ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค บูรพาจารย์หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ชนะ สิริไพโรจน์, 16 กรกฎาคม 2009.

  1. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    [​IMG]
    *ประวัติ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา*

    [​IMG]


    พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค)

    [​IMG]

    ขอเชิญชมวีดิโอและเสียงธรรมประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    เดือนกรกฏาคม ตรงกับวันเกิดและวันมรณะภาพของหลวงพ่อปาน
    ขอนำประวัติโดยย่อ รวมทั้งวีดีโอและเสียงธรรมจากศูนย์พุทธศรัทธาชุดประวัติหลวงพ่อปาน
    มานำเสนอเพื่อน้อมระลึกในพระคุณอันยิ่งใหญ่
    ที่ท่านมีต่อพระพุทธศาสนา, คณะศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั่วไป
    วันที่ 16 กรกฏาคม 2555 ตรงกับวันคล้ายวันเกิด
    และวันที่ 26 กรกฏาคม 2555 ตรงกับวันคล้ายวันมรณะภาพ


    วัดบางนมโคนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ปรากฏ บางท่านก็ว่ามีในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เดินชื่อวัดนมโค
    ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2310 ในคราวที่ควันแห่งศึกสงครามกำลังรุมล้อมกรุงศรีอยุธยา พม่าข้าศึกได้มาตั้งค่ายหนึ่งขึ้นที่ตำบลสีกุก
    ห่างจากวัดบางนมโค ซึ่งย่านวัดบางนมโคนี้มีการเลี้ยงวัวมากกว่าที่อื่นพม่า ก็ได้ถือโอกาสมากวาดต้อนเอา วัว ควาย
    จากย่านบางนมโคไปเป็นเสบียงเลี้ยงกองทัพ ในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่า บ้านเมืองระส่ำระสาย
    วัดบางนมโค จึงทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา ต่อมาก็ได้มีการซ่อมแซมขึ้นใหม่ ก็ยังมี การเลี้ยงโคกันอยู่อีกมากมาย
    ชาวบ้านจึงเรียกติดปากว่า วัดบางนมโค อาณาเขตของวัดบางนมโค มีเนื้อที่ทั้งหมด 24 ไร่ 21 วา 3 งาน
    ทิศตะวันออกจรดที่ดินเลขที่ 163 ทางสาธารณะประโยชน์
    ทิศตะวันตกจรดที่มีการครอบครองแม่น้ำปลายนา
    ทิศเหนือจดที่ดินเลขที่ 134 มีการครอบครองแม่น้ำเก่าปลายนา
    ทิศใต้จดที่ดินเลขที่ 162, 163, 165 ทางสาธารณะประโยชน์

    ลำดับเจ้าอาวาสวัดบางนมโค
    เจ้าอาวาสวัดบางนมโค จะมีกี่รูปไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด เริ่มจะมีการ
    บันทึกเป็นหลักฐานก็ตั้งแต่
    1. เจ้าอธิการคล้าย
    2. พระอธิการเย็น สุนทรวงษ์ มรณภาพ ปี พ.ศ. 2478
    3. ท่านพระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน) โสนันโท รับตำแหน่งเจ้าอาวาส
    ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 มีโอกาสได้เป็นเจ้าอาวาสได้เพียง 2 ปี ก็มรณภาพลง
    เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2480
    4. พระอธิการเล็ก เกสโร
    5. พระอธิการเจิม เกสโร
    6. พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)
    7. พระอาจารย์อำไพ อุปเสโน
    8. พระครูวิหารกิจจานุยุต (อุไร กิตติสาร) ได้รับการอาราธนามาเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503

    [​IMG]

    [​IMG]
    ประวัติ พระครูวิหารกิจจานุการ
    (หลวงพ่อปาน โสนันโทเถระ)

    ชาติภูมิของหลวงพ่อป่าน ท่านได้ถือกำเนิดที่ย่านวัดบางนมโค เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2418 โยมบิดาชื่อ อาจ โยมมารดาชื่อ อิ่ม
    นามสกุล สุทธาวงศ์ โดยอาชีพทางครองครัว คือ ทำนา สาเหตุที่โยมบิดาขนานนามท่านว่า "ปาน" เนื่องจากท่านมีสัญลักษณ์ ประจำตัว
    คือปานแดงอยู่ที่นิ้วก้อยมือซ้ายตั้งแต่โคนนิ้วถึงปายนิ้วคล้ายปลอกนิ้ว

