ประสบการณ์ชีวิตจริง...วิถีแห่งจิต(พุทธะธรรมญาณ สู่ ยุคกระแสแห่งอภิญญาใหญ่)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูมิ, 9 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    พระพุทธเจ้าปางอรหันต์.jpg

    ผมรู้สึกอยากจะโพสรูปนี้ ความรู้สึกนี้มันแว๊บขึ้นมาในหัวหลังจากที่ผมไม่ได้โพสมานานแล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน มันคงมีนัยะอะไรซ้อนอยู่หรือเปล่า
     
  2. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ่านเจอธรรมทานดีๆ เลยนำมาแบ่งปันให้อ่านกันครับ

    อ้างอิงกระทู้เวปญาณทิพย์ :
    รักษาโรคกับอ.นงนุช - ห้องญาณทิพย์ - หน้าแรก ญาณทิพย์ - Powered by Discuz!

    ลองให้คนป่วยนึกภาพดวงแก้วดูซิครับ โดยนึกภาพให้อยู่ที่ศูนย์กลางกาย(วิชาธรรมกาย) ถ้าผู้ป่วยเห็นพระนั่งอยู่ในดวงแก้วนั้น ก็พอมีหวังในระดับหนึ่ง จะเห็นภาพพระหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่บุญวาสนาของเขาเอง แต่ก่อนจะเริ่มนึกภาพดวงแก้วนั้น จำเป็นที่ผู้ป่วยจะต้องอธิษฐานจิตเบิกบุญเก่าในอดีตชาติต่อหน้าพระประธาน(ดีที่สุด)หรือถ้าไม่สะดวกก็ต่อหน้าพระพุทธรูปในบ้าน ข้อความอธิษฐานจิตกล่าวง่ายๆ ก็พอแต่ให้ตั้งจิตตั้งใจ ก่อนอธิษฐานให้ทำจิตนิ่งเป็นสมาธิสักครู่ก่อน ในคำอธิษฐานนั้น ต้องมีกล่าวถึงประมาณว่า "ลูกขอตั้งจิตอธิษฐานต่อสมเด็จองค์ปฐม,พระสมณโคดมพุทธเจ้า,พระศรีอริยเมตไตย และครูบาอาจารย์ทุกองค์ของลูก ลูกขอเบิกบุญเก่าในอดีตชาติจนถึงปัจจุับันชาติมาเพื่อการปฏิบัติธรรมฝึกฝนจิตให้ลูกได้มีดวงตาเห็นธรรมโดยเร็ววัน และลูกขอนำจิตสังขารของลูกและดวงชีวิตนี้ถวายแด่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เป็นพุทธบูชา,ธรรมบูชา,สังฆบูชาในทุกภพทุกชาติ และถ้าลูกมีโอกาสไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ลูกขอถวายตัวเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาให้ยั้งยืนตลอดไป" ประมาณนี้ อย่าขอเรื่องอื่น ให้ขอถวายชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างเดียว ซึ่งท่านจะทราบโดยจิตอยู่แล้วว่าเราต้องการอะไร หลังอธิษฐานจิต ก็ให้นึกถึงภาพดวงแก้วบ่อยๆ นะครับ และถ้าเราเห็นภาพพระในดวงแก้วนั้นแล้ว ก็ให้นึกภาพพระองค์นั้นบ่อยๆ เมื่อนึกบ่อยๆ อยู่เป็นเนืองนิจทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว(ก่อนนอนก็ให้นึกไปจนหลับ) เมื่อทำเช่นนี้บ่อยแล้ว จิตสังขารจะสามารถจดจำอารมณ์ของการนึกภาพพระองค์นั้นได้ ซึ่งอารมณ์นี้ ก็คือ อารมณ์แห่งพุทธบารมี(พุทธานุสติกรรมฐาน)ของพระ และก่อนนอนก็ให้อุทิศบุญจากกรรมฐานนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังตามทวงหนี้กรรมกับเรา ณ ขณะนี้ในทุกๆ วันและอุิทิศบุญให้กับกายสังขารนี้ของเรา รวมถึงพระพุทธเจ้า,ครูบาอาจารย์และเทวดาประจำตัวของเราด้วย

    เมื่อทำอารมณ์นี้บ่อยๆ อย่างต่อเนื่องแล้ว จิตสังขารจะเกิดอารมณ์ของฌานสมาธิขึ้นในจิต ทำให้จิตเข้มแข็ง เมื่อจิตเข้มแข็งแล้วก็สามารถเข้าสู่ธรรมในระดับที่สูงขึ้นได้ รวมถึงสามารถปรับสมดุลธาตุในร่างกาย และยังเป็นพลังอันแก่กล้าที่จะผลักดันพลังดำของเจ้ากรรมนายเวรให้ออกจากร่างกายเราหรือให้มีอิทธิพลต่อร่างกายเราน้อยลงหรือไม่ให้พลังดำแทรกเข้าร่างกายไปมากกว่านี้ได้(ควรพิจารณาความตายไปด้วยครับ เพราะถือว่าเป็นอารมณ์อุเบกขาปล่อยวางหรืออารมณ์ที่เป็นกลาง พลังดำก็จะจับอารมณ์ของเราไม่ติดครับ พลังดำจะจับอารมณ์ที่ไม่ดี(อกุศล)ของจิตเป็นหลักทำให้จิตหวั่นไหวไม่ปกติ(ความถี่ของจิตสับสน) ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการทางกายทั้งหลาย) วิธีนี้สามารถทรงอาการที่เป็นอยู่ไม่ให้แย่ลงไปกว่านี้ได้ และในขณะเดียวกันคนป่วยยังสามารถใช้กำลังของฌานสมาธิและพุทธบารมีปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเซลหรือธาตุในร่างกายให้ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวไป เป็นขั้นตอนอธิบายในเรื่องของปาฏิหาริย์แนวธรรมะปฏิบัติและฝึกฝนจิต ซึ่งทุกสิ่งล้วนตั้งอยู่บนหลักของธรรมะหรือธรรมชาติที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า "ทำเหตุปัจจัยแห่งกรรมใหม่ให้ถึงพร้อม ย่อมนำมาซึ่งผลแห่งกรรมใหม่ที่เราปรารถนาและคาดหวังได้" มันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกแต่ต้องปฏิบัติจริงทำความเพียรอย่างต่อเนื่องจริงจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้ เป็นกำลังใจให้ครับ...

    *** การรักษาที่ยั้งยืนนั้น ต้องเริ่มรักษามาจากภายในของเราก่อน คือ "รักษาที่จิต" ร่างกายที่มีจิตที่ไม่ปกติหรือถูกครอบงำ ย่อมรักษาไม่หายขาด ซึ่งคำว่า "กรรมฐาน" ก็คือ ยารักษาจิตที่ดีเยี่ยมของพระพุทธองค์นั้นเอง สำหรับเคสอาการหนักนั้น เราควรน้อมนำกรรมฐานนี้ไปปฏิบัติฝึกฝนจิตอย่างจริงจัง ปฏิบัติฝึกฝนไปพร้อมๆ กับการรักษาของอ.ผู้มีญาณท่านอื่นๆ ด้วย จึงจะมีประสิทธิผลหายไว***


    ปล. จิตใดที่นึกถึงพระอยู่เสมอ(เป็นการหางานที่ดีให้จิตทำ) จิตนั้นย่อมเป็นกุศลย่อมมีพลัง ย่อมไม่มีช่องว่างหรือไม่มีเวลาให้กับความคิดที่ไม่ดีเป็นอกุศลความคิดที่ทำร้ายตนเองอยู่เสมอ เป็นการสร้างรากฐานของจิตให้มีกำลังอย่างแท้จริงตามแนวทางแห่งพุทธะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2012
  3. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ่านเจอธรรมทานดีๆ เลยนำมาแบ่งปันให้อ่านกันครับ

    อ้างอิงกระทู้เวปพลังจิต :
    http://palungjit.org/threads/มีเสียงในหู-เหมือนจั๊กจั่นร้อง.395704/page-2#post7118346

    ตามความเชื่อของผมจากการปฏิบัติธรรม

    อาการเสียงวี๊ดจั๊กจั่นร้องนั้น แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

