ประสบการณ์จริง..เจ้ากรรมนายเวร ในอดีตชาติของผม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โมกขทรัพย์, 13 มิถุนายน 2012.

  1. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    476
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,858
    ก่อนหน้านี้ประมาณ ๖เดือนที่แล้วผมเองนั้นเลวเข้าขั้นครับ เรียกว่าครบสูตร ศีล๕นี้...รักษาได้ข้อเดียวคือข้อปานาติบาตเท่านั้น ที่เหลือ ขาดหมด กินเหล้า เล่นการพนันเที่ยวเตร่ สำมะเลเทเมา เจ้าชู้หลอกผู้หญิงไปทั่ว ผลาญเงินพ่อแม่ที่สะสมมาจนแทบหมดตัว ทำให้พ่อแม่น้ำตาตก ชีวิตในช่วงนั้นบำเพ็ญเพียรความชั่วชนิดที่นรกต้องการตัว จองตั๋วให้เลยครับ ประมาณว่าหากตายตอนนั้นก็ลงไปเล่นของเล่นข้างล่างได้เลย ตกต่ำสุดๆ แล้วผมก็รู้สึกว่าตัวเองทุกข์สุดๆไม่มีความสุขเลย

    จนวันหนึ่ง... ก่อนนอน ผมลองสวดมนต์ไหว้พระ เผื่อจิตใจจะดีขึ้นบ้าง ในคืนนั้น ผมฝันแปลกๆ ในฝันผมเจอพระแก่ๆผิวค่อนข้างคล้ำ สวมเแว่นตา ถือไม้เท้า หน้าตาถมึงทึง ชี้หน้าผม พร้อมกับกล่าวว่า "ลูกหลานไม่ร้ักดี อยากลงนรกมากใช่ไหม"...? ท่านพูดแค่นี้แล้วก็ค่อยๆหายไป ผมตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าคงแค่ฝันไป วันนั้นนึกยังไงไม่รู้ลองเข้าไปดูธรรมะในเวปธรรมมะต่างๆ ได้อ่านธรรมะหลวงพ่อองค์หนึ่งซึ่งโดนใจมากเพราะออกแนวเหลือเชื่อ หลุดโลก ประมาณผีสาง เทวดา อะไรเทือกนี้ (ตอนนั้นผมยังไม่เชื่อเรื่องผี แต่ชอบอ่านเพราะมัีนส์ดี) รู้สึกว่าท่านชื่อหลวงพ่อฤาษีฯนี่ล่ะครับ พอคลิกเข้าไปดูรูป...

    ผมตกใจ...! แทบช๊อก...แทบไม่น่าเชื่อสายตาตนเอง.. ก็หลวงพ่อองค์นี้ล่ะที่ไปเข้าฝันผมใช่แน่ๆ ผมจำไม่ผิดชัวร์ๆ ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับผมแล้ว ผมคิดในใจ ...ชักยังไงล่ะเรา เอาวะ...! ในเมื่อมีเหตุก็ต้องปัจจัยสิน่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองดูซักหน่อยสิ จะเป็นไรไป มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ...ยิ่งทำให้ผมสนใจตัวท่าน จึงศึกษาประวัติของท่าน และคำสอนของท่านจากอินเตอร์เนต เวลาขับรถไปทำงานก็เอา คำสอนท่านไปฟังในรถ หากว่างก็อ่านหนังสือของท่าน

    หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาก็ยิ่งสนใจธรรมะท่าน...มากขึ้น...มากขึ้น จนที่สุดก็ลองปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางของท่าน จนในที่สุดก็ตัดสินใจไปฝึกมโนมยิทธิ (ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจไปฝึกเพราะ เห็นกระทู้ของครูบอล และ กระทู้ของพี่สาว ที่เกี่ยวกับมโนมยิทธิ ไอ้เราก็สงสัย เอ๊ะ..! มันถูกจริตเรานะเรื่องแบบนี้ เรื่องฤทธิ์เรื่องเดช อภิญญา เหล่านี้ มันใช่เลย ต้องขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ)...วันแรกที่ฝึกมโนฯ...แปลกมากผมสามารถไปได้เลย และมั่นใจว่านั่นไม่ใช่อุปาทาน เนื่องจากผมไม่ได้คิดไม่ได้นึกว่าภาพจะต้องเป็น แบบนั้น..แบบนี้ แต่วันนั้นภาพที่ปรากฏก็คือสิ่งที่ผมไม่เคยพบไม่เคยเจอมาก่อนเลย .... นรก สวรรค์ นิพพาน มีจริงหรือนี่..? นับแต่วันนั้นมุมมองความคิดผมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่า โลกนี้โลกหน้ามีจริง นรกสวรรค์มีจริง จากการที่ได้ปฏิบัติสมาธิภาวนาทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง...

    และหลังจากนั้น เป็นที่อัศจรรย์ใจแทบไม่น่าเชื่อ ทำให้ผมเปลี่ยนจากคนหลงผิด มาถือศีล ปฏิบัติธรรม จนแรกๆนั้นคนรอบข้างแปลกใจ แต่นั่นยังไม่เท่าไร ชีวิตดีขึ้นทันตา จากที่เคยใ้ช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เที่ยวเตร่ เคยสำมะเรเทเมา เปลี่ยนมาเลิกเที่ยว เลิกกินเหล้า หันหน้าเข้าหาธรรมะอย่างเดียว จนมีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ (อันนี้ก็อาจจะเกิดจากการท่องคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวันล่ะหลายร้อยจบ ก็น่าจะมีส่วนนะครับ )

    เข้าเรื่องดีกว่าครับ ออกทะเลไปไกลล่ะ ... เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อสามวันก่อน จู่ๆผมก็รู้สึกปวดหัวมาก แรกๆก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่า ซักพักคงจะหาย แต่พอผ่านมาวันที่สอง มันยิ่งทวีความเจ็บปวดรุนแรง... ทนถึงขั้นอาเจียน กินอะไรก็อ๊วกออกมาหมด ก็เลยคิดไปถึงคำของครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า โรคที่เกิดขึ้นกับทางกายนั้น เป็นผลมาจากเศษกรรมของปานาติบาตทั้งสิ้น.. พอช่วงตอนเย็นก็เลยนั่งกรรมฐาน พอจิตนิ่งจนเ้ข้าถึงสภาวะฌานที่ละเอียด ก็ถอยสมาธิมาที่อุปจาระสมาธิ กำหนดภาพพระขึ้นมา แล้วกราบถามท่านดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน

    ทันใดนั้น...! พลันก็เกิดภาพ เหมือนการฉายภาพยนต์เป็นเรื่องเป็นราวเกิดขึ้นตรงหน้า ผมเห็นภาพ ตัวผมในอดีตชาิตินั้นเป็นพรานป่าหน้าตาเหี้ยมเกรียมคนหนึ่ง ไว้หนวดเครารุงรังน่ากลัว ถือมืดปลายแหลมอันใหญ่ กำลังไล่ทุบหัวลูกกวางตัวหนึ่งด้วยความคะนอง ปากก็ร้องรำทำเพลงด้วยความสะใจ และนึกสนุก ที่เห็นลูกกวางตัวนั้นวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน... กวางน้อยตัวนั้นมันวิ่งหนีด้วยความกลัว ลุ้มลุกคลุกคลาน คะเนว่า.. กวางตัวนี้คงเพิ่งจะคลอดเนื่องจากมันตัวเล็กมาก

    [​IMG]
    [​IMG]

    ม้ันพยายามกระเสือกกระสนหนีตาย แต่พรานหน้าโหดคนนั้นก็ไม่ลดละ ไล่ทุบหัวมัน ทุบเอา...ทุบเอา ..จนในที่สุด..มันล้มลง เอาเท้าถีบอากาศอยู่วืดๆ... และแล้วภาพที่น่าสยดสยองก็ปรากฏขึ้น พรานใจโหด เอามีดปลายแหลมอันใหญ่ ฟันฉับๆ และจ้วงแทงซ้ำๆที่คอกวางน้อยที่น่าสงสารตัวนั้น...จนตายคาที่....

    ผมถอนจิตจากสมาธินั้น ในนั้นก็นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อประมาณ๗ปีที่แ้ล้วผมเคยโดนโจร เอาไฟฟ้าช๊อตและทุบหัวจากข้างหลัง บนสะพานลอยแห่งหนึ่งเพื่อปล้นเอาโทรศัพท์ซึ่งในตอนนั้นผมก็เจ็บปวดเีจียนตาย หัวแตก เย็บหัีวถึง๑๔เข็ม นอนซมอยู่หลายวัน ในตอนนั้นคิดในใจ เราไปทำเวรกรรมอะไรไว้ถึงได้เป็นแบบนี้หนอ ..แต่ในตอนนี้ มันกระจ่างแจ้งแล้วว่า คงจะเป็นบุพกรรมที่ผมเคยทำไว้กับกวางตัวนี้กระมัง....ในใจนึกสลดสังเวชตนเอง และรู้สึกสงสารกวางตัวนั้นเหลือเกิน ทำไมผมในอดีตชาตินั้นจึงได้ใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้หนอ

    คิดได้เช่นนั้น ผมจึงกำหนดจิตไปว่า หากข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินให้ท่านได้รับความเจ็บปวดอันใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมนั้น เนื่องจากข้าพเจ้าได้รับรู้แล้วซึ่งความเจ็บปวดอันนั้น แม้จะไม่เท่าที่ท่านได้รับก็ตาม หากบุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพียรแ้ล้วจนถึงปัจจุบัน ขอให้ท่านจงโมทนาด้วยเถิด และบุญกุศลใดที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วข้าพเจ้าก็ขอโมทนาด้วยเช่นกัน

    บางท่านอาจจะสงสัย ทำไมต้องโมทนาบุญของเจ้ากรรมนายเวรด้วย เนื่องจากผมเคยได้ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า หากเราโมทนาในบุญความดีของเขา ก็จะมีผลทำให้ผลบุญความดีของเขาขยายตัวด้วย

    และไ้ด้อธิฐานจิตต่อไปว่า....หากข้าพเจ้าหายจากอาการเจ็บป่วยนี้แ้ล้ว จะถวายสังฆทานไปให้ ขอจงอย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันเลย ..... หลังจากนั้นผมจึงแผ่เมตตาและถอนจิตจากสมาธิ เป็นที่น่าอัศจรรย์อาการปวดทุเลาลงทันที แต่...ก็ยังไม่ได้หายขาดเลย ยังปวดอยู่แต่ไม่มาก ปวดๆหายๆ จนถึงวันนี้ก็วันที่สามแล้ว แต่วันนี้ไม่ปวดเท่าไรเกือบจะเป็นปกติแล้ว ..ผมคิดว่าพรุ่งนี้จะไปถวายสังฆทานอยู่ครับ จากวันนั้นทุกๆครั้งที่นั่งกรรมฐาน จิตผมก็จะนึกถึงกวางตัวนั้นตลอด และแผ่เมตตาให้ตลอด

    เรื่องกรรมนั้นมีจริงครับ ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาแ้ล้ว เร่งทำความดีกันเถิดครับ อย่าให้เหมือนผมเลยที่เสียเวลามามากแล้ว หากหลวงพ่อฤาษีฯไม่ไปตาม ป่านนี้ก็คงไปนอนในกระทะทองแดง ไปปีนต้นงิ้วเล่นแล้วครับ ผมเคยถามหลวงพ่อฤาษีในมโนฯนะครับว่าทำไมหลวงพ่อตามผมช้าจริง...(นั่น...! เลวจริงๆผม โทษหลวงพ่อซะงั้น) หลวงพ่อตอบว่า... "ก็เอ็งไม่รู้ทุกข์ จะรู้ไหมล่ะว่าความสุขเป็นอย่างไร จะเข้าถึงสัจธรรมไหม..? ต้องให้ทุกข์มากๆจะได้สำนึก"... แหม..อึ้งครับเจอคำตอบ แ่ค่หลวงพ่อมาตาม ก็บุญคุณหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว..กราบๆหลวงพ่อด้วยจิตเคารพครับ

    ขอโมทนากับทุกความดีของทุกท่านด้วยครับ











    มีหลายท่าน PM ไปหาผม เรื่องการปฏิบัติ กรรมฐานอย่างไรให้ได้เกิดผล ผมพิจารณาแล้วเห็นมีประโยชน์ จึงจะเอามาเพื่อเป็นเครื่องช่วยให้เกิดแรงใจในการปฏิบัิติ เผื่อจะถูกจริตกับใครบ้าง ก็นำไปใช้ได้ตามอัธยาศัยได้เลยครับ


    เริ่มเลยผมจะตื่นประมาณ ตี ๒ :๔๕ โดยประมาณ ลุกขึ้นมาทำธุรกิจส่วนตัว แล้ว ลงไปทำงานที่ชั้นล่างของบ้าน(งานในที่ไม่ขอกล่าวนะครับเพราะไม่มีประโยชน์ อะไรกับการปฏิบัติธรรม) ผมจะทำงานเสร็จประมาณ ตี๔ ขาดเกินไม่ ถึง สิบนาที หลังจากนั้นก็จะจุดเทียน บูชา พระรัตนตรัย แล้วเริ่มสวดมนต์ ซึ่งบทสวดมนต์ผมมีดังนี้ครับ
    ตั้งนะโมสามจบ ตามด้วย บทสวด อะระหัง และอิติปิโส อย่างละจบ
    หลังจากนั้นตามด้วยคาถาเงินล้าน อีก ๙ จบ สมาทานศีล บทแผ่เมตตา และ และขอขมาพระรัตนตรัย และกราบลาพระครับ

    สวดแบบช้าๆ เอาเนื้อๆ ไม่รีบไม่เร่ง ไม่ค่อยหรือไม่ดังเกินไป จิตจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ตลอดเวลา ผมจะนึกภาพบทสวดขึ้นมาและให้ ตัวอักษรเหล่านั้นไหลผ่านตา(ตาในใจ) พร้อมกับ ปากท่องไปด้วยครับ ใช้เวลาประมาณ ๒๕
    -๓๐ นาทีโดยประมาณ ต่อจากนั้น เปิดไฟล์เสียงของหลวงพ่อ บทสมาทานพระกรรมฐาน