    หลวงพ่อปานในวัยเด็ก

    พระมหาวีระ ถาวโร หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้เล่าไว้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า "...ท่าน (หลวงพ่อปาน) บอกว่า สมัยท่าน
    เป็นเด็กอายุสัก 3-4 ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้าน หลวงพ่อปาน ท่านเป็นคนบางนมโค และเป็นคนตำบลนั้น ไม่ใช่คนที่อื่น เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่งอยู่สักหน่อย สมัยนั้น เขามีทาสกันที่บ้านท่านก็มีทาส ท่านบอกว่า ท่านวิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านย่าของท่าน ก็ปรากฏว่าย่าของท่านกำลังป่วยหนัก ใกล้จะตาย เวลานั้นก็เห็นจะเป็นเวลาบ่ายสัก 2-3 โมงกว่า ท่านว่าอย่างนั้นโดยประมาณ คนทุกคนเขามาเยี่ยมย่า พ่อแม่ของท่านก็ไป เมื่อคนทุกคนขึ้นไปแล้วท่านบอก เห็นร้องดังๆ บอก แม่แม่ อรหันนะ อรหัน ภาวนาไว้ อรหัน พระอรหัน จะช่วยแม่ ก็ร้องกันเสียงดังๆ ท่านอยู่ใต้ถุน ท่านยืนฟังเขาว่าอรหันกันทำไม พอท่านสงสัยก็ย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือนพอท่านขึ้นไปแล้วก็ปรากฏว่า ผู้อยู่เขาเอาปากกรอกไปที่ข้างหูของคุณย่าท่าน บอกแม่ แม่อรหันนะ อรหัน แต่ว่าพอผู้ใหญ่เขามองเห็นท่านเข้าไป เขาก็ไล่ท่านไปเขาจะหาว่า ไอ้เจ้าเด็กมันรุ่มร่าม ท่านก็เลยไปเล่นใต้ถุนบ้านอื่น
    พอมาถึงตอนเย็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็ป่าวหมู่เทวฤทธิ์คือ เรียกลูกกินข้าวเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้วท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางกลาง สำหรับตัวท่านเองเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานมาให้แล้วเอาแกงเผ็ด ท่านบอกว่า ไอ้แกงฉู่ฉี่แห้ง ท่านชอบ เขาใส่มาให้เรียกว่า ไม่ต้องหยิบกับข้าว กินแบบประเภทข้าวราดแกง เวลาที่ท่านกินเข้าไปแล้วมานั่งนึกว่า กับข้าวมันอร่อยถูกใจ ก็เกิดความชุ่มชื่น พอจิตมันนึกขึ้นได้ว่าเขาบอก อรหัง อรหัง นึกถึงคำว่า อรหัง ขึ้นมาได้ ท่านก็เลยปลื้มใจอย่างไรชอบกล เลยเปล่งวาจาออกมาดังๆ ว่า อรหัง อรหัง ว่า 2- 3 คำ
    ท่านแม่ที่มองตาแป๋วลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ จับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน แล้วร้องตะโกน "เอ้า มึงจะตายโหง ตายห่า
    ก็ตายคนเดียว จะมาว่าอรหังที่นี่ได้รึ? คำว่า อรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่า อรหังที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย" ท่านแปลกใจคิดว่า นี่เราว่าดีๆ นี่แม่ดุเสียงเขียวปัด นี่มันเรื่องอะไรกันในเมื่อถูกแม่ดุอย่างนั้น จะขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียว ก็เลยไม่ว่า พอท่านพูดถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็หัวเราะบอกว่า "คุณแม่ฉันน่ะโง่นะ ไม่ได้ฉลาดหรอก อีตอนใหม่นั้น ตอนฉันมาบวชได้แล้ว อรหังหรือพุทโธนี้ ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ถ้าใครภาวนาคำนี้ได้ตกนรกไม่ได้...แต่ว่าแม่ของฉันนี่ท่านไม่รู้ ก็เป็นโทษเพราะไม่ได้รับการศึกษา แต่ว่าไม่เป็นหรอก ตอนหลังที่ฉันบวชแล้วนี่นะ ฉันกลับใจแม่ของฉันได้ ฉันแนะนำให้ท่านทราบแล้ว เวลาท่านตายท่านก็ยึดพุทธโธ อรหังเป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้ยึดเวลาตาย ฉันให้ท่านว่าทุกวัน....
    สมัยก่อน เมื่อลูกชายมีอายุครบบวช ก็จะทำการอุปสมบท ทางบิดามารดาจะต้องส่งบุตรของตนไปอยู่วัดเพื่อรับการอบรม และท่องขานนาคเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน เป็นอย่างน้อยท่านเองมีความสงสัยในใจว่า เหตุไฉนสตรีเพศจึงดึงดูดบุรุษเพศมากมายนัก ทำให้หลงใหลใฝ่ฝัน ตัวท่านเองก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงมาก่อน จึงคิดว่าจะหาวิธีลองของจริงดูว่าเป็นอย่างไรถ้าดีจริงบวชครบพรรษาจะสึกออกมา ถ้าไม่เป็นจริงตามวิสัยโลกก็จะไม่สึก ที่บ้านของท่านมีคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง เรียกกันว่า ทาส ชื่อว่า พี่เขียว อายุประมาณ 25 ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกันสองคน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา บอกว่าตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ไม่เคยจับเนื้อใคร ท่านคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดียังไงผู้ชายถึงได้อยากกันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ก็สงสัยว่าจะบวชแล้วนี่ ถ้ามันดีจริงแล้วก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็จะไม่สึกละ เมื่อคนว่างก็เข้าไปหา
    พี่เขียว พี่เขียวแกอยู่ในครัวทาส แต่ว่าท่านเรียกพี่ในฐานะที่เขาแก่กว่าตัว ยกมือไหว้บอกว่า "พี่เขียว ขออภัยเถอะ ฉันขอจับเนื้อพี่เขียวดูหน่อยได้ไหมว่า เนื้อผู้หญิงน่ะมันดียังไง เขาถึงชอบกันนัก" พี่เขียวก็แสนดี อนุญาต ท่านก็เลือกจับเนื้อกล้าม เขาเรียกว่า กล้ามเนื้อที่หน้าอก ผู้หญิงนี้มีกล้ามเนื้อพิเศษ อยู่ที่กล้ามเนื้อ 2 กล้ามที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก จับตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน จับๆ แล้วก็มาจับน่อง เอ๊! มันคล้ายกัน บอกพี่เขียวว่านี่มันคล้ายกันนี่ พี่เขียวแกก็บอกว่าเป็นอย่างนั้นมันก็คล้ายกัน แล้วท่าน ก็ถามพี่เขียวว่า ทำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก ดันไปถามผู้หญิงได้ นี่ว่ากันอย่างเราๆนะ แล้วเขาจะตอบอย่างไร เขาก็บอกไม่รู้เหมือนกัน แล้วท่านก็ยกมือไหว้ขอขมาพี่เขียวบอกว่า "ขอโทษ ที่ขอจับเนื้อนี่ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่ามันดีอย่างไร" เมื่อท่านหมดความสงสัยในใจแล้วก็ตกลงใจว่าจะบวช คราวนี้จะไม่ขอสึกหาลาเพศ ก็สมจริงดังที่ท่านตั้งใจทุกประการ

    [​IMG]
    สู่ร่มกาสาวพัสตร์

    หลังจากที่โยมมารดาบิดาได้นำท่านมาฝากไว้กับหลวงปู่คล้าย ให้ฝึกหัดขานนาคให้คล่องแคล่วแล้ว ท่านก็ได้เข้าอุปสมบท
    ณ พัทธสีมา วัดบางนมโค เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม โดยมีหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ
    เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จ้อย วัดบ้านแพ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า
    "โสนันโท"

    หลวงพ่อปานเรียนวิชา

    หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้วหลวงพ่อปานท่านก็ได้ติดตามพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น ด้วยความสนใจใคร่ศึกษา เพราะว่าในสมัยนั้นหลวงพ่อสุ่นท่านเป็นพระที่แก่กล้าทางคาถาอาคมและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อตามไปเล่าเรียนเป็นศิษย์แล้ว หลวงพ่อสุ่นเห็นลักษณะของหลวงพ่อป่านว่ามีลักษณะดี จะได้เป็นครูบาอาจารย์ต่อไป ภายภาคหน้า จึงได้ให้สติหลวงพ่อปานเบื้องต้นในการเบื่อหน่ายกิเสลว่า

    1. อย่าอยากรวย อยากมีลาภได้ ทรัพย์มาแล้วดีใจ ตั้งหน้าสะสมทรัพย์
    2. เป็นอย่างต้นแล้ว เมื่อทรัพย์หมดก็เป็นเหตุให้เสียใจ
    3. อยากมียศฐาบรรดาศักดิ์ ได้ยศมาแล้วปลื้มใจ
    4. เมื่อหมดยศไปแล้วก็เสียใจ
    5. ได้รับคำสรรเสริญแล้วยินดี
    6. เมื่อถูกนินทาก็ไม่พอใจ
    7. มีความสุขความเพลิดเพลินในกามารมณ์
    8. เมื่อมีความทุกข์ก็หวั่นไหวท้อแท้ใจ

    จากเพศฆราวาสมาสู่เพศบรรพชิตแล้วอย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้วไม่ใช่พระ พระต้องรวยด้วยบุญญาบารมี เงินที่ได้มาอย่าติด
    จงทำสาธารณประโยชน์เสียให้สิ้น เหลือกินเหลือใช้แต่พอเลี้ยงอาตมาอย่าหวังในยศ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่รับยศไม่ได้แล้ว
    ก็อย่าเมายศฐาบรรดาศักดิ์ มันเป็นเครื่องถ่วงกิเลส ยศลาภสรรเสริญ ความสุข ในกามารมณ์ มันเป็นตัวกิเลส มันเป็นโลกธรรม
    ต้องตัดออกให้หมด ถ้าพอใจในสี่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่พระ จะพาให้สู่ห้วงนรก จ้องระลึกอยู่เสมอว่า เราบวชเพื่อนิพพาน อย่างที่กล่าวในตอน
    ขออุปสมบทครั้งแรกว่า "นิพพานัสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวังคะ เหตะวา" อันหมายความว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัตร์เพื่อทำให้แจ้ง
    ซึ่งพระนิพพาน

    จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สั่งให้ท่องสวดมนต์ตลอดจนคาถาธาตุทั้งสี่ คือ นะ มะ พะ ทะ ให้ว่า ถอยหลังแล้วเป่า ให้กุญแจหลุด ถ้าเจ้าเป่าหลุดแล้วบอกพ่อ จะให้วิชาต่างๆ ให้หมดไม่ปิดบัง นี่คือการฝึกสมาธิจิตที่หลวงพ่อสุ่นสอนหลวงพ่อปานทางอ้อม คือถ้าจิตไม่มีสมาธิแล้วอย่าหวังเลยว่า ด้วยคาถาเพียงสี่ตัวจะดีกว่าลูกกุญแจได้ หลวงพ่อป่านท่านก็มีความอดทน หมั่นฝึกเป่ากุญแจนานเป็นเดือน เป่าเท่าไหร่ก็ไม่หลุด มาหลุดเอาตอนที่ท่านทำใจสบายเป็นสมาธิ นึกถึงคาถาเป่ากุญแจได้ จึงลุกขึ้นมาเป่ากุญแจ คราวนี้กุญแจหลุดหมด ทดลองกับลูกอื่นๆ ก็หลุด เพิ่มกุญแจขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 40 ดอก แขวนไว้บนราว ก็หลุดหมด แล้วจึงทดลองให้หลวงพ่อสุ่นดูจนพอใจ หลังจากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สอนวิปัสสนาให้แก่หลวงพ่อปาน ตั้งแต่ชั้นต้นจนถึงที่สุด ด้วยความเมตตา ในตอนท้ายว่า เมื่อมีฤทธิ์แล้วอย่าแสดงให้คนอื่นเขาเห็นเป็นการอวดดี จะเป็นโทษตามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ จบจากวิปัสสนาแล้วหลวงพ่อสุ่นยังได้ถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณให้
    ซึ่งหลวงพ่อปานก็ได้อาศัยใช้ช่วยชีวิตผู้ได้รับทุกข์ทรมานให้หายมามากต่อมาก จนท่านได้ชื่อว่าเป็น "พระหมอ" หลวงพ่อสุ่น สอนว่า
    "การเป็นหมอนั้น บังคับไม่ให้คนไม่ตายไม่ได้หมอเป็นเพียงช่วยระงับทุกข์เวทนาเท่านั้น" จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็ถ่ายทอดกสิณต่างๆ
    ให้หลวงพ่อปานจนกระทั่งสิ้นความรู้
    [​IMG]
    หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ จ.พระนครศรีอยุธยา​


    องค์อาจารย์ของหลวงพ่อปาน

    การเรียนวิชาของหลวงพ่อปานนั้น พอจะรวบรวมได้ดังนี้
    เรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานและวิชาแพทย์ จากหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เรียนวิชาปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ดกับพระอาจารย์จีน ด้วยเหตุที่หลวงพ่อสุ่นท่านได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้จนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงแนะนำให้มาเรียนปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ด กับพระอาจารย์จีน จากปากคำของชาวบ้านแถบวัดเจ้าเจ็ด และผู้ที่เคยไปเรียนกับพระอาจารย์จีนได้ให้ปากคำตรงกันว่า พระอาจารย์จีนเป็นคนโมโหร้าย เวลาโมโหแล้วยั้งไม่อยู่ ปากว่ามือถึง ดังนั้น เวลาสอนใคร ถ้าลูกศิษย์ทำไม่ถูกต้องตามใจที่สอนไปแล้ว กลัวว่าจะไปทำร้ายลูกศิษย์เข้า ท่านจึงได้ สร้างกรงใหญ่ขึ้นสำหรับขังตัวท่านเองเวลาสอนหนังสือ โดยให้ลูกศิษย์เป็นคนใส่กุญแจขังแล้วเก็บกุญแจไว้ เวลาสอนหนังสือลูกศิษย์คนใดไม่ตั้งใจเรียนหรือตอบคำถามไม่ถูกต้องทำให้อาจารย์จีน ท่านก็จะโมโหโกรธา
    เอามือจับลูกกรงเหล็กเขย่าจนลูกศิษย์ที่เรียนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอท่านคลายโทสะลงแล้ว ท่านก็กลายเป็น พระอาจารย์จีนรูปเดิม หลวงพ่อปานท่านมีความมานะพยายามเป็นที่ตั้ง ท่านต้องพายเรือมาเรียนหนังสือที่วัดเจ้าเจ็ดทุกวัน เวลาพายเรือไปเรียนท่านก็จะท่องพระปาฏิโมกข์ และบนเรียนที่อาจารย์สอนจนขึ้นใจ พอเวลาเรียน อาจารย์ถามอะไร ก็ตอบได้ถูกต้อง เป็นที่พอใจแก่อาจารย์ยิ่ง ในที่สุดพระอาจารย์จีนก็สิ้นความรู้ที่จะสอนให้ท่านท่านจึงหยุดเรียนและเตรียมตัว สำหรับที่จะหาสำนักเรียนใหม่ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกันต์ตามคำบอกเล่าของพระภิกษุเลี่ยมว่า หลวงพ่อปานได้เรียนรู้วิชามาหลายอย่าง เคยพิมพ์คาถาออกแจกด้วย
    เมื่อเห็นว่าพระอาจารย์จีนไม่มีความรู้ที่จะสอนได้อีกต่อไป ท่านจึงคิดเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ เพราะเป็นแหล่งรวมวิชาต่างๆ ท่านจึงได้ไปเรียนให้โยมมารดาของท่านได้รับทราบว่า จะขอลาไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ เพราะว่าที่นี่หาอาจารย์สอนไม่ได้อีกแล้ว
    โยมมารดาท่านเป็นห่วงว่าท่านเป็นบุตรคนเล็กที่มีอยู่ นอกนั้นออกเรือนไปหมดแล้ว อีกทั้งไม่ญาติโยมทางกรุงเทพฯ จึงขอร้องไม่ให้ไป ท่านจึงลากลับวัดด้วยความเด็ดเดี่ยว ท่านตัดสินใจนำจีวรแพรที่โยมมารดาถวายไว้นำไปขายได้เงินแปดสิบบาท แล้วตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ โดยไม่บอกให้โยมมารดารู้ จะให้รู้ก็กลัวจากลงเรือไปแล้ว จึงเข้าไปกราบนมัสการ หลวงปู่คล้าย(เจ้าอาวาสวัดบางนมโคสมัยนั้น)ว่าจะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ หลวงปู่คล้าย จึงแนะนำให้ไปเรียนกับ พระอาจารย์เจิ่น สำนักวัดสระเกศ โดยมอบเงินช่วยเหลือไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการศึกษาเล่าเรียน ตลอดเวลาท่านจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์เจิ่น ท่านได้พยายามหาความรู้เพิ่มเติม ในด้านคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ ตลอดจนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม ซึ่งต่อมาเมื่อท่านกลับมาวัดบางนมโค ปรากฏว่าท่านเป็นพระธรรมกถึกที่เทศนาได้เพราะจับใจ และดึงดูดศรัทธายิ่งนักนอกจากวัดสระเกศแล้ว ท่านยังได้มาเรียนเพิ่มเติมที่วัดสังเวช และที่อื่น จนมีความรู้ทางด้านแพทย์แผนโบราณแตกฉานอีกด้วย

