจริงประวัติทุกตอนของพระอาจารย์มั่นฯ นั้นน่าศึกษาทุกตอน แต่ต้องพิจารณาหาความจริงและฟังในอุบายต่างๆ เพราะว่าพระอาจารย์มั่นฯ ท่านพูดอะไรออกมา ก็มักจะแทรกคำเตือนใจแก่พระภิกษุสามเณรแทบทุกครั้ง


    ท่านเล่าต่อไปว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ ท่านจำพรรษาที่วัดสระปทุม ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ได้ไปจัดการดำเนินงานปรับปรุงวัดเจดีย์หลวงที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดธรรมยุตวัดแรก เมื่อการปรับปรุงเข้ารูปเป็นที่มั่นคงพอสมควรแล้ว ท่านได้พยายามที่จะหาพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิทั้งทางปริยัติและปฏิบัติ ให้มาเป็นสมภาร ทั้งนี้ตามความประสงค์ต้องการที่จะวางรากฐานคณะธรรมยุตขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ เพราะพระทางภาคนี้ ก่อนนั้นการฉันอาหารในเวลาวิกาลเขาไม่ถือว่าเป็นการผิดวินัย รู้สึกว่าวินัยจะหละหลวมมากในแถบนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะให้พระเถระผู้มั่นคงรอบคอบน่านับถือมาอยู่ เพื่อให้เป็นประโยชน์จริงๆ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์จึงปรารภว่าควรจะเป็นท่านมั่นฯ เพราะเป็นผู้เจริญทางการปฏิบัติกัมมัฏฐาน


    เมื่อออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๗๑ - ลุมาปี พ.ศ.๒๔๗๒ จึงได้นิมนต์ เรา (หมายถึงพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ) ไป ซึ่งขณะนั้นเราก็พักอยู่ที่วัดสระปทุมกับท่านเจ้าคุณปัญญาพิศาลเถระ (หนู) ให้ไปที่วัดบรมนิวาส เมื่อเราเข้าไปพบ ท่านเจ้าคุณก็บอกว่า ให้เธอไปอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส เป็นพระครูฐานาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ที่พระครูธรรมธร และตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ พร้อมหมดทุกอย่าง


    พระอาจารย์มั่น ฯ ท่านเล่าว่า ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ขาหักเนื่องมาจากขึ้นธรรมาสน์จะเทศน์ ขาไปกระทบกับลูกกรง หากเราจะทัดทานก็ดูเป็นการขัดผู้ใหญ่ซึ่งกำลังป่วยอยู่ และท่านก็อุตส่าห์ไปขอฐานาสมเด็จพระสังฆราชเจ้าให้ด้วย นัยว่าครั้งแรก สมเด็จพระสังฆราชเจ้าจะไม่ทรงอนุมัติ แต่ทรงเห็นว่าท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ขาหักกำลังป่วย หากไม่อนุมัติจะขัดใจคนป่วย จึงทรงอนุมัติมา


    เมื่อเราได้รับอาราธนาเชิงบังคับเช่นนั้นก็ขัดไม่ได้ จึงเดินทางไปที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒


    พระอาจารย์มั่นฯท่านเล่าว่า วัดเจดีย์หลวงเป็นวัดร้างมาแต่เดิม มาสถาปนาเป็นวัดธรรมยุตขึ้นสมัยท่านเจ้าคุณอุบาลีนี้เอง เป็นแหล่งที่มีความสงบพอสมควรไม่พลุกพล่าน มีที่สงบพอที่จะบำเพ็ญสมณธรรมได้พอสมควรขณะที่อยู่นั้นก็ได้แนะนำให้ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาบำเพ็ญกัมมัฏฐาน



    ท่านเล่าว่า



    แม้เราจะพยายามแนะนำเท่าไรก็ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์เท่าที่ควร ไม่มีใครเอาจริงเอาจัง เป็นอย่างไรหนอจึงเป็นเช่นนั้น แม้เราจะได้แสดงธรรม และทั้งทำเป็นตัวอย่างก็ไม่เห็นใครคิดว่าจะเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงพิจารณาว่าควรไหมที่จะเอาเกลือมาแลกพิมเสน วันและคืนที่ล่วงไป จะเป็นการเสียประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งตนเองและผู้อื่น



    เมื่อคิดถึงท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ที่มีความหวังดี โดยต้องการจะให้วัดเจดีย์หลวงเจริญทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ อันความหวังดีของท่านนั้นก็ดี อยู่ที่ท่านยังไม่รู้ความจริงอีกหลายๆ ประการซึ่งเราเองก็เคารพท่านอยู่ ส่วนการเคารพก็เคารพ แต่ส่วนความจริงก็ต้องมีส่วนหนึ่ง ศาสนาเป็นสิ่งให้คุณประโยชน์ แต่ถ้าเราทำไม่ถูกจังหวะกาลเทศะ.มันอาจจะทำให้เสียกาลเวลาที่ล่วงไป โดยจะพึงได้ประโยชน์น้อยไป ความจริงท่านพระเถระทั้งหลาย ท่านชอบจะทำในสิ่งที่ท่านเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นจะเป็นโทษแก่คนอื่นเพราะมองแง่เดียว ครั้นเมื่อผู้น้อยไม่ทำตามก็หาว่าดื้อรั้นชอบตำหนิ นี้ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ควรจะคำนึงไว้ให้มาก หากว่าจะมีการติดต่อ อยู่ร่วมใกล้ชิดในสังคมนั้น


    ท่านอาจารย์มั่นฯได้เล่าให้ผู้เขียนฟังต่อไปว่า



    เมื่อเราได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว กับการคิดถึงตัวว่าจำเป็นจะต้องฝึกฝนตนต่อไป หากว่าได้เป็นสมภารและอยู่นานไป ความเป็นห่วงทั้งการงานญาติโยมมากขึ้น เรามาคิดว่าการเป็นเช่นนั้นก็ได้ประโยชน์อยู่หรอก แต่มันน้อยนักสำหรับนักปฏิบัติ เพราะถือเป็นอาวาสปลิโพธิ ทั้งจะเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่ศิษย์ของเราอีกจำนวนมาก ซึ่งธรรมดาก็ชอบอยากจะเป็นสมภารกันอยู่แล้ว เมื่อมีคนนับถือมาก ลาภสักการก็มากตามขึ้นด้วย



    ท่านได้ยกพุทธภาษิตว่า สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ สักการะฆ่าบรุษให้ตาย เพราะมัวเมาในลาภ ในยศ แล้วการปฏิบัติก็ค่อยๆ จางลงๆ ทุกที ในที่สุดก็เกิดการฆาตกรรมตัวเอง คือเอาแต่สบาย ไม่มีการบำเพ็ญกัมมัฏฐานให้ยิ่งขึ้น มีแต่จะหาชื่อเสียง อยากให้คนนับถือมากยิ่งขึ้นโดยวิธีการต่างๆ นี้คือฆาตกรรมตัวเอง.


    ก็น่าฟัง ผู้เขียนนั่งฟังท่านเล่าเพลินไปเลย ผู้เขียนได้เคยพูดไว้ว่า ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านพูดอะไรแล้วมีคติแฝงไว้อยู่เสมอ คราวนี้ก็เช่นกัน สอนผู้เขียนเสียอย่างลึกซึ้งทีเดียว แล้วท่านก็บรรยายต่อไปว่า


    เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว ท่านก็พูดว่า พัดยศ ประกาศนียบัตร พวกเจ้าจงพากันอยู่วัดเจดีย์หลวงนี้เถิด ส่วนพระมั่นฯ จะไปแล้ว เท่านั้นเองท่านก็ลาจากความเป็นเจ้าอาวาส และพระครู โดยไม่มีหนังสือลา เป็นการลาโดยธรรมชาติ ซึ่งมีสิ่งหนึ่งภายในให้เป็นไปตามกาลเวลา อันเป็นสิ่งที่จะพึงมีแก่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ซึ่งไม่มีอะไรเป็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง.หรือความเคลือบแคลง มิได้เป็นกโลบาย อย่างบางท่านปากว่าตาขยิบ ฉันไม่อยากเป็นเจ้าอาวาส แต่ใจของฉันนั้นอยากจะเป็นแทบจะระเบิด


    เมื่อท่านจัดบริขารของการไปธุดงค์ เป็นต้นว่ากลดมุ้ง บาตร และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ที่จะพึงใช้ สิ่งเหล่านี้ท่านบอกว่าก็ใช้อยู่เป็นประจำ แม้จะมาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงก็ยังปฏิบัติทุกอย่างเช่นกับอยู่ในป่าดงและธุดงค์ การฝึกตนนั้นเราก็ต้องทำอยู่เป็นอกาลิโก ไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ โอกาสให้เมื่อไหร่ก็ต้องทำ ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาท การที่นักปฏิบัติธรรม ผู้รอกาลเวลาสถานที่ แม้โอกาสให้แล้วแต่ก็มัวแต่รอ รอว่าแก่ก่อน อายุมากก่อน รอว่าเข้าป่าก่อน อยู่ในดงในเขาก่อนจึงจะทำ รอเข้าพรรษาก่อน ออกพรรษาไม่ทำ มัวแต่เลือกกาล เลือกสถานที่ ก็เลยเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ


    การเดินเข้าไปหาที่วิเวก ออกจากวัดเจดีย์หลวงครั้งนั้น ท่านเล่าว่า ถนนรถยนต์ไม่มี เป็นป่าดงที่มืดครึ้มโดยความประสงค์เราต้องการที่จะไปให้ไกลที่สุด จึงได้มุ่งตรงไปทางอำเภอพร้าว เราก็เดินไปค้างแรมไปตามทาง เมื่อเห็นว่าเป็นที่สงบสงัดดีก็พักอยู่นาน เพื่อปรารภความเพียร เมื่อเห็นว่าจะเป็นการคุ้นเคยกับญาติโยมมากเข้าก็ออกเดินทางต่อไป


    เดินต่อไป ในที่สุดก็เดินธุดงค์ถึงถ้ำเชียงดาว ปีนี้เป็นปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ในขณะนั้นถ้ำเชียงดาวยังไม่มีการปรุงแต่งอะไรเลย ชาวบ้านแถว ๆ นั้นก็ไม่มี จะมีก็เฉพาะพวกเจาะน้ำมันยาง เอาน้ำมันนั้นมาทำขี้ไต้ ก็เพียงไม่กี่ครอบครัว นับเป็นสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมเป็นอย่างดียิ่ง



    ฟังท่านเล่าในสมัยนั้น กับมาเปรียบเทียบสมัยนี้ซึ่งเป็นแหล่งทัศนาจร เป็นที่ท่องเที่ยวพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ทั้งอาคารร้านค้าประกอบเป็นอาชีพ และพยายามปรุงแต่งสถานที่ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติมาเป็นสิ่งวิจิตรด้วยน้ำมือมนุษย์อย่างนี้ทำผู้เขียนรำพึงรำพันในใจว่า อ๋อ...นี่ก็ซากของนักปฏิบัติที่ตายแล้ว ผู้เขียนหมายความว่า ไม่มีการปฏิบัติอยู่ในที่นี้อีกแล้ว ถึงการปฏิบัติก็มิใช่เป็นที่สัปปายะแล้ว หากจะมานั่งปฏิบัติ หรือนั่งสมาธิในถ้ำนี้ ก็คงจะไม่พ้นคำว่า โอ้อวดอยากดัง เพราะจะต้องมานั่งโชว์ให้คนนับพันนับหมื่นดูกัน ผู้เขียนจึงพอใจที่จะพูดว่า นี่คือ ซากของนักปฏิบัติธรรม


    ครั้งที่พระอาจารย์มั่น ฯ อยู่บำเพ็ญสมณธรรมอยู่นั้น ต้นไม้ ป่า สัตว์ร้าย ย่อมเป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นอรัญญิก สถานที่น่าสะพรึงกลัวแก่ผู้ยังหนาไปด้วยกิเลส แต่เป็นที่น่าอยู่แก่ผู้บำเพ็ญตบะพรหมจรรย์ เพราะยิ่งป่าใหญ่ยิ่งครึ้ม ยิ่งวังเวง ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง



    อาจารย์มั่นฯ เล่าว่า


    ครั้งแรก ๆ เราก็พักอยู่ตอนตีนเขาและบำเพ็ญสมณธรรม ต่อไปก็ขยับอยู่ที่ปากถ้ำ ตรงปากถ้ำนั้นมีก้อนหินใหญ่ ท่านใช้ก้อนหินนั้นเป็นที่นั่งสมาธิ มีความรู้สึกว่าอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งไม่ใช่โลกนี้ ไม่ว่าจะเดินหรือนั่ง ข้อนี้ทำเอาผู้เขียนสงสัยขึ้น ได้ถามท่านว่า



    ที่ว่าเหมือนอยู่ในโลกหนึ่งไม่ใช่โลกนี้นั้น ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร ?”



    ท่านตอบว่า ขณะที่เราเร่งความเพียร ความยึดถือต่าง ๆ นี้มันจะหดตัวเข้าทุกที เพราะความยึดถือตัวนี้เองจึงเหมือนหนึ่งไม่ใช่โลกนี้ เพราะโลกนี้นั้นเป็นอยู่ด้วยความเข้าใจกันต่าง ๆ นานา นั้นมาจากความยึดถือทั้งสิ้น โลกนี้จึงอยู่ด้วยอุปทานคือ ความยึดถือ เรายิ่งอยู่ในป่าลึกไม่ใคร่จะมองเห็นคน และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นานา ทั้งได้บำเพ็ญกัมมัฏฐาน เพ่งจิตจดจ่ออยู่เฉพาะจิต ความเป็นเหมือนหนึ่งไม่ใช่โลกนี้ก็จะมากยิ่งขึ้น


    ต่อจากนั้นท่านอาจารย์มั่นฯท่านเล่าว่า


    เราก็ค่อย ๆ เขยิบเข้าไปในนั่งในถ้ำลึกเข้าไป จนมืดมิดและเย็นมาก หายใจก็รู้สึกอึดอัด เมื่อท่านเข้าไปนั่งในถ้ำลึกนั้น ท่านได้พยายามที่กำหนดจิต ปรากฏว่ามันก็ทำให้มืดไปกับถ้ำด้วย ทำให้จิตรวมได้ง่าย แต่สงบดีมากและสงบง่ายมาก แต่เมื่อสงบแล้วจะพิจารณาอะไรก็ไม่ค่อยจะออก ท่านได้พยายามอยู่หลายเวลา และก็ได้พิจารณาได้ความว่า การทำความสงบในเบื้องต้นนั้น หากว่าใช้สถานที่มิดชิด จะเป็นประโยชน์ได้ผลเร็ว ยิ่งเป็นถ้ำมิดชิดก็ยิ่งดี แต่ถ้ำมิดชิดนี้จะอยู่นานไม่ดี เอาแต่เพียงได้ประโยชน์แล้วก็รีบเปลี่ยนสถานที่เสีย เพราะจะทำให้เคยตัว หรืออีกอย่างหนึ่งก็จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้นว่าโรคเหน็บชา หรือมาเลเรีย


    เมื่อท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านพูดมาถึงตอนนี้ทำให้ผู้เขียนระลึกถึงตัวเองว่า เมื่อครั้งผู้เขียนเป็นสามเณรเดินธุดงค์ไปกับพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ไปหาถ้ำที่จะอยู่ทำความเพียรกันนั้น ยิ่งเห็นทึบเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบมาก เมื่อครั้นไปพบถ้ำเขาภูคา บ้านเขาภูคา สถานีหัวหวาย อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ผู้เขียนพยายามแสวงหาที่มืด เข้าหาช่องถ้ำที่ทึบที่สุดเท่าที่จะทึบได้ เพราะจะทำให้จิตสงบเร็ว ในเมื่อผู้เขียนกำลังฝึกหัดใหม่ ๆ และก็ได้ผลเพราะทำให้สบายมาก แต่ว่าเมื่ออยู่เป็นเวลานาน ประมาณสามเดือน รู้สึกว่าจะเกินไปเสียแล้ว ทำเอาผู้เขียนเป็นสมาธิโมหะขนาดหนัก เพราะเมื่อนั่งสมาธิแล้วเป็นเหมือนหลับไปเลย บางครั้งสัปหงกถึงกับตกศาลา ดูรู้สึกว่าง่ายสำหรับการที่จะทำให้จิตสงบนั้น แต่ยากที่จะกำหนดรู้ให้คงอยู่ได้ตามความประสงค์ จึงเป็นประโยชน์และมีโทษเหมือนกัน จนในที่สุดผู้เขียนต้องล้มป่วย แต่ใจดี ป่วยก็ไม่กลัว ถึงเราไม่กลัวแต่มาเลเรียก็ไม่เข้าใครออกใคร ผู้เขียนถึงกับเป็นมาเลเรียขึ้นสมองอย่างหนัก จนถึงตาย (คงจะแปลกใจจากผู้อ่าน) ใช่ ผู้เขียนเคยตายมาแล้ว เพราะตอนนั้นไข้หนัก จนจิตออกจากร่าง


    ชีพจรถอน ทุกคนรวมทั้งอาจารย์กงมา และบิดาของผู้เขียน ต่างก็พูดพร้อมกันว่า ตายแล้ว ตัวเย็นชีพจรถอน แต่ตอนนั้นผู้เขียนก็รู้สึกอยู่อย่างเดียวคือ รู้ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน มารู้สึกเอาเมื่อเขาพยายามเอาอิฐเผาไฟนาบเข้าที่เท้า จนมีความรู้สึกขึ้น ทุก ๆ คนรวมทั้งท่านอาจารย์และบิดา ก็ร้องขึ้นพร้อมกันว่า ฟื้นแล้ว ปรากฏว่าผู้เขียนได้ตายไปร่วมชั่วโมง