    1. เสียงวี๊ดจั๊กจั่นร้องที่เกิดจากความผิดปกติของประสาทหู แนะนำให้ไปหาหมอ

    2. เสียงวี๊ดจั๊กจั่นร้องที่เกิดจากจิตที่กำลังทรงฌานหรือจิตกำลังนั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ในกายสังขาร สาเหตุของอาการเสียงนี้ เกิดจาก อาการที่จิตกับกายเริ่มจะแยกกันได้แล้ว จะแยกกันมากหรือน้อยไม่กล่าวถึง ถ้าได้ยินเสียงนี้ตลอดเวลาทั้งยามหลับและยามตื่นก็แปลว่า จิตมีสมาธิทรงฌานได้ดี แต่จิตจะเลิกทรงฌานเนื่องจากไม่มีสมาธิก็อาจเป็นเพราะบางสาเหตุ เช่น ถ้าเราคิดหมกหมุ่นกลุ่มใจหรือสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ หรือ จิตเกิดอาการเคลียสไม่เป็นปกติ ก็ย่อมอาจทำให้เสียงวี๊ดแหลมในหูเหล่านี้หายไปได้เพราะจิตขาดสมาธิหรือความสงบ แต่ถ้าจิตเลิกกังวลหมกมุ่นหรือไม่เคลียส จิตก็จะกลับมาทรงณานเหมือนเดิม ซึ่่งในส่วนตัวผมเองนั้น ก่อนหน้านี้ก็เกิดอาการสงสัยเหมือนทุกคนเช่นกัน

    เสียงวี๊ดแหลมนี้ ช่วงแรกๆ จะรำคาญสักหน่อย แต่พอสักพักเราก็จะิเคยชินเอง และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เสียงวี๊ดแหลมนี้มีหลายระดับ ในส่วนตัวของผม ผมขอแบ่งเป็น 2 ระดับก่อน เพราะ ณ ปัจจุบันนี้ผมมาถึงเพียงระดับที่ 2 คือ

    1. เสียงวี๊ดระดับหยาบ เป็นอาการของจิตที่กำลังทรงฌานหยาบ อาจมีเสียงวี๊ดที่ดังบ้างเบาบ้างแล้วแต่กำลังของฌานสมาธิ ถ้าเราเคยได้ยินแต่เสียงวี๊ดระดับหยาบ เราก็จะไม่รู้ว่าเสียงวี๊ดระดับละเอียดเป็นเช่นไร

    2. เสียงวี๊ดระดับละเอียด เป็นอาการของจิตที่กำลังทรงฌานละเอียด อาจมีเสียงวี๊ดที่ดังบ้างเบาบ้างแล้วแต่กำลังของฌานสมาธิ ในระดับละเอียดนี้จิตเราซึ่งเคยผ่านเสียงวี๊ดระดับหยาบมาแล้ว เราจะรู้สึกได้เลยว่า เสียงวี๊ดระดับละเอียดนี้มันมีความปราณีละเีอียดขึ้นกว่าเสียงระดับหยาบที่เราเคยได้ยินมา ในส่วนตัวผมนั้น เสียงวี๊ดระดับหยาบเกิดขึ้นเกือบ 24 ชั่วโมงทั้งยามหลับยามตื่น เป็นเวลาปีกว่า และช่วงหลังนี้เรารู้สึกได้ว่าเสียงวี๊ดนั้นมันละเอียดปราณีขึ้น ซึ่งอาการของจิตทรงฌานนี้(เสียงวี๊ดในหู)จะมีความต่อเนื่องมากน้อยเพียงใดนั้นหรือทรงฌานได้ทั้งวันทั้งคืนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น การรักษาศีล(หยาบ,กลาง,ละเอียด) ทำให้เกิดกุศลจิตที่ดีงาม ไม่ข้องแวะหรือมีความคิดที่ไม่ดีเป็นอกุศล(ความบริสุทธิ์ของจิต) , จิตพิจารณาจนเข้าใจและยอมรับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ได้มากน้อยเพียงใดและลึกซึ้งเพียงใด , ระดับของปัญญาญาณที่เกิดขึ้นในจิตจากวิปัสสนาญาณ(มีปัญญาช่วยรักษาจิตให้อยู่ในภาวะปกติมีกำลังจนถึงความว่างระดับมหาสุญญตา(พลังจิตที่มหาศาลก็มาจากจุดนี้) รวมถึงปรับธาตุในกายสังขารให้เกิดภาวะสมดุลแข็งแรง เป็นต้น

    * เมื่อจิตทรงฌานจิตจึงมีกำลัง ทำกิจงานอันใดย่อมสำเร็จดังหวัง คุณวิเศษอภิญญาญาณต่างๆ ที่เปรียบดั่งเปลือกไม้นั้นย่อมบังเกิดขึ้นได้ด้วยเราทำเหตุปัจจัยจนถึงพร้อมสุกงอม และสุดท้ายเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจัดอยู่ในประเภทเสียงวี๊ดใด ก็ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาสังเกตุและปล่อยวางในที่สุด จงใช้ความรู้สึกที่เป็นสัมมาทิฐิเป็นกุศลของตนเองให้มากกว่ามายาในจิตตนจึงจะรู้สึกสัมผัสในสิ่งที่เป็นสัจธรรมความจริงได้โดยไม่ยากเลย *
     
  4. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    วงรัศมีแห่งปัญญาญาณ.JPG

    .........................
     
  5. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ้างอิงจากกระทู้เวปญาณทิพย์ : ประสบการณ์ชีวิตจริง...วิถีแห่งจิต(จิตควบคุมการทำงานสมองผ่านอานาปา/ปรับธาตุในร่างกาย) - ห้องญาณทิพย์ - หน้าแรก ญาณทิพย์ - Powered by Discuz!

    ถ้าท่านคิดว่าหลงมันก็หลงครับ ขึ้นอยู่ที่ว่าเราสอนจิตเราให้คิดอย่างไร คิดดีย่อมทำในสิ่งที่ดี คิดไม่ดีย่อมทำสิ่งที่ไม่ดีเป็นบาปเป็นกรรมแก่ตนเอง แต่ในส่วนของผมขอเดาว่า อาการน้ำตาไหลของคุณ คงจะเป็นอาการของจิตที่เกิดปิติเพราะเจอธรรมครับ เพลงนี้และเพลงบทสวดมนต์ีอีกมากมาย ผมก็นำมาฟังขณะทำงานอยู่ตลอดเวลา เปิดคลอเบาๆ ก็พอ ฟังบ่อยๆ จิตจะเป็นฌาน จิตจะมีสมาธิที่ดีขึ้นครับ ก็คล้ายๆ กับ กรณีการแนะนำของแพทย์ที่ว่า ให้เด็กทารกในท้องหัดฟังเสียงดนตรีที่ไพเราะตั้งแต่อยู่ในท้องเป็นประจำจะทำให้เด็กมีวิวัตนาการที่ดีกว่าเด็กอื่นๆ ซึ่งกรณีทั้งคู่นี้เป็นการปลูกฝั่งจิตหรือเด็กทารกในท้องให้ได้รับเสียงไพเราะที่ดีงดงามหรือเสียงธรรมะเสียงสวดมนต์ก็ขึ้นอยู่กับคุณจะเลือกกำหนดให้เป็นไป จากประสบการณ์จริงของผม
     
  6. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    (20 ธันวาคม 2012 เวลาประมาณ 3:30 นาฬิกา)

    หลังจากดูรายการคนอวดผีดูถึงตอนช่วงล่าท้าผีแล้วเผลอหลับไป(19 ธันวาคม 2012) ตื่นมาอีกที ดูเวลามือถือ เป็นเวลาประมาณ 3:30 นาฬิกา ปกติถ้าตื่นมาช่วงกลางดึก จะสวดมนต์บทสั้นๆ แล้วก็เข้านอนต่อ ซึ่งคืนนี้ก็สวดมนต์ตามปกติ โดยเริ่มต้นจาก นโม 3 จบก่อน ตามด้วยพระคาถาไตรสรณคมณ์ แต่พอเริ่มสวดพระคาถาไตรสรณคมณ์ หูก็ได้ยินเสียงแปลกๆ เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากเสียงวี๊ดปกติ พอผมได้ยินก็รู้สึกได้ว่า มันเป็นเสียงแผ่นดินไหว เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงดังแบบ เคลือนๆๆ~~ ชัดเจน อยู่ตลอดเวลาในหู เราก็สังเกตุดูความรู้สึกของพื้นมันก็ไม่ไหวนิ อีกใจหนึ่งก็คิดว่า เอ๋ๆ หรือว่ามันจะเป็นเสียงคนสตาร์ทรถทิ้งไว้เพราะเสียงคล้ายกันมาก พอสวดจบก็นอนต่อ และลองเอานิ้วอุดหูทั้งสองดู ปรากฎว่าเสียงเคลือนๆ นี้ก็ยังดังชัดเจนอยู่ในหูไม่หาย เราก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เสียงสตาร์ทรถแน่นอน เหมือนจิตเราก็รู้สึกได้ว่า มันเป็นเสียงแผ่นดินไหวแน่นอน แต่ไหวที่ไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวถ้ามันมีแผ่นดินไหวจริงพรุ่งนี้ข่าวก็ต้องมีรายงานออกมาอยู่แล้ว และก็บอกกับตนเองว่า มันจะเป็นจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่อุปทาน ก็ปล่อยวางซะไม่ต้องไปคิดมัน เราก็ทำความรู้สึกรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นปกติจนหลับไป แล้วสักครู่เหมือนจิตมันตื่นเอง เราก็รู้สึกได้ว่า เสียงเคลือนๆ มันหายไปแล้ว เหลือแต่เสียงวี๊ดๆ เหมือนเดิม