    [​IMG]
    จากข้อความในหนังสือ อนุสรณ์ครบ 101 ปี หลวงพ่อปาน เขียนไว้ว่า

    "หลวงพ่อปานเคยเล่าให้ฟังว่าระหว่างอยู่ที่วัดสระเกศนั้น อัดคัตมากบิณฑบาตบางครั้งก็พอฉัน บางครั้งก็ไม่พอ ได้แต่ข้าวเปล่าๆ จ้องเด็ดยอดกระถินมาจิ้มน้ำปลา น้ำพริก ฉันแทบทุกวัน แต่ท่านก็อดทน ด้วยรับการอบรมเป็นปฐมมาจากพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ท่านว่าอยู่กรุงเทพฯ 3 ปี ได้ฉันกระยาสารท เพียงครั้งเดียว โดยนางเฟือง คนกรุงเทพฯ นำมาถวาย ได้รับนิมนต์ไปบังสกุลครั้งหนึ่งได้ปัจจัยมาหนึ่งสลึง เจ้าหน้าที่สังฆการีก็มาเก็บเอาไปเสียเลยไม่ได้ใช้ เงินที่ติดตัวไป ท่านก็ใช้จ่ายไปในการศึกษาจนเกือบหมด ท่านเหลือไว้หนึ่งบาท เอาไว้ใช้เมื่อมีความจำเป็นสุดยอดเท่านั้น ด้วยความอดทนของท่าน ในปีสุดท้ายที่ท่านจะกลับวัดบางนมโคนั้นเอง คืนหนึ่งท่านได้ยินเสียงคนเคาะหน้ากุฏิ ท่านเปิดออกไปก็เจอเทวดามาบอกหวยแล้วเขียนให้ดู แล้วย้ำว่าจำได้ไหม ท่านก็ตอบว่าจำได้ ท่านนอนคิดจนนอนไม่หลับ พอรุ่งเช้าแทนที่ท่านจะแทงหวย ท่านกลับเห็นว่า นั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์ตามที่ หลวงพ่อสุ่นได้อบรมไว้ ท่านก็ไม่แทง ปรากฏว่าวันนั้นหวยออกตรงตามที่เทวดาบอกถ้าท่านแทงหวย ก็คงจะรวยหลาย

    ท่านอาจารย์แจง ฆราวาสชาวสวรรคโลก จากบันทึกของท่านฤาษีลิงดำว่า ท่านอาจารย์แจง เป็นฆราวาสสวรรคโลก ได้เดินทางล่องลงมาทางใต้ ถึงวัดบางนมโค มาเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงพ่อปาน จึงได้สอนให้รู้ถึง วิธีการปลุกเสกพระ และวิธีสร้างพระตามตำรา ซึ่งเป็นของพระร่วงเจ้าได้รับการสืบทอดมาจากอาจารย์ซึ่งเขียนไว้ว่า "ข้าพเจ้าได้รักษาตำราของพระอาจารย์ไว้แล้วก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทุกอย่าง วิชาต่างๆ มีผลดีทุกประการ ถ้าบุคคลใดได้พบแล้วจะนำไปใช้ให้บูชาพระอาจารย์ของท่านแต่มิได้ระบุว่าเป็นใคร" ท่านอาจารย์แจงได้นิมนต์หลวงพ่อปานไปในโบสถ์ตามลำพัง เพื่อถ่ายทอดวิชา ซึ่งนอกจากวิชาการปลุกเสกพระ และทำพระแล้ว ยังได้ มหายันต์ เกราะเพชร ซึ่งท่านก็ได้ใช้ยันต์เกราะเพชรนี้สงเคราะห์ผู้คนได้มากมาย

    [​IMG]
    หลวงพ่อเนียม วัดน้อย สุพรรณบุรี​

    หลวงพ่อเนียมวัดน้อย อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน บันทึกโดยท่านฤาษีลิงดำ เขียนไว้ว่า "หลวงพ่อปานนิยมพระกัมมัฏฐาน หมายความว่า สิ่งที่ท่านต้องการที่สุด และปรารถนาที่สุดคือ พระกัมมัฏฐาน เรื่องพระกัมมัฏฐานนี้เป็นชีวิตจิตใจของหลวงพ่อปานจริงๆ ท่านเทิดทูนพระกัมมัฏฐานมาก ทั้งๆ ที่ทรงสมาบัติอยู่แล้ว ความอิ่ม ความเบื่อ ความพอใจในพระกัมมัฏฐานของท่านก็ไม่มี ท่านก็มีความปรารถนาจะเรียนพระกัมมัฏฐานให้มันดีกว่านั้น

    สสสสมัยนั้นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นพิเศษในสมัยนั้นนะ สายอื่นฉันไม่ทราบก็มีหลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี สมัยนั้นเรือยนต์มันก็ไม่มี ถ้าจะไปก็ต้องไปเรือแจว ถ้าไปเรือ แต่ทว่าทางเดินสะดวกกว่าเดินลัดทุ่งลัดนาลัดป่าไป ป่าก็เป็นป่าพงส่วนใหญ่ ท่านก็ใช้วิธีธุดงค์ สมัยนั้นวิธีธุดงค์เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เรียกว่าใกล้ค่ำที่ไหนปักกลดที่นั่น ชาวบ้านเขาเลี้ยงตอนเช้า ฉันอิ่มแล้วก็ไปกัน พระธุดงค์ฉันเวลาเดียว ท่านบอกว่า เวลาที่ถึงวัดน้อยเขาร่ำลือกันว่า หลวงพ่อเนียมนี่เก่งมาก ท่านก็เข้าไปหาหลวงพ่อเนียม เข้าไปหานะไม่รู้จักหลวงพ่อเนียมหรอก ความจริงท่านก็คิดว่าหลวงพ่อเนียมท่านจะเป็นเหมือนหลวงพ่อองค์อื่นๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงมาก นุ่งสบง จีวร เป็นปริมณฑล แล้วก็มักจะนั่งเฉยๆ ดีไม่ดีหลับตาปี๋ ก็หลับขยิบๆ เรียกว่าหลับไม่สนิทล่ะ คือ แกล้งหลับตาทำเคร่ง ที่นี้เวลาหลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียม ก็ไปโดนดีเข้า เข้าไปแล้วเจอะหลวงพ่อเนียมที่ไหน ความจริง หลวงพ่อเนียมก็เดินคว้างๆ อยู่กลางวัดนั่นแหละ มีผ้าอาบน้ำ 1 ผืน ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า ผ้าอาบน้ำฝน สีเหลือง ผ้าอีกผืนแบบเดียวกันคล้องคอเดินไปรอบวัด หลวงพ่อปานก็บอกว่า เมื่อท่านเห็นนะ ก็ไม่รู้หลวงพ่อเนียนเห็นพระแก่ๆ ผอมๆ นุ่งผ้าลอยชายผืนหนึ่งเข้าไปถึงก็กราบๆ หลวงพ่อปานบอกว่า "เกล้ากระผมมาจากเมืองกรุงเก่าขอรับกระผมจะมานมัสการหลวงพ่อ ขอเรียนพระกัมมัฏฐาน" หลวงพ่อเนียมก็ทำท่าเป็นโมโห บอกว่า ไม่มีวิชาอะไรจะสอนพร้อมทั้งกล่าวขับไล่ไสส่งออกจากวัด หลวงพ่อปานก็นั่งทนฟังอยู่ ในที่สุดเห็นท่าจะไม่ได้เรื่องก็เลี้ยวหาพระในวัด ไปขออาศัยนอน แล้วก็ถามว่า พระองค์นั้นน่ะชื่ออะไร พระท่านก็บอกว่า องค์นี้แหละชื่อ หลวงพ่อเนียมล่ะ พอวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อปานก็เข้าไปหา ก็ถูกด่าว่าอีกอย่างหนัก ท่านยืนยันจะเรียนให้ได้ หลวงพ่อเนียม เลยสั่งว่า 2 ทุ่ม ให้นุ่งสบงจีวรคาดสังฆาฎิไปหาในกุฏิ พอตอนกลางคืน หลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ปรากฏว่ารูปร่างท่านผิดไปมาก ผิวดำ ผอมเกร็งแบบเก่า ไม่มีทางนุ่งสบงจีวรพาดสังฆาฏิเหลืองอร่ามผิวกายสมบูรณ์ร่างกายก็สมบูรณ์หน้าตาอิ่มเอิบ รัศมีกายผ่องใส่ สวยบอกไม่ถูก หลวงพ่อปานตรงเข้าไปกราบ 3 ครั้งแล้วก็นั่งมอง ท่านก็นั่งมองยิ้มๆ แล้วท่านก็ถามว่า "แปลกใจรึคุณ" หลวงพ่อปานก็ยกมือนมัสการบอกว่า "แปลกใจขอรับหลวงพ่อรูปร่างไม่เหมือนตอนกลางวัน" ท่านก็บอกว่า "รูปร่างน่ะคุณมันเป็นอนัตตา หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ มันจะอ้วนเราก็ห้ามไม่ได้มันไม่มีอะไรห้ามได้เลยที่คุณ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอนิจจัง เห็นไหม ไปเจอตัวอนิจจังเข้าแล้วซิ" หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนนี้ล่ะเริ่มสอนกัมมัฏฐาน อธิบายไพเราะจับใจฟังง่ายจริงๆ พูดได้ซึ้งใจทุกอย่าง เวลาท่านพูดคล้ายๆ ว่าจะบรรลุพระอรหันตผลไปพร้อมๆ ท่าน ท่านสอนได้ดีมากพอสอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้ไปพักที่กุฏิอีกหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับกุฏิของท่าน แล้วเวลาทำกัมมัฏฐานกลางคืน หลวงพ่อปานวางอารมณ์ผิด ท่านจะร้องบอกไปทันที บอก "คุณปานเอ๊ย คุณปาน นั่นคุณวางอารมณ์ผิดแล้วตั้งอารมณ์เสียใหม่มันถึงจะใช้ได้" นี่หลวงพ่อปานบอกว่า ท่านมีเจโตปริยญาณแจ่มใสมาก ท่านเรียนพระกัมมัฏฐานอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3 เดือน แล้วจึงกลับก่อนหลวงพ่อปานจะกลับ หลวงพ่อเนียมก็บอกว่า "ถ้าข้าตายนะ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เขาแทนข้าได้ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถาม หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน" หลวงพ่อปานได้เรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อช่วงตอนปลายของชีวิต คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ท่านไปเรียนกับ ครูผึ้ง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตอนนั้น ครูผึ้ง เป็นฆาวาส อายุ 99 ปี เพราะได้ข่าวว่าครูผึ้งเป็นคนพิเศษ เวลาขอทานมาขอให้คนละ 1 บาท สมัยนั้นเงิน 1 บาท มีค่ามาก เงิน 100 บาท 200 บาท สามารถสร้างบ้านได้ 2 หลัง มีครัวได้ 1 หลัง เวลาทำบุญแกจะช่วยรายละ 100 บาท ไม่ใช่เงินเล็กน้อย
    เมื่อทราบข่าว หลวงพ่อจึงไปขอเรียนกับแก คาถาปัจเจพุทธเจ้านี้เรียกว่า คาถาแก้จน ท่านได้เรียนมาและพิมพ์แจกเป็นทานแก่สาธุชน
    นำไปปฏิบัติและมีผลดีจบสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้