    เสร็จแล้ว นั่งเพ่งภาพพระให้ ชุ่มใจ ก่อนซัก ๒-๓ นาที ก่อนจะ นั่งเอาขาขวาทับ ขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ผมนั่งแบบ สบายๆ ไม่เกร็ง เพราะจะทำให้นั่งได้นาน หลังไม่งอ และที่สำคัญ นั่งตัวตรงแบบนี้ลมเดินสะดวกดี สำคัญต้องตั้งกายตรง จิตตั้งมั่น แต่ไม่ตรงจนเกร็งจนรู้สึกปวด และไม่ปล่อยจนหลังงอ
    จน ทำเสียสมดุลไป เพราะจะกลายเป็นขี้เกียจไป ให้นั่งสบายๆ ทำใจสบายๆ ผมแนะนำให้นั่งแบบไหนก็ได้ครับเอาแบบถนัด เพราะถ้าฝืน ทำให้การภาวนา เวทนาเกิด จนจิตรวมได้ยาก
    เพราะตอนที่ผมไปฝึกมโนฯก็ไม่เห็นต้องนั่งขัดสมาธิเลยครับ นั่งบนเก้าอี้เอา เน้นที่สบายแต่ไม่ขี้เกียจครับ


    หลัง จากนั้นผมค่อยๆหลับตา สูดลมหายใจลึกๆแรงๆ ยาวๆ เพื่อ ปล่อยลมหยาบออกไปให้หมด ซัก ๓-๔ ครั้ง


    กำหนด ลมหายใจ เข้าออก เริ่มจากลมหายใจเข้าพร้อมคำภาวนา นะมะ(ใครจะใช้อะไรก็ตามสะดวกเลยครับ แต่ผมใช้ นะมะ พะธะ) ให้ผ่านปลายจมูก ผ่านกึ่งกลางอก และไปจบที่ เหนือสะดือ ประมาณสองนิ้ว หายใจออกพร้อมคำภาวนาให้เริ่มจากจุดเหนือสะดือ ผ่านกึ่งกลางอก กระทบที่ปลายจมูก ทำแบบนี้ซ้ำๆย้ำๆจนจิตเข้าสู่สภาวะฌานที่ละเอียด หลังจากนั้นกำหนดภาพพระขึ้นมา อธิฐานให้ใส สว่าง เล็กสุด ใหญ่สุดจนเต็มฟ้า ให้เป็นร้อยๆองค์ ไปข้างหน้า ข้างบน ประทับบนไหล่ซ้าย ขวา อยู่ในอก นั่งบนหัว เอาให้ชุ่ม เอาให้พอ หลังจากนั้น ประคองภาพไว้ ให้องค์พระมานั่งอยู่ระดับสายตา อธิฐานให้ใหญ่พอระดับที่จะมองเห็นได้ทุกสัดส่วน พอดี เต็มองค์

    ตอน หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนา ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดและวิ่งตามลมมากระทบอก จบที่กระทบปลายจมูก ส่วนองค์พระกำหนดไว้ให้พอดีระดับสายตา ใหญ่เท่าระดับที่เรากำหนดไว้ตอนแรกก่อนที่จะเริ่มจับลมนั้น
    พอ หายใจออกพร้อมคำภาวนาความรู้สึกไหลขึ้นมา กระทบจุดแรกคือ ท้อง ตามด้วย หน้าอก และสุดท้ายคือปลายจมูก(แบบที่ผมทำเขาเรียกว่าจับลมสามฐานครับ) และให้กำหนดเอาความรู้สึกว่าองค์พระวิ่งลงตามลมหายใจ จากตรงหน้าไหลมาอก และและองค์พระเริ่มเล็กลง และไปสุดที่สะดือ กลายเป็นองค์เล็กสุด สว่างเล็กๆอยู่ตรงนั้น
    หายใจ เข้า พร้อมคำภาวนา เอาความรู้สึกไหลตามลมหายใจ ให้องค์พระไหลตามขึ้นมาด้วยกระทบที่อก จบที่ปลายจมูก จนองค์พระใหญ่เท่าเดิมเริ่มแรกที่เรากำหนด
    พอ หายใจออกพร้อมคำภาวนาความรู้สึกไหลขึ้นมา กระทบจุดแรกคือ ท้อง ตามด้วย หน้าอก และสุดท้ายคือปลายจมูก และให้กำหนดเอาความรู้สึกว่าองค์พระวิ่งลงตามลมหายใจ ไหลมาอก และเริ่มเล็กลง และไปสุดที่สะดือ กลายเป็นองค์เล็กสุด สว่างเล็กๆอยู่ตรงนั้น
    หายใจเข้าองค์พระใหญ่ระดับสายตา หายใจออก องค์พระเล็กสุด ไปอยู่ระดับจุดกำเนิดลมคือระดับสะดือ
    ทำ แบบนี้ติดต่อกันไปเรื่อย จนคำภาวนาหายไป จิตจะเริ่มรวมได้ กำหนดรู้ทั้งองค์พระและ ลมหายใจที่กระทบตลอดเวลา ถ้าเผลอ ไปคิดเรื่องอื่น ดึงกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่


    ผม ทำแบบนี้ จนคำภาวนาหายไป ผมไม่สนใจ เอาจิตจับที่ลม กับองค์พระอย่างเดียว พอจิตนิ่งได้ที่ ผมจะมองเห็นลม วิ่งเป็นสายตามองค์พระขึ้นมาเลยครับ จนในที่สุด จับลมได้แผ่วๆ องค์พระเป็นประกายใส สว่างไสว ไหลเข้าไหลออกอยู่อย่างนั้น ทีนี้นึกครึ้มอก ครึ้มใจ ก็ให้ไปสว่างบนหัวบ้าน ตรงไหล่ ทั้งสองข้างบ้าง ข้างหลังบ้าง เรียกว่า เอาให้ครบทั้ง ๓๖๐ องศาเลยครับ
    พอจิตนิ่งดีแล้ว จะรู้สึกว่า มันสว่างจ้า องค์พระใสดีจนเป็นประกายระยิบระยับ ทีนี้ผมไม่ให้องค์พระไหลแล้วครับ กำหนดให้ท่านนั่งอยู่ตรงหน้า อย่างนั้นในระดับสายตาพอดี พร้อมกับความโพรงของจิต ที่มันรู้สึกได้ เหมือนกับมันสว่างๆไปหมด ลมหายใจแผ่วแทบไม่รู้สึก แขน ขา หายไป (หากอยากรู้ว่า ประสาทกับกายแยกกันรึยังให้ลองกำหนดขยับนิ้วดู ถ้านิ้วยังขยับอยู่แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ถ้า นิ้วไม่ขยับแสดงว่า ประสาทแยกกับกายสิ้นเชิงแล้ว ถือว่าใช้ได้)

    ทรง อารมณ์แบบนั้นให้นานที่สุดครับ จะรู้สึกถึง ความว่าง สว่าง จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีวอกแวกเรื่องอื่น พอจิตมันอิ่มได้ที่แล้ว มันจะคลายตัวของมันเอง ให้ลองกำหนดจิตให้เห็นคำภาวนาใหม่ จับที่ลมหายใจใหม่ พร้อมกับกำหนดภาพพระใหม่ เหมือนซักซ้อม ฌานเพื่อให้เกิด วสี คือความคล่อง ในการ เข้าออก ฌาน


    ผมเข้าใจตามความรู้สึกของผมอย่างนี้ครับ

    ฌาน๑ วิตก วิจาร์ณ ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์
    ๑. วิตก จิตกำหนดนึกคิด โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกว่าหายใจเข้าหรือออก ทั้งคำภาวนา และภาพพระ[FONT=&quot]

    [/FONT]๒. วิจาร ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่าเราหายใจเข้าหรือหายใจออก[FONT=&quot]
    [/FONT]หายใจเข้าออกยาวหรือสั้นหายใจเบาหรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้กำหนดลมสามฐานคือหายใจเข้า[FONT=&quot]
    [/FONT]ลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อยหายใจออกลมกระทบศูนย์ กระทบอก[FONT=&quot]
    [/FONT]กระทบจมูกหรือริมฝีปาก[FONT=&quot]
    [/FONT]ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการใด[FONT=&quot]
    [/FONT]ถ้าเพ่งภาพกสิณ ก็กำหนดหมายภาพกสิณว่า เราเพ่งกสิณอะไรมีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร[FONT=&quot]
    [/FONT]ภาพกสิณเคลื่อนหรือคงสภาพ สีของกสิณเปลี่ยนแปลงไปหรือคงเดิมภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นภาพกสิณ[FONT=&quot]
    [/FONT]ที่เราต้องการ หรือภาพหลอนสอดแทรกเข้ามา ภาพกสิณเล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำดังนี้เป็นต้น อย่างนี้[FONT=&quot]
    [/FONT]เรียกว่า วิจาร[FONT=&quot]
    [/FONT]๓. ปีติ ความชุ่มชื่นเบิกบานใจ มีเป็นปกติ[FONT=&quot]
    [/FONT]๔. ความสุขเยือกเย็น เป็นความสุขทางกายอย่างประณีตซึ่งไม่เคยมีมาในกาลก่อน[FONT=&quot]
    [/FONT]๕. เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ประการนั้นไม่คลาดเคลื่อน[FONT=&quot]
    [/FONT]

    ข้อที่ควรสังเกตก็คือ ปฐมฌานหรือปฐมสมาบัตินี้
    เมื่อขณะทรงสมาธิอยู่นั้นหูยังได้ยินเสียง[FONT=&quot]
    [/FONT]ภายนอกทุกอย่าง แต่ว่าอารมณ์ภาวนาหรือรักษาอารมณ์ไม่คลาดเคลื่อน ไม่รำคาญในเสียงเสียงก็ได้ยิน[FONT=&quot]
    [/FONT]แต่จิตก็ทำงานเป็นปกติ อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน คือ อารมณ์เพ่งอยู่โดยไม่รำคาญในเสียง[FONT=&quot]
    [/FONT]ทรงความเป็นหนึ่งไว้ได้ ท่านกล่าวว่า กายกับจิตเริ่มแยกตัวกันเล็กน้อยแล้วตามปกติจิตย่อมสนใจ[FONT=&quot]
    [/FONT]ในเรื่องของกาย เช่นหูได้ยินเสียง จิตก็คิดอะไรไม่ออกเพราะรำคาญในเสียงแต่พอจิตเข้าระดับ[FONT=&quot]
    [/FONT]ปฐมฌาน กลับเฉยเมยต่อเสียง คิดคำนึงถึงอารมณ์กรรมฐานได้เป็นปกติที่ท่านเรียกว่าปฐมสมาบัติ[FONT=&quot]
    [/FONT]ก็เพราะอารมณ์สมาธิเข้าถึงเกณฑ์ของปฐมฌานที่จิตกับกายเริ่มแยกทางกันบ้างเล็กน้อยแล้วนั่นเอง

    ซึ่งเรามีครบหมดทุกองค์ประกอบ
    ฌาน๒. คำภาวนาหายไป มีบ้างที่กลับมา ลมหายใจแผ่วๆ ลงภาพพระชัดเจนขึ้น ได้เสียงข้างนอกอยู่แต่ไม่รำคาญ ครับ
    ฌาน๓ ลมละเอียดมากขึ้น คำภาวนาหายไปสิ้นเชิง ภาพพระแจ่มใสขึ้นกว่าเดิมจนเกือบจะเป็นประกายพรึก มีแสงแวปๆบ้าง
    ฌาน๔ แทบจะจับลมหายใจไม่ได้ แขน ขาหายไป เหลือเพียงจิตดวงเดียว สว่างโพลง แต่ไม่รู้สึกแสบตา ภาพพระเป็นประกายพรึก แจ่มใสขีดสุด
    ผมลองกำหนดคำภานาขึ้นมาจดจ่ออยู่กับคำภาวนา สักพัก คำภานาก็หายไปเหลือแต่จิตดวงเดียวเหมือนเดิม คือผมพยายามจะไต่ระดับจาก ฌาน๑-๔เพื่อฝึกความคล่องตัว(วสี) เริ่มสนุกครับ มันส์ดี ไม่รู้สึกเบื่อเลย

    ครั้ง แรกๆตอนที่ผม ทรงฌานได้ละเอียดนั้น ผมจะใช้มโนฯไปกราบพระเลยครับ เพราะพอกำหนดให้มาอยู่ ฌานที่ละเอียด มากๆ จิตมันจะเริ่มอิ่มตัว มันจะคลายของมันเองตอนนี้ล่ะครับ ก่อนที่มันจะคลายมากกว่านี้ ผมก็จะรีบกำหนดจิตไปกราบพระบนนิพานเลยเอากำไรไว้ก่อน ฮ่าๆ เดี๋ยวจะขาดทุน ขึ้นไปกราบองค์พระศาสดา ตอนเช้าๆ ท่าน สวยงามเหลือเกิน เป็นแก้วใส แต่งชุด วิสุทธิเทพงามเป็นประกายพรึก พร้อมทั้งอัคร สาวก ซ้ายขวา ที่แต่งชุดเป็นภิกษุปกติแต่ตัวท่านใสเป็นแก้ว แวว วาวและเหล่า พระอรหันต์ที่อยู่ข้างบน ล้วนแต่ ใสเป็นแก้ว กันทั้งสิ้น

    หลังจากนั้นบางคราว ก็เห็นหลวงพ่อฤาษีมายืนยิ้มด้วยความเมตตาให้ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมจำได้ว่า ท่านกล่าวกับผมว่า
    ทรงอารมณ์ถูกแล้วลูกพยายามมาบ่อยๆนะ ทรงจิตให้ได้อารมณ์นี้ให้นานที่สุด ผมก็รับคำท่าน ส่วนมาก ท่านทรงจีวร ถือไม้ท้าวมาด้วย

    มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนนั้นผมขอให้ท่านอนุเคราะห์ ขอให้ท่านทรงเครื่องวิสุทธิเทพ แหม๋
    !! อีตอนนี้ล่ะครับ หลวงพ่อเรา หล่อมากครับ หนุ่มเฟี้ยวมาเชียว แล้วขอความอนุเคราะห์ให้ท่านกลับไปเป็นเหมือนเดิม เพราะผมไม่ชิน กับภาพ หลวงพ่อ ตอน ทรงเครื่อง ผมชอบหลวงพ่อตอนหลวงพ่อ ถือไม้เท้า ห่มจีวรนี่ล่ะครับ คุ้นตาดี

