ประสบการณ์การปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แบบอานาปานสติ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย chonatad, 6 พฤษภาคม 2009.

  1. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    สวัสดีครับ อยากจะมาเล่าเรื่องราวในการไปปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจพอสมควรนะครับ เพราะได้ไปปฎิบัติมาแล้ว 10 วันเต็ม มีเกินนิดหน่อยครับ จะเล่าแบบเรียบๆธรรมดาใส่มุกเล็กๆน้อยๆ อาจจะมีคำอุทานบางคำไม่สุภาพต้องขออภัยด้วยนะครับ เพื่อให้ได้บรรยากาศ และเห็นภาพ แต่ก็คงไม่ขำเหมือนเรื่อง "ไส้ติ่ง"อันนั้นน่าอ่าน ได้ทั้งสาระ และ บันเทิง สนใจติดตามอ่านได้ที่คุณ ภัทรอังคาร ครับ
    ก็ว่าจะบันทึกไว้เป็นประสบการณ์ของตัวเอง และเป็นความทรงจำที่ดีที่ได้รับมาเลยครับ..และคิดว่าจะเป็นแนวทางของคุณผู้อ่านที่สนใจอยากจะไปปฎิบัติที่นี่ ในตอนท้ายๆก็จะนำเว็บไซด์มาลงไว้ด้วยครับ

    คำแนะนำในการเข้ารับการอบรม..

    วิปัสสนาเป็นวิธีการปฏิบัติกรรมฐานที่เก่าแก่ที่สุดวิธีหนึ่งของอินเดีย ซึ่งได้สาบสูญไปจากมนุษยชาติมาเป็นเวลานาน แต่ก็ได้กลับมาค้นพบอีกครั้งโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว วิปัสสนาหมายถึง "การมองดูสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง" อันเป็นกระบวนการในการทำจิตให้บริสุทธิ์โดยการเฝ้าดูตนเอง เราจะเริ่มต้นด้วยการเฝ้าสังเกตดูลมหายใจตามธรรมชาติ เพื่อทำให้จิตมีสมาธิ เมื่อมีสติที่มั่นคง เราก็จะก้าวไปสู่การเฝ้าสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของกายและจิต ซึ่งจะทำให้ได้พบกับสัจธรรมที่เป็นสากลคือ ได้เห็นความไม่เที่ยง(อนิจจัง) ความทุกข์ (ทุกขัง) และความไม่มีตัวตน (อนัตตา) การที่ได้รู้เห็นถึงสภาพธรรมตามความเป็นจริงเหล่านี้จากประสบการณ์ของท่านเองโดยตรง จึงเป็นวิธีการในการชำระจิตให้บริสุทธิ์ ธรรมะเป็นเรื่องสากล มีไว้สำหรับแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เป็นสากล มิได้ผูกขาดเฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่งหรือลัทธิใดลัทธิหนึ่ง ด้วยเหตุนี้บุคคลทุกคนจึงสามารถจะปฏิบัติได้อย่างเสรี โดยไม่มีข้อขัดแย้งในเรื่องของเชื้อชาติ ชั้นวรรณะ หรือศาสนา ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ และจะเป็นประโยชน์ต่อทุกๆ คนโดยทั่วถึงกัน

    วิปัสสนากรรมฐานจึงมุ่งไปยังเป้าหมายทางจิตใจในระดับสูงสุด เพื่อการหลุดพ้นโดยสิ้นเชิงและเพื่อการบรรลุธรรม มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการบำบัดรักษาโรคทางกาย แต่เนื่องจากเป็นผลพลอยได้จากการทำจิตให้บริสุทธิ์ จึงทำให้ความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากความเก็บกดในจิตใจหมดไป แท้จริงแล้ว วิปัสสนาสามารถที่จะขจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ 3 ประการ คือ โลภ โกรธ หลง ได้ ถ้าได้ปฏิบัติต่อเนื่องกัน วิปัสสนาจะระบายความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันและแก้ปมในใจที่ผูกอยู่ เนื่องจากนิสัยดั้งเดิมที่ชอบปรุงแต่งต่อสถานการณ์ต่างๆ เช่น ปรุงแต่งไปในทางที่ชอบหรือพอใจ (อันทำให้เกิดโลภะ) และไม่ชอบหรือไม่พอใจ (อันทำให้เกิดโทสะ) แม้ว่าวิปัสสนาจะพัฒนาขึ้นมาโดยที่เป็นวิธีการหนึ่งของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การปฏิบัติก็มิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของศาสนาแต่อย่างใด วิธีปฏิบัติตั้งอยู่บนพื้นฐานธรรมดาสามัญที่ว่า มนุษย์ทุกคนต่างมีปัญหาเหมือนๆ กัน และวิธีการที่สามารถขจัดปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ จะต้องเป็นวิธีที่เป็นสากล มีผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ เคยได้รับผลจากการปฏิบัติวิปัสสนามาแล้ว โดยมิได้มีความขัดแย้งกับความเชื่อที่มีอยู่เดิม

