ประสบการณ์กรรมฐานเมตตาใหญ่-กรรมฐานกับดวงจิตวิสาขบูชา66น.91-ยันต์คนมนต์พระกาฬ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ransang, 6 มิถุนายน 2011.

  1. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
  2. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ***** จำเป็นไหม ต้องเดินจงกรมและนั่งสมาธิ *****

    ขอสาธุคุณยามเย็น

    มีน้องๆถามมาถึงการปฏิบัติ

    << น้องเขาถามว่า...ได้ไปพบคำชี้ที่บอกว่า ไม่ต้องนั่งสมาธิ ไม่ต้องเดินจงกรม
    เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่หนทางแห่งการบรรลุธรรม มันเป็นการเพิ่มอัตตา ให้หยุดคิด อยู่เฉยๆและว่าง

    พระอาจารย์ช่วยอธิบายหน่อย

    >> พระอาจารย์: ก็ไม่รู้ว่าใครไปชี้เขาเช่นนี้ และที่ชี้เช่นนั้น มุ่งหมายไปที่กาลและประเด็นใด

    แต่หากแยกออกมาอย่างชัดๆ มันก็มีความหมายอย่างที่เขาว่านั่นแหละ

    แต่มันต้องขยายด้วยว่า เขาชี้มาเช่นนี้ เขาชี้เล็งไปยังความหมายแห่งกาลใด

    เพราะทั้งนั่งสมาธิ และเดินจงกรม มันไม่ใช่หนทางแห่งการบรรลุธรรมอะไรอยู่แล้ว
    ลัทธิอื่นๆเขาก็ทำกัน และทำเข้มข้นกว่าที่เราๆทำกันซะอีก

    พวกเขาก็ใช่ว่าจะบรรลุธรรมอะไร แต่ถ้าชี้ด้วยความไม่เข้าใจ มันก็เป็นการชี้ที่โต่งไปอีกข้างได้เช่นกัน

    เราเคยซื้อมะพร้าวมาแกงกะทิไหม

    เราเอาเนื้อมะพร้าวมาคั้นกะทิเพื่อเอาไปแกงใช่ไหม

    เราเอาเปลือก เอากาบ เอากะลา เอาเนื้อ มาแกงกินได้ไหม

    ทำไมต้องเอาแค่กะทิที่มันซ่อนตัวอยู่ในเนื้อ

    เนื้อที่ซ่อนตัวอยู่ในกะลา

    กะลาที่ซ่อนตัวอยู่ในกาบ

    กาบที่ซ่อนตัวอยู่ในเปลือก

    นี่..เราเอาแค่กะทิใช่ไหม

    เมื่อเราเอาแต่กะทิ แล้วเราซื้อเปลือก กาบ กะลา เนื้อ ที่เราไม่ได้ต้องการนำมาแกงกันทำไม อย่างนี้โง่ไหม..!!!

    ในเมื่อมันไม่มีประโยช์อะไรในการแกงกระทิ เพื่อบรรลุผลแห่งความอร่อยลิ้นของเราเลย

    การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ มันก็เป็นเปลือกอย่างหนึ่งเหมือนกันที่มันห่อหุ้มและรักษาผล

    เปลือกเหล่านี้ เราไม่ได้เอามาเป็นประโยชน์อะไรหรอก ดูเหมือนไม่มีประโยชน์

    แต่มันเป็นตัวรักษาผล ผลที่อาศัยเปลือกย่อมเติบใหญ่ ปลอดภัย และอยู่ได้นาน
    มันเป็นเครื่องอยู่แห่งผล มันจำเป็นต้องมีเปลือกห่อหุ้มรักษาเนื้อเยื่อมัน

    เราเอาผลข้างในที่สุกหอมหวานอยู่ในเปลือก

    ไม่ใช่เอาเปลือกที่เป็นขยะไว้ห่อหุ้มผล มาเป็นประโยชน์ที่เราเล็งหมาย

    การเดินจงกรมและนั่งสมาธิไม่ใช่เป็นตัวบรรลุมรรคผลนั่นน่ะถูก

    แต่มันเป็นเปลือกห่อหุ้มรักษามรรคผลที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน

    เรา..แสวงหามรรคผล ไม่ได้แสวงหาเปลือก

    แต่เรา..จำเป็นต้องอาศัยเปลือก เพื่อแกะมรรคผลออกมาให้เราได้ลิ้มชิมรสด้วยเช่นกัน

    หลายท่านบรรลุมรรคผลโดยที่ไม่ต้องนั่งสมาธิ และเดินจงกรม

    นี่..เพราะมีผู้แกะเปลือกให้หลายท่านเหล่านั้น ได้แดกมรรคผลเป็นที่เรียบร้อย

    เมื่อเข้าถึงมรรคผล ท่านเหล่านั้นก็เอาเปลือกเหล่านี้แหละ มาห่อหุ้มรักษาผลอีก
    จะน้อยจะมาก ท่านก็ต้องอาศัยเปลือก

    ถ้าไม่มีเปลือก ตราบใดที่ยังมีอัตภาพ การผัสสะย่อมเกิดและปรุงแต่งเสมอ ผู้รู้จักโลก ย่อมต้องสร้างเปลือกมาไว้รักษาใจ

    ใจที่ไร้เปลือก เนื้อเยื่อภายใน ย่อมเสื่อมสลายเร็วไว เพราะธรรมชาติของใจ มันย่อมไหลและปรุงแต่งไปตามผัสสะ

    นี่..เป็นธรรมชาติแห่งสังขาร

    บุรุษผู้เข้าใจธรรมชาติแห่งสังขารย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องอาศัยเปลือกเหล่านี้ มาเป็นเครื่องห่อหุ้มและรักษา

    ผลใดที่ไร้เปลือกห่อหุ้ม ผลนั้นย่อมไม่คงทนและตั้งอยู่ไม่นาน

    การเดินจงกรม และนั่งสมาธิ เป็นเปลือกอย่างหนึ่งที่รักษาใจเจ้าของให้อยู่อย่างมีความสุขและเป็นปกติแห่งเครื่องอยู่วิหารธรรม..!!

    การชี้ธรรมนั้นต้องชี้ให้เห็นทั้งสองฟาก

    ผู้ฟังเป็นผู้เลือกและตัดสินใจด้วยตัวเขาเองในทางที่เขาจะเลือกเดินไปตามภูมิกำลังแห่งปัญญาของเขา

    ผู้ชี้เขาอาจแค่เล็งไปความหมายว่า การนั่งสมาธิและการเดินจงกรม มันเป็นแค่เปลือกที่เราเอามาทำประโยชน์อะไรไม่ได้ก็ได้

    เขาจึงชี้มาอย่างนั้น ซึ่งมันก็เป็นการชี้ที่ยังแคบตีบตันอยู่มาก หากไม่อธิบายให้เห็นผลที่ยังซ่อนตัวอยู่ในเปลือก..!!

    พระธรรมเทศนนาจากบทธรรมเรื่อง ***กำลังใจมีแค่ไหนต้องเอากายเอาใจไปทดสอบ*** ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2558 โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2015
  3. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ***** กำลังใจมีแค่ไหน ต้องเอากายเอาใจไปทดสอบ ****

    ขอสาธุคุณยามเย็นๆ

    ที่นี่อากาศเริ่มเย็น มืดๆนี่ เย็นยะเยือก

    แต่จะเย็นแค่ไหน เราก็ยังมีผ้ามาคลุมมาห่ม

    หนาวเย็นแค่นี้ เป็นเรื่องสบายมาก หากเรากล้าที่จะเผชิญกับมัน

    คนเรามักจะอ่อ่นแอเสมอ ยามต้องเผิชิญกับผัสสะที่ไม่ได้ดั่งใจไม่ชอบใจ

    เราไม่เคยทดสอบอะไรกับใจเราเลยว่ามันแข็งแรงและต้านทาน
    สิ่งใดๆได้มากน้อยแค่ไหน

    เมื่อไม่มีการเอาตนเองเข้าไปทดสอบ เอาแต่มโนและสารพัดที่ จะอ้างโน่นอ้างนี่ เพื่อกิเลสของใจตนเอง

    ความเป็นจริงทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏแก่ใจตนเองว่า ใจตนเองจริงๆแล้ว มันแข็งแรงและอ่อนแอซักแค่ไหน

    คนที่ไม่รู้กำลังใจของตนเอง

    อย่าหวังเลยว่า จะเป็นนกน้อยที่โผบินออกไปสู่ความเป็นอิสระ ด้วยลำพังกำลังของตัวเอง ด้วยความคาดหวังที่จะบิน แต่ไร้เรี่ยวแรงจะทะยานบิน

    สมัยหนึ่ง ข้านี่ได้อาศัยอยู่ในป่า นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ท่ามกลางความมืดมิด

    กลางคืนในป่าทางกาญจน์นี่ มันมืดมิด และหนาวเย็น มันเย็นเสียดแทงเข้าไปฝังในกระดูก

    สมัยนั้นก็ราวๆเดือนนี้แหละ ข้าเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ในป่า

    วันนั้นฝนพรำ.. มันพรำตั้งแต่เย็น ข้านี่นั่งพิงต้นไม้ หลับตาหนาวสั่น

    แต่กำลังสมาธิมันสูง มันข่มเวทนาจากความเย็นทั้งหลายลงได้

    แต่เมื่อไหร่ที่สมาธิคลายตัว มันจะได้ยินเสียงฝนพรำ และเสียงน้ำที่ร่วงพราวลงมาจากยอดไม้

    การปรุงแห่งจิต ก็จะทำให้สะท้านและสั่นขึ้นมา ฟันนี่กระทบกันกึ๊กๆๆ จนระงับไม่ได้

    นี่..เป็นธรรมดาของมัน เมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

    การหลับตากับลืมตา เมื่ออยู่ในป่าใหญ่ มันมีความเสมอกัน
    รอบๆตัวไร้รูปทรงและสีสัน มันมืดมิดเพราะฝนพรำ

    ความหนาวเย็นนี่ มันกินเข้าไปถึงกระดูกทีเดียว เย็นเช่นนี้ มันสามารถกระชากชีวิตออกจากวิถี่จิตได้เลยทีเดียว

    แต่แม้ต้องตาย มันก็เต็มใจและรู้สึกถึงความภูมิใจ ที่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามแนงทางแห่ง พระสัมมา มันไม่กลัวตาย

    แม้จะหนาวเย็น ฝนพรำท่ามกลางความมืดมิดแค่ไหน ใจก็แสนจะตั้งมั่นไม่มีท้อถอยเลย

    สมัยก่อน พระพุทธองค์ ท่านก็ทรงตรากตรำท่ามกลาง
    ความหนาวเย็นเปล่าเปลี่ยว และมืดมิดเช่นนี้เหมือนกัน

