ประสบการณ์มโนมยิทธิ และงานพระพุทธศาสนาของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย White Sage, 2 พฤศจิกายน 2015.

  1. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ในบทความนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์มโนมยิทธิ และการบำเพ็ญบารมีในฐานะพุทธภูมิ อันเนื่องเกี่ยวกับงานพระศาสนาและงานสาธารณะประโยชน์ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ยืนยันถึงคุณความดีอันไม่อาจที่จะประมาณนับได้ของพระรัตนตรัย และให้เป็นกำลังใจแก่ทุกผู้คนที่กำลังทำคุณความดีเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และแก่ประเทศชาติสืบต่อไป...


    นิมิตก่อนกำเนิด


    ตามความเชื่อแต่โบราณนั้น ความฝันจัดเป็นลางบอกเหตุอย่างหนึ่งถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคล สิ่งของ หรือสถานที่ต่างๆ สำหรับตัวข้าพเจ้าเองนั้น ในวันก่อนที่จะถือกำเนิดลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ คุณพ่อของข้าพเจ้าได้ฝันถึงงูสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งปรากฏอยู่ภายในลำน้ำเจ้าพระยา ณ บริเวณปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ อันเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อของข้าพเจ้า งูสีดำตัวใหญ่ตัวนั้นเป็นงูที่มีขนาดใหญ่มาก ความยาวของงูพาดผ่านจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งหนึ่งไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่ง และตรงบริเวณนั้นเองเป็นจุดที่แม่น้ำทั้ง 4 สาย คือ ปิง วัง ยม น่าน มาบรรจบกันกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา และมีศาลของเจ้าแม่ทับทิมหรือเจ้าแม่แห่งสรวงสวรรค์ตามคติความเชื่อของคนจีนสถิตอยู่


    เมื่อข้าพเจ้าพอจะรู้ความ คุณพ่อของข้าพเจ้าก็ได้เล่าความฝันนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าเก็บเอาเรื่องราวเหล่านี้มาครุ่นคิดหาความหมาย และในระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง ข้าพเจ้าก็เกิดปีติขนลุกชูชันขึ้นมาอย่างประหลาด พร้อมกับตระหนักรู้ขึ้นมาในทันใดว่า ความหมายของฝันนั้นคือการที่แม่น้ำทั้ง 4 สายมารวมตัวกันนั่นเอง และการมารวมตัวกันที่ว่านี้นั้นเป็นอะไรบางอย่างที่ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะค้นหาความหมายได้


    และทันใดนั้นเอง กลับปรากฏว่ามีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาในใจของข้าพเจ้า พร้อมกับบอกข้าพเจ้าว่ามันหมายถึงการรวมตัวของสิ่งๆหนึ่งซึ่งตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะรู้ แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าพเจ้าจะได้เป็นผู้ที่จะช่วยรวบรวมสิ่งๆนั้นร่วมกับผู้คนอีกมากมาย


    นาคกับพระพุทธศาสนา


    ตามความเชื่อในทางพระพุทธศาสนานั้น เรื่องราวเกี่ยวกับนาคปรากฏอยู่หลายแห่งในพระพุทธประวัติด้วยกัน แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองแล้ว ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับนาคในตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จประทับอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วมีพญานาคนามว่า"พญามุจลินท์นาคราช"มาขนดกายและแผ่พังพานอันใหญ่เพื่อปกป้องพระวรกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิให้ต้องลมและฝน โดยที่่ข้าพเจ้าจะรู้สึกขนลุกและรู้สึกอยากเป็นพญานาคที่คอยปกป้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนั้นทุกครั้งที่ได้อ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2015
  2. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    นิมิตจากในหลวง


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้น ทรงเป็นพระมหากษัตริย์และพระมหาโพธิสัตว์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพระบุญญาบารมีที่สูงมาก ซึ่งสำหรับตัวข้าพเจ้าเองที่ปรารถนาพระโพธิญาณแล้วนั้น ได้ยึดถือพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างในการบำเพ็ญบารมีตลอดมา


    จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ฝันถึงพระองค์ท่านในขณะที่ยังทรงผนวชอยู่ เสด็จมาบิณฑบาตรและตรัสกับข้าพเจ้าพร้อมกับทอดพระเนตรลงไปในถุงที่เตรียมไว้สำหรับใส่บาตรว่า"พุทรา"


    เมื่อข้าพเจ้าไปโรงเรียน เพื่อนคนหนึ่งได้นำหนังสือเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาให้อ่าน และเมื่อข้าพเจ้าเปิดอ่านดูก็พบว่า ต้นพุทรานั้นเป็นต้นไม้ที่มีความเกี่ยวพันกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากในขณะที่ช้างของพระองค์กำลังเสียทีแก่ข้าศึกนั้น ได้บังเอิญไปเหยียบเอาโคนต้นพุทราไว้ ทำให้พระองค์พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบและได้รับชัยชนะในที่สุด เป็นเหตุให้ในภายหลัง พระองค์ท่านจึงโปรดให้ปลูกต้นพุทราไว้เป็นจำนวนมากด้วยกัน


    เมื่อข้าพเจ้าได้รับทราบดังนั้น ก็บังเกิดความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า คำกล่าวของหลวงพ่อพระราชพรหมยานเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรและในหลวงนั้น จะต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน เนื่องจากได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆด้วยตนเอง


    หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่นาน อยู่ๆก็ปรากฏภาพพระอริยสงฆ์จำนวนมากขึ้น พร้อมกับภาพในหลวงทรงเครื่องแบบพระมหากษัตริย์เสด็จมาหาข้าพเจ้า แล้วทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า "ตอนนี้พระพุทธศาสนานั้นเสื่อมความนิยมลงไปมาก ต่อไปเธอจะต้องทำให้พระพุทธศาสนานั้นกลับฟื้นขึ้นมาเป็นที่รู้จัก ขอให้่ช่วยนะ" จากนั้นพระองค์ท่านก็ตรัสเรียกข้าพเจ้าเข้าไปหาพร้อมกับให้ข้าพเจ้าคุกเข่าและรับบางสิ่งบางอย่างจากพระองค์ท่าน จากนั้นก็ทรงตรัสขึ้นมาอีกว่า "ขอให้ทำแทนท่านนะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2015
  3. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    พุทธพยากรณ์


    เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงขอเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธพยากรณ์สำหรับเรื่องราวต่างๆทั้งหมดดังต่อไปนี้

    1. ต่อไปสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารจะเป็นบุคคลที่สำคัญต่อประเทศชาติบ้านเมืองต่อไปภายหน้า แต่ถึงอย่างไรก็ตามสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ก็ทรงความสำคัญและต้องปกป้องรักษาเช่นเดียวกัน

    2. ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่ ๓ จะเกิดหรือไม่ก็ตาม ต่อไปในภายภาคหน้า ประเทศในแถบเอเชียจะขึ้นมาเป็นผู้นำของโลก และพระพุทธศาสนาจะเป็นศาสนาที่มี่ความสำคัญมาก

    สำหรับเรื่องราวทั้งสองประการนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมต้นทรงตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า "ทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องราวที่จะยืนยันทุกสิ่งทุกประการที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบมาและได้นำมาถ่ายทอดไว้ให้แก่ทุกคนในกระทู้ "ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘" รวมถึงเรื่องราวทั้งหมดในกระทู้นี้ จึงขอให้ทุกอย่างใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ โดยไม่ต้องเชื่อหรือตัดสินแต่ประการใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2015
  4. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ปิดทองหลังพระ


    ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
    ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
    ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
    ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง

    จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
    จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
    จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
    จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา


    หากจะถามว่าข้าพเจ้ามีความสัมพันธ์อันใดที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็คงจะต้องท้าวความถึงเมื่อตอนที่ข้าพเจ้ายังปฏิบัติธรรมใหม่ๆ สำหรับผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณนั้น ความตั้งใจที่จะทำเพื่อส่วนรวมนั้นถือได้ว่าเป็นอุปนิสัยปัจจัยที่สั่งสมมานับภพชาติไม่ถ้วน และแน่นอนว่าเมื่อคราวใดที่ประเทศชาติมีภัย เหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็จะอาสาลงมาทำหน้าที่เพื่อความสุขของประชาชนส่วนใหญ่อย่างมิเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย สำหรับในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น ข้าพเจ้าเกิดเป็นเพียงชาวบ้านสามัญธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่บังเอิญมีฝีมือในการรบ และได้เข้าร่วมในการทำสงครามเพื่อประเทศชาติในครั้งนั้น และเมื่อสงครามเสร็จสิ้น ข้าพเจ้าได้ออกจากกองทัพ ไปทำไร่ไถนาและมีชีวิตที่มีความสุขตามอัตภาพ


    สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่พระท่านได้บอกกล่าวแก่ข้าพเจ้าในครั้งนั้นก็คือ กำลังใจทั้งหลายของบุคคลทั้งหลายที่ร่วมกันกู้ชาติในครั้งนั้น ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงปรากฎในประวัติศาสตร์หรือไม่มี ไม่ว่าจะมีความสามารถสูงหรือน้อยแต่เพียงใดก็ดี ทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายแต่เพียงอย่างเดียวคือ ร่วมกันรบเพื่ออิสรภาพของประเทศชาติ ทุกคนมีความเคารพนับถือในความเก่งกล้าสามารถของแต่ละคน และช่วยกันเสริม ช่วยกันแนะนำ เนื่องจากต่างคนต่างรู้ว่าแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน


    และผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณนั้น การได้เกิดมาเป็นบุคคลสำคัญหรือมีชื่อเสียงปรากฎในประวัติศาสตร์นั้น ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่ามีบารมีสูงหรือต่ำแต่ประการใด แต่จิตใจที่จะทำเพื่อส่วนรวมต่างหากที่เป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ก็ดี ไม่ปรากฎในประวัติศาสตร์ก็ดี มีอยู่ประจำในจิตใจตลอดเวลา ขอให้เธอจดจำไว้ถึงจิตใจที่คำนึงถึงแต่ส่วนรวมอันนั้น ทั้งนี้เนื่องจากซักวันหนึ่งเธอจะต้องทำงานเพื่อส่วนรวมประการหนึ่ง โดยอาศัยชื่อเสียงเป็นเครื่องมือ และเมื่องานนั้นสำเร็จลง ชื่อเสียงของเธอจะถูกทำลาย และถูกทำให้เงียบหายไป ขอให้เธอจงจำสิ่งที่ได้บอกไว้ทั้งหมดถึงเรื่องการปิดทองหลังพระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2015
  5. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บ้านนนทธรรม



    บ้านนนทธรรมนั้น เป็นสถานที่ที่คนเมืองบัว(อ.ไก่)ใช้เป็นที่สอนมโนมยิทธิและการปฏิบัติธรรมที่สุดท้ายในชีวิตของท่าน และเป็นสถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด


    สำหรับที่มาของการเขียนหัวข้อ "เพศที่สาม กับการบรรลุธรรม"นั้น เกิดจากปัญหาเกี่ยวกับการเป็นพระโพธิสัตว์ และการต้องเกิดเป็นผู้หญิงของตนเอง เพราะโดยปกติแล้ว จะมีความเชื่อเกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณว่า พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วนั้น จะมีอานิสงค์ไม่ต้องเกิดเป็นผู้หญิง และถ้าหากยังเกิดเป็นผู้หญิงอยู่เมื่อใด แสดงว่ายังต้องบำเพ็ญบารมีอีกนาน ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก เนื่องจากส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบกับการต้องมาเกิดเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าชีวิตวุ่นวายมาก และต้องทำอะไรหลายอย่างที่ตัวเองไม่ได้ชอบเอาเสียเลย และยิ่งมาปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าตนเองนั้นบารมีต่ำเสียเหลือเกิน เมื่อเทียบกับพี่ๆเพื่อนๆพระโพธิสัตว์ที่เป็นผู้ชาย


    แต่เมื่อปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ พระท่านก็จะค่อยๆสอนในเรื่องของมานะกิเลส ที่เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นแล้วรู้สึกว่าตนเองดีกว่าเขา เลวกว่าเขา หรือเสมอเขา ทำไมความรู้สึกนี้ค่อยๆลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังรู้สึกอยู่เสมอว่าไม่อยากจะเกิดอีกนานๆ อยากให้ตนเองบารมีเต็มเร็วๆ เหมือนกับคนอื่นๆบ้าง


    จนกระทั่งวันหนึ่งที่บ้านนนทธรรม ขณะที่กำลังน้อยเนื้อต่ำใจกับการต้องมาเกิดเป็นผู้หญิง และต้องเกิดสั่งสมบารมีอีกนาน จนรู้สึกว่าไม่อยากจะปรารถนาพระโพธิญาณแล้วนั้น ในขณะที่กำลังฝึกมโนมยิทธิ พระท่านก็ได้มาสอนเรื่องของการปฏิบัติธรรมในสภาวะการเป็นเพศที่สามให้กับข้าพเจ้า แล้วก็บอกกับข้าพเจ้าว่า สาเหตุหนึ่งที่เธอต้องเกิดเป็นผู้หญิงนั้น มิใช่แต่เพียงกฎแห่งกรรมเพียงอย่างเดียว แต่เนื่องจากเธอจะต้องมาช่วยสงเคราะห์แก่บุคคลที่เป็นเพศที่สามทั้งหลายในเรื่องของการปฏิบัติธรรม จึงจำเป็นที่จะต้องมาเกิดเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพื่อที่จะได้นำไปบอกต่อได้ ถ้าหากว่าเธอรู้สึกทุกข์ทรมานกับการเป็นเช่นนี้ ให้เธอลองนึกถึงบุคคลที่เป็นเพศที่สามทั้งหลายสิว่าแต่ละคนมีความทุกข์ทรมานอย่างไร กับการที่จะต้องมีปมด้อยในใจ การถูกเหยียดหยามดูหมิ่นดูแคลน การต้องหลบซ่อน และต้องทนทุกข์กับการที่จะไม่มีคู่ชีวิต หรือหาคนที่จริงใจในเรื่องความรักกับตนเองไม่ได้เลย ซึ่งทั้งหมดนี้เธอย่อมรู้ดีว่ามีความรู้สึกเป็นเช่นไร แล้วการที่เธอยอมเสียสละมาทุกข์คนเดียว แต่สามารถหาหนทางช่วยเหลือคนที่เป็นเช่นนี้อีกนับร้อยนับพัน เธอคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่


    เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังท่านกล่าวเช่นนั้น ก็ได้คิดทบทวนกับสิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมด และรู้สึกว่าถูกต้องแล้ว และตั้งใจไว้ว่าซักวันหนึ่ง จะนำสิ่งที่ได้รับมาทั้งหมดนี้ มาถ่ายทอดบอกต่อ เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่เป็นเพศที่สาม ให้ได้รู้ว่าการเป็นเพศที่สามนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด และไม่เคยมีใครที่ไม่เคยเกิดเป็นเพศที่สาม แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายที่นิพพานแล้วนั้น ก็ล้วนเคยเกิดเป็นเพศที่สามมาก่อนทั้งสิ้น และการเป็นเพศที่สามนั้น ก็สามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมได้เหมือนบุคคลทั่วๆไปเช่นกัน


    และเมื่อได้ตั้งใจเช่นนั้นแล้ว ท่านก็พยักหน้าชื่นชมและบอกว่าดีแล้ว และได้บอกกับข้าพเจ้าเพิ่มเติมอีกว่า จริงๆแล้วนั้นเธอได้ตั้งใจอธิษฐานลงมาเกิดเป็นผู้หญิงเอง โดยยอมรับกรรมละเมิดศีลข้อที่ ๓ ส่วนหนึ่ง เพื่อที่จะได้มาเรียนรู้และช่วยเหลือบุคคลที่เป็นเพศที่สาม ทั้งที่ความจริงแล้ว เธอต้องไม่เกิดเป็นผู้หญิงอีกแล้ว ซึ่งกรณีนี้สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นความตั้งใจมาทำบารมีในส่วนนี้ของตัวเธอเอง เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความรู้สึกอยากจะนำเรื่องนี้ไปพูดให้พี่ที่ปฏิบัติธรรมที่สนิทกันฟัง เพราะตัวพี่เขาเองก็เกิดมาเป็นเพศที่สามเช่นกัน แต่เป็นสาวกภูมิที่ตั้งใจจะไปนิพพานชาตินี้ และติดปัญหาในเรื่องเพศที่สามอยู่ แต่พระท่านได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่รู้มาก็จริง แต่ยังขาดหลักฐานมายืนยัน ดังนั้นจึงยังไม่ควรพูด เมื่อได้ยินดังนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งใจว่า หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ขอให้มีพยานหลักฐานมายืนยัน ซึ่งท่านก็ได้บอกกับข้าพเจ้าว่า ต่อไปในอนาคตข้างหน้าจะมีพยานหลักฐานมาเป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่ท่านบอกทั้งหมดอย่างแน่นอน


    และด้วยเหตุเช่นนี้เอง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้สึกมีปมด้อย หรือทุกข์ใจกับการต้องมาเกิดเป็นเช่นนี้อีกเลย


    ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังอยู่ที่บ้านนนทธรรมนั้น ก็ได้ยินพวกพี่ๆเพื่อนๆพูดคุยกันถึงการทำบารมีปรารถนาพระโพธิญาณว่า จะต้องรู้ครบทั้งหมดทั้งกรรมฐาน ๔๐ และมหาสติปัฏฐานสูตรด้วย โดยมหาสติปัฎฐานสูตรนั้น หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านกล่าวเอาไว้ว่า หัวใจของมหาสติปัฎฐานสูตรจริงๆแล้วคือตัวจิตตานุปัสสนานั่นเอง ด้วยความสงสัยในเรื่องดังกล่าวว่าเหตุใดจึงมาตกลงที่ตัวจิตตานุปัสสนา ข้าพเจ้าจึงได้นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้า(พุทธานุสติ)แล้วกราบทูลถามพระองค์ถึงความเป็นจริงในเรื่องดังกล่าว และทันใดนั้นก็มีกระแสเสียงเข้ามายังจิตของข้าพเจ้าว่า เหตุที่จิตตานุปัสสนาเป็นหัวใจของมหาสติปัฎฐานสูตรนั้น ก็เนื่องจากว่า ไม่ว่าจะเป็นกายานุปัสสนาก็ดี เวทนานุปัสสนาก็ดี ธรรมานุปัสสนาก็ดี สุดท้ายแล้วล้วนแต่ลงที่ตัวจิตทั้งสิ้น ดังนั้นการที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านกล่าวเช่นนั้น แท้จริงแล้วก็คือการรวบรัดตัดตอนการปฏิบัติในมหาสติปัฎฐานสูตรให้สั้นลงเหลือแต่เพียงหัวใจหรือหลักของการปฎิบัติซึ่งก็คือการฝึกฝนที่จิตใจนั่นเอง


    หลังจากที่ได้รับคำอธิบายในเรื่องหัวใจของมหาสติปัฏฐานสูตรแล้ว ข้าพเจ้าจึงเข้าใจในทันทีว่า การที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านกล่าวไว้เช่นนั้น เป็นการสอนมหาสติปัฏฐานสูตรแบบย่อๆสั้นๆเอาแต่เฉพาะใจความสำคัญเพื่อเป็นการสงเคราะห์ญาติโยมพุทธบริษัทให้มีหลักในการปฏิบัติแบบง่ายๆนั่นเอง