    ที่พัก
    มีศูนย์สำหรับรองรับผู้ปฎิบัติในประเทศไทย 5 ศูนย์ด้วยกัน แต่ที่ chonatad ได้ไปปฎิบัตินี้อยู่ที่ จ.กาญจน์บุรี ชื่อศูนย์ "ธรรมกาญจนา" อยู่ ต.สังขละบุรีครับ ติดพม่าเลย นั่งรถทัวร์จากพุทธมณฑลสาย 2 (ประมาณ) ออกเวลา 9 โมง แวะโน้นแวะนี่ก็จะถึงประมาณบ่าย 3 โมง เช้าวันนั้นก็รีบออกจากบ้าน ก่อน 6 โมง เพื่อหนีรถติดครับ โดยนั่ง TAXI ไปครับ ขืนไปรถเมล์ กว่าจะถึงคงหาที่นั่งไม่ได้แน่ๆครับ เพราะคนไปเกินจำนวนที่นั่งอีก ทางผู้จัดการต้องหารถเสริม(รถตู้)อีกคัน
    ก็ดีครับ ได้เลือกที่นั่งได้เพราะมาถึง 7 โมง สักพักก็มีน้องคนนึงมาทัก อายุ(ถามดู) 22 ปีครับ ผู้ชายตัวสูงมาก ไม่น่าเชื่อว่าสนใจธรรมะตั้งแต่ตอนนี้เลย คิดดูแระกัน ใครๆที่อายุเยอะแล้ว แล้วยังไม่รีบปฎิบัติระวังไม่ทันการนะครับ..ที่สำคัญเค้าบอกว่า "นึกว่าตัวเองจะอายุน้อยสุดซะอีก" แล้วก็หันมาทางเรา แล้วพูดว่า "พี่ก็คงจะ 30 กว่าๆใช่ไหมครับ คิดว่าตัวเองเด็กสุด" ผมก็แอบอมยิ้มในใจ นึกในใจว่า เฮ้อ!!!...สงสัย แสง มันคงพอดีมั้ง องศาที่ได้ก็คงทำมุมพอดิบพอดีกับแสง..เลยบดบังความมีประสบการณ์ แต่ก็แอบดีใจเล็กๆ..(แล้วความจริงก็เปิดเผย..มารู้ทีหลังว่าน้องเค้าสายตาสั้น....555+.) จบข่าวครับ

    ที่พักระหว่างฝึกนี้มองดูก็คล้าย รีสอร์ท เหมือนกันนะครับ ทางฝ่ายชายจะมี 3 แบบให้เลือก..แบบตึก..แบบกระต๊อป..และแบบเต้นท์.. จริงๆแล้วไม่มีใครอยากเลือกหรอกครับ แหะๆ คนที่ไปมันเกินตึกครับ ก็เลยต้องเสริม เต้นท์ กับ กระต๊อป แต่กระต๊อป ไม่ธรรมดานะ ลักษณะเล็กๆ เรียงรายอยู่ตามไหล่เขาเล็กๆ ประมาณ 8 หลัง เป็นไม้ใผ่ และ หลังคามุงด้วยใบจาก เครื่องอำนวยความสะดวกมีครบ(เท่าที่จำเป็น) เช่น กะละมัง..ไม้กวาด..ไม้แขวนเสื้อ..เตียง..โต๊ะ..พัดลม และพัดมือถือ เค้าบอกว่าเผื่อๆไฟดับ..อ้อ เป็นมุ้งลวดครับ วันสุดท้ายได้คุยกัน เค้าบอกว่านอนสบายดี ไม่ร้อน..ได้ใกล้ชิดสิงสาราสัตว์มาก ทั้งตะขาบ งู และจักจั่น และ อื่นๆอีกมากมาย...โดยเฉพาะ งู เจ้า ต่อ เพื่อนที่ว่าผมอายุ 30 กว่าๆนั้นแหละ ได้เห็น งูเขียวหางไหม้ กำลังเลื้อยที่รองเท้า ตอนก่อนจะเข้าเต้นท์ น่ากลัวมาก ดีที่เห็นก่อน..ส่วนตอนกลางคืนพวกที่นอนเต้นท์ก็ต้องทนฟังเสียง อึ่งอ่าง กบ ร้องอยู่ใต้เต้นท์ ดังมาก เพราะว่าใต้เต้นท์เป็นไม้ไงครับ พวกนี้ก็เข้าไปอยู่กัน บันเลง บรรไล ไม่ไล่ ไม่เลิก เล่าว่ากว่าจะหลับได้ก็ เพลีย จริงๆแล้วก็หลับไปเอง..โอ๊ย น่าสงสาร ที่นี่ก็มดเยอะครับ แล้วเค้าก็ใช้แป้งโรยๆเอา..ที่นี่รักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด เลยมีสัตว์ทุกอย่างเหมือนสวดสัตว์เปิด...อยู่ด้วยกันเสมือนหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน

    เล่ามาซะยาว ยังไม่ได้พูดถึงตึกที่คล้ายๆรีสอร์ทเลย ฝ่ายชายก็เป็นตึก 2 ชั้นครับมี 14 ห้อง จะมีระเบียงอยู่รอบนอก เดินได้รอบเลยครับ ดูวิว สวยๆได้ อันนี้ดีกว่า หอหญิง ซึ่งมีทางเดินตรงกลาง ส่วนหน้าต่างห้องก็จะอยู่ด้านนอกแทน และมีห้องน้ำภายในส่วนตัวเลยครับ ฝักบัว ชักโครก อ่างล้างหน้า กระจก และเป็นน้ำร้อน+น้ำเย็น สบายไหมล่ะครับ? แต่ก็เล็กๆเอง ไม่ใหญ่มาก สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบเหมือนกันครับ จะมากกว่ากระต๊อปนิดหน่อย..
    จะบอกว่าที่นี่ก็เป็นที่อยู่ของญาติเราตัวนึงครับ นั้นก็คือ ตุ๊กแก ร้องทั้งวัน และ ทั้งคืนครับ อาหารการกินคงอุดมสมบูรณ์ ตัวโต้..โต พูดแล้วขนลุกครับ เวลาประมาณ ทุ่มนึง ก็จะออกมาแล้ว หลายสีสรร ตาวาวๆ กลมๆแบบสะท้อนแสง และมันก็เกาะอยู่ตรงเยื้องๆประตูที่ chonatad จะเข้าห้องพอดี ทุกคืน...10 คืน ต้องแหงนมองและคอยระวังภัย..กลัวจะกระโดดมาเกาะคอ...