    หลังจากนั้นบางครั้งผมจะกำหนดจิต แยกกายเท่าจำนวนพระ แล้วก้มกราบท่าน
    ทั้งหมด ต้องรีบครับ เพราะจิตจะอิ่ม มันจะคลายตัวก่อนหลังจากนั้นแวะไปกราบท่านปู่ท่านย่า แล้วแวะไปนมัสการ พระจุฬามุณีและพระเขี้ยวแก้ว ลักษณะเหมือนงาช้างเล็กๆ ที่ใสเป็นประกาย อยู่ใน ผอบใส แล้วกำหนดจิตกลับมาอยู่ที่ตัว ตอนนี้จิต คลายตัวแล้วครับ พอจิตคลาย เวทนา เริ่มกิน ล่ะ เอาจับอริยสัจ ทันที เริ่มจาก

    ทุกข์ ไอ้ความรู้สึก ปวดนี่ล่ะ ปวดแข้ง ปวดขา ปวดหลัง โอ๊ย สารพัดปวด ตอนนี้ท้องเริ่มร้อง เพราะหิว เริ่มเห็นตัวทุกข์ชัดเจน

    สมุทัย
    เหตุที่ทุกข์ เพราะมันมีร่างกายนี่ล่ะ เจ็บแข้งปวดขา ปวดหลัง อยู่นี่ ก็เพราะร่างกายตัวเดียว นอกจากมันจะทุกข์แล้วมันยังจะแก่ ไม่มีความสวยความงาม มีแต่เจ็บไข้ได้ป่วย แถมยังไม่รู้จักบุญคุณเราอีก เวลามันตายก็ห้ามมันให้ตายไม่ได้


    นิโรธ
    คือสภาพที่หายจากทุกข์ ก็ตอนที่ไปกราบพระบนนิพานนี่ล่ะครับ จิตมันสุขอย่าบอกใครเชียว สงบ สะอาด สว่าง เบาสบายไปหมด
    ใครจะว่าเป็นนิพพานชั่วคราวอะไรก็ช่าง แต่ผมก็ไมสนใจ เอาใจสบายเป็นพอครับ


    มรรค
    อันนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ทางดับทุกข์ อันประกอบด้วย องค์แปดประการ เริ่มแรกเลย



    สัมมาทิฏฐิ
    เห็นชอบเห็นชอบอะไร[FONT=&quot]? [/FONT]ก็เห็นว่า พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์มีจริงน่ะสิเห็นอริสัจที่ พระพุทธองค์ตรัสรู้ แล้วนำมาสั่งสอนให้พวกเราได้รู้อยู่นี่ไง


    สัมมาสังกัปป
    คืออะไรคือการดำริชอบ การคิดชอบนั่นเอง ก็เหมือนกับที่พวกท่านกัลยามิตรทั้งหลายนี้ กำลังมีความคิดที่ถูกต้องแล้ว เช่นการคิดจะทำความดี สั่งสมบุญบารมี ทำตรัยสิกขาให้ถึงพร้อมทำบารมีสิบให้ครบถ้วน แม้ไม่ได้บวชกาย แต่เราก็บวชด้วยใจ


    สัมมากัมมันตะ
    การประพฤติชอบอันนี้ พวกเราก็รู้แล้วไม่ต้องคุยกันมาก บุคคลที่สั่งสมบุญย่อมรู้ว่าอะไรควรไม่ควรอยู่แล้ว


    สัมมาวาจา
    คือ เจรจาชอบ หมายถึง การพูดต้องสุภาพ ไม่พูดเพ้อเจอ ส่อเสียด โกหก หยาบคาย ผมว่าปิยะวาจา คือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราถูกอบรมเีลี้ยงดูมาแบบไหนนะครับ

    สัมมาอาชีวคือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน ไม่คดโกง เอาเปรียบคนอื่น ๆ มากเกินไป
    สัมมาวายามะ คือ ความเพียร เพียรจะทำแต่สิ่งที่ดีๆ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ ผมว่า หลายคนในที่นี้มีเต็มเปี่ยมแล้ว

    สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นประจำ อันนี้สำคัญนะครับ เป็นตัวยับยั้งอกุศลกรรมทั้งปวง

    สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลส นิวรณ์อยู่เป็นปกติ อันนี้เราทำกันประจำยิ่งคนได้มโนมยิทอย่างท่านในที่นี้หลายคนๆ ผมว่า คงไม่เคยขาดกัน ยิ่งเจริญมากเท่าไร ยิ่งดีครับ

    สรุปง่ายๆคือ มรรคแปด แยกย่อยได้ เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ครับ และเสริมเพิ่มเติมเข้าไปด้วยก็คือการอธิฐานถึงพระนิพพานโดยเร็วด้วยครับ

    ผมคงไม่อธิบายยืดยาวมากมายครับ เดี๋ยวจะกลายว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน คิดว่าหลายๆท่านคงจะทราบดีกันอยู่แล้ว

    บ่นมาซะเยอะเลย ไม่ทราบว่า กัลยามิตรท่านใดพอจะเข้าใจในแนวทางผมบ้างรึเปล่าครับ ผม ก็ยังอ่อนหัด เยอะครับ เข้าใจว่า ในบอร์ดนี้ คงจะมีคนที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูง หลายท่าน ยังไงผมก็ขอคำชี้แนะด้วยล่ะกันนะครับ ถ้าหาก ผมทำอะไรผิดพลาดไป

    เอ๊า
    ..!! แวะไปไหนล่ะนั่น กลับมาเรื่องเดิมครับ



    หลังจากที่จิตมันถอนอารมณ์อิ่มมา อันดับแรก จิตเรามีกำลังสูง ให้จับวิปัสสนาเลยครับ จะเอาตัวไหนก็ตามที่ท่านถนัด จะจับขันธ์๕ หรืออริสัจ หรือ วิปัสสนาญาณ๙ ก็ตามอัธยาศัย หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า
    หากเราไม่ รีบจับวิปัสสนา นั่งแล้วเลิกเลย จะกลายเป็นว่า เราไปเพิ่มกำลังให้กิเลส เพราะ ตอนนี้จิตมีกำลังสูงสุด หากเราคิดในทางอกุศลในตอนนั้น กิเลสมันก็ได้กำลังเพิ่มทันทีเพราฉะนั้น ขั้นตอนที่จิตมีกำลังสุดให้ รีบจับวิปัสสนาเลยครับ ส่วนผมก็จับ แต่ไม่รู้ว่า จิตมันจะถอนกิเลสได้มากน้อยเท่าไร เพราะจิตมันยังเลวอยู่มาก มันคบกับกิเลสมาหลายกัปล์ หลายกัลป์ เกินไป ผมเลยต้องใช้ความพยายามมากเป็นเท่าตัว ได้ทีละนิดล่ะหน่อยก็เอาครับ ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยจริงมั้ยครับ ผมจับวิปัสสนาไปเรื่อยๆ นาฬิกาก็ดังหมดเวลาพอดี ผมตั้งเอาไว้เฉพาะนั่งภาวนานั้น ชม.ครึ่งครับ



    และสรุปการภาวนา ผมได้ ใช้กรรมฐานหลายตัวเลยครับ

    ๑ พุทธนุสติ จากการใช้ภาพพระ
    ๒ ธรรมมานุสติ จาก องค์ภาวนา
    ๓ สังฆานุสติ จากที่ไปพบหลวงพ่อบนนิพพาน
    ๔ อานาปานสติ กรรมฐานกองใหญ่สุด สำคัญสุด จับกองไหน ก็เอากองนี้เป็นหลักไว้ครับ
    ๖ กสิณ จากการใช้ภาพพระเป็นองค์กสิณ
    ๗ เทวตานุสติ จากที่ไปพบ ท่านปู่อินทร์และแม่ย่า บนดาวดึงสเทวโลก
    ๘ อุปสมานุสติ จากที่ไปกราบพระบนนิพพาน (ผมมักใช้มโนไปนิพพานมากกว่าที่อื่น ครับ นรกไม่ชอบเพราะอึดอัด สวรรค์ก็เฉยๆ นอกจากไปกราบท่านปู่ท่านย่า กราบพระเขี้ยวแก้วที่จุฬามณีที่อื่นก็ไม่ได้ไป)
    ๙ กายคตานุสติ จากที่จับ อริยสัจ ว่าร่างกายมันเป็นทุกข์
    เห็นไหมครับ วันๆหนึ่งๆ ได้กรรมฐานหลายกองเลย
    ๐ มรณานุสติ จากการพิจรณาร่างกายมันต้องตาย ต้องเน่าต้องเปื่อยผุพัง

    เล่ามายืดยาวแล้ว ทั้งหมดก็คือ การภาวนา ของผมในทุกวันตอนเช้า ตลอดระยะเวลา ๕ ถึง ๖ เดือนที่ผ่านมานี้ มีบางครั้งผม เหนื่อย ผมท้อ เวลาที่ อกุศลกรรมเข้าแทรก ผมจะคิดทันทีว่า "
    มารมาแล้ว" มารมาทำให้ท้อ ทำให้ผมเลิกทำความเพียร พอคิดได้แบบนี้มาร ก็แจ้นหนีชั่วคราว เพราะผมรู้ทัน แต่เขาไม่ไปไหนหรอกครับ มารเขามีบททดสอบเยอะ เขามาได้หมด รักโลภ โกรธ หลง เขาขยันออกข้อสอบเราจะตาย ถ้าเราขาดสติเมื่อไร จบกันครับ อย่าเสียรู้มารเชียว พระพุทธองค์ให้ฝึกสติก็เพราะเหตุนี้ล่ะครับ ผมเลยต้องเร่งสปีดให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่า ชีวิตมันจะยืนยาวเท่าไร เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยงแต่ความตายเป็นของเที่ยง ถ้าเกิดผมตายวันนี้พรุ่งนี้ ผมจะได้ไม่เสียชาติเกิดที่ได้เกิดมาเป็นคน ได้โอกาสพบพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาคำสอนของสมเด็จพระบรมครู ได้เป็นลูกหลวงพ่อ ก็เป็นบุญกุศลที่เปรียบไม่ได้แล้ว

    สรุปแล้วผมใช้เวลา ในการ ปฏิบัติธรรม ในรอบเช้า ประมาณ ๒ชม.ครับ

    ส่วนรอบเย็นนั้นก็คล้ายๆกันครับ เริ่มตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงเที่ยงคืนบ้าง หรือตามแต่โอกาส แต่จะพยายามไม่ให้ขาดครับ


    ผมจำได้ว่า ตอนที่ผมได้มโนฯใหม่ๆ ขึ้นไปกราบหลวงพ่อบนโน้น หลวงพ่อท่านกล่าวว่า "ลูกหลานของพ่อ พ่อจะตามมาให้หมด จะเอามาอยู่บนนี้ให้หมด หรืออย่างน้อยๆก็ต้องไม่ตกนรก" อันนี้ล่ะครับ ที่ทำผมปิติ จนกลั้นน้ำตาไม่ได้ หลวงพ่อท่านช่างมีเมตตาเหลือเกินครับ

    ที่คุณได้ฝึกมโนฯนั้น เป็นกุศลใหญ่เลยนะครับ เพราะหลวงพ่อกล่าวว่า หากคนไ่ม่มีของเก่า ไม่มีทางที่จะได้มโน้ฯเป็นอันขาด เพราะมโนฯ ต้องฝึกกันเป็ํนแสนๆชาติ และที่สำคัญคุณต้องเคยเป็นลูกหลานของหลวงพ่อแน่นอนครับ เหมือนกับผม ที่อดีตชาตินั้น เคยเป็นทหารรับจ้างของหลวงพ่อ สุดท้ายแล้ว ก็ไปสมัครร่วมรบกับท่านโดยที่ไม่เอาค่าจ้างอะไร


    ลูกหลานหลวงพ่อทุกคน จะเก่งเรื่องฤทธิ์ครับ สังเกตุให้ดีจะได้มโนฯแทบทั้งนั้น และมโนฯก็เป็นอภิญญาเล็ก ที่จะทำให้เป็นบาทไปสู่ อภิญญา ๕ หากตั้งใจก็ทำได้ครับ


    ลูกหลานหลวงพ่อมีสองแบบ ก็คือ พวกที่เก่งจนไปนิพพานได้ กับพวกที่เก่งจนต้องไปอยู่นรกครับ เนื่องมโนฯหากใช้ผิด ก็จะคิดว่ากูนี่เจ๋ง กูนี่แน่ เที่ยวไปทำอะไรที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทำให้เสียเวลาในเข้าถึงมรรผล การใช้มโนฯที่ถูกต้องนั้น ต้องน้อมเข้ามาในใจของตน ว่านรกสวรรค์ พรหม นิพพานมีจริง คำสอนของพระพุทธเจ้ามีจริง และอย่าลังเลสงสัยในการทำความดี


    ผมเคยอ่านบทความหนึ่งของ อาจารย์ นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ท่านกล่าวว่า ลูกหลานที่อธิฐานตามหลวงพ่อนั้น หากจะให้ถึงนิพพานในชาตินี้ต้อง ทำความเพียรแบบเร่งรัด และต้องทุกข์กว่าคนอื่นถึง ๗เ่ท่า เพราะอย่างที่บอก หลวงพ่อท่านเหลืออีกเพียง ๗ชาติเท่านั้นที่จะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านหักเข้านิพพานเลยดังนั้นบารมีท่านจึงมาก พวกเราๆที่อธิฐานตามกันมา จึงเรียกว่า บารมีเข้าขั้นปรมัตถ์ทั้งหมดครับ เพียงแต่จะเร่งรัดตัวเองได้แค่ไหน หาก ไม่ขี้เกียจก็จบกิจในชาตินี้


    ลูกหลานหลวงพ่อ ที่่เกิดมาไม่ทันยุคของท่าน หากได้ฟัง ได้อ่าน คำสอนของท่าน จะรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกอยากพบ รู้สึกอยากปฏิบัติ ตามแนวปฏิปทาของท่าน ให้รู้เอาไ้ว้เลยว่า คุณคือส่วนหนึ่งของลูกหลานท่านครับ และท่านก็จะเอาคุณไปอยู่ด้วยแน่นอน หากคุณตั้งใจจริงและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ ผมกล้ารับประกันเลยครับ หากคุณปฏิบัติตามแนวคำสอนของท่าน อย่างจริงจัง ไม่เกินหนึ่งเดือน ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ ลองดูสิครับ ไหนๆก็เกิดมาแล้ว ซักครั้งในชีวิตจะเป็นไรไป

    ผมไม่ได้บอกให้คุณเชื่อ แต่ผมต้องการให้คุณพิสูจน์เอง



    ขอทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ








    สวัสดีท่านกัลยาณมิตรทุกท่านครับ วันนี้ผมมีเรื่องจะมาเล่าอีกแล้วครับ ขอทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมครับ ...อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าท่านจะพิสูจน์ได้ด้วยตาของตน เป็นอันขาดครับ...