    และแล้วในคืนหนึ่งที่บ้านนนทธรรม ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินเล่นอยู่บริเวณรอบๆบ้านนั้น ใจก็หวนนึกไปถึงตัวจิตตานุปัสสนาในมหาสติปัฎฐานสูตรพอดี ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่า การปฏิบัติที่ผ่านมาของข้าพเจ้าทั้งหมด นอกจากจะปฏิบัติตามแนวทางมโนมยิทธิซึ่งหลักๆจะเน้นอานาปานุสติ + นิวรณ์ ๕ + พุทธานุสติ + วิปัสสนาญาณอย่างง่ายๆ แล้ว พระท่านยังมาสงเคราะห์ข้าพเจ้าในการดูจิตของตนเองว่าขณะนั้นมีกิเลสอะไรอยู่บ้าง และสอนหลักคิดในเรื่องมานะกิเลส รวมถึงวิธีคิดพิจารณาเพื่อลดละกิเลสแบบง่ายๆอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะว่าไปแล้ว คล้ายกับการปฏิบัติในจิตตานุปัสสนาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการพิจารณาดูจิตของตนเอง และใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนาในการประหัตประหารกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจ


    ในขณะที่ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างการปฏิบัติในสายมโนมยิทธิ(วิชชาสามและอภิญญาหก) กับการปฏิบัติในสายมหาสติปัฏฐานสูตร(สุขวิปัสสโก)นั่นเอง ข้าพเจ้าก็พบว่าแท้จริงแล้ว การปฏิบัติในแต่ละสายนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกันอยู่ และแต่ละสายก็ล้วนแล้วแต่มุ่งไปสู่การหลุดพ้นได้เหมือนกันทั้งสิ้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่า ในความเป็นจริงแล้วนั้น การปฏิบัติในแต่ละสายก็ล้วนแล้วแต่สำคัญเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่มีสายไหนที่ดีหรือแย่กว่ากันเลย เพราะทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และนำมาสั่งสอนให้แก่พวกเราทั้งสิ้น


    และในขณะนั้นเอง ก็ปรากฎภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์หลายองค์มาอยู่ ณ บริเวณนั้น พร้อมกับมีเสียงบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ความจริงแล้ว การปฏิบัติธรรมทั้ง ๔ สายนั้น ล้วนแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ตัวสมถะและวิปัสสนาที่ประกอบอยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติสายใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งประกอบไปด้วยคุณความดีอย่างสูงค่ามหาศาลยิ่งนัก เพราะเป็นหนทางที่นำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ควรเลยที่จะมานั่งคิดว่าสายการปฏิบัติใดดี หรือถูกต้องกว่ากัน


    ในขณะที่ข้าพเจ้าฟังเสียงและภาพที่ปรากฎในขณะนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นความจริงอย่างยิ่ง เนื่องจากขณะที่ท่านกล่าวนั้น ท่านได้ชี้จุดที่เป็นสมถะและภาวนาที่ประกอบอยู่ในแต่ละสายของการปฏิบัติ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ไม่อยากจะให้สายการปฏิบัติต่างๆในพระพุทธศาสนาเกิดการเปรียบเทียบกันเลย เนื่องจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสและทำภาพให้ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่า ทุกสายนั้นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยในสายตาของพระองค์ท่าน และในขณะที่ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้นเอง ก็มีเสียงพระภิกษุองค์หนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า น่าจะทำให้สายการปฏิบัติทุกสายมีความเข้าใจกันเนาะ ว่าจริงๆแล้วนั้นการปฏิบัติในทุกสายก็ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าอย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นแล้ว ยอมรับว่ามีความรู้สึกปีติอย่างแรงกล้าและเกิดความตั้งใจขึ้นมาว่าซักวันนึงเราจะทำให้ทุกสายการปฏิบัตินั้นมีความเข้าใจกันและกัน และรวมเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันให้ได้


    และในขณะที่ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้น ก็ปรากฎเสียงพระภิกษุองค์หนึ่งพูดขึ้นมาว่า การปฏิบัติธรรมนี่มีความสุขจริงเนาะ พอข้าพเจ้าได้ยินก็หวนนึกไปถึงสภาวะสมาธิต่างๆที่ตนเองประสบพบมาซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสุขประณีตเป็นอย่างยิ่งอย่างที่ไม่สามารถจะสรรหาสิ่งใดมาอธิบาย หรือวัตถุใดมาเติมเต็มความรู้สึกในจิตใจที่รู้สึกเช่นนั้นได้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปีติขึ้นมาอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง และเสียงพระภิกษุองค์นั้นก็พูดต่อไปว่า ถ้าหากว่าคนอื่นๆมีความสุขแบบนี้บ้างก็ดีเนาะ เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นก็หวนนึกไปถึงประสบการณ์มโนมยิทธิที่ผ่านมาทั้งหมด และรู้สึกขึ้นมาว่า จริงๆแล้วการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งนี้ยากต่อการที่มนุษย์ทั่วๆไปจะรู้ได้ ซึ่งถ้าหากว่าเค้าสามารถจะรู้ได้ และได้มาปฏิบัติธรรมจนพบเจอกับความสุขที่มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งแบบนี้บ้าง เค้าก็คงจะมีความสุขมาก และรู้ว่า จริงๆแล้วนั้น การหาความสุขแบบยุคปัจจุบัน ไม่สามารถจะเทียบได้กับความสุขจากสมาธิเลยแม้แต่นิดเดียว


    เมื่อคิดดังนั้น ข้าพเจ้าก็หวนนึกไปถึงตอนที่รับรู้เหตุการณ์อนาคตังสญาณเกี่ยวกับประเทศพม่าและจีนในตอนนั้น และข้าพเจ้าก็รู้สึกปีติอย่างแรงกล้าขึ้นมาว่า ซักวันหนึ่งข้าพเจ้าจะนำเรื่องราวเหล่านี้มาบอกให้คนอื่นๆรู้ ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง ภพภูมิต่างๆนั้นมีจริง และการปฏิบัติธรรมนั้นมีความสุขอย่างไรให้จงได้ จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงสาธุพร้อมๆกัน พร้อมกับเสียงพระท่านตรัสสอนว่า จริงๆแล้วนั้น มนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมเวียนว่ายตายเกิดทั้งสิ้น ไม่มีไทย ไม่มีพม่า ไม่มีจีน ดังนั้น จะต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทั้งหมดโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา หรือแบ่งประเทศกัน


    และตรงนี้เองที่เป็นเหมือนความตั้งใจส่วนตัวลึกๆที่เกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2015
  6. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    การปฏิบัติธรรมในช่วงแรก เพื่อปูพื้นฐานสำหรับการทำงานพระพุทธศาสนา



    นับตั้งแต่ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติธรรม หลักสำคัญที่ข้าพเจ้ายึดถือคือ การรักษาศีล(๕)ให้ทรงตัว เนื่องจากศีลถือเป็นพื้นฐานสำคัญอันดับแรก ที่ทำให้จิตมีสภาพบริสุทธิ์พอสมควร สามารถที่จะทำให้เกิดสมาธิได้ อันเป็นหลักการสำคัญของการฝึกมโนมยิทธิที่จำเป็นจะต้องมี


    หลังจากที่ข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิไปได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มที่จะฝึกนำจิตของตนเองขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานให้คล่องตัว โดยอาศัยความจำ(สัญญา)ในอารมณ์สมถะและวิปัสสนาญาณที่ถูกต้องที่ครูฝึกบอกให้จดจำไว้(แล้วให้นำไปฝึกต่อที่บ้าน) แล้วทรงสมาธิแบบหยาบๆ จากนั้นตัดร่างกายแบบง่ายๆโดยการตัดสินใจไม่สนใจในร่างกายอีก(ณ ขณะนั้น) แล้วนำจิตกราบขอบารมีพระที่ปรากฏตรงหน้า(พุทธานุสติ)เพื่อขึ้นไปยังพระนิพพาน


    จากนั้น ข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้อ่านคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในเรื่องของอานาปานุสติ และนิวรณ์ ๕ ประการ ในขณะเดียวกัน อ.ไก่(คนเมืองบัว)ก็สอนข้าพเจ้าว่าจะต้องหมั่นฝึกฝนจิตใจของตนเองให้ปราศจากนิวรณ์ ๕ ประการให้ได้ โดยให้ค่อยๆหมั่นฝึกฝนตนเองไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าจึงพยายามทำบ่อยๆเท่าที่จะนึกได้และมีโอกาสอำนวย


    สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความชอบ(ฉันทะ)ที่จะฝึกฝนตนเองนั่นก็คือ ปีติ เนื่องจากทุกครั้งที่ข้าพเจ้าฝึกฝนตนเองจะมีตัวปีติเกิดขึ้นทุกครั้ง ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขและชุ่มชื่นจิตใจอย่างที่ไม่สามารถจะบรรยายได้ และตรงนี้เองที่เป็นตัวประคับประคองให้คนที่ขี้เกียจนั่งสมาธิอย่างข้าพเจ้า มีความเพียรพยายาม(วิริยะ)ที่จะค่อยๆฝึกฝนตนเองในเรื่องของสมาธิไปเรื่อยๆ ทีละเล็กละน้อยตามกำลังของตนเอง


    จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินพี่ๆที่ฝึกมโนมยิทธิพูดว่า ถ้าอยากจะก้าวหน้าในการฝึกมโนมยิทธิและการปฏิบัติธรรม จะต้องขึ้นไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพาน และทูลถามถึงจุดที่จะต้องปฏิบัติ เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น จึงได้ลองขึ้นไปทูลถามดู และก็ได้คำตอบมาว่าให้ใช้หลัก"กามสุขัลลิกานุโยค กับ อัตตกิลมถานุโยค" และหลัก"นิวรณ์ ๕ ประการ" ในการจับ เพื่อให้อารมณ์จิตไม่อยากได้ผลแห่งการปฏิบัติเกินไป และไม่เคร่งเครียดกับการปฏิบัติเกินไป และให้ใช้นิวรณ์ ๕ ประการเข้ามาดูอารมณ์ใจในขณะนั้นๆว่ามีนิวรณ์ประการใดอยู่ในจิตใจบ้าง เพราะนิวรณ์เป็นอุปสรรคสำคัญในการทรงสมาธิจิต


    เมื่อได้คำตอบดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็นำหลักทั้งสองประการมาเป็นตัววัดการปฏิบัติของตนเองนับตั้งแต่บัดนั้น และก็พบว่าจิตของตนเองนั้นอยากได้ผลแห่งการปฏิบัติ(เหมือนที่คนอื่นทำได้)เกินไป และบางครั้งก็วางอารมณ์ใจเคร่งเครียดเกินไปจริงๆ จึงได้พยายามปรับปรุงใจของตนเอง โดยวางอารมณ์ใจสบายๆ ตัดความคิดอยากได้ หรือเคร่งเครียดออกไป จากนั้นก็พบอีกว่าอารมณ์ใจของตนเองนั้น มีนิวรณ์ประการต่างๆเข้ามาอยู่ในจิตใจ ยกตัวอย่างเช่น ตัวปฏิฆะ ความไม่พอใจ (โทสะจริต) หรือ ตัวอุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ (วิตกจริต) จึงได้เรียนรู้ที่จะสังเกตนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการที่เข้ามาอยู่ในใจบ่อยๆให้เกิดความชำนาญ และศึกษาวิธีการที่จะทำลายนิวรณ์ประการต่างๆ จากคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ซึ่งก็คือหลักพรหมวิหาร ๔ (โทสะจริต) และอานาปานสติ (วิตกจริต) นั่นเอง


    และหลักอานาปานสติ + กามสุขัลลิกานุโยค กับ อัตตกิลมถานุโยค + นิวรณ์ ๕ ประการ + พรหมวิหาร ๔ นี่เอง ที่เป็นหลักพื้นฐานที่ใช้มาโดยตลอดในการฝึกมโนมยิทธิ ควบคู่ไปกับการจดจำ ฝึกฝน และทบทวนอารมณ์วิปัสสนาญาณในมโนมยิทธิครึ่งกำลัง ทั้งนี้เพื่อให้สมาธิและวิปัสสนาญาณมีความก้าวหน้าและสามารถฝึกมโนมยิทธิกับอ.ไก่(คนเมืองบัว)ได้ดียิ่งขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2016
  7. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    อธิษฐานบารมีที่วัดสระเกศ


    "บุญกุศลใดที่ข้าพระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และที่ได้ทำงานพระศาสนาในครั้งนี้ ด้วยใจที่มุ่งหมายให้บุคคลทั้งหลายนั้นได้เข้าถึงซึ่งพระพุทธศาสนาและได้บรรลุธรรม ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ตลอดจนพรหมและเทวดาทั้งหลาย และให้มีผลไปถึงทุกดวงจิตที่เป็นเพื่อนร่วมเวียนว่ายตายเกิดในทุกภพภูมิ ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าจะได้รับ ขอให้ผลบุญทั้งหลาย จงไปถึงยังทุกๆดวงจิต ขอให้ทุกๆดวงจิตจงเป็นผู้มีปัญญาเข้าถึงธรรมตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าปรารถนา และข้าพเจ้าอนุญาตให้ทุกดวงจิตที่รับรู้สามารถนำบุญกุศลทั้งหมดนี้ไปบอกต่อได้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2015
  8. จิณณ์

    จิณณ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +47
    ตามอ่านอยู่ครับและขออนุโมทนาในกุศลเจตนาที่ปรารถนาให้ทุกชีวิตพ้นทุกข์
     
  9. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ความเป็นมาของสมเด็จองค์ปฐม



    สำหรับความเป็นมาของสมเด็จองค์ปฐม หรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธสิกขีทศพลที่ ๑ นั้น จะว่าไปแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นอจินไตยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทรงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกในวัฎสงสาร ซึ่งตรัสรู้มานานกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นอย่างมากนับอสงไขยไม่ถ้วน ดังนั้นจึงเป็นข้อถกเถียงและสงสัยในหมู่บรรดาท่านผู้ที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ท่านมาไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว


    และสำหรับเรื่องราวที่จะได้นำมาเล่าสู่กันฟังต่อจากนี้ ถือเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ไม่อาจจะหาคำใดมาอธิบายได้ นอกเสียจากรับฟังไว้ด้วยจิตใจที่เป็นกลางเท่านั้น


    ในส่วนตัวแรกเริ่มเดิมทีนั้น ไม่ได้มีความรู้หรือความเข้าใจในเรื่องราวเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค๋ปฐมมาก่อน จนเมื่อได้เข้ามาปฏิบัติธรรมในสายมโนมยิทธิแล้ว จึงได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับท่าน จากคำบอกเล่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


    ยอมรับว่าเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของท่านแล้ว ตอนนั้นเชื่อโดยอัตโนมัติทันที เนื่องจากว่ายังเด็กมากและมีความศรัทธาเลื่อมใสในหลวงพ่อท่านเป็นทุนเดิม จึงนับถือสมเด็จองค์ปฐมมาโดยตลอด โดยที่ไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆเกี่ยวกับท่านเลย


    จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่กำลังฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่บ้านพระอาทิตย์กับอ.ไก่คนเมืองบัวอยู่นั้น ก็ได้นำจิตของตนเองขึ้นไปกราบพระที่พระนิพพานตามปกติเหมือนที่เคยทำมา โดยกราบสมเด็จองค์ปฐมและสมเด็จองค์ปัจจุบัน เพื่อขออาราธนาบารมีท่านให้พาเราไปยังภพภูมิหรือสถานที่ที่ควรไป แต่น่าแปลกที่ในวันนั้น กลับปรากฎภาพสมเด็จองค์ปฐมท่านอยู่ด้านหลัง และมีสมเด็จองค์ปัจจุบันท่านอยู่ด้านหน้า โดยทางซ้ายมือของสมเด็จองค์ปัจจุบันนั้นเป็นหลวงปู่ปาน จากนั้นถัดมาก็เป็นหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ส่วนทางขวามือของสมเด็จองค์ปัจจุบันนั้น กลับปรากฏภาพพระภิกษุสงฆ์หลายองค์รีบรุดเข้ามากราบสมเด็จองค์ปฐมและสมเด็จองค์ปัจจุบันอย่างรีบร้อนเพื่อเข้าร่วมประชุม คล้ายกับว่ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรสักอย่าง โดยที่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด


    จากนั้นก็มีเสียงบอกให้ข้าพเจ้าไปกับสมเด็จองค์ปัจจุบัน จึงได้ตามสมเด็จองค์ปัจจุบันท่านออกมาจากที่ประชุม และไปรับรู้สิ่งต่างๆตามที่เขียนไว้ในกระทู้ "ประสบการณ์มโนมยิทธิและญาณ๘" - มโนมยิทธิเต็มกำลังและครึ่งกำลัง-พุทธญาณในอนาคตังสญาณ


    หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ตามสมเด็จองค์ปัจจุบันกลับมายังที่ประชุมเหมือนเดิม โดยสมเด็จองค์ปฐมท่านได้บอกกับข้าพเจ้าว่า "ท่านเป็นประธานในงานครั้งนี้นะ แต่ท่านให้สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านออกหน้า เนื่องจากเป็นยุคพระศาสนาของสมเด็จองค์ปัจจุบัน และเป็นการป้องกันการปรามาสจากบุคคลที่ไม่รู้จักท่าน" "และถ้าหากว่าสถานการณ์มันหนักมาก ท่านจะมาช่วย"


    เมื่อฝึกเสร็จ ส่วนตัวรู้สึกว่าการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังในครั้งนี้มีอุปาทานเยอะมากเหลือเกิน ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน จึงมีความรู้สึกว่าจะต้องระมัดระวังสิ่งที่เข้ามาในสมาธิให้มากกว่าเดิม และต้องปรับปรุงตนเองในเรื่องของสมาธิและวิปัสสนาญาณให้ดีกว่านี้ แต่ทันใดนั้นก็ปรากฎเสียงเข้ามาในใจว่าต่อไปจะมีเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องออกจากการปฏิบัติธรรม และเรื่องราวทั้งหมดนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันแก่ข้าพเจ้าว่าสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องจริง และต่อไปข้าพเจ้าจะต้องเผชิญกับอะไรบางอย่างที่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างมาก ซึ่งท่านจะมาช่วยเมื่อถึงระยะเวลาตามนี้


    หลังจากที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมด ข้าพเจ้ารู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก และก็ปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นเรื่องราวที่อยู่ในใจ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมต่อไปโดยไม่สนใจอีก


    หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆเกิดขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งถึงวาระที่ข้าพเจ้าได้เผชิญกับอะไรบางอย่างที่ท่านได้บอกไว้ในที่สุด ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกทุกข์ทรมานและบีบคั้นจิตใจอย่างยิ่ง จนกระทั่งรู้สึกว่าหากว่าซักวันหนึ่งตนเองต้องตายลงไป ความลับทั้งหมดนี้จะตายไปพร้อมกับตัวเองด้วย และจะทำให้สิ่งที่ข้าพเจ้าตั้งความหวังไว้ต้องอันตรธานหายไป จึงได้ตัดสินใจเขียนกระทู้ "ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ๘" ขึ้นมา เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดให้บุคคลทั้งหลายได้รับรู้


    แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนลงไปก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จองค์ปฐมที่ได้ทราบมา เนื่องจากมองว่าเป็นสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ จึงได้ละเว้นไว้ในฐานที่ยังไม่ถึงวาระเวลา จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ท่านได้บอกเอาไว้ว่าจะมาช่วยเหลือข้าพเจ้าเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าจึงได้รู้ทันทีว่าสิ่งที่ท่านได้บอกกับข้าพเจ้าเอาไว้เป็นเรื่องจริง