    กลับมาตุภูมิมาตุภูมิ

    หลังจากที่หลวพ่อปานได้เสร็จสิ้นการเรียนจากกรุงเทพฯ แล้วท่านก็หวนคิดถึงโยมมารดาที่ท่านจากมาถึง 3 ปี จึงเดินทางกลับ
    วัดบางนมโค พร้อมกับความรู้ที่ได้รับมา ท่านได้ระลึกถึงว่า การเล่าเรียนของท่านลำบากมาก จึงอยากจะจัดสอนหนังสือแก่พระภิกษุ
    สามเณรและบุตรธิดาชาวบางนมโค ให้มีความรู้ จึงนิมนต์พระภิกษุเกี้ยว ที่อยู่สำนักเดียวกับท่านมาด้วย เพื่อจัดสอนหนังสือ
    เมื่อมาถึงแล้วท่านก็นำมากราบนมัสการหลวงปูคล้าย และได้ไปหาโยมมารดาให้ได้ชมบุญ

    อุปนิสัยและปฏิปทาของหลวงพ่อปาน

    จากปากคำของผู้ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับท่าน และเรื่องเล่าสืบต่อกันมาพอจะอนุมานได้ดังนี้
    จากบันทึกของท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ บันทึกไว้ว่า "หลวงพ่อปานท่านมีลักษณะของชายชาตรีที่มีผิวพรรณขาวละเอียด ลักษณะสมส่วนเสียงดังกังวานไพเราะมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสชวนให้ศรัทธาปสาทะเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาบ่งบอกถึงความเมตตาปรานีในสัตว์โลกทั้งหลาย ต้อนรับผู้คนที่มาหาไม่เลือกเศรษฐี ผู้ดี ไพร่ ใครไปก็ไต่ถาม ว่ากันว่าถ้าหลวงพ่อพูดจากับผู้ใดแล้วนั้น มักจะจับจิตจับใจที่ใจชั่วมั่วเมามาก็กลับตัว แม้แต่ผู้นับถือคริสต์ศาสนาก็ยังหันมานับถือพระพุทธศาสนา ตลอดเวลาท่านจะไม่แสดงทีท่าว่าเหน็ดเหนื่อยหรือทำให้ผู้ที่มาหาเสื่อมศรัทธาเลย วันหนึ่งๆ จะมีคนมาหา ท่าน เพื่อขอความช่วยเหลือนับเป็นจำนวนร้อยๆ คน ไหนจะให้รดน้ำมนต์ไหนจะต้องพ่น ไหนจะขอยา ไหนจะมาปรึกษาถึงเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ บางคนก็เรียกว่า หลวงพ่อบางคนเรียกว่าหลวงปู่บ้าง เป็นเราๆท่านๆน่ากลัวจะนั่ง ไม่ทน เพราะตั้งแต่เพลจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 4 หรือ 5 ทุ่ม นั่นแหละท่านถึงจะพักผ่อน และเป็นอย่างนี้อยู่ ประจำทุกวัน จนกระทั่งท่านมรณภาพ
    ท่านไม่ยินดียินร้ายในทางโลกธรรมแต่ประการใด คงปฏิบัติธรรมเหมือนพระแก่ๆ รูปหนึ่งที่ไม่ต้องการยศบรรดาศักดิ์หรือชื่อเสียงดีเด่นแต่อย่างใด ท่านคงหวังแต่ทำหน้าที่ให้ความสุขสบายแก่พระสงฆ์และชาวบ้าน ทั่วไปตามกำลังความสามารถเท่านั้น
    ด้วยความไม่ติดอยู่ในยศฐาบรรดาศักดิ์ ท่านจึงได้ปฏิเสธตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่คล้ายเจ้าอาวาสวัดบางนมโครูปก่อนมรณภาพลง ทายกทายิกาพระภิกษุสงฆ์ได้พร้อมใจกันอาราธนาท่าน ขึ้นครองวัดบางนมโคแทน ท่านก็ไม่รับท่านให้เหตุผลว่า
    ท่านหน่ายเสียแล้วจากกิเลสอันจะมาเป็นเครื่องขวางกั้นทางพระนิพพาน กลับแนะนำท่านสมภารเย็น ซึ่งเวลานั้นเป็นพระลูกวัดธรรมดาขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนท่านขอเป็นพระลูกวัดต่อไปอย่างเดิม ด้วยความที่ท่านได้เสริมสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นบางนมโคและสถานที่อื่นๆ มากมาย โดยไม่ได้หวัง จะได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ตอบแทนแม้ว่าจะมีเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง จะมาเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่มากมายก็ตาม ในที่สุดความดีของท่าน ทางฝ่ายบ้านเมืองจึงตอบแทนความเป็นผู้เสียสละของท่านด้วยการมอบถวาย สมณศักดิ์ให้แก่ท่านเป็นที่ "พระครูวิหารกิจจานุการ" ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2474 โดยมี
    1. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ
    2. พระวรวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์ศักดิ์พินิจ
    3. หม่อมเจ้าโฆษิต
    4. หม่อมเจ้านภากาศ
    5. ท้าววรจันทร์