    เรามันลูกแม่ค้า แต่พระองค์ท่านเป็นลูกกษัตริย์ ท่านยังทนได้

    ไฉนเลย ลูกแม่ค้าอย่างเรา มันจะทนไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้ ที่ต้องเผชิญ

    มันนั่งไปร้องไห้ไป ท่ามกลางฝนพรำที่มืดมิดและแสนหนาวนั่น

    มันร้องไห้เพราะสงสารพระพุทธองค์เจ้า

    ไม่ใช่ร้องไห้เพราะความหนาวและมืดมิดที่ข้ากำลังเผชิญ

    มันมองเห็นสัจธรรมความจริงที่พระพุทธองค์เจ้าต้องฝ่าฟัน เพื่อให้ได้โมกขธรรม

    6 ปี ที่ยืนหยัดคงทน กว่าจะตรัสรู้ธรรม ท่านคงหนาวเย็นและสาหัสยิ่งกว่านี้หลายเท่านัก

    นี่..กูคืนเดียว กูก็แทบจะตายสุดทนและเห็นชัดถึงทุกขเวทนา
    ที่มันเล่นงานกายนี้ มาอย่างยาวนานตั้งแต่ตอนเย็นๆ

    ท่ามกลางฝนพรำ เสียงกระซิกๆ ร่ำให้ ของความน่าสงสาร
    สังเวชแห่งคุณพระพุทธ มันสะท้านอยู่ในใจ

    มันสะอึกสะอื้นจนแยกไม่ได้ว่าไหนน้ำตา ไหนสายฝน
    มันหนาวเหน็บแสนเย็น จนฟันมันกระทบกันกึกๆๆ

    นี่..เวทนาเหล่านี้ ที่เหลือทนที่พระพุทธองค์ต้องเผชิญมา
    เหมือนกัน

    นี่..มันเห็นชัดอย่างนี้ มันจึงร้องไห้ออกมาท่ามกลางความ
    หนาวเย็นและมืดมิดของสายฝน

    มันไม่ได้ร้องไห้เพราะทุกขเวทนาของตนเอง

    แต่มันร้องไห้ เพราะตนเองเห็นทุกขเวทนาของพระพุทธองค์ ที่ทรงตรากตรำโน่น

    ตรงนี้แหละ ตรงนี้ที่ใครๆต่างมองไม่เห็น ที่มันมองไม่เห็น ก็เพราะต่างเอาตัวเข้าไปเป็น

    แต่ข้านี่เห็นความทุกข์ที่ตนเป็น แต่ไม่ได้สงสารตนที่ตนเป็น

    มันเห็นเป็นทุกข์ที่น่ากลัว ที่พระพุทธองค์ได้ทรงเผชิญ

    มันเกิดความตื้นตันใจอย่างสุดซึ้ง ในความพรากเพียรของ
    มนุษยชาติผู้หนึ่งที่ลำบากตน เพื่อการแสวงหาโมกขธรรม

    มันไม่ใช่ง่ายเลยที่ทรงตรากตรำทำมา มันไม่ใช่ง่ายเลย

    ย้อนมามองพวกปฏิบัติธรรมด้วยมโนและคิดเอา
    เก่งด้วยอัตตาและความทรงจำด้วยความคิดแห่งตัวตน

    แต่ตัวตนเจ้าของ ไม่เคยรู้รสแห่งความทุกข์ที่แสนทุกข์สุดขั้ว
    หัวใจ

    ความทะยานอยากแห่งตัณหาในธรรมทั้งหลาย มันก็เต็มยุ้งข้าว
    แห่งอัตตาตัวตน

    ผลแห่งกำลังใจย่อมมีไม่พอที่จะทะยานออกไป เพื่อหลุดพ้น
    วงโคจรแห่งวัฏฏะ ที่มันไหลวนและวนเวียน

    นี่...เพราะกำลังมันมีไม่พอ และเพราะไม่เคยได้ทดสอบกำลัง
    ความต้านทานแห่งใจตนว่า ใจตนมีความเพียรและกำลังที่
    จะต้านกระแสแห่งผัสสะได้มากน้อยเพียงไร

    ผัสสะเมื่อมันเกิด...เวทนาย่อมเกิด
    เวทนาเกิด...ตัณหาก็ย่อมผุดออกจากใจได้โดยไม่รู้จบเช่นกัน

    เมื่อเรามีกำลังสติต้านไม่พอ มันย่อมไหลไปทางสมุทัย
    ผลทั้งหลายก็เป็นทุกข์ที่ประดังเข้ามาอย่างไม่รู้จบ

    แต่หากมีกำลัง มีสติ มีปัญญาพอ กระแสแห่งเวทนาที่เป็น
    ตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบ ย่อมไหลไปทางมรรค

    ผลก็คือความสงบ ทุเลา เบาบาง จางคลายในทุกข์ทั้งหลาย

    นี่..ผู้มีปัญญาย่อมรู้จัก อะไรคือ อริยสัจ

    อะไรคือทุกข์

    อะไรคือเหตุแห่งทุกข์

    อะไรคือการดับทุกข์

    อะไรคือเหตุแห่งการดับทุกข์

    นี่...บุรุษเช่นนี้ ย่อมมีช่องว่างที่จะพอซุกตัวอยู่ในท่ามกลาง
    แห่งกระแส

    ไม่ว่ากระแสนั้นจะเชี่ยวกราดและโหมรุนแรงแค่ไหน

    เรา...เป็นผู้ทดสอบกำลังใจว่า ใจเรามันเป็นใจที่ต้านกระแส หรือไหลไปตามกระแส ทั้งหลายทั้งปวง

    เรา..เป็นผู้เลือกเดินและทดสอบกำลังใจเรา ด้วยตัวเราเอง

    วันนี้ขอสวัสดี..!!

    พระธรรมเทศนาจากบทธรรมเรื่อง**อ่อนแอ ก็ต้องเป็นทาสพวกฤษีหลอกลวง** ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2558 โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2015
  4. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ***** สร้างบุญสร้างกุศล เป็นเปลือกรักษาเนื้อเยื่อแก่ใจเรา ******

    วันนี้เทไปสามเสา พรุ่งนี้เสาเล็กๆ เด็กๆ อีกสามเสา ไว้ให้เด็กๆ เขาเทกัน 9 เสา

    พรุ่งนี้เรานัดเอาของให้ป่าไม้นะ บางสิ่งบางอย่าง เราคงต้องเสียสละด้วยภาวะของตัวเราเองกัน เพื่อการขับเคลื่อนที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบุญ

    ข้าเองก็ได้แต่บอกแหละ แต่นัดทางโน้นไว้แล้ว ว่าเป็นอาทิตย์นี้ ยังไงก็ เอาอาหารไปส่งก่อน

    พรุ่งนี้ขนทราย 20 ตัน ยังไงก็มาลุยกัน สำหรับคนที่มาได้ เราคงต้องว่ากันไปจนกว่าจะโน่นแหละ ตามเหตุปัจจัย

    เป็นเรื่องยากมากทีเดียว สำหรับการรบที่เป็นศึกใหญ่เช่นนี้ ที่เราจะมีโอกาสได้รบ

    เราสร้างเรารบ ด้วยสองมือของพวกเราเอง สร้างวัตถุ พร้อมใจที่ดำเนินไปตามศรัทธา ที่มาจากหัวใจ เราทั้งหลายต่างเกิดมาต้องมีที่พึ่ง

    การสร้างที่พึ่งขึ้นมา ให้กับหัวใจดวงนี้นั้น มันต้องมีความลงตัวในเหตุปัจจัยหลายต่อหลายอย่าง

    เป็นโอกาสที่ดี ที่เราเกิดมาในพระพุทธศาสนา เราได้มีโอกาสตอบแทนคุณอย่างเต็มคุณค่า ของการที่ได้เกิดมา

    การสร้างองค์พระนั้น ข้าให้ความหมายแค่เปลือก แต่การที่พวกเรา ได้เข้ามาร่วมใจกัน ได้เข้ามาประสานสัมพันธ์กัน ได้หยิบยื่น และมีรอยยิ้มแย้มให้แก่กัน

    ตรงนี้ สำคัญมากกว่าการสร้างองค์พระมากมาย การที่หมู่เราได้ฟังธรรมอันประเสริฐ ได้ถก ได้คิดตาม ธรรมตรงตามความเป็นจริง ทำให้หมู่เรานี้ ได้เกิดปัญญา

    ตรงนี้ซิ สำคัญกว่าการสร้างองค์พระมากมาย อย่างเทียบกันไม่ได้

    การที่เราได้มาร่วมสร้างกันนั้น มันเป็นเหตุปัจจัยให้เราได้ใกล้ชิดกัน ได้ผูกสัมพันธ์ไมตรีต่อกัน ได้ฟังธรรม ได้ข้อคิด ได้สติปัญญา จากการที่เราได้มาเป็นสังคมร่วมกัน

    ข้านี่ เอาตรงนี้ ไม่ได้เอาตรงมาสร้างพระ ให้เสร็จหรือไม่เสร็จ เราเอาการสร้างนี้ เป็นที่ตั้งของหัวใจดวงนี้

    เพื่อเป็นการชดใช้แผ่นดิน เป็นการสร้างเปลือกเพื่อห่อหุ้มเนื้อเยื่อที่กำลังเติบใหญ่ ของสัจธรรม

    ข้านี่ อยู่อย่างพี่ชาย โอบแขนกอดรัด เพื่อเพิ่มไออุ่นแห่งปัญญาให้แก่น้องๆ ข้าทั้งหลาย ให้มันเติบใหญ่และคลายหนาว

    ธรรมทั้งหลายเราเถียงได้ คุยได้ แสดงความเห็นได้ ข้านี่ ไม่เอาธรรมทั้งหลาย ที่ข้าประสบ ไปยัดเยียดให้แก่ใครหน้าไหนทั้งสิ้น

    เราเอาเหตุเอาผลของเราออกมาแย้งได้ อย่างสง่าผ่าเผย อะไรที่ไม่ถูก หรือเรามีสิ่งที่ดีกว่า เราสามารถแสดงออกมา เพื่อแย้งให้ตรงตามความเป็นจริงได้

    ธรรมทั้งหลายนั้น เปรียบเป็นเนื้อเยื่อ ที่อาศัยเปลือกแห่งการสร้างอง์พระ เพื่อมาบรรเทา มาห่อหุ้ม มารักษา