    ใครเคยมีอาการ ป่วยแบบเรื้อรังไหมครับ..?
    เช่นปวดแขน ปวดขา ปวดหลัง ปวดหัวแบบเรื้อรัง รักษายังไงก็ไม่หาย ป่วยมาแบบเป็นปีๆ บ้างครั้งหาย บางครั้งทุเลาบางครั้งปวด อยากรู้ไหมครับว่า สาเหตุที่แท้จริงแล้ว เกิดมาจากอะไร...? ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ จนมาสิ้นความสงสัยเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ก่อนหน้านั้น มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า โรคที่เกิดกับกายนั้น ล้วนแล้วแต่ กรรมอันเนื่องมาจากปานาติบาตทั้งสิ้น(ผิดศีลข้อ๑) จากที่ลองนั่งกรรมฐานตรวจกรรมของตน ในครั้งแรกที่ปวดหัวนั้น ผมก็ได้ความกระจ่างว่าแท้จริงอดีตชาตินั้นเราทำกรรมไว้เยอะเหลือเกิน และกรรมก็เป็นเรื่องที่ัซับซ้อนมาก

    ที่ท้าวความแบบนี้ก็เนื่องจากผม มีอาการปวดหลังมา ๕ปีแล้วครับ ปวดแบบเรื้อรัง บางทีก็หาย บางทีก็เป็น บางคราก็มีอาการแป๊บๆ ปวดลึกๆ เจ็บจี๊ดๆ เ่จ็บหนักๆ ก็มี ผมก็เลยสงสัยตัวเองว่า เอ๊ะ...ในเมื่อเราสามารถรู้ว่าอาการป่วยต่างๆ เหตุที่เกิดขึ้นกับกายนั้น ก็เนื่องมาจาก เศษปานาติบาต และเราก็ลองดูแล้วว่ามันใช่จริงๆ ทำไมครั้งนี้เราไ่ม่ลองดูอีกล่ะ เผื่อจะทำให้อาการปวดนี้ หายไปหรือทุเลาเบาบางยิ่งกว่านี้

    เมื่อคิดได้ดังนั้น ในตอนเย็น ผมสวดมนต์ ไหว้พระเสร็จ ผมก็นั่งภาวนา เจริญกรรมฐานไปเรื่อยๆ จนจิตสงบเข้าสู่สภาวะที่ละเอียดดีแล้ว ผมจึงถอยมาอยู่ที่ อุปจารสมาธิ กำหนดภาพพระขึ้นมา น้อมกราบท่าน แล้ว เรียนถามท่านถึงเหตุที่ทำให้ผมปวดหลังไม่หาย ซึ่งก็เป็นผลอัศจรรย์ใจ ยิ่งครับ



    [​IMG]

    [​IMG]
    ผมเห็นภาพ ตนเองเป็นขุนศึกนักรบสมัยโบราณ รูป ร่างสูงใหญ่ สวมเกราะสีดำ หน้าตาเหี้่ยมเกรียม ไว้หนวด ในมือถือหอกยาว ควบม้าตัวใหญ่ลำสัน วิ่งห้อเหยียด ทะลุทะลวง เอาหอกไล่แทงพวกข้าศึกที่กำลังแตกพ่าย กำลังวิ่งหนีตายกันอลหม่าน อย่างโหดเหี้ยม โดยเฉพาะพวกที่วิ่งหนีไม่ทันนั้น ผม ได้พุ่งหอกเข้าไปแทงบริเวณกลางหลังเสียบทะลุอกบ้าง ทะลุท้องบ้าง จนตายคาที่ ซะหลายราย ส่วนพวกที่ไม่ตายนั้น ผมดึงหอกออกพร้อมทั้งเสียบซ้ำเข้าไปที่แผลเดิม ฉึกๆ สวบๆ เสียงหอกอันคมกริบกระทบแผ่นหลัง ..เลือดสดๆทะลักออกมาตามปลายหอก บางส่วนก็สาดไปทั่วเป็นบริเวณกว้าง ท้องทุ่งอันเป็นสมรภูมิรบ บางแห่ง ฉาบทาไปด้วยสีเลือด กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เป็นที่ีสยดสยองยิ่งนัก เสียงร้องขอชีวิต และเสียงร้องจากความเจ็บปวด เซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ผมในคราบขุนศึกหนุ่มผู้ใจหิน ก็หาได้ มีความเมตตาไม่ ผมไล่ปลิดชีพเหล่าศัตรู อย่างไม่ปราณี ยี่หระต่อพวกอริราชศัตรูเหล่านั้น...

    หลังจากนั้นผมก็หันมาจัดการพวกที่แตกทัพต่อ ส่วนพวกที่วิ่งหนีไป จนเกินระยะของคมหอก ผมในขณะนั้น ได้ ใช้เกาทัณฑ์(ธนู) ยิงเข้าใส่แผ่นหลังพวกข้าศึกนั้นจนล้มพุบไปหลายราย บางพอโดนลูกธนูเข้าไปยังไม่ตายในทันที ผมก็จะทะยานม้าไปเด็ดหัวทันที ด้วยความเหี้ยมโหด...

    ภาพเหล่านั้น ฉายไปเหมือน ฉายภาพยนต์เป็นฉากๆ แต่ภาพยนต์ที่ผมชมนี้มันคืออดีตชาติของผม ที่ผมได้กระทำปานาติบาติ อันโหดเหี้่ยมไร้ซึ่งความปราณีใดๆ

    เมื่อรู้เช่นนี้ ด้วยความสลดใจในภาพที่โหดเหี้ยมเหล่านั้น ผมจึงกำหนดจิตกราบขอขมาลาโทษ ขออโหสิต่อดวงวิญญาณเ้จ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น ขอให้จงอโหสิกรรม ผมขออุทิศผลบุญของผมให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้นและ่่ขอจงโมทนาในบุญของผมทุกๆ บุญที่ผมกระทำ โดยเฉพาะบุญจากกรรมฐานนี้ อันเป็นการสร้างบุญใหญ่ที่เกิดขึ้นกับตน

    ในอดีตชาตินั้น ผมเกิดร่วมสมัยกับหลวง พ่อ(หลวงพ่อฤาษีฯ) ผมเป็นหัวหน้าชนเผ่าหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถในด้านการรบ ที่ค่อนข้างเหี้ยมเกรียม ดุเดือด และแข็งแกร่่งเป็นที่เลื่องลือ เรื่องนี้ รู้เ้ข้าถึงหูหลวงพ่อฯ ซึ่งในสมัยนั้นท่านเกิดเป็นพระราชา กำลังทำสงครามกับข้าศึกและต้องการกองกำลังสำหรับ โจมตีศัตรูแบบกองโจร ซึ่งพวกผมมีความสามารถในด้านนี้ หลวงพ่อจึงว่าจ้างให้ผมไปรบแบบกองโจร เข้าโจมตีข้าศึกที่ลำเลียงเสบียง ตัดกองกำลังข้าศึกต่างๆ ในครั้งแรกนั้น พระราชา(หลวงพ่อฯ) ได้ให้ทองคำเป็นของแลกเปลี่ยนสำหรับข้อเสนอ ในกลพิชัยยุทธ์ แต่พอผมได้เข้ามารับใช้พระราชา(หลวงพ่อ) ผมจึงเห็นความเสียสละ เด็ดเดี่ยวของท่าน ผมจึงอาสาร่วมรบกับท่านโดยที่ไม่ต้องการของแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด

    ในนิมิตนั้น... ผมเกิดร่วมสมัยหลวงพ่อฯหลายครั้ง และเป็นทหารรับใช้หลวงพ่อเกือบทุกครั้ง ส่วนมากจะอาสารับ เป็นพวกเสือหมอบแมวเซา เป็นพวกดักซุ่มโจมตีเสียมากกว่า และส่วนมากก็ปฏิบัติภาระกิจได้ละล่วงเสมอ

    เมื่อผมคลายตัวสมาธิ ผมก็มานั่งทบทวนว่า สิ่งเหล่านี้ผมฝันไปหรือเปล่า ...? หากไปเล่าให้ใครฟัง หลายคนคงจะมองว่าผมบ้า แต่มาคิดทบทวนดูแล้ว สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่อุปาทาน เพราะผมมีสติตลอด

    ผมเอาประสบการณ์ของผมมาเผยแพร่ ก็เนื่องจากอยากให้หลายท่านได้ทราบว่า แท้จริงแล้ว เรากำลังเสวยกรรมอยู่ทุกขณะจิต ในขณะใดก็ตามที่จิตเราเป็นกุศล เราก็จะไปสร้างภพอันเป็นกุศลนั้นไว้อยู่บนสุคติภูมินั้น แต่หากขณะจิตใดของเรานั้นเป็นอกุศล จิตนั้นก็จะไปสร้างภพที่ อบายที่๔เป็นทีี่ีตั้งเสมอ

    คุณเลือกเอาครับ จะให้จิตผ่องใสเป็นกุศล หรือจะให้จิตเศร้าหมองเป็นปาบ

    การทำทาน รักษาศีล เจริญสมถะวิปัสนากรรม เป็นไปเพื่อ ละซึ่ง โลภ โกรธ หลงของจิตนี้ หากเรารู้เท่าจิตตลอดว่า กำลังคิดดีหรือไม่ดี เราก็จะเท่าทันตนเองเสมอ และสามารถควบคุมตนเองให้อยู่ในความดี พร้อมทั้งยกจิตให้สูงขึ้นได้ตลอดเวลาครับ


    ขอโมทนากับกุศลกรรมของทุกท่านด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2012
  2. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +4,562
    คุณโมกทรัพย์
    อ่านเรื่องคุณแล้ว...ผมเชื่อ....

    ..เพราะตอนผมทำงานหอบังคับการบินที่อุดรฯหรืออุบลฯนี่(ทำทั้งสองแห่ง)เมื่อ30กว่าปีที่แล้ว...ผมเจอนายทหารอากาศนักบินคนหนึ่ง สนทนากับท่าน
    นายทหารอากาศนักบินคนนั้นเล่าว่า
    ท่านกับเพื่อๆอีก3คน ไปกราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แล้วเกิดศรัทธา บวชกับท่าน...

    ..เพื่อน3องค์บวชไม่สึก ส่วนตัวท่าน ต้องสึกออกมาใช้กรรม....
    (ไม่ต้องเล่านะครับว่า ท่านและเพื่อนทั้งสาม เจอฤทธิ์อภิญญา ของหลวงพ่อยังไง ถึงกลับต้องทิ้งทางโลก ทั้งๆที่ยังหนุ่มแน่น..เข้าหาทางธรรม)
    ดังนั้น ผมจึงเชื่อว่า ท่านมาโปรดคุณในฝันจริง.....

    .....และผมก็เชื่อว่ากวางนั่นเป็น เจ้ากรรม ของคุณจริง....
    ..แต่ยังไงๆคุณก็ต้องชดใช้รับกรรมที่ก่อไว้ในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติต่อไปอยู่ดีนั่นแหละ....
    ...พระพุทธเจ้าก็สอนว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้นลำบาก เป็นกรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นกรรมดี...ที่สามารถปฏิบัติภาวนาได้....
    ..เราก็ชดใช้กรรมชั่วของเราไป และเราก็ใช้กรรมชั่วๆดีๆที่ทำให้เราเกิดมา...สร้างกรรมดีต่อไป.....ผมคล้ายกับคุณ.....ตอนนี้ เดี้ยงไปทั้งตัว พิการทั้งกายและใจเพราะกรรมฆ่าสัตว์.....แต่ก็ยังยิ้มสู้เพราะ
    .....อยากจะมีเมียอีกคน...และอยากสร้างกรรม ฆ่าคนที่มันมาจีบหญิงของเรา...ฮา
     
  3. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    476
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,858
    ขอเอาใจช่วยครับ โมทนาในกุศลกรรมนะครับ แต่ ข้อความที่ว่า อยากสร้างกรรม และฆ่าคนที่มาจีบหญิงเรานี่ มุกหรือเปล่าครับ..? แฮ่ๆ
     
  4. อิธิบาท

    อิธิบาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +309
    ดีจัง ที่หลวงพ่อท่านมาโปรดลูกหลาน มีเมตตาๆๆ
     
  5. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +2,136
    การเล่าเรื่องประสบการณ์ของตัวเองนั้น ก็นับเป็นธรรมทานอย่างหนึ่ง ยิ่งเป็นการเล่าประสบการณ์ที่ทำให้ผู้ฟังได้ประโยชน์ด้านธรรมะแล้ว ยิ่งมีอานิสงส์สูงมาก
    ขออนุโมทนาในธรรมทานของท่านเจ้าของกระทู้ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    ก่อนปฏิบัติ อย่าลืมอธิษฐาน ขอบารมีหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ช่วยให้ปฏิบัติก้าวหน้าขึ้นโดยไว เกิดสติปัญญาญาณขึ้นตลอดทั้งวันด้วยนะครับ :)
     
  6. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ ช่างเป็นบุญเหลือเกินที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำมาเมตตาถึงกับเข้าฝันเลย ตัวดิฉันเองคงบุญไม่พอ ใจอยากจะเป็นลูกศิษย์ท่านเหมือนกันและอยากมีโอกาสฝึกมโนฯสักครั้งในชีวิต... เอ...ยังไม่เข้าใจที่คุณบอกว่าท่องคาถาเงินล้านวันละหลายร้อยรอบ คือ ท่อง9จบไม่ใช่เหรอคะ ? ดิฉันบางวันก็ท่องค่ะ ถ้าไม่สวดบทชัยยะต่อก็มาลงที่คาถาเงินล้าน ก็แล้วแต่เวลาละคะ
    ก็ขออนุโมทนากับธรรมทานของคุณด้วยมีประโยชน์มากค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2012
  7. jamroll

    jamroll เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +295
    อนุโมทนา สาธุ ท่านเจ้าของกระทู้ โชคดีมาก ถึงกับหลวงพ่อมาตามเลย
     
  8. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณลุงคะ ยังไม่เข็ดอีกหรือ สงสัยอยากเป็นนักรักผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าลองออกมาฮาได้เหมือนเดิมแบบนี้ แสดงว่าหายจากอาการใจ..ละลาย แล้วสิคะ
    ไม่ยอมแก่เลยจริงๆ ฮา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2012
  9. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    476
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,858
    พูดถึงคาถาเงินล้านมีเรื่องเล่าให้ได้ชมกันครับ