    ข้าราชการและบรรดาสานุศิษย์ของท่านได้นำพัดยศพระราชทานมาให้ท่านถึงที่วัด โดยนำไปมอบให้ท่านในพระอุโบสถ ตามพระบรมราชโองการท่านกลางคณะสงฆ์และชาวบ้านต่างแซ่ซ้องสาธุการกันถ้วนหน้า แต่หลวงพ่อปานเองท่านก็วางเฉยด้วยอุเบกขา และแม้จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นที่พระครูวิหารกิจจานุการแล้ว ท่านเองก็ยังคงเป็นหลวงพ่อปานรูปเดิม ปฏิบัติกิจวัตรอย่างที่แล้วๆ มา แต่ผู้ที่ยินดีที่สุดกลับเป็นบรรดาศิษยานุศิษย์

    หลวงพ่อปานรักษาโรค

    ในเรื่องการรักษาโรคช่วยชีวิตคนของหลวงพ่อปาน เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น ผู้คนต่างแห่กันมาที่วัดจนแน่นขนัด จนไม่มีที่รับรองแขกเพียงพอ วิชาการรักษาโรคและวิชาการบางอย่างที่หลวงพ่อปานสำเร็จและนำมาช่วยเหลือผู้ได้รับทุกข์ เท่าที่เกิดปฏิหาริย์และได้รับการบันทึกไว้มีมากมาย ตัวอย่างเช่น รักษาโรคด้วยน้ำมนต์ โรคที่ท่านรักษาด้วยน้ำมนต์ เรียกว่าโรคภายใน เช่น บางคนถูกของ ถูกคุณ ถูกเขากระทำมา โรคที่เกิดจากกรรมเวร ถูกผีสิง เป็นต้น
    บางครั้งก็ต้องแป้งเสกควบคู่ด้วย ในตอนเพล ขณะที่ท่านพักผ่อนท่านจะทำการเสกน้ำมนต์เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเวลาอาบจะได้สะดวก และท่านได้ใช้เวลาในการอาบนั้นบริกรรมเสกเป่าเฉพาะรายอีกด้วย น้ำมนต์ของท่านนี้ศักดิ์สิทธิ์นักและกรรมวิธีในการรักษาโรคด้วยน้ำมนต์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วยระยะ คือ
    ช่วงแรก ท่านจะเรียกคนไข้มาหาแล้วถามชื่อเสียงเรียงนาม ถามอาการแล้วยื่นหมากให้คำหนึ่ง คาถาที่ใช้ เสกหมากนี้ท่านบอกผู้ใกล้ชิดว่า ใช้ดังนี้จะขลังหรือไม่อยู่ที่จิตของผู้ทำ
    "ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วว่า โสทาย นะโม พุทธายะ ลัมอิทังโล นันโทเทติ ยาทาโลเทตีติ"
    เมื่อคนไข้ได้รับหมากเสกแล้วให้เคี้ยวให้แหลก บ้วนน้ำหมากทิ้งเสียสามที กลืนลงคอไป ให้คนไข้สังเกตุดูว่าหมากนั้นมีรสอะไร แล้วบอกหลวงพ่อปาน จากนั้นก็จะทำการรักษาตามวิธีของท่าน หลวงพ่อปานท่านบอกว่า รสหมากนั้นบอกโรคได้ดังนี้รสเปรี้ยว แสดงว่าต้องเสนียดที่อยู่อาศัย เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมีของต้องห้ามอยู่กับบ้าน เช่น มีไม้ไผ่ผูกส่วนต้นสาวนปลายอยู่ในบ้าน มีตออยู่ใต้ถุนบ้าน ที่เรียกว่า ปลูกเรือนคล่อมตอ หรืออย่างอื่น ต้องจัดการเรื่องนี้ เสียก่อนแล้วจึงรักษาหาย ส่วนมากแล้วหลวงพ่อปานจะใช้ญาณดูแล้วบอกว่ามีอย่างไหนบ้าง ให้แก้เสียก่อน รสหวาน แสดงว่าต้องแรงสินบนอย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้หรือคนในบ้านบนไว้ต้องนึกให้ออกว่า ตนเคยบนบานศาลกล่าวอะไรบ้าง ถ้านึกได้ ผู้ป่วยไข้จะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบูชากลางแจ้ง ขอทำการแก้บนให้ถูกต้องในภายหน้าต่อไป
    เมื่อกลับมาหาท่าน ท่านจะรดน้ำมนต์ให้ รดแล้วจะต้องให้กินหมากเสกอีกว่า หมดสิ้นหรือยัง ถ้าไม่มีรสหวานก็หมดแล้ว ถ้ายังหวานอยู่ก็ต้องนึกดูก็ต้องแก้บนอีก แล้วจึงรักษาหาย รสขม แสดงว่าต้องคุณคนคือถูกของที่มีผู้ใช้เดียรัจฉานวิชานำมาไว้ในตัว เช่น ในท้องมีตะปูบ้าง มีเข็มเย็บผ้าบ้าง ไม้กลัดผูกกาบาทบ้าง ด้ายตราสังข์มัดศพ เปลวหมูบ้าง หนังสัตว์บ้าง ของเหล่านี้จะทำให้คนไข้เจ็บปวดเสียดแทง
    ในร่างกายเป็นที่ทรมานนัก คนไข้ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิง ที่เป็นชายมีน้อย โดยมากพวกนี้มักจะรับจ้างทำร้ายผู้อื่น หรือไม่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ถูกใครก็เจ็บไป ทำร้าย ใครไม่ได้ก็กลับมาเข้าตัวเอง เคยมีแขกผู้หนึ่งถูกของของตัวเอง หลวงพ่อปานท่านแก้ให้แล้วขอสัญญา ให้เลิกอาชีพนี้เสีย คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อท่านจะเสกน้ำมนต์พิเศษใส่กระป๋องน้ำ เพื่อให้คนไข้แช่เท้าทั้งสองข้างไว้ เพื่อเวลารดน้ำมนต์ ของที่อยู่ในตัวจะได้หลุดออกมาทางเท้าอยู่ในกระป๋องน้ำมนต์ มีอาการยันหมาก มึนงงศีรษะเวียนศีรษะ อย่างนี้หลวงพ่อท่านว่า
    ถูกคุณผี คือมีอาการใช้ผีมาเข้าสิง คนไข้นั้นจะสำแดงอาการกิริยาผิดปกติ ถ้าผียังสิงอยู่ จะไม่ยอมกินหมากเสกหลวงพ่อ ต้องใช้อำนาจจิตบังคับให้กิน ถ้าผีแกล้งออกไปชั่วระยะ คนไข้จะยอมกินหมากแล้วมีอาการยันหมาก ผีประเภทนี้ เป็นผีตายโหง ที่มีผู้มีวิชานำวิญญาณมาใช้ทำอันตรายคนทำให้เสียสติเพ้อคลั่ง เสียคน เป็นต้น
    คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อปานท่านจะทำน้ำมนต์พิเศษจากพระดินเผาของท่านเอง ซึ่งท่านมักจะใส่ในกระเป๋าอังสะของท่านอยู่เสมอ เพื่อทำน้ำมนต์ให้คนไข้อาบ และใช้มีดหมอของท่านกดกลางศีรษะ และรดน้ำมนต์คนไข้นั้นเรื่อยไปจนกว่าผีจะออก ถ้าดิ้นรนก็ต้องมีคนมาช่วยจับและรดน้ำมนต์ในระหว่างที่ท่านกดมีดหมอและบริกรรมอยู่ คนไข้ประเภทนี้เมื่อหายแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย และท่านมักจะให้สายสิญจน์มงคล ไว้คล้องคอกันถูกกระทำซ้ำอีก รายที่มีอาการร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่าร้ายแรงมาก ถึงขนาดที่ถูกน้ำมันผีพราย ประเภทนี้
    จะมีอาการป้ำๆ เป๋อๆๆ คุ้มดีคุ้มร้าย ชาวบ้านเรียกว่า ลมเพลมพัด ขาดสติ ปวดศีรษะบ่อยๆ คนไข้ชนิดนี้ท่านจะให้แช่เท้าในกระป๋องด้วย
    เหมือนกับที่ถูกคุณคน เมื่อเวลารดน้ำมนต์นั้น น้ำมันพรายจะซึม ออกมา เป็นฝ้าน้ำมันลอยอยู่ในน้ำให้เห็น หลวงพ่อบอกว่า คนไข้ประเภทนี้หายยาก เพราะว่าน้ำมันซึมอยู่ในร่างกาย ต้องมารักษาบ่อยๆ เป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จนกว่าจะหมดน้ำมันพรายและท่านมักจะสั่งห้ามกินน้ำมันสัตว์ เพราะจะไปเพิ่มน้ำมันให้กับน้ำมันพราย หมากเสกของท่านนี้ ถ้ากินแล้วร้อนลึกเข้าไปในทรวงอก ท่านว่าเป็นโรคฝีในท้อง วัณโรค ประเภทนี้นอกจาก รดน้ำมนต์แล้ว ยังต้องกินยาคุณพระควบไปด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นการขับถ่ายพิษร้าย ออกจากร่างกาย

