ประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 8 มกราคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    “คว่ำวัฏจักร วัฏจิต ที่เชิงเขาบายศรี”

    ต้นปี ๒๔๙๒ ...ขณะที่เราเข้าป่าดงไปภาวนานั้น เกิดป่วยเป็นไข้มาลาเรียอยู่ในป่าโดยลำพัง เข้าไปในดงมาลาเรีย ในเชิงเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ บ้านยางระหง อันเป็นป่าทึบ โรคไข้มาลาเรียนี้ได้คร่าชีวิตชาวบ้านแถบนี้มามาก ขึ้นชื่อว่าผู้ใดสามารถถากถางป่าแถบนี้เป็นเจ้าของอยู่รอดได้ นับว่าเป็นคนเก่งกาจมากๆ และยังมีสัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ หมี งู หมูป่า กวาง เก้ง อยู่มาก ชาวบ้านโดยทั่วไปเป็นพรานล่าสัตว์ หาของป่ามาเลี้ยงชีพ

    ในขณะป่วยนั้นรู้สึกว่า จิตมันเป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์ตลอดเวลา แต่ว่ามันพูดยาก มันต้องประกอบกับร่างกายต้องสมบูรณ์ ลมหายใจทุกชนิดต้องให้บริบูรณ์ เมื่อเราทำได้อย่างนั้นต้องค่อยๆ ผ่อนลมหายใจพิจารณา พิจารณาอยู่อย่างนั้นจนเต็มที่จนจิตลงได้ แล้วก็ต้องตามดูลมหายใจไปด้วย ผ่อนลงไป...ผ่อนลงไป... ทีแรกมันอยู่ตรงนี้ พออยู่ตรงนี้หมด... หมด... หมด... หมดขึ้นมาเรื่อย หมดขึ้นมาเรื่อย อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ยังมีอีกนิดๆ เราก็พิจารณาอยู่ ยังไม่หมดนี่ พิจารณาค้นอยู่อย่างนั้นตลอด

    แต่การพูดให้ฟังมากกว่านี้ไม่ดีจะเป็นการอวด แต่มันเป็นความจริงที่เราประสบ แล้วทีหลังออกมาจากป่า ไข้ก็กำเริบมาเรื่อยๆ อดข้าวภาวนาสู้อยู่ ๒-๓ วัน บอกให้ท่านเฟื่องฟัง แหม!...ไม่เหมือนคราวอยู่ วัดยางระหง อยู่บ้านดินแดง (ที่คุกเกษตรนักโทษ) มันยังมีลมหายใจ ลมหายใจมันแรง กายยังเต้นแรง เพราะสังขารของจิตดับแรง กายมันตึ๊บๆ ๆ ๆ ได้รับรู้ มันไม่สนิท มันต้องประกอบกัน ไม่มีหลับหรอกจิตที่เป็นสมาธิ ใครที่บอกว่าจิตที่เป็นสมาธิหลับไปเหมือนหัวตอ อย่าไปเชื่อเขา มันไม่จริง เราเอาหัวยืนยัน ถึงแม้ตัดหัวเราออก เราก็ไม่เชื่อ เพราะได้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติมาแล้ว

    พอพิจารณาตรงนี้มันดับหมดแล้ว เราก็หยุดความคิด คือเรียกว่า “หยุดความค้น” ลองวางปั๊บ แหม!...มันขาดเชียว การขาดครั้งนี้ ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา

    พอจิตวางปั๊บ... จิตมีอิสรภาพอย่างสูงสุด ปล่อยวางสังขารโลก คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะอันเป็นประดุจตาข่าย ด้วยการฮุกหมัดเด็ดคือวิปัสสนาญาณ เข้าปลายคาง อวิชชาถึงตายไม่มีวันฟื้น พระพุทธเจ้าพระองค์อยู่ที่ใดทราบได้อย่างประจักษ์ใจ คำว่า “เป็นหนึ่ง” นั้น ไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อได้อีก ภพชาติที่หมุนวนมาตั้งกัปตั้งกัลป์นั้น เป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภัยได้ ชาติสังขารอยู่ที่ใด ใจไม่เกี่ยวเกาะ สิ่งที่จิตเคยเกี่ยวเกาะ ถูกลบด้วยธรรมชาติที่เป็นหนึ่งนั้น จะว่าบริสุทธิ์ก็พอจะคาดเดาได้ แต่ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็นอจินไตยสำหรับปุถุชน ไม่ควรถามคิดให้ปวดหัว

    ความงกเงิ่นเนิ่นช้า ถูกเราทำลาย และถากถางเข้าไปใกล้โดยตลอด ถูกทะลุทะลวงด้วย ปัญญาญาณโหมโรมแรงด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นกำลังหนุน ด้วยการบ่มอินทรีย์มาเป็นอย่างดี

    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีช่องทางให้อวิชชาเดิน ถูกปิดด้วยมหาสติ มหาปัญญา วิปัสสนาญาณตีตะล่อมเข้าภายใน หักล้างอวิชชา อันเป็นตัวการ จิตปล่อยจิต เป็นธรรมอันเดียว เป็นธาตุที่บริสุทธิ์เป็นมหัศจรรย์ ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทางสมาธิปัญญาใดที่เคยผ่านมา

    เพลงที่แม่หญิงเหนือเคยร้องว่า “ทุกข์อยู่ในขันธ์ห้า รองลงมาขันธ์สี่ ทุกข์อยู่ในโลกนี้ ลงอยู่ข้อยผู้เดียวนั้น” กลายมาเป็นสิ่งที่มีความหมายเสียแล้ว

    คำว่า “ทุกข์อยู่ในขันธ์ห้ากลายเป็นสุขอยู่ในขันธ์ห้า” ถึงแม้ขันธ์นี้จะเป็นของหนัก แต่ก็หนักตามหลักธรรมชาติ ไม่เหมือนกิเลสหนักที่ระคนปนด้วยขันธ์

    คำว่า “ทุกข์อยู่ในโลกนี้ ลงข้อยผู้เดียวนั้น กลับกลายมาเป็นสุข อยู่ในโลกนี้ ลงข้อยอยู่ผู้เดียว” ถึงกับอุทานภายในใจว่า อโห วต อจฺฉริยํ ...โอ!...อัศจรรย์หนอๆ เห็นแล้วที่นี่ ธรรมที่เราเสาะแสวงหา เป็นอุทานธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นอย่างถึงใจ

    ลุกขึ้นกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่ถึงใจอยู่แล้วด้วยความถึงใจอีก พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ตลอดจนข้อปฏิบัติอรรถธรรม เป็นความถึงใจอย่างที่สุด บุญคุณข้าวน้ำ ที่บิดามารดา ตลอดจนสาธุชนทั้งหลายชุบเลี้ยงมา เป็นความหมายแห่งมหาคุณโดยแท้จริง ธรรมปิติผุดขึ้นอิ่มเอิบสุดจะประมาณได้

    <TABLE id=table5 width=100 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ระลึกถึงบุญคุณคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่น ที่เป็นผู้เลี้ยงดูเรามาเป็นเวลานานด้วยอรรถ ด้วยธรรม ถ้าไม่มีท่านพระอาจารย์มั่นเพียงองค์เดียว การปฏิบัติของเราคงไม่มีในวันนี้ ท่านเป็นผู้รู้จริงทุกสิ่งอย่าง บุญคุณของท่านนี้เทิดทูนตลอดอนันตกาล

    คำว่า “พุทธสาวก” ประจักษ์จิตอย่างแท้จริง

    คำว่า “ขาดสูญ” เหมือนดั่งถูกตัดคอขาด ไม่มีวันนำมาติดต่อชีวิตได้แล้ว ทราบชัดด้วยการหยั่งทราบว่าขาดอย่างแท้จริง ไม่มีสองกับอันใด เรือแห่งชีวิตที่เคยล่องลอยอยู่กลางแม่น้ำ ไม่มีภพ ให้ลอยอีกต่อไป รากเหง้าของมารถูกตัดทำลายแล้ว

    เรือแห่งชีวิตที่เราเคยขี่มานาน ด้วยอำนาจแห่งกิเลส กรรม วิบาก อันเป็นประดุจลูกคลื่นนั้น เมื่อถึงชายฝั่งแล้ว เราก็ทิ้งเรือไม่แบกเรือขึ้นฝั่งไปด้วย

    เรือคืออะไร ก็คือศีล คือธรรมทั้งหลาย ที่ปฏิบัติมา เป็นประดุจลำเรือ อาศัยปัญญาเป็นเครื่องนำทาง อาศัยพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องส่องทิศ อาศัยครูบาอาจารย์เพื่อเดินสู่จุดหมาย มีพระธรรมวินัยเป็นแผนที่ มีพระสงฆ์เป็นลูกเรือ เมื่อถึงฝั่งอย่างที่เราต้องการแล้ว ย่อมทิ้งเรือต่างๆ ไว้เบื้องหลัง เป็นเอกจิต เอกธรรมชั่วนิรันดร

    จึงมานึกย้อนหลังเมื่อคราวที่เราสอนตน ด้วยการเอาหญิงลิเกมานึกเป็นครูสอน เมื่อครั้งบวชเข้ามาใหม่ว่า “หญิงลิเกเหล่านี้ เขาร้องรำทำเพลงทั้งคืนทั้งวันไม่เห็นเหน็ดเหนื่อยนั้น บทธรรมที่เปรียบนั้น มาประจักษ์ใจในคืนวันนี้ ธรรมดาหญิงลิเกผู้เพิ่งจะเริ่มเรียนฟ้อนรำขับร้อง เมื่อขึ้นสู่เวทีย่อมประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อได้ยินเสียงดนตรีย่อมตกใจ มีกิริยางกเงิ่นขับร้องฟ้อนรำด้วยความยากลำบาก แม้จะพยายามตั้งใจ ก็ยังมีลีลาอันผิดพลาดพลั้งพลาดอยู่เสมอๆ

    แต่สำหรับหญิงนักลิเกผู้เชี่ยวชาญ ในศิลปะการร่ายรำขับร้องดีแล้ว เมื่อก้าวขึ้นสู่เวที และได้ยินเสียงดนตรี ย่อมจะมีจิตใจฮึกเหิม ร่าเริงเบิกบาน ประกอบลีลาการร่ายรำได้อย่างคล่องแคล่ว เข้ากับจังหวะดนตรี โดยไม่ต้องตั้งใจ ไม่งกเงิ่น ประหนึ่งว่าแข้งขาตีนมือออกไปเองตามปกติวิสัยของมัน นี่อย่างใด พระผู้ประพฤติตามพระศาสดาด้วยความเทิดทูนเพื่อก้าวลงสู่พระนิพพานก็อย่างนั้น”

    แต่ก่อนเมื่อเรายังหนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วยความยากลำบาก ต้องมีสติสัมปชัญญะคอยควบคุม ต้องมีปัญญาคอยชี้ขาด แม้กระนั้นก็ยังผิดพลาด ย่อมงกเงิ่นในธรรมะสมาคม

    แต่สำหรับผู้ฝึกจิตใจจนถึงที่สุดแล้ว ผ่านแล้ว บรรลุถึงจุดหมายแล้ว การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยกลายเป็นปกตินิสัย เป็นเครื่องอยู่อันสบายๆ ปฏิบัติอย่างสบายโดยไม่ต้องตั้งใจ เพราะการปฏิบัติเรื่อง ศีลาจารวัตร ไม่ใช่เรื่องหนัก แต่เป็นธรรมเครื่องอยู่อันแสนสบาย ความอดทน ความเพียรตลอดจนคุณธรรมข้ออื่นจึงเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ นี้คือผลแห่งการพากเพียรปฏิบัติ ด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ธุดงค์ทางภาคใต้

    หลังจากที่เราเป็นสมภารเฝ้าวัดทรายงามตามคำขอของพระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต และพระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต อยู่เป็นเวลา ๒ ปี ก็ไม่มีวี่แววว่าท่านอาจารย์ทั้งสองนั้นจะกลับมาอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมาใคร่ครวญพินิจพิจารณาว่า “อันการที่เราเดินทางมาบ้านเกิดนี้ ไม่ได้หวังมาเกี่ยวเกาะกับตระกูลญาติพี่น้องให้ยุ่งไป มาก็เพื่อโปรดบิดามารดา เพื่อทดแทนพระคุณของท่านเพราะพระคุณบิดามารดายิ่งใหญ่นัก เมื่อเปรียบเทียบคุณของท่านแล้ว แผ่นดินเท่ากับใบไผ่ ทะเลก็เท่ากับถาด ภูเขาลูกโต ๆ ก็เท่ากับจอมปลวกเท่านั้น คือนำมาเทียบกับคุณของท่านไม่ได้”

    จึงพิจารณาว่า “เราไม่ได้มาเฝ้าวัดหรือต้องการเป็นสมภาร การที่เรามาอยู่ที่นี่ก็นานพอสมควรแก่ธรรมแล้ว” ด้วยอุปนิสัยที่ชอบท้องถ้ำ ชอบป่าเขาที่สงบสงัด จึงปรารภกับตนเองว่า “ภาคใต้เป็นภาคที่เรายังไม่เคยไปมาก่อน ท่านพ่อลีท่านไปประกาศศาสนธรรมอยู่ทางใต้ การที่เราลงทางใต้ก็เป็นการเดินตามรอยเก่าครูบาอาจารย์ ไปแสวงหาถ้ำเป็นที่สงบสงัดไร้ผู้คนที่รู้จัก ประกอบกับจิตเวลานั้นเป็นอิสระเต็มที่แล้ว การอยู่การไปที่ใดจึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องฉุดลากให้เนิ่นช้าได้อีก ถึงความอิ่มพอสมบูรณ์โดยประการทั้งปวง พระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวก สมัยพุทธกาลท่านก็มีปกติหลีกเร้นอยู่สบายในถ้ำเงื้อมผา เป็นวิหารธรรมเสมอ”

    ยิ่งท่านพระอาจารย์มั่นผู้เป็นอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้แก่เรา ท่านดำเนินเป็นแบบอย่างโดยสมบูรณ์ ปรารภความมักน้อยสันโดษ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ปรารถนาวิเวกเสมอๆ แม้ในวัยชราท่านปฏิบัติ ไม่ได้เพื่อฆ่ากิเลสตัวใด แต่ท่านปฏิบัติเพี่อเป็นธรรมเครื่องอยู่สบายๆ ของพระอริยเจ้าเสมอๆ ไม่มีย่อหย่อนท้อถอย แสดงวิสัยแห่งปฏิปทาของนักปราชญ์

    เมื่อดำริอย่างนั้นแล้ว จึงออกเดินทางจากจันทบุรีมาพักที่วัดบวรนิเวศน์วิหารกับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า วชิรญาณวงศ์ (ชื่น) พักกับท่านได้พอสมควรแล้ว ก็ขึ้นรถไฟเดินทางไปทางใต้ ลงรถไฟที่อำเภอสวี จังหวัดชุมพร แล้วเดินต่อไปด้วยเท้า ค่ำที่ไหนพักที่นั่น เพราะแต่ก่อนยังเป็นป่า ไม่มีบ้านผู้คนกระจัดกระจายมากมายเหมือนทุกวันนี้ บางทีก็เข้าไปพักตามสวนตามไร่ชาวบ้านอาศัยบิณฑบาตฉันไปวันๆ เหมือนแมลงผึ้งลิ้มเกสรดอกไม้แล้วก็บินไปไม่อาลัยเสียดายฉะนั้น

    การที่เราไปอยู่ตามป่าตามเขา หรือท้องถ้ำเงื้อมผา อันมีสัตว์ร้ายต่างๆ เราต้องเป็นคนช่างสังเกต ช่างคิดพินิจพิจารณา ใคร่ครวญให้รอบคอบ ถึงแม้เราจะเรียนธรรมจากภายในตัวของเราแล้ว เราก็ต้องเรียนธรรมจากภายนอกเพื่อเป็นการฝึกสติปัญญาของเรา