    นั่นนะชิ ผู้เขียนเกือบตายเสียจริง ๆ ไปแล้ว แต่ยังกลับฟื้นคืนชีพมาพบกับพระอาจารย์มั่นฯ พระเถระผู้ทรงคุณวุฒิในทางปฏิบัติกัมมัฏฐาน กับได้ไปอยู่กับท่านและยังจำข้อความคำพูดอันพอจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง มาเขียนให้ได้อ่านเข้าใจถึงเหตุผลบางประการ ซึ่งก็นับว่าเป็นบุญของผู้เขียนอยู่


    พระอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้เล่าว่า


    เมื่อเข้าไปอยู่ลึกอย่างนั้น การพิจารณาก็ขยายออกยากมาก แต่ท่านเป็นนักผจญภัยและนักสู้ที่แท้จริง ไม่ยอมแพ้แก่ธรรมชาติอย่างง่ายๆ ท่านได้พยายามอยู่ในถ้ำลึกคืนหนึ่ง กำหนดจิตอย่างหนักเพื่อให้เกิดพลังของการพิจารณา ท่านว่าไม่ยอมให้มันมิดไปเฉย ๆ กำหนดความรู้และใช้กำลังพิจารณาควบคู่กันไป เมื่อปล่อยให้มันมิดแต่ตามกำหนดรู้ แล้วก็ขยายการมิดให้ออกมาพิจารณา



    ท่านพูดว่า


    ได้กำหนดเป็นอนุโลม และปฏิโลม อนุโลม คือปล่อยให้มันไป ปฏิโลมคือไม่ยอมให้มิด กำหนดพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณาถึงสังขารทั้งหลายว่าเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นดับไป อาศัยการพิจารณาอยู่อย่างนี้ ด้วยความมีสติกำหนดไม่ปล่อย กำลังของปัญญาก็รวมจุดเกิดเป็นพลังใหญ่ ใช้เวลาประมาณ ๒.๐๐ น. กลางคืน (ตี ๒) ปรากฏขึ้นในใจของท่านว่า ถ้ำเชียงดาวได้แยกออกเป็นสองซีก สว่างไปหมดที่แยกออกนั้น แยกออกจริง ๆ การหายใจที่เคยอึดอัดหายหมด ความเป็นเช่นนั้นได้ปรากฏอยู่ตลอดคืน ท่านเล่าว่าทุกอย่างเหมือนไม่ได้อยู่ในถ้ำ ทำให้รู้สึกถึงอดีตอะไรมากอย่างทีเดียว พร้อมทั้งเข้าใจวิธีการแก้ไขในขณะที่เกิดความหลงอยู่ในสมถะ ท่านเคยตำหนิผู้ที่หลงอยู่ในสมถะมากมายหลายองค์ เพราะว่าการหลงอยู่ในสมถะก็เท่ากับสมาธิหัวตอ ท่านพูดอยู่เสมอๆ ว่าสมาธิหัวตอนั้นเป็นอย่างไร คือมันไม่งอกเงยอะไรขึ้นมา เป็นอย่างไรก็แค่นั้นเอง ข้อนี้ท่านหมายความว่า ผู้มีสมถะแล้วให้มีวิปัสสนาด้วยจึงจะเป็นการถูกต้อง


    เป็นอันว่า ถ้ำเชียงดาว ท่านก็มาได้รับประโยชน์พอสมควร และได้ทั้งนำมาเล่าสู่ลูกศิษย์ เช่น ผู้เขียนและอื่น ๆ อีกมาก เพื่อจะได้เป็นคติตัวอย่างอันเป็นสิ่งที่มีค่าเหลือเกิน ค่าของท่านผู้บริสุทธิ์นี้ แม้จะเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ควรจะได้น้อมรับนำเป็นตัวอย่าง ผู้เขียนเองก็ไม่ใคร่อยากจะเขียนเท่าไร เพราะเราก็รู้ ๆ กันอยู่ในตัวของเราเองแล้ว ท่านพูดให้ฟัง เล่าให้ฟังก็รู้อยู่ทั้งนั้น เลื่อมใสเราก็เลื่อมใส เชื่อเราก็เชื่อ เป็นประโยชน์เราก็ได้รับ แล้วเรื่องอะไรจะมาเขียนให้เสียเวลาอีกเล่า ? แต่เหตุผลที่จะต้องเขียนนั้นมีอยู่ เพราะได้รับความรบเร้าเตือนใจจากบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งคำพูดและจดหมาย ต้องเขียนตอบไปให้มากมายและตอบไปกับปากก็มาก และอีกประการหนึ่งผู้เขียนก็เคารพท่านจริง ๆ องค์อื่นก็คงจะเป็นเหมือนผู้เขียนอีกหลายท่าน ด้วยเหตุผล ๒ ประการนี้แหละทำให้ต้องย้อนกลับมาเขียนเรื่องของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อีกครั้ง และด้วยความจำใจจริง ๆ จึงทำให้การเขียนต้องบรรจงและระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะกลัวว่าจะผิดพลาดจากความเป็นจริง
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๗๓
    ตอนพระอาจารย์มั่น ฯ จำพรรษาที่จังหวัดเชียงใหม่
    ที่ดอยจอมแตง อ.แม่ริม

    อันที่จริงดอยจอมแตงนี้เป็นทาง ๆ เดียวกันกับทางไปถ้ำเชียงดาว แต่ถ้าเดินทางจากเชียงใหม่ปัจจุบันจะถึงแม่ริมก่อน การเดินทางของท่านอาจารย์มั่น ฯ ดังได้กล่าวแล้ว คือจุดประสงค์ของการธุดงค์ของท่านนั้น โดยความมุ่งหมายต้องการที่จะหาความสงบและวิเวก ไม่ต้องการให้ใครเขารู้ว่าตัวของท่านมีความสำคัญอย่างไร แม้ท่านจะถูกตั้งเป็นพระครูฐานาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า เป็นเจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านก็ไม่นำเอาไปธุดงค์ด้วย ฉะนั้นเมื่อท่านเห็นว่าอยู่ถ้ำเชียงดาวหลายเวลาแล้ว ก็จึงเดินทางวกลงมาเรื่อย ๆ จนถึงดอยจอมแตง อ.แม่ริม.


    ท่านเล่าว่า พรรษานี้จำพรรษาอยู่บนภูเขา อากาศชุ่มชื้น ฝนตกมาก หนาวจัด พวกชาวบ้านได้หาฟืนมาไว้สำหรับให้ท่านก่อไฟผิง ยกเป็นกุฎีมุงด้วยใบตองตึง ทำรั้วด้วยไม้รวกยาว ๆ พอเป็นที่ป้องกันสัตว์ร้ายต่าง ๆ ตามธรรมเนียมของพวกชาวเขา แม้ท่านจะบอกเขาว่ารั้วไม่ต้องทำก็ได้ แต่เขาก็ไม่ยอม ได้ช่วยกันทำถวายท่าน และจะมีคนมาคอยดูแลก่อไฟรับใช้ท่านต่าง ๆ ท่านบอกว่าไม่ต้องมาดอก เขาก็ไม่ฟัง มาคอยดูแลช่วยอยู่นั่นเอง


    ท่านเล่าว่า ในพรรษานี้ก็เป็นพรรษาที่มีความรู้สึกว่าปลอดโปร่ง และได้ความละเอียดทางใจมาก เพราะเหตุว่าอยู่องค์เดียว ไม่ต้องสอนใคร พูดกับพวกชาวเขาก็ไม่รู้เรื่องกัน เหมือนกันกับอยู่วิเวกอย่างดีที่สุด จึงทำให้หวนระลึกถึงคำพูดของท่านพระสารีบุตรว่า กายวิเวกเป็นเหตุให้บังเกิดจิตวิเวก จิตวิเวกเป็นเหตุให้บังเกิดอุปธิวิเวก ข้อนี้เป็นความจริงแท้ และสิ่งเหล่านี้จะพึงเข้าใจได้ในตัวของตัวเอง ในเมื่อบุคคลนั้นกระทำขึ้น การพูดเป็นสิ่งง่าย การกระทำเป็นคนละเรื่องกัน เพราะเมื่อมาประสบกับวิเวกอย่างจริงจังเช่นนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องมีอะไรภายในวิเศษบังเกิดขึ้น


    ท่านได้เน้นว่า.วิเวกนี้มันเกิดความชินชาได้เหมือนกัน เพราะเหตุแห่งการอยู่นาน แม้ว่าสถานที่จะวิเวกสักเพียงใด เมื่ออยู่หลายเวลาเข้า ก็เกิดความเข้าใจว่าเป็นที่ของเรา และเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับใจ ได้แก่ความเคยชิน นี้ก็ควรจะต้องเข้าใจตัวเองและอย่าไปเข้ากับตัวเองจนเสียคน โดยความเข้าใจว่าเราก็อยู่บนภูเขา ป่าดง ถ้ำ แต่ว่าอยู่เสียจนเคยชินหรือชินชาเสียแล้ว มันก็ไม่ผิดอะไรกับอยู่ในบ้านในเมือง จงพากันเข้าใจว่า ถ้ำ ป่า ภูเขา นั้นก็เป็นเพียงสถานที่อยู่และเป็นที่วิเวกได้จริง แต่อย่าไปอยู่นานเกินควร


    ผู้เขียนรู้สึกว่าได้ความรู้เป็นพิเศษขึ้นมาก ในข้อนี้ทำให้เกิดความเข้าใจว่าการอยู่ในที่วิเวกแม้จะเป็นป่าเขา ก็ยังทำให้เกิดความชะล่าใจได้เหมือนกัน จึงต้องควรระวัง. มิใช่ว่าจะถือเอาการอยู่ป่าเขาเป็นสรณะตลอดไป การอยู่ป่าเขาก็ดี เมื่อตั้งใจแน่วแน่เพื่อพระนิพพาน มิใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่น


    ท่านอาจารย์มั่น ๆ ได้พูดกึงการอยู่ในสถานที่แห่งนี้ว่าเป็นที่อยู่วิเวกจริง และต้นไม้ป่าก็ทึบมาก มีบริเวณภูเขาไม่ใหญ่โตอะไรนัก ชาวบ้านเหล่านี้ก็มีศรัทธาดีอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นชาวเขา พวกเขามีพิธีการทางศาสนาพุทธนี้เหมือนกัน ท่านเล่าว่าวันออกพรรษาเขาจะทำบุญพิเศษ เช่นการทำขนมแบบง่ายๆ มาถวายกันมาก ที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ การถวายเข็ม (เข็มเย็บผ้า) เขาจะทำเป็นธงยาว เอาไม้ไผ่ทำเป็นคันเหมือนคันธงกฐินของเรา แต่เขาเอาผ้าบาง ๆ มาทำธงยาวเกือบพื้นดิน แล้วเขาก็เอาเข็มมากลัดติดกับผ้าตั้งแต่โคนธงถึงปลายธงแล้วให้พระมารับธงนั้น ถือว่าได้บุญมาก


    ส่วนที่เขาอยู่กันนั้นเป็นบ้านพักชั่วคราว ไม่ถาวร ใช้ใบตองตึงมุงหลังคากันเป็นส่วนมาก สำหรับการปกครองของเขานั้น เขามีหัวหน้าซึ่งจะไม่ใช่ทางรัฐบาลแต่งตั้ง เขาตั้งกันขึ้นเอง แล้วก็เชื่อฟังกันดีมาก เมื่อหัวหน้าบอกอย่างไรเป็นต้องทำตามกัน


    มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคน ๆ หนึ่งทำผิด คือไปขโมยของเขามา แล้วเจ้าทุกข์ก็จับตัวได้พามาหาผู้เป็นหัวหน้า เมื่อหัวหน้าถามว่า เจ้าขโมยของเขาจริงหรือเปล่า ขโมยก็บอกว่าเปล่า ผมไม่ได้ขโมย ที่จับตัวมานี่ผิดแล้วไม่ใช่ผม เมื่อหัวหน้าพยายามถามเท่าไรก็ไม่รับ เจ้าทุกข์ก็ยืนยันว่าใช่แน่ หัวหน้าพร้อมทั้งชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง จึงทำพิธีโดยการบวงสรวงเทวดา ผีป่าต่าง ๆ แล้ว ก็เอาตะกั่วมาเคี่ยวให้ละลายอยู่ในเบ้า แล้วเขาก็จับมือขโมยกดลงไปที่เบ้าหลอมตะกั่วนั้น แต่ให้ห่างไม่ให้ติด กะประมาณ ๑ นิ้ว ถ้าเป็นขโมยจริงๆ ตะกั่วที่หลอมละลายนั้นจะพุ่งขึ้นมารับนิ้วมือผู้ทุจริต ถ้าเห็นผู้สุจริตตะกั่วจะไม่พุ่งขึ้นมา


    ขณะนั้นเขาก็จับมือขโมยกดลงใกล้เข้า พอได้จังหวะเท่านั้นเองตะกั่วได้พุ่งขึ้นจับมือขโมยทันที เท่านั้นเองเขาก็รู้ว่าเจ้านี่เป็นขโมยตัวจริง แล้วก็ลงโทษกันเอง โดยการเฆี่ยนบ้าง การล่ามโซ่ไว้ ๕ วันบ้าง ๑๐ วันบ้าง แต่พวกเขาก็ยอมกันโดยดี โดยมิได้มีการขัดขืนแต่อย่างใด


    ส่วนอาหารนั้นก็เป็นไปตามอย่างชาวป่าทั้งหลายเขาทำกันไปตามมีตามได้ และทำกันอย่างง่าย ๆ ไม่ใคร่จะสะอาดกันเท่าไร แต่เป็นสิ่งธรรมดาอย่างหนึ่งสำหรับการไปธุดงค์ ไม่ถือเอารสชาติ ความอร่อยชอบใจเป็นเกณฑ์ ถือเอาความเพียงอยู่ได้เพื่อเพียงมีชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นเป็นพอ



    ความจริงของการถือสันโดษเอาตามมีตามได้เป็นสัญลักษณ์ของบรรพชิตอยู่แล้ว การที่จะขนเสบียงไปธุดงค์นั้นผิดวิสัย เพราะเมื่อจะธุดงค์แล้วก็ควรจะให้มีอาหารเพียงประทังชีวิต และเป็นการดีมากเมื่อมีอาหารธรรมชาติไม่มีการบำรุงจนเกินไป ซึ่งจะทำให้ร่างกายแข็งแรงมาก ก็จะทำให้การทำความเพียรลำบากขึ้น เช่นฉันเนื้อไข่มาก ๆ ก็จะทำให้จิตใจฟุ้งมากกว่าการฉันผักมาก จำพวกดอกเลา เห็ด ผักบุ้ง ผักแต้ว เพกา เหล่านี้ แม้จะมีปลาบ้าง แต่เป็นผักเสียส่วนมากก็จะทำให้การทำจิตดีขึ้น เมื่อธุดงค์ไปอยู่ถิ่นทุรกันดาร ก็จะฉันอาหารผักส่วนมาก จึงเป็นเหตุให้ได้ประโยชน์หลายทาง คือทางหนึ่งได้รับกายวิเวก ทางหนึ่งได้อาหารธรรมชาติไม่บำรุงมากนัก จึงทำให้เกิดผลมากในการบำเพ็ญสมณธรรม


    ผู้เขียนได้ฟังท่านเล่าแล้วจับใจมาก เรื่องของอาหารนี้ พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า สพฺเพ สตฺตา อาหารฐิติกา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร คือถ้าไม่มีอาหารก็ต้องตายไม่ว่ามนุษย์-สัตว์ เพราะเรื่องอาหารนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องแก้ปัญหากันอย่างมโหฬาร ถึงกับมีการคุมกำเนิด ป้องกันการเกิด ชลอการเกิด มันเป็นเรื่องใหญ่แท้ ครั้นมาคิด คิดถึงพระธุดงค์แล้ว ท่านได้ชลอการเกิดและจำกัดอาหารทั้งไม่นำเอาเรื่องอาหารมาเป็นเรื่องใหญ่ จึงเป็นการเสียสละของท่านผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นประโยชน์ทั้งทางโลก และทางธรรม เป็นประโยชน์แก่คนและผู้อื่น



    ปัจจุบันการเดินธุดงค์จะเป็นเหมือนครั้งท่านอาจารย์มั่น ฯ เล่าให้ผู้เขียนฟังหรือเปล่า อาจจะเป็นเหมือนหรืออาจจะไม่เหมือนก็ได้ เพราะปรากฏว่าบางแห่งไปธุดงค์กันเป็นร้อยๆ อันเป็นภาระให้ชาวบ้านหรือตัวท่านลำบาก ต้องจัดอาหารกันใหญ่ ไม่ได้ทั้งกายวิเวก ฯไม่ได้ทั้งการจำกัดอาหาร ผลที่จะพึงเกิดขึ้นจากการธุดงค์จะเป็นดังฤๅ ?