    รักษาโรคด้วยยาพระพุทธคุณ

    นอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านยังมียาคุณพระพุทธคุณให้กินอีกด้วย ยานี้มีสรรพคุณแก้โรคได้ทุกชนิด แล้วแต่ ชนิดของโรค คือยานี้เป็นยาอธิษฐานของหลวงพ่อปาน นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังเป็นยาที่หลวงพ่อปานให้กิน เวลาท่านรดน้ำมนต์แก้ถูกกระทำไปแล้ว ยาของท่าน ท่านจะบอกกับผู้ใกล้ชิดว่า ตำรับยานี้เป็นของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ องค์อุปัชฌาย์ของท่านมอบให้ท่านเป็นทายาทแทนเมื่อหลวงพ่อสุ่นล่วงลับไปแล้ว

    พระคาถา

    (ว่า "นะโม ฯลฯ " ๓ จบ )
    พระคาถาบทนำ ว่าครั้งเดียว
    พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ
    พระคาถาพระปัจเจกะโพธิ์ ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ จึงจะเกิดผล
    " วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา
    วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มาณี มามะ พุทธัสสะ สวาโหม""

    คาถามหาพิทักษ์
    จิตติ วิตัง นะกรึง คะรัง
    ใช้ภาวนาขณะใส่กุญแจ ปิดหีบ ปิดตู้ ปิดประตูหน้าต่างฯ


    นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ สุวัณณังวา ระชะตังวา ธะนังวา
    พึซังวา อัตถังวา ปัตถังวาเอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อิติมึมา นะมามิหัง
    ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ๓ จบ และตื่นนอนเช้า ๓ จบ
    เป็นการเรียกทรัพย์เรียกลาภ

    พระคาถา ๓ บทนี้ เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หากผู้ใดนำไปใช้จะเกิดโชคลาภมั่งมีเงินทองอย่างมหัศจรรย์

    เชิญอ่านเรื่องประสบการณ์การตายของหลวงพ่อปานได้ที่นี่ครับ
    ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค


    เผยแผ่ประวัติโดย อิทธิปาฏิหาริย์ พระเครื่อง
    http://www.itti-patihan.com

    [​IMG]


    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา


    [​IMG]</O:p>
    <!-- google_ad_section_end -->__________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2012
  2. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +4,559
    สาธุๆ

    ลูกหลานขอกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ยิ่งแล้ว

    ขออนุโมทนาครับ
     
  3. nut5467

    nut5467 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +164
    ขอน้อบนอบในพระคุณของหลวงปู่ปานที่ท่านมีเมตตาต่อลูกหลาน
     
  4. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ลูกขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

    ผลบุญที่ลูกกระทำมาด้วยความบริสุทธิ์ตั้งแต่ต้นชาติจวบจนถึงปัจจุบัน และที่จะกระทำในอนาคต ลูกขอน้อมถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ผู้เป็นครูบาอาจารย์ เพื่อเป็นสังฆบูชา...

    ขอน้อมอนุโมทนาบุญทุกๆ บุญของพระเดชพระคุณหลวงปู่ด้วยเจ้าค่ะ

    Numsai
    fishh_
     
  5. pisut168

    pisut168 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    914
    ค่าพลัง:
    +1,961
    เคยอ่านประวัตฺหลวงพ่อปาน มีตอนหนึ่งที่ท่านสอนให้ภาวนาคาถา4คำแล้วจะเห็นผีได้
    ทุกคนต่างก็ภาวนาและก็เห็นผีได้กันทั้งหมด
    เป็นร้อยๆคนเลยนะครับที่มาลองพิสูจน์ และก็เห็นได้หมดทุกคน
    ผมจึงอยากทราบว่าคาถา4คำนั้นคืออะไร มีใครรู้บ้างครับ
     
  6. orvet49

    orvet49 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +82
    [​IMG][​IMG][​IMG]อนุโมทนา สาธุ[​IMG][​IMG][​IMG]
     
  7. แผ่นฟ้า

    แผ่นฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +428
    แผ่นฟ้า ขอกราบหลวงปู่ปาน เจ้าค่ะ
     
  8. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    โมทนากับท่าน จขกท. เป็นอย่างสูง สำหรับธรรมทานดี ๆ เช่นนี้ค่ะ
     
  9. หงษ์

    หงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +821
    ร่วมอนุโมทนาด้วยค่ะ ตอนนี้ก็สวดบทปัจเจกะโพธิ์ทุกๆวันเลยค่ะก่อนใส่บาตร ก่อนนอน ดีมากๆค่ะ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2009
  10. EakChutidet

    EakChutidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +856
    ขออนุโมทนาสาธุ ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกท่านทุกรูปทุกนาม<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    [​IMG]
    พระครูวิหารกิจจานุการ
    (หลวงพ่อปาน โสนันโทเถระ)
    อนุโมทนาสาธุ
     
  12. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,224
    ค่าพลัง:
    +15,636
    ตอนไปประจำการชายแดนภาคใต้ และชายแดนด้านจันทบุรีและตราด ผมท่องคาถาอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ปาน แคล้วคลาดจาการเหยียบกับระเบิดหลายครั้ง พอเดินข้ามกับระเบิด สายไฟที่ต่อวงจรระเบิด โผล่ขึ้นมาให้ทหารที่เดินตามหลังผมเห็น หรือข้ามกับระเบิด 4 ลูกไม่เหยียบสักลูกเลย และรอดจากการถูกดักซุ่มโจมตี ผมได้เผยแพร่ให้เพื่อนทหารคนอื่นได้นำไปสวดป้องกันตนเอง
     
  13. dharma

    dharma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +984
    ขออนุโมทนาบุญ
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ...สาธุ
     
  14. ปรียารัตน์

    ปรียารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +138
    สาธุขออนุโมทนาหลวงพ่อปานท่านมีเมตตาบารมีลูกขอกราบ;aa2นมัสการเจ้าค่ะ
     
  15. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ เป็นประโยชน์อย่างมากค่ะ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  16. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    Anumothana.....Sathu
     
  17. *~*Sea Anemone*~*

    *~*Sea Anemone*~* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    791
    ค่าพลัง:
    +9,121
    อนุโมทนา สาธุ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวๆ ดีๆ ที่นำมาแบ่งปันกันจ้า
     
  18. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +2,177
    เก็บกระทู้........................
     
