ประสบการณ์มโนมยิทธิ และงานพระพุทธศาสนาของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย White Sage, 2 พฤศจิกายน 2015.

  1. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ราวๆกลางเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๗ ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังโดยสารรถเพื่อเดินทางกลับบ้านอยู่นั้น อยู่ดีๆท่านที่เคยขึ้นไปประชุมข้างบนด้วยกันก็มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ให้ทำบุญแล้วอุทิศถวายในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ด้วยนะ เหมือนอย่างที่พระท่านเคยมาสอนข้าพเจ้าไว้เมื่อตอนอายุ ๑๖-๑๗ นั่นแหละ เพราะว่าถึงเวลา(ที่บุญกุศลบางอย่างเข้ามาหนุนให้ได้ทำความดีนี้)แล้ว เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นจึงระลึกนึกถึงความหลังที่พระท่านมาสอนข้าพเจ้าในเรื่องดังกล่าวไว้ อารมณ์เดิมที่เคยต้องการช่วยเหลือส่วนรวมด้วยการอุทิศถวายพระราชกุศลให้ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ได้เข้ามาอีกครั้ง ข้าพเจ้าจึงได้ตั้งจิตถวายพระราชกุศลด้วยผลบุญที่ตนเองได้ทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติ รวมถึงที่ได้ทำงานพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ด้วยทันที และก็ตั้งใจว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่างน้อยๆจะถวายพระราชกุศลวันละ ๑ ครั้งไม่ให้ขาด เว้นเสียแต่ว่าวาระกรรมเข้ามาบีบบังคับใจให้ลืมก็คงจะต้องวางอุเบกขา


    และแล้ววาระกรรมที่จะต้องโดนไสยศาสตร์ดังกล่าวก็เข้ามาอีกครั้งในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ จากการต้องประสบกับวาระกรรมดังกล่าว บวกกับความเครียดของข้าพเจ้าที่ต้องตกงานมาเป็นระยะเวลานาน และความเครียดของมารดา ทำให้ข้าพเจ้าทะเลาะกับมารดาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ข้าพเจ้ารู้สึกเครียดและปวดร้าวในจิตใจจนปล่อยตัวเองให้นอนอยู่บนที่นอนเป็นเวลานาน และก็ไม่ได้ทานอาหารเลยในระยะเวลา ๒๔ ชั่วโมงหลังจากนั้น เมื่อวาระแห่งกรรมค่อยๆคลายตัวอีกครั้ง ข้าพเจ้าก็เริ่มพูดคุยกับมารดา และก็ทานอาหารอีกครั้ง จากนั้นก็เปิดเว็บไซต์ธรรมะต่างๆ เพื่อที่จะได้ผ่อนคลายจิตใจ และในวันนั้นเอง ก็เป็นเหตุบังเอิญที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เปิดอ่านเว็บไซต์วัดท่าขนุน และก็พบว่าหลวงพี่เล็กในสมัยเมื่อยังเป็นฆราวาสอยู่เคยตั้งใจรักษาศีล ๘ ถวายเป็นพระราชกุศลแก่ในหลวง ๓ วัน เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ ๕ ธันวา เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นดังนั้น อยู่ดีๆข้าพเจ้าก็เกิดความคิดขึ้นมาว่านี่ก็เป็นวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ ๕ ธันวา และตัวเราเองก็อดข้าวมาถึง ๑ วันเต็มๆ และก็รู้สึกเบาตัวเบาใจอย่างบอกไม่ถูก จะดีไหมถ้าหากว่าร่างกายเราพร้อมที่จะไม่กินข้าวเย็นแล้ว ก็ลองรักษาศีล ๘ ถวายในหลวงดู