    จึงเป็นเรื่องที่เราจะรู้จักความจริงของการธุดงค์ ว่าเป็นอย่างไรเอาไว้บ้างก็จะดีกว่าที่เราจะเอาเรื่องของธุดงค์เป็นเรื่องโฆษณา หรือเห็นเรื่องอะไรที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง เพราะธุดงค์เป็นการแสวงหาวิโมกขธรรมนั้นดีจริง ๆ และได้ผลจริง หากการธุดงค์นั้นได้เป็นไปเพื่อกายวิเวกและจำกัดอาหาร เขียนเพลินไปเสียแล้ว ฟังท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านเล่าต่อไปดีกว่า


    ปีนี้เป็นปีที่มีความพิเศษ เพราะว่าได้ออกจากสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นปลิโพธินั้น แม้จะไม่ทำให้จิตหวั่นไหว แต่ก็ไม่ทำให้เกิดความละเอียด ท่านพูดถึงฌานต่าง ๆ และสมาธิว่า ส่วนนี้มันเป็นส่วนหนึ่งแห่งสังขาร เพราะฌานนี้และสมาธิเป็นสิ่งไม่เที่ยง มีการเสื่อม ถ้าหากการเจริญไม่เป็นไปตามกาล บุคคลบางคนเข้าใจว่า ผู้มีสมาธิดี หรือได้ฌานชั้นสูง จะต้องเป็นผู้อยู่ในลักษณะสงบหรือมั่นคงไม่หวั่นไหวตลอดไป เป็นการเข้าใจผิด เมื่อบุคคลยังเป็นไปเพียงแต่ฌาน-สมาธิ ย่อมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง และเสื่อมได้



    ท่านเล่าว่า


    ปีนี้ได้พิจารณาย้อนหลังถึงการอยู่ในวัดเจดีย์หลวง และกรุงเทพ ฯ จึงมาพิจารณาได้ทราบความถึงเจตนาของนักปฏิบัติบางท่านที่ยังไม่เข้าใจความจริง และทั้งยังไม่ได้ดำเนินวิปัสสนา อันเป็นทางให้บังเกิดกิเลสไว้ จึงทำให้เกิดความผันแปรต่าง ๆ ของนักปฏิบัติ จนถึงออกนอกลู่นอกทาง โดยตัวเองไม่รู้ตัวเลย


    เพราะว่าผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐานนี้ เป็นหลักการที่น่าเคารพนับถือ และจะถือได้ว่าเป็นบุคคลที่เสียสละอย่างสูง จึงทำให้บุคคลโดยทั่วไปเข้าใจว่า ท่านผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐานหรืออยู่ป่าบำเพ็ญสมณธรรม ท่านเป็นผู้วิเศษ ซึ่งมีสิ่งอันเป็นพิเศษอยู่ นี้แหละคือความเห็นความเข้าใจและเชื่อถือในหมู่บุคคลชาวพุทธเป็นส่วนมาก เพราะชาวพุทธโดยทั่วไปเมื่อเห็นผู้ใดความจงรักภักดี เสียสละให้แก่พระพุทธศาสนาแล้ว เป็นต้องสนับสนุนเคารพนับถือ นี้เป็นความจริงข้อหนึ่ง


    ท่านเล่าว่า ท่านได้วิตกกังวลขึ้นในขณะที่อยู่ในสถานที่นี้ถึงการปฏิบัติกัมมัฏฐาน บำเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุ-สามเณร ต่อไปในกาลข้างหน้าว่า จะทำอย่างไร จะเป็นอย่างไร เพราะเมื่อมีผู้คนนิยมการปฏิบัติมากขึ้น ก็จะไม่จำกัดอยู่เฉพาะพระภิกษุสามเณรเท่านั้น ยังจะต้องแผ่กว้างออกไปถึงฆราวาส ผู้เป็นอุบาสก อุบาสิกาต่อไปอีก ความกว้างขวางออกไปนั้นก็เป็นการดีอยู่ เพราะจะได้เป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญขึ้นส่วนหนึ่ง แต่จะต้องทราบความจริงว่า ความกว้างออกไปของการปฏิบัติจิตใจนั้นมีข้อเสียหายมิใช่น้อยเลย เป็นต้นว่ามีการคิดคาดคะเนเดาเอาว่าความเป็นเช่นนั้นของเราถูก ของคนอื่นไม่ถูก ความเป็นเช่นนี้เป็นพระอรหันต์ หรืออริยบุคคล ความเป็นเช่นนี้คือญาณ คือฌาน บางหมู่บางพวกตั้งก๊กขึ้นสอนกัมมัฏฐานกันไปตามอารมณ์ นี่แหละเป็นภัยอยู่มาก เป็นทางให้เกิดความเสื่อมได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านเล่าว่า ก็เป็นการดี ที่อนาคตไม่นานจะมีการแข่งขันกันในด้านการสอนกัมมัฏฐาน การปฏิบัติกัมมัฏฐาน


    ท่านเล่าตอนหนึ่งว่า ในสถานที่แห่งนี้ ชาวบ้านเขาไม่ได้มารบกวน เขาเข้าใจว่า เราก็เป็นพระตุ๊เจ้าองค์หนึ่ง เวลาแห่งการพิจารณาธรรมต่าง ๆ จึงเป็นโอกาสดีมาก ตอนเช้าเขานำอาหารมาส่ง รับพรแล้วก็กลับ ตอนเย็น บางทีเขาก็มาดูบ้าง คนสองคนเพื่อดอยดูแลว่าเราจะต้องการอะไรบ้าง เมื่อเห็นว่าไม่ต้องการอะไร วันต่อ ๆ มาเขาก็ไม่มา เป็นอันว่าได้อยู่จำพรรษาอย่างสงบวิเวกในปีนี้
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๗๔
    ตอนพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ จำพรรษาที่จังหวัด
    เชียงใหม่ ที่บ้านโป่ง อ.สันป่าตอง

    หลังจากที่ท่านได้พักผ่อนในอรัญราวป่า ที่จอมทองในพรรษานั้นแล้ว เมื่อออกพรรษาท่านได้เดินธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความสงบต่อไป


    ท่านเล่าต่อไปว่า เชียงใหม่นี้เป็นป่าดงกว้างขวาง ภูเขามากมาย สิงห์สาราสัตว์เป็นต้นว่า เสือ ช้าง งูก็มาก หากแต่สัตว์เหล่านั้นไม่เคยทำอันตรายแก่พระภิกษุสามเณรที่สัญจรไปมาเลย


    ครั้งหนึ่งท่านพักอยู่ในราวป่า เขตของอำเภอสันป่าตอง ฝนก็ได้ตกลงมาอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน แถวๆ นี้หมู่บ้านที่ไม่ใช่ชาวเขา พากันทำไร่กันอยู่ประมาณสิบกว่าหลังคาเรือน ท่านอาศัยหมู่บ้านนี้บิณฑบาต และที่ท่านอยู่มีคลองขวางกั้นอยู่ จะไปบ้านต้องข้ามคลองไป คลองนี้ไม่กว้างนัก ชาวบ้านเขานำขอนไม้มาวางเป็นสะพานไม้ เมื่อฝนตกหนักคราวนี้ น้ำป่าแรงได้พัดไม้สะพานไป เมื่อน้ำไม่ลด ท่านก็ข้ามน้ำไปบิณฑบาตไม่ได้ โยมก็มาหาท่านไม่ได้ ก็จำเป็นจะต้องอดอาหาร ส่วนทางชาวบ้านร้อนใจมาก กลัวท่านจะอด จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะข้าม ชาวบ้านเขาพยายามอยู่นานก็สามารถข้ามน้ำนำอาหารมาถวายได้.


    ฝนที่ตกติดต่อกันมาหลายวันนั้นก็ยังไม่มีที่ท่าจะหยุดลงได้ ก็ยิ่งทำความลำบากแก่ชาวบ้านที่จะมาถวายอาหารบิณฑบาต และแก่ท่านที่จะออกบิณฑบาต แม้ท่านบอกว่าอาตมาจะอดได้ ๓-๔ วันไม่เป็นไรหรอกโยม ชาวบ้านก็กลัวจะบาปจะยอมให้อดไม่ได้ จึงเป็นการต่อสู้กับภัยธรรมชาติครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง


    เมื่อฝนตกกรำมาหลายเวลา ยังไม่มีทางว่าจะผ่อนคลายลงนั้น ท่านก็ได้รำพึงและพูดเปรย ๆ ออกว่า



    พญานาคเอ๋ย พวกเธอจะเล่นน้ำกันไปถึงไหน จนน้ำนองไปหมดแล้วพระก็ลำบาก ชาวบ้านก็ลำบาก หยุดเล่นกันเสียทีเถิด


    ฝนก็เริ่มหยุดเป็นปรกติน้ำก็เริ่มลดลง ชาวบ้านก็มาถวายอาหารตามปรกติ ต่อมาวันหนึ่งชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นได้มาช่วยปรนนิบัติท่านโดยการหาฟืนมา และก่อกองไฟถวายตลอดถึงต้มน้ำร้อน วันนั้นมีงูตัวหนึ่งเป็นงูทับทานปล้องเหลืองปล้องดำ ขนาดยาวถึง ๒ วาเห็นจะได้ มาขดอยู่ในกองฟืน ความจริงตามป่าเขาในย่านนี้ก็เป็นดงงูอยู่แล้วพวกงูจำนวนมากอาศัยอยู่ เพราะเป็นหินก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ ต้นไม้ใหญ่เล็กระเกะระกะ เหมาะแก่การอยู่ของพวกสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้


    แต่งูตัวนี้มาขดอยู่ที่กองฟืน งูตัวนี้ประหลาดกว่างูอื่นๆ คือมันไม่ยอมจะไปไหน ถึงมันไปชั่วครู่แต่มันก็ต้องกลับมาขดอยู่ที่เก่า โยมปรนนิบัติท่านอยู่ก็กลัว เพราะตัวมันใหญ่ โยมจึงหาไม้ยาวมาอันหนึ่ง โดยมีความตั้งใจกะไล่มันหนี ท่านรู้เข้าก็ออกมาจากที่พัก มาพูดกับโยมว่า อย่าไล่มันเลย มันจะมาอยู่เป็นเพื่อนเรา ลองให้มันอยู่ ดูหรือว่ามันจะอยู่นานเท่าไร โยมบอกว่างูตัวนี้อันตรายมาก กัดแล้วตายเลย เผลอ ๆ เดี๋ยวใครมาถูกมันเข้าโดนกัดจะลำบาก ท่านตอบว่า งูตัวนี้ไม่ทำอะไรใครดอก


    มันเป็นสิ่งประหลาดกว่างูตัวอื่น ๆ ตัวนี้มันเชื่องมาก เวลามันเลื้อยออกมาตอนต้มน้ำเสร็จแล้ว คล้ายกับมันอยากจะทำการปฏิบัติอะไรสักอย่าง เลื้อยไปเลื้อยมารอบ ๆ บริเวณ หางของมันจะแกว่งเป็นบริเวณกว้างมันจะออกทำอย่างนี้วันละ ๒ ครั้งแล้วก็เข้าไปขดอยู่ที่เดิม มันอยู่กับท่านจนท่านจากมันไป มันก็หายไปเหมือนกัน ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ได้เล่าให้ฟังว่า งูตัวนี้ท่าจะเป็นงูเจ้าหรืองูเทวดาอะไรก็ไม่ทราบ มันจึงมีความรู้สึกเกือบจะเป็นคน


    เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนระลึกไปถึงเมื่อครั้งผู้เขียนเป็นสามเณร อยู่จังหวัดจันทบุรี ครั้งเมื่อผู้เขียนธุดงค์ไปตามภูเขาสระบาป เข้าไปพักอยู่ที่บ้านกงษีไร่ ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๑ พบกับลูกศิษย์คนหนึ่ง ชื่อหมอสมร นามสกุล ภักดี มาขอฝึกการทำสมาธิกับผู้เขียน และเป็นผู้ทำจริง ๆ จนถึงกับเกิดสมาธิที่กล้าแข็งขึ้น มีจิตสงบ ทั้งภรรยาของเขาด้วย บำเพ็ญจนไม่รับประทานอาหารตอนบ่าย รับประทานหนเดียวเหมือนกับพระธุดงค์ เมื่อหมอสมรนี้ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับผู้เขียนจนเป็นกันเองขึ้นแล้ว เขาก็พูดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ว่า ผมนี้เป็นญาติกับงู ผู้เขียนก็ไม่ใคร่จะสนใจนัก นึกว่าคงเป็นเรื่องนิยายมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อเขาได้พูดหลายครั้ง ประกอบกับมีพยานหลายคน ผู้เขียนชักจะสนใจขึ้นจึงขอทราบความจริงของการที่เขาเป็นญาติของงูได้อย่างไร ?


    หมอสมรจึงเริ่มเล่าว่า เมื่อนานมาแล้วชั่วอายุคนหนึ่ง มีครอบครัวเรือนหนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางกะจะ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ครอบครัวนี้หลังจากแต่งงานแล้ว ตั้งครรภ์ขึ้น ตอนคลอดลูกออกมาคนแรกปรากฏว่าเป็นงู เกิดความตกใจกันขึ้น ด้วยความกลัว คิดว่าจะเอาใส่ขวดดองเสีย แต่นางมารดาก็มีจิตสามัญสำนึกแห่งการรักบุตรของตนอยู่ จึงห้ามการที่ฆ่าบุตรแม้จะเป็นสัตว์เดียรฉาน ต่อมามารดาคนนี้คลอดบุตรอีก ๗ คน ชาย ๕ หญิง ๒ คน คนสุดท้องเป็นหญิง


    ครั้นเจริญวัยใหญ่โตกันขึ้นต่างก็มีครอบครัวไปกันหมด และก็ได้ตั้งบ้านเรือนรวมกันเป็นหมู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ส่วนงูผู้เป็นพี่ใหญ่นั้น เมื่อโตขึ้นก็เกิดความระแวงแก่คนโดยทั่วไป อาจจะเกิดอันตรายแม้นแต่ญาติพี่น้องก็ตาม ที่หมอสมรได้เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเขาจะออกมาเลื้อยเล่นตามลานบ้านแล้วจะมีงูอื่น ๆ มาเป็นพวกด้วย เลยเกิดเป็นบ้านงูขึ้น จึงยิ่งทำให้เกิดความหวาดกลัวแก่บุคคลทั่วไปมากขึ้น หมอสมรเล่าว่า งูตัวนี้มีสีขาวปนดำมีหงอนด้วยเชื่องมาก แม่พูดออย่างไรจะทำตามทุกอย่าง เช่น อย่างบอกให้อยู่เฉย ๆ เขาก็นอนตามความแนะนำ บอกให้ลงไปเล่นข้างล่างก็ลงไป บอกให้อย่ามาใกล้ ก็ไม่มาบอกให้มาใกล้ ก็มา ผู้เขียนถามว่าเอาอะไรเป็นอาหารแก่งู หมอสมรว่าไก่และเนื้อสัตว์อื่น ๆ ที่ฆ่ามาแล้วและหมอได้พูดต่อไปว่า แม่ของงูนี้ไม่กลัวงูเลย บางครั้งจะจับคลำเล่น เหมือนกับว่ามันไม่ใช่อสรพิษอย่างนั้นแหละ จึงรวมความว่า แม่งูรู้จักภาษางู และงูก็รู้จักภาษาคน เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีได้ แต่ก็มีมาแล้ว กระทั่งบัดนี้ก็ยังมีญาติของงูเหลืออยู่ แม้จะเป็นสิ่งเหลือเชื่อ แต่หลักฐานยังบ่งชัดว่าน่าจะเป็นไปได้


    ครั้นต่อมาผู้คนในละแวกนั้นเกิดไม่ไว้ใจในงูซึ่งเป็นสัตว์มีพิษมากขึ้น ขอร้องให้นั้นไปปล่อยเสียที่อื่นผู้เป็นแม่ก็จนใจ อยู่มาวันหนึ่งแม่จึงเรียกงูนั้นมาแล้วพูดว่า



    ขณะนี้ชาวบ้านเขากลัวกันมาก เพราะว่าเจ้าก็ใหญ่ขึ้นทุกวัน แม่จำเป็นต้องขอร้องให้เจ้าจงหาทางไปอยู่เสียที่ ๆ เป็นวิสัยของเจ้าเถิด



    งูก็เป็นผู้ว่าง่ายอยู่แล้ว เมื่อแม่ขอร้องก็จึงไปหาน้อง ๆ ทุกคนแล้วก็มาปะหงกหัว ลาแม่บังเกิดเกล้า เลื้อยลงมาจากบ้านอย่างเชื่องช้า พร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก และเปล่งเสียงวีด ๆ ประมาณ ๕-๖ ครั้ง แล้วก็เลื้อยหายลงไปสู่ทะเล


    ต่อมาเขาจะมาเยี่ยมแม่ของเขาทุก ๆ ๗ วัน และต่อไปเขาจะมาเยี่ยมแม่ของเขาทุก ๆ เดือน จนถึงบีหนึ่งเขาจะมาเยี่ยมแม่ของเขาครั้ง ในการมาเยี่ยมแต่ละครั้งนั้นจะมีพวกติดตามมามาก มีงูหลายชนิดเหมือนกับคอยอารักขา เวลามาเยี่ยมนั้นเขาจะอยู่ประมาณครึ่งวันจึงจะกลับ ครั้งสุดท้ายแม่ป่วยไม่สบาย เขารู้ได้อย่างไรไม่ทราบ เพราะแม่ป่วย


    ครั้งนี้จะต้องตายแน่ เขาพาพวกเขามาอยู่กับแม่ของเขา จนแม่เขาถึงแก่กรรม และเขาก็มีการแจกสมบัติขณะแจกสมบัตินั้น งูก็ยังอยู่ ฟังเขาพูดกันจนรู้เรื่อง คำพูดคำหนึ่งนั้นที่งูสนใจ คือ เราจะแบ่งสมบัติออกเป็น ๗ ส่วน งูผู้เป็นพี่ก็มีส่วนด้วย ขณะนั้นเอง งูได้ทำกิริยาอย่างหนึ่งโดยเอาหางชี้ไปที่น้องคนสุดท้าย เป็นอันทราบว่างูมีความประสงค์จะมอบสมบัติส่วนตัวให้แก่น้องคนสุดท้อง เป็นอันว่าเสร็จสิ้นกันไป แล้วงูนั้นก็ลาน้อง ๆ จากไป นับตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ก็ไม่ปรากฏว่างูนั้นหวนกลับมาอีก