    ส่วน หอหญิง ก็จะเป็นตึก 4 ชั้น ชั้นที่ 2 เป็นห้องทานข้าว และห้องประชุม แต่ที่เห็นนี้ ถนนอยู่บนชั้น 4 ครับ ชั้นล่างต้องเดินลงไปอีก อยู่ได้หลายคนครับ เพราะผู้ปฎิบัติหญิงมีมากกว่าชายเยอะ เล่าได้ไม่เยอะครับ เพราะไม่ได้ไปอยู่ อิอิ เป็นไงบ้างก็ไม่รู้ แต่ได้คุยกันตอนขากลับ บอกว่าค่อนข้างร้อนนิดหน่อยไม่มาก แค่พัดลมจ่อก็หายร้อนแล้ว ตอนกลางคืนก็จะเงียบมาก แต่ขยับตัวนิดเดียวเตียงก็ตังอ๊อด แอ๊ด จนบางคนอยากจะเอาที่นอนลงมาปูที่พื้นเลยทีเดียว
     
  2. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    ส่วนอาคารปฎิบัติวิปัสสนานั้น จะเล่าให้ฟังครับ ก็เหมือนกันศาลาหล้งใหญ่ๆทั่วๆไป ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างหอหญิง กับ หอชาย จุผู้ปฎิบัติได้ 100 คน เป็นที่ๆสงบมากครับ เงียบจนไม่กล้าที่จะกลืนน้ำลาย...จริงๆครับ โดยเฉพาะตอนเช้าๆ ตี 4 กว่า ถึง 6 โมง ถ้าใครได้ลองไปนั่งปฎิบัติดู แม้แต่เสียงเข็บตก..ก็ได้ยินครับ ก็ขำๆดีเวลาคุยกันตอนขากลับ ฝ่ายหญิงก็บอกว่า "ฝ่ายชายสงสัยหิวข้าว ท้องร้องแต่เช้าเลย" ได้ยินมาถึงฝังนี้ จ๊อกๆๆๆๆๆ ขนาดเสียงเบาๆอยู่ในท้องเราแท้ๆ (อิอิ ของตัวเองก็ร้องเหมือนกัน) ห้ามมันก็ไม่ได้ ไปรบกวนสมาธิคนอื่นหมด กลืนน้ำลายบ่อยๆก็เกรงใจคนข้างๆ พระท่านก็ขยับตัวบ่อยเหลือเกิน เสียงอาสนะก็ดังเอี๊ยดๆเบาๆ อยู่ตลอด (คราวนี้มีพระมาปฎิบัติรวม 4 รูปครับ Chonatad นั่งต่อท่านเลยครับ ก็น่าเห็นใจครับ นั่งนานๆมาหลายๆวัน
    ห้องกว้างมากครับ จุผู้ปฎิบัติได้ถึง 100 คน มีเบาะรองนั่งทุกที่ พร้อมเบาะเสริม ถ้าใครต้องการเบาะพิเศษ หรือ เก้าอี้ ก็ขอจากธรรมะบริกรได้ครับ

    เดี๋ยวขอเล่าเรื่องเก้าอี้หน่อยครับ..หลังจากที่ทนนั่งมาวันละ เกือบ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วัน..ต้องบอกก่อนว่า ไฟท์บังคับที่ต้องนั่งแน่ๆเพราะเป็นชั่วโมงปฎิบัติรวม และพระอาจารย์ก็มา บังคับวันละ 5 ชั่วโมง ที่เหลืออีก 7 ชั่วโมงเป็นปฎิบัติในห้องพักของตัวเองก็ได้ หรือ จะมาปฎิบัติที่ห้องปฎิบัติรวมก็ได้ แต่ 3 วันแรก chonatad ขยันมาก พากเพียรสุดๆ เข้าทุกชั่วโมงเลย กะให้บรรลุไปเลยล่ะงานนี้ นึกในใจจริงๆนะครับ ตายเป็นตาย แต่ก็นึกในใจอีกเหมือนกันว่า..คงไม่ตายหรอก อย่างมากก็ขาพิการ..555+.. แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า วันที่ 4 คือพรุ่งนี้ พระอาจารย์จะให้นั่งโดยไม่อนุญาติให้ขยับ หรือ เปลี่ยนท่านั่งเลยครั้งละ 1 ชั่วโมง วันละ 3 ครั้ง เช้า..บ่าย..ก่อนนอน..(ฟังเหมือนกินยาหลังอาหารย้งไงไม่ทราบ) คือเรานั่งมา 36 ชั่วโมงแล้วอ่ะ ปวดเป็นยังไง ปวดขนาดไหน เราหยั่งรู้แน่ๆแล้ว และมั่นใจมากด้วย ว่าคงไม่รอดแน่ ยังไงก็ต้องขยับบ้างแหละ
    ในเช้าของวันที่ 4 ก็เลยไปกระซิบเบาๆ..ข้างๆหู ธรรมบริกรผู้ใจดี(ดูจากหน้าตาแล้ว ธรรมบริกรที่ฝ่ายชายมีอยู่ 3 คน แต่ละคนน่ารักมากเลยครับ อายุมากพอสมควร แต่มองดูหน้าทีไรแล้ว มีความสุข อบอุ่น เป็นหน้าตาของผู้ปฎิบัติธรรมโดยแท้จริง เวลายิ้ม เวลานั่ง(นั่งนานได้โดยไม่ขยับเลย เกือบ 2 ชั่วโมง เค้าทำได้อย่างไร หรือเค้าปฎิบัติมานาน) ท่านก็น้อมตัวมาฟัง..แต่ไม่พูด (ระหว่างการอบรมจะห้ามพูดคุยกันเลยเป็นเวลา 9 วัน อยู่กันด้วยความเงียบ ไม่ว่าจะเดินสวนกัน หรือ ทานข้าว เงียบดีครับ) ก็เลยพามาที่ห้องที่มิดชิดแล้วคุยกันเฉพาะกิจได้ ท่านก็บอกว่าต้องขออนุญาติพระอาจารย์ก่อน พระอาจารย์จะดูแลอย่างละเอียดทุกคน เพราะตอนเข้ามาก็ต้องกรอกรายละเอียดส่วนตัว ให้พระอาจารย์ทุกคน และเบาะรองนั่งก็มีหมายเลขกำกับทุกที่นั่ง ท่านจึงรู้ว่าใครเป็นใคร จากนั้นก็ขึ้นไปพัก....รอฟังผล ....ไม่นาน ธรรมะบริกรท่านนั้นเดินมาที่ห้องแล้วบอกว่า "ท่านไม่อนุญาติ" เราก็นึกในใจแล้วล่ะ ว่าคงไม่ได้แน่ นี่ขนาดเรา "ยอมแก่" ยังไม่ได้เลย ท่านบอกอีกด้วยว่า "เก้าอี้มีไว้สำหรับผู้สูงอายุเท่านั้น" เท่านั้นล่ะครับ ก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา ทันทีทันใด...แปลกไหมครับ?? ว่าทำไมถึงไม่เสียกำลังใจเลย...ก็เพราะว่า "เราไม่มีทางเลือกไงล่ะครับ" 555+ก็ต้องสู้ต่อไปและพากเพียรมากขึ้น