    และวันเวลาดังกล่าวนั้น ก็คือวันที่มีการพุทธาภิเษกมีดหมอเพชราวุธ ที่วัดท่าขนุนนั่นเอง โดยข้าพเจ้าได้นั่งรับยันต์เกราะเพชรและพุทธาภิเษกอยู่ที่บ้าน ภาพที่ปรากฎแก่จิตในขณะนั้นก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมเสด็จมาพร้อมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ตลอดจนพรหมเทวดาทั้งหลายเต็มไปหมด ซึ่งภาพที่เห็นนั้นยอมรับว่านับตั้งแต่รับยันต์เกราะเพชรเป็นต้นมา ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นภาพที่ชัดเจนอย่างนี้มาก่อนเลย และเมื่อเห็นแล้ว ท่านก็ได้บอกให้ข้าพเจ้าตั้งใจรับยันต์เกราะเพชรและพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ตลอดจนบารมีของพรหมเทวดาต่างๆที่จะสงเคราะห์ลงมายังข้าพเจ้า และในขณะที่นั่งทำสมาธิอยู่นั้นเอง ท่านก็ได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่าสิ่งต่างๆที่ท่านทั้งหลายได้สงเคราะห์ลงมานั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งในภายหลังข้าพเจ้าพบว่า ๓ สิ่งที่ท่านได้สงเคราะห์ลงมานั้นคือพร ๓ ข้อ ในพิธีพุทธาภิเษกพร ๓๐ ประการที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)ท่านได้เคยกระทำพิธีมาก่อนนั่นเอง และทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าพรอื่นๆที่นอกเหนือจากพร ๓ ข้อนั้นมีอะไรบ้าง


    และเรื่องราวที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้เกี่ยวกับความเป็นมาของสมเด็จองค์ปฐมนั้น เริ่มต้นที่วัดสระเกศนี่เอง


    เหตุที่ข้าพเจ้าอธิษฐานอุทิศบุญกุศลทั้งหมดให้กับทุกๆพระองค์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายทุกภพทุกภูมินั้น ก็เนื่องจากพระท่านมาบอกว่า การที่เราอุทิศบุญกุศลที่เราทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติและที่ทำเพื่อพระพุทธศาสนาในครั้งนี้นั้น จะเป็นการช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกภพทุกภูมิให้ได้บุญบารมีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยให้ทุกๆดวงจิตนั้นสามารถหลุดพ้นไปพระนิพพานได้เร็วขึ้น เมื่อทราบดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจอธิษฐานอุทิศบุญกุศลทั้งหมดด้วยความตั้งใจและเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง


    และในขณะที่อธิษฐานอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงฟ้าร้องดังมากคล้ายฝนจะตก เมื่ออธิษฐานเสร็จ ข้าพเจ้าจึงรีบลงจากภูเขาทองเพื่อหลบฝน และทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงพระสงฆ์องค์หนึ่งดังขึ้นมาและกล่าวว่า "ท่านปู่(พระอินทร์)มานะลูก" ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก และรู้สึกว่าคิดไปเอง จึงไม่คิดอะไรและรีบลงมาจากภูเขาทองโดยไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัวเปียกฝน ในขณะที่ลงมาถึงพื้นดินนั้น ฝนก็ตกลงมา ข้าพเจ้าจึงรีบหลบเข้าไปยังห้องนิทรรศการที่มีคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาจัดแสดงอยู่เพื่อหลบฝน หลังจากนั้นไม่นานฝนก็หยุดลง ข้าพเจ้าจึงเดินออกมา ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องดังตลอดระยะเวลาที่เดินออกมาจากวัดสระเกศ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกเชื่อมั่นลึกๆอยู่ในใจว่าทุกๆพระองค์ท่านคงจะรับรู้ว่าข้าพเจ้าได้ตั้งใจทำความดีบางอย่างไว้นั่นเอง


    หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าก็ทราบข่าวว่าจะมีการหล่อสมเด็จองค์ปฐมที่วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ซึ่งในตอนแรกนั้น ข้าพเจ้าไม่คิดที่จะไปเลยแม้แต่น้อย แต่อยู่ดีๆก็เกิดความรู้สึกนึกถึงพระคุณอันประมาณมิได้ของสมเด็จองค์ปฐมท่าน และรู้สึกว่าอยากจะไปทำความดีถวายเป็นพุทธบูชาเพื่อตอบแทนพระคุณของท่านซักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความรู้สึกไม่อยากไปอย่างรุนแรงมาก จึงงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น และตัดสินใจวางเฉยไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอีก เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับปัญหานี้ดี เนื่องจากไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต


    แต่ในที่สุด เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ก็รู้สึกอยากจะไปเพื่อทำความดีถวายท่านเป็นอย่างมาก แต่ก็มีอารมณ์เข้ามาขัดขวางให้รู้สึกไม่อยากไปอีก ข้าพเจ้าจึงได้ตั้งใจอธิษฐานว่า ถ้าหากข้าพเจ้าสมควรไป ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้เดินทางไปด้วยเทอญ จากนั้นข้าพเจ้าก็นั่งอยู่เฉยๆในบ้าน โดยไม่ทำอะไรเลย จากนั้นก็มีกระแสบางอย่างเข้ามายังตัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเดินขึ้นไปเก็บข้าวของทุกอย่างสำหรับการปฏิบัติธรรม ๗ วัน ในระยะเวลาเพียง ๓ นาที ซึ่งนับว่าใช้เวลาน้อยที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ และเดินทางออกจากบ้านไปยังจ.สระบุรีทันที


    เมื่อไปถึงวัดข้าพเจ้าก็ตั้งใจปฏิบัติธรรม และกวาดวัดให้สะอาดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานหล่อสมเด็จองค์ปฐมที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในวันก่อนวันงานนั้น ทางวัดได้มีการบวงสรวงหน้ารูปท่านย่า(ชายาท่านปู่พระอินทร์) โดยก่อนที่จะบวงสรวงนั้น ข้าพเจ้าได้เดินไปหน้ารูปท่านปู่พระอินทร์พร้อมกับร้องไห้และนึกในใจว่า"ท่านปู่คะ""ท่านย่าคะ" เพื่อระบายความรู้สึกทั้งหมดจากการที่ต้องเผชิญหน้ากับวาระกรรมตั้งแต่ปี ๕๖ และในขณะนั้นเอง ท่านย่าก็ปรากฎขึ้นและทำภาพในอดีตให้ดู ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่าต้องเคยเกิดเป็นหลานท่านมาอย่างแน่นอน


    ในขณะที่ทำการบวงสรวงเสร็จสิ้น หลวงตาวัชรชัยท่านก็ได้เล่าเรื่องราวในอดีตต่างๆให้บรรดาลูกหลานฟัง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ท่านได้เล่ามานั้น บังเอิญไปตรงกับสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้มาตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี ที่บ้านซอยสายลม ทำให้ข้าพเจ้ารู้ในทันทีว่า นอกจากข้าพเจ้าจะเคยเกิดเป็นหลานท่านปู่ท่านย่าแล้ว ข้าพเจ้ายังเคยเกิดเป็นลูกของท่านด้วย และที่ท่านปู่สหัมบดีพรหมบอกกับข้าพเจ้าในครั้งแรกที่ไปพิสูจน์พรหมโลกว่าข้าพเจ้าเคยเกิดเป็นลูกท่านนั้น เป็นความจริง


    ทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจที่จะทำงานเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและเป็นกตัญญูกตเวทิตาต่อทุกๆพระองค์มากขึ้น


    และเมื่อถึงวันงานหล่อสมเด็จองค์ปฐม ในขณะที่กำลังมีพิธีอยู่นั้น ก็ปรากฏภาพสมเด็จองค์ปฐมในกายพระนิพพานเสด็จมาพร้อมกับทุกๆพระองค์ ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตขึ้นไปกราบท่าน ซึ่งภาพที่เห็นในวันนั้นมีความชัดเจนแจ่มใสและงดงามมาก และเมื่อข้าพเจ้ากราบท่าน ท่านก็สอนอารมณ์พระโสดาบันและสอนให้ข้าพเจ้านึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ และสอนให้เห็นทุกข์ของการมีร่างกายและการเวียนว่ายตายเกิด และในที่สุดก็ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า "ไปนิพพานกับพ่อนะลูก" ความรู้สึกในขณะนั้นมันเหมือนกับท่านมารับเราไปพระนิพพานจริงๆ ซึ่งทำให้จิตใจของข้าพเจ้ามีความสุขอย่างมิอาจจะบรรยายได้ จึงได้ตั้งจิตกราบที่พระบาทของท่าน และตั้งจิตถวายบุญบารมีที่ได้ทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติและที่จะได้ทำต่อไปในอนาคตแก่พระองค์ท่าน เพื่อตอบแทนพระคุณอันมิอาจที่จะประมาณได้ของพระองค์ท่าน ที่ได้อุตสาหะทนต่อความทุกข์ทรมานทุกอย่างอย่างแสนสาหัสเพื่อที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของวัฎสงสาร เพื่อนำพาเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ พร้อมกับได้ตั้งจิตว่า บุญบารมีทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ทำมานั้น ขอจงเป็นปัจจัยให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานและอารมณ์พระโสดาบันเป็นต้นไปนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตายลง ขอให้จิตของข้าพเจ้าจงไปยังพระนิพพานที่หน้าพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมในทันที


    ในระหว่างที่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)นั้น ความจริงแล้วมีเสียงลึกลับเสียงหนึ่งมาบอกกับข้าพเจ้าว่า "ถึงเวลาไปดูอบายภูมิแล้วนะ" แต่ข้าพเจ้าเป็นคนที่ถือหลักไม่เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้มาไว้ก่อน จนกว่าจะได้พิสูจน์แล้ว จึงวางเฉยและไม่ได้คิดอะไร แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากงานหล่อสมเด็จองค์ปฐมแล้ว ขณะที่กำลังฟังเสียงธรรมจากหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่บ้านอยู่นั้น อยู่ดีๆจิตของข้าพเจ้าก็เหมือนถูกดึงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว สถานที่นั้นมีสภาพมืด รกร้างว่างเปล่า มีเพียงพื้นดินและภูเขา และแสงไฟจากหลุมขนาดใหญ่ที่พื้นดินเท่านั้น พลันก็ปรากฎภาพหลวงพ่อพระราชพรหมยานในสภาพถือไม้เท้าพูดกับข้าพเจ้าว่า "นี่คือนรก" เมื่อได้ยินดังนั้น ข้าพเจ้าก็รู้สึกไม่เชื่อ เนื่องจากนรกไม่น่าจะมีพื้นดินและภูเขาธรรมดาๆแบบนั้น น่าจะมีไฟนรกมากกว่า และทันทีที่คิดแบบนั้น หลวงพ่อท่านก็พูดกับข้าพเจ้าว่า "ไอ้ควาย ทำไมถึงได้โง่แบบนี้ นี่มันเป็นปากหลุม" เมื่อได้ยินดังนั้น ข้าพเจ้าก็สะดุ้งทันทีเนื่องจากเสียงที่มีบารมีของท่าน จึงได้กราบขอขมาท่าน และทันใดนั้นก็ปรากฎภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับท่านลุงพระยายมราช หลวงพ่อท่านจึงให้ข้าพเจ้ากราบขอบารมีพระและท่านลุงเพื่อลงไปดูนรกขุมอเวจี


    ในครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า สาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่เคยไปดูนรกเลยนั้น มาจากการที่ ๑ ข้าพเจ้าเป็นคนที่กลัวนรกมาก ๒ ยังไม่ถึงวาระเวลา ๓ ไม่รู้ระเบียบการไปดูนรกว่าต้องขอบารมีพระและขอท่านลุงพระยายมราชก่อน ไม่สามารถเดินลงไปดูเองเฉยๆได้ เพราะจะทำให้ไฟนรกดับ


    ในขณะที่ลงไปยังนรกขุมอเวจีนั้น ภาพที่เห็นค่อนข้างมืดมาก รู้แต่ว่านรกขุมนี้ร้อนมากเท่านั้น และสิ่งสำคัญที่ท่านบอกมาก็คือ ท่านให้ดูจำนวนสัตว์นรกในขุมอเวจีว่ามีจำนวนมากเท่าใด ซึ่งจากที่รับรู้มานั้นมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว เมื่อรู้จำนวนแล้ว ท่านลุงพระยายมราชก็ทำกราฟแสดงสาเหตุที่ทำให้ตกนรกขุมนี้ขึ้นมา และปรากฎภาพว่า บุคคลที่ติดหนี้สงฆ์และลงนรกขุมนี้นั้นมีจำนวนมากเหลือเกิน และท่านก็เฉลยว่า นี่แหละคือสาเหตุที่ท่านให้ข้าพเจ้าเขียนกระทู้ "วิธีป้องกันการตกนรกอย่างง่ายๆ"ขึ้นมา โดยท่านเป็นคนจัดการเรื่องสคริปต์เอง โดยเอาเรื่อง "เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต" กับ "การชำระหนี้สงฆ์" ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านเคยสอนไว้มาเรียงร้อยต่อกันเป็นเรื่องเดียว ซึ่งตรงนี้ทำให้ข้าพเจ้าตกใจมาก เพราะไม่เคยบอกใครว่าตอนเขียนกระทู้นี้มันมีอะไรแปลกๆ ที่อยู่ดีๆคำสอนสองเรื่องนี้ก็โผล่เข้ามาให้เอาไปเรียงต่อเป็นเรื่องเดียวกันอย่างไม่มีสาเหตุซะอย่างนั้น


    จากนั้นท่านลุงพระยายมราชก็ได้ให้ข้าพเจ้าดูว่า ข้าพเจ้าเองเคยตกนรกขุมนี้บ้างไหม ซึ่งภาพที่ปรากฏก็คือ เคยตกนรกขุมอเวจีมาเป็นพันครั้งในช่วงก่อนจะปรารถนาพระโพธิญาณในสมัยสมเด็จองค์ปฐม ข้าพเจ้าได้ฟังก็รู้สึกงงๆ จากนั้นท่านลุงก็บอกต่อว่า เธอลองคิดดู การตกนรกขุมอเวจีนี่ต้องทำกรรมหนักมาก คือ อนันตริยกรรม ๕ ประการ อันได้แก่ การฆ่าบิดา การฆ่ามารดา การฆ่าพระอรหันต์ การทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิตขึ้นไป และการทำสังฆเภท คือ ทำพระสงฆ์ให้แตกกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ การที่บุคคลๆหนึ่งจะทำนั้นยากมาก ผิดกับการติดหนี้สงฆ์ที่ทำได้ง่ายและเกิดจากความไม่รู้ทั้งสิ้น เช่น การนำเอาของสงฆ์มาเป็นของส่วนตัวบ้าง การหยิบฉวยต้นไม้ ผลไม้จากวัดบ้าง เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีโทษหนักเนื่องจากถือว่าเป็นการทำลาย(ทรัพย์สิน)พระพุทธศาสนา ดูแล้วเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องมาตกนรกขุมร้ายแรงถึงเพียงนี้ด้วยความไม่รู้ของตนเอง ดังนั้นท่านจึงต้องการที่จะลดจำนวนคนที่ต้องตกนรกขุมอเวจีเพราะความไม่รู้ในเรื่องนี้ลง ท่านจึงให้ข้าพเจ้าเขียนบทความขึ้นมาเพื่อให้ความรู้แก่บุคคลทั้งหลาย


    หลังจากไปดูนรกขุมอเวจีเสร็จ ข้าพเจ้าก็ได้กราบขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านลุงพระยายมราช หลวงพ่อพระราชพรหมยาน และท่านแม่ทั้งสามเพื่อไปดูนรกขุมที่เหลือทั้งหมด ว่ามีจริงหรือไม่ โดยตั้งจิตขอไว้ว่า ขอให้รู้ในแบบใดก็ได้ที่เป็นการยืนยันว่าไม่ใช่การคิดไปเอง แล้วจะเชื่อ และในการไปดูนรกขุมที่เหลือในครั้งนั้น สภาพเหมือนไปนั่งฟังท่านเลคเชอร์นรกขุมต่างๆมากกว่า โดยนรกขุมหลักๆนั้นจะมีอยู่ ๘ ขุม + นรกโลกันตร์อีก 1 ขุม และทั้ง ๘ ขุมนั้น จะมีสภาพเหมือนกันคือมีนรกบริวาร ๔ ขุม + ยมโลกียนรก ๑๐ ขุม


    การไปดูนรกขุมที่เหลือทั้งหมดในครั้งนั้น ท่านใช้วิธีบอกลักษณะหลักๆ(signature)ของขุมนรกนั้นๆให้ฟัง ซึ่งยากมากที่จะซ้ำกัน และมีความถูกต้องแม่นยำเมื่อไปเช็คเสร็จเรียบร้อยแล้วถึง ๗๐-๘๐% และในการไปดูนรกในครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ถามท่านว่า "ทำไมการทำสิ่งไม่ดีในโลกมนุษย์แค่เพียงเล็กน้อย ถึงได้มีผลร้ายแรงมหาศาลขนาดนั้น?" ทั้งนี้เพราะคิดแบบปุถุชนคนทั่วๆไปว่า มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย กับการที่ทำอะไรแล้วต้องมารับผลที่ร้ายแรงและยาวนานในนรกขนาดนั้น เมือถามคำถามนี้แล้ว ท่านก็นิ่งไปอยู่ซักพักหนึ่ง จากนั้นท่านก็ตอบข้าพเจ้าว่า ถ้าหากเธอสงสัยว่า เหตุใดการทำความชั่วแม้เพียงเล็กน้อยในโลกมนุษย์นั้น จึงมีผลให้ได้รับความทุกข์ทรมานมากมายและยาวนานขนาดนั้นในนรก ก็ให้เธอลองดูซิว่า ในภพภูมิทั้งหมดในวัฎสงสารนั้น แต่ละภพภูมิมีลักษณะใด จากนั้นภาพภพภูมิต่างๆที่ข้าพเจ้าเคยไปมาก็ปรากฎขึ้นพร้อมกับเสียงอธิบายว่า เธอจะสังเกตได้ว่า ภพภูมิต่างๆในวัฎสงสารนั้น ไม่ว่าจะเป็นพรหมโลกก็ดี สวรรค์ก็ดี นรกก็ดี เปรตก็ดี อสุรกายก็ดี ล้วนมีสภาพที่ละเอียดกว่าโลกมนุษย์มากมายมหาศาลยิ่งนัก ดังนั้นการทำความชั่วเพียงนิดหนึ่งในโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นการฆ่ามด เวลาที่กระทำลงไปนั้น จะมีผลกรรมออกมาเป็นจำนวนมากมายมหาศาลมากในภพภูมินรก เฉกเช่นเดียวกันกับเวลาที่เธอทำความดีแม้เพียงเล็กน้อย เช่น การทำบุญวิหารทานด้วยเงินแม้เพียง ๑ บาทในโลกมนุษย์ แต่ผลกรรมที่ออกมานั้นจะมีจำนวนมากมายมหาศาลเช่นกันในสวรรค์ จึงเป็นเหตุให้ผู้ที่ทำความดีนั้นๆมีวิมานปรากฎขึ้นทั้งหลัง แม้มูลค่าเงินที่ทำบุญวิหารทานนั้นจะมีค่าแค่เพียง ๑ บาทก็ตาม


    ถ้าหากถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ก็ต้องตอบว่า มันเป็นกฎของวัฎสงสารที่เป็นเช่นนี้ ดังนั้นการเวียนว่ายตายเกิดจึงมีแต่ความทุกข์มากมายนั่นเอง


    เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้น ก็หวนนึกไปถึงตอนที่ท่านบอกข้าพเจ้าว่าเคยตกนรกอเวจีนับพันครั้งในช่วงที่ยังไม่ได้เริ่มต้นปรารถนาพระโพธิญาณในสมัยสมเด็จองค์ปฐม ทำให้รู้สึกสลดใจมาก และก็คิดว่าจะเป็นไปได้หรือที่ตนเองเริ่มต้นปรารถนาพระโพธิญาณในสมัยสมเด็จองค์ปฐม เนื่องจากว่าในสมัยสมเด็จองค์ปฐมนั้น หากนับย้อนกลับไปจากสมัยสมเด็จองค์ปัจจุบันแล้ว จะคิดเป็นระยะเวลานับไม่ถ้วนอสงไขยเลยทีเดียว จึงคิดในใจถามพระท่านในขณะนั้นว่าสิ่งที่รู้มานี้นั้นนับเป็นเรื่องจริงหรือเท็จอย่างไรแน่ และแล้วภาพที่ปรากฎแก่จิตก็คือ ภาพตนเองเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสารมานับไม่ถ้วน และเคยเกิดเป็นลูกของสมเด็จองค์ปฐม และสุดท้ายก็ได้ปรารถนาพระโพธิญาณในสมัยของท่าน


    เมื่อเห็นภาพแล้ว ก็พยายามวางอารมณ์ใจกลางๆเป็นอุเบกขาก่อน เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนเองรับรู้มานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นอจินไตยอย่างยิ่ง แต่ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ได้จากการรับรู้เรื่องดังกล่าวคือ ถ้าหากว่าเราเคยเวียนว่ายตายเกิดมานานขนาดนั้นจริง แล้วยังไม่หลุดพ้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ แสดงว่าเราต้องเคยตกอบายภูมิ อันได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานมามากแน่ๆ เนื่องจากการบำเพ็ญบารมีแบบวิริยาธิกะนั้นใช้เวลาเพียงแค่ ๘๐ อสงไขย กับเศษแสนมหากัปเท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับระยะเวลานับอสงไขยไม่ถ้วนตามที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านเคยบอกไว้


    เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว จึงได้กราบถามพระท่านว่าถ้าเทียบกันระหว่างตอนที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เทวดา และพรหม กับตอนที่เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานนั้น มีความแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน ซึ่งภาพที่ปรากฎในขณะนั้นก็คือ ถ้าเทียบสเกลระหว่างการเกิดในภพภูมิที่ดีกับภพภูมิที่ไม่ดีแล้วนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน เหมือนกับว่าเคยเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา และพรหมเท่าไหร่ ต้องคูณด้วยจำนวนนับเป็นล้านๆเท่าจึงจะเทียบได้กับการเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน พอเห็นภาพดังนี้แล้ว ท่านก็สอนให้ข้าพเจ้าเห็นว่า การได้เกิดมาทำความดีนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากเหลือเกิน และเวลาแต่ละวินาทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น นับว่ามีค่ามากมายมหาศาลยิ่งนักเมื่อเทียบกับการต้องไปเกิดเพื่อชดใช้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งจุดนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึก(ในขณะนั้น)ว่า เวลาแต่ละวินาทีหรือแต่ละขณะจิตที่ได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นมีคุณค่ามากมายมหาศาลอย่างที่ไม่อาจจะหาอะไรมาเทียบได้จริงๆ เมื่อคิดดังนี้แล้ว ท่านก็สอนให้ข้าพเจ้าเห็นอีกว่า ในเมื่อเวลาแต่ละวินาทีหรือแต่ละขณะจิตมีคุณค่าอย่างไม่อาจประมาณนับได้อย่างนี้แล้ว ก็ขอให้ข้าพเจ้าจดจำไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ให้เกิดความพากเพียร(วิริยบารมี)ในการทำความดี


    สำหรับเรื่องการเกิดในสมัยสมเด็จองค์ปฐมนั้น ข้าพเจ้าตั้งใจหวังอยู่ลึกๆว่า ซักวันหนึ่งคงมีโอกาสได้พบกับหลักฐานที่จะมายืนยันสิ่งที่ข้าพเจ้ารับรู้ เนื่องจากข้าพเจ้าเคยอ่านจากที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ท่านได้เคยกล่าวไว้ว่า สมเด็จองค์ปฐมนั้นท่านบำเพ็ญบารมีมานานกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ เนื่องจากทรงเป็นองค์แรก ไม่มีแบบอย่างให้ศึกษา จึงทรงใช้เวลาถึง ๔๐ อสงไขยเศษ แต่ข้าพเจ้ายังไม่เคยพบว่าหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านกล่าวไว้ว่า ท่านเคยเกิดในสมัยสมเด็จองค์ปฐมและปรารถนาพระโพธิญาณในสมัยนั้น


    จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ไปยังบ้านสายลม และถือโอกาสเข้าไปกราบสมเด็จองค์ปฐมทองคำ เพื่อบูชาพระองค์ท่านด้วยจิตใจที่เคารพเป็นอย่างยิ่ง และอยู่ดีๆข้าพเจ้าก็รู้สึกอยากจะรู้ความจริงเกี่ยวกับการเกิดในสมัยสมเด็จองค์ปฐมที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้เคยกล่าวเอาไว้ ซึ่งข้าพเจ้าคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินพี่ๆที่ฝึกมโนมยิทธิเคยพูดให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว ในขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกงงๆตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงจำได้และรู้สึกเช่นนั้น และก็ไม่มั่นใจว่าจะหาหลักฐานที่ว่านี้เจอไหม เนื่องจากเคยค้นหาหลักฐานดังกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่พบเจอ


    และทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าก็คิดในใจว่า ลองดูซักครั้งละกัน โดยที่ความรู้สึกตอนนั้นรู้สึกขึ้นมาในใจเลยว่าจะต้องหาหลักฐานที่ว่านั้นเจออย่างแน่นอน และในที่สุดแล้วข้าพเจ้าก็เจอจริงๆว่า หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านกล่าวไว้ว่าท่านเคยเกิดสมัยสมเด็จองค์ปฐมและเริ่มปรารถนาพระโพธิญาณในสมัยนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก และรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ที่ท่านยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อค้นคว้าหาแนวทางการเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก เป็นแบบอย่างให้แก่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เพื่อช่วยสรรพสัตว์ที่ร่วมเวียนว่ายตายเกิดมานานแสนนานให้พ้นจากทุกข์


    เมื่อพบความจริงอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้ารีบออกจากบ้านสายลมเพื่อเดินไปยังอาคารฝึกพระกรรมฐาน(มโนมยิทธิ)ที่อยู่ใกล้ๆกัน เนื่องจากเป็นเวลาใกล้ฝึกพระกรรมฐานแล้ว และในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ระเบียงด้านหน้าอาคารฝึกพระกรรมฐานนั่นเอง พระท่านก็ได้สงเคราะห์ข้าพเจ้า โดยปรากฎภาพและเสียงขึ้นในจิตว่า เธอก็ทราบแล้วว่าจำนวนพระพุทธเจ้าในพระนิพพานนั้นมีมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทร และจำนวนพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีมากกว่าพระพุทธเจ้าไม่รู้กี่เท่า และยิ่งไปกว่านั้นจำนวนพระอรหันต์ในพระนิพพานก็มีมากมายกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก และเมื่อพิจารณาดูจำนวนสัตว์นรกเฉพาะในอเวจี ก็มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเช่นกัน ดังนั้นแล้วจะเห็นได้ว่าจำนวนดวงจิตที่หลุดพ้นไปพระนิพพานนั้นมีนับไม่ถ้วนเหลือเกิน และที่ยังตกค้างอยู่ในวัฎสงสารเล่ามีจำนวนมากมายมหาศาลยิ่งกว่าบนพระนิพพานไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า และเธอก็รู้ว่าดวงจิตในวัฎสงสารแต่ละดวงจิตนั้น กว่าจะอุบัติขึ้นมาได้ยากแสนยากนัก ฉะนั้นเธอจงลองคิดดูว่า ขนาดสมเด็จองค์ปฐมตรัสรู้ไปพระนิพพานแล้ว และบนพระนิพพานก็มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายมากมายนับไม่ถ้วน แต่สรรพสัตว์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสารรวมๆกันแล้ว ยังมีจำนวนมากกว่าทุกพระองค์ในพระนิพพานอย่างมากมายมหาศาลขนาดนี้ นั่นแสดงว่า ก่อนที่สมเด็จองค์ปฐมจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องทนทุกข์เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่าระยะเวลาระหว่างสมเด็จองค์ปฐมถึงสมเด็จองค์ปัจจุบันอย่างมากมายมหาศาลยิ่งนัก ดังนั้นเธอจงคิดดูว่าตัวเธอเองนั้นจะเวียนว่ายตายเกิดมานานมากมายขนาดไหน และการที่เธอยังอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ ทั้งๆที่ต้องทำบารมีเพียงแค่ ๘๐ อสงไขยกับกำไรแสนกัป แต่ถ้านับระยะเวลาตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมถึงสมเด็จองค์ปัจจุบันนั้น นับเป็นอสงไขยนับไม่ถ้วน นั่นแสดงว่าเธอจะต้องตกอบายภูมิมาอย่างยาวนานมาก


    เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นภาพความเป็นจริงในขณะนั้น ก็รู้สึกสลดใจกับตัวเองเป็นอย่างมาก และรู้เลยว่าที่ท่านเคยเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการเกิดในภพภูมิที่ดีและภพภูมิที่ไม่ดีนั้น ไม่เกินเลยจากความเป็นจริงแม้แต่นิดเดียว เพราะความเป็นจริงแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองเวียนว่ายตายเกิดมานานกว่านั้นมาก และข้าพเจ้าก็รู้แล้วว่า การที่ท่านเคยบอกกับข้าพเจ้าว่าเคยตกนรกขุมหนึ่งเป็นระยะเวลาน้อยสุดถึงพันกว่าครั้ง ทั้งๆที่ความจริงแล้วมากกว่านั้น แต่ท่านไม่บอกเนื่องจากจะมากเกินความเข้าใจของข้าพเจ้าในขณะนั้น เป็นความจริงแท้อย่างแน่นอน และเมื่อข้าพเจ้ารู้ดังนั้น ความรู้สึกหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจโดยดุษฎีก็คือ ข้าพเจ้าเห็นตัวเองว่าเป็นสัตว์นรกจริงๆ โดยที่คราวนี้ไม่มีการสอนจากพระท่านเลยแม้แต่นิดเดียว มันเป็นความรู้สึกที่เห็นความเลวของตนเองอย่างชัดแจ้ง ว่าตนเองนั้นมีความเลวถึงขนาดตกนรกและอบายภูมิมาอย่างนับไม่ถ้วนจริงๆ และก็เป็นดวงจิตที่โง่เกินกว่าจะสรรหาคำบรรยายใดๆมาอธิบายได้ เพราะว่าเมื่อเทียบกันแล้วกับการทำบารมีที่ผ่านมาทั้งหมด มันเทียบไม่ได้เลยกับความชั่วและความเลวที่ตนเองมีจนต้องตกอบายภูมิมาอย่างยาวนานถึงเพียงนั้น ยอมรับว่าตอนนั้นตนเองคิดในใจว่า ' (เรานี่มัน)สัตว์นรกจริงๆ(ว่ะ) ' ' โง่(ไม่รู้จะบรรยายยังไง)จริงๆว่ะ ' และเมื่อข้าพเจ้าเห็นดังนั้น ก็ปรากฎเสียงขึ้นมาว่า "ทีนี้เข้าใจแล้วหรือยัง ว่าเหตุใดหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านถึงมองว่าตนเองเลวและโง่นัก ทั้งๆที่ท่านทำบารมีมาถึง ๘๐ อสงไขย กำไรแสนมหากัปแล้ว ก็เพราะท่านเห็นความจริงว่า การที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดมาอย่างนับชาติไม่ถ้วนนั้น เป็นเพราะความเลวและความโง่ที่มีอยู่ในจิตใจ ทำให้ต้องตกนรกและอบายภูมิเป็นเวลานานนั่นเอง ซึ่งเป็นการเห็นที่มาจากความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งมองว่าตนเองเลวและโง่แต่อย่างใด" เมื่อจบเสียงดังกล่าว ข้าพเจ้าก็เห็นภาพหลวงพ่อพระราชพรหมยานขึ้นมาและยิ้มให้แก่ข้าพเจ้าอย่างอารมณ์ดี


    เมื่อภาพหลวงพ่อพระราชพรหมยานหายไป ทันใดนั้นก็ปรากฎภาพสรรพสัตว์ทั้งหลายจำนวนมากมายที่มีแต่ความทุกข์ทรมานจากการเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมาเต็มไปหมด ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจเป็นอย่างมาก ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จนเกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าสรรพสัตว์เหล่านั้นจะเป็นคนดีหรือคนเลว หรือจะเกิดอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องประสบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัสอันเป็นผลเนื่องมาจากอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แทบทั้งสิ้น จนข้าพเจ้ารู้สึกว่าการเปรียบเทียบว่าเราดีกว่าเขาก็ดี เราเสมอเขาก็ดี เราเลวกว่าเขาก็ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฐานะ การศึกษา อาชีพการงาน สติปัญญาความรู้ความสามารถ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายเลย เมื่อเทียบกับความทุกข์ทรมานที่ทุกคนต้องประสบจากการเวียนว่ายตายเกิด และในขณะนั้นเองก็ปรากฎภาพและเสียงขึ้นมากล่าวกับข้าพเจ้าว่า ถ้าหากว่าข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองแย่กว่าบุคคลอื่นในเรื่องของฐานะ อาชีพการงาน และอนาคตขึ้นมาเมื่อใด เนื่องจากเหตุที่ต้องประสบจากการทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาและส่วนรวมในครั้งนี้ ก็ขอให้ข้าพเจ้าจดจำอารมณ์นี้ไว้ และให้เห็นความจริงว่า ที่ข้าพเจ้าทำนั้น ก็เพราะเห็นแล้วว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง จึงมีความต้องการที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง ภพภูมิต่างๆนั้นมีจริง ให้รู้จักการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา อันจะเป็นเหตุปัจจัยให้บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นสามารถหลุดพ้นใด้ในที่สุด และผลบุญทั้งหลายเหล่านี้เอง ก็จะเป็นเหตุที่จะส่งเสริมให้ข้าพเจ้าสามารถหลุดพ้นไปพระนิพพานได้ตามที่ข้าพเจ้าปรารถนาไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2016
  10. @มายาคติ@

    @มายาคติ@ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +70
    การอนุโมทนาบุญ



    เนื่องจากส่วนตัวอยากจะลองดูดวงด้วยไพ่พรหมญาณ และถือโอกาสให้บุคคลทั้งหลายได้รู้จักการทำบุญชำระหนี้สงฆ์ไปพร้อมๆกันด้วย เลยไปสมัครสมาชิกใหม่เป็นอีกหนึ่งชื่อคือ Fame Ming และบังเอิญได้เข้าไปตอบคำถามเกี่ยวกับการอนุโมทนาบุญ ซึ่งมีแผนไว้ว่าจะเขียนลงในกระทู้นี้พอดี เพื่อเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์การอนุโมทนาบุญของตนเอง ดังนั้นจึงขออนุญาตนำมาลงไว้ในกระทู้นี้นะคะ


    ถ้าเราทำความดีแล้วมีคนอนุโมทนาบุญด้วย บุญของเราก็เพิ่มขึ้นจริงไหม ?


    - ถ้าตามหลักบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ เราจะได้บุญต่อเมื่อเราอนุโมทนาบุญคนอื่น หรืออุทิศบุญให้คนอื่นค่ะ ดังนั้นถ้าจะให้เข้าหลักเกณฑ์นี้ เราจะ
    ต้องทำบุญ แล้วตั้งใจอุทิศบุญให้คนอื่นอนุโมทนา เราถึงจะได้บุญเพิ่มค่ะ


    การอนุโมทนาบุญคนอื่นมีผลให้เราได้บุญถึง ๙๐% จริงหรือ ?


    - ต้องตอบว่า "ถ้าตั้งใจจริงได้ถึง ๙๐% แน่นอนค่ะ"


    แต่ปัญหาคือ เราจะอนุโมทนาบุญด้วยใจที่ยินดีในบุญกุศลของบุคคลนั้นๆอย่างเต็มหัวจิตหัวใจได้อย่างไรนั่นเอง ?


    - ตรงนี้ต้องบอกว่า ให้ฝึกบ่อยๆค่ะ โดยไม่ต้องสนใจว่าเราจะได้บุญกี่ % หรือเต็มหัวจิตหัวใจหรือยัง ซึ่งในช่วงแรกๆที่ฝึก ส่วนตัวก็เริ่มจากการ
    อยากได้บุญเพิ่มเยอะๆแบบง่ายๆ หรือที่เรียกว่าโลภนั่นเองค่ะ ขอแนะนำว่าถ้าเป็นแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่ต้องสนใจนะคะ ให้ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะมีพัฒนาการไปเอง


    พอเริ่มทำบ่อยๆ จิตจะเริ่มชินค่ะ การซึมซับในส่วนนี้จะทำให้ใจเราน้อมไปในทางที่เป็นบุญกุศลมากขึ้น เกิดปีติอิ่มเอมใจกับบุญกุศลของบุคคลอื่นๆมากขึ้นเรื่อยๆ ง่ายขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายมันจะเต็มเข้าไปในจิตในใจในบุญกุศลของผู้อื่นไปโดยอัตโนมัติเอง


    ตรงจุดนี้เป็นส่วนที่ทำให้เกิดมุทิตาจิตในที่สุด ซึ่งทำให้พรหมวิหารสี่ดี เป็นเหตุให้ทาน ศีล และภาวนามีความก้าวหน้า และถ้าถามว่าทำไมอนุโมทนาบุญคนอื่นแล้วทำให้บารมีเต็มเร็ว ก็ต้องตอบว่าพรหมวิหารสี่เป็นตัวหล่อเลี้ยงปัญญาบารมี(เพราะถ้าคนเราไม่มีปัญญา ก็จะไม่เห็นความดีของบุคคลอื่นค่ะ) ซึ่งปัญญาบารมีนี้แหละก็จะนำมาบารมีอีก ๙ ตัวที่เหลือมาสู่ตัวเราด้วย


    ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการอนุโมทนาบุญนั้นมีคุณค่ามากมายมหาศาล เพราะเป็นการสั่งสมทั้งบุญและบารมีไปในตัวทั้งสองทางเลยทีเดียว


    และหากใครสังเกตหรือเคยอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเองจากทางตะวันตก เค้าจะใช้วิธีการที่เรียกว่า "การรู้จักชื่นชมคนอื่น" ซึ่งจริงๆแล้ว หากใครอนุโมทนาบุญบ่อยๆจนถึงจุดนึงที่เกิดการเปลี่ยนแปลง จะรู้สึกว่าตนเองมองเห็นส่วนดีของบุคคลอื่นๆ แล้วรู้สึกชื่นชมโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว และพลังจากการชื่นชมคนอื่น(มุทิตาจิต)นี้แหละ จะเป็นเหตุให้เราซึมซับแต่ส่วนดีๆของบุคคลนั้นมาเป็นคุณสมบัติภายในตัวเราอย่างไม่รู้ตัว หรือที่เรียกว่าการเลียนแบบที่เกิดโดยธรรมชาตินั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ธันวาคม 2015
  11. @มายาคติ@

    @มายาคติ@ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +70
    การทำบุญถวายเป็นพระราชกุศล