    ผู้เขียนพูดมายืดยาว เพื่อให้เป็นการแก้อารมณ์ท่านผู้อ่านที่ต้องเคร่งเครียดอยู่กับประวัติของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระไปบ้าง.ต่อไปก็จะได้เริ่มเขียนการจำพรรษาของท่านอีกต่อไป



    ปีนี้ท่านจำพรรษาอยู่ที่บ้านโป่ง อำเภอสันป่าตอง บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่เล็กมาก มีอาชีพทำพืชไร่ล้มลุก ปลูกเผือก-มัน-งา พืชไร่ต่าง ๆ นำเอาเข้าไปขายในอำเภอ ความเป็นอยู่ของเขาไม่มีอะไรมาก เพียงแต่มีชีวิตอยู่ไปวันหนึ่ง ๆ แต่เขาก็อยู่กันอย่างสบาย.ที่นี่ไม่ใช่ภูเขา เป็นที่ราบ แต่เป็นป่าไม้ใหญ่ มีพวกไม้ยางและไม้สักมาก เป็นป่าระหง ไม่ใช่ป่าทึบ ท่านพูดว่า เราต้องการหาที่โปร่ง ๆ จำพรรษาสำหรับปีนี้ เพื่อจะได้พิจารณาถึงการอยู่ป่า ที่จะอยู่ได้นานๆ เพราะป่าบางป่าชุ่มเกินไป ป่าบางป่าทึบเกินไป อยู่ลำบากมาก อาจเกิดโรคภัยต่าง ๆ ได้ ทั้งเป็นการบั่นทอนกำลังของร่างกาย แต่ว่าป่าทึบนั้นก็ดีแต่เฉพาะที่ไม่ใช่หน้าฝน ถึงอย่างนั้นจะอยู่นาน ๆ ก็ต้องมีการถากถางเบิกป่าออกไปบ้าง ก็เป็นภาระไม่ค่อยจะจำเป็นนัก



    การอยู่ที่บ้านโป่งนี้เป็นป่าต้นไม้ใหญ่ก็จริง แต่ไม้ใหญ่นี้ขึ้นสูงมาก ต้นไม้อยู่ข้างๆ ก็ไม่มีโอกาสจะโตขึ้นได้ เพราะร่มต้นไม้ใหญ่บัง ถึงแม้จะมีการถากถางก็ไม่ต้องทำอะไรมาก บางแห่งไม่ต้องถากถางเลยก็ใช้เป็นสถานที่อยู่ได้ และท่านได้เลือกเอาสถานที่ห่างจากบ้านพอสมควรอันเป็นแหล่งที่จะเที่ยวภิกขาจารได้ และบ้านโป่งนี้ก็เป็นป่าไม้ใหญ่โต ผู้คนก็ไม่พลุกพล่าน และก็ไม่เป็นที่รบกวนแก่การบำเพ็ญสมณธรรม พวกชาวบ้านเหล่านี้เขาเห็นตุ๊เจ้ามาก็ดีใจเหลือหลาย เพราะนานปีจึงมีตุ๊เจ้ามาโปรดอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่ทราบว่าตุ๊เจ้ามั่นฯ ท่านเป็นใคร อย่างไร ? เขาก็เข้าใจแต่เพียงว่าตุ๊เจ้าองค์หนึ่งเท่านั้น เพราะชาวบ้านเป็นชาวพุทธ เมื่อถึงเวลาเทศกาลเขาจะเดินไปทำบุญที่วัดตั้งหลายชั่วโมงเขาก็ยังอุตส่าห์ไปกัน เมื่อตุ๊เจ้ามาให้ทำบุญอยู่ใกล้ ๆ และจำพรรษาอยู่ในที่นี้ ก็ทำให้เขาดีใจเหลือหลาย จึงได้ช่วยท่านทำเสนาสนะพอที่จะอยู่จำพรรษาได้


    ความจริงพรรษานี้ ท่านก็ได้พยายาม เพื่อตรวจถึงความจริงของพระพุทธศาสนา จนเห็นว่ามีมิจฉาทิฏฐิปะปนอยู่มาก ที่ว่าเช่นนั้นเพราะท่านเห็นชาวบ้านพากันนับถึงภูตผีปีศาจ และนับถืออะไรต่อมิอะไรอื่นอีกเหลือคณานับ เช่น ตรงไหนมีต้นไม้ครึ้ม ๆ เขาก็ไปบูชากัน เห็นหินก้อนใหญ่ ๆ ก็ไปบูชากัน ถึงปีเช่นวันเพ็ญเดือนสิบสอง เขาก็จะมีการเลี้ยงผีแล้วก็เซ่นสรวงบูชาทำกันอย่างเอิกเกริก เหมือนกับไม่ใช่ชาวพุทธ แต่เขาก็เป็นพุทธ



    ท่านว่า เรื่องอย่างนี้ก็แก้ยาก เพราะคนยังมีจิตใจต่ำ ยังไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ซาบซึ้งจริง ๆ แต่หากว่าเขาได้พัฒนาจิตขึ้นมาก สภาพจิตของเขาก็อาจจะดีขึ้น จนถึงกับเลิกเชื่อถือภูตผีปีศาจก็เป็นได้
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ.๒๔๗๕.
    ตอนพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ จ.เชียงใหม่
    จำพรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง

    ท่านได้เคยพูดเสมอว่า
    กาลญฺญูต ปุริสญฺญุตา รู้จักกาล รู้จักบริษัท


    ผู้จะปฏิบัติอันจะเป็นพระภิกษุสามเณร หรือเป็นคฤหัสถ์นั้น มีความจำเป็นที่จะต้องรู้จักสังคม เพราะเราอยู่ในโลก ซึ่งจะต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก แม้แต่พระพุทธศาสนาก็ต้องเกี่ยวกับโลก คือ อาณาจักร การเป็นเช่นนี้จึงจะต้องทำตัวให้เข้ากับเขาได้จึงจะเป็นไปตามหลักฐานที่ถูกต้อง ปละแม้แต่พระพุทธองค์ก็ต้องนำมาบำเพ็ญ ญาตตฺถจริยา โลกตฺถจริยา คือทำประโยชน์แก่ญาติและแก่โลก บุคคลหรือนักปฏิบัติที่คร่ำเคร่งอยู่ในการปฏิบัติธรรม เขาจะต้องเป็นผู้ กาลญฺญุตา รู้จักกาล ปุริสญฺญุตา รู้จักบริษัท มิฉะนั้นการปฏิบัติอาจจะเสียผล ดังที่ปรากฏว่ากาลที่ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร บริษัทนี้ทำอะไรไม่ควรทำอะไร. ควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไร หากไม่ใช้ปัญญาจะบังเกิดผลเสียหาย จนถึงการทำลายการปฏิบัติของตนเสียก็ได้



    เช่นพระภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๖-๒๔๘๗ อยู่บนภูเขาที่ข้างสถานีมวกเหล็ก.พอรถไฟขบวนหนึ่ง มีผู้โดยสารมากผ่าน ท่านจะขึ้นไปนั่งสมาธิบนก้อนหินสูงเด่น (แต่พอรถไฟผ่านจะนั่งหรือเปล่าไม่ทราบ) ทั้งนี้ เพื่ออวดว่าเราเป็นนักปฏิบัติ นี้คือไม่รู้จักกาล เพราะการกระทำเช่นนั้นแม้จะเป็นการปฏิบัติ แต่เป็นการกระทำเพื่อโอ้อวดมากกว่า


    หรือคำพูดตลอดถึงการเขียนหนังสือ จะพูดถึงการปฏิบัติก็อย่าพึงพูดอวดตัวหรืออวดพวกของตัวว่าดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ก็ต้องรู้จักบริษัท เพราะที่พูดออกไปนั้นเขียนออกไปนั้น ผู้คนเขาจะต้องรู้ต่อกันไปอีกมาก แม้ว่าจะพูดของจริง เป็นความดีความวิเศษก็ไม่ควร แต่จะพูดในบริษัทของเรากันเอง เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสกล้าหาญในการที่จะนำเอาเป็นตัวอย่าง นี้ก็ควรจะพูด เพราะจะได้ประโยชน์


    ท่านได้ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งเมื่อพระโมคคัลลานเถระกับพระลักขณเถระไปทำความเพียรอยู่บนเขาคิฌกูฏ เมื่อขณะที่ลงจากเขา พระโมคคัลลานเถระได้เห็นเปรตตนหนึ่ง ด้วยทิพจักษุ คือไฟได้ไหม้ เปลวไฟได้ตั้งขึ้นแต่หางลามขึ้นไปถึงศีรษะตั้งขึ้นทั้งสองข้างไปรวมตรงกลางตัว ได้รับความทรมานแสนสาหัส พระเถระเห็นดังนั้นแล้วจึงยิ้มขึ้น อันพระลักขณเถระถามเหตุแห่งการยิ้ม ตอบว่า ที่นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ ท่านจงถามเราในสำนักพระศาสดาเถิด ท่านทั้งสองเที่ยวไปบิณฑบาตในนครราชคฤห์ เข้าไปเฝ้าพระศาสดา



    อันพระลักขณเถระนั้นได้ถามเหตุของการยิ้มแห่งพระเถระ ต่อพระพักตร์ของพระศาสดาแล้ว พระโมคคัลลานะจึงตอบว่า



    ผู้มีอายุ ผมได้เห็นเปรตตนหนึ่งในที่นั้น.อัตตภาพของมันเป็นอย่างนี้ จึงได้ทำการยิ้มให้ปรากฏ เพราะอัตตภาพอย่างนี้ เราไม่เคยเห็นเลย



    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเป็นการย้ำความจริงแก่พระโมคคัลลานเถระว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกของเราเป็นผู้มีจักษุหนอ ทรงรับรองถ้อยคำของพระเถระแล้ว.จึงตรัสว่า เปรตตนนั้นเราได้เห็นมันแล้วนับแต่เราได้ตรัสรู้ ณ โพธิสถานเหมือนกัน.แต่เราไม่พูด เพราะคิดว่า เมื่อหมู่ชนใดไม่พึงเชื่อคำของเรา ความไม่เชื่อของชนหมู่นั้น ไม่มีประโยชน์อะไรมีแต่จะให้โทษแก่เขาเท่านั้น บัดนี้เราได้พระโมคคัลลานะเป็นพยานแล้ว จึงจะได้พยากรณ์ว่า เปรตนั้นได้ทำกรรมอะไรมา


    ที่ตรงนี้ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้ย้ำพูดถึงว่า การที่เรามีความรู้อะไรต่าง ๆ อันเป็นภายในแห่งสมาธิ สิ่งเหล่านี้แม้จะเป็นความจริงก็ไม่ควรพูดออกมาหรือเขียนออกมาให้คนอื่นเข้าใจผิด เพราะผู้อื่นนั้นยังไม่รู้ หรือถึงรู้ก็ไม่เข้าใจ ซึ่งอาจจะเป็นบาปแก่ผู้ฟังถ้ามีการเข้าใจอย่างผิด ๆ ถูก ๆ เพราะความไม่เชื่อ นับประสาอะไรกับเราผู้เป็นสาวกรุ่นนี้เล่า ? แม้แต่พระบรมศาสดา พระองค์มิได้ทรงพยากรณ์ในเรื่องเปรตเหล่านั้นในขณะที่ทรงเห็นด้วยพระองค์เอง ได้ทรงพยากรณ์ก็ต่อเมื่อมีพระมหาโมคคัลลานเถระมาเป็นพยานในการรู้เห็นของพระองค์ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ว่า ผู้ที่มีแต่เฉพาะตานอก คือเพียงตาเนื้อ แต่ไม่มีตาทิพยจักษุ คือตาภายในนั้น เขาก็รู้เอาแต่เพียงคาดคะเนเท่านั้น เขาจะชื่อว่ารู้จริงหาได้ไม่ ดูตัวอย่าง ฌาน ก็แล้วกันเขาเรียนทั้งรูปฌาน อรูปฌาน แต่เขาก็ไม่รู้ว่า ฌานนั้นเป็นอย่างไร นี่แหละ พึงเข้าใจเสียเถิดว่า จะเป็นบาปแก่เขาเปล่า ๆ แม้แต่เขาเหล่านั้นจะมีความรู้เรียนจบพระไตรปิฎก แต่ตาในไม่มีก็ไม่เข้าใจความจริง เมื่อเพียงแต่เดาเอาก็ไปกันใหญ่ เหมือนเขาเล่าว่า อีกาเช็ดปาก พอลือกันไปหน่อยก็ค่อย ๆ ยาวไป ก็กลายเป็นอีกา ๗ ปาก แตกตื่นกันใหญ่


    เรื่องของเปรตนั้น ท่านกล่าวต่อไปว่า เปรตตนนี้เมื่อยังเป็นคน ได้เกิดในศาสนาพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า สุมังคละได้สร้างพระวิหารถวายโดยเสียสละทรัพย์จำนวนมาก เศรษฐีนี้จะต้องไปที่วิหารนั้นทุก ๆ วัน ในวันหนึ่งตอนเช้า ท่านเศรษฐีได้ไปที่วิหารดังเช่นเคยทุก ๆ วัน ในระหว่างทางได้เหลือบไปเห็นโจรคนหนึ่งนอนอยู่ใกล้ ๆ ประตูพระนคร มีตัวสกปรกทั้งตัวแล้วยังเอาผ้ากาสาวะคลุมตัวด้วย เศรษฐีจึงพูดเปรย ๆ ขึ้นว่า หมอคนนี้เป็นคนเปรอะเปื้อนสกปรก เป็นนักเลงเที่ยวกลางคืนไม่เอาการเอางาน ดีแต่นอน


    โจรได้ฟังก็โกรธคิดว่า เราจะต้องทำให้เศรษฐีนี้เจ็บใจผูกอาฆาตแล้วทำการเผานา ตัดเท้าโค เผาเรือนของเศรษฐี แต่เศรษฐีก็ไม่โกรธเคือง โจรจึงคิดว่าเราจะทำให้เศรษฐีเคืองให้ได้ รู้ว่าพระคันธกุฎี อันเป็นที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้อง|เป็นที่รักของเศรษฐี จึงได้ไปเผาพระคันธกุฎีวอดหมด แทนที่เศรษฐีจะเสียใจ กลับดีใจหัวเราะ เพราะจะได้ทำพระคันธกุฎีเสียใหม่ให้สบาย. สวยกว่าเก่า ส่วนโจรผู้ซึ่งได้ทำกรรมหนัก ถึงกับเผาพระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้าเมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปบังเกิดในมหาอเวจีนรกสิ้นกาลนาน บัดนี้มาเกิดเป็น อชครเปรต ถูกไฟไหม้อยู่ที่ภูเขาคิฌกูฏด้วยผลแห่งกรรมที่ยังเหลือ


    ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นี้ ท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระก็ได้กลับมาจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวงในเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง โดยมีความประสงค์จะได้ดำเนินการพระศาสนา ให้เป็นประโยชน์แก่บริษัททั้งหลาย และก็ได้ผลตามที่ท่านเล่าว่า มีพุทธบริษัทมาเรียนกัมมัฏฐานกันมาก ทั้งพระภิกษุ สามเณรและอุบาสกอุบาสิกา ต่างก็พากันตื่นตัวขึ้น แล้วท่านก็ได้แนะนำการปฏิบัติในทางจิตใจให้ นับว่าเป็นประโยชน์ เพราะการปฏิบัติธรรมในขณะนั้น โดยทั่วไปยังพากันสนใจน้อยมาก ต่อเมื่อเขาปฏิบัติจนเกิดผลคือ ความสงบทางใจแล้วและได้เล่าต่อ ๆ กันไป ก็ทำให้เกิดความกระตือรือร้นขึ้น จึงเป็นเหตุให้มีบุคคลใคร่เพื่อให้ได้ความสุขอันเป็นภายใน แต่การปฏิบัตินั้นต้องอาศัยผู้แนะนำที่ถูกต้องก็จะทำให้เกิดความก้าวหน้าต่อไป เมื่องจากการแนะนำในด้านการปฏิบัติจิตใจขณะนั้น ยังไม่แพร่หลาย จึงทำให้บุคคลผู้มาปฏิบัติอยู่ในวงจำกัด
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๗๖
    ตอนพระอาจารย์มั่น ฯ จำพรรษาที่อรัญญปัพพตา
    บ้านห้วยทราย อ. เวียงป่าเป้า จ. เชียงราย

    ครั้นเมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ด้วยความประสงค์ที่จะให้พระภิกษุสามเณรได้สนใจในการปฏิบัติ โดยการที่ท่านแนะนำพร่ำสอน กับทั้งความเพียรซึ่งท่านได้กระทำเป็นตัวอย่าง ผลที่เกิดขึ้นนั้นน้อยมาก ทั้งนี้หมายความถึงธรรมที่เกิดขึ้นภายใน


    ท่านเล่าว่าเมื่อออกพรรษาไปในปีที่แล้วก็เดินธุดงค์จากวัดเจดีย์หลวง เพื่อไปแสวงหาความสงบต่อไป ซึ่งตั้งใจว่าจะกลับมาแนะนำสั่งสอนประชาชนในเมืองเป็นครั้งคราว เพื่อให้ประชาชนชาวเมืองได้รับความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามสมควร ท่านจึงมุ่งหน้าไปอำเภอสันทราย อำเภอนี้ไม่ไกลจากหัวเมืองเชียงใหม่เท่าใดนัก แต่ก็ลำบากมิใช่น้อยเพราะไม่มีถนนรถยนต์ ใช้การเดินเท้าตลอดตามที่ต่าง ๆ ก็มีหมู่บ้านเล็ก ๆ เป็นแห่งๆ ไป ท่านเล่าต่อไปว่า พยายามหลีกเลี่ยงหมู่บ้านใหญ่ ๆ เพราะกลัวคนจะมารบกวน จึงพยายามหาที่สงบ เมื่อเห็นว่าสถานที่สงบดีก็พักอยู่นาน แต่เมืองเชียงใหม่นี้มาเลเรียชุมนัก มักเล่นงานเอาท่านหลายครั้ง ทั้งยาก็หายาก ใช้ยาสมุนไพรแก้ไขกันไปตามเรื่อง บางครั้งก็ต้องใช้กำลังใจกำจัดมันก็หายไปได้


    ท่านได้เล่าต่อไปอีกว่า การเปลี่ยนบรรยากาศ จากในป่าเข้ามาอยู่ในเมืองนั้นเป็นสิ่งควรทำ เพราะจะเป็นการทดลองกำลังใจของคนที่ฝึกฝนมาแล้ว เพราะหากว่าอยู่ป่าจำเจไป ถ้าหากว่าไม่มีสติพอ อาจจะกระทำให้เห็นว่าโลกนี้แคบไป หรือจะอยู่แต่ในความสงบอันจะเป็นไปตามโมหะ เพราะการอยู่ในป่านั้นไม่เกี่ยวข้องในความเป็นอยู่ในหมู่คนส่วนใหญ่ การอยู่ป่าจึงมีส่วนดีและส่วนเสียอยู่เหมือนกัน. เพราะหากว่าเกิดเป็นทิฏฐิชนิดหนึ่งแล้วจะแก้ยาก คือถือว่าการอยู่ป่านั้นวิเศษกว่า ถือว่าเรานั้นวิเศษแล้ว ผู้ที่ไม่ได้อยู่ป่าถือว่าบุคคลผู้นั้นอยู่กลางกิเลส จึงถือเอาตัวเป็นใหญ่ แล้วทำทิฏฐินี้ให้ฝังอยู่ในใจ ตำหนิติโทษผู้อื่น อย่างนี้เป็นผลเสียเป็นอย่างยิ่ง.