    จะเล่าถึงความรู้สึกข้างในนิดครับว่า รู้สึกปิติมากๆ หลังจากที่เราผ่านความเพียรมาได้ โดยเราสามารถทำได้ดี (ทั้งๆที่ปวดและเมื่อยขาสุดทนมาตลอด) น้ำตาไหลเลยครับ ระหว่างนั่งปฎิบัติอยู่ นึกขอบพระคุณพระอาจารย์มาก ที่ไม่อนุญาติให้เรานั่งเก้าอี้ ไม่งั้นเราคงไม่รู้สึกภูมิใจ และ มีความสุขมากขนาดนี้..

    ธรรมะบรรยายกล่าวว่า การปวดต่างๆ ความไม่สบายต่างๆ นั้นทำให้เราได้เห็น อจิจจัง เห็นทุกข์ เห็นการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกสิ่งอย่าง เกิดดับ และการพิจารณาแบบนี้บ่อยเกิดผลดีต่อเราแน่นอน จะทำให้เราวางใจเป็น อุเบกขา ได้ และนั่นคือ การหลุดพ้น...ฟังดูง่ายๆครับ แต่ทุกอย่างมันมีหลักง่ายๆอยู่เพียงนี้เอง

    สรุปว่าวันที่ 4 นั่งจนไม่ขยับเลย 3 ช.ม. ตกดึกคืนนั้นต้องทานยาแก้ปวด..แต่เป็นแก้ปวดหัวครับ..ขาน่ะหายปวดไปตั้งนานแล้วว เพราะต้องใช้ ขันติ อย่างสูงมากเลยครับ และได้สังเกตุดูในคืนวันที่ 4-5 ช่วงธรรมะบรรยายท่านอาจารย์แอบมอง สองวันติดกันเลย ว่าเอ๊ะ..ทำไมเราทำได้ โดยไม่ขยับท่านั่งเลย......เฉลย ก็คือว่า ใน 7 ชั่วโมงที่ให้ปฎิบัติในห้องพักได้ เราขอแค่ 4 ชั่วโมง ปฎิบัติในห้องพัก คือช่วงเช้า 2 ชั่วโมง และตอนบ่ายอีก 2 ชั่วโมง คือมันได้ขยับหรือพักไปในตัว ยืดแข้ง ขา ได้ ทำให้สามารถนั่งได้ทนขึ้น..มีเพื่อนๆหลายคนทำตาม แต่ไม่ได้คุยกัน แต่คงเห็น chonatad หายไปไหน?

    วันที่ 1-4 นี่ ช้ามาก พอวันที่ 5..6..7..8..มันเร็วจน...นึกในใจว่า เฮ้ย!! จะรีบไปไหน กำลังมีสมาธิ จิตกำลังดี แล้ววันที่ 5.. 6..7..8..ก็ได้เรียนรู้ถึง วิปัสสนา อย่างแท้จริง 4 วันแรกนั้นแค่นั่งดูลมหายใจ เรียกว่า สัมมาสมาธิ เท่านั้นเอง

    อ้างอิงมามาส่วนบางตอนครับจากเว็บ http://www.thai.dhamma.org/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2009
  3. บุษบากาญจ์

    บุษบากาญจ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    9,476
    ค่าพลัง:
    +20,271
    เล่าเรื่องได้น่าอ่านเหมือนกันนะคะ ^______^
     
  4. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    ยังมีรายละเอียดอีกเยอะครับ เรื่อง อาหาร..เรื่อง..การปฎิบัติ..และเรื่องแปลกๆ รวมทั้งธรรมะด้วยครับ ขอพักเมื้อยก่อนครับ..^^
     
  5. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    เรื่องอาหารการกินที่นี่ก็สุดยอด เป็นอาหาร "มังสวิรัติ" จะว่าเป็น "เจ" เลยก็ว่าได้ เพราะไม่มี กระเทียม..ไข่..กับผักฉุนเลย ยกเว้นก็แต่พวก นม เนย ซึ่งอยู่ในจำพวก เครื่องดื่ม จะบอกว่าเป็นอาหารที่อร่อยมาก ทุกมื้อ และ ทุกวัน ไม่ซ้ำกันเลยครับ รสชาดก็ออกกลางๆ รสไม่จัดจนเกินไป แต่ก็ไม่จืดสนิท ขนาดศิษย์ส่ายหน้า ซะเกินไปนัก คนมีอายุ หรือ มีโรคภัย ก็ทานได้อย่างสบายใจครับ ส่วน chonatad นั้น 2 วันแรกทานอย่างไม่ยั้ง จนรู้สึกอึดอัด ต้องค่อยๆลดปริมาณลง ต้องฝืนใจเพราะอาหารนั้นอร่อย! แต่เราก็คงไม่ปล่อยให้ กิเลส มันฟ้อง ฟู ซะได้ยังไง เรามาปฎิบัติธรรมนี่นา ไม่ได้มากินเลี้ยงซะหน่อย ก็ลดลงได้(เหนื่อยเหมือนกัน)