    ที่นี่ เราให้อิสระแก่หัวใจ ในการที่จะทยานบิน ไปตามเส้นทางของใจ ของใครของมันอยู่แล้ว

    การที่เราได้มาร่วมทำร่วมสร้างนี่ เป็นการย้อมใจมีใจเป็นทาน เป็นศีลเป็นกุศล ธรรมอันยิ่งใหญ่ มากมาย ตัดตวงไม่มีวันหมดที่ใหลออกไปจากใจ

    มันอาศัยการสร้างองค์พระนี่แหละ มาเป็นเปลือกเพื่อห่อหุ้มธรรม เรามาร่วมสร้างร่วมทำด้วยความภูมิใจ

    เรามีกำลังแค่ไหน เราสร้างเราทำไปด้วยกำลังและหัวใจของเรา เพียงแค่นั้น

    วันนี้ เรายังมีโอกาส เราก็ควรจะไขว่คว้าหาหนทาง เพื่อสร้างโอกาส ชีวิตนี้นั้นมันไม่แน่ อย่ามัวรอให้แก่ แล้วค่อยว่าง มันจะไม่ทันกาล

    อย่ามัวไปรอบุญ รอเหตุรอผล รอข้ออ้าง หากพอหักห้ามใจได้ เราก็มาลุยและเดินไปบนหนทางเดียวกัน

    วันข้างหน้า เราจะภูมิใจ ที่เราได้ ร่วมมือกันสร้างองค์พระเพื่อแผ่นดิน ร่วมกับข้า ที่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่

    อย่าเลย อย่าไปฮึดกันตอนข้าจากไปแล้ว

    วันใดที่จากไป วันนั้นจะไม่มีใครมาไขข้อสงสัย ที่มันเกิดขึ้นมาจากใจอยู่ร่ำไป โดยไม่รู้จบ

    วันนี้ เปลือกยังมีพอรักษา เรามาช่วยกัน รดน้ำพรวนดินรักษาเปลือกไว้ อย่าได้รอช้า

    หมั่นรดน้ำที่โคน เพื่อหวังผลในกาลตอนปลายข้างหน้า หมั่นรักษากำลังแห่งศรัทธานี้ไว้

    เพื่อผลที่จะพึงได้ ตลอดกาลนาน คืนนี้ขอสวัสดี

    พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ…

    วันนี้เราได้เทปูนแบบเสา เสร็จไปอีก สองต้น

    นี่...กำลังลงมาพัก เดี๋ยวต่อต้นที่สาม

    องค์พระเราเสร็จทุกวัน

    ผู้ที่ได้ร่วมบุญกันมา ขอให้เกิดความภูมิใจเถิด

    เราได้ชดใช้ต่อแผ่นดินและสรรพสิ่ง ที่เราได้ล่วงเกินมา

    เรา..ไม่เป็นหนี้ใครอีกต่อไป

    เรา..ขอสละในการสร้างองค์พระนี้ไว้ เพื่อเป็นการชดใช้แก่แผ่นดิน..!!

    พรุ่งนี้ขนทราย 20 ตัน ใครอยากชดใช้ให้แก่แผ่นดินที่เราเอาเขามา

    ก็มาใช้กาย วาจา ใจ ของเรา ชดใช้ ทยอยคืนให้เขาไป

    ใจเราจะเกิดเป็นสุขขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจเลยเชียว

    การผลัดวันประกันพรุ่ง เป็นเรื่องของคนลังเล ไม่แน่นอน

    เรา..พึงตั้งสัจจะวาจา ทำขึ้นมา อย่าไปอ้างบุญ อ้างเวลา ที่กิเลสมันพอกขึ้นมา

    ชนะใจที่มักพ่ายแพ้กันซะบ้าง

    ไม่ต้องรอคอยบุญ

    เรา...ตัดสินใจของเรา ด้วยใจของเราเอง

    พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง ** มีอภิญญาง่ายต่อการเข้าถึงมรรคผล ** ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บญญพลัง
     
  5. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ความแตกต่าง ระหว่าง ประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนา

    ความแตกต่าง ระหว่าง ประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนา

    ไม่ได้อยู่ที่การไม่เคยเสียเอกราชให้ใคร สามารถดูได้จากประเทศ ญี่ปุ่น เยอรมัน
    แม้จะแพ้สงครามโลกแต่ก็กลับมายิ่งใหญ่ในเศรษฐกิจโลก
    ไม่ได้อยู่ที่ความเก่าแก่ของอารยธรรมของประเทศนั้นๆสามารถดูได้จากประเทศ อินเดีย อียิปต์ซึ่งมีอารยธรรม มานานกว่า 3,000 ปี

    แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจนในขณะที่ประเทศเกิดใหม่ เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
    ที่เป็นประเทศเล็กๆ ไม่มีศักยภาพอะไรเลย เมื่อ 100 ปีที่แล้ว
    แต่วันนี้กลับพัฒนาจนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ที่ร่ำรวยได้
    และความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับประเทศด้อยพัฒนาก็ไม่ได้อยู่ที่ทรัพยากรของประเทศอีกนั่นล่ะ
    ญี่ปุ่น ที่มีพื้นที่เกษตรกรรมน้อยมาก 80% ของพื้นที่เป็นภูเขา ไม่เหมาะในการทำเกษตรกรรม
    แต่ญี่ปุ่นกลับเป็นประเทศที่ส่งออกอาหาร และ สินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก
    สวิสเซอร์แลนด์ อากาศหนาวจัดจนใน 1 ปี ทำการเกษตรได้เพียง 4 เดือนและ

    ไม่มีการทำไร่โกโก้เลย แต่กลับทำช็อคโกแลตส่งออกรายใหญ่ของโลกและยังนำเอาความซื่อสัตย์ ความตรงเวลา
    ความมีระเบียบของคน มาใช้ประโยชน์จนได้รับการยอมรับให้เป็นธนาคารของโลก

    สีผิว และ เผ่าพันธุ์ก็ไม่ใช่เหตุผลอีกแหละ
    เพราะเมื่อแรงงานที่เคยขี้เกียจในประเทศของตนย้ายไปอยู่และหากินในประเทศที่เจริญแล้ว
    กลับกลายเป็นแรงงานที่ขยันด้วยซ้ำไป


    แล้วอะไร ที่ทำให้แตกต่าง ?
    สิ่งที่แตกต่าง คือ ทัศนคติ ที่ฝังรากลึกมานานปี
    ผ่านระบบการศึกษา และการอบรมปลูกฝัง



    จากการวิเคราะห์พฤติกรรมของคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว พบว่าคนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่บนหลักปรัชญา ได้แก่

    1. ใช้จริยธรรมนำทางชีวิต (Ethics as the basic principle)
    2. ความซื่อสัตย์ (Integrity)
    3. ความรักในงาน (Work Loving)
    4. ความรับผิดชอบในหน้าที่ (Responsibility)
    5. จิตใจมุ่งมั่น สู่ความเป็นที่หนึ่ง ( Will of super action)
    6. การเคารพต่อกฏระเบียบ (Respect to the law and rules)
    7. การเคารพต่อสิทธิของผู้อื่น (Respect to the rights of other citizens)
    8. การตรงต่อเวลา (Punctuality)
    9. การออมและความสนใจในการลงทุน (Strive for saving and investment)

    แต่น่าเสียดายที่ในประเทศด้อยพัฒนา
    มีคนเพียงจำนวนน้อยที่ใช้หลักปรัชญาเหล่านี้ในการดำเนินชีวิต



    ประเทศไทยของเรายังเป็นประเทศด้อยพัฒนา
    ไม่ใช่เพราะเราขาดทรัพยากร หรือมีภัยธรรมชาติเป็นปัญหา
    แต่เพราะเราขาดทัศนคติ และแรงผลักดันที่สอดคล้องไปตามหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตที่กล่าวมา



    ปรมาจารย์ ขงจื๊อ(551-479 ปีก่อนปีคริสตกาล)สอนไว้ว่า

    หากเจ้าวางแผนไว้ 1 ปี
    .............. จงปลูกข้าว

    หากเจ้าวางแผนไว้ 10 ปี
    .............. จงปลูกต้นไม้

    หากเจ้าวางแผนไว้ 100 ปี
    ............... จงให้ความรู้ แก่บุตรหลาน
     
  6. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    เรื่องเล่าปนมโน ถึงบารมีครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เมตตาเรา ๆ ชาวเวียงนาคราชครับ

    คืนวันที่ 14/1/59 ประมาณ 5 ทุ่ม ผมเดินกรรมฐานหนอ ตามกำลังใจได้สัก 5 นาที จึงไปอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จนั่งดูหนังสักครู่ ประมาณเที่ยงคืนก็เดินกรรมฐานอีกชุด ราว 10 นาที จึงเข้านอน…………………


    ช่วงกลางดึก ฝันเหมือนจิรงว่า ได้เดินไปตามขอบตลิ่งเป็นดินที่ลาดชันของแม่น้ำ ในระหว่างเดินไปข้างหน้านั้น ก็มีงูขนาดใหญ่เท่าต้นขาออกมาจาก 2 ข้างทาง คือขึ้นมาจากแม่น้ำตัวหนึ่ง และออกมาจากพงหญ้าข้างทางอีกตัวหนึ่ง งูทั้ง 2 ตัวออกมาดักหน้าผมไว้แต่ระยะยังอยู่ห่างประมาณ 10-15 เมตร
    แม้จะเห็นงูออกมาผมก็ไม่ได้หยุดเดินไปข้างหน้า และทันใดนั้นก็มีเด็ก 2 คนวิ่งแซงผมไปข้างหน้า จากทางซ้ายมือ 1 คน และจากทางขวามืออีก 1 คน ในความรู้สึกนั้น เด็กที่วิ่งแซงขึ้นไปทางขวามือจะเป็นเด็กหนุ่มหน่อยอายุราว ๆ 16-17 ปี และเด็กที่วิ่งแซงผมขึ้นไปทางซ้ายมือจะอายุน้อยหน่อยน่าจะราว ๆ 10-12 ปีได้
    เมื่อเด็กทั้ง 2 คนนั้นวิ่งขึ้นไปถึงงูทั้ง 2 ตัวนั้นก็จัดการกับงูทั้ง 2 ตัวนั้นทันที ในลักษณะของการต่อสู้กัน ซึ่งเด็กทั้ง 2 คนนั้นเป็นฝ่ายชนะอย่างเด็ดขาดตามที่รับรู้ในความฝัน แล้วภาพก็ตัดไป และสักพักผมก็ตื่นมากลางดึก นึกทบทวนอยู่แล้วจึงหลับต่อ