    ท่านเล่าต่อไปว่า ในครั้งพุทธกาล พวกฤๅษีจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ท่านจะอยู่เป็นเวลาประมาณ ๔ เดือนในป่าหิมพานต์นั้น ๘ เดือนท่านจะมาอยู่กับหมู่ชน จากคัมภีร์พระธรรมบทขุททกนิกาย ท่านอ้างว่ามีพระฤๅษีจำนวนหนึ่งประมาณ ๕๐๐ คน มีโฆษกเศรษฐีเป็นที่คุ้นเคยในตระกูลนั้น สี่เดือนฤๅษีทั้ง ๕๐๐ จะอยู่ในป่าหิมพานต์ ๘ เดือน ฤๅษีทั้ง ๕๐๐. จะมาหาเศรษฐี และเพื่อจะได้ลิ้มรสอาหารนานาชนิด เพราะอยู่ในหิมพานต์ประเทศนั้นได้ลิ้มแต่รสผลไม้



    ในวันหนึ่ง ฤๅษีทั้ง ๕๐๐ ได้มาพักอยู่ใต้โคนต้นไทรต้นใหญ่ มีร่มเงาสาขามหึมา ครั้นนั่งพักกันสักครู่แล้ว ฤๅษีทั้ง ๕๐๐ ก็มีความสงสัยว่าต้นไม้ใหญ่อาจจะมีเทวดาสิงอยู่ จึงได้พูดว่า



    “หากว่าเทวดามีอยู่จริง บัดนี้พวกเราต้องการน้ำฉันเพราะกำลังกระหาย”



    เทวดาที่สิงอยู่ในต้นไทรนั้นก็เนรมิตน้ำให้ฉัน



    ฤๅษีทั้ง ๕๐๐ องค์ก็พูดว่า “เราต้องการอาหาร”



    เทวดานั้นก็เนรมิตอาหารถวายให้ฉันกันจนอิ่ม



    ฤๅษีพากันพูดว่า.”พวกเราต้องการเห็นตัวเทวดา”



    เทวดาก็ปรากฏตัวให้เห็นกันจนทั่วถึง



    ฤๅษีจึงถามเทวดาว่าท่านทำบุญอะไรมา ?


    เทวดาก็ไม่อยากจะบอกความจริง เพราะทำบุญมาน้อยมาก แต่ฤๅษีได้อ้อนวอนโดยนานาประการ เทวดาจึงบอกบุพพกรรมตนเองว่า



    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในชาติก่อนนั้น กระผมได้เกิดเป็นคนใช้ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้ที่เป็นพุทธอุปฐาก ครั้งนั้นผมเป็นคนใช้ใหม่ ๆ ไม่ทราบถึงว่าวันพระหนึ่งๆ พวกคนใช้ทั้งหมดจะต้องสมาทานศีล ๘ วันนั้นเป็นวันพระ ผมได้ไปทำงานตัดไม้ในบ้าน ผมกลับมาแล้ว มีความสงสัยมาก ว่าทำไมไม่มีใครรับประทานอาหารมื้อเย็นแม้แต่คนเดียว เขาได้จัดอาหารไว้ให้ผม ผมจึงสงสัยมาก ได้ถามว่าเขาทำไมไม่รับประทานอาหารในเวลาเย็นกันเลย



    ได้รับคำตอบว่า วันนี้เป็นวันพระ ทุกคนในที่นี้ต้องสมาทานศีลอุโบสถ แม้แต่เด็กกินนม วันนี้ก็ต้องกินน้ำผึ้งแทน



    ผมจึงได้เกิดความละอายแก่ใจ แล้วมีศรัทธาขึ้นมาทันที จึงได้เข้าไปถามท่านเศรษฐีว่า ผมจะขอสมาทานศีลอุโบสถบ้างจะได้ไหม



    อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็บอกว่าได้ แต่ได้เพียงกึ่งพระอุโบสถศีล เพราะวันนั้นเย็นแล้ว



    ผมคิดว่าแม้กึ่งอุโบสถก็ยังดี ผมจึงสมาทานอุโบสถทันที ครั้นเมื่อผมได้สมาทานอุโบสถแล้ว ค่าที่ผมไม่เคยอดข้าวเย็นมาก่อน ผมก็เกิดปวดท้องเป็นลมอย่างรุนแรง ในเมื่อเวลาล่วงไปใกล้รุ่ง ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า เพื่อนๆ ผมเขาบอกให้ผมรับประทานอาหารเสียเถอะ แต่ผมก็ไม่ยอม จนต้องถึงกับเอาผ้าขาวม้ามารัดท้องเพื่อผ่อนคลายความเจ็บปวด ในที่สุดผมก็ไม่สามารถที่จะทนอยู่ต่อไปได้ จึงทำกาลกริยาตายในคืนนั้นเอง ด้วยอานิสงส์กึ่งอุโบสถ ผมจึงมาเกิดเป็นเทวดาอยู่ในที่นี้


    อันพวกฤๅษีถามแล้วว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วหรือ ?



    อุบัติขึ้นแล้วขณะนี้ประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี



    ฤๅษีเหล่านั้นมีความดีใจเป็นอย่างยิ่งรีบเดินทางไปพบเศรษฐีผู้ชื่อว่าโฆษกะที่เป็นโยมอุปฐาก เพราะทุก ๆ ปีหน้าแล้งก็จะมาพักอยู่กับเศรษฐีนี้ เพื่อจะได้ลิ้มรสอาหารนอกจากผลไม้ แต่การมาคราวนี้ของฤๅษี ๕๐๐ เป็นไปอย่างรีบด่วน เมื่อได้พบเศรษฐีแล้ว ก็รีบบอกเศรษฐีว่า



    บัดนี้ พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วในโลก ท่านเศรษฐีจะไปนมัสการท่านหรือไม่ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้


    เศรษฐีก็บังเกิดศรัทธาจากความบอกเล่าของฤๅษีจึงบอกว่า พวกท่านหมู่ฤๅษี จงไปก่อนเถิด ผมจะตามไปทีหลัง


    ฤๅษีทั้ง ๕๐๐ ก็รีบเดินทางไปพบพระพุทธเจ้า ได้เข้าไปนมัสการ ณ วัดพระเชตวัน นครสาวัตถี เมื่อเข้าไปเฝ้าแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ยังพวกฤๅษีเหล่านั้นให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยพลัน


    เรื่องนี้หลังจากท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังโดยย่อแล้ว ท่านก็ได้อธิบายเป็นข้อๆ ว่า


    ๑. การที่ประชาชนหรือฆราวาสที่รักษาอุโบสถนั้น นับว่าเป็นกุศลแก่เขามาก เพียงกึ่งอุโบสถก็ทำให้ได้บุญมิใช่น้อย เพราะเหตุนั้นควรจะแนะนำโยมรักษาอุโบสถให้มากก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง


    ๒. การที่ฤๅษีบำเพ็ญฌานจนสำเร็จอภิญญาแล้ว ได้มาฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้น ท่านบอกว่า เพราะความพอเพียงแห่งพลานุภาพของจิต ซึ่งฤๅษีเหล่านั้นได้บำเพ็ญ เพียงแต่ยังไม่ได้อุบายที่ถูกต้องเท่านั้น เพราะฌานของฤๅษีเท่ากับสมถกรรมฐาน แต่ยังไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นการกำจัดกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น เมื่อได้ฟังธรรมแสดงในทางวิปัสสนาจึงไม่เป็นของยาก


    ๓. การลงมาจากภูเขาหิมพานต์ประเทศตามตำนานบอกว่าเพื่อลิ้มรสอาหารที่เผ็ดมัน และอาหารรสเลิศต่าง ๆ แต่เราเข้าใจว่า เป็นการทดสอบในเรื่องของจิตใจมากกว่า เพราะการอยู่ในป่านั้นสงบทั้งภายนอก คือหาสีแสงของผู้คนหญิงชายความกระตุ้นของอายตนะภายนอกไม่มี ก็เหมือนกับสงบอยู่ หรือเหมือนหมดกิเลสแล้ว และยิ่งได้บำเพ็ญสมาธิก็ยิ่งเหมือนกับว่าสลัดแล้วซึ่งกิเลสจริง ๆ แต่นั้นเป็นเพียงการระงับยับยั้งกิเลสไว้ชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งพอมากระทบสีแสงฉาบสวยตระการตา ผู้คนหญิงชายอันเป็นกามกิเลสตลอดจนสิ่งต่าง ๆ อันเป็นเครื่องกระตุ้นจิตใจให้กำเริบขึ้น ก็เกิดความหวั่นไหวคลอนแคลน ถึงจะไม่หวั่นไหวมากเพราะกำลังจิตยังดีอยู่ก็ตาม แต่ในเมื่อมันหวั่นไหวแล้วความเร่าร้อนที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในขันธสันดานย่อมเกิดขึ้น อุปมาประดุจดังไฟสุมแกลบนั่นทีเดียว



    พวกฤๅษีทั้ง ๕๐๐ องค์เหล่านี้ได้มาพิจารณาตัวตนของตัวเองโดยที่มิได้ถือทิฏฐิมานะว่า เรานี้มีฤทธิ์ถึงกับเหาะเหินเดินอากาศได้ อีกทั้งมีคนร่ำรวยและมียศถาบรรดาศักดิ์มาเลื่อมใส ละทิฏฐิมานะอันจะเป็นเครื่องกางกั้นความจริงเสีย โดยพิจารณาถึงความจริงว่า เรายังมีความหวั่นไหวในใจที่ถูกกระทบกระเทือนอยู่



    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้ท้าวความต่อไปว่า บุคคลผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานทั้งหลายควรสำเหนียกข้อนี้ให้มาก เพราะถือเอาทิฏฐิมานะเป็นเกณฑ์ แล้วจะเสียผล เนื่องจากการเข้าใจตัวเองผิด ๆ โดยการที่ตนเองมักจะตีความเข้าตัวเองอยู่เสมอ เมื่อความดีเกิดขึ้นประมาณ ๑๐๐ ก็ตีความเอาว่าเรานี้ได้ ๑,๐๐๐ แต่การตีความเช่นนี้มันก็ไม่เสียหายอะไร และก็ไม่เป็นบาปด้วย เช่นเราทำสมาธิได้รูปฌานมา เข้าใจว่าเราได้อรูปฌาน หรือกำลังพิจารณาความเกิดดับเป็นอุบายของสมถะข้างต้น เข้าใจว่าตัวถึงวิปัสสนาที่แท้จริง เหล่านี้คือการเข้าใจตัวเองผิด ไม่เป็นบาปแต่ก็ทำให้เกิดการเนิ่นช้าเสียเวลา ควรจะยอมรับความจริงเสีย อย่ายกตัวเองให้มากไป เช่นมี ๑๐๐ เข้าใจว่ามี ๑,๐๐๐ เป็นอย่างนี้จะเสียเวลาเปล่า บำเพ็ญความเพียรที่เขาได้ผลอย่างจริงจังนั้น เพราะยอมรับความจริงโดยไม่หลีกเลี่ยง และมีความมุ่งหวังความพ้นทุกข์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ


    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้อธิบายธรรมต่างๆ นี้แล้ว ก็เล่าไปถึงการเดินธุดงค์ครั้งนี้โดยความประสงค์จะไปให้ไกล จึงตัดทางไปทางจังหวัดเชียงราย ที่ได้ข้ามขุนเขาไปอย่างทุรกันดารที่สุด แล้วในสมัยนั้นไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ แม้แต่ถนนรถยนต์ก็ไม่มี แต่นั่นเป็นความพอใจ เพราะต้องการวิเวก ซึ่งเป็นการเหมาะสมสำหรับสมณะ และการไปครั้งนี้ ใคร่เพื่อที่จะไปให้ใกล้แดนประเทศพม่าให้มากที่สุด เพราะท่านเคยธุดงค์ไปประเทศพม่ามาครั้งหนึ่งแล้ว ท่านจึงรู้จักทางที่จะไป และสถานที่ที่จะทำความเพียรอันเป็นแหล่งวิเวกบางแห่งนั้น ท่านเล่าว่าท่านยังชอบใจในภูมิประเทศหลายแห่งสมควรแก่การอยู่เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ก็บ้านห้วยทราย ในเขตท้องที่อำเภอเวียงป่าเป้านี่ก็เป็นย่านที่พอเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงได้อยู่จำพรรษา.


    ท่านได้พูดว่า การอยู่ป่าเขา เมื่อจะอยู่นานได้นั้น ต้องตรวจดูภูมิประเทศเกี่ยวกับอากาศอย่าให้อับเกินไป คืออย่าให้เป็นป่าทึบเพราะจะทำให้เกิดความวิปริตแก่ร่างกาย และถ้าเป็นภูเขาก็อย่าให้สูงเกินไป จะทำให้เกิดไม่สบายเกี่ยวกับอากาศและการโคจร หากประสงค์จะทำความเพียรให้ได้ผล ก็ควรจะหาชาวบ้านที่เป็นสัปปายะ ไม่รบกวนจนเป็นเหตุให้ต้องเสียเวลาการทำความเพียร คือชาวบ้านไม่แตกตื่นกัน เพราะชาวเขาชาวบ้านในป่าลึกเขาไม่ใคร่แตกตื่นเหมือนชาวเมือง ก็จะทำให้ไม่ต้องมีการกังวลมาก ท่านว่า คนตื่นนี้มันยิ่งกว่าวัวควายตื่น พอรู้ว่าพระหลวงพ่อขลังมาอยู่บนภูเขาจะแตกตื่นไปพบกันใหญ่ หลวงพ่อบางองค์กิเลสยังเยอะ หลงไปกับความแตกตื่น อุตส่าห์ตัดถนนรถยนต์ให้คนเขาไปหาเพื่อให้ความสะดวกแก่คน เลยแตกตื่นกันใหญ่ ท่านว่าทำอย่างนี้ไม่ถูก


    เมื่อท่านเห็นว่าที่บ้านห้วยทรายนี้ เหมาะแก่การทำความเพียร อันจะเป็นผลทางใจอย่างนี้แล้ว ท่านก็ได้รับความอนุเคราะห์จากชาวบ้าน โดยยกกระต๊อบถวายพอจะอยู่ได้ไม่ผิดพระวินัย แล้วท่านจึงปรารภความเพียรอย่างเต็มที่


    ภายในพรรษานี้ ท่านได้เล่าให้กับผู้เขียนฟังว่า เราได้พิจารณาดูแล้วว่าต่อไปการทำกัมมัฏฐานของพระภิกษุสามเณรนั้นจะรุ่งโรจน์ แต่จะไปรุ่งโรจน์ในเมือง และการธุดงค์ของพระภิกษุสามเณรนั้นจะเป็นบางลงไป เพราะจะไปหาป่าเขาวิเวกยากยิ่งขึ้น ประกอบกับความไม่เข้าใจของการธุดงค์ ที่จะทำให้เกิดผลอย่างแท้จริง มีแต่จะธุดงค์พอเห็นเหมาะก็สร้างวัดกัน เพื่อจะให้เป็นแหล่งบำเพ็ญสมณธรรมตามประเพณีไปเท่านั้น เพราะแต่ละแห่งญาติโยมเขาต้องการพระที่จะอยู่กับเขา สั่งสอนเขาให้ได้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติ จึงทำให้เกิดเป็นวัดป่ากันมากขึ้น


    ส่วนในเมืองทั่ว ๆ ไปญาติโยมก็จะสนใจการปฏิบัติธรรมมาก และจะเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยบ้าง แต่ก็ยังดี จะได้เป็นกำลังของการปฏิบัติ ท่านว่าผู้ใหญ่โต พ่อค้าวาณิชชาวเมืองจะพากันสนใจกัมมัฏฐานมากขึ้นในอนาคต