    ดังนั้นวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ จึงเป็นวันแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจรักษาศีล ๘ ถวายในหลวง และในช่วงแรกที่ตั้งใจรักษาศีล ๘ ถวายท่านนี้ เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น ๑๘ วัน จากนั้นก็มีเหตุให้ต้องทานข้าวเย็นจึงได้เว้นการรักษาศีล ๘ ไปชั่วคราว หากถามข้าพเจ้าว่าคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ลึกๆแล้วข้าพเจ้ามองว่าอย่างน้อยๆ ถ้าเขาไม่ได้กลั่นแกล้งรังแกข้าพเจ้าในวันนั้น ข้าพเจ้าก็คงไม่คิดที่จะเริ่มรักษาศีล ๘ เป็นครั้งแรกในชีวิตอย่างนี้แน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2016
  2. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    หลังจากนั้น ก็มีเหตุให้ข้าพเจ้าต้องรักษาศีล ๘ อีกครั้ง อันเนื่องมาจากการที่ข้าพเจ้าไปอ่านเจอเนื้อหาว่า ในช่วงเวลาที่ลูกหลานหลวงพ่อพระราชพรหมยานกำลังลำบากอยู่นั้น บรรดาท่านปู่(พระอินทร์) ท่านย่า ท่านแม่(ศรี) ท่านปู่มหาชมภู ท่านปู่ผกาพรหม พระ พรหม และเทวดาทุกๆพระองค์นั้น ท่านเป็นผู้ที่ให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือลูกหลานมาโดยตลอด ไม่เคยทอดทิ้งลูกหลานไปเลย ข้าพเจ้าอ่านเรื่องราวเหล่านั้นด้วยน้ำตาที่ซึมเป็นระยะเมื่อนึกถึงตนเองที่กำลังลำบากอยู่ ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงปรากฎขึ้นมาว่า ให้ดูสิ ท่านก็ไม่เคยทอดทิ้งข้าพเจ้าเช่นกัน ข้าพเจ้ายอมรับว่าเพิ่งจะรู้เป็นครั้งแรกว่าทุกๆพระองค์นั้น คอยให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือข้าพเจ้ามาโดยตลอด ในยามที่ข้าพเจ้าไม่มีใครที่จะให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้าได้เลยแม้แต่คนเดียว แต่กลับมีแต่บรรดาทุกๆพระองค์ที่ท่านอยู่ข้างบนเท่านั้น ที่คอยช่วยเหลือข้าพเจ้า ความรู้สึกกตัญญูแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตมันได้ท่วมท้นขึ้นมาในใจของข้าพเจ้า ณ ขณะนั้น และได้ตัดสินใจว่า ไหนๆสภาพร่างกายก็ชินกับการไม่ทานมื้อเย็นแล้ว ข้าพเจ้าจะตั้งใจรักษาศีล ๘ และนั่งพระกรรมฐาน ๗ วัน เพื่อตอบแทนพระคุณของทุกๆพระองค์


    จากนั้นข้าพเจ้าก็ทยอยรักษาศีล ๘ และนั่งพระกรรมฐาน ๗ วัน วันละ ๑ ชั่วโมง โดยตั้งใจอุทิศถวายเจาะจงแต่ละพระองค์ๆไป ด้วยความตั้งใจว่า ข้าพเจ้าเองนั้นไม่รู้ว่าวาระกรรมของตนเองจะหมดลงเมื่อไหร่ แต่จะตั้งใจขอทำความดีเพื่อตอบแทนความดีของพระองค์ท่านตามประสาเด็กตัวเล็กๆอย่างข้าพเจ้า และจะไม่ขออะไรท่านเป็นการตอบแทน จากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มจากการรักษาศีล ๘ และนั่งพระกรรมฐานวันละ ๑ ชั่วโมง เป็นเวลา ๗ วัน อุทิศถวายแด่พระรัตนตรัยทั้งหมด โดยมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน จากนั้นรักษาศีล ๘ และนั่งพระกรรมฐาน อุทิศถวายแด่ท่านท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ยอมรับว่าวาระกรรมขณะนั้น แม้จะไม่อำนวยให้ข้าพเจ้านั่งพระกรรมฐานได้มากนัก แต่กลับมาเสียงๆหนึ่ง่เข้ามาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ไม่เป็นไรนะ ให้ตั้งใจทำให้ดีที่่สุด เท่านี้ก็ดีสำหรับพวกท่านแล้ว


