ประวัติศาสตร์แห่ง ‘ส้วม’ ไทย 700 ปี ก่อนมีสาย ‘ฉีดชำระ’

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 15 สิงหาคม 2019.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    0b895e0b8b4e0b8a8e0b8b2e0b8aae0b895e0b8a3e0b98ce0b981e0b8abe0b988e0b887-e0b8aae0b989e0b8a7e0b8a1.jpg

    กลายเป็นข่าวฮือฮาหนักมาก เมื่อสภาใหม่ไร้ ‘สายฉีดชำระ’ ทำเอาท่านประธายชวน ต้องเดินตรวจส้วมเป็นที่เอิกเกริก ไม่เพียงเท่านั้น งานนี้ยังมีการอ้างถึงวัฒนธรรมไทยว่าในวัฒนธรรมไทยต้องใช้น้ำชำระสิ่งสกปรก จะใช้เพียงกระดาษทิชชู่เพียงอย่างเดียวนั้น จะหาครบครันไม่! (อ่านข่าว ส.ส.โวย ห้องน้ำสภาใหม่ ไม่มีที่ฉีดก้น บอก“ผมปวดไปหมดแล้ว” ชี้ วัฒนธรรมไทย ต้องใช้น้ำ)

    มาถึงตรงนี้ ‘มติชนออนไลน์’ ขอพาย้อนกลับไปในอดีตกาลว่ากว่าจะมาเป็นส้วมชั้นเลิศที่พร้อมพรั่งด้วยความสะดวกสบาย (และมีสายฉีดชำระ) นั้น การปลดทุกข์ของผู้คนในดินแดนไทย มีวิวัฒนาการอย่างไรมาบ้าง

    ผศ. ดร. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งอธิบายถึงส้วมเก่าแก่ที่สุดในสยามไว้ในหนังสือ “มรดก 1,000 ปี เก่าที่สุดในสยาม” ว่า ส้วมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบในไทยเป็นส้วมสมัยสุโขทัย มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 19-20 หรือราว 700 ปีมาแล้ว

    ส้วมสมัยสุโขทัยและส้วมที่ว่าจำกัดอยู่ในกลุ่มคนดังกล่าว คือส้วมของพระสงฆ์ เรียกว่า “วัจจกุฎี” หรือ “เร็จกุฎี” หรือ “ถาน” หลักฐานชิ้นส่วนสิ่งก่อสร้างของวัจจกุฎีที่ยังคงหลงเหลืออยู่คือ แผ่นรองรับเท้าในขณะขับถ่าย หรือที่เรียกกันว่า “เขียง” ซึ่งใช้วางไว้เหนือหลุมรับอุจจาระ จำนวน 3 แผ่น ประกอบไปด้วยเขียงหิน 2 แผ่น และเขียงไม้ 1 แผ่น

    895e0b8b4e0b8a8e0b8b2e0b8aae0b895e0b8a3e0b98ce0b981e0b8abe0b988e0b887-e0b8aae0b989e0b8a7e0b8a1-1.jpg
    ฐานเวจหิน ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง สุโขทัย (ภาพจากศิลปวัฒนธรรม)

    ผศ. ดร. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง อธิบายว่าเขียงทั้ง 3 แผ่น มีลักษณะเหมือนกันคือ มีรูขนาดใหญ่เจาะทะลุ นักวิชาการคาดว่าใช้สําหรับปล่อยให้อุจจาระผ่านลงไปยังหลุมด้านล่าง ส่วนด้านหน้ามีรางยาวเพื่อระบายปัสสาวะให้ไหลลงภาชนะที่วางรองรับอยู่ การแยกรางให้ปัสสาวะกับอุจจาระเช่นนี้ คาดว่าเพื่อแยกไม่ให้ปนกันเป็นการป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์

    วัจจกุฎีที่พบไม่ได้มีแค่เขียงหินเช่นเดียวกับที่พบในสุโขทัย แต่ยังพบร่องรอยของห้องส้วมและบ่อเกรอะหลงเหลืออยู่ในบริเวณวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง หรือราวพุทธศตวรรษที่ 21-22 อีกด้วย