    ผู้เขียนฟังแล้วยิ่งไตร่ตรองดู ก็ยิ่งเห็นจริงขึ้นตามลำดับเมื่อมามองดูในยุคปัจจุบัน
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๗๗
    ๑๒ ปีในการอยู่เชียงใหม่ของพระอาจารยมั่น ภูริทัตตเถระ
    จำพรรษาที่ปางเมี่ยง แม่ปั๋ง อ. พร้าว

    นับเป็นการเดินธุดงค์ที่มีความสำคัญอยู่ไม่น้อยในการเดินท่องเที่ยวอย่างโดดเดี่ยวในท่ามกลางขุนเขาลำเนาไพรป่าไม้ดงดิบ อันเป็นดงแห่งสัตว์ร้ายนานาชนิด ซึ่งมันจะสามารถทำลายชีวิตทุกเมื่อทุกขณะ ในเมื่อพระอาจารย์มั่นฯ ท่านได้วกวนท่องเที่ยวอยู่โดยการบำเพ็ญธุดงค์กัมมัฏฐาน แต่ความลำบากเหน็ดเหนื่อยในการบำเพ็ญเช่นนี้ก็หาได้เป็นอุปสรรคอะไรเลยสำหรับท่าน ยิ่งทำให้ท่านให้รับผลแห่งความบริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป


    ผู้เขียนได้สอบถามชาวบ้านในหมู่บ้านของอำเภอพร้าว ที่ท่านอาจารย์เคยพักอยู่ และชาวบ้านที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ขณะที่ท่านอาจารย์มั่นพักอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งปัจจุบันเป็นสวนลำไย และมีหมู่บ้านหนาแน่นมาก แต่ครั้งที่ท่านมาพักนั้น ครั้งนั้นยังเป็นดงดิบ มีสัตว์จำพวกเสือ หมี หมูป่าเข้ามากินวัวควายทำร้ายผู้คน หรือไม่ก็เข้ามาทำลายวัตถุสิ่งของผลาผลต่าง ๆ อยู่เสมอ



    ชาวบ้านเล่าว่า ท่านได้แนะนำให้พวกเขาแสดงตัวเป็นพุทธมามกะ (ผู้รับเอาพระรัตนเป็นที่พึ่ง-ผู้ใกล้ชิดพระรัตนตรัย) และสอนให้พวกเขาเข้าใจในเหตุผลแห่งความเป็นจริง โดยไม่ให้มีความเชื่อถืออย่างงมงายไร้เหตุผล เพราะเหตุผลเป็นความจริงในพระพุทธศาสนา โดยท่านได้สอนเน้นถึงว่า คุณธรรมนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก เช่นที่เราพากันกราบไหว้พระพุทธปฏิมากรนี้ มิใช่ว่าเราไหว้หรือนอบน้อมต่ออิฐ-ปูน-ทองเหลือง-ทองแดง-ทองคำ-หรือไม้-ดิน เพราะนั่นเป็นแต่เพียงวัตถุก่อสร้างธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราจะกราบไหว้พระพุทธรูป เราต้องกราบไหว้คุณธรรม คือมาระลึกถึงว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ไกลจากกิเลสเครื่องยั่วยวน ซึ่งถ้าไม่ไกลจากกิเลสแล้วเราก็ไม่ไหว้ เราไหว้เฉพาะท่านที่ห่างไกลจากกิเลสเท่านั้น อย่างนี้ชื่อว่า ไหว้พระองค์ท่านด้วยคุณธรรม จึงจะไม่ชื่อว่า ไหว้อิฐ-ปูน- ฯลฯ



    การไหว้พระธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมที่มีอยู่ในพระพุทธองค์ก็เช่นกัน โดยกล่าวคำเป็นต้นว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ-พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้พระธรรมนั้น เพราะถ้าพระธรรม (คำสอน) ที่กล่าวแล้วไม่ดีและเมื่อพิจารณาเห็นประจักษ์แล้วว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ไหว้ไม่นอบน้อม ดังนั้นเราจึงไหว้แต่พระธรรมที่กล่าวดี มิฉะนั้นแล้วเราก็จะกราบถูกเพียงแต่ใบลาน คือใบไม้ เพราะไปเข้าใจว่า ใบไม้คือธรรมนี้ชื่อว่าไม่ถูกต้อง เราจะต้องกราบให้ถูกให้ตรงต่อคำสอน คือพระธรรมของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง


    สำหรับพระสงฆ์อันเป็นสาวกผู้สืบพระศาสนาคือหลักธรรมของ พระพุทธเจ้าก็มีนัยเช่นเดียวกัน การที่เราให้ความเคารพกราบไหว้สักการะก็โดยมาระลึกถึงว่า ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีการเป็นอยู่อย่างสงบ ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครๆ พร้อมกันนี้ท่านยังดำรงภาวะเป็นเนื้อนาบุญอันเอกอุของชาวโลก ดังนั้นเมื่อเราจะกราบไหว้เราก็กล่าวคำว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฺฆํ นมามิ-พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ชื่อว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้านอบน้อมกราบไหว้พระสงฆ์นั้น ถ้าพระสงฆ์มีการปฏิบัติไม่ดีเราก็ไม่กราบ เรากราบผู้ที่ท่านปฏิบัติดี อย่างนี้ชื่อว่า กราบถูก มิฉะนั้นจะเป็นว่าเรากราบคนหรือธาตุ ๔ เท่านั้น ดังนั้นขณะที่เรากราบโดยกล่าวคำระลึกดังที่กล่าวมาแล้วและมีพระสงฆ์อยู่ต่อเฉพาะหน้าเรา อาจจะไม่ถูกเรากราบ ถ้าพระสงฆ์รูปนั้นปฏิบัติไม่ดี เมื่อทำได้ดังกล่าวชื่อว่าเรากราบได้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด



    สรุปแล้วกราบไหว้ใด ๆ ก็ตามถ้าเรากราบโดยยึดเอาคุณธรรมเป็นที่คงเป็นหลักแล้ว เราจะไม่มีการกราบผิดเลยเพราะการกราบไหว้โดยท้าวความถึงคุณธรรมนั้นจึงจะชื่อว่าเป็นเหตุผล หรือสมกับเหตุผลนั้นก็คือ กราบได้ไม่ผิดจึงจะได้รับความสงบร่มเย็นเป็นบุญ ฯ


    ผู้เขียนรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก ที่ได้ฟังโยมเขาอธิบายถึงคำสั่งสอนของท่านอาจารย์มั่น ฯ ที่เขาได้พากันจดจำเอาไว้และได้นำมาเล่าให้ฟังได้อีกจึงทำให้ได้ ความจริงมาอีกข้อหนึ่งว่า ท่านอาจารย์ท่านได้สอนคนบ้านนอกที่กลการศึกษาให้เข้าใจถึงข้อเท็จจริงซึ่งบางทีอาจจะดีกว่าผู้ที่ศึกษาแล้วอยู่ในเมืองหลวงเสียอีก....


    โยมคนนั้นได้เล่าถึงท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านสอนต่อไปว่า ศาสนา คือตัวของเราและอยู่ที่ตัวของเราเพราะเหตุไร ? ก็เพราะว่า ตัวตนของคนเรานี้เป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมก็ทรงแสดงถึง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ปฏิบัติก็ให้ปฏิบัติที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และที่ใจ ไม่เห็นให้ปฏิบัติที่อื่น ๆ



    นอกจากที่ดังกล่าว บางคนก็ว่า ศาสนาอยู่ในคัมภีร์ใบลาน



    โยมคนนั้นได้เล่าให้ฟังว่า ไม่ใช่อยู่ในคัมภีร์ใบลาน ก็ในใบลานหรือในกระดาษหนังสือทั้งหลาย ก็คนเรานั่นแหละไปจารึกไว้หรือไปเขียนไว้และทำมันขึ้นมา ซึ่งถ้าคนไม่ไปเขียนหรือไปทำมันขึ้นมา มันจะเป็นหรือมีขึ้นมาได้อย่างไร



    บางคนว่าศาสนาอยู่ในวัดวาอารามหรือพระสงฆ์



    โยมคนนั้นก็ได้รับอรรถาธิบายจากท่านอาจารย์มั่น ฯ ว่า วัดนั้นใครเล่าไปสร้างไห้มันเกิดขึ้น ก็คนนั้นแหละ พระสงฆ์ใครเล่าไปบวช ก็คนนั่นแหละบวชขึ้นมา ก็เป็นอัน ศาสนาอยู่ที่ตัวของเรา. ..


    การที่เราจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติศาสนา จึงเป็นสิ่งที่ตัวเราจะต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าไม่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คือการละบาป บำเพ็ญบุญ เราจะต้องไปทำชั่วซึ่งผิดศีลธรรมก็ต้องถูกลงโทษให้ได้รับความทุกข์ทรมาน ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคือละความชั่วประพฤติความดี ผลที่เกิดขึ้นก็คือความสุขสงบ และความหลุดพ้นจากทุกข์ในที่สุด นี้ก็คือการปฏิบัติพระพุทธศาสนาแล้วก็มีผล คือการปฏิบัติโดยการยกตัวของตนขึ้นจากหล่มหลุมแห่งวังวนวัฏสงสารเป็นต้น. .



    ผู้เขียนได้ฟังแล้วรู้สึกจับใจและมาเข้าใจว่า คนที่อยู่ในตำบลนอก ๆ ห่างไกล ก็ยังมีความรู้ซึ้งในพระพุทธศาสนาได้ก็นับว่ายังดีมาก แต่ก็เกิดขึ้นจากท่านผู้รู้ที่ยอมเสียสละความสุขส่วนตัวโดยเข้าไปสอนให้รู้ธรรมได้



    ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า



    สำหรับอำเภอพร้าวนี้มีภูมิทำเลเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรทางใจ และเป็นสถานที่แปลกประหลาดอยู่ เพราะมีภูเขาเรียงรายอยู่ทั่ว ๆ ไป ที่แปลกคือ ภูเขาวงล้อมเป็นเหมือนกำแพงเมือง มองดูแต่ไกลสูงตระหง่านง้ำตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ แลตอนใดที่เขาไม่จรดถึงกันก็ปรากฏเป็นช่องเขาขาด ดูประดุจหนึ่งประตูของกำแพงเมือง บริเวณเหล่านี้เราจะเลือกเอาเป็นสถานที่สำหรับทำความเพียรได้สบายมาก เพราะบริเวณนี้แวดวงด้วยขุนเขาและป่าละเมาะโปร่งสบาย ทุ่งนาก็มีเป็นแห่ง ๆ สลับกับลำธารห้วยระแหงซึ่งมีอยู่โดยทั่ว ๆ ไป พร้อมกันนี้หมู่บ้านก็ตั้งเรียงรายอยู่กันเป็นหย่อม ๆ มากบ้างน้อยบ้าง พอได้อาศัยเป็นโคจรคามบิณฑบาตตามสมควร...


    ท่านจึงปรารภในใจว่า สมควรจะได้อยู่พักเพื่อการบำเพ็ญให้นานสักหน่อย ประกอบกับลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ที่ได้รับคำสั่งสอนและปฏิบัติตามมรรคาที่ท่านได้แนะนำพร่ำสอนแล้วก็ได้รับผลพอสมควร แต่ก็ยังมีข้อสงสัย หรือไม่ก็ผลที่ตนได้รับนั้นยังไม่เป็นที่พอใจ ซึ่งก็ได้พากันพยายามติดตามหาท่านอยู่ตลอดมา ส่วนมากก็อยู่ทางภาคอีสาน และเมื่อท่านได้มาอยู่ทางภาคเหนือ จึงพยายามเดินทางมาหาท่านเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้ จึงปรากฏว่าได้มีพระภิกษุสามเณรทางภาคอีสานเป็นจำนวนไม่น้อย ได้พากันเดินทางมาพบท่านที่เชียงใหม่ และเมื่อได้ข่าวว่าท่านอยู่ที่อำเภอพร้าว จึงได้ไปหาที่นั่น แล้วก็มีมากขึ้นตามลำดับ เพราะแต่ก่อนท่านพยายามไม่อยู่ที่ไหนนาน ผู้ติดตามไม่ใคร่จะพบ เมื่อท่านอยู่อำเภอนี้นานเข้า ทำให้มีการเล่าลือว่าท่านอยู่แห่งนี้นาน พระภิกษุสามเณรผู้ได้รับความเย็นใจจากท่านก็ได้โอกาสรีบติดตามเพื่อจะได้พบ และต้องการฟังธรรมเทศนาของท่าน


    ท่านเล่าว่า ในระยะนี้เราต้องการที่จะพบกับลูกศิษย์ลูกหาเหมือนกัน เพราะจะได้ปรับความเข้าใจในเรื่องปฏิบัติทางใจให้มีความละเอียด และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องปรับปรุง เพราะการปฏิบัติจิตใจ จะต้องศึกษาให้รอบคอบ เนื่องจากว่าเป็นนามธรรมเป็นสิ่งที่จะต้องมีประสบการณ์ในตนเอง คือการกระทำที่เกิดขึ้นในใจนั้นมีหลายอย่างที่จะต้องใช้ปัญญาวิจารณ์ หาเหตุผลเพื่อให้การดำเนินไปในทางที่ถูกต้องจริง ๆ เปรียบเทียบเท่ากับพระไตรปิฎกในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ในปีนี้มีพระอาจารย์ที่เคยเป็นศิษย์ของท่าน ในขณะเมื่อท่านได้แนะนำสั่งสอนอยู่ในภาคอีสานจำนวนมาก ได้เริ่มคิดถึงท่านที่ได้จากมาอยู่ทางภาคเหนือหลายปีแล้ว จึงต่างก็ได้คิดจะติดตาม เพราะขณะที่ได้อยู่กับท่านนั้นได้รับผลทางใจมากเหลือเกินจนมีความมหัศจรรย์มาก มีอุปมาเหมือนเปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ....


    ซึ่งในขณะนั้นการปฏิบัติทางด้านจิตใจยังงมงายกันมาก หากท่านอาจารย์มั่นฯได้มาปรับปรุงแนะนำปฏิบัติเข้าทาง จึงทำให้เกิดความจริงขึ้นจนเป็นที่เชื่อมั่นในตนอย่างหนักแน่นเข้า ข่าวความดีของการปฏิบัติทางด้านจิตใจหรือการปฏิบัติกัมมัฏฐานได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้หวังดีอยากพ้นทุกข์ ได้น้อมตัวเข้ามาเป็นศิษย์เพื่อการอยู่ปฏิบัติกับท่านจำนวนมากขึ้น ทั้งพระธรรมยุตและพระมหานิกาย เพราะการปฏิบัติทั้งทางด้านพระธรรมวินัยและการปฏิบัติธุดงค์ ตลอดถึงกิจวัตรต่าง ๆ ได้แนะนำและพาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและเหมาะสม ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีหมู่ใดคณะใดกระทำได้ เพราะผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามปฏิปทาของท่านอาจารย์มั่นฯ นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ



    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการตื่นตัวในเรื่องของการปฏิบัติทางใจมากขึ้น แม้จะอยู่ในวงของภิกษุแต่ก็มั่งคั่งและแผ่ออกถึงญาติโยมในปัจจุบัน ในระยะเพียงไม่กี่ปี ความขยายตัวของคณะปฏิบัติก็กว้างขวางออกไปอย่างมากพอสมควรทีเดียว นับเป็นประโยชน์ทั้งแก่ภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกา



    ในระยะแรกนี้ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้พาคณะศิษย์เที่ยวธุดงค์ เพื่อวิเวกวกเวียนอยู่เฉพาะภาคอีสานในถ้ำภูเขา ป่าใหญ่ เพราะการธุดงค์นั้นมีความมุ่งหมายที่จะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติทางใจจริงๆ ในกรณีนี้ท่านเองมีความชำนาญลู่ทางการไปมามาก ท่านจึงแนะนำแก่ศิษย์ได้ถูกต้อง ควรจะไปอยู่ถ้ำโน้นถ้ำนี้ เขาโน้นเขานี้ หรือป่าโน้นป่านี้เป็นต้น เมื่อได้ธุดงค์ไปทำความเพียรในที่ต่าง ๆ ปฏิบัติได้ผลอย่างไร ทุก ๆ องค์ก็นำไปศึกษากับท่านต่อไป และทุกครั้งที่มีการศึกษานั้นก็จะรับความกระจ่างแจ้งอย่างดียิ่ง


    เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลเกิดขึ้นทำให้ได้รับความก้าวหน้าของการดำเนินได้เป็นอย่างดียิ่ง ซึ่งยังไม่เคยมียุคใดในครั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่จะบังเกิดผลแห่งการปฏิบัติด้านจิตใจที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับครั้งที่ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้กระทำขึ้น ที่กล้ากล่าวเช่นนี้เพราะเป็นความจริงซึ่งผลปรากฏจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่ดำเนินจิตเป็นลูกศิษย์ของท่านนั้น นับมาแต่ ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล พระอาจารย์เทสก์ เทสรงฺสี พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์แหวน สุจิณฺโน พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ พระอาจารย์ขาว อนาลโย พระอาจารย์ชอบ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปณฺโณ รุ่นสุดท้ายก็ผู้เขียน และพระอาจารย์วัน อุตฺตโม ยังมีอีกนับได้กว่า ๘๐๐ องค์ ที่เป็นศิษย์ของท่าน ทั้งยังมีชีวิตอยู่และทั้งมรณภาพไปแล้ว ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ได้ทำกิจพระศาสนา ได้รับผลประโยชน์อย่างยิ่งทั้งตัวของท่านและผู้อื่น