    หมายเหตุ สิ่งที่เล่าไปทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่บอกเล่าประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรมฝึกฝนจิตเท่านั้น เหตุการณ์นี้มันอาจจะเป็นแค่อุปทานเท่านั้น มิได้มีเจตนาจะเชื่อมโยงกับภัยพิบัติใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่มาแบ่งปันประสบการณ์การได้ยินเสียงแปลกๆ เป็นครั้งแรก นอกเหนือจากเสียงวี๊ดๆ ในหูเท่านั้นเอง
     
  7. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    (เขียน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2013 เวลา 7:07 นาฬิกา)

    เรื่อง อิทธิบาทภาวนา (จากประสบการณ์การฝึนฝนจิต)

    อิทธิบาทภาวนา ถือว่าเป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่มุ่งเน้นในเรื่องความเพียรสู่ความสำเร็จในทุกด้าน ซึ่งในบทความนี้ ผมขอกล่าวในมุมมองอารมณ์ของจิตเป็นหลัก ซึ่งแท้จริงแล้วในทุกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ก็ทรงเน้นในเรื่องจิตเป็นหลัก เพราะทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยจิตหรือใจ เท่าที่เราทุกคนทราบกันดีว่า จิตนั้นสามารถอยู่ได้ในทั้งสภาวะโดดเดี่ยวหรือในสภาวะที่มีกายสังขารก็ได้ สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ การฝึกฝนจิตที่อยู่ในสภาวะที่มีกายสังขารนั้นย่อมมีความยากกว่าจิตที่อยู่ในสภาวะโดดเดี่ยว ดังนั้น สำหรับท่านผู้ที่เคยอ่านประสบการณ์การฝึกฝนจิตของผมตั้งแต่ต้น ถ้าท่านรับรู้ถึงกระแสจิตกระแสธรรมที่ถูกส่งผ่านความรู้สึกของผมแล้ว ท่านก็จะรู้สึกได้ว่า การปฏิบัติธรรมของผมนั้นผมปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อย่างแน่นอน แต่เนื่องด้วยการรับรู้กระแสธรรมของผมนั้นผมรับรู้และถูกถ่ายทอดมาจากจิตพุทธะ ซึ่งเกิดจากการเปิดบารมีเดิมในอดีตชาติแบบไม่รู้ตัวโดยเป็นไปตามวาระจิตวาระกิจที่ได้ถูกวางไว้ก่อนจะกำเนิดมาในชาตินี้ยุคนี้

    ก่อนหน้านี้ที่ผมหายไปนาน ไม่ได้เขียนบรรยายในเรื่องการฝึกฝนจิตของผมเลย เพราะผมไม่รู้สึกอยากจะเขียน มันยังไม่ถึงวาระ การฝึกฝนจิต ณ ช่วงเวลานั้น ถ้าเขียนไปก็ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควรต่อผู้มีวาระมีบารมีร่วมกันในกาลนั้น แต่ ณ กาลนี้ผมคิดว่าน่าจะเกิดประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อผู้มีวาระมีบารมีและอธิษฐานร่วมกันในกาลก่อนและกาลนี้ ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่า ณ เวลานี้ผมไม่ได้มีตาทิพย์หูทิพย์หรืออภิญญาญาณใดๆ ทั้งสิ้น ผมมีเพียงแต่กระแสจิตกระแสธรรมที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลต่อผู้มีวาระมีบารมีและอธิษฐานร่วมกัน(ตามคำอธิษฐานในบทความข้างต้น)

    การบรรยายธรรมที่ละเอียดโดยผ่านการเขียนเพื่อให้ผู้มีวาระมีบารมีและอธิษฐานร่วมกันอ่านแล้วให้จิตเหล่านั้นเข้าสู่กระแสธรรมที่ละเอียดตามย่อมมีในบารมีเบื้องต้นแต่กาลก่อนแห่งเรา แต่กาลนี้เราขอใช้อักษราที่แฝงไปด้วยกระแสจิตกระแสธรรมแห่งเราในการเกื้อกูลผู้มีวาระมีบารมีและอธิษฐานร่วมกันให้เข้าถึงซึ่งธรรมแห่งพระพุทธองค์โดยเป็นอัศจรรย์ ธรรมที่เราจะกล่าวถึงนี้ก็คือ “อิทธิบาทภาวนา”

    ในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมพยายามฝึกฝนจิตให้เข้าสู่อารมณ์อุเบกขญาณ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธรรมเอกเป็นบาตรฐานที่จะน้อมนำจิตไปสู่อิทธิบาทภาวนาอันยิ่ง ท่านทั้งหลายคงจะสงสัยว่าอารมณ์อุเบกขาญาณมีส่วนสัมพันธ์กับอิทธิบาทภาวนาเช่นไร จากการฝึกฝนจิตของเราในวันนี้(31 มีนาคม 2013)ที่เรารู้สึกว่าเราเพิ่งก้าวเข้าสู่อิทธิบาทภาวนา หลังจากการฝึกจิตให้ทรงอารมณ์อุเบกขาญาณมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผ่านอารมณ์ที่ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์,ความเศร้าหมองทั้งปวง,ความพอใจและความไม่พอใจ,การพยายามทรงอารมณ์ที่ปล่อยวางกิเลส,สิ่งเร้าทั้งปวง กล่าวโดยรวม คือ การฝึกจิตให้มีสติในทุกอิริยาบถทั้งยามหลับยามตื่น,มีสติในทุกลมหายใจเข้าออกจนถึงการมีสติในทุกขณะจิต ในทางปฏิบัตินั้นย่อมจำเป็นต้องทำความเพียรอย่างยิ่งยวดให้สามารถทรงอารมณ์อุเบกขาญาณโดยปราศจากสิ่งที่เป็นโลกียะทั้งปวงให้ได้ ทำได้บ้างไม่ได้บ้างจนในที่สุด คำว่า ทำไม่ได้บ้างก็ลดน้อยลง ซึ่งอย่างไรก็ต้องดำเนินความเพียรให้เกิดเป็นความเคยชินของจิตให้จงได้โดยพยายามให้มีสติกำกับในทุกขณะจิต

    เมื่อวันก่อนจับดวงแสงสีขาวเป็นอารมณ์อุเบกขาญาณ และจับอารมณ์ได้อย่างแนบแน่นในทุกอิริยาบถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนั่งสมาธิ พอคืนถัดมา จิตมารสร้างฝันทำอารมณ์ตก ตื่นมาจับอารมณ์ไม่ค่อยได้ ต่อจากนั้น เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจให้เปลี่ยนภาพบนมือถือใหม่จากภาพพระพุทธชินสีห์เป็นภาพสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องพระเจ้าจักรพรรดิสีขาว พอจิตผมเริ่มจับภาพนี้ก็รู้สึกถึงอารมณ์อุเบกขาญาณที่แนบแน่นขึ้นมาทันที ทั้งวันจนถึง ณ วินาทีนี้ผมก็ยังรู้สึกแนบแน่นในอารมณ์อุเบกขาญาณไม่เสื่อมคลาย วันนี้ขณะอาบน้ำผมก็จับภาพสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องพระเจ้าจักรพรรดิสีขาวอยู่เนื่องๆ อย่างแนบแน่น แต่ไม่นานจิตผมก็วิปัสสนาว่า อารมณ์อุเบกขาญาณที่เราจับอยู่นี้ ก็คล้ายๆ กับอารมณ์พระนิพพานที่ท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำให้ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิจับบ่อยๆ แต่เรารู้สึกว่า ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิส่วนใหญ่นั้นยังเข้าไม่ถึงอารมณ์อุเบกขาญาณอย่างต่อเนื่องแท้จริง ซึ่งเป็นอารมณ์ชั้นสูง แต่เรารู้สึกได้ว่า เป็นกุศโลบายของหลวงพ่อท่าน ที่ให้ผู้ฝึกมโนมยิทธิเคยชินกับอารมณ์นี้เพื่อเป็นบาตรฐานน้อมนำอารมณ์ไปสู่อารมณ์อุเบกขาญาณอย่างต่อเนื่องแท้จริง แต่ผู้ฝึกมโนมยิทธิจำเป็นจะต้องเจริญมหาสติปัฏฐานสี่,เจริญอิทธิบาทสี่,เจริญอริยสัจสี่,เจริญพรหมวิหารสี่และธรรมอื่นๆ ของพระพุทธองค์ประกอบไปด้วยจึงจะเข้าสู่อารมณ์อุเบกขาญาณอย่างต่อเนื่องแท้จริงได้ ซึ่งเราก็รู้สึกอีกว่า สิ่งที่หลวงพ่อพูดในเรื่องบารมี กล่าวคือ ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิได้ในชาตินี้ก็คือผู้ที่เคยได้มาแล้วในชาติก่อน(บารมีของเก่า=ความเพียรในอดีต,ความเพียรในกาลปัจจุบัน=บารมีในอนาคต) และการเข้าถึงคุณวิเศษและธรรมบางตัวนั้นก็ย่อมต้องอาศัยบารมีแต่เก่าก่อนเป็นหลัก เพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียวนั้นไม่อาจมีคุณวิเศษหรือทำบารมีบางตัวสำเร็จได้ดังหวังโดยง่าย นอกจากคุณวิเศษและบารมีนั้นใกล้เต็มหรือใกล้สำเร็จแล้ว และนอกจากมีผู้มีบารมีมากมาเกื้อกูลชี้แนะจึงจะสำเร็จได้ ซึ่งคำกล่าวของหลวงพ่อเป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอนและตรงใจเราเช่นกัน เราก็ขอโมทนาบุญกับท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