    สำหรับผู้ที่มาปฎิบัติใหม่เป็นครั้งแรก ทางศูนย์ก็ให้ทานมื้อเย็นได้ แต่พอวันที่ 5..ไปแล้วก็จะมีแต่น้ำ ปานะ กับผลไม้ และก็เครื่องดื่มเท่านั้น รวมทั้งขนมปังด้วย แต่ทุกคนก็อยู่กันได้ไม่เป็นไร เพราะที่นี่ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากนัก เวลาว่างก็เยอะ ดังนั้นเวลาเช้า chonatad ก็เลยเดินออกกำลัง ดูวิว ชมบรรยากาศยามเช้าซะเลย

    การปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    ใน 4 วันแรกนั้นก็จะเป็นการดูลมหายใจแต่เพียงอย่างเดียว ให้รู้สึกถึงลมหายใจที่ผ่านเข้า-ออกที่โพรงจมูกเท่านั้น จนถึงวันที่ 5 ก็จะเริ่มวิปัสสนากรรมฐานโดยดูความรู้สึกของร่างกายเราทั้งหมด อันนี้ได้แนะนำวิธีปฎิบัติไว้บ้างแล้วข้างบน ไม่อยากบอกมากครับ เพราะอาจจะทำให้ผู้ปฎิบัติ สับสน ได้ ควรจะได้มีการไปฝึกปฎิบัติเองที่ศูนย์ด้วยตัวเองจะดีกว่า

    เรื่องแปลกๆ

    ในระหว่างการปฎิบัติของช่วงเช้าวันที่ 9 นั้น ระหว่างกำลังมีสมาธิอยู่นั้น ในความรู้สึกก็เห็นแสงไฟเป็นดวงๆ สว่างวูบๆ วาบๆ สีเหลือง ออกสีทอง จ้ามาก ตอนแรกก็นึกว่าตาเราเป็นอะไรหว่า....แย่แล้ว สงสัยจะไม่สบาย ยอมเปิดตาดู(ทั้งๆที่พระอาจารย์ห้ามขยับตัว และ ลืมตา) แต่ก็ไม่ไหวแล้ววนี่ ตาเราไม่เคยเป็นงี้มาก่อน..ปรากฎว่าบรรยากาศรอบๆตัวก็ เป็นปกติดีนี่นา ไม่เห็นจะมีแสงไฟที่ไหนมาส่องตาเราซะหน่อย แดดก็ไม่มี ห้องก็มืดๆ สลัวๆ ..เมื่อไม่มีอะไรก็ลองหลับตาดูอีกครั้ง...แสงนี้นก็ยังคงอยู่ เอ๊ะ..นี่มันเกิดอะไรขึ้น ส่วนใหญ่เวลาเรานั่งสมาธิ ก็จะมีจิตรวม แล้วตัวโยกไปมา ตัวเบาๆ ไม่เคยพบแสงอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินคนอื่นๆเค้าเล่าว่าเห็นโน้นเห็นนี่ ก็เลยคิดว่าคงจะคล้ายๆกัน ก็เลยช่างมันครับ พระอาจารย์ก็ยังบอกว่าอย่าไปสนใจ ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกที่ดี เบา สบาย ซ่าๆ หรือความรู้สึก แน่น ทึบ อึดอัด ปวด อย่างไรก็ตาม ขอให้จิตเป็น อุเบกขา ให้มากที่สุด มาฝึกที่นี่เห็นท่านอาจารย์เน้นที่ อนิจจัง กับ อุเบกขา
    ส่วนความรู้สึกเวลาเราสำรวจร่างกายของเรานั้น ก็จะไม่นำมาเล่าให้ฟังนะครับ เป็นเรื่องที่ต้องไปปฎิบัติ และ ติดตามดูเอาเอง ของใครของมันไม่เหมือนกันแน่ครับ เนื่องจาก ภพภูมิของเราแต่ละคนก็แตกต่างกัน สังขาร วิญญาณก็ต่างกัน จำนวนภพภูมิก็ไม่เท่ากัน ความรู้สึกต่างๆที่ได้จึงไม่เหมือนกัน

    อ้างอิงมามาส่วนบางตอนครับจากเว็บ http://www.thai.dhamma.org/<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2009
  6. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    ในที่สุดก็ต้องออกมาเล่า..มาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนฟัง..
    จะรออ่านต่อค่ะ..ยังไม่ให้จบง่าย ๆ หรอก..ไปตั้ง 10 วัน..^_____^..
     
  7. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    ทนไม่ไหว ต้องออกมาเล่าน่ะ..แต่ก็ข้ามไปซะตั้งเยอะครับ รายละเอียดมันมีมาก เอาที่สำคัญๆมาเล่าก็พอแล้ว จะให้เจาะลึกทุกรายละเอียดก็สามารถ แต่ไม่ทำครับ(เล่นตัวอีกแน่ะ)
    :z2
     
  8. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    เล่าได้ดีมากนะค่ะ น่าสนใจ น่าติดตาม แต่ช่วงแรกไม่ได้อ่า่นนะค่ะ เพราะเข้าเว็ปไซด์ของสถาณที่ไปแอบอ่านมาหมดแล้วช่วงที่คุณไม่อยู่ เลยรู้ลึก รู้ซึ้งแล้วค่ะ โมทนาบุญด้วยทุกประการนะค่ะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