    ผู้เขียนจึงกล้าพูดว่า ไม่มียุคใดที่การปฏิบัติจิตใจได้ถูกฟื้นฟูขึ้นเท่ากับยุคนี้ แต่ก่อนพระอาจารย์มั่น ฯ เริ่มปฏิบัตินั้นก็ยังไม่เห็นมีการปฏิบัติกันเท่าไร และดูยังลึกลับอยู่มาก หลังจากศิษย์ของท่านได้รับความจริงในด้านนี้ แล้วนำเผยแพร่ทั่วประเทศไทย ความตื่นตัวเรื่องการปฏิบัติจึงมีขึ้น เนื่องจากว่าอุบาสกอุบาสิกาได้รับ ผลคือความเยือกเย็นสบาย เห็นความบริสุทธิ์แท้จริงจากศิษย์ของอาจารย์มั่น ฯ มากขึ้นตามลำดับ เพื่อนำมาปฏิบัติทางด้านจิตใจกันขึ้นมาก ถ้าหากไม่รีบหาวิธีปฏิบัติแล้วญาติโยมอุบาสกอุบาสิกา ก็จะต้องหันมาศึกษาการปฏิบัติกับพระที่เป็นศิษย์ท่านอาจารย์มั่น ฯ เสียหมด จะทำให้ประโยชน์บางประการของคนอื่นต้องเสียหมดไป จึงปรากฏมีการตื่นตัวของสำนักวิปัสสนามากมายเกิดขึ้น ถูกบ้างผิดบ้างไปตามเรื่องของศาสนาแต่ละคณะ


    ผู้เขียนก็ได้รับประสบการณ์จากศิษย์พระอาจารย์มั่น ฯ เช่นเดียวกัน เพราะขณะนั้นผู้เขียนอายุเพียง ๑๓ ปีเท่านั้น และขณะนั้น พ.ศ. ๒๔๗๖ ก็มาได้ความดีของการปฏิบัติจิต อย่างน่าพิศวง จนถึงกับบวชปฏิบัติกับศิษย์พระอาจารย์มั่น ฯ จนได้ติดตามปฏิบัติถึงกับได้ไปอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ฯ แต่ก่อนนี้ผู้เขียนยังไม่เห็นมีการปฏิบัติวิปัสสนาเลย ผู้เขียนเองยังถูกชาวบ้านเขาตำหนิว่า การปฏิบัติวิปัสสนานั้นเดี๋ยวจะบ้า แล้วเขาพูดว่าไม่มีประโยชน์ บางพวกก็พูดว่า มรรคผลไม่มีแล้ว ดู ๆ มันมืดมนเหลือเกิน ในครั้งนั้นผู้เขียนยังว่าไม่มียุคใดในกรุงรัตนโกสินทร์ที่จะเหมือนกับพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ได้ฟื้นฟูการปฏิบัติวิปัสสนาเจริญถึงขั้น
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ ศ. ๒๔๗๘
    ๑๒ ปีในการอยู่เชียงใหม่ ของพระอาจารย์มั่น
    ภูริทัตตะเถระ ทุ่งหมกเม้า อ. พร้าว

    ดังได้กล่าวแล้วว่า ในท้องที่อำเภอพร้าวนั้นมีที่วิเวกเหมาะสมกับการบำเพ็ญกัมมัฏฐานมาก ท่านพระอาจารย์มั่น ฯ ท่านเดินธุดงค์วกเวียนอยู่ในอำเภอนี้หลายปี


    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คณะศิษย์ของท่านที่ได้ถูกอบรมไว้แล้ว โดยส่วนมากอยู่ทางภาคอีสาน ที่พยายามสืบเสาะหาพระอาจารย์มั่น ฯ ว่าอยู่แห่งหนตำบลใด จึงได้ข่าวว่าอยู่ทางอำเภอพร้าว ต่างก็หาวิธีที่จะมาหาท่านด้วยความยากลำบาก เพราะโดยส่วนมากก็เดินโดยเท้า บางองค์บางท่านพยายามฟังข่าว และเสาะหาท่านอยู่หลาย ๆ ปี กว่าจะพบบางท่านก็ได้พบง่าย คือพอรู้ว่าศิษย์จะมาและศิษย์นั้นอาจจะมีความสำคัญในอนาคตหรือจะเป็นกำลังให้แก่พระพุทธศาสนา ท่านจะเอาใจใส่พิเศษ เพื่อให้เกิดผลทางใจ ท่านจะถือโอกาสไปคอยรับการมาทีเดียว


    เป็นความประสงค์ของท่านที่ จะรวมศิษย์อีกครั้งตามที่ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟัง เพราะหลังจากการธุดงค์แสวงหาความสงบ พิจารณาถึงปฏิปทาต่าง ๆ แล้ว สมควรจะแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่ยังบกพร่องอยู่ ให้เต็มพร้อมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่คณะศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ฯ ในปัจจุบัน ที่มีความสามารถมากกับเป็นที่เคารพนับถือจากพุทธบริษัทโดยทั่วไป


    จึงปรากฏว่า พระอาจารย์จากภาคอีสานได้เดินทางไปพบกับท่านที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะอำเภอนี้ก็ถูกความประสงค์ของท่าน โดยไม่ต้องไปนิมนต์.หรือสั่งการให้มา แต่เป็นความต้องการ หรือความประสงค์ที่ตรงกันเกิดขึ้น ทางศิษย์ต้องการจะพบ เพื่อจะได้ศึกษาธรรมให้สูงยิ่งขึ้น ทางอาจารย์ต้องการจะพบจะได้แก้ไขปรับปรุงที่ได้สอนไว้ ให้มีความบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และให้ได้ผลยิ่งขึ้น ความประสงค์ตรงกันหลังจากท่านอาจารย์มั่น ฯ จากศิษย์ไปประมาณ ๘ ปี


    นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระเถรานุเถระจำนวนมากจึงหลั่งไหลขึ้นเชียงใหม่ เพื่อการเข้าพบหาท่านอาจารย์มั่นฯ ทั้งกิตติศัพท์ก็กำลังเลื่องลือว่า ท่านเป็นผู้มีความบริสุทธิ์และมีความสามารถในอันที่จะแนะนำศิษยานุศิษย์ให้ได้รับผลทางใจ ผู้ใดต้องการความสงบหรือความพ้นจากทุกข์แล้ว ก็จะไปหาไปพบหรือไปอยู่กับท่าน ก็จะได้ผลอย่างเต็มที่ทีเดียว ข่าวนี้เป็นที่ทราบดี ในขณะนั้นผู้เขียนก็บรรพชาเป็นสามเณรได้เพียง ๒ พรรษา ข่าวความดีงามในการปฏิบัติของท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็ส่งเข้าสู่ใจของผู้เขียนตลอดทุกระยะเวลา ทำให้เกิดความกระตือรือร้นในอันที่จะต้องการพบท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะนั้นโอกาสยังไม่ให้เลย ประกอบกับผู้เขียนยังอยู่กับพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ และการปฏิบัติกัมมัฏฐานยังอยู่ในขั้นที่ยังใช้ไม่ได้ดี ท่านอาจารย์กงมาท่านว่า



    “เณรอยากไปหาท่านอาจารย์มั่น ฯ หรือ ถ้าหากเณรมีภูมิจิตแค่นี้ มีหวังโดนตูมเดียวพัง”


    ท่านอาจารย์กงมา ท่านหมายความว่า ใครที่มีภูมิจิตอ่อน โดนท่านดุเอาก็สู้ไม่ไหว ก็เป็นเหตุให้ผู้เขียนพยายามบำเพ็ญจิตอย่างหนักตลอดมา แต่จนแล้วจนรอดผู้เขียนก็ไม่ได้โอกาสที่จะขึ้นไปพบพระอาจารย์มั่น ฯ ที่เชียงใหม่ จนท่านอาจารย์มั่นฯ ไปพักอยู่บ้านเดิมของอาจารย์กงมา ท่านจึงพาผู้เขียนไปพบพระอาจารย์มั่นฯ สมใจ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕


    เมื่อคณะศิษย์ทั้งหลายไปพบพระอาจารย์มากขึ้น ท่านได้พาเที่ยวธุดงค์ไปตามป่าเขาถ้ำตามที่เห็นสมควรแล้ว ท่านก็แนะนำปฏิปทาข้อควรปฏิบัติต่าง ๆ จนเป็นผลในทางจิตมากขึ้น.ได้รับประโยชน์อย่างที่เป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้น เนื่องจากการกระทำที่ท่านทำให้เป็นตัวอย่างนั้นหนึ่ง และการแนะนำไปตามความเป็นจริงเกิดขึ้นนั้นหนึ่ง ซึ่งเช่นนี้น้อยนักที่ผู้เป็นอาจารย์จะหาโอกาสช่วยศิษย์ให้ได้ถึงขนาดนี้ เป็นหลักการที่จะปรากฏในที่ต่าง ๆ เพราะเหตุว่าการกระทำเช่นนี้ต้องมีความหนักแน่นหวังเพื่อประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและแก่มนุษย์ชาติอย่างแท้จริงจึงจะทำได้ เพราะจะต้องเหน็ดเหนื่อย ลำบากและทุรกันดาร ตลอดถึงการเอาจิตใจเข้าพัวพันโอบอ้อมระวังเพื่อให้ผู้ดำเนินได้เดินไปในทางที่ถูกตลอดเวลา


    กาลและสถานที่ช่างเป็นใจอะไรเช่นนั้น เหตุคือความเจริญของท้องถิ่น แต่ละแห่งในแถบนี้ยังเป็นลักษณะบ้านป่า แม้แต่ตัวอำเภอเอง ตลอดถึงอุปนิสัยใจคอของคนบ้านนี้ ก็ยังไม่รู้วัฒนธรรมต่างชาติ ที่จะเข้ามาครอบคลุม เกาะกุมจิตใจให้ละเมอเพ้อพกไป จนถึงทำตนให้หลงจากวัฒนธรรมอันดีงามของพระพุทธศาสนา จึงทำให้คณะกัมมัฏฐานในสายของพระอาจารย์มั่น ฯ ซึ่งต้องการความสงบวิเวกปราศจากความปลิโพธ ได้เป็นไปตามความประสงค์ของท่านเป็นอย่างดีโดยความเชื่อฟัง ซึ่งท่านบอกแนะนำให้มาทำบุญตักบาตร ฟังธรรมในเวลาที่ควร ไม่ต้องมาเฝ้าแหนรบกวนอยู่ตลอดเวลา ตลอดถึงบอกให้รู้ว่าคณะนี้ต้องการความสงบ เขาทั้งหลายก็เชื่อฟัง มิต้องคอยดุด่าเอาในเมื่อมีผู้คนมารบกวนความสงบ


    ทั้งนี้จึงเป็นโอกาส ให้แก่พระภิกษุสามเณร ที่จะเชื่อฟังโอวาทของท่านอาจารย์อย่างเต็มเปี่ยมไม่มีการบกพร่อง เป็นเหตุให้ต่างก็ได้รับความรู้อย่างมีประลิทธิภาพระหว่างศิษย์กับอาจารย์จะพึงได้ ด้วยเหตุอย่างนี้จึงทำให้ศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ฯ แต่ละองค์ที่ เคยรับการฝึกฝนทรมานแล้ว เป็นพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิในเวลาต่อมา จนถึงได้ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง


    สถานที่ ๆ ท่านจำพรรษานั้น ทุก ๆ แห่งได้เกิดเป็นสถานที่มีความสำคัญขึ้นในปัจจุบัน เพราะต่างก็มาคิดกันว่า ท่านผู้ทรงคุณวุฒิในทางใจเช่นท่านอาจารย์มั่น ฯ นี้ เมื่อท่านไปอยู่ที่ใดก็ควรจะสร้างอนุสรณ์ขึ้นในที่นั้น ๆ เพื่อจะได้ตามระลึกถึงข้อปฏิบัติที่ท่านได้แสดงให้ศิษย์อันซาบซึ้งนั้น จึงไม่เป็นการแปลกประหลาดอะไร ในเมื่อเราจะได้เห็นภาพอนุสรณ์ของสถานที่แต่ละแห่งที่ท่านจำพรรษาอยู่ เพราะบรรดาศิษย์ของท่านที่กำลังทำการเผยแพร่พระธรรมของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ตามกุศโลบายของพระอาจารย์มั่น ฯ ตนของตนก็ได้รับความสงบเย็นใจและกาย และผู้ที่ได้รับฟังคำสอนก็เย็นใจ ผลที่ได้รับนั้นประมาณค่ามิได้ จึงไม่เป็นของน่าแปลกอะไรเลยที่เขาเหล่านั้นจะได้พยายามเสียสละทุนทรัพย์อันเป็นของภายนอกเพื่อก่อลร้างอนุลรณ์ ในที่แต่ละแห่งที่ท่านเคยอาศัยอยู่พรรษา ทั้งนี้ก็เพราะมาเห็นคุณประโยชน์ที่ได้รับทางจิตใจ จากการพร่ำสอนของท่านอาจารย์มั่น ฯ นั้น ซึ่งแต่ละคำมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง ตามสามัญธรรมดาเราชาวพุทธต่างก็ทราบกันดีว่า อันเงินทองธนสารสมบัติใด ๆ ในโลกนี้นับว่าเป็นโลกีย์ทรัพย์ซึ่งต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ คือเป็นของที่จะผุพังเสื่อมสลายนำติดตนตามตัวไปไม่ได้ในปรภพ แต่ทรัพย์อันยอดเยี่ยมคือ โลกุตรทรัพย์นั้นอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของสามัญลักษณ์หรืออยู่เหนือธรรมชาติ เพราะไม่สูญสลาย สามารถที่จะให้ความสุขกายสบายใจ ให้ความเยือกเย็นแก่จิตใจ พร้อมกันนี้โลกุตรทรัพย์อันนี้ยังติดตนตามตัวไปทุกภพทุกชาติ


    ถ้าหากจะย้อนหลังจากปัจจุบันไปอีกสัก ๓๘ ปี โดยหวนกลับมาระลึกถึงภาพพจน์ในอดีต อันประกอบด้วยป่าเขาลำเนาไพรเพียบพร้อมไปด้วยเสียงจักจั่นและเรไร ในเขตพื้นที่อำเภอพร้าว ซึ่งเราจะไม่เห็นรถยนต์ เราจะไม่เห็นตึกร้านบ้านเรือนอันสูงตระหง่านระเกะระกะ เราจะไม่เห็นเสาสายไฟฟ้าอันกอร์ปด้วยแสงสีสว่าง ประกายแวววับระยิบระยับจับหัวใจของคนในยุคที่กล่าวกันว่าศิวิไลย์นี้ แต่จะเห็นเพียงทางเดินด้วยเท้า หรืออย่างดีก็ทางเกวียนที่ลากด้วยวัว ซึ่งนับว่าเป็นทางยาวเหลือประมาณ เมื่อคำนวณจากตัวเมืองเชียงใหม่แล้วก็ประมาณ ๘๐ กว่ากิโลเมตร แม้แต่แสงไฟซึ่งใช้ตะเกียงโคมต่าง ๆ อย่างดีก็แต่ตะเกียงเจ้าพายุ ..


    ดังนั้นสภาวะอย่างนี้จึงเป็นบรรยากาศดีมาก เหมาะสำหรับนักปฏิบัติที่แสวงหาความวิเวกทางกายและทางจิต แม้แต่เพียงเดินไปไม่กี่กิโลเมตร ก็จะพบสถานที่ที่สงบสงัดแล้ว ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อเราได้ที่สงบดี จะแนะนำธรรมต่าง ๆ ก็ดีไปด้วย เป็นเหตุให้พิจารณาได้ลึกซึ้ง เทศนาได้ลึกซึ้ง เพราะผู้ฟังก็สงบ ผู้แสดงก็สงบ สถานที่ก็สงบ จึงนับว่าเป็นสัปปายะ เท่ากับเป็นการส่งเสริมเกื้อกูลให้ซึ่งกันและกัน หากว่าผู้ฟังสงบ ผู้แสดงสงบ แต่สถานที่ไม่สงบ มีเสียงอื้ออึง ก็จะทำให้ไม่ได้ผล ทำให้เสียผลไปถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้ว่าธรรมนั้นจะเป็นธรรมที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งสุขุมคัมภีรภาพ ไพเราะนุ่มนวลควรแก่การสดับสักเพียงใดก็ตาม ผลก็จะไม่ได้เต็มที่ น่าเสียดาย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ท่านได้เปรียบเหมือนกับน้ำที่เต็มขัน เมื่อเราถือเดินไป ขยอกไป มันก็หกไป โดยเหตุนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาสถานที่สงบสงัดแสดงธรรมจึงจะประสบผล



    อีกประการหนึ่งเล่า ผู้ฟังไม่สงบ คือไม่ได้ตั้งใจจ่อจด ทำใจส่งไปที่อื่น ๆ ตลอดถึงพูดคุยกัน อันนี้จะต้องเสียผลไปถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะขาดภาชนะที่รองรับคือผู้ฟัง เหมือนกับน้ำตกที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ผู้ต้องการน้ำฝน แต่รองรับน้ำฝนด้วยภาชนะรั่ว แม้ฝนจะตกลงมาสักเท่าใดก็ไม่สามารถจะขังอยู่ได้ พระธรรมแม้จะดีสักเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อผู้ฟังไม่มีความตั้งใจแล้วธรรมนั้นก็ไร้ผล



    สำหรับผู้แสดงไม่สงบ คือการแสดงธรรมโดยจับคัมภีร์อ่านบ้าง นึกถึงธรรมตามหัวข้อที่จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อัตโนมัติเองเสียบ้าง แสดงธรรมติดตลกบ้าง แสดงธรรมโดยหวังเพื่อกัณฑ์เทศน์บ้าง เหล่านี้ชื่อว่าความไม่สวบของผู้แสดง ผลที่ได้รับก็ไม่ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์