    ต่อมาผมก็วิปัสสนาว่า อารมณ์อุเบกขาญาณ ก็คือ อารมณ์เป็นกลาง หรือ อารมณ์สุญญตา หรือเรียกจิตที่อยู่ในสภาวะนี้ว่า “จิตพุทธะ” คำเรียกต่างกัน แต่ความหมายเหมือนกัน ซึ่งผมรู้สึกว่าอารมณ์นี้เป็นอารมณ์ที่มีกำลังมากเพราะเป็นอารมณ์ที่ปราศจากกิเลสหรือโลกียะทั้งปวง แล้วจิตผมก็รู้สึกไปอีกว่า พระพุทธองค์,พระอรหันต์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงทั้งปวงก็มีระดับความเข้มข้นความละเอียดของอารมณ์อุเบกขาญาณแตกต่างกันไป ต่อมาจิตผมก็นึกไปถึงบทความที่เคยอ่านเรื่องอิทธิบาทภาวนาทำให้กายสังขารของพระอริยสงฆ์หรือฤาษีสามารถดำรงกายสังขารได้นานหลายพันปี ผมว่ามันก็เป็นไปได้ ซึ่งจิตผมที่วิปัสสนาออกมาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง “อารมณ์อุเบกขาญาณกับอิทธิบาทภาวนา” มีดังนี้ คือ

    1. ฉันทะ จิตที่มีความพอใจในอารมณ์อุเบกขาญาณ คือ พอใจในอารมณ์ที่เป็นกลาง ไม่สุขไม่ทุกข์ จิตดีกายดี

    2. วิริยะ จิตที่มีความเพียรที่จะตั้งมั่นและทำให้ยิ่งในอารมณ์อุเบกขาญาณอย่างต่อเนื่อง ผู้สร้างบารมีในอารมณ์อุเบกขาญาณย่อมก่อเกิดเป็นบารมีใหญ่อันบริสุทธิ์ ซึ่งต่างจากบารมีที่สร้างโดยทั่วไป (ภูมิธรรมต่างกัน)

    3. จิตตะ จิตที่ตั้งมั่นในอารมณ์อุเบกขาญาณอย่างต่อเนื่องแล้วทำให้เกิดพลังมาก

    4. วิมังสา จิตที่เกิดปัญญาญาณในอารมณ์อุเบกขาญาณอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดความพิสดารของจิต กล่าวคือ ไม่มีสิ่งใดที่จิตทำไม่ได้

    ภาวะอารมณ์อุเบกขาญาณที่แท้จริงที่มิใช่เพียงแค่ความนึกคิด แต่เป็นภาวะที่จิตทรงอุเบกขาญาณจิตเกิดปัญญาญาณเบื้องต้นละวางซึ่งกิเลสและโลกียะทั้งปวงได้จริงๆ แม้เสี้ยววินาทีหรือแม้ขณะจิตหนึ่ง จงทำให้มากและทำให้ต่อเนื่อง จึงจะถือได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อจิตและเป็นการสร้างบารมีโดยอาศัยปัญญาญาณในแนวทางแห่งโลกุตระอย่างแท้จริง

    อารมณ์อุเบกขาญาณ = อารมณ์แห่งโลกุตระ
    ธรรมภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2013
  8. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ส่วนต้วผม อารมณ์อุเบกขานี่ คือ การอยู่กับลม ครับ ทั้งลมเข้าและลมออก โดยสติอยุ่กับลมและรู้กายไปด้วย ไม่อยู่กับความคืด ไม่ท่องภาวนา เป็นกลางเหมือนกันครับ
     
  9. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    น้อมพรทั้งหลาย จงนำท่านที่ปฏิบัติทุกท่านให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปจนแจ่มแจ้ง แล้วจงมาเมตตาเหล่าข้าด้วยเถิด สาธุ
     
  10. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    (13 เมษายน 2013) 2.11 นาฬิกา

    วันนี้ผมได้เข้ามาดูกระทู้ตนเองอีกครั้ง และสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นก็คือ ตัวเลขจำนวนของ post เรื่องล้าสุดที่ผมเขียน ก็คือ เรื่อง อารมณ์อุเบกขาญาณ-อิทธิบาทภาวนา มันเป็นเลข post7679999 ทำให้ผมรู้สึกอยากจะค้นหาเรียบเรียง post บทความที่่ผ่านมาของผม ซึ่งผมรู้สึกว่าตัวเลขจำนวน post ที่ผมเลือกมาจากตัวเลขเหล่านี้ มันแสดงถึงพัฒนาการของจิตและแสดงถึงลำดับเหตุการณ์ประสบการณ์สำคัญจากการฝึกฝนจิตของผม ซึ่งตัวเลขจำนวน post นี้ก็เกี่ยวโยงตรงกับเลขท้ายของหมายเลขประจำตัวประชาชนของผม 9900444999

    เหตุการณ์สำคัญ ลำดับที่ 1
    http://palungjit.org/posts/4940088

    เหตุการณ์สำคัญ ลำดับที่ 2
    http://palungjit.org/threads/ประสบก...ขาญาณ-อิทธิบาทภาวนา.279151/page-2#post5089998

    เหตุการณ์สำคัญ ลำดับที่ 3 (เรื่อง อารมณ์อุเบกขาญาณ-อิทธิบาทภาวนา)
    http://palungjit.org/threads/ประสบก...ขาญาณ-อิทธิบาทภาวนา.279151/page-4#post7679999
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2013
  11. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ้างอิงกระทู้เวปญาณทิพย์ : http://www.yantip.com/viewthread.php?tid=38484&page=1&fromuid=12583#pid1341501

    ผมขอเสริมในส่วนของคำว่า “กำลังใจ” ที่หลวงพ่อกล่าวถึง, “กำลังใจ” หมายถึง กำลังของจิตของใจ ซึ่งจิตใจเราจะมีกำลังได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยหลายเหตุปัจจัย ดังนี้

    1.เหตุปัจจัยในลำดับและความต่อเนื่องของสภาวะจิตใจเวลาทำบุญทำกุศล, ในลำดับ หมายถึง ก่อนทำ ขณะทำ และ หลังทำ , ในความต่อเนื่อง หมายถึง ก่อนทำขณะทำ และ หลังทำ ถ้าช่วงใดช่วงหนึ่งเกิดคิดถึงเรื่องงาน,ความรักหรือเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่เกี่ยวกับบุญกุศลที่เรากำลังจะทำอยู่ตรงหน้านี้ถึงแม้จะคิดถึงบุญกุศลอื่นๆ ที่เราเคยทำมาหรือคิดจะทำในภายภาคหน้า สภาวะจิตเช่นนี้ย่อมแสดงถึง จิตมิได้ตั้งมั่นอยู่ในบุญกุศลที่กำลังจะทำอยู่ตรงหน้า ย่อมทำให้อานิสงค์ขาดสายเนื่องเพราะจิตขาดความต่อเนื่องไปคิดเรื่องอื่น และอานิสงค์ลดน้อยลง เพราะจิตขาดความตั้งมั่นในบุญกุศลที่จะกระทำอยู่ตรงหน้า

    2.เหตุปัจจัยเพราะสภาวะจิตใจมีอารมณ์ตั้งอยู่เช่น ผ่องใสอยู่,เป็นกุศลอยู่,หม่นหม่องอยู่,ทุกข์อยู่ เป็นต้น