    [FONT=&quot]โดยปกติแล้ว ก่อนหน้านี้ผมจะเป็นคนที่ใช้เงินมือเติบมาก[FONT=&amp] ([/FONT][FONT=&quot]ก่อนหน้าที่ผมจะมาปฏิบัติกรรมฐานนี้ ถ้าหากว่าเพื่อนชวนไปเที่ยว กินเหล้าผมมักจะเป็นเจ้ามือทุกงวด ประมาณว่าใจปั้มว่างั้น เพื่อนเลยชอบมาชวนผมและอีกอย่างก็คือ ผมบ้าหวยมากครับ เล่นงวดล่ะเป็นหมื่นอบายมุขนี่ผมเล่นครบสูตรเลยครับ นักเลงการพนัน นักเลงสุรา นักเลงผู้หญิงแถมขี้เกียจตัวเป็นขน เรียกว่า[/FONT][FONT=&quot]ชั่วแบบนรกต้องการครบสูตรเลยล่ะครับคนแบบผมน่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่หลังจากที่มาปฏิบัติกรรมฐาน ผมก็เลิกเด็ดขาดเลยครับเรื่องพวกนี้มันไม่มีในสมอง แว๊บมาในความคิดเลย ไม่มีความอยากเลยแถมเหมือนตัวเองจะทำอะไรละเอียดละออขึ้น ขยันขึ้นทำงานมีขั้นตอนและเป็นระเบียบขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเหมือนกัน )ช่วงน้ำท่วมปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจแย่ ของก็ขายไม่ได้ เนื่องจาก คนซื้อไม่มีผมเอาเงินเก่ามาผลาญจนหมด แถมยังเป็นหนี้อีกบานเบอะไอ้ผมมันก็เข้าตาจนแล้วนี่ครับ ตอนนั้นติดหนี้อยู่ เป็นหลายแสน ทุกข์หนักหาที่ระบาย ไปกินเหล้า ไปเที่ยว ก็ยิ่งเครียดหนักเพราะตอนกินน่ะมันหายอยู่พักหนึ่ง แต่พอสร่างเมาเมื่อไรล่ะครับมันความทุกข์มันมาแบบดับเบิ้ล เงินทองหร่อยหรอ หน้าดำคร่ำเครียดไม่มีสง่าราคี เอ๊ย...!! ราศรีเอาซะเล้ย[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่จะด้วยความโชคดีของผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมไปเจอเวปธรรมะที่มีธรรมะของหลวงพ่อ ผมเลยโหลด[/FONT][FONT=&amp] mp3 .[/FONT][FONT=&quot]ของหลวงพ่อมาฟัง ฟังไปฟังมาไปสะดุดอยู่ช่วงหนึ่ง ว่า[/FONT][FONT=&quot] ใครภาวนาคาถาเงินล้านจนเป็นฌาน เรื่องเงินเรื่องทองจะไม่ขัดสนจะเหลือกินเหลือใช้ [/FONT][FONT=&quot]ไอ้ผมก็หูผึ่งสิครับ...!! ก็ลองมันทุกวิธีทางแล้ว ยืมเพื่อนก็แล้ว ยืมใครก็แล้วธนาคารก็ยืมแล้ว เอาทุกวิธีแล้ว ชักหน้าไม่ถึงหลังเลยเอาวะ...!![/FONT][FONT=&quot]เชื่อหลวงพ่อซักครั้ง ท่านคงไม่โกหกเราหรอกมั้ง[/FONT][FONT=&quot]ท่านเป็นพระนี่นา[/FONT]

    [FONT=&quot]เดิมทีก็ชอบฟังเรื่องของหลวงพ่อ ชอบฟังเรื่องเล่าของท่านแต่ตอนนั้นใจยังเลวมากไม่เอาธรรมะของท่านมาโยนิโสมนสิการ(พิจารณาโดยแยบคาย)ก็เนื่องจากท่าน เป็นพระไม่เหมือนใคร กล้าเล่าเรื่องโน่นเรื่องนี้ ผี เทวดา แบบพิศดาร แบบไม่กลัวใครจะว่าอย่างไรก็เลยชอบฟังเรื่องของท่าน แถมบางทียังคิดปรามาสท่านในด้วยนะครับประมาณว่า แหม๋...!หลวงพ่อองค์นี้ แหมโม้ได้เก่งจริงๆ (กราบอโหสิให้ลูกด้วยนะครับหลวงพ่อ) แต่ไม่รู้หรอกว่าท่านปฏิบัติ อะไรยังไงถึงได้ฌานสมาบัติ ทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นเป็นพระอริยะเจ้าไม่ทราบเรื่องการตัดกิเลสหรือธรรมอันเป็นเครื่องตัดกิเลสที่ท่านพร่ำสอนเลยซักอย่าง (นี่ไงไอ้ความเลวของผม) [/FONT][FONT=&quot]สรุปที่สนใจหลวงพ่อนี่นะครับ เพราะความโลภและความคึกคะนองอยากพิสูจน์ของผมนั่นเอง ดูเอาเถิดครับ ไอ้ความระยำของผม..![/FONT]

    [FONT=&quot]พอผมตั้งใจแล้วผมก็เลย ตัดสินใจ ท่องก่อนนอนทุกวันครับ วันล่ะเก้าจบไม่ให้ขาดเลยซักวันเช้าเย็น แม้วันไหนจะเหนื่อยแสนเหนื่อย แค่ไหนก็ตามเพราะอยากพิสูจน์คำพูดหลวงพ่อว่าจริงแท้แค่ไหน พอท่องก่อนนอนทุกวันก็เลยอยากรู้เรื่องของท่านเพิ่ม เลยศึกษาคำสอนของท่านจากนั้นก็เกิดความเลื่อมใส ก็เลยหัดนั่งสมาธิภาวนาด้วยตนเองศึกษาจากเทปคำสอนของท่านบ้าง ศึกษาจากหนังสือของท่านบ้าง[/FONT]

    [FONT=&quot]พอนั่งสมาธิ วันแรกก็เกิดปิติ แบบ ไม่เคยเป็นมาก่อน (ถ้าใครเคยอ่านเรื่องผมจะมีช่วงแรกๆผมเล่าถึงวันแรกที่ผมหัดนั่งสมาธิ แล้วเกิดปิติ) [/FONT][FONT=&quot]ทำให้เกิดความฮึดอย่างประหลาด และพากเพียร ในการปฏิบัติมาก คราวนี้ ทั้งสวดทั้ง นั่งภาวนา เดินภาวนา จัดหนักเลยครับ เรียกว่าไม่ให้จิตว่างเว้นจากคำภาวนาและองค์กสิณเลย จับภาพบ้างสลับกับการท่องคาถาเงินล้านมา[/FONT][FONT=&amp]([/FONT][FONT=&quot]จับภาพพระ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ภาวนาคาถาเงินล้านลืมบ้าง ได้บ้าง ตามประสาคนสมาธิแย่น่ะครับ) [/FONT][FONT=&quot]ทำต่อเนื่องเกือบสองเดือน[/FONT]

    [FONT=&quot]ในช่วงที่ทำกรรมฐานนี่เอง จิตไม่มีความอยากไปเที่ยว ไม่อยากกินเหล้าแต่ก็ยังขายของ ส่งของให้กับลูกค้า ปกติก่อนหน้านั้นลูกค้าน้อยมากแปลกมาก! ผมภาวนาไปซักสิบห้าวัน มีออเดอร์สั่งเข้ามาเยอะจนผมทำไม่ทันต้องรับลูกน้องเพิ่ม เ[/FONT][FONT=&quot]พียงเดือนกว่าๆ ผมปลดหนี้ เก่าที่ค้างไว้บานเบอะเกือบหมด! อัศจรรย์ใจแท้[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่ยังก่อน! มีเรื่องอัศจรรย์กว่านั้น [/FONT][FONT=&quot]คือโดยปกติแล้ว ช่วงหลังๆผมจะละเอียดละออกับเรื่องเงินเป็นพิเศษ(เพราะเคยพลาดมาแล้ว)ฉะนั้นหลังขายของเสร็จผมจะนับเงินก่อนเข้าเซฟทุกครั้งซึ่งผมจะนับแบบละเอียดจริงๆ คือ นับสองรอบหลังจากนั้นก็จะนับก่อนจะเอาเข้าธนาคารอีกรอบหรือก่อนจะไปใช้อย่างอื่นอีกรอบ[/FONT]

    [FONT=&quot]มีวันหนึ่ง โดยผมนับเงินเสร็จ ผมก็จะแยกๆ แบงค์พัน แบงค์ห้าร้อยไว้ต่างหาก กับแบงค์ย่อยต่างๆ ผมจะนับเป็นปึกๆ ปึกละร้อย จากนั้นก็อาบน้ำ สวดมนต์ทำสมาธิและ นอนทำสมาธิจนหลับไปตอนเช้าผมก็มาเปิดเซฟเพื่อจะนับเงินก่อนจะนำเงินไปเข้าธนาคารหรือเอาไปจ่ายค่าลูกน้องอะไรซักอย่างนี่ล่ะ พอนับเงินปึกแรก แปลกใจ [/FONT][FONT=&quot]เอ๊ะ...! ทำไมแบงค์พันมันเกินมาปึกละ ใบสองใบวะ[/FONT][FONT=&amp]?[/FONT][FONT=&quot]คิดในใจ ผมก็เลยนับใหม่ อีกสองรอบ[/FONT]

    [FONT=&quot]เฮ้ย...! เป็นไปได้ไง ยอดมันเกินมา เจ็ดพันเลย[/FONT][FONT=&amp]...!! [/FONT][FONT=&quot]เกินมาปึกละ สองใบบ้าง ปึกละใบบ้างก็เรานับสองรอบก่อนนอน แถมจดยอดทำบัญชีไว้แล้วนะ เงินมันออกดอกได้รึไงนี่[/FONT][FONT=&quot]อัศจรรย์แท้...! [/FONT][FONT=&quot]จะบอกว่าเรานับผิดก็ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าผิด ทำไมมันผิดเยอะจริง ผมแปลก ใจระคนกับอัศจรรย์ใจ แถมงงเป็นไก่ตาแตก จู่ๆเงินโผล่มาได้ไง ตั้งเจ็ดพัน [/FONT][FONT=&quot]ทำให้ผมหวนกลับไปทบทวนคำพูดของหลวงพ่อที่เคยบอก มันเป็นจริงทุกประการดั่งที่ท่านบอกจริงๆ[/FONT]

    [FONT=&quot]ท่านกัลยาณมิตรครับ ตลอดช่วงระยะเวลาเดือนกว่าๆที่ผม ทำทาน รักษาศีลและสมาธิภาวนา (แม้จะถือศีลครบบ้างไม่ครบบ้าง ทำทานบ้างไม่ทำบ้างและสมาธิก็งูๆปลาๆก็ตาม) เกือบสองเดือน ชีวิตผมดีขึ้นทันตาเพราะธรรมะหลวงพ่อ ผมเลิกอบายมุขทุกอย่าง ผู้คนรอบข้างมองผมดีขึ้นผมปลดหนี้ได้ แถมยังเหลือกินเหลือใช้ตามอัตภาพ ก็ด้วยอานุภาพของพระพุทธพระธรรม และพระอริยะสงฆ์อย่างหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีฯ นี่เอง[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์ใจเท่ากับที่คนเลวๆแบบผมจะมาสามารถยืนบนทางที่ถูกต้อง มีสัมมาทิฏฐิ ได้เข้าใจว่า ชีวิตมันไม่เที่ยงวัตถุธาตุต่างๆมันไม่เที่ยง แม้แต่ความรู้สึกของคนเราก็ยังไม่เที่ยงทำให้คนที่ใช้ชีวิตแบบประมาทอย่างผม ได้รู้ได้เห็นว่า เราต้องตายร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงมหาภูตรูปสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟที่ประกอบกันขึ้นมา เรายืมเขามาใช้ ถึงเวลา มันก็เน่าเปื่อยผุพังไปเราก็ต้องคืนธรรมชาติไป อันนี้สิ คือเรื่องอัศจรรย์และมหัศจรรย์ของจริง[/FONT][FONT=&amp] ([/FONT][FONT=&quot]อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกท่านขอได้โปรดอย่าเข้าใจว่าผมบรรลุธรรมอะไรเลยนะครับจิตผมยังเลว ยังชั่ว ยังมีรักโลภโกรธหลง อยู่ทุกขณะจิต เพียงแต่เวลามันกำเริบ ผมจะเอาจิตไปตามดูตามรู้และระงับมันได้บางครั้งบางคราวแค่นั้นเอง)


    [/FONT]
    [/FONT]http://www.palungjit.org/million.htm ดาวน์โหลด<<<<คาถาเงินล้าน


    เรื่องการท่องคาถาเงินล้านครับ หลายคนสงสัยและ PM ไปถามผมในกรณีที่ว่า หากเราท่องคาถาเงินล้านนั้น จะมีผลในการนำเอาบุญในชาติเก่าๆมาใช้ใช่หรือไม่ ผมเอาบทสนทนาของหลวงพ่อเล็กวัดท่าขนุนมาเฉลยให้ได้อ่านกันครับ
    อ่านให้หมดแล้วคุณจะเข้าใจว่า ทำไมผมจึงกล่าวว่า คาถานี้สุดยอด

    เรื่องคาถาเงินล้าน

    ถ้ากำลังใจของเรารักษากรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือแม้กระทั่งคาถาให้มันได้ผล สิ่งอื่น ๆ มันจะได้ผลเหมือนกัน เปลี่ยนวิธีการนิดเดียว ถ้าได้อย่างเดียวอย่างอื่นเท่ากับได้ด้วย


    เหตุที่ต้องทำดังนี้ เพราะว่าดูตัวอย่างของอาตมาเอง สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง พอปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านให้คาถาเงินล้านมา
    พ.ศ. ๒๕๒๙ ก็มานั่งคิดว่าสมัยหลวงปู่ปาน ท่านมีตัวอย่าง นายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร ๑ นายแจ่ม เปาเล้ง ๑ นายเฉลิม คงทอง ๑ เขาเอาคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าไปทำจนได้ผล นายห้างประยงค์นี่รวยจนนับเงินไม่ถูก เขาสำรองเงินสองหมื่นบาทไว้ให้หลวงปู่ปานตลอดเวลา หลวงปู่ต้องการเมื่อไรเรียกได้ทันที เพราะหลวงปู่ทำการก่อสร้าง ก็มานั่งคิดว่าในเมื่อสมัยนั้นมีบุคคลตัวอย่างในการใช้คาถาพระปัจเจก พุทธเจ้า สมัยหลวงพ่อทำไมเราไม่มีบุคคลตัวอย่างในการใช้คาถาเงินล้าน รอมาเป็นปีก็ไม่มีใครเอาจริง ก็เลยตัดสินใจเอาว่า " กูเอง " แล้วก็เริ่มเลย

    ภาวนาแบบช้า ๆ เอาคุณภาพ วันละประมาณ ๓๐๐ จบเป็นปกติ ใช้เวลาสามปีเต็ม ๆ อยากจะบอกว่าปัจจุบันที่ทำอะไรคล่องตัว ต้องการเงินเท่าไรมีเท่านั้น มันอานิสงส์ของคาถาเงินล้านจริง ๆ อาตมานับลูกประคำไปด้วยเพื่อจะได้จำว่ากี่จบแล้ว มันก็จะเป็น เช้า ๑๐๐ จบ กลางวัน ๑๐๐ จบ เย็น ๑๐๐ จบ นับจนนิ้วสองข้างนี่ด้านมาเป็นเม็ดเบ้อเร้อเลย ลูกประคำที่เป็นลูกหวาย
    พวกเราน่าจะรู้จัก อาตมานับจนลื่นเป็นลูกแก้ว ใครมาก็มีแต่บอกว่าประคำสวยจริง แต่เขาไม่รู้หรอกเราใช้ความพยายามเท่าไร?