    ท่านอาจารย์มั่นฯท่านว่า ความสงบจากผู้แสคง ความสงบจากผู้ฟัง ความสงบจากสถานที่ ประกอบกับผู้แสดง ผู้ฟังมีความภูมิใจนั่นเองที่จะได้รับผลเต็มที่ นี้เป็นความจริงซึ่งผู้เขียนและสหธรรมิกพร้อมกับครูบาอาจารย์ของผู้เขียนได้รับผลมาแล้วในอดีต....
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๔๗๙
    ๑๒ ปี ในการอยู่เชียงใหม่ ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตตเถระ
    จำพรรษาที่เขามูเซอร์ อ.แม่สาย จ.เชียงราย

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อคณะศิษย์พากันมาหามากขึ้นทั้งเก่าและทั้งใหม่ ท่านอบรมธรรมอันเป็นภายในที่มีความสำคัญตามสมควรแล้ว ท่านก็ให้แยกย้ายกันไปแสวงหาสถานที่วิเวกตามอัธยาศัย ส่วนตัวของท่านก็เลือกเอายอดเขาที่พวกชาวเขาเหล่ามูเซอร์ อันเป็นยอดเขาลูกหนึ่งที่สูงมากในอำเภอแม่สายแห่งนี้และมีหมู่บ้านประมาณ ๑๐ ครอบครัว อากาศบนยอดเขานี้หนาวตลอดปี บ้านพวกชาวเขาที่พวกเขาอยู่กันได้สร้างขึ้นด้วยไม้และมุงหญ้าทำไม้เป็นแผ่นมีทั้งกระพี้และเปลือก ถากเป็นกระดานล้อมรอบบ้านทุกๆ หลังแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงก็ให้อยู่ในบ้านหมด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าอากาศหนาวจัดแต่มีกลิ่นสาปน่าดู ถึงเช่นนั้นพวกเขาก็สามารถอยู่ได้ เพราะความเคยชินนั่นเอง ท่านเล่าว่าพวกชาวเขาเหล่านี้รูปร่างก็ไม่เลว แต่หนักไปทางคนจีนอยู่ไม่น้อย


    ท่านปรารภว่าการอยู่ในที่วิเวก เป็นเหตุให้จิตใจไม่คิดถึง โลกภายนอก ซึ่งมีแต่ความนึกติดนี้หดตัวเข้า ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีแต่ความมักน้อยในการนึกติดมากเข้า นี้เป็นธรรมชาติช่วยให้เกิดประโยชน์ทางใจ เมื่อคณะศิษย์มามาก ท่านก็ให้อุบายซึ่งเป็นประโยชน์ของการดำเนินจิตและการที่จะสั่งสอนชุมนุมชน ความรู้รอบคอบนั้นเกิดจากความวิเวกมีประสิทธิภาพมาก มากกว่าการใช้การประชุมในงานที่มีแต่โลกภายนอกเข้าปะปน ซึ่งจะมีแต่ภายนอก แม้จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้กันกับผู้รู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่เป็นเพียงสัญญาและตาภายนอกจึงเป็นเรื่องของความสมมติ ทั้งเป็นไปเพื่อพรรคพวกและทิฐิมานะ แต่ก็มีประโยชน์อยู่ตามสมควร เท่าที่สมมติจะให้ได้



    ส่วนการประชุมที่ในวิเวก และแสวงหาประโยชน์จากการประชุมโดยการไปสถานที่วิเวก นี่แหละเป็นทางพระนิพพานเพื่อความไม่เกี่ยวข้องกังวล เป็นไปโดยเสียสละ ทำตัวให้เป็นสมณะที่ถูกต้องเป็นอย่างดี ต่างองค์ก็ต่างมีความมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติธรรมชั้นสูงของพระพุทธศาสนา มาเป็นการรวมอยู่ในใจอันเดียวกัน เป็นเหตุให้ค้นคิดแต่หนทางปฏิปทาที่จะให้ก้าวหน้าในด้านนี้ เป็นการรวมคณะที่หวังความจริง ซึ่งเป็นการยากเหลือเกินที่จะมีศิษย์อาจารย์เช่นนี้ ความเป็นเช่นนี้เองที่สามารถยกระดับการปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน หรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน อันเป็นธุระสำคัญธุระหนึ่งในพระพุทธศาสนาให้ปรากฏเป็นที่แจ่มแจ้งในยุคนี้เพราะเหตุแห่งความจริงนี้เอง


    ภูเขาที่สูงตระหง่าน เรียงรายกันเป็นเทือกเขายาวเหยียด จากเชียงใหม่ถึงเชียงรายติดต่อเข้าไปจนถึงเขตพม่าหนาทึบไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ มองดูเขียวชอุ่มเหมือนช่างภาพมาระบายสีเมื่ออยู่บนภูเขาลูกนี้ เมฆสีขาวเหมือนปุยฝ้ายยังถูกลมพัดผ่านไปต่ำกว่าสถานที่อยู่เสียอีก ต้นสนที่พวกเขาใช้เอามาทำฟืนจุดไฟแทนได้ มีมาก ขึ้นเต็มลูกภูเขา พวกชะนี ลิง ค่างมีมาก ซึ่งมันเองก็ไม่รู้ว่ามีคนอยู่แถวนั้น ต่างก็พากันมาหากินเป็นหมู่ๆ ไต่เต้นตามต้นไม้ จากต้นไม้นี้ไปต้นไม้โน้น ส่งเสียงเจี้ยวจ้าวไปตามภาษาของมัน


    แต่เมื่อพวกมันมาถึงกลดของท่านอาจารย์ มันก็งงไปเพราะไม่เคยเห็นและพวกมันยิ่งส่งเสียงอีกทึก บางตัวทำชำเลืองมอง ยกมือป้องหน้า เบิ่งดูพวกแล้วพวกเล่าที่ผ่านเข้ามาทางนั้น



    อันเสียงสัตว์เหล่านี้แม้จะดังพอสมควรเพราะมากตัว แต่ก็ยังเป็นเสียงวิเวกวังเวงอยู่นั้นเอง มันไม่เหมือนเสียงคนทะเลาะกันหรือเสียงคนเอะอะ หรือเสียงรถ เสียงเรือบิน เรือเหาะ เพราะเสียงเหล่านี้มิได้ให้เกิดวิเวกวังเวงเลย แต่มันทำให้เกิดความไม่สงบ กระทบกระเทือนสมาธิของผู้บำเพ็ญตบะธรรม



    ตกเย็นถึงพลบค่ำ ฝูงนกจำนวนมากนานาพรรณมันคงจะไปหากินแล้วกลับมารวงรัง มันบินกันมาเป็นชุดๆ หลากสี จำไม่ได้ว่าเป็นนกอะไรบ้าง กลับมาแล้วก็ส่งเสียงสำเนียงต่างๆ กัน แม้เราจะไม่ยอมมองแต่ก็ผ่านสายตาฉวัดเฉวียนเหมือนกับนกเลี้ยง เชื่องดี เสียงแหลม เสียงทุ้ม เสียงหนักเบาระงมไปรอบบริเวณ



    ทำไมหนอเสียงเหล่านั้นจึงไม่เป็นภัย เมื่อเวลานั่งสมาธิ มันกลับทำให้จิตสงบเร็วขึ้นเสียอีก เสียงนกมันก็ร้องไม่ขาดระยะ แต่การทำสมาธิได้ผลขึ้นตามปกติไม่ต้องใช้ความพยายามจนเกินควร จึงหวนคิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า



    อรญฺเญ รุกฺขมูเล วา สุญฺญาคาเรว ภิกฺขโว


    ในป่า ใต้โคนไม้ เรือนว่าง เป็นที่สมควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรมเป็นอย่างยิ่ง



    ระยะนี้เป็นเวลาพลบค่ำ จำพวกจักจั่นเรไรมีมากเป็นพิเศษ มันพร้อมใจกันจริงๆ สัตว์จำพวกนี้ ช่วยกันร้องออกเป็นเสียงเดียวกัน ดังกังวานเป็นช่วงๆ แหลมคม เสียงนี้พวกเราจะหาเสียงอะไรเหมือนกับมันนั้นยากเหลือเกิน แม้พวกมันจะพูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนมนุษย์ แต่มันก็ยังมีความสามัคคีช่วยกันในการประสานเสียง ตัวมันเล็กสักเท่านิ้วก้อย แต่มันก็มีพลังแห่งการสามัคคี รวมกันเป็นหมู่นับด้วยร้อยด้วยพัน เสียงของมันไม่แตกกันออกเสียงเดียว น่าสรรเสริญเสียงนี้ยิ่งกว่าสัตว์อื่น ยังความวังเวงให้เกิดขึ้นยิ่งกว่าเสียงใด ผู้มีจิตใจไม่แก่กล้าจริงๆ แล้ว จะต่อสู้ให้คิดถึงบ้าน แทบอยู่ไม่ได้เลยทีเดียว แต่สำหรับผู้เที่ยวธุดงค์หวังเพื่อความสงบแล้วก็ทำให้เพิ่มพลังให้เกิดความสงบยิ่งๆ ขึ้นไป



    ผู้อ่านคงแปลกใจว่าทำไม ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ นี้ท่านถึงพูดเรื่องป่าเขามากนั้น เนื่องจากท่านได้เล่าเรื่องนี้ เพื่อเปรียบเทียบการวิวัฒนาการทำแก้ไขธรรมชาติ แก้กันจนจะไม่มีอะไรจะแก้แล้ว เร็วเท่าไรก็ไม่ทันใจมนุษย์ไม่พอความพอใจของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด ท่านจึงหันมาพูดเรื่องธรรมชาติบ้าง หรืออาจจะสดชื่นไปตามการอ่าน



    ครั้นเมื่อได้เวลากลางคืน ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านเล่าว่า จำพวกไก่ป่าพระยาลอทำไมมันจึงมีมาก เพราะเราจะได้ยินเสียงขันบอกเวลา โดยที่เราไม่ต้องไปตั้งยามตั้งโมง หากเราจะทำกำหนดไว้ให้ดีแล้ว มันจะขันบอกให้ทุก ๆ ยาม ๓ ชั่วโมงต่อครั้ง แต่ที่พวกมันจะพร้อมกันขันอย่างเอาจริงเอาจังเท่านั้นเป็นเวลาตี ๓ จะต้องมีหัวหน้ามาขันก่อนตัวหนึ่ง จากนั้นมันก็จะช่วยกันขันเป็นการใหญ่ เสียงนี้จะส่งมาไกลมาก แล้วมันก็ไม่เป็นภัยต่อความสงบของผู้ต้องการความสงบแต่อย่างใดเลย เนื่องจากไม่มีเสียงอื่นเข้าปะปน เพราะสัตว์พวกต่างๆ คงจะนอนหลับกันหมด เสียงขันของไก่จึงทำให้ได้ยินชัดเจนมาก



    อันที่จริงแล้วมันก็ไม่น่าจะขันให้ดังมากเช่นนี้ เพราะเสียงของมันอาจเป็นภัยแก่มันเอง เมื่อมนุษย์รู้ว่าพวกมันอยู่ตรงไหนก็จะตามเสียงของมัน แล้วจับมันไปแกงกินให้อร่อยไป พวกมันคงจะคิดกันว่า ในตอนนี้ดึกแล้วมนุษย์ผู้เป็นภัยใหญ่หลวงของมันคงจะหลับสนิท มันจึงตะโกนเสียงของมันอย่างไม่กลัวภัย



    แต่พึงเข้าใจเถิดว่า อันธรรมชาติก็แสดงธรรมชาติออกมาให้ปรากฏ จึงน่าที่มนุษย์ผู้มีปัญญาทั้งหลายควรจะช่วยกันรักษาธรรมชาติเอาไว้เถิด เพื่อให้ได้ศึกษาหรือหาความเย็นใจ หรือเพื่อให้ท่านสมณะทั้งหลายอาศัยธรรมชาติหาหนทางให้ถึงซึ่งพระนิพพาน หรือมิฉะนั้นก็เพื่อที่จะให้สมณะทั้งหลายเที่ยวแสวงหาความสงบตามภาวะของท่าน ท่านก็จะได้ธรรมเทศนา หรือธรรมอันวิจิตรลึกซึ้ง ซึ่งเกิดจากธรรมชาติเหล่านี้ แล้วก็นำมาบรรยายเป็นพระธรรมเทศนา แนะนำประชาชนให้เดินทางถูกต้องตามครรลองคลองธรรม เพื่อจะมีประชาชนผู้เป็นชาวพุทธไม่ต้องพากันงมงายในสิ่งต่าง ๆ อันเป็นทางนำไปสู่มิจฉาทิฏฐิให้น้อยลง ด้วยอาศัยชาวเราช่วยกันรักษาซึ่งธรรมชาติป่าไม้ ทั้งสิงห์สาราสัตว์ไว้


    คืนวันที่ล่วงไปไนป่าใหญ่ ที่มีทั้งเหวระหารลำธารน้ำ ยังความวิเวกลึกซึ้งแก่ท่านอาจารย์มั่นฯ และศิษย์ผู้หวังพ้นทุกข์อย่างยิ่งนั้น เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาการยิ่งนักแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในท่ามกลางขุนเขาลำเนาไพรซึ่งจะมีหลายจำพวก เสียงที่ทำให้แวบวาบในหัวใจของผู้ที่มีตบะอ่อนนั้นก็คือเสียงตัวใหญ่ ๆ เช่นเสือโคร่ง เสือเหลือง ช้าง และงูจงอางเป็นต้น มีชุกชุมมากในขุนเขาเหล่านี้ ส่งเสียงคำรามก้องจนแผ่นดินสะเทือน มันเป็นเสียงที่มีอำนาจอะไรเช่นนั้น



    เพราะเหตุแห่งเสียงสัตว์ตัวร้ายนี้เอง ทำให้พระธุดงค์ทั้งหลาย ชอบที่จะธุดงค์สู่ป่าที่ใหญ่โต ในเทือกเขาอันกว้างขวาง เพราะเสียงเหล่านั้นตรงกันข้ามกับเสียงนก เสียงไก่ เนื่องจากมันเป็นเสียงไม่ไพเราะเสนาะโสตเลย ซึ่งเสียงมันแสดงให้เห็นถึงความตาย ในเมื่อมันส่งเสียงออกมาแล้ว ในใจของผู้ได้ยินก็จะต้องนึกถึงตัวของมันว่าอยู่ไหน นึกอยู่ว่าอยู่ใกล้หรือไกล ถ้าอยู่ใกล้ก็จะต้องมีการระวังตัว จิตใจในขณะนี้ได้ยินเสียงคำรามของเสือช้างนั้นได้หดตัวลงอย่างน่าประหลาดใจทีเดียว แต่มันก็หาฟังยากเหมือนกัน เพราะสัตว์พวกนี้ จะไม่อยู่เกลื่อนกลาดมากมายเหมือนสัตว์เหล่าอื่น จึงต้องมีตามภูเขาในป่าใหญ่ไกลคนจริงๆ จึงจะได้ยินเสียงมัน เราจะพยายามตามเข้าไปอยู่ในดงอย่างนั้นหรือ หามิได้ เราเข้าไปในป่าใหญ่เพื่อต้องการวิเวก แต่เผอิญเสือมันก็ชอบจะอยู่ในป่าใหญ่ที่ไกลจากคนเหมือนกัน


    อันการธุดงค์นี้ ท่านอาจารย์มั่นฯ และศิษย์ถือเป็นกิจวัตรที่จะต้องทำเป็นประจำเพราะถือมิให้อยู่ที่เดียวเป็นจำเจ เปลี่ยนที่อยู่บ่อย ๆ ก็จะทำให้ไม่ต้องเป็นปลิโพธิกังวล ด้วยการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ เป็นการแสวงหาธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมนั้นก็อยู่ในตัวเรานี่เอง ทำไมจึงจะต้องไปเที่ยวหาอยู่ป่าเขาทำไม ใช่แล้วธรรมอยู่ในตัวเรา แต่การไปตามถ้ำป่าเขานี้ก็เพื่อแสวงหาความสงบให้ได้ เนื่องจากจิตใจของมนุษย์ทั้งหลายสับสนไปตามอารมณ์มากเหลือ มากจนเกินควร จำเป็นต้องหาวิธีลดความสับสนเหล่านี้โดยวิธีต่าง ๆ ซึ่งก็ได้ แก่การบำเพ็ญสมาธิให้มาก สงบให้มาก



    แต่การที่จะสงบใจได้นั้นก็ต้องบั่นทอนทางกายให้มาก ๆ เช่นการออกบวชก็ตัดไปส่วนหนึ่ง ออกบวชแล้วบำเพ็ญสมาธิ ก็ตัดเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง ไม่ใช่แต่บวช ยังต้องออกไปธุดงค์ ฉันหนเดียว ก็ตัดเข้าไปอีกเปลาะหนึ่ง เมื่อธุดงค์ก็เดินเข้าไปในป่าใหญ่ไม่มีอะไรในตัว นอกจาก กลด มุ้งบาตร เท่านั้นที่เป็นบริขารของนักบวช ก็ตัดเข้าไปอีก ยิ่งท่านตัดมากเท่าไร การหดตัวของอารมณ์ก็มีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อการหดตัวของอารมณ์มากเข้า จิตก็จะได้ชื่อว่าถูกทรมานอย่างหนักหน่วง เพราะจิตมนุษย์ชอบแต่สิ่งที่เติมอารมณ์เท่านั้น ยิ่งเติมอารมณ์ได้มากก็ยิ่งพอใจ จึงชื่อจิตได้ถูกทรมานด้วยทำให้จิตหดตัวลง นี่คือการรับประโยชน์จากการอยู่ป่าอย่างแท้จริง



    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านอธิบายให้ผู้เขียนฟัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...