    <TABLE width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=3>ถ้ำขวัญเมือง จังหวัดชุมพร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วัดถ้ำขวัญเมือง จังหวัดซุมพร

    เมื่อเรามาอยู่ที่บริเวณป่าอำเภอสวีได้ระยะหนึ่ง จึงได้เดินเที่ยวภาวนาไปเรื่อยไปพักที่ป่าแห่งหนึ่ง อยู่ที่นั่นได้ไม่นาน มีชาวบ้านมาบอกว่า มีถ้ำสวยงาม ป่าดี สัตว์ยังเยอะอยู่ เป็นวัดเก่าร้าง ไม่มีใครอยู่นิมนต์ท่านอาจารย์ไปอยู่บูรณะหน่อย เห็นว่าเป็นถ้ำเราก็เดินทางไปตามคำนิมนต์

    <TABLE width=139 align=right border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    กำนันฮุ้น (อัมพร บุญญากาส)
    โยมอุปัฏฐากหลวงปู่สมัยอยู่ชุมพร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เรามาอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้สัปปายะดีมาก (ตอนหลังชื่อถ้ำขวัญเมือง) ถ้ำไม่ใหญ่โตอะไรนัก พออาศัยได้ แต่ว่าข้างในยังแคบไปหน่อย เป็นภูเขาหินเล็กๆ มีต้นไม้ใหญ่ๆ มีเครือไม้เถาวัลย์พะรุงพะรัง มองแทบไม่รู้ว่าเป็นถ้ำ ไม่มีใครกล้าเข้ามา ชาวบ้านกลัวเพราะมันเปลี่ยวมาก มีศาลเจ้าพ่อ มีเศษของเก่าของโบราณเรี่ยราดอยู่ตามพื้น บางแห่งมีร่องรอยคนมาขุดหาสมบัติ

    เวลานั้นก็จวนใกล้จะเข้าพรรษาแล้วจึงคิดว่า เออ...อย่างไรเสีย ปี (๒๔๙๒) นี้เราคงต้องจำพรรษาที่นี่ จึงจัดแจงที่พักที่อยู่บนถ้ำ ภาวนาอยู่ที่นี่สบาย ปลอดโปร่งดี เมื่ออยู่มาก็มีญาติโยมรู้จักมากขึ้น โยมอุปัฎฐากที่มาอยู่ช่วยเหลืออะไรทุกอย่างเมื่อยามขาดแคลน คือกำนันฮุ้น (นายอัมพร บุญญากาส)และครูเฮียง ทั้งสองคนนี้เป็นผู้มีศรัทธามาก บ้านเขาอยู่ในตัวอำเภอสวี

    เราอยู่จำพรรษาที่ถ้ำนี้ ได้ตกแต่งถ้ำใหม่ สถานที่ไม่เสมอ ปรับแต่งให้เสมอ แต่งท้องถ้ำให้อยู่ได้ ได้เอาไฟเผาแล้วทุบบางส่วนให้ดูดีขึ้น ทำลายศาลเจ้าพ่อทิ้ง เราเข้าไปอยู่เป็นเจ้าพ่อแทน

    ชาวบ้านกลัวกันใหญ่ กลัวว่าเราจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่เห็นเราเป็นอะไร กำนันฮุ้นเห็นเราขยันขันแข็ง ชอบอกชอบใจ กำนันพร้อมด้วยชาวบ้านจึงมานิมนต์ให้เราอยู่เป็นเจ้าอาวาส สร้างวัดให้ถาวร

    เขาบอกสัญญาว่า จะหาเงินมาช่วยสร้างวัด ขอให้พระคุณเจ้าอยู่ที่นี่ เราเห็นท่าไม่ดี กลัวจะเป็นภาระผูกพัน ออกพรรษาแล้วจึงเผ่นหนี ธุดงค์ต่อไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าไปขอพักอยู่ที่วัดมเหยงค์พักอยู่ที่นี่ชั่วระยะกาลไม่นานนัก จึงเดินทางต่อไปยังจังหวัดสงขลา
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วัดควนมิตร-บ้านพรุ

    วัดควนมิตร ก็เป็นที่ที่ท่านพ่อลีเคยมาอยู่จำพรรษา ๒ พรรษา ชาวบ้านแถวนี้รู้จักท่านหมด เราได้มาเจอท่านถวิล (จิณฺณธมฺโม) ซึ่งเป็นสหธรรมิกคนบ้านเดียวกัน นิสัยใจคอก็ใกล้เคียงกัน นิสัยท่านตรงไปตรงมาเหมือนกันกับเรา ในระหว่างที่พักอยู่ที่วัดควนมิตรนี้ ได้เดินธุดงค์ไปภาวนาที่ควนไม้ไผ่ ท่านถวิลขอติดตามไปด้วย ห่างจากควนมิตรประมาณ ๘ กิโลเมตร อยู่ภาวนาที่ควนไม้ไผ่ได้ระยะหนึ่ง ก็เดินทางกลับมาที่วัดควนมิตรอีกครั้ง เรามาอยู่ที่วัดควนมิตรนี้ ได้คุ้นเคยกับท่านพระครูรัตนโสภณ (แก้ว)

    <TABLE width=139 align=right border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    เสนาสนะที่หลวงปู่เจี๊ยะเคยมาอยู่พักอาศัยปฏิบัติธรรม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดควนจง (ภูเขาล้อม)
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    ใกล้กับเสนาสนะมีธารน้ำไหลผ่าน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เราพักอยู่ที่บนเนินเขาควนมิตรเป็นเวลาแรมเดือน จึงอยากไปวิเวกบ้างตามประสาคนไม่อยู่สุข คืออยู่ที่ไหนนานๆ มันเบื่อ ไปภาวนาอยู่ตามป่าเขาน่าจะดีกว่า เพราะบางทีคนแถวภาคใต้เขาไม่ค่อยชอบพระกรรมฐาน เพราะเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอเค้าไม่มีอำนาจ เราไปอยู่แล้วไม่ค่อยเป็นสุข ไปอยู่กับครูบาจารย์ก็ต้องครูบาจารย์ที่ให้ทัศนะเราได้ ไปอยู่กับอาจารย์ที่ให้ทัศนะไม่ได้ ก็ไม่อยากอยู่ ไอ้ตัวนี้สำคัญที่สุด ไอ้พระบางองค์ มันถือดี มันนึกว่า มีความรู้ นักธรรมเอก นักธรรมโท ไอ้สมบัติขี้หมาอะไร ว่าตรงๆ ตำราเรียนมามันใช้ไม่ได้หรอก การเรียนกิริยาของใจไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก เอาภาวนา “พุทโธ” ตัวเดียวพอแล้ว ว่าอยู่อย่างนั้นให้มันสวย ใจมันจะดื้อเราไปยังไงล่ะ เราเคยเอาชนะมันมาแล้วถึงมาคุย

    เมื่อคิดอย่างนั้น จึงเตรียมจัดบาตร สะพายกลด เข้าไปบอกท่านพระครูฯว่าจะไปเที่ยวภาวนาแถวๆ บ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่หน่อย ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์เม้าท่านมาอยู่ที่นั่น จะมาสร้างวัดใหม่ที่ห้วยยางบ้านพรุนั้น(ปัจจุบันเชื่อว่าวัดกอไม้พอก) เมื่อบอกลาท่านเสร็จก็ออกเดินทางลัดมา พักมาตามป่ายางเรื่อยๆ เข้ามาถึงบ้านพรุ ก็เข้าไปพักภาวนาที่ห้วยยางกับท่านอาจารย์เม้า ในระยะนั้นตรงกับเตือนพฤศจิกายน ๒๔๙๒
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    นิมิตถึงท่านพระอาจารย์มั่นที่บ้านพรุ

    เมื่อเข้ามาพักอยู่ที่ห้วยยางบ้านพรุได้ไม่นาน คืนวันพฤหัสบดี แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ นิมิตเห็นท่านพระอาจารย์มั่น นอนตาย เปลือยกายอยู่ ในนิมิตนั้นท่านงดงาม ชัดเจนมาก เหมือนกับว่าท่านอยากจะมาแสดงอะไรบางอย่างให้เรารู้ ประหนึ่งจะเป็นเครื่องแสดงว่า ท่านจะลาโลกลาสงสารเข้าสูแดนวิมุตติ อันเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน คือการดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ เข้าฟูทางสายเอก คือวิสุทธิธรรมล้วนๆ

    ท่านพระอาจารย์มั่น เราเคารพรักท่านเป็นที่สุด ชีวิตจิตใจนี้มอบให้ได้เลย ไม่เสียดายถ้าท่านต้องการ เพราะท่านเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณ(ธรรม) ล้นเกล้าล้นกระหม่อมจริง ๆ การที่พระสาวกมีพระอานนท์ เป็นต้น กล้าพลีชีพแทนพระพุทธเจ้า ในขณะที่ช้างนาฬาคีรีกระโจนตกมันมา เพื่อจะทำลายพระพุทธองค์พระอานนท์เอาชีวิตของท่านเข้าขวางกั้นไว้ ก็เพราะความถึงใจด้วยสายใยแห่งธรรมอย่างนี้เอง เราเคารพในท่านพระอาจารย์มั่น ก็ตั้งใจอย่างนั้นเหมือนกัน

    <TABLE id=table6 width=139 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    วัดควนมิตร อ.จะนะ จ.สงขลา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ถ้าเรื่องของท่าน ใครอย่ามาแตะ มาว่า เราไม่ยอม ตอนอยู่กับท่าน หน้าที่อะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีทั้งหมด ให้สะอาดเรียบร้อยและทำให้ได้ดี ถ้าไม่ดี ทำมันจนดีจนพอใจ ถึงจะยอมหยุด

    เมื่อเกิดนิมิตในตอนกลางคืน เราภาวนาก็ประหวัดๆ ภายในใจเสมอๆ เหมือนจะมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกี่ยวกับองค์ท่าน ในตอนเช้าวันนั้นเองได้ออกจาริกเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต ได้ถามลุงกายทันทีว่า


    “ลุงกาย...มีข่าวหลวงปู่มั่นบ้างมั้ย?”

    ลุงกายบอกว่า “ไม่มีครูบา...”

    “เราก็เอ๊ะ!... อยู่ภายในใจลึก ๆ”

    กลับจากบิณฑบาตนั่งฉันอยู่ซักประเดี๋ยว ท่านพระครูรัตนโสภณ เจ้าคณะอำเภอให้โยมเดินทางมาบอกว่า “ข่าววิทยุออก บอกว่าหลวงปู่มั่นมรณภาพแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืนนี้”

    พอว่าท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพเท่านั้นแหละ เราลุกขึ้นจากที่ฉันข้าวทันที เดินดิ่งหลบไปทางด้านหลัง ปลงธรรมสังเวชสุดที่จะอธิบายได้ จิตก็หวนรำลึกคำพูดของท่านว่า “อายุ ๘๐ ปี ท่านจะตาย”

    <TABLE width=139 align=right border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    “ดับแล้วท่านผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พ่อแม่แห่งวงศ์พระกรรมฐานนับจากกึ่งพุทธกาลนี้อีกต่อไป ท่านผู้ทรงคุณเช่นท่านพระอาจารย์มั่นนี้ จะไม่มีประดับโลกอีกแล้ว ท่านผู้มีบุญอย่างท่านพระอาจารย์มั่นนี้ เป็นบุตรของใคร เป็นเพื่อนของใคร เป็นพี่เป็นน้องของใคร เป็นศิษย์ของใคร เป็นอาจารย์ของใคร เกิดในประเทศใด หรือจะอยู่ที่แห่งหนตำบลใด สถานที่นั้นหรือบุคคลนั้นที่เกี่ยวข้องต้องเย็นใจ สบายใจ สุขใจและเพลินใจ”

    เมื่อทราบข่าวดังนั้น เราก็รีบขึ้นรถไฟกลับทันที ในระหว่างที่เดินทางกลับมานั้นตั้งใจไว้ว่า เราจะต้องเข้าไปหาท่านพ่อลีที่วัดป่าคลองกุ้งก่อน เพื่อว่าท่านจะสั่งให้ทำอะไรเป็นพิเศษ

    เราไปถึงก็ค่ำแล้ว ทราบว่าท่านพ่อลีท่านนั่งรออยู่ ยังไม่ยอมลงปาฏิโมกข์ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้กราบเรียนล่วงหน้าว่าเราจะมาหาท่าน หลังจากนั้นท่านพ่อลีก็สั่งให้ เรา ท่านเฟื่อง โชติโก และท่านเจือ สุภโร เดินทางไปร่วมงานศพท่านพระอาจารย์มั่นก่อน แล้วท่านจะเดินทางตามไปทีหลัง
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นมรณา-สังฆานุสติ

    เมื่อไปถึงงานศพท่านพระอาจารย์มั่น เข้าไปกราบคารวะศพท่านทันที ระลึกถึงบุญคุณที่ท่านอบรมสั่งสอนมา สุดที่จะอดกลั้นทานน้ำตาไว้ได้ “กรรมใดอันที่เกล้าฯ ล่วงเกิน ขอครูบาอาจารย์จงโปรดอโหสิกรรม” แสงตะเกียงเจ้าพายุสว่างไสวทั่วบริเวณ ได้ยินเสียงผู้คนที่พลุกพล่านอยู่ด้านนอก อย่างโกลาหล ต่างมุ่งหวังเพื่อเข้ามากราบคาราวะศพท่านพระอาจารย์มั่น

    จักร คือ ธรรมอันประเสริฐที่ท่านพระอาจารย์มั่น ได้หมุนเพื่อสานุศิษย์ บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งขันธ์ที่กำลังจะมอดไหม้

    ยนต์ คือ สรีระ อันมีจักร ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน

    มีทวาร ๙ คือ ตา ๒, หู ๒, จมูก ๒, ปาก ๑, ทวารหนัก ๑, ทวารเบา ๑ หยุดการแล่นแล้ว

    เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน อันเป็นแดนเกษม

    ปุญญาภิสังขารที่เหลือไว้นี้ เป็นเพียงมรณา-สังฆานุสติ เป็นที่ระลึกกราบไหว้บูชา

    พระศาสดาและพระสาวกอรหันต์ทั้งหลายก็ล่วงไปแล้ว ล่วงไปสู่แดนอมตธรรม ไม่ต่ำไม่สูง ไม่ใกล้ไม่ไกล หากดวงใจที่บริสุทธิ์ครอง

    พระบรมศาสดาตรัสแล้วไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลายไว้ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ภิกษุทั้งหลาย ธรรมวินัยใดที่เราแสดงและบัญญัติไว้แล้ว ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของเธอเมื่อเราล่วงไป”

    ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเป็นพุทธสาวก ไม่กลับมาหลงโลกที่เคยเกิดตายอีกต่อไป ไตรโลกธาตุทั้งหมดนี้ประมวลลงในไตรลักษณ์ ที่หมุนไปด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใครมีปัญญาเรียนถึงอย่างที่ท่านสอน ก็ไม่ต้องกลับมานอนทอดถอนใจ เดินตามหลังท่านไปสู่พระนิพพาน

    <TABLE id=table7 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG] [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมปนฺโน ที่หน้าเมรุท่านพระอาจารย์มั่น
    </TD><TD>
    บรรยากาศพระสงฆ์และประชาชนที่มาในงานศพหลวงปู่มั่น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ทำงานถวายท่านพระอาจารย์มั่น