    3.เหตุปัจจัยเพราะสภาวะจิตใจทรงณานอยู่ยิ่งกำลังณานสูงละเอียดยิ่งได้อานิสงค์มากตาม และความต่อเนื่องในการทรงณานของจิตจะทำให้อานิสงค์ไม่ขาดสาย

    4.เหตุปัจจัยเพราะภูมิธรรมของจิต(ตัวจิตเข้าถึงยอมรับซึ่งหลักธรรมมากน้อยเพียงใด,ระดับปัญญาญาณที่เกิดมีในจิต)

    5.ทุกสิ่งอย่างทุกสภาวะที่เกิดขึ้น,ตั้งอยู่และดับไปภายในจิตนั้นย่อมเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่จะเกื้อกูลหรือบั่นทอนอานิสงค์ต่างๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  12. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    ฝากถึง ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน

    สิ่งที่นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ในทุกยุคทุกสมัยละเลยหรือขาดหายไป จึงทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ก็คือ "ความต่อเนื่องของสติ"ถ้าทำสติให้เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องแล้วนั้น ก็จะเป็นอานิสงค์ส่งผลให้ฌานสมาธิสามารถจะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเองเป็นอัตโนมัติเป็นธรรมชาติ และเป็นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญญาจากวิปัสสนา สรุปคือ หลักธรรมอื่นๆ ก็จะผุดตามขึ้นมาอย่างเป็นอัตโนมัติเป็นธรรมชาติขึ้นมาในจิตเอง ซึ่งเราเรียกจิตนี้ว่า "จิตผู้รู้"

    พระพุทธองค์จึงทรงเน้นย้ำว่า "มหาสติปัฏฐาน 4" เป็นทางสายเอกสายตรง ก็เพราะทรงตรัสรู้ว่า "สติที่ต่อเนื่องอยู่เนื่องๆ เป็นอานิสงค์ทำให้หลักธรรมต่างๆเกิดขึ้นได้โดยง่ายตามระดับเป็นอัตโนมัติเป็นธรรมชาติ และจิตยอมรับในธรรมต่างๆ ได้โดยง่ายเช่นกันเป็นลำดับ อุปมาได้ดั่ง เหมือนเด็กค่อยๆหัดตั้งไข่,หัดคลาน,หัดเดิน จนวิ่งได้ ซึ่งเป็นลำดับของการเกิดจิตผู้รู้อย่างแท้จริง"

    จงมีสติในธรรม
    ธรรมภูมิ
     
  13. บุญ+ทา

    บุญ+ทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +664
    เรียนถามการปฏิบัติธรรม

    เนื่องจากดิฉันได้พยายามภาวนาทุกครั้งที่ลืมตา ภาวนาขณะกำลังปฏิบัติงาน ฯลฯ ผลที่เกิดคือ มีสมาธิดี แต่ในตอนหลังๆ นี้ จิตเข้าสมาธิเหมือนโดยไม่มีคำภาวนา จิตว่าง เบา นิ่ง เฉยๆ เหมือนตอนที่เรานั่งสมาธิแล้วหลับตาเลย บางทีสวดมนต์ในใจ ยังไม่ทันจบบท จิตเข้าสมาธิเลย คือ นิ่ง ว่าง ไม่มีอะไร ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในถ้ำ แล้วมองออกสู่ภายนอก โดยผ่านตา ไม่รู้สึกถึงการมีร่างกายภายนอก แต่รับรู้ได้ ต้องปฏิบัติต่อไปอย่างไรค่ะ ช่วยกรุณาตอบด่วนด้วย เพราะปฏิบัติต่อไปไม่ได้ (ปล.ของพิเศษที่ได้จากการฝึกจิต คือ มีลางสังหรณ์แม่นยำมาก ฝันเห็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เช่น หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า หลวงพ่อสด หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เห็นหลวงปู่โตท่านย่อกายเป็นตัวเล็กๆ เดินอยู่บนหิ้งพระภายในบ้าน หลวงพ่อจรัญ นั่งสมาธิเห็นพระนาคปรกตรงลิ้นปี่ เห็นแสงประกายพรึกตรงศูนย์กลางกาย ฯลฯ ฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า) (ลูกแก้วที่คุณทดสอบให้มอง ดิฉันมองเห็นว่าท่านแยกออกเป็น 2 ลูก สีขาวรอบนอกท่านวนอยู่รอบๆ เป็นลักษณะรัศมีแผ่ออกไป บางครั้งขาวเข้ม บางครั้งจางลง สีส้มและสีเหลืองขยายใหญ่เล็กได้ และตรงกลางมีลักษณะเหมือนลูกตาคน หลับตา ลืมตาได้ และท่านส่งสัญญาณมาว่าท่านยิ้มให้ดิฉันค่ะ ยิ้มจนตาหยี เมื่อขยายเป็นภาพใหญ่ ลูกแก้วตรงกลางมองเห็นเป็นลูกตา จิตบอกว่าเป็นส่วนตาของพระ แต่มองไม่เห็นส่วนอื่น แต่ท่านยิ้มค่ะ ยิ้มจนตาหยีเหมือนกันไม่ทราบว่าถูกหรือผิดคะ) ขออนุโมทนาบุญค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  14. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้มีญาณ ผมมีแต่สติ มีแต่สมาธิ มีแต่ความรู้สึกของจิต ฉะนั้น ทุกเวลาที่ผมปฏิบัติ จะพูดได้ว่าผมก็ไม่เห็นนิมิตต่างๆ ขณะฝึกจิต อาจมีนิมิตโผล่มาบ้าง ก็ใช้สติดึงจิตกลับมา ให้จดจ่อกับลมหายใจ(ทำสติให้คงที่)หรือจดจ่อกับภาพพระในจิต(สร้างจิตให้มีกำลัง) เพราะการฝึกจิตของผมมุ่งเน้นในเรื่องการรู้เท่าทันและปล่อยวางกิเลสพญามาร,นิวรณ์ต่างๆ,สุขทุกข์ความเศร้าหมองต่างๆ,สิ่งต่างๆ ที่มากระทบจิต ฉะนั้น การปฏิบัติของผมจึงไปได้ไว เพราะผมไม่หลงยึดติดหรือยึดมั่นกับภาพมายาต่างๆ , รู้สักแต่รู้และปล่อยวาง ไม่เอายึดถือเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจ ทำให้จิตใจขุ่นหมอง,ครุ่นคิดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อจิต ทำให้จิตเกิดความคิดมากมาย ไม่มีสติสมาธิและปัญญามาพิจารณาหลักธรรมที่จะเกิดขึ้น ถ้าจิตเกิดความคิดอยู่ตลอดเวลาไม่ว่างแล้วจิตก็ไม่มีช่องว่างสำหรับธรรมะที่จะผุดขึ้น

    สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ ประสบการณ์ชีวิตจริงที่ผมเขียนขึ้นมานั้น มันขึ้นชื่อว่า “ประสบการณ์ชีวิตจริง” ฉะนั้น ย่อมมีทั้งถูกและผิด , มีจริงบ้างหลงบ้าง ไปตามภูมิธรรมของจิต ณ ขณะนั้น เวลาอ่านจงใช้สติปัญญาพิจารณาด้วยครับ

    สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำ (จากที่ได้อ่านข้อความที่คุณเขียนมา)

    1. ผมรู้สึกได้ว่า คุณยังไม่มีความเชื่อมั่นในการปฏิบัติของคุณเอง ยังมีความลังเลสงสัย และยังติดอยู่ในภาพมายาต่างๆ ซึ่งเป็นปกติของผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป ผมอยากให้คุณพูดกับจิตตนเองบ่อยๆ ว่า “ทุกอย่างก็คือบททดสอบของเรา” มันจะถูกหรือผิด จะจริงหรือเท็จ ก็สักแต่รู้และปล่อยวาง เมื่อจิตเข้าใจและยอมรับทุกอย่างเป็นบททดสอบแล้วนั้น จิตก็จะสามารถปล่อยวางทุกสิ่งที่มากระทบจิตได้ (ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์ ก็คือ การสะกดจิตตนเอง(การสั่งจิต) แต่ทางธรรมะ มิใช่แค่เพียงการสั่งจิตเท่านั้น แต่เป็นการทำให้จิตเข้าใจและยอมรับในทุกสรรพสิ่งว่า มีเกิดขึ้น,มีตั้งอยู่และมีดับไปเป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดขึ้น,ตั้งอยู่และดับไปนั้น ก็คือ อารมณ์ของจิตเท่านั้น