    ก่อนจะหลับต่อนั้นก็นึกทบทวนความฝันอยู่ครูหนึ่ง ความรู้สึกในใจที่ขึ้นมาถึงเด็กทั้ง 2 คนนั้นเป็นใครกัน ใจระลึกบอกว่า เด็กหนุ่มที่อายุ 16-17 ปีนั้นคือจ้าวแก้วจ้าวทองขอองท่านอาจารย์ (รูปร่างลักษณะเหมือนที่เคยเห็นในจิตตอนที่ท่านอาจารย์สร้างออกมาแล้วโชว์ให้เห็นทางเฟส) ส่วนเด็กอีกคนนั้นคือจ้าวฤทธิไกรกุมารน้อยที่ท่านอาจารย์เมตตามอบให้ในพิธีหล่อพระเมื่อปลายเดือน ธันวาคมที่ผ่านมา และจิตก็พักหลับต่อไปสักครู่ ก็มีเสียงหนึ่งดังก้องออกมาว่า “กรรมที่ส่งผลอยู่นั้น…………แล้ว ”

    จากการที่ฝันเมื่อคืนวันที่ 14/1/59 นั้นเช้าวันที่ 15/1/59 นี้ก็จำรายละเอียดได้พอสมควร เมื่อมาทำงานหลังจากเคลียร์งานช่วงเช้าเสร็จจึงโทรถามท่านอาจารย์ว่า เป็นฝันที่บอกเรื่องราวจริงหรือไม ท่านอาจารย์ให้ดูต่อไป และเด็กทั้ง 2 คนนี้ ใช่จ้าวแก้วจ้าวทองและจ้าวฤทธิไกรหรือไม่ ท่านอาจารย์บอกว่าใช่

    เป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับผม
     
  7. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    คืนวันที่ 25/5/59 ถือเป็นวันที่สำคัญ หลวงปู่ได้ดลใจให้ผมบอกกล่าวกรรมฐานเมตตาใหญ่แก่คนหมู่มากในเฟสหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งข้อมูลที่นำมาบอกกล่าวนี้ผมได้ทำและรวบรวมไว้แล้วในเว็บพลังจิต บางท่านน่าจะเคยได้อ่านกันบ้าง

    หลังจากลงเรื่องกรรมฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมได้ขึ้นไปที่ห้องชั้น 2 เพื่ออาบน้ำและสวดมนต์ทำสมาธิแผ่เมตตาตามกิจวัตรที่พยายามทำให้เป็นประจำ แต่ในวันนี้หลังจากสวดมนต์และทำสมาธิเสร็จแล้ว ในช่วงของการแผ่เมตตาอธิฐาน ได้นิมิต(หรือมโน) เห็นหญิงสาวผมดำห่มสไบโบราณสีเขียวนั่งอยู่บนแคร่ที่มีพนักพิง ณ ที่แห่งหนึ่ง ในใจตอนนั้นรู้ทันทีว่าเป็นดวงจิตใครคนใดคนหนึ่งแต่ไม่ทราบว่าใคร จึงน้อมนำบุญกุศลกรรมฐานอุทิศให้ แล้วออกจากห้องพระเข้านอนตามปกติ

    และวันที่ 26/5/59 ช่วงเที่ยงได้โทรรบกวนสอบถามท่านอาจารย์ ได้ทราบความว่า ด้วยผลบุญแห่งการเผยแพร่กรรมฐานเมตตาใหญ่นั้น มีอานิสงค์ประมาณมิได้ ทำให้ภพภูมิจิตของเจ้ากรรมนายเวรผมเปิดได้ชัดขึ้นซึ่งเขาพร้อมจะอโหสิกรรมให้ ท่านอาจารย์บอกให้ผมทำกรรมฐานน้อมอุทิศให้แก่เขาจะได้พ้นจากวาระกรรมกันไป ซึ่งก็ตั้งใจเช่นที่ท่านอาจารย์บอกเช่นกัน เพราะเรื่องราวลักษณะนี้เคยเกิดกับผมมาแล้วหลายครั้งหลังจากทำกรรมฐานและสร้างบุญหล่อพระ ถวายพระ ต่าง ๆ กับท่านอาจารย์และหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้ย้ำหลายครั้ง หลายคราทีเดียว

    เล่าสู่กันฟัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2016
  8. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ช่วงนี้มีกิจกรรมทางเฟส เนื่องจากหลวงปู่ท่านดลใจให้ผมทำหน้าที่ช่วยท่านอาจารย์เผยแพร่กรรมฐานเมตตาใหญ่แก่คนหมู่มาก ถูกหลวงปู่ท่านดลใจให้ทำหลาย ๆ อย่างรวมถึงการแจกวัตถุมงคลที่ยังพอมีเหลือแก่ผู้ที่ศรัทธาหลวงปู่ รวมถึงการบอกบุญร่วมทำบุญร่วมกัน

    อย่างไรเสียทุกวันนี้ก็พยายามปฏิบัติอยู่อย่างต่อเนื่อง รายละเอียดการปฏิบัตินั้นมีมายพอสมควร ตามแต่รายละเอียดใดที่ใครจะพบเจอหรือเข้าใจ ผมก็พยายามเดินตามคำสอนของหลวงปู่และท่านอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ขอให้ทุก ๆ ท่านอย่าทิ้งกรรมฐานเช่นกันนะครับ
     
  9. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ประสบการณ์แนวทางการน้อมนำกรรทฐานเมตตาใหญ่ มากำกับการอุทิศหรือแผ่บุญ

    เรื่องของคือ

    เมื่อวันอาทิตย์ 5/1/57 ได้ทำงานให้พระท่านเสร็จซึ่งไปถึงสมุทรปราการเหนื่อยจริง ๆ ช่วงเย็นพอมีเวลาจึงไปตัดผมและนำเศียรปู่พยายมราชเนื้อผงของเวียงนาคราช ไปเลี่ยม และวันนี้ 6/1/57 เป็นวันแรกที่ได้นำเศียรปู่พยายมราชเนื้อผงของเวียงนาคราช ขึ้นคอ ก็ได้เรื่องเลยครับ

    ตอนพักเที่ยงผมเข้ามาทานข้าวที่บ้าน และก็นอนพักสายตาสัก 10 นาที ในช่วงที่นอนพักก็ได้เรื่องครับ เพราะนอน ๆ ก็ภาวนากรรมฐานเมตตาใหญ่ไปด้วยไม่ได้หลับสนิท นอนได้สัก 5 นาทีก็แว็บ ๆ อะไรผมก็ไม่ได้สนใจทีนี้มาเป็นตัวเลยครับเด็กเล็กประมาณ 1 ขวบยืนพุงพุ้ยแก้ผ้ามีคราบสีแดง ๆ เต็มตัว ก้มหน้าอยู่ตรงหัวนอนแล้วก็เห็นอีกภาพเป็นหน้าเด็กอยู่ในครรภ์ ผมก็ลีมตาขึ้นทันทีแบบงงว่าคราวนี้อะไรหว่า แขวนปู่พยายมราชดวงวิญญาณไม่น่าจะเข้ามาใกล้ได้แม้จะเกี่ยวข้องยังไงก็น่าจะ ออกห่างไป นี่เขามาประชิดตัวเลย ในใจก็คิดแล้วผมก็ตื่นใส่รองเท้าออกไปทำงานดีกว่า......

    ในระหว่างเดินไปทำงานใจก็คิดถึงเด็กคนนี้ว่า แล้วเกี่ยวข้องอะไรกะเราหว่า ใจก็ตอบว่าเป็นน้อง เป็นหลาน เป็นญาติ ประมาณนี้ ผมก็พอเดา ๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องบางอย่างได้ ก็ไม่คิดอะไรต่อ แล้วก็ทำตามหน้าที่ อาราธนาบุญในการสร้างพระทั้งหลาย สร้างหลวงปู่ทวด 32 องค์ พระยืน 5 องค์ พระปางมหาจักรพรรดิ์ หลวงปู่โต หลวงพ่อโสธร 77 องค์ สร้างสมเด็จพ่อพระองค์ที่ 11 ให้เขามาโมทนาบุญ ได้รับผลบุญเช่นเดียวกับที่ผมได้รับ แล้วกำกับด้วยคำภาวนาเมตตาใหญ่ แว็บเดียวนึกยังไม่ทันเสร็จดี เห็นหนุ่มท่านหนึ่งในจิตนั่งสวมชฏาแหลมบนแท่นซะงั้น ตอนนั้นจิตผมไม่ค่อยนิ่งภาพเลยไม่ชัดเท่าไรและเก็บรายละเอียดของความหมายไม่ค่อยชัดเจน ก็พอเข้าใจว่าทำสำเร็จตามหน้าที่ แต่ใจยังไม่เชื่อหมด รอถามท่านอาจารย์คืนนี้

    ได้โทรถามท่านอาจารย์ตอนเกือบ 3 ทุ่ม เล่าให้ท่านฟังตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ที่ผมสงสัยคือ แขวนปู่แล้วทำไมวิญญาณยังเข้าใกล้ได้ คำตอบคือ
    1.วิญญาณนั้นเกี่ยวข้องกับเรา
    2.ปู่พญายมราชท่านเป็นสื่อกลางเพือสงเคราะห์ส่งบุญกุศ,ไปถึงวิญญาณเพราะมันมีช่วงระยะเวลากำหนดมีอาณาขอบเขต...ของกฏธรรมชาติ

    ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาตรวจสอบและแนะนำครับ

    แนวทางเพิ่มเติมการประยุกต์ใช้”กรรมฐานเมตตาใหญ่”

    เวียงนาคราช คณะทานบารมี
     
  10. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    มีหลายคนไม่เชื่อการมีอยู่จริงของหลวงปู่เทพโลกอุดร คงต้องแล้วแต่ข้อมูลของแต่ละคน

    ผมทราบมาว่ามีชื่อหลวงปู่โสนะ ซึ่งเป็น 1 ในคณะเทพโลกอุดร มีปรากฏในคัมภีร์โบราณของประเทศลาวที่ถูกประเทศมหาอำนาจยึดไปด้วย

    พิจารณากันตามเหมาะสมนะครับ
     
  11. batman9

    batman9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,343
    สาธุค่ะ
     
  12. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    วิบากกรรมนั้นย่อมมีกันทุกคนตามธรรมชาติของการแลกเปลี่ยน เมื่อกระทำอะไรไว้ย่อมได้รับผลนั้น ต่อให้รวยล้นฟ้าหรือจนติดดินก็มีวิบากกรมต้องส่งผลต่อผู้นั้น กรรมฐานคือการกระทำดีที่มีผลที่จะลดทอนวิบากแห่งกรรมที่ไม่ดีลงได้ตามวาระและโอกาส