    ในระหว่างที่ช่วยงานศพท่านพระอาจารย์มั่นนั้น มีพระเณรหลั่งไหลมาจากทิศานุทิศ ประซาชนญาติโยมมาคาวระศพมิได้ขาด ทุก ๆ คนที่เข้ามา ล้วนห่อข้าวมากินเอง คาราวานเกวียนจอดเต็มรอบ ๆ บริเวณวัดสุทธาวาส หามุ้งหาเพื่อมานอนจุดตะเกียงจุดไฟกันเอง หุงหาอาหารกินกันเอง แล้วตอนเช้า ๆ เตรียมหาอาหารใส่บาตรพระ เป็นนิมิตแห่งชัยชนะด้วยบุญญานุภาพอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ทุกคนล้วนแต่มีน้ำตาอาลัยความดีของท่านพระอาจารย์มั่น เป็นน้ำตาสดุดีสังฆปฏิบัติ เราเป็นพระหนุ่มน้อยอยู่ ก็ได้รับคำสั่งจากท่านพระอาจารย์ฝั้นให้ไปดูแลเรื่องน้ำ เพราะน้ำขาดแคลนมาก ใช้ญาติโยมและเณรเอาอีเต้อขุดจนมือแตก น้ำก็ไม่ออก เราคิดว่า รอช้าจะไม่ทันการณ์จึงจำเป็นต้องขุดบ่อเอง ในที่สุดน้ำก็ออกจนได้ใช้ตลอดงานเป็นเวลา ๓ เดือน ยังมีอีกหน้าที่หนึ่ง ที่ท่านพระอาจารย์ฝั้นมอบหมายให้ไปทำคือ จัดทำปะรำพิธี ดูแลเสนาสนะ และคอยไล่ต้อนพระเณรที่แอบไปดูหนังที่เขานำมาฉายอยู่ด้านนอกวัด เวลาเขาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกในงานศพเราจึงไม่ได้ถ่าย เพราะมัวแต่ทำงานยุ่งอยู่ไม่มีเวลาหยุดหย่อน

    เรื่องแปลกในงานศพท่านพระอาจารย์มั่นคือ ไม่มีการขโมยของกันและกัน ไม่มีการตี ทะเลาะหรือฆ่ากัน ทั้ง ๆ ที่มีคนมาก ผู้คนก็ไม่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย ในบริเวณงานไม่มีคนดื่มสุราเมรัยมากวนใจในงาน พระเณรโดยส่วนมากบอกง่ายน่าเคารพเลื่อมใส งานนี้นอกจากมนุษย์แล้วทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนเทพบันดาล เพราะอาหารการกินของใช้สอยกองเท่าภูเขาเลากา ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นที่ไหนมากเท่านี้มาก่อน นี้คือบุญฤทธิ์ของท่านพระอาจารย์มั่นโดยแท้
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จำพรรษาที่ วัดเขาแก้ว จังหวัดจันทบุรี

    ต้นปี ๒๔๙๓ เมื่อเสร็จงานศพท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว คณะกรรมฐานระยะนั้นเหมือนบ้านแตกสาแหรกขาด ขาดที่พึ่งใหญ่ ก็ต่างองค์ต่างพยายามหาที่พึ่งน้อย อันหมายถึงลูกศิษย์ที่ท่านพระอาจารย์มั่นรับรอง บางองค์ก็ไปกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม บางองค์ไปกับพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร บางองค์ไปกับหลวงปู่ขาว อนาลโย บางองค์ไปกับอาจารย์เทสก์ เทสฺรงฺสี บางองค์ไปกับท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน บางองค์ก็เข้าธุดงค์ในป่ากับครูบาอาจารย์ที่ตนเองเคารพนับถือ กระเซ็นกระสายกันไปทั่ว แต่ต่างองค์ก็ต่างไปตามสายทางแห่งพระนิพพานเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น เป็นที่หมายสุดท้ายเหมือนกัน


    โยมแม่ป่วย
    สวนเราธุดงค์ย้อนกลับจังทวัดจันทบุรีกับท่านเฟื่องเข้ามาพักที่วัดป่าคลองกุ้ง ทราบข่าวว่าโยมแม่ไม่สบาย ป่วยหนัก จึงเดินทางมายังวัดทรายงาม บ้านหนองบัว ช่วยโยมพ่อดูแลโยมแม่ เป็นพระทำอะไรไม่ได้มากนัก ส่วนมากก็ไปเป็นกำลังใจ ไปพูดธรรมะให้ฟังบ้าง ส่วนมากโยมแม่ไม่คอยฟังเพราะเห็นเราเอะอะเสียงดัง ก็คนนั้นทำอย่างนั้นไม่ถูก ทำอย่างนี้ไม่ถูก เราก็ดุเอาสิ โยมแม่เป็นคนเรียบร้อย พูดจาไพเราะ ชอบพระเรียบร้อย ส่วนเราก็เรียบร้อย แต่เรียบร้อยตามนิสัยวาสนาอาภัพ

    อาการป่วยของโยมแม่รักษาเป็นปีอาการก็ไม่ดีขึ้น เพื่อเยียวยารักษาโยมแม่ให้หาย เงินทองมีเท่าไหร่ทุ่มลงหมดไม่มีคำว่าเสียดาย ขอแต่เพียงโยมแม่หายเท่านั้นเป็นที่พอใจของลูก ๆ ทุกคน ยานั้นต้องเดินทางมาซื้อถึงกรุงเทพฯ ของหลวงมานิตย์ ต้องไปซื้อมากินเป็นประจำ

    เมื่ออาการของโยมแม่ดีขึ้นบ้าง ก็เข้าไปหาท่านพ่อลีที่วัดป่าคลองกุ้ง กราบเรียนท่านที่จะไปภาวนาตามป่าตามเขาดังที่เคยไปเสมอมา ท่านพ่อจึงสั่งว่า “ท่านเจี๊ยะให้ท่านไปอยู่ที่เนินเขาแก้วนะ ที่นั่นวิเวกดี สัปปายะเหมาะ” เมื่อท่านพ่อสั่งอย่างนั้น จึงต้องไปอยู่ที่เนินเขาแก้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    (โยมแม่เสียชีวิตอายุ ๙๓ ปี วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๗ โยมพ่อเสียชีวิตอายุ ๙๙ ปี วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐)
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระอาจารย์เจี๊ยะ พระผู้มาปฏิสังขรณ์วัดเขาแก้ว

    พระอาจารย์เจี๊ยะ ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส ปี ๒๔๙๓ และเป็นผู้ที่ปรับปรุงปฏิสังขรณ์วัดนี้ให้เป็นวัดที่มีสภาพมั่นคงคือ พระอาจารย์เจี๊ยะ จุนฺโท เพราะเดิมวัดนี้ไม่มีอะไรถาวรนอกจากมีศาลาเพียงหลังเดียว นอกนั้นเป็นกุฏิชั่วคราว ความทรุดโทรมก็มีมากขึ้น พระอาจารย์เจี๊ยะท่านจึงติดต่อให้ญาติโยมผู้มีศรัทธาสร้างกุฏิถาวรถวาย สร้างด้วยคอนกรีต ๔ หลังมั่นคงถาวรมาก นับว่าในขณะนั้นมีเพียงวัดเดียวเท่านั้นในคณะกรมฐานที่มีกุฏิตึกอยู่ ด้วยความสามารถของพระอาจารย์เจี๊ยะนี้เอง

    ต่อมาศาลาการเปรียญทรุดโทรมลง ท่านจึงจัดการสร้างศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ หลังใหญ่โตมาก ในบรรดาศาลาด้วยกันแล้วในจังหวัดจันทบุรี ต้องยกให้วัดเขาแก้ว เพราะเข้าไปในศาลาเหมือนเข้าไปในโบสถ์วัดพระแก้ว เพราะเยือกเย็นเหมือนกัน

    พื้นที่ภายในบริเวณวัด ท่านก็พัฒนาการจนเป็นสถานที่น่าอยู่น่าอาศัย มีผลไม้มาน่าดูชม เช่น เงาะ ทุเรียน กระท้อน ฯลฯ

    เดิมท่านพ่อลีมาปักกลดบริเวณเนินเขาแก้วนี้ ตรงนั้นมันเป็นต้นมะม่วง ไม้มะม่วงนั้นใบมันร่วงเพราะเป็นฤดูแล้ง ตามโคนต้นมะม่วงมีมดแดงเต็มไปหมด ท่านพ่อลีกปักกลดอยู่อย่างนั้นไม่ย้ายไปไหน

    ตาสอนและยายทัตสองผัวเมียมาเห็นเขา ก็นิมนต์ท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ อยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอกมดแดงมันเยอะ ขอให้ย้ายไปตรงอื่นเถอะ”

    “ไม่ย้าย เราจะอยู่ตรงนี้ ถึงแม้นเอาข้าวของมาถวายตรงที่อื่นเราก็ไม่รับ เราจะอยู่ตรงนี้ ปักกลดตรงนี้แหละ ”

    ทีนี้เมื่อสองตายายนำเอาอาหารข้าวของมาถวาย มดแดงมันก็มาเยอะแยะ ยิ่งเหยียบใบไม้ดังแกรก! แกรก! มดแดงมันมาใหญ่ทีเดียว กรูมา อู้ฮู! มากทีเดียว มดแดงมันมามากมายเหลือเกินเป็นกองทัพมด แต่มันไม่กัดท่านพ่อสักตัวเดียว ท่านอยู่เป็นเพื่อนกันกับมด สักพักหนึ่ง มดมันก็ทยอยกันหนีเกลี้ยงอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อสองตายายเห็นอย่างนั้น ก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใส นับถือท่านพ่อลีมากขึ้น ก็เลยไปป่าวร้องให้คนทั้งหลายเข้ามาทำบุญกับพระผู้วิเศษ

    <TABLE width=139 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    ซุ้มประตูทางเข้าวัดเขาแก้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ต่อมาจึงทำศาลาพักขึ้น แล้วก็ค่อยสร้างวัดขึ้นมาค่อยทำกัน เริ่มแรกมุงจากเสาไม้ป่า ท่านพ่อลีก็อาศัยอยู่อย่างงั้น แล้วท่านก็อยู่ คนก็เลื่อมใส เขาก็มาช่วยสร้างวัดกันขึ้น ช่วยกันตัดไม้ป่ามาสร้าง ตัดไม้ไผ่ หลังคามุงจาก เริ่มจะเป็นวัดทีแรก เพราะว่าตาสอนและยายทัต สองคนผัวเมียบริจาคที่ตรงนี้ให้


    หลังจากนั้นมา พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านพ่อลีก็มอบให้ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะมาอยู่แทน

    “โบสถ์นั่น ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะก็เป็นคนตีหิน ทุบหิน ทำเองไม่มีหยุดหรอก สำคัญมากในเรื่องทำงาน หินนี่ขนมาก้อนใหญ่ๆ ขน ตี ทำ ก่อสร้าง ท่านแข็งแรง ท่านได้ผู้ใหญ่จ่าง รักศักดิ์ เป็นผู้อุปัฏฐากช่วยสร้างเพราะเขาเป็นคนมีเงิน เข้ามาช่วยท่านสร้างวัด เรื่องการก่อสร้างท่านละเก่งที่สุด ไม้แผ่นใหญ่ ๆ ไปหามาจากในดงลึก ๆ โน่นแหละ ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้แดง ขนมา ท่านเก่งทางนี้

    ท่านก่อสร้างเสร็จ ท่านเป็นคนบ๊งเบ๊ง ๆ เป็นคนจีน ลูกคนจีน นิสัยท่านก็ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กันกับผู้คน นิสัยพะลึงพะลังอย่างนั้นแหละ มาครั้งแรกสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ท่านจะมาเอาที่ตรงนั้นทำวัง พระอาจารย์เจี๊ยะมาเริ่มสร้างใหม่ๆ เริ่มสร้างวัดเขาแก้วเป็นรูปร่าง ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะอยู่เป็นขรัว พอเป็นขรัว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีก็เอาต้นโพธิ์มาปลูกไว้นั่นแหละ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็เริ่มจะเป็นเจ้าภาพวัด ภายในพระทัยก็คงคิดที่จะเป็นผู้อุปการะวัดเขาแก้ว ท่านเริ่มเข้าวัดและตั้งใจจะบูรณะวัดให้เจริญด้วย
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ขรัววัดเขาแก้ว

    อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเกิดท่านผู้หญิงผ่อง ผู้เป็นน้องสาวสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ท่านหญิงคิดปรารถนาจะเข้ามาทำบุญถวายพระ เข้ามากราบพระอาจารย์เจี๊ยะที่ศาลา และพระทั้งหลายก็ลงมาพร้อมเพรียงกัน เมื่อพระอาจารย์เจี๊ยะเข้ามานั่งก็ “ขาก...ถุยๆ” ทำอยู่ยังงี้ท่านผู้หญิงผ่องท่านก็ประทับอยู่ที่นั่น ก็มองๆ นึกตำหนิอยู่ภายในใจ

    เมื่อท่านผู้หญิงเสด็จกลับจึงเรียกผู้ใหญ่พา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้นเข้าไปถามว่า “ผู้ใหญ่พา...ขรัววัดเขาแก้วทำไมท่านถึงเป็นอย่างงั้น กริยาท่าทางไม่เรียบร้อยเลย”

    ผู้ใหญ่พาก็ตอบว่า “ท่านเป็นลูกคนจีนนะครับ ไม่ใช่จะเสียหายอะไร การเสียหายไม่มีเลย กิริยาของท่านนี้ไม่รู้จะทำยังไง การขาก...ถุยๆ ท่านนั่งนิ่งๆ ไม่ได้ ต้องขยับไหล่ งึกงักๆ ๆ อันนี้เป็นนิสัยประจำ ท่านเป็นยังไงก็อยู่อย่านั้น ท่านไม่มีมายากับใครหรอกครับ เรื่องการก่อสร้างการบริหารวัดนี่ โอ๊ย!...ท่านเก่งมากขยันเหลือเกิน ขยันตัวเป็นเกลียว ทำเอง ถกเขมร ทำคล่อง เสียอย่างเดียวกิริยาตรงนี้ แต่ใจท่านดีมากครับ”

    ท่านหญิงจึงถามผู้ใหญ่พาต่อไปอีกว่า “เล่าประวัติขรัววัดเขาแก้วให้ฟังซิ ท่านเป็นมายังไง?”