    และก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับข้าพเจ้า ในวันที่ ๗ ของการรักษาศีล ๘ และเจริญพระกรรมฐานถวายแด่ท่านท้าวจาตุมหาราช เพราะในช่วงสุดท้ายของการเจริญพระกรรมฐานนั้น อยู่ดีๆก็ปรากฎเทวดา ๔ องค์ ยืนอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าในนิมิต พร้อมกับบอกข้าพเจ้าว่า ท่านคือท่านท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ นะ ข้าพเจ้ารู้สึกงุนงงเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง ท่านหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า อยากจะรู้ใช่ไหมว่าเวลาท่านยืนเรียงกัน ท่านยืนเรียงลำดับกันอย่างไร ข้าพเจ้ารู้สึกอึ้งเป็นอันมาก เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดในตอนที่กำลังฝึกพระกรรมฐานที่บ้านสายลมในเดือนที่ผ่านๆมานั่นเอง ข้าพเจ้าเริ่มไปฝึกพระกรรมฐานที่บ้านสายลมเมื่อราวๆเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ และมีอยู่เดือนหนึ่งในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังฝึกพระกรรมฐานอยู่นั้น เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนเองแทบจะไม่มีทิพจักขุญาณชัดเจนแจ่มใสเหมือนชาวบ้านเลย แต่ต้องมานั่งรับรู้เรื่องราวต่างๆที่บรรดาท่านๆสงเคราะห์มาโดยตลอด และก็ต้องมานั่งทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราว และก็ต้องมานั่งโดนเล่นงานแบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ ความสะเทือนใจเช่นนี้เกิดขึ้นในขณะที่ครูฝึกพูดถึงท่านท้าวจาตุมหาราชพอดี และข้าพเจ้าก็รู้สึกแย่ที่ว่า ตนเองแทบไม่เคยได้เห็นท่านชัดๆและรู้ถึงขนาดว่าท่านยืนเรียงลำดับกันยังไงเลย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ


    เมื่อข้าพเจ้านึกได้ดังนั้น ท่านจึงค่อยๆพูดชื่อท่านออกมาทีละองค์ โดยเริ่มบอกชื่อท่านตั้งแต่องค์ที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือสุด ไปจนถึงองค์สุดท้าย พร้อมกับยิ้มให้แก่ข้าพเจ้าในเครื่องทรงเทวดาที่มีประกายสวยสดงดงามมาก แม้ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นจะไม่ชัดนัก แต่ก็ชัดกว่าปกติด้วยอานุภาพของท่าน ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเมตตาของท่านและอบอุ่นใจเป็นอันมาก จึงได้ก้มกราบแทบเท้าของท่านทุกพระองค์ และก็ตั้งใจถวายกุศลทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทุกชาติ และกราบขอบพระคุณท่านที่คอยสงเคราะห์ช่วยเหลือข้าพเจ้ามาโดยตลอด


    ต่อมาข้าพเจ้าได้ตั้งใจรักษาศีล ๘ และเจริญพระกรรมฐาน ๗ วัน เพื่ออุทิศถวายแด่ท่านปู่พระอินทร์และท่านย่า และในวันที่ ๖ ของการเจริญพระกรรมฐาน ก็ได้เกิดเหตุที่ข้าพเจ้าทันคาดคิด เพราะเข้าใจว่าท่านน่าจะมาปรากฎกายให้เห็นในวันที่ ๗ เหมือนท่านท้าวจาตุมหาราชมากกว่า แต่ในคราวนั้น ท่านปู่และท่านย่ากลับมาปรากฎกายที่หน้าข้าพเจ้าในวันที่ ๖ แทน ข้าพเจ้าจึงได้ก้มกราบแทบเท้าของท่านทั้งสอง เพื่อขอบพระคุณท่านและตั้งใจถวายกุศลทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทุกภพทุกชาติ เพื่อตอบแทนพระคุณความดีของท่านที่ไม่อาจจะหาอะไรมาเทียบได้นั่นเอง