    ตั้งแต่อายุ ๑๖-๑๗ ปี พระท่านได้มาสอนการทำความดีเพื่อส่วนรวมด้วยการอุทิศถวายบุญแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ โดยการนำจิตขึ้นไปยังพระนิพพาน และกราบอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่ออุทิศบุญกุศลทั้งหมดที่เคยได้ทำมานับตั้งแต่ชาติแรกจนถึงปัจจุบันแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายอโหสิกรรมแก่ทุกๆพระองค์ด้วย


    และเมื่อไม่นานมานี้ ท่านได้มาบอกให้ทำบุญทุกอย่างถวายเป็นพระราชกุศลโดยตรงแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตนเอง เพราะการทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลโดยตรงนั้น เป็นการทำเพื่อส่วนรวมทั้งหมด จะเป็นเหตุให้ได้บุญบารมีที่เพิ่มขึ้น


    และเนื่องจากในปีนี้ เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘๘ พรรษา จึงได้ถือโอกาสนี้ลงบันทึกการทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลทั้งหมด เพื่อให้ทุกท่านได้อนุโมทนาบุญดังนี้ค่ะ


    บันทึกการทำบุญถวายเป็นพระราชกุศล
    *เป็นการทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง(เฉพาะเจาะจง)
    ซึ่งการทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลนี้ เป็นการได้ทำบุญเพื่อพระพุทธศาสนา และสาธารณประโยชน์ไปพร้อมๆกัน เนื่องจากเป็นการ
    ทำเพื่อส่วนรวมทั้งหมด จะเป็นเหตุให้บารมีเต็มเร็ว และสามารถไปพระนิพพานได้ง่าย​


    ๑. รักษาศีล ๘ เป็นเวลา ๑๔๙ วัน (นับถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๕๘)

    * ส่วนนี้เป็นการรักษาศีล ๘ และถือธุดงค์ ทานมื้อเดียว ๕ วัน
    * ส่วนนี้เป็นการรักษาศีล ๘ และถือธุดงค์ นั่ง ยืน เดินเท่านั้น ไม่นอน ๕ วัน

    ๒. ทำบุญทุกอย่างที่บ้านซอยสายลม (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง) ๑๓๐ บาท

    ๓. ถวายสังฆทานที่บ้านซอยสายลม ๒๐๐ บาท

    ๔. ทำบุญถวายสังฆทานที่บ้านวิริยบารมี ๑๐ บาท

    ๕. ทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๕๕ บาท

    ๖. ทำบุญไถ่ชีวิตโคกระบือ ๘๐ บาท

    ๗. ทำบุญปล่อยปลา ๖๐๐ บาท

    ๘. ทำบุญสื่อพระพุทธศาสนา DDTV ๑๐๐ บาท

    ๙. ทำบุญกฐินวัดท่าซุง ๒๒ บาท

    ๑๐.ทำบุญกฐินสื่อพระพุทธศาสนา DDTV ๒๒ บาท

    ๑๑. ทำบุญกฐินวัดโอภาสี ๒๐ บาท

    ๑๒. ถวายอายุขัย ๑ ปี

    ๑๓. สวดมนต์ ๑๖,๙๓๐ จบ

    ๑๔. อุทิศถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน พรหมเทวดาที่รักษาพระองค์ท่าน และเจ้ากรรมนายเวรของพระองค์ท่าน ประมาณ ๑๐,๐๐๐ ครั้ง

    * โดยกำหนดจิตไปยังพระนิพพานและกราบอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ตลอดจนพรหมและเทวดาทั้งหลาย

    * จากนั้นตั้งจิตอุทิศบุญกุศลที่ได้เคยบำเพ็ญมาแล้วทั้งหมดทุกภพทุกชาติ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถวายแด่พระองค์ท่าน พรหมเทวดาที่รักษาพระองค์ท่าน
    และเจ้ากรรมนายเวรของพระองค์ท่าน โดยขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายอโหสิกรรมแก่พระองค์ท่าน

    * ส่วนนี้เป็นการปฏิบัติโดยอาศัยสมถะและวิปัสสนาญาณ ในอานาปานุสติ + พุทธานุสติ + มรณานุสติ และอุปสมานุสติ ตามคำสอนของพระเดชพระคุณ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


    ๑๕. อนุโมทนาบุญในการบำเพ็ญบุญกุศลของผู้อื่น ประมาณ ๑,๑๐๐ ครั้ง

    ๑๖. เจริญพระกรรมฐาน(อารมณ์พระโสดาบัน)แบบง่ายๆ ตอนตื่น และก่อนนอน

    " ก่อนจะหลับศีรษะถึงหมอน จิตนึกถึงพระพุทธเจ้า และก็ตั้งใจว่า ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานเมื่อนั้น หลังจากนั้นก็ภาวนาว่า พุทโธ สัก ๒-๓ ครั้ง ด้วยความตั้งใจจริง หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ อย่างนี้ ๒-๓ ครั้งเราก็หลับ

    ถ้าตื่นขึ้นมาใหม่ๆก็ตั้งใจตามนั้น คิดว่าวันนี้ถ้าตายขอไปนิพพาน และภาวนาพุทโธ หรือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกควบ อย่างนี้อารมณ์มันชิน วันหนึ่งเราอาจมีสมาธิอย่างนี้รวมแล้วไม่เกิน ๕ นาที หรือ ๑๐ นาที แต่วันหนึ่งมันมี ๒๔ ชั่วโมง ห่างกันเยอะไหมห่างกันมากนะ แต่อย่าลืมว่าขณะที่จะตายจริงๆ อารมณ์ของธรรมะทั้งหมดที่ทำได้แล้วจะรวมตัวกัน ทั้งๆที่ยามปกติเราทำได้บ้างไม่ได้บ้าง บางวันก็ลืมไปบ้าง บางวันก็ดี บางวันก็ไม่ดี บางครั้งก็เผลอไปไม่ได้ทำ อย่างนี้เวลาจะตายจริงๆ ธรรมะทั้งหมดนี่จะรวมกัน บุญก็ดี อำนาจของทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ตาม จะรวมตัว "

    จาก หนังสือธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๙ หน้า ๘๒-๘๓ โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    * ส่วนนี้จะทำให้เราได้บุญใหญ่ คือได้อารมณ์พระโสดาบันแบบง่ายๆ และอารมณ์พระโสดาบัน(รวมถึงบุญทั้งหมดที่เราทำ)นี้จะรวมตัวเมื่อถึงวาระที่จะต้องตายจริงๆ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ธันวาคม 2015
  12. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    สำหรับหัวข้อนี้ จะขอเรียบเรียงความรู้ และประสบการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาทั้งหมด ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


    จริงๆแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านมาบอก ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ และในขณะนี้ ก็ปรากฎว่าสิ่งต่างๆที่ท่านมาทยอยบอก ทีละเล็กทีละน้อยนั้น ล้วนแต่เกิดขึ้นจริงแล้วเกือบทั้งหมด ดังนั้น จึงขออนุญาตเปิดเผย เพื่อความกระจ่างในเรื่องต่างๆ โดยจะพยายามบอกให้มากที่สุดเท่าที่จะเรียบเรียงออกมาได้ เพื่อประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังปฏิบัติธรรม หรือท่านที่ตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติ และพระพุทธศาสนาค่ะ


    ๑ ) ครั้งหนึ่ง ส่วนตัวเคยสงสัยว่าทำไมจึงต้องมารับรู้เรื่องราวต่างๆมากมายเช่นนี้ และก็นึกถึงพระท่าน แล้วทูลถาม และก็ได้คำตอบมาว่า "ซักวันหนึ่งเธอจะต้องเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้คนอื่นๆฟัง" และนี่ก็เป็นที่มาที่ตัวเองต้องมานั่งทำหน้าที่นี้ค่ะ


    ๒ ) การมาสงเคราะห์ของพระท่าน หรือที่เรียกว่าการสอนนั้น ส่วนตัวพอจะรู้ว่าท่านมาสอน แต่เนื่องจากถูกสอนมาในเรื่องมานะกิเลส การอวดตัว และการใช้ปัญญาในส่วนของทิพจักขุญาณ(ญาณ ๘) ดังนั้น เราจึงเน้นการไม่เชื่อและวางเฉยไว้ก่อน และดูว่าสิ่งที่ท่านสอนหรือบอกนั้น เป็นไปเพื่อละกิเลสหรือไม่ หรือเป็นไปเพื่อละมานะกิเลสหรือไม่


    ๓ ) ซึ่งประสบการณ์มโนมยิทธิส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องอนาคต และเป็นสิ่งที่สติปัญญาและวุฒิภาวะเราในขณะนั้น ไม่สามารถจะจัดการได้ จึงได้แต่รับรู้แบบงงๆอย่างเดียว


    ๔ ) และเมื่อเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากส่วนตัวถูกสอนมาว่าให้ใช้ปัญญาดูว่า เป็นไปเพื่อละกิเลสไหม หรือทำให้เกิดมานะกิเลสหรือเปล่า ดังนั้นพอพิสูจน์แล้ว เราก็ตั้งตาตั้งตาทำความดีต่อไป


    ๕ ) มานะกิเลสสุดท้ายที่ท่านสอนเราก็คือ ท่านชี้ให้ดูสภาวะจิตแต่ละขณะ ซึ่งเป็นส่วนละเอียด แล้วบอกว่า ขณะใดที่จิตเรามีโลภะแม้นิดหนึ่ง ชั่วขณะจิตหนึ่ง ถ้าตายในขณะนั้นเราจะไปเกิดเปรต ดังนั้น ถ้าเรามีสภาพจิตแบบนี้เมื่อใด ให้จำคำที่ท่านด่าเอาไว้ว่า "ไอ้เปรต" เพื่อเตือนสติตัวเองว่ายังเลวอยู่

    และถ้าขณะใดที่จิตเรามีโทสะแม้นิดหนึ่ง ชั่วขณะจิตหนึ่ง ถ้าตายในขณะนั้น เราจะไปเกิดในนรก ดังนั้น ถ้าเรามีสภาพจิตแบบนี้เมื่อใด ให้จำคำที่ท่านด่าเอาไว้ว่า "ไอ้สัตว์นรก" เพื่อเตือนสติตัวเองว่ายังเลวอยู่

    และถ้าขณะใดที่จิตเรามีโมหะแม้นิดหนึ่ง ชั่วขณะจิตหนึ่ง ถ้าตายในขณะนั้น เราจะไปเกิดในส่วนของเดรัจฉาน ดังนั้น ถ้าเรามีสภาพจิตแบบนี้เมื่อใด ให้จำคำที่ท่านด่าเอาไว้ว่า "ไอ้สัตว์เดรัจฉาน" เพื่อเตือนสติตัวเองว่ายังเลวอยู่


    ๖ ) ที่กล่าวมานี้เป็นส่วนที่ค่อนข้างจะละเอียดค่ะ และคำที่ท่านกล่าวจะว่าหนักก็หนัก แต่ไม่หนักเกินไปสำหรับเราในตอนนั้นค่ะ เนื่องจากแรกๆ เราผ่านการไปดูสภาวะพระนิพพาน และเห็นแล้วว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์นั้น แม้ท่านจะทำบุญบารมีมาต่างกัน แต่สภาวะจิตท่านไม่มีมานะกิเลสแม้แต่น้อยค่ะ ซึ่งจุดนี้ทำให้เราประทับใจในความดีของทุกพระองค์มาก และพยายามจดจำไว้ตามที่ท่านบอกค่ะ

    ตรงนี้ท่านให้เราไว้เป็นมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติค่ะ ว่าจริงๆแล้ว พระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น ไม่มีองค์ไหนท่านคิดว่าตัวเองดีเลย มีแต่จะเห็นความเลวของตนเองอยู่เสมอๆ แม้พระอรหันต์ที่หมดกิเลสแล้ว ท่านก็ยังไม่ประมาทคิดว่าตนเองดีค่ะ อันนี้เป็นคำพูดสุดท้ายที่ท่านสอนเรามา ส่วนเรื่องถ้าตายในขณะนั้นแล้วจะไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก และสัตว์เดรัจฉานนั้น ท่านหมายความถึงจิตสุดท้ายก่อนตายนะคะ


    ๗ ) และหลังจากนั้นเราจึงเจอคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในส่วนของ "การไม่สนใจจริยาของบุคคลอื่น" และ "อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทความผิดของตัวไว้เสมอ" เราจึงเอามาใช้เตือนตนเองตลอด และโชคดีที่ท่านมาสงเคราะห์ให้เห็นความเลวในจิตของตนเองบ่อยๆ และฝึกให้ดูกิเลสในจิตใจของตนเอง และสอนให้ใช้หลัก ๒ อย่างนี้เตือนตนเองเสมอ ซึ่งเราก็ยึดและพยายามทำอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ค่ะ


    ๘ ) ในการมาสงเคราะห์ของท่าน จะมาในขณะที่ใจเรามีกิเลสค่ะ อย่างเช่น ในเวลาที่พูดคุยกันในวงปฏิบัติธรรม แต่ละคนเค้าก็จะเล่าถึงการฝึกของตนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเราก็อยากจะเล่าบ้างค่ะ แต่ไอ้อารมณ์ตอนอยากเล่ามันเป็นอารมณ์ลักษณะว่าอยากอวดกับคนอื่นๆบ้าง ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้ดีอะไรเลย แต่ตอนนั้นไม่รู้ตัว ซึ่งในขณะนั้นเอง ก็มีคำพูดจากหนังสือคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่เคยอ่านเข้ามาในหัวในจิตเลยค่ะ ประมาณว่าการอวดตนนั้นมันเป็นอารมณ์ของความเลว พอมาแบบนี้ปุ๊บเราก็งงแล้วก็สะดุดเลยค่ะ


    ๙ ) บางทีท่านก็มาสอนในกระแสจิตตอนนั้นเลยว่า ตอนนี้เรากำลังคิดว่าตัวเองฝึกเรื่องมานะกิเลสอยู่ แล้วคิดว่าตัวเองนั้นดีกว่าใครๆ เนื่องจากคนอื่นๆนั้นไม่รู้ตัวว่ามีมานะกิเลสอยู่ แล้วก็ไม่ได้ฝึก แล้วท่านก็ทำให้เห็นว่า นี่แหละ ตอนนี้เรากำลังคิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่นๆอยู่นะ ซึ่งเป็นมานะกิเลสคือความเลวเต็มๆ แล้วท่านก็บอกว่า คนดีน่ะเค้าไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ไม่สอดส่ายใจออกไปยุ่งกับคนอื่นว่าก้าวหน้าหรือแย่กว่าตนเองหรอก คนที่เค้าดีน่ะ เค้าจะต้องมองเห็นความเลวของตนเองอยู่เสมอๆ


    ๑๐ ) และให้จำไว้ว่า ถ้าเราคิด(หรือรู้สึก)ว่าเราดีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละให้รู้ว่าตัวเองกำลังเลวมากแล้ว ให้เห็นความเลวของตน แล้วโจกท์โทษความผิดของตนซะ แล้วก็หาทางปรับปรุงใจของตนเอง และถ้าหากว่าเราคิด(หรือรู้สึก)ว่าเราฉลาดเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละให้รู้ว่าตัวเองกำลังโง่มากแล้ว


    ๑๑ ) ทั้งหมดคือตัวอย่างที่ท่านมาชี้ให้ดูความเลวในใจของตนเอง แล้วก็หลักที่ให้ยึดสำหรับการปฏิบัติค่ะ ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยเวลาในการฝึกให้เห็นกิเลสความเลวในจิตของตนเอง แล้วก็ค่อยๆปรับปรุงจิตของตนเองให้เข้ามาอยู่ในเขตของกุศลทีละเล็กทีละน้อยค่ะ


    ๑๒ ) สำหรับในเรื่องการใช้ปัญญาในส่วนของทิพจักขุญาณ(ญาณ ๘) นั้น ส่วนตัวจะใช้หลักที่ท่านสอนและที่เคยศึกษามาทั้งหมดคือ

    - เวลาที่รับรู้อะไรมา เราจะเฉยๆก่อน เพราะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง

    - ดูว่าสิ่งที่รู้มานั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งถ้าเป็นหลักธรรม หรือท่านมาสอน ก็ต้องดูว่าตรงกับหลักธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนไหม แล้วธรรมะนี้ทำให้กิเลส

    ลดหรือเพิ่ม ทำให้กุศลเกิดในใจหรืออกุศลเกิดในใจ

    - ถ้าหากตรวจสอบแล้วหลักธรรมตรง กิเลสลด กุศลเกิด ก็ต้องมาดูว่าเหมาะกับเราในขณะนั้นๆไหม ถ้าไม่เหมาะ ก็วางไว้เฉยๆ ถ้าเหมาะก็ลองปฏิบัติดู

    - ถ้าหากว่าสิ่งที่รู้มาเป็นส่วนของญาณ ๘ เช่น อดีตชาติ อนาคต หรืออะไรก็แล้วแต่

    - ส่วนตัวจะเฉยๆก่อน เพราะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง

    - ทุกอย่างต้องอาศัยหลักฐาน พยาน เหตุและผล และเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

    - ให้ดูว่า สิ่งที่รับรู้มานั้นเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมไหม ถ้ารู้แล้วนิวรณ์ ๕ เกิด มานะกิเลสเกิด ให้ตัดทิ้งค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2016
  13. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    สำหรับบันทึกการทำงานพระพุทธศาสนาในส่วนนี้ ถือเป็นเรื่องอจินไตย ขอให้ท่านผู้อ่านวางใจเป็นกลาง ไม่เชื่อหรือปฏิเสธ แต่ใช้สติปัญญาเลือกในส่วนที่เป็นประโยชน์


    โดยส่วนตัวแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะต้องมาทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาในลักษณะนี้ และจะต้องประสบกับเหตุการณ์ต่างๆที่นับได้ว่าหนักหนาสาหัสสำหรับคนที่มีอายุเพียงแค่ ๒๕ ปีเท่านั้น


    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นนิมิตบ่งบอกสำหรับการทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่อายุได้ประมาณ ๑๖-๑๘ ปี โดยปรากฎพระสงฆ์ประมาณ ๒ รูปในนิมิต มาบอกกับข้าพเจ้าแบบทีเล่นทีจริงว่า สิ่งที่ยากที่สุดก็คือเรื่อง"ของคน" ซึ่งคำว่า"ของคน"ในที่นี้ แปลความหมายได้ ๒ อย่างคือ ไสยศาสตร์ที่จะเล่นงานจิตใจและสมองของข้าพเจ้า และการใช้พระพุทธศาสนา อันเป็นศาสตร์ทางจิตที่มีความละเอียดลึกซึ้ง เข้ามาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทางด้านจิตใจ


    ในตอนนั้นยอมรับว่างงและไม่เชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ เพราะคิดว่าในยุคปัจจุบันนี้ไม่น่าจะมีแล้ว เลยคิดว่าตนเองอาจจะคิดไปเองก็ได้ ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่กลับสนใจคำที่ท่านกล่าวในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มากกว่า เพราะจะเป็นเหตุให้ประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน เนื่องจากเมื่อมีจิตใจที่ดี เหตุร้ายหรือการทำร้ายรังแกซึ่งกันและกันก็จะลดน้อยลง ความเสียหายเกิดขึ้นน้อย การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อสร้างความสุขทางใจก็ไม่มี รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นการลดช่องว่างทางชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนรวม และที่สำคัญเมื่อนำไปประยุกต์ใช้กับศาสตร์อื่นๆแล้ว จะมีผลให้ศาสตร์นั้นๆสร้างประโยชน์และความสุขที่แท้จริงแก่ส่วนรวมได้