    ผู้ใหญ่พาก็กราบทูลว่า “ท่านเป็นคนใจสำคัญนะครับ เป็นลูกคนจีน บ้านเดิมอยู่ที่หนองบัว ในการทำงานที่กระผมเห็นมา ไม่มีใครแข็งเท่าท่าน ความเพียรพยายาม โอ้!... ท่านตั้งใจทำเหลือเกิน ท่านเก่งเหลือเกิน ไม่ใช่คนจนอนาถา ก่อนมาบวชท่านเป็นคนนักเลงอยู่ แล้วก็มาบวชเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อลี ท่านพ่อลีไม่ใช่พระธรรมดา ท่านพ่อลีต้องมองลึกแล้วว่า อาจารย์เจี๊ยะนี้ดีจึงมอบที่ตรงนี้ให้

    <TABLE id=table9 width=139 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    ศาลาการเปรียญที่หลวงปู่สร้างไว้ที่วัดเขาแก้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ตั้งแต่ผมเห็นพระมา ขรัววัดเขาแก้วนี้นี่บริหารวัดดีไม่มีใครเกิน ท่านสู้สุดตัว หินก้อนใหญ่ๆ ทุบเองแหลกหมด ท่านไม่ต้องไปง้อใคร ทำเองทั้งนั้น บางทีไปค้างวันค้างคืน หาคนไปช่วยเอาไม้อยู่ในป่าโน่น!...โป่งน้ำร้อนโน่น ไกลเท่าไรก็ไปเอามาจนได้ ตอนหลังนี่ท่านไปเรียกใคร เขาก็ไม่ไป สู้ท่านไม่ไหว ทำทั้งวันทั้งคืน ท่านจะเอาอะไร เอาให้ได้ ถ้าไม่ได้ท่านไม่หยุด เก่งเหลือเกิน ถึงท่านกิริยาภายนอกเป็นอย่างนั้น เรื่องเสียหายไม่มีหรอกครับ เรื่องวาจาท่านก็เป็นคนพูดตรงไปตรงมา จะให้ท่านพุดหวานๆ อย่างนั้นอย่างนี้ท่านพูดไม่เป็นหรอก ถ้าวันไหนเห็นท่านพูดหวานๆ ชาวบ้านคงช็อกตาย สถานที่ที่ท่านควรจะพูดค่อยๆ ท่านก็พูดไม่ค่อย สถานที่ที่ควรจะพูดแรงๆ ท่านกลับพูดค่อยๆ เวลาใช้ญาติโยมทำงาน “พวกมึงมาทำไอ้นี่ให้หน่อย...โว้ย มาช่วยกันบ้างซีที่วัด” ท่านมักจะพูดอย่างงี้

    ผมก็เคยขอโอกาสพูดกับท่าน (อาจารย์เจี๊ยะ) บ่อยเหมือนกัน เคยสะกิดท่านบ่อยๆ ว่า “ท่านอาจารย์พูดทำไมเอะอะนัก ค่อยๆ พูดซะหน่อยจะเป็นไร ญาติโยมเขามานั่งกันเต็มอยู่นั่น ทำไมเอะอะเสียงดังอะไรอย่างเงี้ย” ท่านก็ตอบว่า “เราก็เป็นของเราอย่างนี้อยู่ทุกวัน มันจะแปลกตรงไหน ภายในใจเราไม่มีอะไรกับใครหรอก เคยพูดดังๆ มานั่งเงียบมันโหวงเหวง มันพิลึกชอบกล” ท่านว่าอย่างนั้น

    <TABLE id=table10 width=139 align=right border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    พระอุโบสถวัดเขาแก้ว
    ที่หลวงปู่เจี๊ยะสร้าง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ท่านหญิงลองคิดดูซิครับว่าจะมีพระที่ไหน ที่จะเป็นอย่างนี้ได้บ้าง ท่านมาบิณฑบาตบ้านผม เดินเข้ามาในบ้านเลย “เฮ้ย!..ตำน้ำพริกกุ้งแห้งเกลือให้กูหน่อย” พริกเกลือกุ้งแห้งท่านชอบ ท่านไม่เคยเสียหายอะไร มีแต่กิริยาวาจานี่แหละ ที่ทำให้คนเขาแปลก ทำให้คนเขาแตก ไม่กล้าเข้าใกล้

    บางทีท่านไปบิณฑบาตก็นั่งรถไปเพราะขาเจ็บ ไปถึงที่ก็บอก “เอ้า!...เอาข้าวมาให้กูกิน” ตั้งบาตรเลย หนังสือพิมพ์เล่มหนึ่ง บุหรี่มวนหนึ่ง แล้วก็นั่งกระดิกเข่า ใครเขาเห็นเขาจะเอาด้วยล่ะ ภาพมันก็ลบไปเลย ครูบาอาจารย์เขาไม่สอนอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ ท่านก็บอก “ขากูเจ็บนี่หว่า” ก็ไปอย่างนั้นทุกวัน

    กราบนิมนต์ท่านว่า “ท่านอาจารย์ไม่ต้องมาบิณฑบาตเลย นอนอยู่เฉยๆ เลย จะจัดไปถวายที่วัดเอง”

    ท่านบอกว่า “ไม่ได้เดี๋ยวเขาจะด่า หาว่าขี้เกียจบิณฑบาต”

    “นั่นล่ะเขาจะด่าหนักล่ะไปอย่างนั้น”

    พวกเราไม่คุ้นเคย ไปเห็นพระผู้ใหญ่เป็นอย่างนั้นก็สะดุ้ง “เอ๊ะ!...อะไรมาผิดวัดหรือเปล่า...อะไรเนี่ย” ในกลางพรรษาท่านออกไปบิณฑบาตช้าอยู่ครั้งหนึ่ง พระลูกศิษย์ที่ไปบิณฑบาตอายกันหมดเลย แต่ท่านไม่อาย
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระมากินให้เป็นมงคลแล้ว

    <TABLE id=table11 width=139 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    กุฏิของหลวงปู่เจี๊ยะที่วัดเขาแก้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    “เล่าประวัติอย่างอื่นๆ ที่แปลกๆ ของท่านให้ฟังบ้างสิ ...ผู้ใหญ่พา” ท่านหญิงผ่องถามขึ้นด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

    “มีอยู่ครั้งหนึ่ง” ผู้ใหญ่พาเริ่มเล่า เขาแต่งงานกัน เขานิมนต์พระไป ๙ รูป บ้านเขาสูงแค่เอว ลูกกรงบ้านก็โหนถึงล่ะ ทีนี้แขกมันเยอะ ท่านก็โหนตัวขึ้นทางลูกกรงไปเลย ไม่ขึ้นทางบันได พอนั่งปั๊บ!! ท่านก็ถามเจ้าภาพว่า” จะสวดหรือไม่สวดล่ะ เอ้า! ประเคนกินกันเลย”

    เจ้าของบ้านรีบบอกสวนมาทันทีว่า “ก็สวดเสียหน่อยซิ...พระคุณเจ้า”


    ไอ้พวกเราเป็นศิษย์ลูกศิษย์ก็คิด “เฮ้ย! จะกินของเขาเฉยๆ เลยหรือเนี่ย เฮ้ย...ขำ!”

    คือว่าเขาจะแต่งงาน เป็นงานมงคล สวดให้เป็นมงคลให้เจ้าภาพหน่อย ท่านกลับถามว่า “จะสวดไหม ไม่สวดให้ยกมาประเคนเลย พระมากินให้เป็นมงคลแล้วเนี่ย” เขาขอให้สวดท่านถึงนำสวด

    ตอนกลับก็โดดลงทางเก่าที่ปีนขึ้นนั่นอีกล่ะ คือทางราวลูกกรง พระลูกศิษย์ที่ไปด้วยนี้ ก้มหน้ายิ้มอายกันเลย บันไดมีไม่เอา โดดขึ้นลูกกรงเลย ตรงนั้นรองเท้าเขาวางไว้เกะกะ ไม่เอา! โหนขึ้นไปเลย เรื่องโลกนี่ท่านตัดไปเลย ไม่อายหรอก ลูกศิษย์อาย บวชใหม่ประมาณ ๓-๔ พรรษาก็อายทั้งนั้น แต่อาจารย์ไม่อายหรอก ท่านทำอะไรแปลกๆ ท่านไม่เหมือนเรา มาอยู่ที่เขาแก้วนี่ท่านละปล่อยวางเยอะกับญาติโยม
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เดินทางโดยรถสิบล้อ

    เรื่องการโบกรถก็เช่นกัน ถ้าท่านโบกรถนี่ รถต้องจอดทุกคันนะครับเพราะท่านจะไม่ไปโบกริมๆ ถนน ท่านจะไปยืนโบกรถกลางๆ ถนนเลย แล้วไม่ใช่ไปโบกตรงนั้นเฉยๆ ไปยืนห่มจีวรตรงนั้นด้วย แล้วก็โบกมันรุงรังขนาดล่ะ กางปีกเลยมารุ่มๆ รถต้องจอดหมดล่ะ

    ทีนี้เราก็มาสังเกตท่านว่า “เอ๊ะ! ทำไมท่านอาจารย์ทำอย่างนี้นะ ท่านทำอย่างนี้ทำแบบนี้ ยังกับว่าทั่วประเทศไทยเป็นพี่น้องเป็นญาติท่านกันหมด เรามอง เอ! พวกนี้พี่น้องท่านหมดเลยนะนี่ ไม่รู้เขาจะโกรธจะเกลียด หรือรถจะชนตายอย่างนี้ไม่สนใจ ไปถึงก็กางปีกยืนถ่างขากลางถนนเลย แล้วก็ห่มจีวรพร้อมเลย”

    สมัยก่อนเวลาท่านมากรุงเทพฯ ก็อาศัยรถสิบล้อเขามาบ้าง รถทัวร์บ้าง รถทัวร์ก็ไม่ค่อยได้ขึ้นหรอก เอารถสิบล้อ เอา! ผมเคยไปรับท่านครั้งหนึ่ง โอ๊ย! แหงนดูท่านอาจารย์เจี๊ยะอยู่บนหลังคานั่นน่ะ ท่านตะโกน “หนาวโว๊ยๆ...หนาว” อยู่บนหลังคารถสิบล้อน่ะ ข้างล่างมันเต็ม มีผู้หญิงมาด้วย ท่านไม่เดือดร้อนกับใครล่ะ “หนาวโว๊ยๆ ลมมันโกรก”

    อยู่มาวันหนึ่ง มีจดหมายส่งมาจากวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ท่านเจ้าคุณพรหมุนี เพื่อนท่านส่งมา ในเนื้อความจดหมายนั้นบอกว่า “เมื่อได้รับแล้วให้มาด่วนทันที”

    ท่านอ่านแล้วก็ไม่รีรอเลย รีบคว้าย่าม คว้าจีวร พะรุงพะรัง รีบด่วนอย่างที่จดหมายบอกไปทันที ท่านก็จะรีบไป คือท่านเป็นคนตรงมากอย่างนั้น คว้าจีวร คว้าย่าม เดินดิ่งตรงไปหน้าวัด หน้าวัดติดถนนใหญ่ ไหล่ก็สะพายย่าม มือก็พยายามคลุมจีวร บังเอิญรถบัสประจำทาง มันก็มาพอดิบพอดี เหมือนนัดกันไว้ เมื่อรถมาพอดีจะทำยังไงล่ะ มือก็คลุมจีวรอยู่ โบกรถก็ไม่ได้ ท่านกลัวไม่ทันมั้ง ท่านจึงใช้ตีนโบก “ยกตีนขึ้นสูงๆ ลงๆ หยุด... ตะโกนด้วย หยุดเดี๋ยวนี้”

    รถวิ่งผ่านไปฉิวแบบไม่สนใจ “เย็...แม่มึง...ไม่รู้จักไอ้เจี๊ยะ...ซะแล้ว”

    ท่านตะโกนด่าตามหลัง เราแอบไปฟังอยู่ข้างๆ กำแพง แอบหัวเราะคิกๆ อยู่คนเดียว เอามือปิดปากไว้กลัวท่านได้ยิน เดี๋ยวโดนเตะ หาว่าหัวเราะเยาะ

    บางทีในตอนกลางคืนขนาดกำลังป่วย เพราะความที่ท่านเป็นผู้ที่นอบน้อมในธรรมมาก ไม่มีชาติชั้นวรรณะเลย อย่างบางทีคุยกันกับพระเณร เฮๆ เป็นปกติอยู่เลย แต่ทันทีที่ไม่ว่า พระเณร เด็ก ผู้ใหญ่ มาพูดเรื่องธรรมะนี่ ท่านจะนิ่งฟังเฉย แสดงความเคารพทันทีเลย แปลกจริงๆ "เอ๊ะ! ทำไมอาจารย์น้อมในธรรมนัก กิริยาในธรรมกับกิริยาในโลกของท่านต่างกันนัก”

    เวลาพระผู้ใหญ่พูดมา เวลาจะเอาเป็นเอาตายท่านเฉยเลย นั่งฟังเลยเรื่องธรรม เรื่องกิเลสนี้ต้องยอมรับเลย ถ้าคุยกันนี้เอาเป็นเอาตายเลย คุยมีอรรถมีธรรมท่านจะนั่งฟังเงียบ “เออ! แปลก น้อมในธรรมมากตั้งแต่เห็นมา” เพราะเราก็ไม่รู้ว่าท่านมีอะไร พวกพระที่บวชใหม่ๆ ก็ ...เอ!...ทำไมท่านอาจารย์เจี๊ยะเป็นอย่างนี้ได้นะ

    เวลาเจอโยมทำผิดมาท่านเอาเป็นเอาตายเลย เวลาเขาพูดเรื่องเหตุเรื่องผล ท่านจะนั่งฟังเงียบนิ่งเลย เออๆ ๆ เราคล้อยตามท่านไม่ได้เลย บ้าตายเลยเรา กับเรื่องท่านนี้ ยากที่คนเขาจะเข้าใจได้ง่าย เดินผ่านไปผ่านมา เห็นพระเณรนั่งอยู่ก็ดุเขาเอาดื้อๆ “ไอ้ฉิบหาย!” บางทีดุพระเณรจนร้องห่มร้องไห้ “ฮือๆ อยู่นั่นแหละ” ตอนหลังจึงพูดกันว่า “ถ้าใครอยู่กับพระอาจารย์เจี๊ยะได้เนี่ย ทั่วประเทศไทยอยู่ได้หมดล่ะ เชื่อเถอะ!!”

    มีอีกเหตุการณ์หนึ่ง ถ้าไม่เล่าจะข้ามไปอย่างน่าเสียดาย วันนั้นท่านมีกิจนิมนต์เข้าวัง ท่านอาจารย์เจี๊ยะก็ถามก่อนไปว่า “ต้องใช้พัดยศหรือเปล่า เพราะพัดยศอยู่ที่จันทบุรี ตอนนั้นท่านพักอยู่กรุงเทพฯ วัดบวรฯ” ทางฝ่ายศาสนพิธีในพระราชวังนั้นก็บอกว่า “ไม่ต้องใช้”

    พอเข้าไปในพระราชวัง ในขณะกำลังจะลงมือฉันข้าว ทางฝ่ายพิธีที่พระราชวังนั้นจึงถามขึ้นว่า “ทำไมพระองค์นั้นไม่เอาพัดยศมา”

    ท่านอาจารย์ก็ว่า “เฮ้ย! หยุดกินเดี๋ยวนี้นะ หยุดกินเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวอาตมาจะไปเอาพัดยศที่จันทบุรีก่อน” บ่อนแตกเลย ฝ่ายศาสนพิธีก็รีบเข้ามาหาท่านแล้วพูดว่า ทำไมท่านอาจารย์พูดอย่างนั้น

    “กูถามมึงแล้วว่ามึงจะเอาหรือเปล่า พัดยศน่ะ มึงบอกไม่เอา กูก็ไม่เอามา มึงหยุดเลย เดี๋ยวรอพัดยศจากจันทบุรี”

    พอท่านกลับมาถึงวัด ท่านบอกไม่มีพัดยศเขาจะไม่ให้กูกินเสียแล้ว ไอ้ฉิบหาย!! ตอนก่อนจะไปกูก็ถามมันอย่างดีว่า “เอาพัดยศหรือเปล่า” มันก็บอกว่า “ไม่เอาๆ”

    นี่แหละเรื่องอย่างนี้แหละ ใครเขาเห็น ใครเขาไม่รู้ก็ตำหนิท่าน ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะท่านสร้างศาลา สร้างกุฏิ สร้างพระอุโบสถ เป็นประโยชน์แก่พระศาสนาและชนรุ่นหลัง นอกจากนั้นท่านยังไปช่วย หลวงตามหาบัวสร้างวัด ที่บ้านสถานีทดลองกสิกรรมอีก ท่านทำประโยชน์มาก แต่ตาคนธรรมดาไม่ถึงธรรมท่าน มักมองผ่านเลยไป เลยไปชอบพระหลอกๆ มีมายาเยอะๆ เป็นอย่างนั้นไป
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ครูบาอาจารย์องค์สำคัญมาเยี่ยมเสมอ

    พระอาจารย์เจี๊ยะท่านเป็นพระสำคัญ แต่คนโดยส่วนมากไม่รู้ ดูจากภายนอกไม่เห็นความหมายดีเด่นอะไร แต่สิ่งที่ปรากฏเป็นระยะๆ อันเป็นสิ่งแปลกมากก็คือ พระอาจารย์องค์สำคัญๆ เช่นหลวงปู่หลุย หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ตื้อ พระอาจารย์มหาบัว พระอาจารย์วัน พระอาจารย์จวน พระอาจารย์สิงห์ทอง หลวงพ่อพุทธ พระอาจารย์สุวัจน์ และสายพระป่าองค์สำคัญๆ อีกมากมาย มักจะเดินทางมาเยี่ยมและกราบเยี่ยมท่านเสมอ

    โดยเฉพาะพระอาจารย์วัน อุตฺตโม มาเยี่ยมบ่อยเป็นพิเศษ มาแต่ละครั้งจะแสดงความเคารพนอบน้อมต่อพระอาจารย์เจี๊ยะมาก ในช่วงระยะนั้นพระอาจารย์วันท่านโด่งดังมาก เดินทางมาทีมีลูกศิษย์นั่งรถเบนซ์ติดตามเป็นแถว เมื่อพระอาจารย์วันเข้ามาเจอพระอาจารย์เจี๊ยะ พระอาจารย์วัน จะแสดงกิริยาประดุจเณรน้อยๆ คลานเข้าไปกราบพระอาจารย์เจี๊ยะใกล้ๆ ถามอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกๆ ครั้งที่ถามพูดจะยกมือพนมเสมอ ส่วนพระอาจารย์เจี๊ยะก็สบายๆ ไม่คลุมจีวรใส่แต่อังสะนั่งสบายเฉยๆ

    พระอาจารย์เจี๊ยะถามพระอาจารย์วันขึ้นว่า “วันโว้ย!...ทำไมถึงดังวะ!”