    ช่วงที่อาตมาภานาคาถาเงินล้านมากที่สุด วันหนึ่งประมาณ ๑,๒๐๐ จบ ตื่นแต่ตีสามก็เริ่มเลย เดินจงกรมภาวนาไปเรื่อย ๆ มีเวลาหยุดตอนฉันอาหารประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็ว่าต่อ เลิกตอนหนึ่งทุ่มทุกวัน ได้ ๑,๒๐๐ จบ เป็นการท่องแบบหวังผลก็คือไปช้า ๆ เอาคุณภาพ จะใช้ท่องโดยการเดินจงกรมไปเรื่อย ๆ แล้วก็หยุดพัก อาจจะไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ ห้องส้วม เสร็จแล้วก็มาเริ่มต้นใหม่

    เดินจงกรมจนพื้นเป็นร่อง จากพื้นธรรมดาเดินจนกลายเป็นทาง พวกเราไม่ต้องถึงขนาดนั้น แต่ว่าให้มันมีเวลาที่ใจเราเกาะความดีมากกว่าความชั่ว ทำได้หรือไม่ ? ถ้าทำได้เมื่อไร หลวงพ่อบอกว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ท่านรักมาก

    ท่านบอกว่าคนที่เป็นลูกศิษย์ท่านไม่ต้องเสียเวลามาสมัคร ไม่ต้องเสียเวลามาบอกกล่าว
    ใครตั้งใจรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ ท่านถือว่าเป็นลูกศิษย์ชั้นจิ๋วของท่านเลย
    ถ้ารักษาศีลห้าด้วยตั้งใจทำสมาธิด้วยถือเป็นลูกศิษย์ชั้นกลาง
    แต่ถ้ารักษาศีลด้วยเจริญสมาธิด้วย มีปัญญารู้ตัวอยู่เสมอว่าจะตาย ตายแล้วไปนิพพาน ท่านบอกว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเลย
    ถ้าเราตั้งใจเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อต้องทำตามปฏิปทาของท่าน ไม่ต้องเสียเวลาคี่ยวเข็ญ ทุ่มเทด้วยตัวเอง

    อาตมาเองสามปีแรกที่ฝึกกรรมฐานมีตำราเล่มเดียว คือ คู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อ ลุยอย่างเดียวไม่สนใจฟ้าดินอะไรเลย มีกินไม่มีกินช่างหัวมัน จะนอนเมื่อไร ช่างหัวมัน เพราะว่ายิ่งทำกสิณอยู่ มันต้องต่อเนื่องติดพัน เราไม่อยากละไปเพื่อพักผ่อน เนื่องจากว่าถ้ายังไม่ใช่นิมิตติดตาติดใจจริง เผลอแล้วมันหาย เราต้องมาเริ่มต้นใหม่ เริ่มอยู่สามปีเต็ม ๆ กว่าจะไปสอบถามกับหลวงพ่อ เนื่องจากว่าปัญหาบางอย่างหนังสือมันตอบไม่ได้ พวกเราไม่ต้องถึงขนาดนั้น ทำไปแล้วติดขัดตรงไหนแล้วมาถาม อาตมาเชื่อว่าที่พวกเราทำมาคงจะไม่มากไปกว่าที่อาตมาเคยทำ เพราะฉะนั้นติดขัดตรงไหนพอจะตอบได้


    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=124 <<<ประสบการณ์จากท่องคาถาเิงินล้านของหลายๆบุคคล

    การวางกำลังใจในการภาวนาคาถาเงินล้านให้ได้ประโยชน์สูงสุด
    <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1"> ถาม : เมื่อสองสามวันก่อนนี่แฟนเพื่อนไปอธิษฐานหน้ารูปหลวงพ่อที่อยู่ที่บ้านเขา ขอให้ถูกหวยสักงวดหนึ่ง ก็ซื้อเลย ๔๗๒ ปึ้งแทงสองตัวด้วย ๗๒ ก็ไปแทงพอตอนบ่ายกลิ่นน้ำอบน้ำหอม เต็มบ้านไปหมด แทบจะวิ่งหนีออกนอกบ้านเพราะกลัว พอหวยออกมาโดนตรง ๆ เลย
    ตอบ : คราวนี้ก็รีบไปแก้บนซะ ไม่ได้บนหรอกขอดื้อ ๆ แต่รีบไปทำบุญใหญ่ซะ แสดงว่าวาระบุญของเขามาถึง ถ้าหากว่าวาระบุญที่เกิดจากทานบารมีมาไม่ถึงนี่ซื้อให้ตายก็ไม่ถูก

    ถาม : อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า คือผมเริ่มท่องมาได้ประมาณเจ็ดแปดเดือนแล้ว แล้วตอนนี้รู้สึกว่าเงินในกระเป๋าไม่เคยขาดจะมีแต่เพิ่มขึ้น แต่รู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้นที่ว่า...
    ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป ถ้าหากว่าเราทำโดยที่กำลังใจของเราคิดว่าเราทำเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์ เรามีหน้าที่ทำเพื่อรักษามรดกล้ำค่าที่หลวงพ่อให้เราไว้ แล้วก็ท่องบ่นภาวนาของเราไปโดยที่ไม่ได้คิดอยากได้ใคร่ดีอะไรกับผลตอบแทนอัน นั้น เรามีหน้าที่ท่อง ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรช่างมัน ถ้าอย่างนั้นจะมาเยอะมาเร็วด้วย แต่ถ้าหากว่าเราท่องแล้วใจมันคิดอยากได้ ตัวอยากมันจะตัดไปเยอะ อันนี้กล้ายืนยันเพราะอาตมาทำเอง แล้วก็ทำมาตลอด

    ถาม : หลวงพ่อท่านบอกว่าหลวงปู่ปานท่านให้ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ และท่านก็บอกด้วยว่าพระคาถานี้คนไปนิพพานกันเยอะแล้ว ก็เลยท่องมาเรื่อย
    ตอบ : คือคาถานี้อย่างน้อย ๆ เราก็ต้องคิดว่าเป็นหลวงปู่หลวงพ่อให้ เจ้าของคาถาก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้า และถ้าเป็นคาถาในส่วนที่เป็นคาถาเงินล้านหลายบทที่พระพุทธเจ้าท่านให้มา
    ถ้า ใจของเราเกาะหลวงพ่อ ใจเกาะพระปัจเจกพุทธเจ้า ใจเกาะพระพุทธเจ้า คิดว่าท่านเองทรงความดีถึงขนาดนั้นเป็นผู้ให้คาถาเรามา ถ้าเราตายเราขอไปอยู่กับท่านอย่างนั้นโอกาสไปนิพพานก็สูง มันอยู่ที่ทำได้หรือทำเป็น ถ้าหากว่าทำเป็นนี่ประโยชน์เยอะ

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

    อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๖๒ : คาถาเงินล้าน <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1">
    ๖๒. คาถาเงินล้าน

    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานีนั้น เมื่อสองปีก่อนหนังสือพิมพ์บ้านเมืองประเมินราคาสิ่งก่อสร้างว่า ต้องใช้เงินประมาณสี่พันล้านจึง จะสร้างได้ขนาดนี้ ถ้าถามว่าเอาเงินมาจากไหนมามากมายขนาดนี้ ก็เห็นทีต้องคุยกันยาวหน่อย... ตามที่หนังสือพิมพ์ก็ดี วิทยุ โทรทัศน์ก็ดี เรียกวัดนี้ว่าวัดพันล้านก็ไม่ได้เกินจริงเลย หากแต่เขาคำนวณราคาตามที่สายตาเห็น แต่เวลาสร้างจริง ๆ ราคาไม่ถึงนั้น ตัวอย่างเช่นศาลาสองไร่ สถาปนิกคำนวณ ๑๒๐ ล้านบาท หลวงพ่อเห็นว่าแพงไป ขอสร้างเองตามแบบฉบับของท่าน ปรากฏว่าใช้เงินแค่เจ็ดล้านกว่าก็สร้างสำเร็จ... เหตุเพราะปูนก็ดี เหล็กเส้นก็ดี หลวงพ่อสั่งตรงจากโรงงานทีละเป็นร้อย ๆ ตัน จึงได้ราคาต่ำกว่าท้องตลาด วัสดุก่อสร้างอื่นก็เช่นกัน และหลวงพ่อควบคุมการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด โอกาสจะทุจริตเลยไม่มี ประหยัดไปได้มหาศาล ดังนั้นเมื่อสองปีก่อนหลวงพ่อแจ้งยอดการก่อสร้างว่า ใช้เงินไปประมาณสามร้อยยี่สิบห้าล้านบาทเท่านั้น... เงินสามร้อยกว่าล้านถ้าเป็นงบประมาณแผ่นดิน นับว่าเล็กน้อยเหลือเกิน แต่ถ้ามาคิดว่านี่เป็นเงินที่วัดต่างจังหวัดวัดหนึ่ง ใช้เป็นงบประมาณก่อสร้างเท่านั้น ก็ต้องคิดหนักเสียแล้วว่าเงินมหาศาลขนาดนั้น ต้องเกิดจากศรัทธาญาติโยมจำนวนมหึมาขนาดไหน อะไรเป็นเหตุให้หลวงพ่อมั่นใจจนถึงกับกล้าเป็นหนี้เขาทีละห้า – หกล้าน ในการสั่งของล่วงหน้าแต่ละที...

    หลวงพ่อเมตตาเล่าให้ฟังว่า เมื่อมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ มีเงินติดย่ามมาร้อยเดียว “เงินร้อยสมัยปี ๒๕๑๑ มันหายากนะ...” ท่านใช้คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมกับทำงานก่อสร้างไปเรื่อย มี “พระ” ท่านมาบอกคาถามหาลาภซึ่งทางวัดพนัญเชิงเขาเคยใช้ เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงรูปแรกใช้ภาวนาอยู่สามปี วัดนั้นจึงมีลาภมากมาจนทุกวันนี้ หลวงพ่อก็ว่าของท่านเรื่อยไป...

    มาปีหนึ่งกำลังบวงสรวงอยู่ “พระ” ท่านบอกคาถาอีกบทว่าเป็นคาถาเงินแสน พอหลวงพ่อใช้ดู ปีนั้นกฐินได้เงินแสนกว่า สมัยนั้นจะหาสักหมื่นยังยากเลย ปีถัดมา “พระ” ก็บอกอีกบทว่าเป็นคาถาเงินล้าน ให้ว่าต่อเนื่องกับบทก่อนแล้วลงท้ายด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ปรากฏว่าได้เงินเป็นล้านจริง ๆ และรายรับดีขึ้นทุกทาง จึงกล้าเป็นหนี้เขาทีละมาก ๆ

    ต่อมาหลวงพ่อรวบรวมคาถาต่าง ๆ เป็นบทเดียว พิมพ์แจกเป็นของขวัญปีใหม่ปี ๒๕๒๘ ท่านบอกว่าเป็นเพราะ “ท่านย่า” กับ “ท่านแม่” ไปช่วยขอความกรุณาจาก “พระ” ว่าในปี ๒๕๒๘ นั้นสถานการณ์ด้านต่าง ๆ จะเครียดมาก ถ้าลูกหลานไม่มีความคล่องตัว ก็ช่วยเหลือหลวงพ่อได้ไม่เต็มที่ การก่อสร้างของวัดจะชะงักลง “พระ” ท่านจึงอนุญาตให้บอกคาถาเหล่านี้แก่ญาติโยมได้...

    “พระ” ท่านว่า คาถานี้ทุกคนต้องทำด้วยความเคารพ ถ้าไม่เคารพจะไม่มีผล คาถาว่าดังนี้

    นาสังสิโม
    พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภวันตุ เม
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุเม
    มิเตพาหุหะติ
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ
    วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี
    วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ
    พุทธัสสะ สวาโหม
    สัมปฏิจฉามิ

    พออาตมาได้คาถามาก็ท่องวันละ ๙ จบทุกวัน รู้สึกตัวเลยว่า รายรับ – รายจ่าย คล่องตัวมาก การส่งเสียให้น้องสาวสองคน หลานอีก ๑ คนเรียนนั้น รู้สึกไม่หนักใจ ปีนั้นน้องเรียนจบ ปีถัดมาอาตมาก็บวช คราวนี้เห็นผลของคาถาชัดมาก หลวงปู่มหาอำพันกล่าวว่า “คุณเป็นเนื้อนาบุญแล้วนี่ บุญใหญ่มาหนุน ลาภผลก็มากซิ...

    หลวงพ่อสอนพระเวลาออกบิณฑบาตว่า ก่อนจะไปบิณฑบาตให้ทรงกำลังใจให้สูงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อผลใหญ่จะได้เกิดแก่ญาติโยมที่ให้การสงเคราะห์เรา อาตมาเล่นด้วยคาถาเงินล้านนี่แหละ แต่เพิ่มเป็นสามสิบจบ ว่าให้ช่ำปอดก่อนแล้วจึงออกบิณฑบาต ระหว่างเดินก็ว่าไปเรื่อยจนกว่าจะครบสามสิบ...