    และในช่วงสุดท้าย ข้าพเจ้าได้ตั้งใจรักษาศีล ๘ และเจริญพระกรรมฐาน ๗ วัน เพื่ออุทิศถวายแด่ท่านปู่สหัมบดีพรหม และเมื่อถึงวันที่ ๖ ของการเจริญพระกรรมฐาน ท่านก็ได้มาปรากฎกายต่อหน้าข้าพเจ้าในลักษณะเดียวกับที่ศาลพระพรหมเอราวัณ ตรงประตูน้ำ ข้าพเจ้าได้ก้มกราบที่แทบเท้าของท่าน เพื่อขอบพระคุณที่ได้ให้การสงเคราะห์ข้าพเจ้า และตั้งใจอุทิศถวายกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติเช่นเดียวกับที่ได้ถวายท่านท้าวจาตุมหาราชและท่านปู่พระอินทร์และท่านย่านั่นเอง


    เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น แม้จะพิสูจน์ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารับรู้ได้คือ ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นชัดเจนกว่าปกติมาก และรับรู้ได้ถึงความเมตตาของท่านทุกพระองค์ที่มีให้แก่ข้าพเจ้า และนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่กำลังเผชิญกับวาระกรรมที่แสนสาหัสและยาวนาน ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นใจที่ผู้ใหญ่ที่แม้จะไม่มีกายเนื้อให้ และนั่นก็ทำให้ข้าพเจ้าพอจะมีกำลังใจทำความดีต่อไปได้บ้างนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2016
  3. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    และในช่วงระหว่างที่ข้าพเจ้ารักษาศีล ๘ และเจริญพระกรรมฐานเป็นเวลา ๗ วัน เพื่ออุทิศถวายกุศลแด่ทุกๆพระองค์นั่นเอง ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปร่วมสวดพระคาถาเงินล้านที่บ้านวิริยบารมี ในวันเสาร์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ แม้ว่าวาระกรรมที่เล่นงานข้าพเจ้าทางด้านจิตใจ จะทำให้ข้าพเจ้าไม่มีกำลังจิตที่จะทำความดีได้อย่างเต็มที่ก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุด ตามที่เคยมีเสียงๆหนึ่งบอกแก่ข้าพเจ้ามา หลังจากสวดพระคาถาเงินล้านจบ ก็เป็นช่วง"พูดถึงพ่อ ภาคพิเศษ" ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องราวในสมัยที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานยังมีชีวิตอยู่ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลวงตาวัชรชัยท่านพูดถึงกระแสที่พระท่านสงเคราะห์ลงมาในเวลาที่หลวงพ่อโปรดญาติโยม กระแสที่ว่านี้จะทำให้รู้ว่าจะต้องพูดอะไรยังไง เพื่อเป็นการตอบปัญหาธรรมะต่างๆแก่ญาติโยมพุทธบริษัท ซึ่งจุดนี้เป็นการยืนยันแก่ข้าพเจ้าในตอนนั้นให้ได้รู้ทันทีว่า กระแสต่างๆที่เข้ามาแนะนำ เข้ามาบอก ว่าให้เขียนไปอย่างนี้ๆ และมือก็ทำหน้าที่พิมพ์ไปโดยอัตโนมัตินั้นเป็นเรื่องที่บรรดาท่านต่างๆช่วยกันสงเคราะห์นั่นเอง และเสียงที่เข้ามาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า นี่เป็นกระแสเป็นบารมีท่านที่สงเคราะห์ลงมานั้น ก็เป็นเรื่องจริง