    ขอบคุณนะค่ะที่อ้างอิงกระทู้ไส้ติ่งด้วย เดี๋ยวก็โดนขุดขึ้นมาให้ตอบอีกหรอก อุตสาห์จะให้เงียบๆ ให้กระทู้ตายแล้วนะเนี่ย
     
  9. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    ขอบคุณครับ คุณบุษ จะให้เล่าถึงอาหารเจด้วยหรือเปล่า คุณบุษคงจะสนใจ อิอิ อร่อยไม่ซ้ำแบบครับ แต่ละวัน แต่ละมื้อมีลุ้น ว่าวันนี้จะเป็นยังไง ของหวานก็ใช่ย่อยครับ ข้าวเหนียว+มะม่วง นี่สุดยอด..แต่ข้าวเหนียวจะเป็นแบบข้าวเหนียวบ้านนอนน่ะ มันจะไม่หอม หวาน มัน เหมือนที่กรุงเทพนะ แต่ก็อร่อย ^^
     
  10. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าครับ เป็นเรื่องที่น่าประทับใจทั้งนั้น แล้วก็มีประสบการณ์แปลกๆอีกเรื่องนึง กับ ความฝัน ที่แปลกๆ และความปิติที่ได้รับช่วง 5 วันหลัง เก็บไว้ประทับใจคนเดียวดีกว่า กลัวคนอ่านจะเบื่ออ่านซะก่อน ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะครับ

    ตกลงจบแล้วยังครับ จบยังไง>? เดี๋ยวจะเข้าไปอ่าน เงียบๆ ไม่ให้ใครได้ยิน ดีไม๊ครับ ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2009
  11. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    วันที่ 10 ไม่มีไคแม๊กเลยครับ เป็นวันที่เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ทางศูนย์มีการเลี้ยงไอศครีมส่งท้ายอีกนะ วันที่ 10 เป็นวันที่สบายๆครับ ไคแม๊กอยู่ช่วงวันที่ 5 - 9 ครับ
     
  12. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    ขอบใจจ๊ะ พี่จะบอกว่า 4 วันแรกคิดถึงบ้านมาก แต่พอจบหลังสูตรจึงรู้ว่าเราได้เห็นธรรมมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มากพอต้องพากเพียรมากขึ้นกว่านี้อีก
     
  13. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    ขอบคุณครับคุณแก้ว หายไปไหนหลายวันเลยครับ..
    ตอนจะไปก็อยากชวนเพื่อนๆไปกัน แต่พอ 4 วันแรกก็เปลี่ยนใจครับ เพราะต้องใช้ ขันติสูงมากในการปฎิบัติ ไม่อยากให้เพื่อนๆมาลำบาก แต่ตอนนี้อยากให้ไปปฎิบัติกันครับ และยังนึกขอบคุณคนที่ชวนเรามาด้วยซ้ำ(ตอนแรกไม่ขอบคุณครับ อิอิ)และน่าจะเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นได้ไม่ภพนี้ก็ภพหน้าหรือภพต่อๆไปแน่นอน ค่อยๆสะสมบารมีไปเรื่อยๆครับ ก่อนจะเข้ารับการฝึกต้องมีการปฎิญาณตนก่อนด้วยนะครับว่าจะไม่กลับก่อนการฝึก ต้องอยู่ให้ครบ 10 วัน การปฎิบัติครั้งนี้มี ฝรั่ง 3 คน(ฝ่ายชายนะครับ) ตั้งใจปฎิบัติทั้งสองคน และเก่งมาด้วย โดยเฉพาะคนหนุ่มๆ อายุ 41 ปี ตั้งใจและนั่งได้นาน ส่วนอีกคนก็ชื่อ เดวิท (คนนี้พูดไทยเพราะเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ)อายุมากแล้ว นั่งเก้าอี้อยู่ด้านหลัง ตอนแรกก็นั่งหน้าผมอยู่ดีๆหละครับ แต่คงเมื้อยมากเลยขอเก้าอี้ใน 5 วันหลัง แต่อีกคนนี่ ทั้งบ่นเป็นอังกฤษ ถอนหายใจ และหนีกลับในวันที่ 10 ครับ คงคิดว่ามาพักผ่อนมั้งครับ และเค้านอนเต้นท์ด้วยคงจะไม่สะดวกในหลายๆอย่าง เค้าก็เป็นวัยรุ่นๆ แต่ดูลักษณะแล้วควรจะไปล่องแก่งซะมากกว่าครับ ^^
     
  14. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530


    อ้าว!!..แล้วที่เตือนว่าให้เอายาทากันยุงติดไปด้วยน่ะ..ได้ใช้หรือเปล่า??..เล่ามาโลด..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2009
  15. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    ก็เอาติดไปขวดนึงนะ แต่ไม่ได้ใช้เลยครับ ห้องพัก กับห้องปฎิบัติรวมก็เป็นมุ้งลวดหมด ตรงประตูทางเข้ามีมุ้งสองชั้นสีขาวผืนใหญ่กันยุงอย่างดีครับ แต่วันท้ายๆ ก็มียุงเข้ามาหลายตัวเหมือนกัน..ฟังธรรมไป ทายาหม่องไป
     
  16. VKK

    VKK สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +19
    เล่าสนุกน่าติดตามดีครับ
     