    การปฏิบัตินั้นย่อมถูกขวางด้วยหลายทางเพราะเป็นการทำดีที่จะหนีกรรมที่ตามทวง สิ่งที่ขวางนั้นเช่นเจ้ากรรมนายเวร วิบากที่ยังส่งผล ตัวในของผู้ปฏิบัติ อุปนิสัยของผู้ปฏิบัติ จนถึงหลักการและวิธีการปฏิบัติ ฯ

    และเมื่อลงมือปฏิบัติแล้วยังต้องพบเจอบททดสอบต่าง ๆ เช่น ปิติทั้งหลายทั้งอาการขนลุกขนพอง การขยายหรือหดตัวของร่างกาย นิ่ง สงบ แน่น หนัก และนิมิตต่าง ๆ ที่มาแสดงปรากฏให้เห็นทั้งจากกิเลสของผู้ปฏิบัติหรือจากเทพเทวดา ครูบาอาจารย์ก็ตาม ซึ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตแห่งการปฏิบัติต้องรู้เท่าทันและวาง และน้อมมาพิจารณาเพื่อย้อมใจให้ยอมรับและปล่อยวางให้มากที่สุด หากเรายังไม่ดีจริงจงอย่าเชื่อปักใจอะไรง่าย ๆ ถ้าพบเจอครูบาอาจารย์ที่ดีที่ถูกต้องท่านก็จะแนะนำได้ถูกนั่นและ แต่เราเองไม่ว่าจะพบครูบาอาจารย์ที่ดีหรือไม่ดี ครูบาอาจารย์ที่ถูกหรือไม่ถูกทำอย่างไรก็จะผิดหากปักใจเชื่ออะไรลงไป เพราะเราเองนั้นยังไม่รู้จริงๆ เลยว่ามันเป็นของมันอย่างนั้นได้อย่างไรแม้จะเกิดกับเราเองก็ตาม ดังนั้นการปฏิบัติครูบาอาจารย์ยุคเก่า ๆ ท่านมักจะบออกว่าให้ทำให้ปฏิบัติอย่างคนไม่ฉลาด คือทำ ๆ ไปและจะรู้แล้วจะอ๋อเองว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง

    คือ ลงมือกระทำ แล้วจะรู้ด้วยตนเองว่ามันคืออะไรความพอดีอยู่ตรงไหนแล้วที่ครูบาอาจารย์ท่านพูดท่านแนะนำมันตรงหรือไปในทิศทางที่เราลงมือปฏิบัติหรือไม่
     
  13. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    คำอธิฐานเมตตาใหญ่


    ช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมากก่อนวันหล่อพระ12/8/59 ท่านอาจารย์บอกกล่าวถึงคำอธิฐาน ที่ท่านอาจารย์ได้เขียนขึ้นมา เพื่อใช้ในการอธิฐานลดทอนกรรม วิบากกรรมร่วมกับกรรมฐานเมตตาใหญ่ โดยคำอธิฐานนี้เมื่อท่านอาจารย์ได้เขียนเสร็จแล้วก็ได้ปรึกษากับบุคคลที่ท่านอาจารย์นับถือ จนได้ความว่า อานุภาพคำอธิฐานนี้นั้นคลอบคลุมไปหมด และแผ่ไปถึงจิตวิญญาณได้จริง และด้วยคำอธิฐานนี้พระโพธิสัตว์ที่อยู่ด้านบนจะช่วยสงเคราะห์ มีฝ่ายมหายานมากันมากและท่นอื่น ๆ แต่ที่ชัด ๆ คือ องค์พระแม่กวนอิม อละองค์พระมัชชุศรี

    ที่จะบอกกล่าวไม่ใช่อะไร ยิ่งในช่วงเข้าพรรษานี้ภพภูมิเปิดมากกว่าหลาย ๆ ปี จิตวิญญาณเขาออกมารับบุญกันมากบ้างก็มาทวง อยากแนะนำให้ใช้บทอธิฐานนี้กันบ่อย ๆ 3 เวลาหลังอาหารได้ยิ่งดี จะได้ลดทอนกรรมกันไปครับ
    ก่อนอธิฐานแนะนำควรทำกรรมฐานเมตตาใหญ่ หรือถ้าทำไม่ได้ก็สวด คาถาเมตตาใหญ่ 39 จบ 59 จบ จบ108 จบ แล้วค่อยอธิฐาน จะได้ส่งผลยิ่ง ๆ ขึ้น กำลังของเมมตาใหญ่จะเป็นเกราะป้องกันและมีผลในการส่งผลบุญได้ยิ่ง ๆ ขึ้น
    สำหรับผมก็ได้อธิฐานคำอธิฐานนี้ รู้สึกว่าพลังงานแผ่ออกไป บางส่วนค่อย ๆ จาง บางส่วนที่ท่านไม่ยอมก็ยังมีพลังงานดึงรั้งกันอยู่ ต้องพยายามครับ ทำกับเขาไว้ทำให้เขาทุก เมื่อเราเข้าใจในทุกข์ในชาตินี้แล้วก็ต้องชดใช้และส่งคืนให้เขา
    ขอให้โชคดีครับ

    เวียงนาคราช คณะทานบารมี

    ******** คำอธิษฐานเมตตาใหญ่”

    ด้วยผลบุญอานิสงส์ที่เกิดจากกรรมฐานเมตตาใหญ่ และการสวดมนต์พระคาถาระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดมรรคผลเพียงใด...

    ขอถึงซึ่งกายทิพย์จิตวิญญาณธาตุขันธ์ทุกท่านที่เกี่ยวข้องผูกพันเป็น พ่อแม่ สามีภรรยา พี่น้อง ญาติมิตรเพื่อน ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ อาชีพหน้าที่การงาน สถานที่อยู่อาศัย พาหนะการเดินทาง และเจ้ากรรมนายเวรในการกระทำกรรมดีและไม่ดีต่อกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ในทุกภพทุกชาติ

    ขอท่านทั้งหลายจงได้รับในทุกบุญ กุศล ความดี ที่เกิดมรรคผลที่ฉันได้กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ จงเป็นอาหารทิพย์ โอสถทิพย์ อาบชโลมให้จิตวิญญาณที่มีความทุกข์ ความอาฆาตพยาบาทผูกมัด ร้อยรัดมัดตรึง ของท่านทั้งหลายของฉัน ลดทอนบรรเทาทุเลาเบาบางลงคลายจากกิเลสตัณหาอุปทานยึดมั่นถือมั่นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าอยู่ในภพใดภูมิใด
    จนเข้าถึงความสุขถึงทิพยะสมบัติอันบรมสุข จนถึงความดับทุกข์ทั้งปวง ขอความสุขสำเร็จทุกประการจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายของฉันทุกรูปนามนับแต่บัด นี้เป็นต้นไป

    ขอพระแม่ธรณี พญายมราช ท้าวมหาราชทั้ง 4 และเทพยดาฟ้าดินอารักษ์ทั้งปวง โปรดเป็นสักขีพยานการอธิษฐานจิตนี้ โปรดอำนวยพรชัยอันประเสริฐนำพาไปถึงแก่ท่านทั้งหลายของฉันตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ.....สาธุ.
    และกราบขอความเมตตาอโหสิกรรมแก่ตัวฉันที่ทำกับทุกท่านเอาไว้ และกรรมใดที่ทำกับฉัน...ฉันขออโหสิกรรมทั้งหมดทั้งปวงนี้...ทุกประการด้วย พระพุทธะ เมตตา อโหสิ กรรม

    ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 1 สค.59
     
  14. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    พิธีหล่อพระเมื่อ 12/8/59

    การทำพิธีเททองหล่อพระวันนี้ เสร็จสมบูรณ์ทุกประการ ด้วยปาฏิหาริย์แห่งองค์พระพุทธปาฏิมา พระสังฆปาฏิมา ครูบาอาจารย์ เทพพรหมเทวดา ด้วยบารมีท่านอาจารย์ทั้งหลายและผู้ร่วมบุญทุก ๆ ท่าน พิธีนี้มีอานุภาพมหาลาภสูงนะครับ วัตถุมงคลทั้งหลายที่ได้รับไปและทุกชิ้นที่เข้าพิธีพร้อมทั้งเครื่องบูชาบวงสรวงมหาลาภและปาฏิหาริย์มาก ๆ (ตามความรับรู้แบบมโนของผมครับ)

    พิธีก็ไม่ยุ่งยากเรียบง่ายด้วยการอธิฐานและการทำกรรมฐาน เพื่อสร้างฐานและปลูกฝังเมล็ดแห่งอริยมรรคลงสู่ดวงจิตแล้วสะสมต่อเนื่องไป กรรมฐานที่ทุกท่านร่วมทำในพิธีมีผลแก่ทุก ๆ ท่านหลายอย่าง ทั้งฝากกระแสไปสู่องค์พระที่หล่อ ปรับกระแสพลังงานและวิบาก ดวงชะตา และนำส่งถึง่ครูบาอาจารย์ เทพพรหมเทวดา ถึงเจ้ากรรมนายเวรของตัวท่านด้วย แล้วท้ายสุดก็แจกจ่ายแบ่งปันกันอย่างเต็มที่ และอย่าลืมโรงทานอร่อย ๆ นะครับ

    ขอขอบคุณพี่น้องบางท่านที่ไปร่วมพิธีที่ได้ร่วมมหาทานในคร้ังนี้ครับ คุณTatui Montri และครอบครัว

    เวียงนาคราช คณะทานบารมี

    ช่วงเริ่มพิธีช่วงแรก หลวงปู่ใหญ่ท่านมา และผ่านญาณมาที่ท่านอาจารย์ตอนบวงสรวงช่วงต้นเสียงดุดันผมก็จำไม่ได้ว่าใครเพราะท่านไม่ได้ผ่านญาณท่านอาจารย์นานแล้ว เสียงดุมาก แล้วสักครู่ต่อมาองค์สมเด็จพระองค์ที่ 11 ท่านก็มาและผ่านญาณท่านอาจารย์ต่อจนบวงสรวงเสร็จครับ ตามความรู้มโนแบบผมนะครับ