    จากนั้นความรู้สึกบางอย่างก็บอกแก่ข้าพเจ้าว่า ที่ข้าพเจ้าทำอยู่นี้มันเป็นงานส่วนรวมนะ ซึ่งการฝืนกระแสกรรมส่วนรวมด้วยการนำเรื่องราวต่างๆมาบอกเล่านั้น ส่วนหนึ่งข้าพเจ้าต้องรับด้วย แต่ทุกพระองค์ท่านคอยสงเคราะห์อยู่จึงเหมือนกับว่าท่านเป็นคนทำเอง ทั้งนี้ เพื่อให้ข้าพเจ้าไม่ต้องฝืนกระแสกรรมให้คนส่วนมากหันหน้าเข้ามาหาธรรมะจนต้องรับภาระหนักจนเกินไป เมื่อข้าพเจ้าทราบถึงวิธีการเช่นนี้จากท่าน จึงค่อยเข้าใจแล้วว่า ทำไมสำนวนการเขียนบางอย่างมันถึงแปลก ถึงลึก และมีลีลาที่ข้าพเจ้าเองก็ประหลาดใจว่าเขียนไปได้อย่างไร แต่ก็ไม่รู้ที่จะบอกกล่าวกับใครให้เข้าใจได้ เนื่องจากข้าพเจ้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้มันคืออะไรนั่นเอง


    ถ้าถามว่าข้าพเจ้ากลัวคนอื่นๆจะเข้าใจผิดไหม ยอมรับว่ากลัวมาก และเคยบอกกับท่านว่า การที่ข้าพเจ้าต้องมารับหน้าแทนเช่นนี้ โดยธรรมชาติของคนทั่วไปแล้ว คนที่ไม่เข้าใจอาจจะเข้าใจข้าพเจ้าผิดว่าอวดตัว อวดเก่ง หรือแอบอ้างสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วโดยมาบอกภายหลังว่าตนเองรู้เห็นอะไรก็เป็นได้ สิ่งหนึ่งที่ท่านได้ตอบข้าพเจ้ามานั้นก็คือ ขอให้อดทน ยอมให้คนอื่นๆเข้าใจผิดไปก่อน แล้วซักวันหนึ่ง จะมีคนส่วนหนึ่งที่รู้ความจริง ว่าที่ข้าพเจ้าทำทุกๆอย่างไปนั้น ไม่ใช่ความสามารถของข้าพเจ้าเอง และถูกสถานการณ์ต่างๆบีบบังคับโดยที่ไม่ได้คิดจะทำเลยแม้แต่นิดเดียว


    และในช่วงท้ายๆของกิจกรรมการสวดพระคาถาเงินล้านที่บ้านวิริยบารมีในวันนั้น ข้าพเจ้าก็ทราบข่าวว่า ทางเว็บพลังจิตจะทำการถวายพระพุทธพลังจิตทองคำแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และก็ทราบจากทางพี่ๆผู้ดำเนินการว่า หลวงตาวัชรชัยท่านได้พูดทำนองว่า พระพุทธพลังจิตทองคำนี้ ไม่ต้องให้ท่านอธิษฐานก็ได้ เพราะบุญบารมีของทุกคนที่ร่วมใจกันทำเพื่อถวายในหลวงนั้น เป็นสิ่งที่มีผลบุญบารมีอันมากมายมหาศาลอยู่ในนั้นอยู่แล้ว และในช่วงนั้นเอง ก็มีเสียงๆหนึ่งมาบอกกับข้าพเจ้าว่า ให้อธิษฐานร่วมส่งผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทุกภพทุกชาติและที่ได้ตั้งใจทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาในครั้งนี้เข้าไปรวมกับคนอื่นๆเพื่อถวายในหลวงด้วย ข้าพเจ้าจึงได้รีบทำในทันที เพื่อหวังว่า ผลบุญบารมีทั้งหมดที่ตนเองได้ทำมานั้น จะเข้าไปร่วมกับบุญบารมีของทุกๆคน เพื่อที่จะช่วยค้ำยันประเทศชาติ และให้บรรดาพระ พรหม และเทวดาทั้งหลาย ที่คอยช่วยเหลือประเทศอยู่ ท่านมีกำลังบุญอันเพียงพอที่จะฝ่ากระแสกรรมอกุศลของส่วนรวมทั้งหมดได้นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2016
  4. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ในวันที่มีการสวดพระคาถาเงินล้านที่บ้านวิริยบารมีนั้น ข้าพเจ้าทราบข่าวว่า ทางวัดท่าขนุนจะมีการพุทธาภิเษกมีดหมอเพชราวุธในวันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกสะดุดใจอย่างแปลกๆทันที แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า พระท่านเคยบอกแก่ข้าพเจ้าว่า เมื่อเวลาครบ ๑ ปี ๗ เดือน ในเดือนที่ ๑ นั้น ท่านจะมาช่วยตัดวาระกรรมเป็นครั้งแรก และในช่วงปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ข้าพเจ้าต้องออกจากงานในครั้งแรกนั้น เคยมีเสียงๆหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า ทุกอย่างเพิ่งเริ่มนะ อีกด้วย แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อ เมื่อข้าพเจ้านับวันเวลาทั้งหมดดีๆจึงพบว่าทั้งหมดคือระยะเวลาที่ครบ ๑ ปี ๗ เดือน อย่างน่าประหลาด สร้างความรู้สึกตกใจแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก และทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งพูดขึ้นมาว่าใช่แล้ว และให้ข้าพเจ้ารอรับการพุทธาภิเษกด้วย