  19. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305



    [​IMG]
    หลวงพ่อปานเมื่อเด็ก

    จาก หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน

    มา ฟังกันตอนที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านเป็นผู้ใหญ่ เป็นพระทรงอภิญญา สามารถจะรู้อะไรก็รู้ดี จะทำอะไรทำได้ นี่เรามาฟังกันตอนปลายเหตุนะ ฉันก็เป็นอย่างนั้น เวลาฉันอ่านหนังสือก็เหมือนกันอ่านตอนจบก่อนว่ามันจบตอนไหนแล้วถึงมาอ่านตอน ต้น เวลาฉันเล่าเรื่องหลวงพ่อปาน ฉันก็มาเล่าเรื่องตอนปลายเสียก่อน ตอนที่ท่านธุดงค์นั้นมันตอนปลายเหตุใกล้จะตาย แต่ตอนปลายยังไม่ได้เล่าให้ฟัง ก็บุญตัวด้วย ตายยังไม่เล่านะ ไปเล่าเอาตอนหลัง ทีนี้มาเล่ากันตอนต้นใหม่เถอะ วันหนึ่งฉันจำได้ว่าเป็นวันโกนของอะไรนะ มันเป็นวันแรม ๑๕ ค่ำ วันสารท เอ๊ะ ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ วันโกนนี่ หลวงพ่อปานถือว่าเป็นวันประชุม คือว่าท่านมีหมายกำหนดของท่านไว้ ประกาศพระในคราวเดียวว่า ให้ถือวันโกนทุกวันโกนเป็นวันประชุมใหญ่ พระอะไรจะขาดไม่ได้ ถ้าป่วยก็ต้องแจ้งมา ไม่ว่าพระเล็กพระใหญ่พระกี่พรรษาก็ตาม ถ้าป่วยต้องมีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรมา ผมขอลาการประชุม แล้วก็สั่งกันคราวเดียว วันโกนทุกวันโกนเป็นวันประชุม แต่พวกเราไม่ขาดเพราะขาดไม่ได้ ถ้าหากว่าขาดก็ไม่ได้ฟังของดีของถูกใจ เวลาท่านประชุมก็เริ่มกัน ๒ ทุ่ม ไปเลิกกัน ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม บางทีมีเรื่องคุยกันมากก็ ๖ ทุ่ม แต่ว่าถ้าหากว่าท่านพูดเรื่องสำคัญหมดท่านก็อนุญาตว่า ต่อแต่นี้ไปใครจะคุยกับฉันก็คุย ใครไม่อยากคุยอยากจะนอนมีธุระที่ไหนก็ไป ถ้าอยากจะคุยกับฉันก็อยู่คุยกับฉัน นี่เป็นกรณีพิเศษ พอท่านสั่งงาน เสร็จประชุมแล้ว ท่านก็แนะนำสั่งสอน พร่ำสอนเสร็จ แต่คำสอนของท่านก็ไม่ผิดละ เรื่องศีลธรรมและวินัยไม่ผิด รู้สึกว่ามีอาการเครียดอยู่มาก การปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา และในสำนักของท่าน พระที่ไม่เอาถ่านก็เยอะ อย่าเข้าใจว่าดีทุกองค์นะ พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี่ แม้แต่ในสมัยของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน วินัยปรากฎว่ามีตั้งหลายร้อยข้อก็เพราะความชั่วที่พระทำขึ้น ถ้ายังไม่มีใครทำความชั่วเพียงใด พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ประกาศพระวินัย ไม่ประกาศเป็นกฎบังคับ แต่กฎบังคับแต่ละข้อ ๆ ที่มันปรากฎตั้ง 200 กว่าข้อ นี่แสดงว่าหลวงพี่สมัยนั้นแกก็ทำความเลวตั้ง ๒๐๐ กว่าข้อเหมือนกัน นี่แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้ายังเป็นอย่างนั้น แล้วสมัยของหลวงพ่อปานอย่าไปคิดนะว่าพระจะดีทุกองค์ พระประเภทที่ต่ำกว่าดีก็มาก แต่ว่าท่านแบ่งประเภทของพระไว้ ท่านแบ่งไว้ว่าพระองค์ไหนขี้เกียจเจริญพระกรรมฐาน พระพวกนี้อยู่กองโยธาธิการทำงานก่อสร้าง องค์ไหนขยันเรียนหนังสือ ขยันเจริญกรรมฐาน พระประเภทนี้ไม่เรียกทำงาน ใครจะสมัครไปทำก็ได้ ถ้ามีงานเกี่ยวกับหนังสือท่านก็เรียกใช้ นี่เป็นปฏิปทาของท่าน ถ้าพระอะไรก็ตาม เป็นพระประเภทไม่เอาถ่าน อยู่ไม่ได้นาน ขี้เกียจ นอนกินอืด แล้วก็เป็นนักเบ่งแต่งตัวสวย ๆ อย่างนี้ไม่มีหวัง อยู่สำนักนั้นไม่ได้นาน ถูกขับ ไม่ใช่ว่าท่านจะมายิ้มกับคนดีคนชั่วทุกอย่างนั้น เป็นอันว่าทราบกันแล้วนะ ว่าพระของท่านไม่ใช่ว่าดีเสมอไป ที่เลวก็มี ที่ท่านด่าพระของท่าน ทีนี้พระของหลวงพ่อปานเป็นพระประเภทนั้น ท่านด่าของท่านด่าดี เวลาท่านจะรู้พระดีพระชั่ว ท่านย่องไปฟังตามหลังกุฏิ ใต้ถุนกุฏิ บางทีท่านก็นั่งที่หลังกุฏิของท่านก็มีเทวดาบ้าง มีพระบ้างบอกท่าน คำว่าพระ ไม่ใช่พระคน พระผี ใครทำอะไรไม่ดีตรงไหนถูกฟ้อง มีนางตะเคียนอยู่ ๒ ต้น คอยฟ้องท่านเสมอ อันนี้ ฉันก็เคยถูกนางตะเคียนฟ้องเหมือนกัน ถ้าทำไม่ดีไม่ได้ คนนี้แกเคร่งมาก ถ้าใครไม่ดีไม่ช้าถูกขับ วิธีด่าพระ ท่านใช้ความเป็นคนแก่ของท่านเป็นเครื่องมือด่าพระ หมายความว่าท่านไปที่วัดนู้น วัดทางเหนือก็ตาม วัดทางใต้ก็ตาม ท่านไปเห็นพระร้องเพลง พระทำไม่ดี แต่ว่าตาของท่านไม่ดี ท่านอ่านไม่ออกว่าวัดอะไร นี่เรียกว่าท่านเอาความแก่ของท่านมาสู้ เอาความแก่เข้ามาชนเอา แล้วท่านก็ใช้วิธีด่า จะเล่าให้ฟังวิธีด่าพระ


     
  20. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]

    อภิวาท วันทา
    อนุโมทนา สาธุ...สาธุ...สาธุ...
    อนุโมทามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...