    และ

    ตั้งแต่เมื่อวานได้คิดทบทวนมโนบางอย่างที่ได้รับรู้ในช่วงที่ท่านอาจารย์กล่าวบวงสรวง ซึ่งช่วงแรกที่เห็นในมโนนั้นเห็นองค์ที่ประดิษสถานอยู่ชั้นบนของโต๊ะบวงสรวง มีสมเด็จพ่อพระองค์ที่ 11 หลวงปู่พระมหากัสสะปะ 32 นิ้ว องค์ครูผึ้ง 30 นิ้ว ไปปรากฏอยู่ข้างเบ้าหลอม โดยผมเห็นองค์ครูผึ้ง 30 นิ้วชัดกว่าองค์อื่น เห็นภาพในมโนอยู่สักครู่ และหลังจากภาพตัดไปได้เห็นกระแสบางอย่างเป็นคลื่นม้วนไปมาสีแสดแดงปนส้มกระแสพลังรุนแรงมาก และกว้างมาก ตามดูไม่ไหว เหมือนโดนดีดออกมา ก็ออกจากสมาธิแบบงง และไม่เข้าใจว่าคืออะไร

    มาวันนี้พอมาประติดประต่อเรื่องราวที่ได้คุยกับท่านอาจารย์ช่วงเย็นหลังของวันทำพิธี และลองตามกระแสในพิธีหล่อพระเมื่อวาน ค่อนข้างเชื่อมั่นว่าเป็นหลวงพ่อโสธรฐานน้ำท่านแสงปาฏิหาริย์และอานุภาพในในพิธีเททองแน่นอน ทั้งกระแสพลังงาน และขนาดองค์ที่ขยายจนใหญ่โต แต่ผมเห็นได้แค่เพียงลักษณะฐานที่ม้วนเป็นเกลียวคลื่นที่แผ่พลังงานออกมาอย่างรุนแรง

    เล่าตามมโนมั่ว ๆ ของผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ปีหน้าเตรียมตัวกันไว้บ้างก็ดีนะครับ

    พรหมวิหารสี่เมตตาใหญ่ (ย่อพิเศษ)
    สัจจัง ปะระมัง โลเก สีละคุณ อะนุตตะโร อายันตุ โภณโต ปาระมิ โย อิธะ ทานะ สีละ เนกขัมมะ วิริยะ ปัญญา ขันธิ สัจจาธิฎฐานะ เมตตุเปกขา ยุทธาสะโว คัณหัตถา วุธานีติ สัพเพ อัตถะ จิตตัง โทสะ อะเวรา สัพเพ อัตถะ จิตตัง โมหะ อะเวรา สัพเพ อัตถะ จิตตัง โลภะ อะเวรา สัพเพ อัตถะ จิตตัง กามราคะ อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    1. สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ สัพเพ สัตตา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะนิฆา โหนตุ สัพเพ สัตตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    2. สัพเพ ปาณา อะเวรา โหนตุ สัพเพ ปาณา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ ปาณา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ ปาณา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    3. สัพเพ ภูตา อะเวรา โหนตุ สัพเพ ภูตา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ ภูตา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ ภูตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    4. สัพเพ ปุคคะลา อะเวรา โหนตุ สัพเพ ปุคคะลา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ ปุคคะลา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ ปุคคะลา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    5. สัพเพ อัตถะ ภาวะปะริยาปันนา อะเวรา โหนตุ สัพเพ อัตถะ ภาวะปะริยาปันนา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ อัตถะ ภาวะปะริยาปันนา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ อัตถะ ภาวะปะริยาปันนา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    6. สัพพา อิตถิโย อะเวรา โหนตุ สัพพา อิตถิโย อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพพา อิตถิโย อะนีฆา โหนตุ สัพพา อิตถิโย สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    7. สัพเพ ปุริสา อะเวรา โหนตุ สัพเพ ปุริสา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ ปุริสา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ ปุริสา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    8. สัพเพ อะริยา อะเวรา โหนตุ สัพเพ อะริยา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ อะริยา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ อะริยา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    9. สัพเพ อะนะริยา อะเวรา โหนตุ สัพเพ อะนะริยา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ อะนะริยา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ อะนะริยา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    10. สัพเพ เทวา อะเวรา โหนตุ สัพเพ เทวา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ เทวา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ เทวา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    11.สัพเพ มะนุสสา อะเวรา โหนตุ สัพเพ มะนุสสา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ มะนุสสา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ มะนุสสา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    12. สัพเพ วินิปาติกา อะเวรา โหนตุ สัพเพ วินิปาติกา อัพยา ปัชฌา โหนตุ สัพเพ วินิปาติกา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ วินิปาติกา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    1. สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา สัพเพ ปุคคะลา สัพเพ อัตตะภาวะปริยาปันนา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    2. สัพพา อิตถิโย สัพเพ ปุริสา สัพเพ อะริยา สัพเพ อะนะริยา สัพเพ จาตุมหาราชิกาเทวา สัพเพ ตาวะติงสาเทวา สัพเพ ยามาเทวา สัพเพ ตุสิตาเทวา สัพเพ นิมมานะระตีเทวา สัพเพ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีเทวา สัพเพ อินทา สัพเพ พรหมา สัพเพ จตุโลกะปาลา สัพเพ ยมมะราชา สัพเพ ยะมะปาลา สัพเพ สิริคุตตะระอะมัจจา สาสะนัง อนุรักขันตุ อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
    3. สัพเพ ยักขา สัพเพ กุมภัณฑา สัพเพ ครุทธา สัพเพ กินนรา สัพเพ กินนะรี สัพเพ นาคา โอปาติกะ สังเสทชะ ชลาพุชะ อัณฑชะ สัพเพ มะนุสสา สัพเพ อะมะนุสสา สัพเพ วิริยะปะติกา สัพเพ มิตตา สัพเพ อมิตตา สัพเพ มัชฌะตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
    4. สัพเพ ติรัฉฉา สัพเพ เปติกา สัพเพ เปตา สัพเพ อะสุระกายา สัพเพ เปตาวัตถุโย สัพเพ เปตวิเสยยา สัพเพ วินิปาติกา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ .สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
    ***เมตตา...สัพเพ สัตตาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น อะเวรา โหนตุจงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อัพะยาปัชณา โหนตุจงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อะนีฆา โหนตุจงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุจงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ
    ***กรุณา...สัพเพ สัตตาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุจงพ้นจากทุกข์เถิด
    ***มุทิตา...สัพเพ สัตตาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุจงอย่าไปปราศจากสมบัติอันตนได้แล้วเถิด
    ***อุเบกขา...กัมมัสสะกาเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน กัมมะทายาทาเป็นผู้รับผลของกรรม กัมมะโยนิเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด กัมมะพันธุเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กัมมะปะฏิสะระณาเป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัย ยัง กัมมัง กะริสสันติกระทำกรรมอันใดไว้ กัลละยาณัง วา ปาปะกัง วาดีหรือชั่ว ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
    สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ จงอย่าได้มีเวรเบียดเบียนกันและกัน จงอย่าได้มีความลำบากเจ็บไข้เลย จงเป็นผู้มีสุขพ้นทุกข์ภัยทั้งสิ้น กับขอจงเป็นผู้มีส่วนได้เสวยผลบุญอันเราได้กระทำแล้วทุกเมื่อเทอญ……….สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  16. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ททองหล่อ “พระพุทธเจ้าภัทรมหากัปปาระมี๙” หน้าตัก 15 นิ้ว

    เททองหล่อ 3 องค์ปฐมฤกษ์ ประดิษฐาน ณ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

    พิธีเททองหล่อวันจันทร์ ที่ 14 พฤศจิกายน 59 วันเพ็ญเดือนสิบสอง ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12

    ."พระพุทธะเจ้าภัทรมหากัปปาระมี"...องค์รูปกายสมมุติองค์แทน สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า"พระสุมังคละ"ทศพลญาณในอนาคตกาล นั้นแลคือ "ช้างปาลิไลย"...ซึ่งเป็นพระบรมโพธิสัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอันมากอันยาวนาน มีพระหำลังแผ่นดินมหาบารมี ทรงมี“เมตตามหาบารมี...” ไม่เลือกชั้นวรรณะไม่แบ่งแยกกีดกันพระศาสนาอื่นๆ เป็นพระเมตตาหาประมาณมิได้ เพื่อให้มวลหมู่สรรพสัตว์อยู่ด้วยกันไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน.....
    ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    บารมีหลวงปู่เทพโลกอุดร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    *ขออนุญาตเจ้าของคำถามนะครับ...เลยกลายเป็นความรู้ใหม่ที่ผมเพิ่งได้รู้เหมือนกัน*

    ** คำถาม...พี่ครรชิต ปรึกษา หน่อยครับ พอดีพ่อผมมึนหัว วิงเวียนศีรษะ ช่วงนี้เป็นติด ๆ กัน เมื่อก่อน นาน ๆ ครั้ง ผมเคยพาไปตรวจเช็คแบบละเอียดหลายครั้ง หลาย รพ. ทั้ง รพ.รัฐและเอกชน แต่ผลออกมาก็ไม่ได้เป็นโรค อะไรที่เกี่ยวเนื่องกับ อาการดังกล่าว ล่าสุดน้องสาวพึ่งพาไปตรวจมาอีก ก็ไม่พบ แกจะปวดตรงต้นคอ แล้ววิงเวียน เหมือน จะเป็นลม เคยเข้าสแกนสมอง ที่ รพ.กรุงเทพ ก็ไม่พบอะไร เลยอยากถามพี่ว่าเกี่ยวกับอะไร ตอนนี้แกอายุ 82 ย่าง 83 ปี ดูโดยรวม ยังแข็งแรงดีครับ

    ** คำตอบ...ระวังท่านจะหลับหรือวูบไปนะครับ

    ** คำถาม...เรื่องอายุขัย เป็นอย่างไรบ้างครับ เคยไปถวายสังฆทาน เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว อ.ชัย วัดไตรมาตร เคยทัก ว่าต่ออายุไป 10 ปี

    ** คำตอบ... ตามนั้นครับ...เตรียมความพร้อมไว้ ท่านทำเองไม่ได้คุณ...ต้องทำให้

    ** คำตอบ...ขอเน้นกรรมฐานเมตตาใหญ่...เพราะกรรมคนเราไม่เสมอกัน ถึงเป็นพ่อแม่ลูกย่อมสร้างบารมีไม่เหมือนกันเท่ากัน แต่ที่มาสัมพันธ์กันคือ วิบากกรรมเป็นสายสัมพันธ์จนมาทางสายเลือดเป็นอันดับแรก ตามความรู้ความเข้าใจของผมนะครับ...คนเราที่ฝึกปฏิบัติจิตยังไม่ถึงขั้น(เข้าใจ) กำลังพลังงานของกระแสบุญมันมีหลากหลายระดับ ผมขอยกเปรียบเทียบ...ซึ่งอาจจะไม่ใช่ดังที่ผมคิดรู้มาก้อได้นะครับ...ฟังหูไว้หู