    เมื่อได้ยินดังนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าตั้งตาคอยด้วยจิตใจที่หวังอยู่ลึกๆว่าทุกอย่างจะเป็นความจริง เพื่อที่ว่าวาระกรรมต่างๆจะได้ลดลงไปเสียที และเมื่อถึงวันที่ ๒๔ มกราคม อันเป็นวันที่มีการบวงสรวงไหว้ครูและประกอบพิธีพุทธาภิเษกมีดหมอเพชราวุธนั้น ข้าพเจ้าจึงรีบตื่นแต่เช้ามาเปิดโน๊ตบุ๊คเพื่อรับชมการถ่ายทอดสดในห้องพระทันที ถ้าถามข้าพเจ้าว่า ปกติการพุทธาภิเษกจะต้องไปเข้าพิธีที่วัดนั้นๆ แล้วข้าพเจ้านั่งรับที่บ้านได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่า พระท่านได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่า ในฐานะที่ตั้งใจทำเพื่อส่วนรวม ท่านจึงอนุญาตให้เอาวัตถุมงคลเข้าพิธีและนั่งรับที่บ้านได้ ซึ่งตรงนี้ใครก็ตามที่มีจิตใจทำเพื่อส่วนรวม หวังดีต่อประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พระท่านอนุญาตทั้งนั้นค่ะ


    ถามว่าข้าพเจ้าเชื่อไหม ข้าพเจ้ายอมรับว่าไม่เชื่อ เพราะตอนแรกตั้งใจขอรับยันต์เกราะเพชรอย่างเดียว แต่พอท่านบอกมาเช่นนั้น เลยตัดสินใจลองดู เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองทำอะไรอยู่ และมั่นใจลึกๆว่าท่านต้องรู้ว่าข้าพเจ้าไม่พร้อมที่จะเดินทางไป เนื่องจากต้องประหยัดเงิน และในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งรับการพุทธาภิเษก พร้อมกับวัตถุมงคลบนตักนั่นเอง ข้าพเจ้าก็เห็นสมเด็จองค์ปฐมเสด็จมาพร้อมกับพระ พรหม และเทวดาจำนวนมากหนาแน่นเต็มไปหมด ซึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าก็ยังงงๆว่าทำไมถึงเห็นสมเด็จองค์ปฐม เพราะเข้าใจมาตลอดว่าเป็นสมเด็จองค์ปัจจุบันที่บอกว่ามาจะช่วยตัดเคราะห์ให้แก่ข้าพเจ้าเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด ตรงนี้ข้าพเจ้าเลยเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นไม่น่าจะจริง และตั้งใจรับการพุทธาภิเษกแทน