    และในช่วงระหว่างนี้เอง ก็ได้ปรากฎนิมิตเกี่ยวกับในหลวงในเรื่องการทำงานพระพุทธศาสนาขึ้น ซึ่งยอมรับว่าตนเองไม่ได้เชื่ออะไร เพราะคิดว่าเป็นนิมิตมาทดสอบมากกว่า แต่ได้พูดในใจว่า"ถึงแม้ทุกพระองค์(พระรัตนตรัย และพรหมเทวดา)ท่านจะไม่ได้บอก แต่หากเป็นการช่วยให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและช่วยเหลือคนอื่นๆแล้ว อย่างไรก็เต็มใจทำ เพราะที่ตนเองพบกับความสุขอย่างนี้ได้ ก็เนื่องมาจากพระพุทธศาสนานั่นเอง"


    หลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านก็มาสงเคราะห์ข้าพเจ้าในเรื่องการปฏิบัติธรรมตลอด ตั้งแต่พื้นฐานการปฏิบัติ และหลักสำคัญที่จะต้องมีคือ ไม่คิดว่าเราดีกว่าใคร หรือเสมอใคร หรือเราเลวกว่าใคร ให้เห็นความเลวหรือกิเลสในใจอยู่เสมอ และไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาจะดีกว่าเรา ไม่ว่าจะฐานะ สติปัญญา การปฏิบัติธรรม ก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเรารู้สึกดีกว่าหรือแย่กว่าเมื่อไหร่ ได้ประณามตนเองว่าเลวทันที และเน้นในเรื่องการรับรู้ด้วยทิพจักขุญาณไม่ว่าจะเป็นเรื่องญาณต่างๆหรือข้อธรรม ให้ใช้สติปัญญาประกอบและไม่เชื่อไว้ก่อนเสมอ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ ซึ่งจุดนี้ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นประโยชน์ต่อข้าพเจ้าอย่างยิ่งในการทำงานพระพุทธศาสนาในกาลเวลาต่อมา


    หลักจากท่านสอนในเรื่องพื้นฐานและหลักการปฏิบัติแล้ว ท่านก็จะเริ่มสอดแทรกเนื้อหาธรรมอื่นๆมาให้ และเชื่อมโยงให้เห็นภาพความเกี่ยวเนื่องกัน เช่น จรณะ ๑๕ โพชฌงค์ ๗
    สัมมัปปธาน ๔ เพื่อนำมาเสริมและแก้ไขในการปฏิบัติ ส่วนในเรื่องความเพียรในการปฏิบัตินั้น ท่านให้เริ่มจากการปฏิบัตินิดๆหน่อยๆ จับลมหายใจไม่กี่ครั้ง แล้วก็ให้หันไปทำอย่างอื่นได้ จากนั้นก็ค่อยๆเร่งความเพียรขึ้นทีละนิดๆให้ปฏิบัติถี่ขึ้น แต่นิดๆหน่อยๆเหมือนเดิม จนกระทั่งข้าพเจ้าเริ่มคุ้นชินมากขึ้นเรื่อยๆในที่สุด


    จากนั้นท่านก็สอนให้รู้จักการอุทิศส่วนกุศล โดยเริ่มจากการเห็นสุนัขตายที่ริมถนนก่อน ซึ่งในครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้ากำลังจะอุทิศส่วนกุศลเพราะเกิดความสงสาร แต่กิเลสก็ขึ้นมาให้รู้สึกหวงบุญกุศลที่ทำมาทุกภพทุกชาติ พระสงฆ์ในนิมิตนั้นท่านเลยบอกให้ข้าพเจ้าเห็นความน่าสงสารก่อน แล้วบอกว่าต่อให้เค้าโมทนาบุญอย่างไรก็ได้ไม่เท่ากับข้าพเจ้าหรอก และการที่เค้าโมทนาบุญเรา เมื่อเค้าเป็นเทวดา ก็จะกลายเป็นบริวารหรือเพื่อนคอยช่วยเหลือเราในการบำเพ็ญบารมีในฐานะพระโพธิสัตว์ด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการอนุโลมตามกิเลสของข้าพเจ้าในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมใหม่ๆนั่นเอง หลังจากเริ่มอุทิศส่วนกุศลแล้ว จิตใจข้าพเจ้าก็เริ่มหวงบุญน้อยลงไปเรื่อยๆทีละนิด เนื่องจากเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าการทำเช่นนี้เป็นการช่วยเหลือเขาให้ได้ไปอยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้น ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิที่ลำบากและต้องทนทุกข์ทรมานอีก จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะอุทิศส่วนกุศลอยู่นั้น กิเลสก็ได้ผุดขึ้นมาว่า การที่เราอุทิศบุญกุศลให้อย่างนี้ ถ้าเกิดบุคคลนั้นๆเป็นคนเลวจะทำอย่างไร ไม่เท่ากับเป็นการส่งเสริมบุญบารมีให้คนเลวหรอกหรือ ทันใดนั้นก็มีเสียงปรากฏขึ้นในใจว่า คำว่ากุศลนั้น แปลว่าฉลาด ดังนั้นการที่เราอุทิศบุญกุศลให้กับเขา ไม่ว่าในอนาคตเขาจะเลวหรือดีก็ตาม บุญกุศลตัวนี้แหละจะช่วยให้เขาไปในทางที่ดี ถึงแม้เขาจะต้องเลวตามกิเลสและอกุศลกรรมที่เข้ามาส่งผล บุญตรงนี้ก็จะช่วยบั่นทอนยับยั้งให้เค้าพยายามเลวแล้วไม่สำเร็จ หรือเลวได้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถ้าหากต้องเกิดมาเจอกัน บุญสัมพันธ์ที่มีอยู่ก็จะช่วยให้เค้าดีกับเรา แม้เค้าจะเลวกับคนอื่นก็ตาม


    จากนั้นท่านก็สอนให้รู้จักการอโหสิกรรม โดยเร่ิมจากการให้ข้าพเจ้าเห็นว่าคนเรานั้นเวียนว่ายตายเกิดมานับภพชาติไม่ถ้วน ทำความดีและความเลวมาอย่างมากมาย ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรของแต่ละคนจึงมีมากมายนับไม่ถ้วนเฉกเช่นเดียวกัน ดังนั้นการที่เราหมั่นอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรบ่อยๆ จะช่วยให้ผลของอกุศลกรรมนั้นเบาบางลง โดยให้ตั้งใจอุทิศผลบุญนับตั้งแต่ชาติแรกจนถึงปัจจุบัน ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติจนถึงปัจจุบัน แล้วขอให้เขาอโหสิกรรมให้นับตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน จากนั้นท่านก็ให้ข้าพเจ้าคิดย้อนกลับกันว่า ตัวข้าพเจ้าเองนั้นก็จะต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครอีกหลายๆคนแน่นอน ซึ่งตัวเขาเหล่านั้นก็เหมือนกับตัวข้าพเจ้าที่บางครั้งบางทีและบางภพชาติ ได้เผลอไปกระทำสิ่งที่ไม่ดีเข้า และอยากจะุให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นอโหสิกรรมให้ เมื่อเป็นเช่นนั้น จะดีหรือไม่ถ้าหากข้าพเจ้าจะนึกถึงใจเขาใจเราแล้วรู้จักให้อภัยพวกเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ก็ติดตรงที่กิเลสเข้ามาทำให้รู้สึกว่า การที่ข้าพเจ้าอโหสิกรรมให้ผู้อื่นนั้น เป็นการเสียเปรียบอย่างยิ่ง เพราะเป็นฝ่ายถูกกระทำแล้วอยู่ดีๆจะให้อภัยเลยได้อย่างไร แล้วยิ่งถ้าอีกฝ่ายยังจองเวรแล้วไม่ให้อภัยล่ะ ข้าพเจ้าก็คงต้องโดนกระทำอยู่ดี เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจึงบอกแก่ข้าพเจ้าว่า การที่เราอโหสิกรรมให้นั้น จะทำให้เราได้รับบุญในส่วนของอภัยทาน ซึ่งเป็นทานที่มีอานิสงค์สูงมาก สูงยิ่งกว่าสังฆทานเสียอีก ซึ่งเราสามารถนำบุญที่สูงเช่นนี้ ไปอุทิศกลับให้แก่เขาได้ เพื่อให้เขาอโหสิกรรมให้แก่เรา ถ้าเขาไม่อโหสิกรรมให้แก่เรา ก็พยายามอุทิศบุญกุศลให้แก่เขาบ่อยๆ ซักวันหนึ่งเขาจะใจอ่อนเอง แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว หากเขายังไม่อโหสิกรรมให้แก่เรา บุญส่วนนี้ก็จะช่วยให้เราหลุดพ้นโดยอาจจะไม่ต้องเจอกับเขาอีกเลย หรือถ้ายังต้องเกิดอยู่ก็จะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีที่รับแต่บุญกุศลฝ่ายเดียวก่อน เช่น พรหม หรือสวรรค์ แต่ถ้าหากยังต้องเจอกันอยู่อีกจริงๆ บุญตรงนี้จะช่วยเราให้ไม่ต้องเสี่ยงกับอนันตริยกรรม ดังเช่นท่านองคุลีมาล ที่จังหวะของกรรมส่งผลให้ต้องมาเกิดเป็นลูกของบุคคลที่จองเวรกันมา จนเกือบจะฆ่ามารดาของตนเอง แต่ยังดีที่บุญบารมีที่สั่งสมมาแรงพอที่จะช่วยให้ท่านบรรลุพระอรหันต์ก่อน ดังนั้นเมื่อถึงที่สุดแล้ว บุญจากอภัยทานนี้ก็จะช่วยรักษาเราไว้จากการจองเวรนั้นๆนั่นเอง เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ก็ได้ตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วตั้งจิตว่า "ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้แก่ทุกๆดวงจิตที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามานับตั้งแต่ชาติแรกจนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน" และก็ทำเช่นนี้มาโดยตลอด เท่าที่จะนึกได้


    จากนั้นท่านก็สอนให้ข้าพเจ้ารู้จักการอนุโมทนาบุญของผู้อื่น โดยเริ่มจากการอยากได้บุญเพิ่มแบบง่ายๆ แล้วค่อยๆสอนให้ข้าพเจ้าเห็นความดีของผู้อื่นทีละนิดๆ จนสามารถอนุโมทนาบุญด้วยจิตที่ยินดีในความดีของผู้อื่น(ตามที่ได้เขียนไว้แล้วก่อนหน้านี้)ในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2016
  14. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    หลังจากนั้นท่านก็ได้มาอธิบายสภาวะพระนิพพานว่าไม่เป็นทั้งอัตตาและอนัตตาอย่างไร พร้อมกับบอกเหตุผล และหลักฐานในพระไตรปิฏกให้ข้าพเจ้าเรียบร้อย(ตามที่ได้เขียนไว้ในกระทู้"ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘") จากนั้นท่านจึงได้พาข้าพเจ้าขึ้นไปประชุม และพาไปยังริมฝั่งทะเลเพื่อบอกเล่าเรื่องราวในอนาคตเกี่ยวกับพายุนาร์กิสที่พม่าและแผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวนประเทศจีน พร้อมกับให้ข้าพเจ้าตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ไว้ โดยฝากบุญกุศลไว้ล่วงหน้าสำหรับบุคคลที่จะต้องเสียชีวิตลงจากเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นั้น จากนั้นเมื่อฝึกเสร็จ ท่านจึงได้บอกกับข้าพเจ้าในมโนมยิทธิครึ่งกำลังว่า ต่อไปจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องออกจากการปฏิบัติธรรม และจะได้กลับเข้ามาอีกครั้ง จะเป็นเหตุการณ์ที่บีบคั้นหัวใจข้าพเจ้าอย่างถึงที่สุด และเป็นลักษณะของการทำร้ายทางจิตโดยศาสตร์ทางจิตหรือไสยศาสตร์ และสำหรับโลกธรรม ๘ ที่อ.ไก่คนเมืองบัวได้สอนนั้น ข้าพเจ้าจะต้องเจออย่างหนักกว่าหลายเท่าโดยเฉพาะในเรื่องของนินทา จะต้องเจอถึงกับโดนคนด่าตามทางเดิน และโดนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางไปทั่ว และเมื่อเวลาถึง ๑ ปี ๗ เดือน คือเดือนที่ ๑ ท่านจะมาช่วยครั้งแรก โดยหลังจากเดือนที่ ๗ เป็นต้นไป วิบากกรรมทั้งหลายจะเริ่มส่งผลแก่กลุ่มบุคคลเหล่านั้น และกรรมข้าพเจ้าจะถูกตัดในเดือนที่ ๑๑ แต่หลังจากนั้นท่านไม่พยากรณ์ต่อ บอกแต่เพียงว่านับตั้งแต่เดือนที่ ๑ ของอีกปีเป็นต้นไป วิบากกรรมจะเล่นงานกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างสาหัสขึ้นไปเรื่อยๆ


    หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ใช้มโนมยิทธิครึ่งกำลังขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปฐม โดยทรงตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นประธานในการทำงานในครั้งนี้ ถ้าหากว่าเหตุการณ์มันหนักจริงๆ(คือกลุ่มบุคคลที่สร้างอกุศลกรรมไม่ยอมเลิกรา)ท่านจะมาช่วย


    ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไป ข้าพเจ้าจึงได้แต่รับรู้และก็เฉยๆ เพราะเข้าใจว่าตนเองคิดไปเองมากกว่า และก็ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆตามปกติอย่างที่เป็นมา จนกระทั่งวันหนึ่งที่บ้านนนทธรรม ท่านก็ได้มาสอนถึงความเกี่ยวข้องกันของการปฏิบัติทั้ง ๔ แนวทาง คือ สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ และปฏิสัมภิทาญาณ ว่าถ้าหากจะวินิจฉัยลงไปว่าการปฏิบัติในสายนั้นๆถูกหรือผิดตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้จับหลักสมถะและวิปัสสนาญาณให้ออก แล้วจะรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติในสายใดก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่สามารถทำให้หลุดพ้นได้เหมือนกันทั้งสิ้น


    และทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามที่พระท่านพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแทบทั้งสิ้น เพราะในที่สุดข้าพเจ้าก็ออกจากการปฏิบัติธรรมมาจริงๆ เนื่องจากอ.ไก่คนเมืองบัวได้เสียชีวิตลง ข้าพเจ้ากลับมาใช้ชีวิตและทำงานตามปกติโดยมีความตั้งใจอยู่ลึกๆว่าจะสร้างฐานะและดำเนินชีวิตให้เป็นผู้ใหญ่ที่เพียบพร้อมด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิก่อน แล้วจึงจะนำเรื่องราวประสบการณ์ต่างๆในการปฏิบัติธรรมออกมาบอกกล่าวแก่บุคคลทั้งหลาย เพื่อให้รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดและภพภูมิต่างๆมีจริง รู้ว่าทาน ศีล และภาวนาจะต้องทำอย่างไร รู้ว่าการปฏิบัติในแต่ละสายก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องรู้จักรักและสามัคคีกันไว้ และพยายามศึกษาทุกสายให้แตกฉานเข้าใจ จะได้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาต่อไป และจะได้รู้ว่าการเกิดเป็นเพศที่สามนั้น ถือเป็นเรื่องปกติธรรมชาติของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ไม่ใช่เรื่องที่ผิดและสามารถปฏิบัติธรรมจนกระทั่งบรรลุธรรมได้เช่นกัน


    และแล้วในคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ฝันเห็นพระภิกษุองค์หนึ่ง ยิ้มแย้มให้กับข้าพเจ้า ใบหน้าและยิ้มของท่านนั้นมีความสวยสดงดงามและผ่องใสสว่างเป็นอันมาก เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นก็ได้รับทราบข่าวที่เกี่ยวข้องกับพระภิกษุสงฆ์องค์นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจมากและสงสัยว่าทำไมตนเองจึงฝันถึงท่าน เพราะส่วนตัวไม่ได้มีความนับถือใดๆเลย และยังเข้าใจท่านผิดว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งภายหลังจึงมารู้ว่าคำพูดของท่านถ้าหากฟังให้ดีๆด้วยอุเบกขารมณ์จะรู้ว่า ท่านไม่ได้พูดเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทางการเมืองเลย เพียงแต่ถูกหยิบเอามาใช้สร้างความชอบธรรมทางการเมืองเท่านั้น แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เพราะท่านเองนั้นได้ถูกคนในประเทศที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใช้วาจานินทาว่าร้ายและด่าท่านสารพัดด้วยคำหยาบไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นกรรมหนักของบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกส่วน เพราะทำให้คนหมู่มากสร้างวจีกรรมต่อพระสุปฏิปันโนโดยไม่รู้ตัว


    ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนึกแปลกใจอยู่นั้น ก็ปรากฎภาพท่านขึ้นมา และกล่าวกับข้าพเจ้าว่า "ท่านขออนุโมทนากับสิ่งที่(ต่อไปเธอ)จะทำด้วยนะ แต่ท่านไม่อยู่ช่วยนะ เพราะท่านจะไป(นิพพาน)แล้ว" ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจเป็นอันมากที่ท่านกลับรู้ความตั้งใจลึกๆของข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าได้ไปอ่านสภาวะพระนิพพานที่ท่านได้ชี้แจงเอาไว้ ปรากฎว่าตรงกับสิ่งที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้บอกไว้ และตรงกับสิ่งที่พระท่านมาบอกข้าพเจ้าไว้ว่าพระนิพพานไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตา เพียงแต่ภาษาคำพูดที่ใช้จะแตกต่างกันเท่านั้นเอง ดังนั้นส่วนตัวข้าพเจ้าแล้ว ถ้าหากใครรู้ตัวว่าได้เคยปรามาสท่านไว้ ขอให้รีบขอขมาพระรัตนตรัย จะเป็นตามแบบฉบับของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงหรือวัดใดก็ได้ที่ท่านนับถือ และหากมีบุคคลใดเอาท่านมาใช้ในทางการเมือง หรือต่อว่าท่านอีก ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านรู้ว่าบางอย่างท่านก็ไม่ทราบ ได้แต่รับฟังข้อมูลข่าวสารมาและพูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น แต่จิตใจท่านไม่่ได้เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือเต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะเลย ทุกอย่างเป็นแต่เพียงกิริยาว่ากันไปตามเนื้อผ้าตามเหตุตามผลเท่านั้นเอง *โดยส่วนตัว ท่านถือเป็นพระสุปฏิปันโนที่มีคุณต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์ ในยามที่ประเทศชาติมีปัญหา ก็เป็นท่านนี่แหละที่มาช่วยค้ำและพยุงประเทศชาติเอาไว้ ท่ามกลางความยากลำบากของคนไทยนับไม่ถ้วนในขณะนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2016
  15. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    วาระกรรมที่พระท่านได้พยากรณ์ไว้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งตรงกับที่อ.ไก่คนเมืองบัวเคยใช้มโนมยิทธิถามพระท่านว่าการบำเพ็ญบารมีในฐานะพระโพธิสัตว์นั้นเหลืออีกกี่ชาติ ซึ่งท่านก็ได้ให้คำตอบมาว่า ๕๖ ชาติ โดยในขณะนั้นมีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาว่า ๕๖ ชาติ(บ้านเมือง) แต่ข้าพเจ้าไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งวาระกรรมที่ว่านั้นเข้ามาจริงๆ