    อยู่มาวันหนึ่ง อาตมาตื่นตีสามตามปกติ ก็ว่าคาถาซะ ๑ จบก่อนจะไปสรงน้ำ ทำกรรมฐาน พอว่าจบลืมตาขึ้นมา ฟ้าสว่างโร่เลย...! คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทัน เดินงงไปตลอดทาง เราไม่ได้หลับ สติไม่ขาดไม่เคลิ้ม อารมณ์ต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียว รู้ตัวตลอดเวลา ทำไมคาถาสั้น ๆ บทเดียวใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง...!

    รุ่งขึ้นลองดูอีกที คราวนี้ได้ตั้งสามจบแน่ะ...! ตั้งแต่นั้นมา ทั้ง ๆ ที่บวชใหม่นั่นแหละ ลาภผลเงินทองไม่รู้ว่าไหลมาเทมาจากไหน รับกันไม่หวาดไม่ไหว ใครจะทำบุญสุนทานอะไร ร่วมกับเขาทุกรายการ รายการละไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ บาท ช่วยเป็นเจ้าภาพบวชพระ – บวชเณรเป็นว่าเล่น ถวายสังฆทานแทบทุกเดือน ใครเดือดร้อนเรื่องเงินละมาได้เลย...

    เงินมาเป็นเทออก ยิ่งเทก็ยิ่งมา อาตมาเพิ่มจากวันละสามสิบจบ เป็นวันละหนึ่งร้อยยี่สิบจบ เชื่อหรือไม่ว่า ให้ความคล่องตัวขนาดอาตมาขึ้นรถฟรีแทบทุกคัน คือถ้าเราไม่ยัดเยียดให้เขาจริง ๆ เขาก็ไม่รับ ขนาดพระกับพระนั่งไปด้วยกัน เขาเก็บค่ารถรูปอื่น เว้นอาตมาไว้รูปเดียว ยัดให้เขาก็ไม่รับ จะไปไหนแทบจะไม่ต้องพกเงินเลย...

    จากร้อยยี่สิบจบเพิ่มเป็นสามร้อยจบ คราวนี้อาหารการกินก็พลอยฟรีไปด้วย บางทีทนไม่ไหวบอกเขาว่า “อาตมามีเงินนะโยม” เขาก็บอกว่า “ผมถวายครับ” “หนูถวายเจ้าค่ะ” เคยทำสถิติจากอุทัยธานีมากรุงเทพฯ จากกรุงเทพฯ - กลับอุทัยธานี ระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ นั่งแท็กซี่อย่างเดียว ปรากฏว่าสิ้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดสามบาท...! สามบาทจริง ๆ...!

    พยายามจะใช้เงินให้หมดก็ไม่มีวันหมด ลองถึงขนาดสามทุ่มซื้อน้ำหวานถวายพระจนหมดตัว สี่ทุ่มเขาเรียกไปสวดศพรับเงินมาจนได้ จะไปธุดงค์เทกระเป๋าทำบุญเกลี้ยง ก็มีคนตามถวาย หมดเมื่อไรได้ทันที เขาถวายจนระอาใจ ต้องพกเงินไปธุดงค์ด้วย ทุเรศตัวเองชะมัดเลย...

    มาถึงตอนนี้ อาตมาหมดความสงสัยโดยสิ้นเชิง ของอะไรทำจริงย่อมได้ผลจริง หลวงปู่มหาอำพันท่านบอกว่า “เรื่องวัตถุทางโลก ผมไม่หนักใจเลย” ท่านพลางชี้ให้ดูอาหารที่มากมายจนล้นโต๊ะ กินไม่ไหวใช้ไม่หมด “ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในอานุภาพพระรัตนตรัยจริง ๆ ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น...

    ครับ...หลวงปู่กล่าวชอบแล้วทุกประการ นอกจากจะได้แล้ว ยังได้มากเสียด้วย ใครจะคิดถึงว่าขนาดอยู่กลางป่ากลางดงยังกินไม่ไหว ใช้ไม่หมด สามารถเลี้ยงพระ - เณรจนอิ่มหนำ ซ้ำยังเหลือเผื่อหมาอีกเยอะแยะ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นเป็นอัปปมาโณ หาประมาณมิได้จริง ๆ...!

    ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ




    ตามความรู้สึกของผมนะครับ คาถาทุกคาถานั้น มีไว้เพื่อโยงให้จิตเป็นสมาธิ หากจิตเป็นสมาธิแล้ว เราจะทำการสิ่งใดก็ตามแต่ ผลนั้นก็จักสมเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ทุกประการ เนื่องจาก คาถาทุกคาถานั้นครูบาอาจารย์ท่านได้ผูกเงื่อนไขไว้ให้เป็นกุศลโลบายในการทำ ความความดี มีเหตุและปัจจัยโยงใยถึงกันอยู่แล้ว

    อธิบายยกตัวอย่างง่ายๆเช่น หากคุณ อยากรวย คุณก็ต้องขยัน ต้องประหยัดมัธยัสถ์ ใช่ไหมครับ เพราะถ้าไม่ขยัน และประหยัด แม้จะได้มามากเท่าไร ก็ต้องจ่ายออกไปมากเช่นเดียว
    และการใช้จ่ายเงินอย่างมีประโยชน์นั้น ก็ต้องเกิดจากการพิจารณาอย่างมีเหตุและผลว่าสิ่งนี้สมควรหรือไม่ ตัวเงื่อนไขของคาถาก็คือ

    คุณต้องรักษา ศีล ทำบุญทำทาน เจริญสมาธิภาวนา

    ทำไมต้องทำแบบนั้นหรือ จะอธิบายให้ฟังครับ

    สมมติแต่ก่อน นั้นคุณจะเป็นคนไม่มีศีล สิ่งเหล่านี้คุณทำเป็นปกติไหมครับ
    เช่น
    ๑ คุณจะทานเหล้า และสูบบุหรี่ไหมครับ ...? ศีลข้อนี้สำคัญนะครับ คิดง่ายๆ คุณทานเหล้า เบียร์ หรือบุหรี่ก็ตามแต่ เบียร์ขวดล่ะ 50 บาท คุณทานทุกวัน เดือนหนึ่งตกเท่าไร 1500 บาทใช่ไหม ปีหนึ่งล่ะ หมื่นกว่าบาทแ้ล้วครับ ข้อนี้หลังจากผมรักษาศีลแล้ว ผมสามารถประหยัดเงินได้มากโขครับ เพราะแต่ก่อนผมเข้าผับทุกเดือน เงินที่หายไปในแต่ล่ะครั้งในการเข้าผับ กินเหล้าของผม คืนๆหนึ่ง หมดไม่ต่ำกว่า พันบาท เดือนหนึ่ง ก็คิดเอาครับ เท่าไร

    ๒ การที่คุณ มีกิ๊กเยอะๆ มีชู้เยอะๆ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนแฟนไม่ซ้ำหน้า คุณต้องใช้เงินไหมครับ ในการพาไปทานข้าว ดูหนัง ไปเที่ยว หรือแม้แต่ไปสถานที่อโคจรต่างๆ เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์ครับ ผมเคยคบผู้หญิงพร้อมๆกันทีเดียว ๔ คน โทรศัพท์ต้องมีหลายๆเครื่องเพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนในการโกหก และหากไปกับใครคนไหน ผมก็ต้องเลี้ยงเขา เนื่องจากเราเป็นผู้ชาย พูดง่ายๆคือ ๑ เปลืองค่าโทรศัพท์ ๒ เปลืองเวลา ๓ เปลืองทรัพย์

    ๓ การเจรจาในการค้าขายนั้น ก็สำคัญเช่นกัน แต่ก่อนผมใจร้อนมาก พูดกับลูกค้าแบบขอไปที บางทีก็ไม่มีสัจจะ ผลัดว้ันประกันพรุ่ง แต่พอผมรักษาศีล ผมต้องรักษาสัจจะ การพูดจาทุกอย่างต้องปรับปรุง จนลูกค้าหลายคนเริ่มใช้บริการผมมากขึ้น เนื่องจากผมส่งของตรงเวลา และไม่บิดพริ้ว คำไหนคำนั้น ออเดอร์เยอะขึ้น เงินทองก็เลยคล่องตัวมากขึ้นไปด้วย

    ผมยกตัวอย่างง่ายๆแค่นี้ ก็เห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าเงินที่หายไปในแต่เดือนของผมมากเท่าไร และเงินที่ได้คืนมานั้น มากกว่าเดิมเท่าตัว ครับ ยิ่งคนรักษาศีลละเอียดเท่าไร สมาธิก็จะตั้งมั่นได้มากเท่านั้น วันไหนผมรักษาศีลแปด ผมไม่ทานข้าวเย็น ไม่ทาแป้ง ไม่ทาเครื่องสำอาง ประหยัดไปเท่าไร..? เห็นไหมครับ ของแบบนี้ล่ะ เล็กๆน้อยๆมันสะสมไปเรื่อย บางครั้งเรามองข้ามไป

    แต่ยังก่อนครับ แค่มีศีลยังไม่พอครับ เพราะศีลแค่ตัวยับยั้ง ไม่ให้ทำชั่วเท่านั้น มีอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณมีพลังในการยับยั้งการทำชั่วได้ดีที่สุดก็คือ การเจริญสมาธิครับ เพราะ อะไรผมจึงกล่าวแบบนี้ ก็เพราะว่า หากคุณเจริญสมาธิถึงขึ้น ปฐมฌาน เป็นต้นไป จิตคุณจะสุข การทำงานต่างๆคุณจะละเอียดขึ้น สุขุมขึ้น เนื่องจากจิตของคุณร่มเย็น ไม่ซัดส่ายไปทางไหน และอำนาจฌาน จะกดทับความอยากเอาไว้ ยิ่งถ้าคุณควบวิปัสสนาไปด้วย ปัญญาก็จะเกิด แล้วก็จะรู้ว่า จิตคุณละเอียดละออขึ้น มีเหตุมีผลขึ้น ใจเย็นขึ้น สงบขึ้น และไม่อยากทำในสิ่งชั่วเลย ทำไมผมจึงบอกว่า ภาวนาเงินล้านเป็นฌาน แล้วเงินจะคล่อง ก็ตัวนี้ล่ะครับ อย่าลืมนะครับ คาถาคือตัวโยงจิต ที่สำคัญมีคนใช้แล้ว เห็นผลมากมาย ถ้าไม่ดีจริงๆ คงไม่มีใครกล้าการันตี ผมว่าอย่ามัวแต่สงสัยดีกว่าครับ ลองทำดู เอาแค่ ๑เดือนก็พอ แล้วคุณก็จะรู้เองครับ

    ผมมันพวกชอบพิสูจน์อย่างที่บอกตั้งแต่แรกน่ะครับ ผมลองแล้วเห็นผล และจะเกิดผลดีมาก หากทำบุญทำทานด้วย เวลาผมสวดมนต์เสร็จ ผมจะหยอดเงินใส่กระปุกที่ผมเตรียมไว้ตรงหน้าหิ้งพระ ๑๐ บาท ทุกวัน ทุกครั้งที่สวดเสร็จ สวดวันหนึ่งสองรอบ ก็วันล่ะ ๒๐ บาท เดือนหนึ่ง ผมได้เงิน ๖ ร้อยบาท ผมจะนำเงินส่วนนี้ไปถวายสังฆทาน ทำบุญ หรือสมทบทุนสร้างวิหารทาน หรือสร้างพระพุทธรูป ผมคิดไว้เสมอครับ การทำบุญที่ดี เราต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน บุญก็คือ ความดี ความสุขใจ ใช่ไหมครับ...?

    จากการปฏิบัติ แบบ เข้มของผมเพียงเดือนเดียว ผมมีเงินเก็บ เกือบแสนครับ ทั้งๆที่ผมไปถวายสังฆทาน ไปเที่ยวบ้างตามโอกาส หรือไปบวชเนกขัมมะที่ท่าขนุนผมก็ใช้เงินหมดไปเป็นหมื่น ผมตกใจเลย เพราะว่า แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายขนาดนี้เชียวหรือ ?

    จากประสบการณ์ที่เอาเงินมานับก่อนเข้าเซฟแ้ล้วเงินงอกนี้ มันก็เป็นอีกเรื่องที่ผมแปลกใจครับ นับสองสามรอบแต่ก็ไม่น่าเชื่อจะเพิ่มขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่บ่อยนะครับ นานๆครั้ง แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นก็คือ จิตตั้งมั่นอยู่ในความดี ได้เจริญสมาธิ ภาวนา อันเป็นบุญใหญ่ นี่ละ่ครับ ผมว่า กุศโลบายของหลวงปู่หลวงพ่อท่านตั้งเงื่อนไขไว้ในคาถา

    ลองปฏิบัติดูครับ เรื่องแบบนี้เป็นปัจจัตตัง ใครทำใครรู้ เวลาคุณปฏิบัติมากๆ บางทีเงินเหล่านี้อาจจะไร้ค่าไปเลยก็ได้ครับ เพราะมีลาภ ก็เสื่อมลาภ มียศ ก็เสื่อมยศ มีสุข ก็มีทุกข์ มีสรรเสริญ ก็มีนินทา อันนี้เป็นโลกธรรม๘ เป็นของคู่กันอยู่แล้วครับ

    เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เรายังจำเป็นต้องมีมันในการดำรงชีวิต แต่เราต้องใช้อย่างมีสติ รอบคอบ การปฏิบัติธรรมนั้น หลวงปู่หลวงพ่อท่านกล่าวเอาไว้ ว่า โลกไม่ให้ช้ำ ธรรมไม่ให้เสีย สองอย่างต้องควบคู่กัน
    ผมไม่ได้บอกว่า ท่องคาถานี้แล้วจะต้องมีเงินล้าน แต่ผมบอกว่า หากท่องคาถานี้ พร้อมทั้ง ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เงินทองจะคล่องตัวมาก และหากคุณทำเป็นประจำ เงินล้านที่ว่าก็ไม่ไกลเกินเือื้อมใช่ไหมครับ..?


    เรื่องที่มีคนถามว่า คาถาเงินล้านเอาบุญมาจากอดีตชาติมาใช้ในปัจจุบัน จริงหรือไม่ นั้น

    ผมฟันธงเลยครับ ว่าไม่จริงครับ ....