    ในขณะที่รับการเป่ายันต์และพุทธาภิเษกอยู่นั้น อยู่ดีๆก็มีกระแสบางอย่างเข้ามาให้ข้าพเจ้าตั้งจิตขอรับการสงเคราะห์ทุกอย่างจากทุกพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นพระ พรหม และเทวดา และให้การสงเคราะห์นี้ครอบคลุมไปถึงบ้าน ทรัพย์สิน และบริวาร ตลอดจนวัตถุมงคลที่ห้อยคอและอยู่บนตักด้วย จากนั้นกระแสร้อนบางๆจากยันต์เกราะเพชรสงเคราะห์ก็เข้ามายังตัวข้าพเจ้า และตามด้วยกระแสหนักๆเข้ามายังตัวข้าพเจ้าโดยตลอด และในระหว่างที่นั่งรับการพุทธาภิเษกนั้น ก็มีเสียงเข้ามาบอกพร้อมกับแสงสว่างจ้าว่าท่านสงเคราะห์อะไรให้แก่ข้าพเจ้าบ้าง ซึ่งสิ่งที่ท่านบอกมานั้น จะเป็นในเรื่องของลาภและการเงิน เมตตามหานิยมเป็นที่รักใคร่ ความโชคดีและปลอดภัยจากภยันตรายทุกอย่าง ซึ่งส่วนนี้แหละที่ข้าพเจ้าเพิ่งมาอ่านเจอในภายหลังว่าเป็นส่วนหนึ่งของพร ๓๐ ประการนั่นเอง สำหรับพรอื่นๆที่ท่านสงเคราะห์มาให้นั้น ยอมรับตรงๆว่าในส่วนที่ท่านให้เห็นจะเน้นหนักไปในเรื่องการป้องกัน มหาอำนาจ มหาสะท้อน ไพรีพินาศ เสียมากกว่า จนข้าพเจ้าเองก็ยังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงมาในลักษณะแบบนี้


    จนกระทั่งเมื่อมาถึงตอนท้ายๆนั่นแหละ ถึงพึ่งจะเข้าใจว่า ทำไมท่านจึงสงเคราะห์มาในเรื่องดังกล่าว เพราะท่านได้ทำให้เห็นว่าท่านสงเคราะห์ล้างอาถรรพณ์ต่างๆที่เข้ามาเล่นงานข้าพเจ้าและครอบครัวในหลายๆรูปแบบให้ สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นคือบรรดาวิชาต่างๆทางไสยศาสตร์ ที่ตนเองก็ไม่คิดว่าจะต้องมานั่งรับรู้แบบนี้ และสิ่งสุดท้ายที่ข้าพเจ้ารู้ก็คือ ข้อมูลเบื้องต้นของคนที่อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ ที่รู้เพียงเล็กน้อยว่า เป็นคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติที่ถือกำเนิดมาจากสามัญชนแต่กลับมีอำนาจมากนั่นเอง สิ่งนี้ทำให้เด็กอย่างข้าพเจ้ารู้สึกกลัวและเกิดความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงต้องมาเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย


    แต่ในขณะนั้น เสียงๆหนึ่งก็ได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่า ไม่ว่าบุคคลนั้นๆจะเป็นใคร จุดประสงค์ของเขาคือการทำลายส่วนรวมประเทศชาติเพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง ดังนั้นข้าพเจ้าจะต้องวางตัวให้เป็นกลาง และทำอย่างไรก็ได้ ไม่ว่าจะพูด หรือเขียน ให้ประชาชนหลุดพ้นจากวาทกรรมทางการเมืองทั้งหมด และมองให้ออกว่าการที่จะแยกแยะคนเลวและคนดีนั้นยากมาก ดังนั้นอะไรที่ใครก็ตามทำเพื่อส่วนรวมและเป็นเรื่องที่ดี ให้รีบสนับสนุน และอะไรก็ตามที่เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและเป็นเรื่องที่ไม่ดีให้ช่วยกันขัดขวาง ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนทางการเมืองก็ตาม