    สำหรับส้วมของคนทั่วไป ผศ. ดร. รุ่งโรจน์ ระบุว่า ไม่พบหลักฐานหรือร่องรอยเฉกเช่นส้วมของพระภิกษุ คาดว่าชาวบ้านนิยมถ่ายทุกข์กันตามป่าตามทุ่งหรือถ่ายลงแม่น้ำคูคลอง จนภายหลัง ชาวบ้านทั่วไปจึงค่อยๆ สร้างส้วมกันบ้าง ซึ่งโดยเดิมแล้ว คนทั่วไปมักนิยมเรียกว่า “เว็จ” ซึ่งแผลงมาจากคำว่า “วัจจกุฎี” อันมาจากวัจจกุฎีของพระสงฆ์

    [​IMG] [​IMG]

    จากนั้น เขยิบมาใกล้อีกนิด ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานปรากฏในเอกสารโบราณตอนหนึ่งว่า

    “ด้วยแต่เดิมหาได้ลงพระบังคนบนพระมหามณเฑียรเหมือนทุกวันนี้ไม่ ต่อเวลาค่อนย่ำรุ่ง ยังไม่สว่าง เสด็จไปที่ห้องพระบังคนหลังพระมหามณเฑียร”

    นอกจากนี้ ยังมีการเล่ากันต่อๆมาว่า เมื่อพระมหากษัตริย์จะลงพระบังคน จะมีพนักงานนำไปจำเริญด้วยการลอยน้ำ โดยมีพนักงานเตรียมทำกระทงไว้วันละ 3 ใบ

    ครั้นวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาแพร่หลาย ในหมู่ชนชั้นสูงก็มีวัฒนธรรมการขับถ่ายดังเช่นชาวตะวันตกนับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ส่วนในหมู่ชาวบ้าน ยังไม่นิยมสร้างส้วมในตัวบ้าน กระทั่งช่วงปลายรัชกาลที่ 5 กรมสุขาภิบาล จัดสร้างส้วมสาธารณะขึ้นครั้งแรกหรือสมัยนั้นเรียกว่า “เวจสาธารณะ” โดยมีการออกพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ พ.ศ. 2440 ภาครัฐได้จัดสร้างส้วมสาธารณะขึ้นตามตำบลต่าง ๆ ตามข้อกำหนดในหมวดที่ 2 มาตรา 8 ที่ให้กรมศุขาภิบาล “จัดเว็จที่ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะของมหาชนทั่วไป”

    895e0b8b4e0b8a8e0b8b2e0b8aae0b895e0b8a3e0b98ce0b981e0b8abe0b988e0b887-e0b8aae0b989e0b8a7e0b8a1-2.jpg
    ภาพจาก ‘ศิลปวัฒนธรรม’

    ส้วมสาธารณะยุคนั้น มักตั้งอยู่บนถนนสายสำคัญ และตามสถานที่ราชการ โดยยุคแรกๆ เป็นส้วมถังเท มีฐานส้วมทำจากไม้ เจาะรูสำหรับนั่งขับถ่าย ข้างใต้มีถังสำหรับรองรับอุจจาระ ซึ่งจะมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐอย่าง “บริษัทสอาด” หรือ “บริษัทออนเหวง” เป็นผู้ทำหน้าที่จัดการเก็บและบรรทุกถังบรรจุอุจจาระและเปลี่ยนถ่ายถังใหม่ทุกวัน

    เวลาผ่านไปจนคนไทยเริ่มมีส้วมคอห่านใช้ในบ้านอย่างจริงจังตั้งแต่ พ.ศ. 2485 ส่วนส้วมชักโครกแพร่หลายในภายหลัง โดยเรียกชื่อตามรูปแบบในอดีตซึ่งตัวถังที่กักน้ำอยู่เหนือที่นั่งถ่ายสูงขึ้นไป เวลาใช้ต้องชักคันโยกให้ปล่อยน้ำลงมา มีเสียงดังจึงเรียกว่า “ชักโครก”

    สำหรับสายฉีดชำระ มักเข้าใจกันว่ามีเฉพาะในประเทศไทย แต่แท้จริงแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่มีสายฉีดชำระ โดยเชื่อว่าจุดเริ่มต้นมาจากแถบเอเชียกลางในวัฒนธรรมมุสลิม แล้วแพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยจนกลายเป็นประเด็นในข่าวการเมืองในวันนี้

    ขอขอบคุณที่มา
    https://www.matichon.co.th/politics/news_1627765
     

แชร์หน้านี้

Loading...