    เพราะอะไรเรามาดูกันครับ

    หากคุณปฏิบัติ อยู่ในกรอบของ ทาน ศีล สมาธิ ภาวนาแล้ว ตัวนี้ที่เป็นเงื่อนไขของคาถา การทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนาเป็นบุญใหญ่อยู่แล้วครับ แล้วเรื่องอะไรต้องไปเอาบุญจากอดีตชาติมาใช้ จริงไหมครับ..

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเคยกล่าวว่า

    <table border="0" width="100%"><tbody><tr><td valign="middle">
    </td><td valign="middle">
    </td><td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" size="1" width="100%">
    [​IMG]

    หลวง ปู่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการปฏิบัติบูชามาก เนื่องจากประโยชน์ที่จะได้รับในขณะที่ปฏิบัติสมาธินั้น ได้บุญพร้อมถึง ๓ องค์คือ ทาน ศีล และภาวนา

    เกี่ยวกับทานมีกล่าวไว้ในพระสูตร ว่าด้วยเรื่องของ การให้ทานกับคนธรรมดาหนึ่งครั้ง ให้ทานคนธรรมดาร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการให้ทานคนที่มีศีลหนึ่งครั้ง ให้ทานผู้มีศีลร้อยครั้ง ไม่เท่ากับให้ทานพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันหนึ่งครั้ง เรื่อยมาจนถึงให้ทานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าร้อยครั้ง ไม่เท่ากับถวายสังฆทานหนึ่งครั้ง โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน และการถวายสังฆทานร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการถวายวิหารทาน ได้แก่ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ แต่ถึงแม้จะถวายวิหารทานไว้มากมายถึงร้อยครั้ง อานิสงส์ก็ยังไม่เท่ากับการเจริญเมตตาจิต หรือการภาวนาได้แสงสว่างเพียงเท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เพียงครั้งเดียว ถ้าจะมีผู้แย้งว่า ขณะนั่งสมาธิไม่มีการให้ทาน ขอตอบว่า ทานในขณะปฏิบัติเป็นทานอันยิ่ง คือ อภัยทาน เพราะในเวลานี้ ถ้าเราโกรธ อาฆาต พยาบาทใครก็ตาม เราต้องให้อภัย มิเช่นนั้นแล้วสมาธิจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น เราต้องมีเมตตาธรรมบังเกิดขึ้น จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับการให้ทานนี้ ก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัวนั่นเอง มิใช่เป็นการให้ทานเพื่อหวังผลตอบแทนอย่างเลอเลิศ เพราะจะกลายเป็นผู้โลภบุญ

    หลวงปู่ทวดเคยให้คำจำกัดความของบุญกับผู้เขียนว่า
    "บุญ คือความสบายใจ ก่อนทำก็สบายใจ ขณะทำก็สบายใจ ทำแล้วก็สบายใจ คิดถึงทีไร สบายใจทุกที"

    เรื่อง ของศีลนั้น ในขณะที่ปฏิบัติ เราจะเป็นผู้ที่มีศีลอย่างบริบูรณ์ เนื่องจากได้สมาทาน และมีเจตนาที่จะรักษาศีลเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้บางท่านจะภาวนาเลย ก็ย่อมมีศีลอยู่กับใจ (ศีลโดยแท้ คือ ภาวะปกติของใจ ที่ไม่กระเพื่อมไปตามอำนาจกิเลส เรียกว่า ศีลใจก็ไม่ผิด) เพราะว่าเราไม่ได้ไปผิดศีลข้อใดในขณะนั้น ตั้งแต่การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม เป็นต้น เมื่อเรามีศีลบังเกิดขึ้น อานิสงส์ของศีลย่อมทำให้เรามีความสุข มีชีวิตอยู่ก็มีความสุข ตายไปแล้วก็มีสุคติเป็นที่หวังอย่างแน่นอน สำหรับการภาวนามีจุดประสงค์เพื่อให้จิตเกิดความสงบมีสมาธิ การบริกรรมภาวนา ไม่ว่าสัมมาอรหัง พุทโธ หรือพุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ ต่างก็มุ่งหวังให้จิตเป็นสิ่งเหนี่ยวนำหรือได้ทำงานในสิ่งที่ดี เนื่องจากสภาพของจิต มักจะไม่อยู่นิ่ง เหมือนลิงมีอาการซุกซน คิดโน่นคิดนี่ ไม่มีสมาธิ ผู้ปฏิบัติจึงต้องอาศัยคำภาวนา ผูกจิตเอาไว้ไม่ให้วอกแวกไปทางอื่น เมื่อมีสติรู้อยู่กับคำภาวนาจนจิตเกิดความสงบ หรือบังเกิดแสงสว่างขึ้น จึงมีอานิสงส์พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน เป็นการรวมตัวของบุญที่กระทำขึ้น จึงมีอานิสงส์มากกว่าการตักบาตร หรือการทำทานเพียงอย่างเดียว

    ดังนั้น การปฏิบัติสมาธิ หรือการภาวนา ดังที่หลวงปู่กล่าวไว้ จึงเป็นการสร้างบารมีอย่างดียิ่ง อันให้ประโยชน์กับตนเองทั้งปัจจุบัน และภายภาคหน้าด้วยประการนี้.....


    คิดเอาสิครับ หากคุณปฏิบัติใน ทาน ศีล สมาธิ ภาวนา แล้วในเมื่อบุญเยอะขนาดนี้ในชาิตินี้ ทำไมคุณต้องไปดึงเอาบุญจากอดีตชาติมาใช้ครับ ในเมื่อในชาติปัจจุบันนี้ใช้เท่าไรก็ไม่หมด จริงไหมครับ ?


    อย่ามัวลังเลสงสัยเลยครับ ธรรมะนั้น ต้องปฏิบัติครับ มันต้องพิสูจน์ ต้องจริงจัง ขอให้ตั้งมั่น ตั้งใจไม่ย่อท้อครับ

    ขอโมทนาในกุศลกรรมและขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ <fieldset class="fieldset"><legend>ไฟล์แนบข้อความ</legend> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> <td>คาถาเงินล้าน.mp3 (1.19 MB, 0 views)</td></tr></tbody></table></fieldset>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  10. เต่าสุเกะ

    เต่าสุเกะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +43
    ถึงหลวงพ่อจะไม่อยู่แล้ว และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้ว แต่เชื่อเถิดครับว่า ท่านไม่ได้อยู่ไหนไกลหรอก หมั่นทำความดีระลึกถึงท่าน แล้วเราจะรู้ว่า ท่านที่เป็นครูของเรานั้นอยู่กับเราตลอดเวลา
     
  11. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    จริงๆก็เคยได้ยินมาบ้างถึงเรื่องการท่องคาถาแล้วมีเงินเพิ่มมาแบบหาที่มาไม่เจอ แต่ยังไม่เจอกับตัวเอง สงสัยคงต้องสวดอย่างจริงจังแล้วมั๊ยเนี่ย อนุโมทนากับประสบการณ์ท่องคาถาแล้วเงินเพิ่มค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2012
  12. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    476
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,858
    ตอนแรกที่ท่องเพราะอยากพิสูจน์น่ะครับ เพราะเห็นหลายท่านบอกว่าหากทำเป็นฌานจะคล่องตัว. ช่วงนั้นเลยจัดหนักเลยครับ จนบางทีลืมสังเกตุคนรอบข้างไปเลย ภายในสองเดือนผลที่ได้ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ครับ เดือนสองเดือนแรกเรียกว่าบ้าก็ได้ เพราะจิตจับอยู่ที่คาถากับภาพพระอย่างเดียว ไม่ว่าจะกินข้าว ขับรถ อาบน้ำ เดิน ยันหรือแม้กระทั่งพูดคุย ก็จะทำอย่างนั้นเป็นประจำ มีเผลอบ้างแต่พอรู้ตัวจิตก็จะกลับไประลึกถึงองค์คาถากับภาพพระเสมอครับ. จะเรียกว่าความโลภเป็นเหตุให้ทำแบบนั้นก็ได้นะครับ ฮา ๆ. แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีครับ เพราะเวลาที่นั่งกรรมฐาน จิตจะรวมเร็ว และเข้าถึงความละเอียดขององค์ฌานได้ดี อาจจะเนื่องจากจิตมีความชินในสมาธิก็เป็นได้ครับ.
     
  13. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    476
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,858
    สายไหน...สุดท้ายก็คือจุดมุ่งหมายเดียวกันครับ หลวงพ่อจรัญ ก็เป็นพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่งที่ผมเคารพเช่นกันครับ

    โมทนาในกุศลกรรมครับผม
     
  14. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    476
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,858
    ขอบคุณที่ชี้แนะครับพี่ โดยปกติแล้วผมก็กราบนมัสการพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรมเจ้า และพระอริยะสังฆเจ้าทุกๆรูปก่อนเจริญพระกรรมฐานอยู่ครับ โดยเฉพาะหลวงพ่อฤาษีและหลวงปู่ปาน จริงๆเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อนั้นมีเยอะอยู่ครับ แต่ผมเลือกเอาเฉพาะที่เป็นประโยชน์มาโพสเล่าสู่กันฟัง เรื่องเล็กๆ้น้อยๆ เช่นหลวงพ่อมาเตือนบ้าง หรือโดนด่าบ้างเวลาวางอารมณ์ผิด หลวงพ่อก็จะมาคอยเตือนเสมอครับ ผมคงเป็นลูกหลานที่เกเรมากกระมัง ทำให้หลวงพ่อเดือดร้อนอยู่เรื่อยเลยครับ (ปาบหนักเลยผม) แฮ่ๆ..
     
  15. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +2,136
    อนุโมทนา สาธุ ครับ หลวงพ่อท่านคงจะดีใจ ที่ลูกหลานตั้งใจปฏิบัติ ยินดีให้ท่านมาคอยเตือนบ่อยๆ ครับ ผมเองบุญน้อย ไม่สามารถสื่อกับหลวงพ่อได้เลยครับ :'(
     
  16. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    อนุโมทนาเจ้าของกระทู้ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ต่อค่ะ อย่างน้อยผู้ที่นำคาถาของท่านไปท่องแล้วไม่บังเกิดผล จะได้รู้ตัวว่าเป็นเพราะอะไร ความตั้งใจเอาจริงในการปฏิบัติภาวนาบวกกับคาถาศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ น่าจะเป็นคำตอบ
     
  17. ปิยะคุณ

    ปิยะคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +392
    อนุโมทนาด้วยนะค่ะ ตัวเราเองก็ได้รับเมตตาของหลวงพ่อเช่นกัน มากมาย หลายครั้ง

    ส่วนเรื่องคาถาเงินล้าน เราเองศรัทธาในคาถานี้ โดยนำมาสวดเป็นพุทธานุสสติทุกยามที่ไม่

    ต้องพูดกับใคร ส่วนเรื่องเงินเพิ่มหรือเปล่า ? ^ ^ ข้อนั้นไม่แน่ใจ รู้แต่เพียงว่า เงินมันใช้

    เท่าไหร่ก็ไม่ค่อยจะหมด ยิ่งเวลาไปวัด นึกจะหยอดตู้ไหน ล้วงกระเป๋าไปก็จะพบเงิน ที่

    สำคัญ ไม่ใช่แบงค์เล็กด้วยค่ะ ประมาณว่า อยากทำเท่าไหร่ ก็มีมาให้ทำ ปล. แต่จะใช้ให้

    หมดกระเป๋าจริง ๆ นั้น สามารถอยู่แล้ว แต่ถ้าทำไปเพื่อพระพุทธศาสนา เงินจะกลับมา

    มากกว่าที่เราบริจากทรัพย์นั้นไปค่ะ
     
  18. ละโลก

    ละโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +654
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ กับเจ้าของกระทู้ครับ เป็นประโยชน์ต่อผู้ร่วมชะตากรรมโดยแท้
     
  19. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    476
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,858
    ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับหากจะนำำไปเผยแพร่เป็นธรรมทานไม่แสวงหาผลประโยชน์ใดๆ หากประสบการณ์เล็กๆของผมสามารถทำให้ใครบางคนทำความดี เจริญสมะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ขอโมทนาสาธุเป็นอย่างสูงครับ ความดีๆใดๆนั้น ขอมอบถวายแด่องค์สมเด็จฯท่านและหลวงพ่อ หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบครับ ครับผม

    ส่วนเรื่องคาถาเงินล้านหากจะให้ได้ผลจริงๆนั้น ผมว่าขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ คุณมีศีลบริสุทธิ์แค่ไหน คุณขยันหมั่นเพียรแค่ไหน หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ว่าหากบุคคลใดทำให้เป็นฌาน เงินทองจะไม่ขาดเลย จะคล่องตัวมาก ช่วงแรกๆผม ท่องในใจเกือบทั้งวันเลยครับ ได้ผลดีมาก เป็นที่น่าเหลือเชื่อ แต่ระยะนี้ ก็มีบ้างที่ท่อง แต่ก็ไม่ได้ให้ขาด ส่วนมากจะจับภาพพระ บ้าง จับอริยาบถบ้าง แล้วแต่โอกาสครับ

    โมทนาสาธุในกุศลกรรมด้วยครับ
     
  20. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    476
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,858
    สวดก่อนนั่งกรรมฐาน 9 จบ จะทำให้จิตใจนิ่งดิ่งดีครับ ทำเป็นฌานเลยก็ได้ ยิ่งดีใหญ่ เรื่องเงินทอง เดี๋ยวก็มีมาเรื่อยๆครับ เพียงแต่ทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ จะมีผลพลอยได้ก็คือ

    ๑ เวลาปฏิบัติสมาธิ จิตจะรวมง่าย จิตจะไม่สอดส่ายวอกแวก เนื่องจากมันคุ้นเพราะเราคุมให้อยู่ด้วยการจดจ่อกับคาถาครับ

    ๒ เรื่องความคล่องตัวของธุรกิจ ไม่ว่าจะเจรจาค้าขาย กับใคร ลองท่องก่อนสักสามจบก่อนจะไปคุยด้วยสิครับ จะได้ผลอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญเงินทอง ไม่เคยขาดมือ บางทีเหมือนจะไม่พอแต่ก็พอ นี่ก็เป็นเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่งครับ หลวงพ่อท่านกล่าวไ้ว้ไม่ผิดหรอกครับ หากลูกหลานเคารพและศรัทธาจริงๆ ผมว่าปฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอครับ

    โมทนาในกุศลกรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...