    2. เวลาปฏิบัติธรรมหรือฝึกฝนจิต จงเชื่อมั่นในความรู้สึกที่เป็นสัมมาทิฐิของตนเอง จิตจะเป็นสัมมาทิฐิได้นั้น ย่อมต้องใช้เวลาในการอบรมจิต ดังนั้น ในช่วงแรกอาจมีหลงบ้างจริงบ้าง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ของจิต อย่าไปใส่จิตครุ่นคิดให้จิตขุ่นหมอง ยกตัวอย่างเช่น เวลาอยากสวดมนต์ก็สวด ไม่อยากสวดก็ไม่ต้องสวด สวดจบไม่จบไม่สำคัญ ถ้าจิตเข้าสู่สมาธิแล้วต่อไปจะเป็นเรื่องของจิตโดยตรง แต่ผมแนะนำอย่างน้อยต้อง นะโม 3 จบ , คำขอขมาพระรัตนตรัย , อาราธนาศีล 5 , สมาทานศีล 5 หรือ บทสวดไตรสรณคมน์ อย่างน้อย 1 บท ซึ่งบทสวดยาวๆ ช่วงหลังผมก็ไม่ได้สวดแล้ว เพราะไม่อยากสวดจึงไม่สวด อยากสวดก็ค่อยสวด แต่ก็ไม่ได้ละเลยเรื่องสวดมนต์ สภาวะนี้ย่อมหมายถึง จิตคุณเป็นพระแล้วเป็นทิพย์แล้ว ต่อไปจะเข้าสู่การฝึกใช้อำนาจจิต(กำลังใจ)เป็นหลัก (จับภาพพระบ่อยๆ = อารมณ์กสิน จะเป็นการสะสมพลังอำนาจของจิตได้) และภาวะธรรมต่างๆ จะผุดขึ้นในจิตโดยอัตโนมัติ และจงพูดกับจิตตนเองเสมอว่า “อย่าไปคิดในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรือ ฟุ้งซ่านกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว จงเจริญสติในทุกขณะจิตปัจจุบันด้วย วาโย กสินัง” ใช้อารมณ์กสินมาช่วยเจริญสติจะได้อานิสงค์พลังอำนาจของจิตด้วย สำคัญคือ ต่อไปจิตจะผุดคำหรือประโยคต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะให้เราน้อมนำมาปฏิบัติฝึกฝนจิต ตัวอย่างเช่น คำสุดท้ายที่ว่า “วาโย กสินัง” อาจเปลี่ยนเป็นกสินหรือหลักธรรมอื่นๆ ที่จิตต้องการอบรม ซึ่ง ณ ตอนนี้ จิตผู้รู้ได้เริ่มก่อเกิดแล้ว...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2013
  15. บุญ+ทา

    บุญ+ทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +664
    ขออนุโมทนาบุญ

    ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ดิฉันเข้าใจเรื่องจิตผุดคำดี เพราะเกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยๆ เหมือนกัน เพราะเคยอยู่ๆ ก็รู้เรื่องล่วงหน้า โดยที่เหตุการณ์ยังไม่เกิด ดิฉันเข้าใจในทางปฏิบัติแล้ว และจะพยายามหาทางปฏิบัติเป็นของตนเองต่อไป จิตเกาะพระของดิฉันที่ภาพชัดเจนก็มี หลวงปู่ดู่ หลวงปู่เณรคำ หลวงพ่อสด หลวงพ่อโต หลวงปู่ทวด ขออนุโมทนาบุญค่ะ
     
  16. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ้างอิงกระทู้เวปพลังจิต : http://palungjit.org/8127407-post28.html

    จากประสบการณ์การฝึกฝนจิตของผม

    ตั้งแต่ผมเริ่มฝึกฝนจนถึงปัจจุบันนี้ สิ่งที่สำคัญหรือถือได้ว่าเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้เราก้าวหน้าในธรรมและเข้าใจจิตตนเองได้อย่างท่องแท้หรือเข้าถึงจิตเดิมแท้ของเราได้นั้น ก็คือ การทำความรู้สึกให้ทั่วพร้อมและเกิดขึ้นในตนเองอยู่ตลอดเวลา หรือ ภาษาธรรม เรียกว่า "การเจริญสติ" การทำความรู้สึกให้ทั่วพร้อม หรือ สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเน้นว่า การเจริญสติ คือ ทางเส้นเอกเส้นตรงสู่มรรคผล ก็เพราะ การฝึกทำความรู้สึกให้เกิดขึ้นในจิตใจตนเองอยู่เนืองๆ นั้น เป็นอานิสงค์ให้ เราสามารถเข้าถึงจิตใจตนเองได้โดยตรง เมื่อเราสามารถเข้าถึงจิตใจตนเองได้แล้วนั้น เราก็สามารถเข้าใจในทุกสรรพสิ่ง เนื่องเพราะจิตเป็นธาตุที่ละเอียดที่สุดชนิดหนึ่ง ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่ละเอียดที่สุดแล้ว เราก็ย่อมสามารถเข้าใจในทุกสรรพสิ่งได้อย่างมิต้องสงสัยเลย ดังนั้น การทำความรู้สึกให้ทั่วพร้อมในจิตตนเองอยู่ตลอดเวลา ก็หมายถึง การทำกระแสแห่งปรมัตถธรรมให้เกิดขึ้นในตนเองอีกครั้ง ซึ่งเดิมที จิตเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่เนื่องด้วยกิเลสที่จรมาบดบังให้เราไม่สามารถเข้าถึงกระแสแห่งความบริสุทธิ์เดิมได้ ทุกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียว ก็คือ การฝึกฝนทำจิตของพวกเราทุกดวงให้เข้าถึงกระแสจิตอันบริสุทธิ์ดวงเดิม(จิตเดิมแท้) แม้ว่าช่วงระหว่างฝึกฝนทำความรู้สึกนั้นจะมีผิดบ้างถูกบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแค่มีความมั่นคงในความเพียรไม่ย้อท้อ ก็ถือว่า ประเสริฐแล้ว ! ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงเสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อให้แนวทาง,วางกรอบการเดินที่ถูกต้อง เพื่อมิให้หลงทาง สิ่งเหล่านี้ จึงกลายเป็นหลักธรรมคำสอนต่างๆ เพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตในทุกจิตวิญญาณ ด้วยประการฉะนี้...

    หมายเหตุ ถ้าเราทำความรู้สึกให้ทั่วพร้อมเกิดขึ้นในจิตใจตนเองอยู่เนืองๆ (หรือเจริญสติทั่วพร้อมในจิตใจตนเอง)แล้วนั้น เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปสอบถามหรือขอคำชี้แนะจากใครเลย ถ้าเรายังขอคำชี้แนะในทางธรรมจากผู้อื่นอยู่ ก็หมายถึง เรายังไม่เชื่อมั่นยังลังเลสงสัยในความรู้สึกตนเองอยู่ ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมเกือบทั้งหมดในทุกยุคทุกสมัยก็เป็นลักษณะเช่นนี้กันทุกคน ผมก็เคยเป็นเช่นกัน แต่ถ้าคุณมีปณิธานมีความตั้งมั่นในการทำความรู้สึกให้ทั่วพร้อมเกิดขึั้นในจิตใจตนเองแล้วนั้น ถึงแม้ว่าจะมีความลังเลสงสัยอยู่บ้าง แต่คุณก็กลับมายึดถือทำความรู้สึกให้ทั่วพร้อมเหมือนเดิมแล้ว ผมรับรองว่า คุณย่อมมีความก้าวหน้าในธรรมอย่างเป็นอัศจรรย์อย่างแน่นอนหรือทำให้จิตหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างรวดเร็วในชาตินี้ เช่นเดียวกับผมที่ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางของจิต...

    ตอบคำถาม จขกท : ถ้าขณะจิตนั้น จขกท อยากทำตามความคิดก็ตาม ไม่อยากตามก็ไม่ต้องตาม อยากหยุดคิดก็หยุด ไม่อยากหยุดคิดก็ไม่ต้องหยุด แต่ทั้งนี้ต้องถามความรู้สึกที่มาจากจิตใจของคุณเองว่า คุณปรารถนาแบบไหน? อย่ากลัวที่จะทำผิด เพราะนั้นคือ บททดสอบที่จะทำให้คุณก้าวหน้าในธรรมอย่างรวดเร็ว แต่จงฝึกตนเองให้เข้าถึงกระแสแห่งความรู้สึกทั่วพร้อมในจิตตน นั้นเละคือ ปรมัตถธรรม

    ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    ธรรมภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2013
  17. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ้างอิงกระทู้ : พระสุริยา - ห้อง อ.เจน ญาณทิพย์ - หน้าแรก ญาณทิพย์ - Powered by Discuz!