  17. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    ความรู้สึกอีกอย่างนึงที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ ในคืนวันที่ 9 พึ่งจะเริ่มนอน ประมาณ 5 ทุ่ม ก็ยังไม่หลับดี(ครึ่งหลับครึ่งตื่น) เหมือนกับจะฝัน รู้สึกตัวเราหายปวดหายเมื่อยทันทีทันใด แล้วซ่าไปทั้งตัว ตัวเบา และ สบาย อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย พร้อมกับจิตใจที่เบิกบานอย่างบอกไม่ถูก และ ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเลยครับ จากนั้นตัวเราก็ค่อยๆลอยสูงขึ้น สูงขึ้น เรื่อยๆ แต่ก็ด้วยความตกใจก็ตื่นขึ้นมาทันที ทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ..อยากเล่าประสบการณ์นี้ให้ฟังครับ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่ง หรือ วิเศษอะไรนะครับ ทุกอย่างมัน เกิดดับ เป็น อนิจจัง ทั้งนั้น หรืออาจจะเป็นความรู้สึกที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความคิดก็ได้ แต่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดบ่อยนัก ก็อยากเก็บเป็นประสบการณ์ แล้วเผื่อเพื่อนๆที่เคยพบเจอ สิ่งต่างๆ จะได้มาแชร์ความเห็นกันครับ แต่ก็มีเพื่อนคนหนึ่งก็เล่าว่า เมื่อหลับตานั่งดูลมใหม่ๆ ก็เห็น พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ลอยมาจากไกลๆ ค่อยๆเลื่อนใกล้เข้ามา แล้วหายไป

    แต่ในการไปอบรมนี้ได้บอกว่า ควรจะปฎิบัติด้วยวิธีนี้เพียงวิธีเดียวก่อน ไม่ใช่ว่าวิธีอื่นไม่ดี แต่เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าวิธีนี้ดีอย่างไร ถูกจริตเราหรือเปล่า จะได้เข้าใจได้ดีมากกว่าปฎิบัติหลายๆอย่าง จะได้ไม่สับสน เมื่อกลับไปบ้านแล้ว ถ้าเห็นว่าดีก็ปฎิบัติต่อไป แต่ถ้าเห็นว่าไม่ถูกจริตก็จะไปปฎิบัติแบบเดิมต่อไป

    :z1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2009
  18. jantra2008

    jantra2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +185
    สาธุ สาธุ สาธุ อยากไปปฏิบัติบ้างแต่ตอนนี้ ขอปฏิบัติดูแลแม่ที่โรงพยาบาลก่อน อยากพาแม่ไปปฏิบัติธรรมด้วย
     
  19. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    [​IMG]

    ห้องปฎิบัติธรรมฝ่ายชายอยู่ซ้ายมือครับ ตรงกลางเป็นห้องปฎิบัติรวม ส่วนด้านขวาเป็นหอพักหญิงครับ มี 4 ชั้น บรรยากาศเงียบสงบมากครับ ถ้าอยู่ในช่วงเวลาปฎิบัติ จะห้ามรถหรือคนนอกเดินผ่านเลย ทุกอย่างจะเป็น ระบบ ระเบียบดีมาก และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกครับ แต่ว่าศูนย์ปฎิบัติธรรมในแต่ละที่ ก็จะแตกต่างกันนะครับ ในเรื่องของภูมิประเทศ อากาศ และ ลักษณะของอาคารต่างๆ คราวหน้าจะหาโอกาสไปที่ "ธรรมลาภา"ครับ อยู่จังหวัด พิษณุโลก ซึ่งน้องสาวไปมา ก็ต้องการเปลี่ยน Location บ้างครับ แต่ในเรื่องการปฎิบัติก็คงเหมือนเดิม จริงๆแล้วไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ปฎิบัติได้ทั้งนั้นนะ ที่บ้านก็ทำได้ ขอให้ตั้งใจและพากเพียรครับ การไปศูนย์ปีละครั้งก็เพื่อการปฎิบัติที่ดีครับ เพราะสถานที่สงบเงียบ ไม่มีสิ่งรบกวน หลุดออกจากโลกภายนอก ซึ่งก็จะได้เปรียบกว่าปฎิบัติอยู่ที่บ้าน ได้สมาธิดีกว่า ผลของบุญ บารมีก็น่าจะมากตามไปด้วย

    เป็นเรื่องที่แปลกมากครับ เรื่องผู้ชายที่มาปฎิบัติธรรมเนี่ย ไม่ว่าที่ไหนก็มีจำนวนน้อยกว่าผู้หญิง(จะว่าไปก็ไม่แปลก เพราะเป็นอย่างนี้มานานแล้ว) อย่างคราวนี้ผู้ชายมีเพียง 22 คน ฝ่ายหญิงมี 80 คน ยังไม่รวมธรรมบริกรอีกครับ ธรรมบริกรเล่าให้ฟังว่า ที่นี่เคยเกือบจะยุบที่พักฝ่ายชายไปแล้ว เนื่องจากไม่มีผู้มาปฎิบัติเลย แต่ ณ วันนี้ก็มีมากพอสมควร ดังนั้นเราจึงควรรักษาสิทธิ์ของเราไว้ นี่เป็นคำเตือนของธรรมบริกร ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเป็นเช่นนี้