    “มันถึงคราวมันครูบาอาจารย์” พระอาจารย์วันกราบเรียน แล้วก็เอามือนวดแข้งนวดขาให้พระอาจารย์เจี๊ยะ

    มีอยู่คราวหนึ่งในงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เขานิมนต์พระมาสวดมนต์ฉันเช้า ๙ รูป พระอาจารย์วันเป็นหนึ่งใน ๙ รูปนั้น พระอาจารย์วันนั่งฉันในปะรำพิธีที่สูงกว่า มองเห็นพระอาจารย์เจี๊ยะนั่งฉันปะปนกับพระหนุ่มเณรน้อยอยู่ด้านล่าง พอฉันเสร็จพระอาจารย์วันก็เข้ามาขอขมาต่อพระอาจารย์เจี๊ยะว่า “ครูอาจารย์! เกล้าฯ ขอขมาที่นั่งสูงกว่า” ทำเอาพระเณรทั้งหลายตกใจกันใหญ่

    อีกครั้งหนึ่งในงานฉลองพระใหญ่ วัดพระบาทภูคำ จังหวัดขอนแก่น ที่อดีตเจ้าอาวาสวัดอโศการามไปสร้างไว้ พระอาจารย์วันขึ้นนั่งบนแท่นใหญ่ในพิธี พระอาจารย์เจี๊ยะนั่งข้างล่าง พระอาจารย์วันเห็น รีบกระโดดลงมาขอขมา พระอาจารย์เจี๊ยะบอกว่า “วัน...ไปๆ ไม่เป็นไร”

    พอตกดึกๆ สงัดจากผู้คน พระอาจารย์วัน ก็เดินเข้ามากราบสนทนาธรรมะกับพระอาจารย์เจี๊ยะ เป็นเวลาชั่วโมงๆ เมื่อพระอาจารย์เจี๊ยะพูดธรรมะ พระอาจารย์วันจะนั่งนิ่งฟัง

    พระอาจารย์เจี๊ยะถามว่า “วัน...ถึงไหน พิจารณาอย่างไร?”

    พระอาจารย์วันกราบเรียนว่า “ถึงตรงนั้น พิจารณาอย่างนั้น เพราะเหตุนั้น”

    พระอาจารย์เจี๊ยะก็ขึงขังขึ้นมาทันทีว่า “มันต้องอย่างนั้นซิวัน เรื่องนิพพานกับเรื่อง...นี้ มันต้องพิจารณาอย่างนั้นนะ กามราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาต้องตีให้กระจุยกระจาย” พระอาจารย์เจี๊ยะพูดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น พระอาจารย์วันนั่งนิ่งเงียบ

    กับพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ก็เหมือนกัน เวลาที่พระอาจารย์เจี๊ยะ มีโอกาสเดินทางไปทางภาคอีสาน ท่านให้ลูกศิษย์ติดตามหอบหิ้ว หัวปลาแห้งไปฝากพระอาจารย์สิงห์ทอง พระอาจารย์เจี๊ยะจะพูดถึง พระอาจารย์สิงห์ทองเสมอว่า “ทอง! มันขี้เล่นว่ะ แต่มันเฉียบ! มันหมดแล้วนะ มันเฉียบ! แต่มันขี้เล่นไปหน่อย เดี๋ยวเอาหัวปลาไปฝากมันหน่อยว่ะ มันชอบว่ะ”

    สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านเคารพรักกันมาก เห็นแล้วเข้ากันสนิทด้วยคุณธรรม ไม่เหมือนสมัยนี้แซงหน้าแซงหลัง

    ในเดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๐๐ พระอาจารย์เจี๊ยะไปช่วยงานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษของท่านพ่อลีที่วัดอโศการาม หลวงปู่ตื้อนั่งรถแท็กซี่มาหาพระอาจารย์เจี๊ยะ พร้อมกับตะโกนพูดว่า “เจี๊ยะโว๊ย! วัดแตกแล้วโว๊ย” ในที่สุดก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนหัวค่ำหลวงปู่ตื้อเทศน์ ตอนดึกๆ พระอาจารย์เจี๊ยะเทศน์ เทศน์ถึงพริกถึงขิง คนที่มาในงานฟังเทศน์แตกฮือ! บางคนถึงกับฟังไม่ได้ รับไม่ได้
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่เจี๊ยะนิมนต์ให้หลวงตามหาบัวมาอยู่สถานีทดลอง

    หลวงตามหาบัวเล่าเรื่องหลวงปู่เจี้ยะไว้ว่า...

    ท่านอาจารย์เจี๊ยะเข่าท่านไม่ดี ต้องฉันยาแอสไพรินตั้งแต่อยู่สกลนครด้วยกัน เข่าท่านไม่ดี เดินลักษณะกระเผลกๆ นิดๆ ทั้งๆ ที่ท่านยังหนุ่ม อยู่ด้วยกันที่บ้านโคกนามน ดูเหมือนท่านพรรษาได้ห้า เราพรรษาได้แปด ท่านเป็นตั้งแต่ท่านยังหนุ่ม แล้วต่อเรื่อยมาท่านยังไม่หาย เห็นท่านเอายาแอสไพรินมาฉัน เข่าท่านเขยกนิดๆ ไม่ปรากฏว่าหายนะ คือมีแต่เรื่อยๆ มา จนกระทั่งเพิ่มมาจนบัดนี้นะ ไม่หายโรคนะ ท่านเป็นมาก่อนหน้าไปอยู่บ้านโคกนามนเสียอีก ท่านเป็นมากี่ปีแล้วไม่หายนะ แต่เวลาท่านไปนั่นพรรษาได้ห้าเนี่ย ท่านเป็นอันนี้แล้วเนี่ย

    ท่านเป็นผู้สร้างวัดบ้านสถานีกสิกรรม ตำบลพริ้วให้เรานะ เราไม่ลืมคุณท่านนะท่านเองแหละไปนิมนต์เรา ตอนนั้นเราอยู่ยางระหงกับโยมแม่ เอาโยมแม่ไปภาวนาพอ... แล้วก็พาโยมแม่ลงมาจันทบุรี เพราะให้ห่างจากอารมณ์ลูกๆ หลานๆ เราพาหนีเลย พอบวชเสร็จแล้วก็พาหนีมา เข้าไปอยู่ยางระหง ที่นั่นมันไม่มีบ้านคนนะ แต่ก่อนดงจริง ๆ ไปพักสบาย ๆ นะ แต่อาจารย์เจี๊ยะนี่ท่านเข้าไปเองเลยนะไปนิมนต์เรา ไปนิมนต์เราที่บ้านยางระหงให้มาสร้างวัดที่สถานีทดลอง ท่านบอกว่า พี่สาวเจ๊ลุ้ย คุณรัตน์ ซื้อที่ดินไว้ ๒๖ ไร่ ๓ งาน ๕๓ ตารางวา เป็นจำนวนเงิน ๑๕,๐๐๐ เงินหมื่นห้าพันแต่ก่อนแพงมากนะ ซื้อไว้หมื่นห้าพัน ท่านมานิมนต์เราให้ไปสร้างวัดที่นั่น ก็พอเหมาะพอดีท่านว่าอย่างนั้น ท่านอาจารย์ก็มีโยมแม่มาด้วย สถานที่นั่นก็กว้างพอสมควรเลยแหละ เราออกจากบ้านยางระหงไปเฉพาะกับท่าน ไปค้างที่บ้านเจ๊ลุ้ยพี่สาวท่าน เขามีโรงน้ำตาลเล็กๆ อยู่ บ้านเขาก็อยู่ห่าง ๆ ล่ะ มันสงัด พูดคำไหนมันก็ได้ยินหมดชัดเจน ไปพักอยู่โรงน้ำตาลกับท่านอาจารย์เจี๊ยะ พักอยู่ด้วยกัน มีแคร่ เขาเอาเตียงไปให้พักคืนเดียวเนี่ย นั่นล่ะตกลงกันเสร็จที่จะได้สร้างวัดนะ

    พอเริ่มสร้างวัดนะ แล้วสมชื่อสมนามว่าท่านนิมนต์เราไปอยู่ บอกพี่สาวท่านอยากถวายที่ให้พระกรรมฐานว่าอย่างนั้น พอเรารับคำว่าจะอยู่แล้ว ท่านสั่งหมดเลยนะ เพราะคนแถวหนองบัวนี่เป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น ท่านสั่งเลย โยมนี้หลังหนึ่ง โยมนั้นหลังหนึ่ง โยมนั้นหลังหนึ่ง สั่งเลย

    เขาก็มาต่างคนต่างมาทำของเขา ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เราไปพักอยู่ยางระหง เขาก็ทำของเขาไม่มาเกี่ยวข้องอะไร พอทำเสร็จแล้วท่านไปนิมนต์เรามา มาที่มาอยู่เลย ท่านจัดทั้งนั้นนะ เราไม่ได้จัด

    <TABLE id=table12 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=3>
    กุฏิของหลวงปู่เจี๊ยะที่วัดเขาแก้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นคุณของท่าน ยังไม่ลืมนะ คุณนี่รู้สึกว่าลึกซึ้งมาก นี่อาจารย์เจี๊ยะล่ะที่นิมนต์เรามาและสร้างวัดทั้งหมดให้เราอยู่ เราไม่ได้ยุ่งอะไรเลยนะ ไม่มีอะไรที่เราจะเกี่ยวข้องกับญาติโยมเรื่องของท่านสั่งทีเดียวงุบๆ หมดเลย ศาลาเราบอกแล้วให้พออยู่เท่านั้นอย่าให้หรูหราเป็นล้าน เท่านั้นแหละนะเราก็บอก ท่านก็ทำอย่างนั้น กุฏิสูงแค่นี้ แค่นี้เราบอกไว้หมดไม่ให้สูง แค่นี้ลงปั๊บขึ้นปั๊บแล้วแอ้มด้วยจาก มุงด้วยจาก พระติดไปกับเราคราวนั้นตั้งสิบเอ็ดสิบสององค์ล่ะนะ ท่านเพ็ง ท่านเพียรท่านสิงห์ทอง ที่จำได้นะ รวมแล้วตั้งสิบสององค์ไปจำพรรษาที่นั่น เราไม่ได้ขวนขวายแม้แต่หน่อยหนึ่งเลยนะ ท่านจัดการท่านสั่งเสียหมด เพราะแถวนั้นเป็นโยมลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น

    ท่านก็บอกเลยว่านี่ ท่านเป็นคนไปนิมนต์เรามานะ ท่านเอาอย่างนั้นนะ ต้องทำให้ดีๆ นะ ท่านก็ว่าอย่างให้โป้งป้างๆ ของท่านนั่นแหละ (หัวเราะ) เราก็มาอยู่จำพรรษาที่นั่นแหละ

    ท่านเป็นนิสัยตรงไปตรงมาอาจารย์เจี๊ยะนะ เรารู้จักนิสัยท่านดี พ่อแม่ครูอาจารย์นี่เมตตาท่านมากนะ ไม่ใช่เล่นๆ นะ ดูประหนึ่งว่าเหมือนพ่อกับลูกเลย เราดูนะ ท่านทำอะไรกิริยาภายนอกท่านโผงผาง บ๊งเบ๊งนะ แต่เวลาให้ท่านทำอะไรไม่มีใครละเอียดยิ่งกว่าท่าน ทุกอย่างละเอียดหมดเลย ท่านทำ แม้แต่นั่งอยู่กับเราอย่างนี้นะ เห็นเศษด้ายอะไร เขาเรียกไหมเย็บนะ ท่านนั่งอยู่นั่นปุ๊บปั๊บ! เข้ามาจับผ้าเนี่ย

    เราก็ถามท่านว่า “อะไร มันเรื่องอะไรวะ”

    อาจารย์เจี๊ยะก็ตอบว่า “อาจารย์...มันอะไรน่ารังเกียจ” จับดึงปั๊บออกให้เรา ท่านละเอียดจริง ๆ ท่านจัดบริขารของหลวงปู่มั่นใครไปแตะไม่ได้นะ ละเอียดขนาดนั้น บริขารของหลวงปู่มั่นเรียบวุธ ท่านจัดพอดีเลยเรียบ บาตรทุกสิ่งท่านทำหมดเลย ใครก็ไม่เข้าไปยุ่งท่านล่ะ ความละเอียดของท่าทางในท่านละเอียดมากนะ กิริยาภายนอกบ๊งเบ๊ง ๆ ก็จริง แต่ภายในท่านละเอียดมาก ทำอะไรโอ๊ย... ทำ ทำละเอียดลออ ทราบว่าท่านเคยทำทองมาก่อน การทำทองมันต้องใช้ความละเอียด สังเกตไฟอะไรๆ นะ พวกทอง ท่านเคยทำทองมาก่อน

    ท่านบอกตรงๆ เลย ท่านพูดต่อหน้าเราเลยนะ เพราะท่านเป็นนิสัยอย่างนั้น ผมกลัวอยู่สององค์เท่านั้น ท่านว่าอย่างนั้นนะ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นหนึ่งกับท่านอาจารย์ นอกนั้นผมไม่ได้กลัวใคร (หัวเราะ) พูดตรงๆ อย่างนี้นะ นี่ล่ะตอนที่เห็นชัดเจนนะ

    วัดบ้านสถานีกสิกรรม (ปัจจุบันเป็นวัดศรัทธาวราวาส) ตั้งอยู่บ้านสถานีกสิกรรม ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เริ่มสร้างเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ห่างจากตลาดสถานีกสิกรรมไปทางทิศตะวันตก ๑ กิโลเมตร สถานที่ตั้งวัดสะอาดเรียบร้อย ด้วยพื้นที่เป็นดินปนทราย อยู่ในหมู่ยางพาราเป็นป่าละเมาะ ฝนตกก็ไม่ชื้นแฉะ เป็นสถานที่น่าอยู่มาก อากาศไม่อบอ้าว เพราะเป็นป่ามีร่มไม้กำบัง ป่าโปร่ง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกพลิ้ว ประชาชนในย่านนี้เป็นซาวสวนทั้งสิ้น คือประกอบอาชีพทางกสิกรรม เช่น สวนเงาะ สวนทุเรียน ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้รักความสงบ

    ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะได้สร้างถาวรวัตถุถวายท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน คือ

    ๑. ศาลาการเปรียญ สร้างด้วยไม้ ๒ ชั้น ยาว ๑๒ เมตร กว้าง ๘ เมตร
    ๒. กุฏิถาวร ๘ หลัง สร้างด้วยไม้ หลังคามุงกระเบื้อง
    ๓. พระพุทธรูปบูชา และธรรมาสน์เทศน์
    ๔. ตู้เก็บของขนาดใหญ่ ๒ หลัง และ นาฬิกา ๑ เรือน

    ปี ๒๔๙๘ เมื่อท่านอาจารย์มหาบัวไปแล้ว ก็รู้สึกว่าซบเซาเงียบเหงาขาดผู้อบรมสั่งสอน ต่อมาในปี ๒๔๙๙ ท่านอาจารย์เฟื่อง โชติโก เป็นชาวบ้านเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี มาอยู่ต่อเพียงหนึ่งพรรษาท่านก็จากไปอีก
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ธุดงค์เขากระแจะ

    หลวงปู่เจี๊ยะเล่าประวัติต่อไปว่า...