    ก่อนอื่นผมต้องขออนุญาตอ.เจนและทีมงานทุกท่าน และขออนุญาตครูบาอาจารย์ของอ.เจนทุกพระองค์ด้วยครับ กับการแสดงความคิดเห็นในกระทู้นี้

    กาลนี้ที่พระท่านมาเยือนและโพสในเว็บญาณทิพย์แห่งนี้ ย่อมแสดงถึงการมีวาระบารมีเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เนื่องเพราะครูบาอาจารย์ของพระท่านชักนำมา และด้วยเมตตาธรรมบารมีจากจิตอันบริสุทธิ์เป็นพรหมจรรย์นี้ จึงใคร่ขอแสดงความคิดเห็นแด่พระท่าน และขออโหสิกรรมจากพระสุริยา มา ณ. ที่นี้ด้วยครับ

    -------------------------------------

    ธรรมใดอันเป็นอัศจรรย์ ย่อมหมายมั่นว่าธรรมนั้น คือ ธรรมแห่งพระพุทธองค์โดยแท้ ธรรมอันวิเศษที่ล่องลอยอยู่นั้นย่อมไม่ประสิทธิ ถ้าตนไม่น้อมนำมาชโลมในจิตตน คำตรัสของพระพุทธองค์ที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” นั้น จึงเป็นธรรมแท้เป็นสัจธรรมอันวิเศษ เป็นธรรมอันปกป้องรักษาตนให้ห่างไกลจากกิเลสอวิชชาสิ่งเศร้าหมองทั้งปวงโดยปราศจากความลังเลสงสัยในคุณแห่งพระพุทธ,คุณแห่งพระธรรมและคุณแห่งพระอริยสงฆ์ด้วยประการฉะนี้...

    ---------------------------------------

    ด้วยความไม่มั่นคงแห่งเหตุปัจจัยข้างต้นนี้ จึงทำให้สิ่งเร้าทั้งภายในภายนอก คือ กิเลสอวิชชานิวรณ์รวมถึงกรรมต่างๆ นั้นกำเริบได้ กระผมหวังว่ากระทู้การปฏิบัติธรรมฝึกฝนจิตตามลิงค์ข้างล่างนี้ จะเกื้อหนุนพระท่านให้เข้าถึงธรรมอันเป็นอัศจรรย์ที่ล่องลอยอยู่ของพระพุทธองค์ได้ และปาฏิหาริย์ในธรรมจึงจะบังเกิดมีได้เมื่อจิตปราศจากความลังเลสงสัยเช่นกัน ผมจึงขอนมัสการพระท่าน พระสุริยา ขอให้ท่านเข้าไปอ่านกระทู้ธรรมนี้ด้วยเถิด สาธุ !

    http://palungjit.org/threads/ประสบก...ึ้น-ตั้งอยู่และดับไป-คือ-อารมณ์ของจิต.279151/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2013
  18. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ้างอิงกระทู้เว็บพลังจิต :http://palungjit.org/8483347-post25.html

    ความรู้สึกเปรียบดั่งปรมัตถธรรมอันน้อมนำสู่ลำดับในธรรมของพระพุทธองค์

    ในกาลก่อนยุคพระสมณโคตมพุทธเจ้าจนเข้ายุคสมัยของพระองค์ ธรรมะที่ปรากฏขึ้นในจิตปัจจุบันของพระพุทธองค์ขณะเจริญธรรมในสมาธิจิตนั้น มีอยู่ว่า พระองค์ทรงใช้การเฝ้าดูอารมณ์จิตของตนเองที่เกิดขึ้น,ตั้งอยู่แลดับไป ถึงแม้ในเบื้องต้นครานั้นพระองค์ทรงยังแยกแยะไม่แจ้งในเหตุปัจจัยที่มีอยู่ทั้งปวง แต่ด้วยพระบารมีแห่งจิตพุทธะที่เคยสั่งสมมาในกาลก่อน จึงมีญาณพระปัญญานำทางในสมาธิจิตตลอดสาย อานิสงค์ยังให้พระองค์ทรงรู้สึกว่า พระองค์ควรเป็นผู้เฝ้าดูอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น,ตั้งอยู่แลดับไปของจิตอยู่ห่างๆ รวมถึงนิมิตแลอาการต่างๆ ที่บังเกิดขึ้นกับกายสังขารนี้ของพระองค์ มิใช่เข้าไปร่วมปรุงแต่งใดๆ พระองค์ทรงตระหนักถึงสภาวะภูมิธรรมปัจจุบันของจิตตนว่ายังไม่แก่กล้าพอแลยังมองไม่เห็นหนทางเจริญธรรมที่มั่นคงแจ้งชัดในเบื้องต้น แลนิวรณ์อุปทานต่างๆ ยังมีอยู่มาก แต่ยามจิตพระองค์ทรงสงบนิ่งอยู่ในสมาธิจิตแลเป็นผู้เฝ้าดูสภาวะต่างๆ ไปสักวาระหนึ่ง จิตพระองค์จึงมองเห็นแลรู้สึกผ่านญาณวิปัสสนาเกิดเป็นญาณพระปัญญา ทรงเห็นแจ้งแลเข้าใจในสัจธรรมความจริงของจิตข้อหนึ่งว่า “จิตเอ๋ย เจ้าจงเป็นเพียงผู้เฝ้าดูอย่างสงบนิ่งในเบื้องต้นเถิด ยามแสงแห่งญาณปัญญาผุดแจ้งแล้วในจิต จิตจึงจักเห็นสัจธรรมอยู่เบื้องหน้าปรากฎมีอยู่แท้จริง” กล่าวคือ จิตจักเห็นสัจธรรมความจริงเพียงเบื้องหน้าเป็นปัจจุบัน แลเห็นสัจธรรมที่เคยแจ้งแล้วในจิตเพียงนั้น ธรรมในลำดับใดๆ ต่อไป หมายรวม ธรรมในเบื้องกลางในเบื้องปลายอันละเอียดกว่า อันจิตนั้นก็มิอาจถึงแจ้งได้ด้วยตัวจิตเอง เนื่องเพราะวาระจิตยังมิถึงพร้อมในเหตุปัจจัยแห่งธรรมอันเป็นพื้นฐานมั่นคงเพียงพอ ครั้นฝืนจิตพิจารณาธรรมอันละเอียดในลำดับต่อไป ก็มีเพียงอุปทานความคิดนิวรณ์กำเริบปรากฏเพียงถ่ายเดียว ไม่ตลอดสายดั่งแจ้งด้วยญาณปัญญา

    ครั้นในกาลก่อนที่พระสมณโคตมพุทธเจ้าจักตรัสรู้นั้น ก็ยังมิมีหลักธรรมหรือสัจธรรมคำสอนใดๆ บนแนวพื้นฐานแห่งญาณปัญญาประกาศเผยแผ่เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเป็นแนวทางในการเจริญธรรมของจิตโดยแท้ ในยามนั้น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์แลพระอรหันต์เจ้าทุกพระองค์ ก็ทรงเจริญธรรมเห็นสัจธรรมความจริงของจิตในสมาธิจิตเฉกเช่นเดียวกันในทุกพระองค์ เพราะเป็นวิถีแห่งธรรม เป็นสัจธรรมของจิต เป็นย่างก้าวที่มั่นคงแลแจ้งด้วยญาณพระปัญญาโดยแท้ สาธุ !

    พุทธะสู่ธรรมะ ธรรมะจิตสู่จิต
    ธรรมภูมิ.
     
  19. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    (ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2013 ช่วง am.)

    ในคืนนี้ผมฝันเห็นเด็กหลายคนมานั่งข้างๆ ที่ผมนอนทางขวามือ ทันใดนั้น เด็กคนหนึ่งที่นั่งใกล้ตัวผมมากที่สุด เค้าก็มานั่งทับบนอกผม ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดปนโมโหและรำคาญเล็กน้อย ผมจึงพูดออกไปว่า “ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในห้องนี้ ด้วยอำนาจแห่งพุทธะ สาธุ !” พอสิ้นเสียง “สาธุ !” กายทิพย์หรือวิญญาณของเด็กทั้งหมดก็ค่อยๆ จางหายไป แต่ไม่ได้หายแว็ปไปทีเดียวทั้งตัว แต่ขณะที่กายทิพย์ของเด็กที่นั่งทับบนอกผมอยู่นั้นกำลังจะจางหายไป ผมก็รู้สึกเกิดเมตตาในจิตและพูดต่อไปว่า “งั้น ขอให้พวกเค้าเข้ามาได้แค่ฝ้าเพดานละกัน” ซึ่งปกติบนฝ้าเพดานมันจะมีช่องว่างอยู่ในแต่ละห้องเช่า ซึ่งเป็นเพดานที่ปิดตายและแยกห้องชัดเจน ซึ่งผมก็รู้ว่าเด็กพวกนี้เป็นเด็กที่ถูกทำแท้งจากแม่ซึ่งอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เดียวกัน รวมถึงก็จะมีพวกกุมารทองด้วย ซึ่งเมื่อก่อนผมก็เคยฝันเห็นพวกเค้าในช่วงเริ่มนั่งสมาธิใหม่ๆ ผมรู้ว่าเด็กเหล่านี้มาอนุโมทนาสาธุกับการเจริญสมาธิของผมในทุกครั้ง พวกเค้าก็จะมาทำเสียงก๊อกแก๊กเป็นประจำบนฝ้าเพดาน แต่ช่วงวันสองวันมานี้ ผมเจาะจงอุทิศบุญจากกรรมฐานให้กับเด็กเหล่านี้ เค้าจึงมีบุญมีฤทธิ์และเปลี่ยนภพภูมิได้มากขึ้น