    หากถามว่าวาระกรรมเข้ามาส่งผลกับข้าพเจ้าเมื่อไหร่ เมื่อมองย้อนกลับไปดูก็พบว่า จริงๆส่งผลมาตั้งแต่ปลายปีพ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว แต่ยังไม่มีผลรุนแรงมากนัก เป็นในลักษณะค่อยๆคืบคลานเข้ามา และทักถอสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งข้าพเจ้าย้ายที่ทำงานไปยังบริษัทหนึ่งในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จึงได้เริ่มถูกไสยศาสตร์ดังกล่าวเล่นงาน และพบว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดคุยในโทรศัพท์กับบุคคลอื่นๆถูกดักฟัง การถูกไสยศาสตร์ที่ว่านี้ เป็นไปในลักษณะของการควบคุมบังคับจิตใจ ความคิด และการกระทำทุกอย่าง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนข้าพเจ้าไม่สามารถทำงานได้ และถูกพิจารณาให้ไม่ผ่านการทดลองงาน และต้องออกจากงานทั้งๆที่ยังไม่มีงานทำ


    ในขณะที่ต้องเผชิญกับวาระกรรมที่ว่านี้ ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระท่านได้เคยบอกไว้เป็นเรื่องจริง แต่เนื่องจากในขณะนั้นเป็นช่วงที่วิบากกรรมส่งผล ข้าพเจ้าจึงนึกออกแต่เพียงว่าข้าพเจ้าจะต้องเผชิญกับวาระกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลกธรรม ๘ ตัวนินทาว่าร้ายอย่างหนักแต่เพียงเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าพบความผิดปกติของตนเองในระหว่างทำงาน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต เพราะไม่สามารถควบคุมความคิดและจิตใจของตนเองได้ มีแต่ความคิดที่หมุนวนอยู่ในหัวจนนั่งเหม่อลอยแบบไม่รู้สึกตัวอยู่บ่อยครั้ง และหนักขึ้นๆทุกวัน และเวลาทีมีวัตถุสองสิ่งกระแทกกัน ข้าพเจ้าจะรู้สึกตกใจไปเองทุกครั้ง จนเหมือนเป็นคนที่หวาดผวาไปเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าไสยศาสตร์หรือศาสตร์ลึกลับเหล่านี้มีอยู่จริง ข้าพเจ้าจึงพยายามนำผ้ายันต์พิชัยสงครามของหลวงพ่อพระราชพรหมยานมาห้อยพร้อมกับอาราธนาทุกวัน แต่นั่นก็เป็นกฎของกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น ข้าพเจ้าจึงต้องทนอยู่กับสภาพทุกข์ทรมานเช่นนั้นจนกระทั่งต้องออกจากงาน


    หากถามว่าข้าพเจ้าเองเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์หรือไม่ บอกตรงๆว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อ และก็ไม่คิดด้วยว่าสิ่งที่พระท่านบอกมาตลอดจะเป็นเรื่องจริง เพราะนอกจากท่านจะมาบอกทีเล่นทีจริง และพยากรณ์อนาคตในเรื่องดังกล่าวถึง ๒ หนแล้ว ท่าน(ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นท่านไหน)ก็เคยมาบอกข้าพเจ้าครั้งหนึ่งในทำนองว่าต่อไปข้าพเจ้าจะต้องประสบพบกับเรื่องเหล่านี้ แต่จนแล้วจนรอด ข้าพเจ้าก็มองเรื่องไสยศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง และคนที่โดนไสยศาสตร์น่าจะเป็นคนที่มีปัญหาทางจิตมากกว่า


    จนกระทั่งได้มาพบเจอกับเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง ข้าพเจ้าถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และได้ตัดสินใจรอการเป่ายันต์เกราะเพชรที่จะเกิดขึ้นในปีนั้น เพื่อเป็นการช่วยตัดเคราะห์กรรม และก็เป็นวาระกรรมที่เข้ามาขัดขวางข้าพเจ้า เนื่องจากวันเสาร์ที่มีการเป่ายันต์เกราะเพชรนั้นข้าพเจ้าต้องทำงาน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งใจว่าหากถึงเวลาเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อไหร่ จะทำทีออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอก และตั้งใจนั่งรับยันต์เกราะเพชรในห้องน้ำนั่นแหละ ผลอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้คือ ในขณะที่ข้าพเจ้าตั้งจิตนึกถึงพระ(เท่าที่จะทำได้)และตั้งใจรับยันต์เกราะเพชรตั้งแต่เริ่มลุกจากเก้าอี้ไปห้องน้ำนั้น มีกระแสร้อนบางๆเข้ามายังตัวข้าพเจ้า ซึ่งก็คือยันต์เกราะเพชรที่พระท่านสงเคราะห์เข้ามานั่นเอง ข้าพเจ้านั่งรับยันต์เกราะเพชรอยู่ในห้องน้ำประมาณ ๑๐ นาที ก็ต้องออกมา ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจว่าตนเองได้รับยันต์เกราะเพชรครบถ้วนแล้วหรือยัง ทันใดนั้นก็มีเสียงปรากฎขึ้นมาพร้อมกับภาพพระภิกษุสงฆ์องค์หนึ่งว่า ให้มีความมั่นใจนะ เพราะจริงๆแล้ว ชั่วขณะจิตที่ข้าพเจ้านึกถึงพระและตั้งใจรับนั้น ยันต์เกราะเพชรก็ได้สงเคราะห์เข้ามาเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะไม่มีธูปหรือเทียนก็ไม่เป็นไร และสำหรับเรื่องไสยศาสตร์นั้น แม้ว่าจะรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ก็ยังต้องรับนะเนื่องจากเป็นวาระกรรมที่เข้ามา แต่ไม่ว่าจะโดนยังไง ก็ขอให้มั่นใจว่ายันต์เกราะเพชรอยู่กับตัวแน่นอน


    สำหรับสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงในขณะที่โดนไสยศาสตร์เล่นงานทางจิตนั้นก็คือ เรื่องของแม่พระธรณี เพราะในขณะที่ข้าพเจ้ารับวิบากกรรมอยู่นั้น อยู่ดีๆก็มีกระแสบางอย่างแทรกซ้อนขึ้นมาในจิต(กระแสของพระ พรหมและเทวดา สามารถแทรกซ้อนเข้ามาในกระแสของไสยศาสตร์ได้) และบอกแก่ข้าพเจ้าว่าแม่พระธรณีท่านจะเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้าจากวิบากกรรมในครั้งนี้ และก็ปรากฎภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปางมารวิชัยทรงกระทำสัจจะอธิษฐานถึงบุญบารมีที่สั่งสมมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติ และมีแม่พระธรณีปรากฎกายขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะขอสงวนไว้เพื่อบอกเล่าในโอกาสต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2016
  16. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    หลังจากที่ข้าพเจ้าตกงาน ก็ได้พยายามสมัครงานตามที่ต่างๆ ซึ่งข้าพเจ้ามาค้นพบว่าวิบากกรรมดังกล่าวยังไม่หมดไป และตามเล่นงานข้าพเจ้าเป็นระยะๆแม้ในตอนที่สัมภาษณ์งานก็ตาม ทำให้ข้าพเจ้ามีอาการประหลาดๆเหมือนคนมีอาการทางจิต ทั้งๆที่บางทีก็รับรู้หมดทุกอย่าง แต่ควบคุมตนเองไม่ได้ และก็เริ่มสังหรณ์ใจว่าสิ่งที่พระภิกษุองค์หนึ่งท่านมาบอกในขณะที่ทำงานอยู่ที่บริษัทก่อนหน้านั้นจะเป็นเรื่องจริง คือ ทุกอย่างทำเป็นขบวนการ และมีเบื้องหลังมากกว่านั้น


    ในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน ปีพ.ศ. ๒๕๕๖ นั้น การกลั่นแกล้งทุกอย่างเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย ทำให้ข้าพเจ้าไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานจากบริษัทใดๆเลย และถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ไปทำบุญยังวัดๆหนึ่ง และได้พบกับพระภิกษุองค์หนึ่งกำลังนั่งพูดคุยกับญาติโยมอยู่ สิ่งที่ท่านพูดออกมาในขณะนั้น เหมือนท่านจะบอกแก่ข้าพเจ้าเป็นนัยๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง และเมื่อข้าพเจ้าได้ประสบกับเหตุการณ์บางอย่างในปีพ.ศ. ๒๕๕๘ ข้าพเจ้าก็ทราบข่าวว่าวันนั้นเป็นวันเดียวกับที่ท่านมรณภาพลง และเพิ่งทราบว่าท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และน่าจะเป็นชาติที่ท่านบำเพ็ญสัจจบารมีด้วย


    ในช่วงเดือนกันยายน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นั้น เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าเริ่มจะรู้แล้วว่าบางสิ่งบางอย่างที่พระท่านบอกไว้ ว่าสักวันหนึ่งข้าพเจ้าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นเป็นความจริง ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมาเจอกับวิบากกรรมที่ว่านี้ ทำให้ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และเรื่องที่เกี่ยวข้องนี้ ก็เป็นความชั่วของกลุ่มบุคคลที่จะทำลายประเทศชาติลง ด้วยการสร้างกระแสข่าวต่างๆทางการเมือง เพื่อให้ประเทศเกิดความปั่นป่วนแตกแยก ในขณะที่ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บปวดใจที่ตนเองจะต้องตกมาเป็นเครื่องมือทำร้ายส่วนรวมประเทศชาติของตนเองนั้น ก็ปรากฎเสียงๆหนึ่งกล่าวกับข้าพเจ้าว่า ในตอนนี้บุคคลที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ และขายชาตินั้น มีอยู่ทั้งสองฝั่งของการเมือง และยากที่จะแยกแยะออกว่าใครดีใครเลว ดังนั้นข้าพเจ้าจะต้องวางตัวเป็นกลาง และถ้าหากทำได้ ก็จะต้องแยกประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ออกมาเพื่อลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด


    จนกระทั่งวันหนึ่งในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นั้นเอง ข้าพเจ้าออกมาสัมภาษณ์งานตามปกติ แต่ในวันนั้น ข้าพเจ้ากลับถูกไสยศาสตร์เล่นงานอย่างหนัก จนกระทั่งมีสภาพเหมือนคนวิกลจริตเดินอยู่บนท้องถนน ข้าพเจ้ารู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป และต้องการที่จะทำอะไรสักอย่างในเรื่องนี้ ทันใดนั้นเองก็ปรากฎบุคคลคนหนึ่งเข้ามาในนิมิต บุคคลท่านนี้คือหนึ่งในบุคคลที่ได้ขึ้นไปประชุมข้างบนด้วย ก่อนที่ข้าพเจ้าจะแยกตัวออกมาพร้อมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านได้เข้ามากล่าวกับข้าพเจ้าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ข้าพเจ้าควบคุมตนเองได้ไหม? ข้าพเจ้าตอบว่าไม่ได้ ท่านนั้นจึงได้กล่าวต่อไปอีกว่า ถ้าไม่ได้ ฉะนั้นกรรมอกุศลที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวมที่ข้าพเจ้ากังวลว่าจะต้องรับไปด้วยนั้น ก็ไม่วิตกกังวลไป เพราะถือว่าข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ และท่านก็ได้บอกให้ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า "ข้าพระพุทธเจ้า ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ตลอดจนพรหมและเทวดาทั้งหลาย รวมทั้งบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติ และจิตใจของข้าพเจ้าที่มีแต่จะทำเพื่อส่วนรวม ขอให้สิ่งต่างๆที่บุคคลทั้งหลายคิดจะทำลายประเทศชาติจงทำไม่สำเร็จ ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ให้พังพับไปหมดทุกอย่าง" จากนั้นท่านก็ได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า จริงๆแล้วสิ่งที่ข้าพเจ้าทำนั้นช่วยได้มากอยู่ก็จริง แต่ถ้าเทียบกับกรรมส่วนรวมแล้วถือว่าน้อยมาก ดังนั้นจริงๆแล้วถ้าหากว่าได้บุญบารมีของบุคคลทั้งหมดรวมกันจะช่วยได้ผลดีที่สุด ข้าพเจ้าจึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่บุคคลในประเทศไทยนั้น คนที่จะรู้วิธีอธิษฐานเช่นนี้มีน้อยมาก เพราะตัวข้าพเจ้าเองก็เพิ่งจะรู้เช่นกัน เมื่อข้าพเจ้าคิดดังนั้น ท่านจึงได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่า ไม่เป็นไร เพราะบุคคลทั้งหลายในประเทศไทยที่ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนานั้นมีอยู่มาก ยังพอที่จะนำมารวมเพื่อช่วยพยุงประเทศชาติในขณะนั้นได้อยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2016
  17. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา


    หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆลดลง เนื่องจากตกสัมภาษณ์งานทุกที่ แต่ไสยศาสตร์กลับเล่นงานข้าพเจ้าในขณะที่อยู่ที่บ้านแทน และในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้ไปทำงานเป็นพนักงานขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๖ หากถามว่าข้าพเจ้าคิดหรือไม่ว่า ทำไมตนเองซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ สาขาการทูต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงต้องมาทำงานเช่นนี้ ก็ต้องตอบว่า ข้าพเจ้าคิดและรู้สึกสะเทือนใจอย่างมากเหมือนกัน แต่อยู่ดีๆก็มีความคิดหนึ่งโผล่เข้ามาว่า ให้ข้าพเจ้าคิดดูดีๆว่าที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนี้เป็นเพราะอะไร ข้าพเจ้าพบว่า เป็นเพราะข้าพเจ้ามองว่าคนที่จบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างข้าพเจ้านั้น ต้องได้ทำงานที่ดีกว่างานเช่นนี้ ซึ่งจริงๆมันก็คือตัวมานะกิเลส ที่ทำให้ข้าพเจ้ามองว่างานลักษณะไหนสูงกว่า ต่ำกว่านั่นเอง เมื่อรู้ตัวอย่างนั้นก็เริ่มที่จะมองเห็นตัวปรุงแต่งของกิเลสที่ทำงานอยู่ และสามารถคลายจากความรู้สึกสะเทือนใจกับวาระกรรมที่ตนเองต้องเผชิญในขณะนั้นได้ชั่วคราว จากนั้น เสียงๆหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาบอกว่า ให้ข้าพเจ้ามองดูให้ดีๆว่างานนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้อีกแล้วสำหรับคนที่จบธรรมศาสตร์นะ เพราะจะมีเด็กธรรมศาสตร์กี่คนที่จะได้มานั่งทำงานในลักษณะนี้ มันเป็นความคิดที่แปลกและออกไปในทางปลุกเร้าให้ข้าพเจ้าเห็นประสบการณ์ที่น่าสนใจในงานนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งที่สุดแล้วข้าพเจ้าพบว่าบางครั้งแม้จะต้องเผชิญกับวิบากกรรม แต่มันก็ทำให้ข้าพเจ้าได้สัมผัสกับการทำงานและวิถีชีวิตของผู้คนที่ทำงานในลักษณะนี้


    ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งในเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๗ ในตำแหน่งงานชั่วคราว ๔ เดือน ข้าพเจ้าคิดว่าวาระกรรมและความวุ่นวายต่างๆน่าจะบรรเทาเบาบางลงเรื่อยๆแล้ว เลยพยายามไม่คิดอะไรมากและตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากข้าพเจ้าถูกไสยศาสตร์เล่นงานตลอดในระหว่างที่ทำงานในบริษัทแห่งนี้ จนกระทั่งมาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าถูกไสยศาสตร์ที่ว่าเล่นงานจนรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจจนถึงที่สุด และด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นมาในระยะนั้นว่า ถ้าหากข้าพเจ้าเกิดเสียชีวิตลง ณ ขณะนั้น ข้าพเจ้าคงจะต้องตกนรกเป็นแน่แท้ เนื่องจากเข้าใจว่าจิตใจของตนเองเศร้าหมอง และความลับทุกอย่างที่ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ในชีวิตว่า จะนำเอาเรื่องราวทั้งหมดนี้มาบอกกล่าวแก่ผู้คน เพื่อให้รู้จักการบำเพ็ญทาน ศีล และภาวนา และรู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง จะต้องตายไปพร้อมกับข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเริ่มตั้งกระทู้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด


    เมื่อข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องราวในหัวข้อ "มโนมยิทธิเต็มกำลังและครึ่งกำลัง-พุทธญาณในอนาคตังสญาณ" เสร็จเรียบร้อย ในวันที่ข้าพเจ้ามานั่งทำงานในวันรุ่งขึ้น ท่านที่เคยขึ้นไปประชุมด้วยกันเมื่อคราวมีพุทธพยากรณ์เหตุการณ์ที่ประเทศพม่าและจีนนั้น ก็ได้ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ขอให้ข้าพเจ้าอดทนนะ เพราะว่าข้าพเจ้าจะถูกเล่นงานหนักขึ้น ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าข้าพเจ้ารับไม่ได้ที่จะต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก และเข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้านั้นอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด การที่ข้าพเจ้าบอกเล่าเรื่องราวออกไป จะทำให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้นและหมดปัญหาไปได้นั่นเอง


    และแล้วข้าพเจ้าก็ถูกเล่นงานหนักขึ้นจริงๆ และสุดท้ายก็ต้องออกจากงานทั้งๆที่ยังไม่ถึงระยะเวลาจ้าง ๔ เดือนเลย(ทำงานได้เพียง ๓ เดือนเท่านั้น) ในที่สุดข้าพเจ้าก็กลับมาอยู่ที่บ้านตามเดิม และก็โดนเล่นงานเป็นระยะๆตามแต่อารมณ์ของผู้ทำไสยศาสตร์(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร และต้องการอะไร) ข้าพเจ้าพยายามถ่ายทอดประสบการณ์ทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก็พบว่าสำนวนการเขียนบางอย่างไม่ใช่ข้าพเจ้าเป็นคนคิดแน่นอน ข้าพเจ้าเก็บความแปลกใจนี้ไว้ในใจอย่างเงียบๆ และก็พยายามทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ด้วยหวังว่ากุศลจากการตั้งใจทำความดีในครั้งนี้จะช่วยบรรเทากฎแห่งกรรมที่เข้ามายังข้าพเจ้าไปได้บ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2016
  18. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ในตอนที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระรามเจ้าโพธิสัตว์นั้น ในช่วงแรก ข้าพเจ้าเกิดความลังเลว่าจะเขียนดีหรือไม่ เนื่องจากการศึกษาทางสังคมศาสตร์สมัยใหม่จะตีความเรื่องราวเหล่านี้ไปในทำนองของการกลืนศาสนาซะมากกว่า ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเขียนไป อาจจะถูกมองว่าพยายามนำพระพุทธศาสนาไปกลืนกับความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ แต่ถ้าพูดกันในเรื่องทางจิตศาสตร์แล้ว ข้าพเจ้ารู้ดีว่าสิ่งที่ตนเองรู้มานั้น ไม่ได้มาจากการอ่านหนังของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงมาก่อน แต่เกิดจากการไปรู้ไปเห็นก่อนที่จะได้มาพบกับหนังสือที่เป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ในขณะที่ข้าพเจ้าลังเลอยู่นั้น ก็ปรากฎเสียงขึ้นมาในความคิดว่า ให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเอาเองว่า จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อไป เพราะเหตุที่วิตกกังวลในเรื่องข้อครหาการกลืนศาสนาความเชื่อ หรือจะบอกเล่าเรื่องราวเพื่อยืนยันสิ่งที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้พูดเอาไว้ ซึ่งสิ่งนี้อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของข้าพเจ้าที่จะได้ทำ


    ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระรามเจ้าโพธิสัตว์ออกมา และเมื่อข้าพเจ้าคิดจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูในฐานะที่เป็นพระโพธิสัตว์เช่นกัน กลับมีเสียงปรากฎขึ้นคัดค้านข้าพเจ้าว่า เรื่องราวนี้ไม่สามารถเขียนได้ เนื่องจากจะมีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องความเชื่อ ข้าพเจ้ารู้สึกข้องใจเป็นอย่างยิ่งที่เหตุใดเรื่องของพระรามหรือพระนารายณ์สามารถเขียนได้ แต่เหตุใดเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูนั้นไม่สามารถเขียนได้ ทั้งๆที่ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อและศาสนาเหมือนๆกัน ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงบอกกับข้าพเจ้าว่า แม้ว่าทั้งสองเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อก็จริง แต่ถึงอย่างไรศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ก็มีความใกล้ชิดกันอยู่ หากเขียนออกไป จะเป็นที่รับได้มากกว่าการเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้แต่เก็บเรื่องราวส่วนนี้ไว้ไม่ถ่ายทอดออกไป


    หากถามว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ตามที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานกล่าวไว้ ก็ต้องตอบว่าทั้งหมดนี้มาจากประสบการณ์ของข้าพเจ้าเองในสมัยเมื่อยังเด็ก ข้าพเจ้าเรียนหนังสือในโรงเรียนคาทอลิกแห่งหนึ่ง ซึ่งทุกๆวันก็จะมีการสวดมนต์ทางคริสต์ศาสนาตลอดทั้งเช้าและ่กลางวัน เวลาที่ข้าพเจ้าเดินผ่านหน้ารูปปั้นพระเยซูและพระนางมารี ข้าพเจ้าจะยกมือไหว้ด้วยความเคารพเสมอๆ และก็มองหน้าท่านด้วยความนับถือ จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่ข้าพเจ้าเดินผ่านท่านพร้อมกับยกมือไหว้แล้วนั้น ข้าพเจ้าได้ยืนมองหน้าพระเยซู แล้วทันใดนั้นจิตของข้าพเจ้าก็เกิดปีติขนลุกชูชันขึ้นมาทั่วทั้งกาย และเกิดกระแสบางอย่างเข้ามาในจิตซึ่งแปลความหมายได้ว่า หากเทียบกับพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านเหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก็จะเท่ากับพระพุทธเจ้าแล้ว ในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่สัมผัสได้นั้นคืออะไร เนื่องจากยังเด็กอยู่ จนกระทั่งเมื่อมาพบกับคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยานแล้ว จึงได้รู้ว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์อยู่และมีบารมีสูงมาก เนื่องจากอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต


    สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับฮิตเลอร์นั่น ข้าพเจ้ายอมรับว่ายิ่งไม่กล้าที่จะเขียนเข้าไปใหญ่ เนื่องจากในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น ฮิตเลอร์คืออาชญากรสงครามที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว แต่การที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านบอกเล่าเรื่องราวเอาไว้นั้น แม้ว่าฮิตเลอร์จะทำกรรมหนักจนกระทั่งต้องตกนรกอเวจีไปช่วงหนึ่ง แต่ก็ทำไปเพราะตั้งใจปกป้องประชาชนชาวเยอรมันของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับคนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ที่จะต้องทำเพื่อส่วนรวมเสมอแม้ว่าตนเองจะต้องรับกรรมหนักแค่ไหนก็ตาม และสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะเขียนนั้นก็คือ เมื่อสมัยที่ข้าพเจ้ายังเด็ก คุณพ่อเคยให้หนังสือประวัติบุคคลสำคัญของโลกมาให้อ่าน ซึ่งประวัติบุคคลสำคัญของโลกทุกคนที่ข้าพเจ้าอ่าน ไม่มีคนไหนที่ข้าพเจ้าจะร้องไห้ให้เลยยกเว้นฮิตเลอร์ในตอนที่สิ้นชีวิตลง ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เคยเข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเสียใจขนาดนั้น จนกระทั่งมาพบกับสิ่งที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เคยกล่าวเอาไว้ จึงได้เข้าใจ ณ ตอนนั้นเองว่า ความเป็นพระโพธิสัตว์นั้น แม้จะรู้ว่าตัวเองต้องมาเกิดยังประเทศๆหนึ่ง เพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำ และจะต้องทำบาปอย่างมากมายเพื่อปกป้องประชาชนในประเทศตนเองไว้ และในที่สุดก็จะต้องตกนรกอเวจี แต่ก็ยังตัดสินใจลงมาเกิดเพื่อคนส่วนมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่จะต้องรับกรรมหนักถึงขนาดตกนรกอเวจี แต่ก็ได้รับผลบุญอันมหาศาลถึงขนาดจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก่อนจะบรรลุพระอรหันต์เข้าพระนิพพาน ก็เพราะเหตุที่จิตใจมีแต่ทำเพื่อสรรพสัตว์โดยไม่ได้ห่วงตนเองเลยแม้แต่น้อยนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2016
  19. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    วัตถุประสงค์หลักในหัวข้อต่างๆที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ จะเน้นในเรื่องประสบการณ์ญาณ ๘ ต่างๆที่ตนเองได้พิสูจน์มาแล้วทั้งหมด และต่อด้วยการไขข้อข้องใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบูชาพระพุทธรูป ที่ถือว่าเป็นกรรมฐานใหญ่คือพุทธานุสติ ซึ่งไปพบเจอคนเขียนไว้โดยบังเอิญ และก็บังเอิญที่ต้องหยิบยกมาอธิบายไว้ในกระทู้ นอกจากนี้ก็มีเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด พรหม และเทวดา ที่ศาสนศาสตร์สมัยใหม่วิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธศาสนาอนุโลมตามศาสนาพราหมณ์ ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่เนื่องจากจิตศาสตร์ในแบบพุทธศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ต้องศึกษาปฏิบัติด้วยตนเอง และผู้ปฏิบัติจะต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ สามารถทรงฌานสมาบัติได้พอสมควร และจะต้องเคยได้ทิพจักขุญาณมาก่อนในอดีตชาติ จึงเป็นการยากอยู่พอสมควรที่จะพิสูจน์ให้บุคคลต่างๆรับรู้ได้อย่างง่ายๆ ดังนั้นที่ข้าพเจ้าหวังจริงๆจากการเขียนกระทู้คือ เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมาให้ผู้อื่นได้รับทราบ และเป็นการเชิญชวนให้ใช้สติปัญญาในการอ่านโดยไม่เชื่อหรือปฏิเสธ และเข้ามาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติด้วยตนเองนั่นเอง


    จากนั้นข้าพเจ้าก็เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระไตรปิฏก ซึ่งกำลังเป็นปัญหามากว่าหลักคำสอนต่างๆนั้นได้รับการถ่ายทอดมาอย่างถูกต้องและตรงหรือไม่ ใจจริงแล้วข้าพเจ้าอยากจะเขียนว่า ถ้าหากอยากจะรู้ว่าเนื้อหานั้นๆตรงหรือไม่ตรงแล้วล่ะก็ จะต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมะนั้นๆในพระไตรปิฏกให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถวินิจฉัยลงไปได้ แต่ในขณะนั้น ข้าพเจ้ากลับเลือกที่จะอธิบายโดยการหยิบเอาหลักภาษาศาสตร์มาประกอบมากกว่า เพราะดูแล้วน่าจะเหมาะกับบุคคลทั่วไปที่ยังไม่เคยปฏิบัติในพุทธศาสตร์ แต่เคยชินกับการอธิบายด้วยหลักเหตุหลักผลจากศาสตร์สมัยใหม่ต่างๆมากกว่า ซึ่งถ้าหากจะให้สรุปแล้วก็คือ ตามหลักภาษาศาสตร์นั้น ภาษาที่มนุษย์เราใช้ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรก็ตาม จะมีอุปสรรคอย่างหนึ่งในการสื่อสารถ่ายทอดเสมอๆ เพราะส่วนที่เป็นนามธรรมอย่างรสชาด อารมณ์และความรู้สึก ยากที่จะถ่ายทอดออกมาให้ผู้รับสารได้รับรู้และเข้าใจทั้งหมด เฉกเช่นเดียวกับธรรมะของพระพุทธองค์ ที่มีสภาพเป็นนามธรรมเช่นเดียวกัน หากจะเปรียบเทียบแล้วก็เหมือนกับว่า เราจะอธิบายอย่างไรให้คนๆหนึ่งที่ไม่เคยกินข้าวเลยให้ได้รับรู้ว่ารสชาดของข้าวนั้นเป็นเช่นไร เช่นเดียวกันกับการที่เราจะอธิบายว่า ฌานสมาบัติเป็นเช่นไร นิพพานเป็นเช่นไร ให้กับคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมเลย เป็นต้น


    สำหรับหัวข้อสภาวะของพระนิพพานนั้น มาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่พระท่านมาอธิบายให้ฟังในขณะที่ยังเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยอยู่ และเหตุที่ทำให้ตัดสินใจเขียนนั้น เป็นเพราะข้าพเจ้าไปพบคำอธิบายเกี่ยวกับพระนิพพานในพระไตรปิฏก ที่ตรงกับสิ่งที่พระท่านพูด และบอกข้าพเจ้าไว้ว่าถ้าอยากจะหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ ทุกอย่างจะมีอยู่ในพระไตรปิฏก


    สำหรับหลักการและแนวทางในการเขียนนั้น จริงๆแล้วมีเสียงๆหนึ่งเข้ามาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ถ้าหากว่ามีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขอให้ยึดหลักเป็นกลาง และพยายามดึงให้ผู้อื่นหลุดพ้นจากวาทกรรมทางการเมืองต่างๆให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ เนื่องจากตอนนี้มีทั้งคนที่หวังดีและคิดทำลายประเทศชาติอยู่ปะปนกันไปหมดทั้ง ๒ ฝ่าย ดังนั้นถ้าหากว่าประชาชนยังถูกปั่นให้แตกแยกกันอยู่อย่างนี้ โอกาสที่จะสูญเสียและบอบช้ำ ถึงขั้นล่มสลายนั้นมีสูงมาก และทางที่ดีให้พยายามสื่อสารให้คนอื่นๆเข้าใจว่า เราไม่รู้หรอกว่าใครดีใครเลว ใครกำลังเล่นละครอะไรกันอยู่ จะดีกว่าไหมถ้าหากว่าเรามาทำความดีกันด้วยทาน ศีล และภาวนา เพื่อลดเจ้ากรรมนายเวรของแต่ละคน และเพิ่มพูนบุญบารมีของตนเอง จากนั้นค่อยเสริมบารมีของแต่ละคนโดยการอธิษฐานเพื่อส่วนรวม ให้คนไม่ดีทำอะไรก็ไม่สำเร็จ และให้คนที่หวังดีทำเพื่อส่วนรวมจริงๆ ทำอะไรก็ให้ลุลวงไปได้ด้วยดี


    สำหรับในเรื่องของธรรมะนั้น ให้อธิบายทุกอย่างอย่างง่ายๆ เหมาะสำหรับคนที่จะเริ่มปฏิบัติให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญอย่างยิ่ง ให้ตัดกรรมหนักที่ทำได้ง่ายและทำได้อย่างไม่รู้เช่นกรรมติดหนี้สงฆ์เสีย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของคนส่วนรวมดีขึ้น เนื่องจากแม้จะทำบุญสังฆทานแค่ไหนก็ตาม ผลบุญจากสังฆทานที่จะทำให้ไม่ถึงกับยากจนขัดสนนั้น ก็จะถูกกรรมที่ติดหนี้สงฆ์ขัดขวางไปเสียทั้งสิ้น ซึ่งตรงนี้แหละที่ข้าพเจ้ายอมรับว่า ตอนที่จะเริ่มตั้งกระทู้"วิธีป้องกันการตกนรกอย่างง่ายๆ"นั้น ขณะที่กำลังหาข้อมูลที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงได้เคยสั่งสอนเอาไว้ อยู่ดีๆก็มีกระแสเข้ามาให้นำเรื่องจิตสุดท้ายก่อนตายมาขึ้นหน้าก่อน แล้วค่อยพูดถึงการชำระหนี้สงฆ์ตามหลัง ซึ่งพอข้าพเจ้าดูแล้ว ยอมรับว่าเหมาะเจาะที่จะนำมาร้อยเรียงต่อกันเป็นอย่างยิ่ง และในตอนหลังเอง ข้าพเจ้าก็เพิ่งจะรู้ว่านี่เป็นงานของท่านลุงพระยายมราชที่ให้ข้าพเจ้าทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2016
  20. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ราวปลายเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๗ ข้าพเจ้าได้ไปทำงานรายวันที่บริษัทแห่งหนึ่ง เป็นงานเกี่ยวกับการเช็คข้อมูลลูกค้าที่มาสมัครใช้บริการ ข้าพเจ้าพยายามทำงานด้วยความตั้งใจตามปกติ หลังจากที่ข้าพเจ้าทำงานไปได้ประมาณ ๒-๓ วัน ในช่วงบ่ายของวันที่สาม ก็เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น คือ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูดคุยโทรศัพท์กับลูกค้าอยู่นั้น ก็ถูกไสยศาสตร์เล่นงานทางจิตแบบเดิมอีกครั้ง ทำให้จิตใจของข้าพเจ้ารู้สึกปวดร้าวอย่างมาก และน้ำตาไหลออกมาอย่างที่ควบคุมตนเองไม่ได้ ในขณะที่ลูกค้าพยายามส่งเสียงมาทางโทรศัพท์ ข้าพเจ้ากลับไม่สามารถที่จะตอบกลับลูกค้าไปได้เลย จนข้าพเจ้าต้องตัดสายโทรศัพท์ไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องมาเจอสภาพแบบนี้ต่อหน้าพนักงานคนอื่นๆในบริษัทนับสิบๆชีวิต ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์เช่นนั้น เพราะไม่สามารถที่จะก้าวขาเดินออกไปได้ จึงได้แต่นั่งก้มหน้าน้ำตาไหลพร้อมๆกับอาการปวดร้าวที่จิตใจเพื่อหลบสายตาคนทั้งหมดในที่นั้น


    ในขณะที่ข้าพเจ้าก้มหน้าร้องไห้อยู่นั่นเอง อาการหายใจติดขัดก็เกิดขึ้นเนื่องจากคัดจมูกจนไม่สามารถจะหายใจได้ และในขณะนั้นเอง ข้าพเจ้าก็รู้สึกปวดร้าวจิตใจอย่างถึงที่สุดจนรู้สึกรังเกียจและอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆในตอนนั้นเลย จึงปล่อยให้ร่างกายมันหายใจไม่ออกอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจมันอีก คิดว่าถ้ามันจะตายก็ปล่อยให้มันตายตรงนั้นไปเลย และในขณะนั้นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าร่างกายนี่มันช่างน่ารังเกียจและเต็มไปด้วยความทุกข์เสียจริงๆ และเป็นเพราะร่างกายนี้เอง ที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องมาพบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัสนับเป็นสิบๆครั้งเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไม่ขอเกิดอีกแล้ว และเตรียมตัวตายด้วยการยกจิตขึ้นไปหมอบกราบและกอดอยู่แทบพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากนั้นไม่นาน อาการหายใจติดขัดของข้าพเจ้าก็หายไปเฉยๆ อาการที่บีบคั้นทางจิตใจก็ผ่อนคลายลง และมีอารมณ์จิตที่เบาขึ้นอย่างประหลาด เป็นการเบาที่ไม่ติดอยู่ในร่างกาย อาการปรุงแต่งต่างๆก็หายไป และเห็นสภาวะทางจิตทุกอย่างที่ประกอบด้วยขันธ์ ๕ อย่างชัดเจนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ในขณะนั้นเอง ข้าพเจ้าจึงได้เห็นด้วยใจแล้วว่า ขันธ์ ๕ ที่มีอยู่ในตัวของคนทุกคนนั้น นำมาซึ่งความทุกข์อย่างมากมายมหาศาลอย่างไร การปรุงแต่งต่างๆที่เกิดขึ้น มันเป็นตัวที่นำมาซึ่งความทุกข์อย่างยิ่งทั้งสิ้น ทันใดนั้นเอง ก็มีภาพพระภิกษุองค์หนึ่งเกิดขึ้นและกล่าวว่า นี่คือสังขารุเปกขาญาณ อันเป็นอารมณ์พระอรหันต์นะ


    เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น อารมณ์จิตที่จะปรุงแต่งตัวมานะกิเลสว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์พระอรหันต์แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี มีแต่อารมณ์เบาไม่เกี่ยวข้องติดอยู่ในตัวขันธ์ ๕ การปรุงแต่งอยู่อย่างนั้น และในขณะนั้นจิตก็มีความว่องไวเท่าทันการปรุงแต่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในจิต แต่ไม่ได้เอาจิตเข้าไปเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าจึงพึ่งรู้ได้ ณ ตอนนั้นเองว่า เวลาที่จิตไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิเลสนั้นเป็นอย่างไร อาการที่ว่านี้เกิดขึ้นนานนับนาทีเลยทีเดียว ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นสุขมาก สุขและเบายิ่งกว่าฌานสมาบัติ หรืออารมณ์พระโสดาบันที่พระท่านมาสอนที่บ้านสายลมตอนฝึกพระกรรมฐานเสียอีก ในที่สุดข้าพเจ้าก็คลายจากอารมณ์นั้น ทั้งๆที่ใจจริงคิดว่าอยากจะอยู่ในสภาวะนั้นตลอดชีวิตจนกว่าจะตายเลย จนกระทั่งมีพนักงานบริษัทคนหนึ่งเข้ามาถามว่าข้าพเจ้าเป็นอะไร ข้าพเจ้ายอมรับว่าไม่รู้ว่าจะพูดหรืออธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นยังไงดี และก็ได้ตัดสินใจกลับบ้านไปโดยที่ไม่ได้ไปทำงานอีกเลย


    และเมื่อข้าพเจ้ากลับมาอยู่ที่บ้านอีกครั้ง ข้าพเจ้าก็ได้แต่ตั้งคำถามอยู่ในใจว่าอารมณ์นี้เป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณจริงหรือไม่ แต่ยอมรับว่าเมื่อเทียบกับอารมณ์อุเบกขาการวางเฉยที่เคยพบประสบมา มันช่างต่างกันอย่างลิบลับเสียเหลือเกิน และเมื่อข้าพเจ้าขาดงานเช่นนี้ ทางบริษัทจึงโทรเข้ามายังโทรศัพท์มือถือของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าก็ยอมรับว่าได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่กลับไปทำงานอีก จึงไม่รับสายโทรศัพท์ แต่ใจลึกๆก็หวังว่าทางฝ่ายบุคคลจะจ่ายเงินที่ข้าพเจ้าทำงานมาเป็นเวลา ๒ วันให้แก่ข้าพเจ้า ไม่นับรวมวันที่ ๓ ที่ข้าพเจ้ากลับบ้านก่อนเวลาเลิกงานประมาณ ๒-๓ ชั่วโมง ซึ่งสุดท้ายแล้วทางบริษัทก็ไม่ได้จ่ายเงินดังกล่าว ด้วยอาจจะเป็นเพราะว่าข้าพเจ้าไม่ไปทำงานโดยไม่มีเหตุผลกระมัง ข้าพเจ้าจึงปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยๆก็ได้อยู่ในอารมณ์จิตที่เป็นกุศลที่ดีขนาดนี้แล้ว ถือซะว่าค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการไปทำงาน ๒ วันนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนก็แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2016

แชร์หน้านี้

Loading...