    ** เพราะทุกดวงจิตวิญญาณต้องมีสายสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ที่เกี่ยวเนื่องเคยอนุเคราะห์สงเคราะห์กันในอดีตชาติมานับชาติไม่ถ้วน...จนดวงจิตวิญญาณบางดวงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นพระโพธิ์สัตว์ที่กำลังสร้างบารมีรอเวลาการลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเป็นพระอรหันต์พระอริยะเจ้าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือพระองค์ใดในอดีตกาล ตลอดเทพพรหมเทวดา สรรพสัตว์ เป็นต้น ที่มีกำลังที่จะสามารถมาช่วยเหลือเกื้อกูล อนุเคราะห์สงเคราะห์ ตกลงต่อรองแลกเปลี่ยนกัน...ดังตามที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็น “เจ้ากรรมนายเวร” ที่ต้องชดใช้

    ** ดังนั้น ผู้ที่อธิษฐานส่งผลของบุญกุศลหรือกรรมฐานนั้น ไปยังพ่อแม่สามีภรรยาลูกหลานทั้งทีมีชีวิตหรือจากเราไปแล้ว...ว่ากระแสแห่งบุญทั้งหลายนั้นจะไปถึงจิตวิญญาณ ธาตุสี่ขันธ์ห้า เทวดาประจำตัว สิ่งที่แอบแฝงอาจไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร และเจ้ากรรมนายเวร ได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับ....

    *** ลำดับที่.1 การทำกรรมฐาน "หนอ" เกิดศีลอริยะมรรค ตามแนวทางท่านอาจารย์ลป.เมฆ กิตติสัทโท นั้น ฝึกเหมือนง่ายๆ แต่จะเกิดเห็นผลทางด้านสภาวะจิตและเข้าใจได้นั้น ส่วนใหญ่ล้มเลิกฝึกไปเพราะคิดว่าไม่ได้อะไรเลย..สัมผัสไม่ได้ มีแต่นิ่งเฉยๆ เสมือนคนไร้ความรู้สึก คนที่ผ่านมาได้และเดินถูกทางต้องใช่กำลังใจอย่างสูง มีความศรัทธาเคารพผู้แนะนำสั่งสอนเป็นอย่างสูง ผมละเป็นคนหนึ่งที่คิดว่า...ไม่มีอะไร มันไร้รสชาติคงแค่บรรลุเพียง “อรหันต์สุกขวิปัสสโก” เพราะเป็นพวกชอลฤทธิ์ชอบเดช แต่ด้วยความที่เคารพศรัทธาท่านอาจารย์มาก จึงทำไปบ่นไปตามประสาเด็กโง่...เมื่อเจอทุกข์มากๆเข้า จึงรู้ว่าเป็นของวิเศษโดยแท้

    ** กระแส “หนอ” ความว่าง ว่างเปล่าไร้รูปไร้นาม คล้ายตัวเราอยู่ท่ามกลางห้วงจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด ดังเบื้องต้น ท่ามกลาง เขาเหล่านั้นรับรู้ได้ว่ามีกระแสพลัง...คล้ายกับอากาศที่อยู่รอบตัวเรา ไขว้คว้าคว้านหายังไงก้อยากที่จะเข้าใจและรับได้ จนกว่ากระแส”หนอ” ลงเจตนาอันแรงกล้าจนแทรกเข้าไปในจิตวิญญาณได้ นั้นแหละผลอานิสงส์จะบังเกิดเห็นได้ชัด...แต่ก้อขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของจิตวิญญาณเหล่านั้นด้วย

    ***ลำดับที่.2 การทำกรรมฐาน "เมตตาใหญ่" เกิดศีลอริยะมรรค เป็นกรรมฐานโบราณ ในสมัยพระพุทธเจ้าอโนมทัสสี ที่ ลป.เทพโลกอุดร นำมาถ่ายทอด โดยใช้หลักตามแนวทางปฏิบัติหนอของท่านอาจารย์ลป.เมฆ กิตติสัทโท

    ** กระแส “เมตตาใหญ่” มีความเมตตา ไม่เบียดเบียนกระทบกระทั่งทำรายใคร มีความปารถนาดีต่อกันยกโทษให้แก่กัน ขอขมาซึ่งกันและกัน ด้วยอาศัยคุณของพระพุทธะเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมอันหยั่งถึงความดับทุกข์ พระอรหันต์พระอริยะเจ้า เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมานานนับอสงไขยในการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยความเคยเกิดเป็นพ่อแม่สามีภรรยาลูก...ในวาระต่างๆ ย่อมมีการผูกผันรักใคร่เมตตาซึ่งกันและกัน ดังคำว่า “เมตตาค้ำจุนโลก” ไม่งันโลกจะเร่าร้อนเป็นไฟบรรลัยกัลป์

    ** กระแสแห่งเมตตาจิตที่มีพระพุทธเจ้าอันประมาณมิได้...เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวนำไปถึง เขาเหล่านั้นสิ่งแรกที่เขาได้รับกระแสแห่งความเย็นที่จับต้องได้ในมโนทวารของจิตวิญญาณ...เบื้องต้นทันทีทันใด และด้วยสายบารมีที่ได้สร้างร่วมกันมาไม่ว่ากับพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์พระอริยะเจ้า เทพพรหมเทวดา...พระองค์ไหน...เมื่อถึงวาระเวลาท่านจะเมตตาเชื่อมกระแสบารมีกับจิตวิญญาณธาตุขันธ์สี่ขันธ์ห้า...ให้เชื่อมกันได้ง่ายและส่งผลเร็วขึ้น ขึ้นอยู่กับกำลังผู้ปฏิบัติเมตตาใหญ่ได้ผลเพียง....พระพุทธะ เมตตา อโหสิ กรรม หนอออออออออ.
     