    ย้อนกลับมาช่วงที่กายทิพย์หรือวิญญาณของเด็กทั้งหมดค่อยๆ จางหายไปขณะนั้น ซึ่งเด็กที่นั่งทับบนอกผมนั้น ถึงแม้กายทิพย์เค้าจะค่อยๆ จางหายไป แต่ก็ไม่วายที่จะใช้มือดึงขาผมตามเค้าไปด้วย กายทิพย์ช่วงล่างหรือขาของผมจึงหลุดออกมาจากร่างกาย เท้าชี้ฟ้าโด่เด่อยู่อย่างนั้น ขณะนั้น ผมก็คิดว่า “เอ๊ะ กายทิพย์เราหลุดออกมาแล้วนิ อยากจะไปไหนดี?” ต่อมาผมก็ดึงขากลับมาเข้าร่างกายเหมือนเดิม และเกิดความรู้สึกว่า อยากไปพบพระพุทธองค์ ผมจึงนึกภาพพระพุทธชินราชหรือสมเด็จองค์ปฐมที่ผมจับภาพในจิตอยู่เป็นประจำ หลังจากผมนึกภาพพระแล้วก็ลุกตัวมองที่กายทิพย์ตนเอง ปรากฎว่ามันก็ยังไม่ไปไหน แต่กลับได้ยินเสียงผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังพูดอยู่ ผมก็ไม่แน่ใจว่า ผมได้ยินทางหูหรือทางจิตกันแน่ พอได้ยินเสียงนั้น ผมก็รับรู้และรู้สึกได้ทันทีว่า เป็นเสียงธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ ซึ่งผมได้ยินเพียงท่อนสั้นๆ ประมาณว่า “สาวกทั้งหลายที่ยังไม่ผ่านอบายภูมิ...” ผมรู้สึกว่าพระพุทธองค์ทรงกำลังเทศน์เรื่องอบายภูมิอยู่ ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกตื่นจากความฝันตื่นจากอีกมิติหนึ่งสู่โลกแห่งความจริง และลืมตาขึ้นมาเห็นฝ้าเพดานห้อง และในอีกหนึ่งความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต ก็คือ ผมรู้สึกขอบคุณกุมารตนนั้น ไม่ว่าเค้าจะมีเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ซึ่งผมก็พูดขออโหสิกรรมและขอบคุณและแผ่เมตตาในใจให้กับกุมารเหล่านั้นที่อยู่บนฝ้าเพดานห้องด้วยครับ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมได้รู้ว่า การที่เรามีเมตตาต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือวิญญาณนั้น เราย่อมได้รับความเมตตาตอบแทนเช่นกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ขอบคุณกุมารตนนั้นที่ช่วยสงเคราะห์ให้ผมได้ฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ แม้มันจะเป็นเพียงทอนสั้นๆ แต่ก็รู้สึกดี และถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตในชาติภพนี้ที่เคยได้ยิน สาธุครับ !

    เมตตาธรรมค้ำจุน 3 โลก
    ธรรมภูมิ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2013
  20. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ้างอิงกระทู้เว็บพลังจิต : http://palungjit.org/8521867-post13.html

    สิ่งที่ผมปรารถนาจะบอก ก็คือ ต้นตอแห่งเหตุปัจจัยทั้งปวง กล่าวคือ คุณไสย หรือ กรรมไม่ดีต่างๆ ที่สามารถส่งผลต่อเราได้ ก็เพราะว่า จิตใจของเราเองนั้นเป็นอกุศล สิ่งไม่ดีเหล่านี้จึงอาศัยอกุศลในจิตเราเป็นตัวผ่าน ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ ทั้งทางจิตและทางกายของเราได้ในที่สุด เมื่อทราบถึงเหตุปัจจัยดังกล่าวแล้ว สิ่งที่จะช่วยคุณได้มีเพียงเมตตาจิตอันบริสุทธิ์เป็นกุศลที่สามารถชะล้างอกุศลในจิตเราให้ลดน้อยถอยลงไปได้ ซึ่งสิ่งที่เราได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นหลักคำสอนของพระพุทธองค์โดยแท้ ที่แสดงให้เราทุกคนได้เห็นว่า ทำไม “ตนจึงเป็นที่พึ่งแห่งตนเสมอ” ทรงแสดงให้เห็นว่า สิ่งหรือกรรมไม่ดีต่างๆ มันมาสู่กายใจเราได้อย่างไร

    ก่อนอื่น เราต้องรู้จักให้อภัยหรืออโหสิกรรมกับผู้อื่นก่อน มิใช่เพียงแค่พูดว่าอโหสิกรรมแต่จิตใจเรายังโกรธแค้นขุ่นเขืองอยู่ เพราะแท้จริงแล้ว ถ้าจิตใจเราอโหสิกรรมให้ได้จริงๆ แล้ว จิตเราก็จะละปล่อยวางซึ่งอกุศลความเคียดแค้นขุ่นเขืองนั้นได้โดยธรรมชาติของจิต

    ลำดับต่อมา เราก็เพียรพยายามแผ่เมตตาให้กับผู้ที่เราขุ่นเขืองและเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครูบาอาจารย์ของผู้นั้น ไม่นานวันพวกเค้าเหล่านั้นก็จะบังเกิดเมตตาจิต เลิกลาจองเวรไปเอง อย่างเร็วก็เทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครูบาอาจารย์ของเค้าก็จะดลจิตดลใจให้ผู้นั้นคิดได้

    เมื่อจิตเราอโหสิกรรมได้จริงๆ แล้ว เราก็มาเริ่มนึกจับภาพพระให้อยู่ในจิตเราเป็นประจำ เพื่อทำให้จิตเราบังเกิดบุญบารมีสว่างไสวขึ้น เมื่อจับภาพพระได้อย่างชัดเจนจนเคยชิน กำลังจิตหรือกำลังใจของเราก็จะเริ่มเป็นณานขึ้นมา หรือเรียกว่า “ณานจิต” ต่อมา กำลังบุญบารมีและกำลังณานของจิตก็จะเริ่มแผ่รัศมีจากจิตเราสู่กายโดยรอบ เปรียบเสมือนเกราะแก้วคุ้มครองเราได้ และยังมีอีกหนึ่งบุญบารมีใหญ่ที่มาเกื้อหนุนช่วยเหลือ ก็คือ “พุทธบารมี” หรือ “กำลังแห่งพุทธะ” เมื่อพระพุทธองค์ทรงเห็นถึงความเพียรในตัวเราแล้ว ก็ทรงส่งกระแสแห่งพุทธะแผ่ลงมาเกื้อหนุนตามกำลังใจเรา

    อำนาจบุญบารมีใดที่มาจากภายนอกจิตใจตนเองนั้น เป็นอำนาจที่เกื้อหนุนเราได้ไม่ตลอด เนื่องเพราะความไม่มั่นคงในธรรมในจิตตน เพราะเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจบุญบารมีนั้น ซึ่งวิถีแห่งผู้มีปัญญา จักทำจิตตนให้บริสุทธิ์กลายเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจบุญบารมีนั้น จิตจึงจักสามารถดึงอำนาจบุญบารมีนั้นมาใช้ได้ยามต้องการ ซึ่งบุญบารมีที่พระพุทธองค์ทรงเน้นตรัสสอน หมายถึง บุญบารมีที่เปร่งสว่างจากจิตใจของตนเอง เป็นบุญบารมีที่ช่วยเหลือเกื้อกูลตนเองได้อย่างถาวรแท้จริงในทุกภพชาติจวบจนจิตดวงนี้จักดับสูญ โดยมิใช่บุญบารมีจากภายนอกที่มาเกื้อกูลเพียงชั่วคราว


    ครั้นวิ่งร้องหาใครช่วยเหลือเป็นร้อยพัน สุดท้ายก็ต้องมาจบที่จิตใจตนเองนั้นแล

    กำลังแห่งพุทธะ
    ธรรมภูมิ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...