    <TABLE id=table13 width=139 align=right border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    วัดเขากระแจะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ในขณะที่เราอยู่จำพรรษาที่วัดเขาแก้วนั้น เมื่อออกพรรษาปี ๒๕๐๒-๒๕๐๓ เราและพระมหาประสิทธิ์ ได้ออกเที่ยวธุดงค์ที่เขากระแจะ ซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขากระแจะ บ้านคลองขวาง หมู่ที่ ๕ ตำบลแสลง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี อาจารย์เจือ สุภโร ซึ่งเป็นหมู่เพื่อนกันได้มาอยู่ก่อนแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่มีทิวทัศน์สวยงามมาก หลังวัดเป็นภูเขา ชาวบ้านเรียกกันว่าเขากระแจะ สูงประมาณ ๔๐ เส้น ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นรมณียสถานน่าอยู่ ตามริมชายเขามีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มร่มเย็น มีโขดหินสวยเรียงรายเป็นทิวแถว สมัยนั้นไม่มีผู้คนเดินทางเข้าไป สัตว์ป่ายังมีเยอะ เป็นสถานที่เก่าที่พระกรรมฐานเคยมาพักอาศัยอยู่ เป็นสถานที่เป็นมงคลในการภาวนา พระรูปใดเข้าไปอยู่ไม่ภาวนา ทุศีล ต้องมีอันเป็นไปทุกราย บางรูปก็ผูกคอตายบนต้นไม้บริเวณเชิงเขา

    ในคราวที่เรามาภาวนาอยู่นั้น มีช้างเสือเต็มไปหมด มันเดินผ่านมาทางเขากระแจะนี้ ไปทะลุเขาแกลง เขาจะปรง เขาพระบาท ช้างมันเดินตัดทางเขากระแจะนี่ข้ามไปทางโน้น ข้ามไปอยู่เขาแกลงทางไปกรุงเทพฯโน่น เดินขึ้นไปทางเขาใหญ่โน่น สมัยก่อนเทือกป่าติดต่อกัน ป่ายังเป็นป่า เขายังเป็นเขา ลำธารยังเป็นลำธารอยู่ อาหารการกินมันเยอะ

    ตอนที่เราเข้าไปอยู่ที่เขากระแจะนั้น ช้างมันเดินเหยียบแหลกหมด ในคลองด้านหลังเขา ช่องไหนที่เป็นป่าไผ่ มันจะลงไปหากินเป็นช่องเฉพาะ ตอนเรามาทีแรกๆ เป็นดงใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ๆ

    นอกจากช้างแล้วเสือก็ชุม เวลายกกุฏิที่อยู่อาศัย ต้องยกเสาสูงๆ ไม่งั้นเสร็จ จะเดินทางไปไหนมาไหนต้องไปด้วยเกวียน ถนนหนทางไม่มี ไม่มีเกวียนก็ต้องเดินเท้าเข้ามา เราเดินเท้าเข้ามาพร้อมพระมหาประสิทธิ์ เตชสิทฺโธ วัดจันทนาราม มาภาวนาหาที่สงบอยู่กัน อยู่กับคนเมือง มากเบื่อเรื่องมาก หลายคนหลายเรื่อง หลายจิตหลายใจ ส่วนมากมีแต่ใจยุ่งๆ ทั้งนั้น เขากระแจะเป็นสถานที่สำคัญมากอยู่นะ เรื่องเทวดาที่นี่สำคัญ มีอะไรมาปรากฏให้เห็นบ่อยๆ แต่ถ้าเล่าแล้วจะเป็นการอวดไป

    เรื่องการดุด่าว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่การนำธรรมะบางอย่างมาพูดจนเลยเถิดจะกลาย เป็นความไม่พอดี ท่านพระอาจารย์มั่นท่านว่า

    “เหลือแต่พูด บ่จักบ่อนเบาหนัก เดินบ่ไปตามทาง สิถึกดงเสือฮ้าย”

    ถ้าเราปฏิบัติไม่ดำเนินตามรอยอริยมรรคปฏิปทาแล้ว เพรากิเลสมันเหมือนเสือร้ายที่หลบซ่อน จะกินเราได้ทุกเมื่อเวลาเดินเข้าป่ารกชัฏ การพูดธรรมะก็เช่นเดียวกัน พึงระวัง พูดไปมากๆ บางทีไม่มีคนฟัง คือไม่รู้กาลเทศะ ไม่มีหนักมีเบา มีสันมีคม มีหน้ามือหลังมือ การปฏิบัติก็เช่นกัน ต้องเดินไปตามหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า อย่าปลีกแวะ ไม่งั้นจะเข้ารกเข้าพง ท่านเปรียบเหมือนเสือร้าย ก็คือนรกอเวจี กิเลสตัณหาทั้งหลายนั่นเอง
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี

    กราบฝ่าเท้าหลวงตามหาบัว

    <TABLE width=139 align=right border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    หลวงปู่เจี๊ยะกราบคารวะหลวงตามหาบัว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    หลวงตามหาบัวเล่าเรื่องหลวงปู่เจี๊ยะ เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๕ ที่สวนแสงธรรมว่า

    “อาจารย์เจี๊ยะ...เคยจำพรรษาด้วยกันที่วัดป่าบ้านตาด ไปจำที่บ้านโคกกับหลวงปู่มั่นก็จำพรรษาด้วยกัน มาคราวนี้เลยยังไม่ได้ไปเยี่ยมท่าน ท่านเป็นผู้ป่วย เราควรไปเยี่ยมท่านถึงถูกต้อง ถ้าท่านไม่ป่วย ท่านก็ควรมาเยี่ยมเรา แต่นี่ท่านป่วย เราควรจะไปเยี่ยมท่านนะ

    ท่านเป็นพระดีนะอาจารย์เจี๊ยะ พูดเรื่องภายในเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง คือกิริยาภายนอกท่านไม่น่าดูนะ กิริยาท่านข้างนอก บ๊งเบ๊งๆ อะไรรู้สึกว่ามันไปอีกแบบหนึ่ง ยิ่งกว่าหลวงตาบัวเข้าไปอีก (หัวเราะ) แม้แต่หลวงปู่มั่นก็ยังเถียงกันตาดำตาแดง

    ตอนปี ๒๕๐๕ ท่าน (พระอาจารย์เจี๊ยะ) ไปจำพรรษากับเราที่วัดป่าบ้านตาด นั่นล่ะ เราจะเริ่มปลูกกุฏิหลังนั้นล่ะนะ พวกโยมเขาก็ไปขุดดิน เกลี่ยดินที่จะปลูกฐาน ทีนี้ท่านก็ไปทำอะไร เขาเรียก “คราด” อะไรสำหรับกวาดดินนั่นแหละ ทีนี้ท่านทำไม่รู้จักเวลาล่ะสิ กำลังจะมืดแล้วนี่นา เราเดินจงกรมอยู่ ก็เงียบ เป็นเวลาที่พระท่านเดินจงกรม เสียงปังๆ ขึ้นเลยกลางวัดนี่ เอ๊ะ! มันเสียงใครมาทำอย่างนี้นะ เราก็เดินไปเลยแหละ เดินไปท่านอาจารย์เจี๊ยะ ท่านทำคราดนั้นนะ สำหรับกวาดดินกุฏิเรา ท่านไปทำเอาเวลาไม่ควรล่ะสิ เสียงดังเปรี้ยงๆ ขึ้น ท่ามกลางวัดเงียบๆ นะ เราก็เดินจากทางจงกรมแล้วไปเลย ไปก็ไปเห็นท่านกำลังทำอยู่ เราก็ยืนเลย เอากันทีเดียว

    “ท่านอาจารย์เจี๊ยะ” ว่าอย่างนี้เลยนะ “ถ้าหากว่าท่านอาจารย์ไม่เคยอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มาแล้ว ผมก็จะว่าให้ท่านนะ นี่ท่านเคยอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมาแล้ว ท่านสอนยังไง กิริยายังไร ทำไมท่านถึงมาทำอย่างนี้” พอว่าแล้วก็เดินกลับเลย

    พอตื่นเช้าขึ้นมาท่านอาจารย์เจี๊ยะไปรออยู่ที่บนศาลา ท่านไปนั่งรอตรงที่เรานั่ง พอเรานั่งกราบไหว้พระเสร็จแล้ว เราก็มานั่งพัก ท่านปั๊บเข้ามาเลย มาจับขาเราดึงออกไปนะ

    เราก็พูดว่า “ดึงออกไปทำไมขา วะ”

    อาจารย์เจี๊ยะท่านก็ว่า “โอ๊ย! ผมขอกราบซักหน่อยเถอะ” พอกราบแล้วน้ำตาร่วงต่อหน้าเรานะ

    “แหม! ท่านอาจารย์พูดทำไมถึงถูกต้อง ศัพท์เสียงอะไร ลักษณะเหมือนกับท่านอาจารย์มั่น” ขึ้นถึงศัพท์ถึงเสียงเลยนะ

    “ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกันหมดเลย อู้ย! ผมกราบไหว้เลย เมื่อคืนนี้ผมสลดสังเวช ผมนี้ผิดจริงๆ” นั่นเห็นมั้ย ท่านว่าอย่างนั้นนะ

    เพราะเราก็อ้างว่า “ถ้าท่านไม่อยู่กับท่านอาจารย์มั่นมา ผมก็จะว่าจะสอนท่าน นี่ท่านอยู่มาแล้วนี่ จะให้ผมสอนท่านว่ายังไง” นี่ล่ะท่านทิ้งปั๊วเลยนะ

    เพราะฉะนั้นตอนเช้าถึงมารอกราบ แล้วลากเท้าเราไปเลยนะ ไปกราบกับฝ่าเท้าเลย

    “ผมขอกราบท่านสนิทใจเลยๆ” ทั้งกราบทั้งน้ำตาร่วงเลย

    ท่านว่า “ผมยอมท่านอาจารย์ ดูลักษณะท่าทางไม่ผิดท่านอาจารย์มั่น ผมจับได้หมดเลย ผมเคารพสุดยอด” ฉะนั้นจึงกราบแล้วก็น้ำตาร่วง

    ท่านถึงได้บอกว่า “พระนี่ผมกลัวอยู่สององค์เท่านั้น ท่านอาจารย์ใหญ่กับท่านอาจารย์มั่น นอกนั้นผมไม่กลัวใคร” ว่าอย่างนี้วะ พูดตรงๆ อย่างนี้ ท่านมีนิสัยทำอะไรละเอียดลออมาก เราถึงได้บอกว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ภายนอกท่านกิริยาโผงผางๆ แต่ภายในท่านละเอียดลออ ทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดหมดนะ หลักธรรม หลักวินัยไม่เคลื่อนคลาดเลย เนี่ย ที่เราชมท่านนะ หลักธรรมหลักวินัยไม่เคลื่อนคลาดสะอาดมากทีเดียว อยู่กันมานาน อยู่ทางสกลนครก็อยู่ แล้วท่านก็ไปอยู่กับเราด้วย

    จากนั้นไปพักที่ยางระหงก็ไปมาหาสู่กันตลอด แล้วยิ่งอยู่มาเรื่อยมาอย่างนี้แหละ ว่างั้นเถอะ แม้ที่สุด สร้างวัดสถานีทดลอง ท่านก็สร้างให้หมดเลย เราไม่ได้เกี่ยวข้อง ท่านจัดการให้หมดทุกอย่างเลย
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี

    หลวงปู่ขาวเตือน

    หลวงปู่เจี๊ยะเล่าประวัติว่า...

    เราเคยคุยสนทนาธรรมกับปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล อู่ข้าวนี่เป็นผู้มีคุณธรรมอันสำคัญองค์หนึ่ง เพราะได้รับสมัญญาจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นว่า “เป็นผู้มีคุณธรรมสำคัญ” เรื่องนี้เราเป็นผู้ได้ยินมากับหูเอง เรื่องนี้ท่านพระอาจารย์มั่นท่านพูดเฉพาะเป็นเรื่องภายในหมู่พระฟังเท่านั้นว่า “เออ!...หมู่เอ๊ย! ให้รู้จักท่านขาวไว้ด้วยเน้อ เธอได้พิจารณาของเธอแล้วมาเล่าให้เราฟัง ท่านขาวเป็นพระสำคัญให้จับตาดูให้ดี”

    ท่านพระอาจารย์มั่นท่านพูดถึงใครเพียงเท่านี้มันก็กินหัวใจแล้ว เรา (หลวงปู่เจี๊ยะ) คิดว่า “ปู่ขาวนี้ต้องเป็นพระสำคัญแน่นอน” ตอนนั้นเรายังไม่ทันรู้จักท่าน (ปู่ขาว)

    <TABLE width=109 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ในขณะที่เราได้จำพรรษากับหลวงปู่ขาวที่ถ้ำกลองเพล มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่อยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล ตอนนั้นได้ไปอาสาหลวงปู่ขาวทำอ่างเก็บน้ำ อื่นทำงานกลางวันงานไม่เสร็จ เราจึงลงมาทำในตอนกลางคืนซึ่งเป็นเวลาภาวนาของพระ ส่งเสียงรบกวนไปทั่ววัด เราใช้ฆ้อนปอนด์สะกัดหิน ทุบหิน เสียงดัง เพ้ง...เพ้ง...เพ้ง.