  19. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    การถวายสังฆทาน ในวันวิสาขบูชา 3 มิ.ย. 66
    เรื่องมโนในวันนี้ จากการถวายสังฆทาน 9 ชุดและการทำกรรมฐานในวันวิสาขบูชา ออกจะโม้มากมาย แต่ก็ได้ส่งเรื่องให้ท่านอาจารย์ได้ตรวจ และท่านก็อนุญาตให้เล่าเพื่อเจริญศรัทธาในการปฏิบัติ
    .
    #เตรียมการบูชาพระจากร้าน
    ช่วงเช้าที่แม่บ้านออกไปวัดเพื่อทำบุญกับคณะเพื่อนบ้าน ในใจผมคิดว่าที่ผ่านมาในวันสำคัญเราก็ทำบุญสวดมนต์ถวายพระแต่ไม่ได้ตั้งเจตนาอันเป็นหนึ่งเพื่อถวายในโอกาสวันสำคัญนั้นๆ อย่างจริงจัง
    ดังนั้นจึงได้คิดและตั้งใจว่าวันนี้ 3/6/66 จะปฏิบัติกรรมฐานพร้อมอธิฐานถวายบุญสังฆทาน ถวายองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนื่องในวันวิสาขบูชา (วันประสูตร+ตรัสรู้+ปรินิพพาน) หลังจากที่ไปซื้อของต่างๆที่ตลาดกลับมาแล้ว
    เมื่อผมทานข้าวเสร็จก็ออกไปซื้อของ และไปร้านขายสังฆภัณฑ์ เพื่อบูชาพระตามที่ตั้งใจไว้ มีบูชาพระ 9 นิ้ว 1 องค์ และพระ 5 นิ้ว 2-4องค์ ถ้างบพอ
    จากการสอบถามราคา สรุปได้พระปางสดุ้งมาร 9 นิ้ว 1 องค์ และปางเดียวกันขนาด 5 นิ้วอีก 2 องค์ ในใจก็คิดเพื่ออานุภาพแห่งองค์พระที่ท่านชนะมารชนะอุปสรรคทั้งหลายเมตตาสงเคราะห์ผู้ร่วมบุญทั้งหลาย
    .
    #ตั้งจิตอธิฐาน
    หลังจากซื้อของและบูชาพระทั้ง 3 องค์ เสร็จเรียบร้อย เมื่อกลับจากตลาดถึงบ้าน ผมเก็บของแล้วนั่งพักสักครู่ จึงนำพระที่บูชามาแกะขึ้นไปแกะออกจากกล่องที่ห้องพระบนคอนโดชั้น2 ตั้งไว้ที่โต๊ะบูชาทั้ง 3 องค์
    เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จึงทำการสวดมนต์อธิฐานบอกกล่าวพระ ครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในการดำเนินการทุกครั้งผมจะนึกถึงท่านอาจารย์สนปภัส และหลวงปู่ใหญ่ เป็นที่ตั้งและระลึกถึงองค์พ่อสมเด็จองค์ปฐมต้นกายพระสงฆ์และองค์หลวงพ่อพระกาฬและองค์พ่อสมเด็จองค์ปฐมต้นผู้ทรงชนะมารที่บูชาและเมตตาสงเคราะห์ รวมถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
    เมื่อสวดมนต์บูชาพระเสร็จในเบื้องต้น ผมก็ตั้งจิตอธิฐานบอกกล่าวทุกๆพระองค์ตั้งใจทำกรรมฐานหนอและกรรมฐานเมตตาใหญ่ ถวายพร้อมถวายบุญการถวายสังฆทานที่ทำในวันนี้ ในนามปู่พญามัจจุราชและท่านพ่อเจตภูติ(พญามัจจุราช) อันมีสังฆทาน 9 ชุด+พระปางสดุ้งมาร9นิ้ว1องค์+พระปางสดุ้งมาร5นิ้ว 2 องค์+ผ้าไตร3ชุด+ปล่อยปลาหน้าเขียง6กก.+ทำบุญโรงศพ200บาท
    ด้วยบุญทั้งหมดขอถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันและองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ตั้งแต่องค์ปฐม เนื่องในวันวิสาขบูชา ที่เป็นวันประสูตร+วันตรัสรู้+วันปรินพพาน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ปฐมต้นจนถึงองค์ปัจจุบันและถวายบุญแด่องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ปฐมต้นจนถึงองค์ปัจจุบัน
    .
    #เดินกรรมฐาน
    หลังจากที่ผมตั้งจิตอธิฐานเสร็จ ผมมาเตรียมเดินกรรมฐานหนอโดยจะเปิดบทสวดมนต์เมตตาใหญ่คู่ไปกับการเดินกรรมฐานด้วย
    เริ่มต้นด้วยเดินกรรมฐานหนอ ผมเดินกรรมฐานหนอไปราวๆ 5นาที ก็ลองกำหนดใจดูว่ามีท่านใดมาเมตตาหรือไม่ แต่สงบเงียบ ลองสลับใจดู2-3 ครั้งก็ สงบเงียบ จึงเดินกรรมฐานต่อไป วางใจกลางๆ
    เดินกรรมฐานหนอไปอีกสักพัก ใจก็คิดว่า การปฏิบัติและกำลังบุญของตนตอนนี้ก้าวข้ามโลกแห่งวัฏสงสารเหมือนเมื่อก่อนบ้างหรือไม่หนา หลังจากที่ตกไปกับกรรมใหญ่ที่ผ่านมา นึกในใจอยู่ 2 วาระ
    ระหว่างที่เดินกรรมฐานต่ออีกสักครู่ ก็ปรากฎภาพในใจ เป็นภาพพื้นดำเวิ้งว้าง ใจบอกว่าเป็นอนันตจักรวาลอันกวางใหญ่ไพศาล แล้วปรากฎเป็นเท้าอันใหญ่ที่เห็นหัวแม่เท้าและปลายนิ้วทั้ง 5 ของเท้าด้านขวา กำลังก้าวเดิน มีลูกกลมๆ มากมาย เล็กใหญ่ลอย ห่างบ้างใกล้บ้าง ระหว่างกันและเท้านั้น
    ผมก็สงสัยงง จึงนึกในใจว่าท่านใดหนอทรงเมตตา แล้วสิ่งเหล่านี้คืออะไร แล้วภาพก็เปลี่ยนไป เป็น
    จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ มีลูกกลมๆ มากมายลอยอยู่เหมือนเดิม แต่ใจว่านั่นคือโลกต่างๆ ลอยอยู่มากมาย ขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้างหลายขนาด
    และมีท่านผู้หนึ่งใส่ผ้าคลุมและที่ศรีษะท่านมีมวยผม มีลักษณะคล้ายสมเด็จองค์ปฐมพระโพธิสัตว์ผู้ทรงชนะมาร กายใหญ่โตมโหราน แม้โลกเหล่านั้นจะใหญ่ก็ไม่เทียบกับกายท่านได้ ภาพถอยห่างท่านออกมาระยะหนึ่ง ท่านแสดงให้เห็นว่าท่านกำลังเดินอยู่ท่ามกลางโลกทั้งหลายในจักรวาล ด้วยพระวรกายอันใหญ่โตที่ไม่มีโลกใดจะใหญ่เท่าท่านได้(โลกที่เห็นใหญ่เต็มที่ก็เท่าลูกบอล) ในใจก็งงว่าคิดไปเองใหม
    ภาพก็ตัดไปที่ภาพพระบาทที่ย่ำเดินท่ามกลางโลกต่างๆ ในอวกาศเช่นเดิม พอเห็นสักพัก ภาพก็ตัดไปเห็นท่านเต็มองค์เดินท่ามกลางจักวาลเช่นเดิม
    ใจผมเห็นภาพท่าน(สมเด็จองค์ปฐมผู้ทรงชนะมาร)ทรงเดินท่ามกลางจักรวาลอันเวิ้งว้างที่มีโลกต่างๆ อยู่ระยะหนึ่ง ใจคิดตามว่า “ท่านทรงเมตตาสงเคราะห์โลกมากมายเหล่านั้นให้พ้นทุกข์” “ทรงช่วยจิตวิญญาณมากมาย ในวัฏสงสาร” ใจเกิดตื้นตันน้ำตาปริ่มๆจะไหลระหว่างเดินกรรมฐานหนออยู่ แต่ก็ตั้งสติเดินกรรมฐานหนอต่อไปต่อ
    ระหว่างที่เดินกรรมฐานหนออยู่นั้นใจก็คิด อยากแยกจิตขึ้นไปเดินกรรมฐานบนสวรรค์ดู (เคยฝึกแยกจิตมาแบบงูๆปลาๆ 3 จิตบ้าง 2 จิตบ้าง ด้วยกรรมฐานแต่ฝึกอยู่แค่รอบตัวเอง)
    จึงกำหนดใจยกจิตขึ้นไปบนสวรรค์ แวบนึงก็เห็นภาพในใจว่าขึ้นไปยืนบนเมฆกว้างใหญ่ มองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร ก็เลยเดินกรรมฐานหนอบนเมฆกว้างนั้นไป ควบคู่กับการเดินกรรมฐานในห้องคอนโด
    แล้วจังหวะกลับตัว ก็มองรอบตัวเองที่อยู่บนสวรรค์กลับเห็นกลุ่มคนมากมายมาเดินตามข้างหลัง เป็นพระบ้าง ใส่ชุดขาวบ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นกลุ่มใหญ่มาก แต่ยังไม่ได้กำหนดดูว่ามากขนาดไหน และแว็บมองเห็นพระชราองค์หนึ่ง ท่านเดินอยู่ด้านหลัง (มานึกในใจภายหลังว่าน่าจะเป็นหลวงปู่ทวด)
    หลังจากเห็นกลุ่มคนมากมายมาร่วมเดินกรรมฐานด้วยผมก็เดินกรรมฐานหนอต่อไป ซึ่งภาพในใจก็เห็นท่านเหล่านั้นเดินกรรมฐานตามอยู่ตลอด
    ในระหว่างที่เดินกรรมฐานหนออยู่เช่นเดิมนั้น ใจก็เอะแว็บบว่า แล้วพระองค์ท่านสมเด็จองค์ปฐมผู้ทรงชนะมาร นั้นเราจะยังเห็นภาพท่านเช่นเดิมใหม เพราะเป็นกำลังใจแห่งศรัทธา แล้วภาพในใจก็เกิดแบ่งครึ่งเป็น 2 ส่วน
    ภาพครึ่งส่วนบนในใจเป็นภาพการเดินกรรมฐานกับกลุ่มคนบนสวรรค์ ภาพครึ่งส่วนล่างในใจเป็นภาพที่เห็นองค์พ่อสมเด็จองค์ปฐมผู้ทรงชนะทรงเดินอยู่ท่ามกลางจักรวาลอันเวิ้งวางที่มีโลกต่างๆ เล็กใหญ่อยู่รอบกายท่าน ท่านทรงเดินไปเรื่อยๆๆ ไม่หยุด
    ซึ่งขณะนี้ใจก็จะเห็นภาพเป็น 2 ส่วน ด้านบนและด้านล่าง อยู่เนืองๆ
    จนเดินกรรมฐานหนออีกสักครู่นึกเอะใจ ว่าพระและเทวดท่านมากันมากมายหรือหนอ ภาพก็ปรากฎในใจเห็นกลุ่มคนเดินกรรมฐานตามข้างหลังมากมายทั้งด้านซ้ายและขวา ยาวสุดลูกหูลูกตาทั้ง 2 ข้าง เรียงเป็นแถวหน้ากระดานตอนลึกก็มีหลายแถวมากๆ เยอะมากๆ จนนับไม่ไหว ทุกท่านก็เดินกรรมฐานด้วยใบหน้าสดใสยิ้มแย้มด้วยกัน
    ผมเดินหนอท่ามกลางเสียงสวดเมตตาใหญ่ที่เปิดคู่ไปอีกสักครู่ ก็เปลี่ยนคำภาวนาในการเดินกรรมฐานเป็นบทเมตตาใหญ่ หลังจากเปลี่ยนเป็นเดินกรรมฐานเมตตาใหญ่สัก 5 นาทีเป็นต้นไป ก็นึกว่าเปลี่ยนเป็นเดินกรรมฐานเมตตาใหญ่แล้วท่านที่เดินตามเป็นอย่างไรบ้างหนอ(หวั่นๆว่าท่านจะหายไป)
    ก็ปรากฎภาพท่านเหล่านั้นดินอยู่เช่นเดิม ในจำนวนมากมายเช่นเดิม(เป็นกองทับ) ผมก็เดินกรรมฐานต่อ และก็ยังเห็นภาพซ้อนองค์พ่อสมเด็จองค์ปฐมต้นผู้ทรงชนะมารเดินอยู่ท่านมกาลงจักรวาลอันเวิ้งวางที่มีโลกต่างๆ เล็กใหญ่อยู่รอบกาย ทรงเดินไปเรื่อยๆๆ ไม่หยุด เช่นเดิม
    แล้วอยู่ๆ ภาพก็ตัดไปที่กลุ่มเทวดาที่เดินกรรมฐานตาม พบว่าบางท่านเกิดประกายแสงระยิบระยับที่กายท่านที่เดินตาม บางท่านเมื่อเกิดแสงก็หายวับไป บางท่านก็เดินอยู่เช่นเดิมแต่รู้สึกว่าท่านจะสว่างสดใสขึ้น ใจรู้สึกว่าเป็นการปรับภูมิด้วยผลบุญทั้งหมดในวันนี้ ท่านให้เห็นการเปลี่ยนแปลงบางท่าน แต่ใจรู้สึกว่าทุกๆท่านที่มาร่วมเดินกรรมฐานบนสวรรค์ในวันนี้ได้รับผลบุญด้วยกันทั้งหมด ต่างกันที่บารมีของแต่ละท่าน บางท่านมาร่วมเดินกรรมฐานเพื่อสงเคราะห์ลูกหลาน
    เหตุการณ์ต่างๆในใจ ก็เกิดจนผมเดินกรรมฐานเสร็จ จบบทเมตตาใหญ่ที่ปิด แล้วก็มาอธิฐานส่งบุญด้วยพระกริ่งเมตตาหนอและพระกริ่งเจโตวิมุติและพระกริ่งมหาจักรพรรดิ์ ทั้พระงหมดเป็นของเวียงนาคราชที่ท่านอาจารย์สนปภัสได้สร้างขึ้น
    และหลังจากที่ถวายสังฆทานเสร็จช่วงบ่าย ก็ผุดในใจขึ้นมาว่าการสร้างบุญในวันที่ 3 มิ.ย. 66 วันวิสาขบูชา มีดวงจิตนับล้านที่ได้รับผลได้รับบุญได้รับอานิสงส์ต่างๆ
    .
    เรื่องมโนๆ ๆ ก็มีประมาณนี้ ผลบุญนี้ขอจงถึงแก่ทุก่านทุกผู้ทุกนาม เทอญ
    .
    . IMG20230603153031.jpg IMG20230603155006.jpg 1685886755312.jpg
     
  20. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712

แชร์หน้านี้

Loading...