    มีอยู่คนนึงครับ ถ้าให้ไปเจอข้างนอกที่ปฎิบัติ รับรองครับ ไม่มีคนกล้าคบหาสมาคมด้วยเลย ให้ตายสิเอา...เพราะทั้งตัวน่าจะมีแต่รอยสัก โดยเฉพาะบริเวณ คอ แต่ว่าเค้าใส่เสื้อแขนยาวนะครับ เห็นแค่ คอ กับ ข้อมือ ดูเป็นวัยรุ่นอายุประมาณเกือบๆ 30 แต่เชื่อไหมครับ?..ว่าเค้านั่งสมาธิได้ทนมาก ไมกระดุกกระดิกเลย ไม่มองใคร และนั่งก้มหน้าเล็กน้อย พอถึงเวลาพัก 5 นาที ก็ไม่พัก เค้าก็นั่งอยู่อย่างนั้น 3 ชั่วโมงเลย.. ก็ได้คุยกันครับ ตอนขากลับ อุปนิสัย ร่าเริงดี ดูเป็นคนเรียบๆ แต่ดูมีจิตใจดี ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลย แล้วเค้าก็ได้ปฎิบัติอย่างนี้มานานแล้ว เกือบ 30 ครั้งได้ จึงเกิดความคิดที่ว่า "จิตที่ดี จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาสู่เจ้าของ" หรือ "จิตที่ฝึกฝนดีแล้ว มีค่ายิ่งกว่าเพชร หรือของมีค่าทุกอย่าง" ต่อให้ความร่ำรวยอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าจิตดวงนั้น ไม่สดใส และ บริสุทธิ์"..."คบคนอย่าคบแต่เปลือกนอก ต้องดูให้ลึกถึงข้างใน" ...อิอิ เอาคำคมมาไว้เพียบเลย นึกอะไรได้ก็เขียนเลย อ้อ ฝ่ายหญิงก็มีครับ ที่ดูนั่งมีสมาธิดี แต่ไม่เท่าฝ่ายชายครับ ที่ดูเคร่ง ขรึม และน่าศรัทธา จะว่าฝ่ายชายเคร่งก็ไม่ใช่หรอกครับ เราไม่ได้ไปคลุกคลีกับฝ่ายหญิงนี่ครับ ก็เลยไม่ค่อยได้เห็น เวลาเดินเข้าไปในห้องก็ค่อยๆย่องๆ เบาๆ ไม่ให้พื้นสะเทือน และต้องสำรวมทุกอย่างครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2009
  20. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    "อุเบกขา" เป็นหัวใจของการฝึก อานาปานสติ ไม่ว่าเราจะดูลมที่โพรงจมูก หรือความรู้สึกในส่วนต่างๆตามร่างกาย ไม่ว่าจะมีความรู้สึกใดๆ ไม่ว่าจะรู้สึกดี เบา สบาย โปร่ง หรือ รู้สึกไม่ดี ปวด ทึบ แน่น คัน อึดอัด ก็ให้กำหนดจิตให้เป็นอุเบกขาไว้ และก็ให้ระลึกอยู่เสมอว่า ทุกอย่าง เกิดดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็น อนิจจัง แต่ถ้าไม่รู้สึกเลยก็ใช่ว่าเราจะไม่ประสบผลสำเร็จ ความสำเร็จอยู่ที่ ใจ ที่เป็นอุเบกขา จึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ อุเบกขายังเป็นตัวลดการสะสมของสังขารด้วยนะครับ การสะสมของสังขารก็คือการเพิ่ม ภพภูมิ ให้มากขึ้น การจะไปถึงจุดหมายปลายทางก็ยากยิ่งขึ้น..การวางเฉยนั้น จะทำให้สังขารเก่าๆที่ไม่ดี หรือที่เป็นกรรมเก่า ผุดขึ้นมา แล้วก็หายไป เพราะเราวาง..เพราะเราไม่รับ..(เปรียบเสมือนการที่มีคนเอาของกำนัลมาให้เรา แล้วเราไม่รับ ของกำนัลนั้นจะไปอยู่ที่ไหนครับ? ถ้าเราไม่รับ....มันก็จะกลับไปสู่คนให้นั้นเอง)....เช่นเดียวกันครับ ถ้ามีคนเอาความโกรธ ความหลง (โลภะ โทสะ โมหะ) หรือ ความรู้สึกยินดี พอใจ ชอบ คือไม่ว่าจะเป็นความรุ้สึกทั้งที่ดี (พอใจ) และไม่ดี (ไม่พอใจ) เช่น มีคนมาด่าว่าเราด้วยความโกรธ ถ้าเราไม่รับ เราไม่โกรธตอบ ความโกรธนั้นก็จะกลับไปสู่คนที่ด่าว่าเรา เพราะเราไม่รับ เพราะเราวางเฉย นี่คือ อุเบกขา ส่วนถ้ามีสิ่งที่มาทำให้เรารู้สึกชอบ พอใจ ยินดี เราก็ควรจะวางเฉยด้วยนะครับ อย่าไปรับ เพราะไม่ว่า จะพอใจ หรือ ไม่พอใจ มันคือ กิเลส ทั้งสิ้น จะเป็นการไปเพิ่มสังขารใหม่ๆ ทำให้ภพภูมิ เพิ่มขึ้น...แทนที่จะใกล้นิพพาน กลับยิ่ง ห่างไปเรื่อยๆ

    และให้พยายามสังเกตุ เวทนา ตลอดทั้งวันด้วยครับ ไม่ว่าจะ ยืน เดิน นั่ง นอน ทานข้าว แปรงฟัน ฯลฯ ให้มีสติอยู่กับ เวทนา เพื่อที่จะทำให้เราระลึกรู้อยู่ตลอดว่า สังขารไม่เที่ยง เป็น อนิจจัง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

    อยากให้เพื่อนๆได้ไปปฎิบัติดูนะครับ จะได้รู้ถึงหนทาง หลุดพ้น จริงๆพวกเราก็ทราบกันดีอยู่ว่าจะทำอะไร อย่างไร แต่ก็ยากครับ ที่จะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง..ถ้าเราไม่เข้าไปคลุกคลีกับมัน ถ้าเราไม่ปฎิบัติอย่างจริงจัง ก็จะไปเกิดผลอะไรหรอกครับ จริงๆนะครับ..อย่าลืมนะครับว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร..ไม่ได้เกิดมาเพื่อความพอใจ และ ไม่พอใจ กับสิ่งต่างๆที่มากระทบ อายตนะทั้ง 6..อันนั้น มนุษย์ทุกคนมีครับ แข่งกันเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าเขา ว่าเรา ไม่มากก็น้อยหละครับ แต่เราเกิดมาเพื่อสร้างสมบุญ บารมี เรานี่โชคดีนะที่เกิดมามีร่างกายที่สามารถปฎิบัติธรรมได้ เราควรรีบทำเลยนะครับอย่าให้ช้า ถึงแม้ว่าจะทำได้ไม่เต็มที่ ก็ยังดีกว่าพวกที่ทำแต่กรรมไม่ดี และ ไม่ยอมปฎิบัติเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...