    หลวงปู่ขาวท่านได้ยินก็ถามพระว่า

    “นั่นเสียงใครทำอะไร เสียงดังลั่น”

    “เสียงท่านอาจารย์เจี๊ยะสกัดหิน” พระท่านกราบเรียน

    “ไปเรียกมาซิ ทำงานอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา” องค์หลวงปู่ท่านบ่น ๆ

    เมื่อเราเข้ามาถึงหลวงปู่ขาวท่านจึงพูดขึ้นว่า

    “ท่านเจี้ยะ ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่มั่นไม่ฝากท่านไว้กับผม ผมไล่ท่านหนีแล้วนะ” ด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ ก็ทำให้เราตื้นตันใจถึงท่านพระอาจารย์มั่นยิ่งนัก สาเหตุที่เราต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำทั้งกลางวันทั้งกลางคืนนั้นเพราะต้องการให้งานเสร็จโดยเร็วเพราะว่า ยิ่งยืดเยื้อยิ่งจะก่อความรำคาญแก่พระเณรไปนาน รีบๆ ทำรีบเสร็จน่าจะดีกว่าปล่อยให้คาราคาซัง เมื่อหลวงปู่ขาวท่านเตือน อย่างนั้น เราก็นั่งนิ่งรับโทษ ไม่ได้โต้ตอบแต่ประการ ใด
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระอาจารย์จันทาถามปัญหาหลวงปู่เจี๊ยะ

    พระอาจารย์จันทาถามว่า “หลวงปู่...กิริยาภายนอกของหลวงปู่เป็นอย่างนี้ จะไม่กลัวคนตาหน้าเอาบ้างหรือา”

    พระอาจารย์เจี๊ยะจึงตอบว่า “อันว่ากิริยาภายนอกนั้นจะเป็นอย่างใดก็ตามเถอะ แต่ถ้าหากเรามุ่งมั่นปั้นใจจนเที่ยงดี ก็ยังดีกว่าคนที่กิริยางามแต่ใจไมเที่ยง เพราะนิสัยวาสนาคนเรามันไม่เหมือนกัน เขายังมีคำพูดอยู่มิใช่หรือว่า แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้ เราจึงไม่ไปแข่งวาสนากับใคร เราเป็นอย่างนี้จึงพอใจอย่างนี้ เพราะนิสัยวาสนาเป็นมาอย่างนี้”

    “เป็นยังไงหลวงปู่จิตใจ ในเรื่องการภาวนาจะพ้นทุกข์ได้ไหม” ท่านพระอาจารย์จันทาถามอีก

    พระอาจารย์เจี๊ยะตอบว่า “ผมก็รู้ว่าผมนี่รอดพ้นได้แล้วนะ รอดมันแล้วไม่คืนมาอีกแล้ว เรามาอยู่มาพบพระอาจารย์มั่น ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านกับท่าน ศึกษาอะไรนึกว่าท่านจะไม่รู้ แหม!...รู้หมดทุกอย่างไม่เหลือวิสัย นึกคิดทางใจท่านก็รู้ ถูกผิดท่านก็รู้

    เพราะฉะนั้น ผมเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเอาผิดท่านได้ เอาแค่รู้ถูกทั้งนั้น ดูกิริยามารยาทเรียบร้อยคือพระอาจารย์มั่น เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของใครก็ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามในทางไม่ดีดอก เข้าสู่สังคมก็เรียบร้อยน่าชม น่าเอาเป็นครูเป็นอาจารย์ดี ดูกิริยามารยาททุกอย่างถูกต้องตามพระวินัยดีถูกต้องทุกอย่างดีเลิศประเสริฐไม่มีสิ่งใดผิดพลาด มีแต่เอาถูกทั้งนั้นไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ

    เพราะภาวนาในสมัยนั้นไปอยู่ร่วมกับหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ อุดรฯโนนนิเวศน์ หนองน้ำเค็ม สกลนคร แล้วก็ย้อนกลับไปที่บ้านเกิดจันทบุรี ที่จันทบุรีจึงเป็นที่สำคัญของผม ตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย”

    พระอาจารย์จันทาเรียนถามต่อไปอีกว่า “หลวงปู่เห็นผู้สาวสวยๆ ไม่ชอบบ้างเหรอ ?1 ”

    “โอ! ไม่ชอบมันดอก เบื่อหน่ายมัน ไม่สนใจล่ะ เหม็นตดมัน เดี๋ยวมันสิ ตดให้ดม คำว่า“เจี๊ยะ ๆ ” นี่ ไม่คืนกลับมาดมขี้ ดมตดใครอีก”

    “โลกสามไม่กลับคืนมาแล้วหรือปู่” พระอาจารย์จันทาถามย้ำ

    “เรา...ไปเลยแหละ อยู่ฮีแม่มันทำไมอีกล่ะ คำว่า “เจี๊ยะๆ ”ไม่คืนกลับมาเป็นขี้ข้ากิเลสราคะตัณหาของใครอีกแล้ว มุดทะลวงออกทะเลไปเลย...ว่ะ” พระอาจารย์เจี๊ยะตอบอย่างเด็ดขาด

    “ไม่ขึ้นมาอยู่บนโลกสามนี้กับหมู่เพื่อนทั้งหลายอีกแล้วหรือปู่” พระอาจารย์จันทาถาม

    “สูเอ๊ย...ถ้ายังมีการคืนมาอยู่ มันก็ไม่ใช่พระนิพพานน่ะซิวะ พระนิพพานแปลว่าสถานที่เยี่ยมล้ำเลิศประเสริฐสุด หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี ไม่มีภพชาติสังขารแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงมาอยู่ร่วมกับหลวงปู่ขาว เพราะท่านพูดจริงแนะนำสิ่งที่ดีทุกอย่าง ไม่พูดโกหกหลอกลวงใครทั้งนั้น”

    “ผมจะได้ไหมหลวงปู่ พระนิพพาน” พระอาจารย์จันทาถาม“โอ๊ย! บอกคนอื่นไม่ได้ แล้วแต่ตนเองจะทำได้ ได้เมื่อไหร่ตามแม่มึงแหละ มึงขี้คร้านภาวนา”



    <TABLE width=109 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    หลวงปู่จันทา ถาวโร


    วัดป่าเขาน้อย จ. พิจิตร



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    “โอ๊ย! ก็ว่าหมั่นขยันแล้วนะ...หลวงปู่ แต่แล้วมันก็ไม่ปรากฏรสชาติอะไรเพียงแต่ว่าอยู่ได้ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิลงครั้งเดียว”

    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นคนจุ๊กจั๊ก ทำงานชอบนุ่งผ้าถกเขมรเหน็บเตี่ยว เปิดตูด ทำให้เห็นแก้มก้น สองข้าง พอเราเห็น ท่านก็ว่า “มึงสิดมดากกูบ่... บักห่า”

    “ดากดำ ๆ บ่ดมดอก...ปู่”

    ท่านนุ่งผ้าเหน็บเตี่ยว ถกเขมรทำงานเก่ง เวลาเลิกทำงานอาบน้ำ ฉันน้ำร้อนก็คุยธรรมะ คุยเรื่องธรรมะเก่ง เล่าละเอียดให้ฟังไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เรื่องอะไร สำหรับหลวงปู่เจี๊ยะท่านได้รู้ ได้เห็นแล้ว เราไม่รู้ไม่เห็นธรรมอย่างท่าน คุยกับท่านมันก็ไม่รู้เรื่องกัน

    ปู่เจี๊ยะท่านชอบคุยเรื่องพิจารณากายให้ฟัง คุยถึงครูบาจารย์มั่น ท่านเรียกหลวงปู่มั่นว่า “ครูบาจารย์มั่น” ท่านสอนให้พิจารณากาย กาเยกายานุปัสสีวิหะระติ กายเป็นเพียงที่พึ่งพิงอิงอาศัยของใจเท่านั้น หายใจเข้าออก เข้าพุธ ออกโธ เท่านั้นล่ะท่านว่า

    “เอ้า!...นิมนต์หลวงปู่พูดธรรมะให้ฟังหน่อยเถอะจะได้จำไว้”

    “ร่างกายนี้ เป็นที่พึ่งที่อิงอาศัยของใจ เอาเท่านั้นก็พอไม่ต้องเอามาก จะพูดอย่างละเอียดให้ฟังก็ไม่ได้เพราะมันไม่รู้ด้วยกัน มันต้องรู้ ได้เห็นของจริงทุกอย่าง ไอ้ห่านี่ บักห่านี่” ท่านพูดแต่สำเนียงอย่างนี้เสมอ

    “ไม่อยากได้เมียหรือหลวงปู่” พระอาจารย์จันทาพูดหยอกเล่น



    <TABLE id=table14 width=139 align=right border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    หลวงปู่เจี๊ยะ และพระอาจารย์บุญเพ็ง


    สมัยอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพล



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    “บ่อยากได้ดอก เหม็นฮีมัน”

    “ฮ่วย..ฮีนั่นเป็นบ่อเกิดกำเนิดสงสาร ไปเหม็นของเขาทำไมล่ะ หลวงปู่”

    “ครูบาจารย์มั่นไม่ให้กูดม ดมทำไมของเน่า หลอกลวงให้เวียนเกิด เวียนตาย เวียนบ่หน่ายอยู่ในโลกสาม”

    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเคารพหลวงปู่ขาวดี ท่านว่า “หลวงปู่ขาวเป็นพระอรหันต์นะ ประมาทไม่ได้ ท่านรู้หมด เราคุยกันอยู่ตรงนี้ หลวงปู่ขาวท่านก็รู้ เราเคารพท่านไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน เคารพปู่ขาวเนี่ย”

    ปู่เจี๊ยะท่านก็ดี ฟังแต่ว่าเจี๊ยะ ๆ เถอะ “บักห่า...มึง” พั่นวะ ทำงานนุ่งแต่ถกเขมรผ้าเหน็บหางกะเตี่ยว เปิดแก้มก้น เปิดฮู้ดากเลย นุ่งแต่เพียงผ้าอาบน้ำ พันเป็นเกลียวเข้าร่องตูด ท่านเดินทำงานสบาย วัดถ้ำกองเพลมันกว้าง เวลามีมอเตอร์ไซค์เขามา ท่านก็ขอซ้อนท้ายเขาเฉย

    “คนอื่นเขาจะเห็นตูดแล้ว หลวงปู่”

    “เห็นช่างแม่เถอะ!!! มันอยากได้ให้มันมาเลียเอา”

    “โอ๊ย!...เขาบ่เลียดอก ขี้เดียดวะตูด”

    เราพูดกันกับท่านได้ดี ท่านบ่ฮ้ายบ่ว่าอีหยัง (ไม่ว่าอะไร)

    “บักห่ามึงโง่หลาย มึงสิสึกไปเลียดากเขาอีกเบ๊าะ” (พระอาจารย์เจี๊ยะดุอาจารย์จันทา)

    “ว่าสิ บ่ไปแหล้ว...หลวงปู่ สิไปกับพรหมจรรย์ตลอด ไม่กลับอีกแล้วเป็นอย่างไรก็ไม่กลับ”

    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเคารพปู่ขาว ท่านเรียกหลวงปู่ขาวว่า “ครูบาจารย์ขาว” ครูบาจารย์ขาวท่านเป็นพระอรหันต์นะ ผมนึกประมาทไม่ได้ ท่านรู้เลย ผมจงรักษาตัวให้ดี

    เวลาหลวงปู่เจี๊ยะทำงานอยู่ตามกุฏิ โอ๊ย...นุ่งแต่ผ้าถกเขมรเหน็บเตี่ยวละ อังสะไม่ใส่เลย

    “เอ้า!...ใส่ซะหน่อยไม่ได้หรือปู่ ผ้าอังสะนั่นน่ะ”

    “เอ้อ!...ถอดออกนี่แหละ มันแฮงดี บักห่ามึงอย่ามาถามกูหลาย กูรำคาญ” (หัวเราะ)

    สำหรับหลวงปู่เจี้ยะ คนไม่เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติทุกอย่างอาจเข้าใจได้ว่า “เป็นผีบ้า” เพราะไม่รู้เบื้องหลัง ทั้ง ๆ ที่ท่านได้อยู่และผ่านการปฏิบัติกับครูบาจารย์ที่สำคัญที่สุด คือท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นพระที่ใหญ่ที่สุดและดีเยี่ยมที่สุด

    เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านทำงานเสร็จแล้ว เลิกงานสรงน้ำ แล้วนุ่งสบงครองจีวรพาดผ้าสังฆาฏิเรียบร้อย ดูท่านรูปสวย เดิน ยืน นั่ง กิริยามารยาทอะไรก็เรียบร้อยน่าชม ในเมื่อครองสบงสังฆาจีวรเรียบร้อยแล้ว

    “โอ๊ย!...น่าชมเว้ย... อาจจะได้บุญมากเน๊าะ...หลวงปู่”

    “บ่ได้บุญกูสิบวชดิ บักห่ามึง มึงอย่าถามแปลกหลาย”

    เรากับเพิ่น (ท่าน) ถูกกันดี ว่าถามอะไรท่านก็ไม่ด่าไม่ว่าหรอก พูดกันอยู่ด้วยกันมา หลับตาเข้าก็เห็นอยู่ รูปพรรณสัณฐาน กิริยามารยาท การพูดจา ทุกอย่างรู้ดี มาอยู่ด้วยกันท่านก็พูดจาพาทีเรื่องศีลธรรมความดีงาม ไม่มีอะไรหรอกจะเหลือวิสัยไปจากพระอาจารย์เจี๊ยะได้ เจี๊ยะ ๆ นี่ โอ๊ย!.. เก่ง เวลาทำงานแม้อังสะก็ถอดออกหมดนะ นุ่งแต่ผ้าอาบน้ำถกเขมรกิ้วฮู้ขี้

    “บักห่ามึง! อยากดมดากกูติ” พั่นวะ (หัวเราะ)

    “โอ๊ย! ไม่อยากดมดอกหลวงปู่ มันเหม็นวะ”

    “เหม็นมึงก็ลองดมตี้ ”

    ท่านทำงานตึ้ง ๆ คนเดียว สับหิน บอกท่านว่า “อย่าทำเถอะหลวงปู่”

    “ทำมันสิเป็นหยัง กูภาวนามาจนพอแล้ว”

    “ไม่เป็นประโยชน์ดอก เป็นประโยชน์ดีก็ไม่ว่าหรอก แต่ว่าทำจนเกินควรเสียแล้ว”

    “ควรบ่เคียนอย่ามาพูดเด้อ เดี๋ยวเอาค้อนทุบหัวเด้ บัก...ห่านิ... มึงขี้คร้านมึงไปไหนก็ไปเถอะ มึงคิดว่ากูโลเล”

    ท่านออกจากงานแล้วก็นุ่งผ้าสบง สังฆาฏิ จีวรเรียบร้อยน่าชม
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ด้วยความรักแม่

    สมุดบันทึกประวัติพระอาจารย์เจี้ยะที่วัดเขาแก้วจารึกไว้ว่า...

    พระอาจารย์เจี๊ยะท่านไปรับใช้อุปัฏฐากหลวงปู่ขาวแล้วเป็นเวลา ๒ ปี ท่านกกลับมาจำพรรษาที่วัดเขาแก้ว เนื่องด้วยอาการป่วยเกี่ยวกับโรคในลำไส้ของโยมมารดาที่เป็นเรื้อรังมานานนั้น ทำให้อาการทรงกับทรุดเท่านั้น ในบางคราวที่โยมมารดาอาการทุเลาพอทรงตัวได้ ท่านก็จะนำมาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาแก้ว ท่านเล่าเรื่องโยมมารดาให้ฟังว่า

    เราชวนโยมแม่ให้มาอยู่วัด ตามไปง้อถึงบ้านเลย เราบอกว่า

    “โยมแม่ ให้มาอยู่วัดสักพรรษาซิ”

    โยมแม่บอกว่า “พรรษาหนึ่งไม่ได้หรอก”

    “๒ เดือนได้มั้ย”

    “ไม่ได้ แม่ป่วยไม่ค่อยสบาย”

    “งั้น ๑ เดือนได้มั้ย”

    “ไม่ได้”

    “ถ้าอย่างนั้น เอาเพียง ๑๐ วัน

    โยมแม่ตอบว่า “เออ!...ถ้าอย่างนั้นไปได้”



    <TABLE width=109 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    พระอาจารย์ถวิล จิณฺณธมฺโม


    สหธรรมิกของหลวงปู่เจี๊ยะ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เมื่อโยมแม่ท่านเข้ามาอยู่ที่วัด ท่านออกอ6บายให้โยมแม่ทำกับข้าวถวายทุกวัน แต่เรื่องธรรมะ ระหว่างพระอาจารย์เจี๊ยะกับโยมแม่ไม่ค่อยคุยกัน เพราะโยมแม่ท่านไม่ชอบกิริยาของพระลูกชาย

    บางทีโยมแม่ท่านก็พูดว่า

    “เรียบร้อยหน่อยซิลูก คนเขาจะว่าเอา เราบวชมาแล้ว แม่อายเขา คำว่า ไอ้ควาย... เย็ดแม่งมึง... ไอ้ห่า... ไอ้เหี้ย... ไม่พูดไม่ได้เหรอ...ลูก ยิ่งเวลาอาจารย์ถวิลมาหา ยิ่งพูดจนญาติโยมเขาหนีกันหมด แม่ก็รู้อยู่ว่าเป็นคนคอเดียวกัน พวกเดียววัน บ้านเกิดเดียวกัน แต่แม่กลัวคนเขาจะว่าเอาแม่รู้อยู่ว่ากิริยาท่าทางเป็นอย่างงี้ แต่จิตใจดี ทำกายวาจาให้ดีด้วยไม่ได้หรือ...ลูก?”

    โยมแม่ท่านพูดอย่างนั้น ท่านก็นิ่งไปพักหนึ่ง ท่านก็พูดว่า

    “โยมแม่ นิสัยนี้มันติดมาตั้งแต่ยังไม่เกิดโน่น มิใช่มันเพิ่งจะอุตริมาเป็นเอาตอนเกิดแล้ว จะให้แก้ยังไง ก็มันเป็นมาก่อนเกิด ถ้ามันเป็นหลังเกิด ก็พอแก้ได้อยู่ แต่นิสัยนี้มันติดมาในขันธสันดานเสียแล้ว แก้ไม่ได้หรอก”



    <TABLE width=109 align=right border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    ท่านเจ้าคุณพรหมมุนี



    (วิชภัย ปุญฺญาราโม)

    ในงานศพโยมมารดาของหลวงปู่เจี๊ยะ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เพราะปกตินิสัยโยมแม่ท่านชอบพระเรียบร้อย ส่วนพระอาจารย์เจี๊ยะชอบอิสระ โยมแม่จะไปโต้ตอบสู้อะไร ก็อายแทนลูกละซิ บางทีโยมแม่ของท่านก็อึดอัดจึงบ่นว่า “ลูกกูทำไมเป็นอย่างนี้วะ บวชเรียนแล้วไม่กลัวใครเลย พูดโพล่ง ๆ“

    พระอาจารย์เจี๊ยะท่านเล่าว่า เป็นเพราะนิสัยท่านเป็นอย่างนี้ จึงทำให้สอนโยมแม่ยาก ท่านบอกว่า ท่านไม่เก่งเหมือนท่านพระอาจารย์มหาบัว เอาแม่มาอยู่วัดด้วยได้

    พระอาจารย์เจี๊ยะจึงเล่าต่อว่า “เรานี่นะ รักโยมแม่มากกว่าโยมพ่อ เพราะเรากินนมแม่ โยมแม่อยู่ในใจเราตลอด ตอนเป็นเด็กๆ ทำผิด บางทีโยมแม่เอาแส้ไล่หวด เราก็วิ่งไปหลบอยู่ในคลองน้ำ บางทีแม่ไล่ตี เราก็วิ่งหนีเข้าโรงฝิ่น ไปฟังเขาคุยกันในโรงฝิ่นสนุกดี แต่เราไม่ได้ไปสูบฝิ่น โยมแม่เป็นคนเจ้าระเบียบเรียบร้อย ใจดี โยมแม่รักเรามาก เพราะภายในใจท่านคิดเสมอว่าจักให้เราดำรงวงศ์ตระกูลให้ยั่งยืน ปกครองทรัพย์สมบัติที่ท่านหามาไว้ได้ เมื่อท่านตายไปแล้ว ก็หวังให้เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้”

    <TABLE width=109 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    เคลื่อนศพโยมมารดา



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    โยมแม่มีลูกชาย ๓ คน หวังจะให้ลูกชายทั้งสาม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการงานทุกสิ่ง แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะถึงพวกเราจะเกิดมาในท้องเดียวกันก็ตาม จะให้เสมอเหมือนกันทุกสิ่งย่อมไม่ได้ เพราะแม้แต่ผิวพรรณและความบ่ระพฤติยังแตกต่างกันแล้ว ยิ่งบุญกรรมที่ละเอียดยิ่งแตกต่างกันไปใหญ่ ในบางครั้งเราเป็นเด็กทำความผิด โยมแม่ผู้จับได้ ก็จะสั่งสอนตักเตือนในสิ่งที่ประพฤติผิดไปแล้ว ท่านไม่ทอดทิ้งในเรื่องนั้นๆ จะนำมาสั่งสอนเสมอ

    <TABLE width=109 align=right border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    งานศพโยมมารดาของหลวงปู่เจี๊ยะ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    พ่อแม่นี้ท่านรักเราผู้เป็นลูก ในทำนองเดียวกันกับมือและเท้าของท่านเอง ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยของสกปรก เป็นสิ่งที่ควรชะล้างให้สะอาด ถึงจะสกปรกมากเพียงไร ก็ไม่ควรที่จะตัดมือเท้านั้นทิ้ง เพราะจะทำให้ร่างกายตนเองเจ็บปวดและทรมานมาก พ่อแม่รักลูกส่วนมากท่านก็ทะนุถนอมลูกเหมือถือเท้าของท่านโดยทำนองนี้”

    ในระหว่างที่พระอาจารย์เจี๊ยะพักจำพรรษาที่วัดเขาแก้ว ท่านได้แสดงความเป็นผู้กตัญญูกตเวทีแก่ท่านผู้มีคุณจนสุดความสามารถ ในที่สุดโยมมารดาท่านก็เสียชีวิตอายุ ๙๓ ปี วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๗

    เมื่อโยมมารดาเสียชีวิต ท่านจัดพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ นิมนต์ท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี (วิชมัย ปุญฺญาราโม) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์แสดงธรรม ในงานศพนั้นสหธรรมมิกของท่านคือ พระอาจารย์เฟื่อง โชติโก พระอาจารย์ถวิล จิณฺณธมฺโม มาช่วยเหลือจนตลอดงาน
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

    พระอาจารย์เจี๊ยะปฎิบัติพัฒนาวัดเขาแก้วเจริญรุ่งเรือง สร้างเสนาสนะในวัดเขาแก้วบริบูรณ์ทุกอย่าง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ท่านจึงจัดงานทำบุญฉลองพระอุโบสถ โดยนิมนต์หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมมาเป็นประธาน และพระกรรมฐานทั้งหลายก็มาร่วมงานนั้นเป็นจำนวนมาก เช่น หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอาจารย์ วัน อุตฺตโม พระอาจารย์จวน กุลฺเชฏโฐ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย ฯลฯ

    เมื่อหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม มาพักที่วัดเขาแก้ว ท่านจะสนทนาธรรมกับพระอาจารย์เจี๊ยะเป็นเวลานาน ๆ พระอาจารย์เจี๊ยะเมื่อเจอกับหลวงปู่ตื้อ ก็จะแสดงกิริยานอบน้อมน่ารักยิ่งนัก พูดจาว่า

    “ครับ...ครับ... ครูอาจารย์” ในเวลาพูดก็พนมมือโดยตลอด

    ขณะที่หลวงปู่ตื้อมาพักที่วัดเขาแก้ว มีคนมาถามปัญหาอันชวนน่าขำหลายอย่าง เช่นมีปัญหาที่คนนำมาเขียนถามท่านว่า

    “หลวงปู่ครับ มุตโตทัย มันเกิดที่ไหน? หลวงปู่รู้มั้ย?”

    “เฮ้ย! รู้ ๆ ๆ จากโคราชลงมาทางกรุงเทพฯ นี่มุตโตไทย จากโคราชขึ้นไปทางอุดรฯ ขอนแก่นโน่น เป็นมุตโตลาว” ผู้คนที่นั่งฟังหัวเราะกันใหญ่

    แล้วหลวงปู่ตื้อท่านก็พูดว่า “มีปัญหาอะไรถามมาเลย กูนี่ตอบได้หมด ยิ่งปัญหาเป็นพันๆ ปีก็ยิ่งตอบได้อย่างถนัด”

    “โอ้ ขนาดนั้นเลยหรือหลวงปู่” โยมคนนั้นกล่าวขึ้น นัยน์ตามองหลวงปู่ตื้อเหมือนตุ๊กตา

    “เออ!...สิวะ กูตอบได้หมดปัญหาในโลกนี้ ยิ่งนานเป็นพันปี ยิ่งตอบได้เต็มปากเต็มคำ”

    “ทำไมเป็นอย่างงั้นล่ะปู่”

    “มันนานมาแล้ว ไม่มีคนไปรู้กับกูหรอก ไม่มีคนไปค้นได้ ไอ้คนที่ถามกูมันก็ไม่รู้เรื่องหรอกน่ะ” หลวงปู่ตื้อท่านว่าอย่างนั้นคนก็ยิ่งหัวเราะกันตรึม

    มีโยมคนหนึ่งนั่งใกล้ๆ กับพระอาจารย์เจี๊ยะ พูดกระซิบกับพระอาจารย์เจี๊ยะว่า

    “ถ้าหลวงปู่ตื้ออยู่ หลวงตามหาบัวจะกล้าหยอกเล่นมั้ยครับ?”

    “อู้ย! ไม่กล้าหรอก” พระอาจารย์เจี๊ยะตอบเน้น ๆ ค่อย ๆ แบบซุบซิบ ๆ

    พระอาจารย์เจี๊ยะกับหลวงปู่หลุยท่านจะเป็นห่วงกันมาก วันหนึ่งหลวงปู่หลุยไปกิจนิมนต์ได้เงินมาเป็นแสน เมื่อพระอาจารย์เจี๊ยะทราบก็จะเข้าไปขอเงินมาใช้บ้าง เพราะตอนนั้นท่านจนไม่มีเงิน ในขณะนั้นหลวงปู่หลุยท่านกำลังพูดคุยธรรมะกับพวกญาติโยมอยู่ พอพระอาจารย์เจี๊ยะนั่งลงกราบเท่านั้นแหละ หลวงปู่หลุยก็พูดดักคอขึ้นมาทันทีว่า

    “โอ๊ย! อาจารย์เจี๊ยะนี่ ท่านเป็นลูกเจ๊กลูกจีนนะ อาจารย์เจี๊ยะนี่เก่งมากนะหาเงินเก่ง สร้างศาลา โบสถ์วิหาร กุฎิเต็มวัด มีเงินน่าจะแบ่งกันใช้บ้าง”

    เมื่อหลวงปู่หลุยพูดอย่างนั้นพระอาจารย์เจี๊ยะท่านจึงกราบขอโอกาสออกมา เมื่อออกมา ท่านจึงพูดกับพระว่า “ตายห่าแล้ว... อดเลย หลวงปู่หลุยท่านรู้ ดักคอไว้หมด ไม่ได้ซักบาทเดียว”

    พระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านทราบว่าพระอาจารย์เจี๊ยะชอบหิน ไปเที่ยวที่ไหนเห็นหินสวยๆ ตามป่าตามเขาก็จะพาพระอาจารย์เจี๊ยะไปดู บางทีกำลังนั่งคุยกับญาติโยมอยู่ เมื่อพูดเรื่องหิน ทิ้งญาติโยมไปกันเลย ไม่สนใจ

    พระอาจารย์วัน พระอาจารย์จวน พระอาจารย์สิงห์ทอง เคารพรักพระอาจารย์เจี๊ยะมาก เมื่อมาหาพระอาจารย์เจี๊ยะที่วัดเขาแก้ว จะคุยกันเฮ ๆ ไม่คุยกับใครอื่น เหมือนว่าไม่ได้เจอกันมานมนาน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะพบกันมา

    พระอาจารย์เจี๊ยะท่านอยู่จำพรรษา วัดเขาแก้ว มีนักปฏิบัติธรรมแวะเวียนมาสนทนาธรรมกับท่านเสมอ ส่วนมากจะเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับพระกรรมฐานองค์สำคัญ ๆ เพราะเรื่องพระอาจารย์เจี๊ยะ คนธรรมดาทั่วไปจะไม่ทราบและมองท่านไม่ออก ฉะนั้นคนที่คลุกอยู่วงในเกี่ยวข้องกับพระกรรมฐานจริง ๆ จึงจะรู้เรื่องและเบื้องหลังของท่าน ท่านเป็นพระถ่อมตัวอยู่แบบซอมซ่อ

    มีโยมคนหนึ่งเข้าไปถามพระอาจารย์เจี๊ยะว่า “ท่านอาจารย์ทำประโยชน์ให้พระศาสนาไว้เยอะมากคนแถวนี้เขาทราบมั้ย?”

    “ก็แล้วแต่ใครเขาจะดูซิ เราไปบอกเขาอย่างนั้นไม่ได้หรอก”

    “ท่านอาจารย์อยากให้อนาคตของวัดนี้เป็นอย่างไร”

    “ก็อยู่เงียบ ๆ แบบนี้นะดี”

    “ท่านอาจารย์ เราจะกำหนดรู้มั้ยว่าชาติหน้าเราจะเกิดเป็นอะไร?”

    “ถ้าผู้มีบุญวาสนามาเกิดแล้วได้ฝึกฝนจนบรรลุญาณก็จะรู้ได้ ถ้าไม่มีญาณก็ไม่รู้ บางทีก็รู้เหมือนกันแต่รู้ไม่จริง รู้มีหลายรู้ มีรู้อ่อน รู้แก่ เหมือนเศรษฐีกับคนมีฐานะพอปานกลางมันก็ต่างกัน คนจนลงมาก็ต่างกันอีก ต้องท่านผู้มีญาณเท่านั้นที่จะสามารถกำหนดรู้ได้ว่าเกิดมาชาตินี้ๆ เกิดมาเป็นอะไร ที่พวกเราทั้งหลายเกิดมาแล้วก็ได้รู้กันว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง ก็เพราะบุญอย่างนั้นมันต่างกัน”

    <TABLE id=table15 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    หลวงปู่ตีเหล็กเพื่อทำขวาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    “แล้วทำไม ท่านอาจารย์จึงชอบตีเหล็กนัก” โยมคนนั้นถามขึ้น

    พระอาจารย์เจี๊ยะตอบว่า “ทีแรกเราก็ไปซื้อขวานมา แล้วมันฟันไม่ได้ล่ะซิ ซื้อมาทีไร มาฟันก็ไม่ค่อยมีคม เจ็บใจ เลยเอาแหนบรถสิบล้อมาตีเอ็งเลย ทำไปทำมามันคมกว่าที่เขาขายอีก”

    “แล้วผิดข้อวัตรปฏิบัติมั้ยครับท่านอาจารย์” เขาถามด้วยความสงสัย

    “ไม่ผิดหรอก ตีขวานมันไม่ผิดหรอก ไม่เห็นมีวินัยข้อไหนห้ามพระตีขวาน

    “บางคนเขาว่า ท่านอาจารย์ทำในเรื่องไม่ใช่กิจของสงฆ์”

    “ฮือ!...ทำไมจะไม่ใช่ ? เราเป็นพระสงฆ์ เอามาตีเอง จะไปผิดอะไร ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำบาปกรรมอะไรนี่นา มันจะบาปได้ไง ไม่บาป พระสงฆ์ตีเองกับมือ จะไม่ใช่กิจของสงฆ์ได้ไง”

    “ท่านอาจารย์ตีเพื่อใช้เอง หรือเอาไปให้คนอื่นใช้ล่ะ”

    “ใช้เองก็ได้ ให้คนอื่นเพื่อทำทานก็ได้ฮิ ทำให้มันเป็นประโยชน์ ตีมีดตีขวานด้วย ตีกิเลสความขี้เกียจขี้คร้านออกด้วยก็ยิ่งดี บางทีนำมาพิจารณาก็เป็นธรรมได้เหมือนกัน”
     

แชร์หน้านี้

Loading...