    และที่สำคัญที่สุด ถ้าหากว่าไม่มั่นใจว่าสิ่งไหนทำเพื่อส่วนรวมหรือส่วนตน อย่างน้อยๆการที่ไม่ไปช่วยเหลือใครเลยก็คือการลดความเสี่ยงที่ดีที่สุด แต่ให้หันมาเน้นการทำความดีแบบง่ายๆ เพื่อให้ตนเองมีกำลังบุญเพียงพอในเบื้องต้นก่อน เพื่อจะได้อุทิศบุญกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรอันเป็นการลดกรรมของตนเอง จากนั้นให้รู้ว่าการทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวมนั้นเป็นการเพิ่มบุญบารมีให้แก่ตนเองอย่างมหาศาล ซึ่งวิธีการนั้นก็ง่ายๆได้แก่

    ๑ ตั้งจิตอธิษฐานให้แก่ส่วนรวม โดยตั้งใจว่า "ข้าพระพุทธเจ้า ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ตลอดจนพรหมและเทวดาทั้งหลาย รวมทั้งบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติจนถึงปัจจุบัน ขอจงดลบันดาลให้สิ่งต่างๆที่บุคคลทั้งหลายคิดจะทำลายประเทศชาติจงทำไม่สำเร็จ และขอให้สิ่งต่างๆที่บุคคลทั้งหลายคิดจะทำเพื่อประเทศชาติจงทำสำเร็จลุล่วงไปได้โดยง่ายทุกอย่างทุกประการเทอญ" ให้ทำแบบนี้บ่อยๆ อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง หรือตามแต่จะนึกได้

    ๒ ให้ตั้งจิตอุทิศบุญกุศลที่ได้ทำมาทั้งหมด แก่บุคคลที่ทำเพื่อประเทศชาติ โดยตั้งใจว่า "ข้าพระพุทธเจ้า ขออาราธนาบุญบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ตลอดจนพรหมและเทวดาทั้งหลาย รวมกับบุญบารมีของข้าพเจ้าที่ได้สั่งสมมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติจนถึงปัจจุบัน ขออุทิศให้แก่บุคคลทั้งหลายที่ตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติและส่วนรวมทั้งหมด รวมไปถึงเทวดาประจำตัวของเขาเหล่านั้นด้วย" ให้ทำแบบนี้บ่อยๆ อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง หรือตามแต่จะนึกได้

    ตรงนี้จะเป็นการช่วยที่ง่ายที่สุด โดยที่ไม่ต้องไปขัดขวางคนเลวซึ่งๆหน้า และช่วยคนดีได้ไม่ผิดคน เพราะเรื่องของพระ พรหม และเทวดานั้น ท่านจะมองเห็นหมดว่าใครดีใครเลว ใครทำเพื่อส่วนรวมค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2016
  5. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    หลังจากการพุทธาภิเษกในวันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จบลง พระท่านก็ได้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า สำหรับวาระกรรมที่จะต้องโดนไสยศาสตร์นั้นก็จะต้องรับต่อไปนะ ขอให้ข้าพเจ้าอดทน ส่วนวาระกรรมที่ท่านได้เคยบอกไว้ว่า จะถูกตัดลงในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนก.ค. ๒๕๕๘ ถึง พ.ย. ๒๕๕๘ นั้น ทุกอย่างจะยังไม่ถูกกำหนดชัดเจน ยังเลื่อนขึ้นเลื่อนลงตามที่ท่านได้บอกไว้ในครั้งแรกเหมือนเดิม เนื่องจากมีปัจจัยเกี่ยวข้องหลายๆอย่าง ข้าพเจ้าได้แต่รับฟังด้วยใจเป็นกลาง เพราะอยากจะพิสูจน์เหมือนกันว่าคำทำนายแรกตรงแล้ว คำทำนายที่สองจะตรงเหมือนกันไหม


    จากนั้นข้าพเจ้าก็พยายามปฏิบัติธรรมทำความดีให้ได้มากที่สุด เท่าที่กำลังจิตจะอำนวย เพราะมีอุปสรรคจากวาระกรรมนี้คอยขัดขวางอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าพยายามสวดพระคาถาเงินล้านทุกวัน วันละ ๑๐๘ จบ บางวันก็ ๒๐๐ กว่าจบ พยายามนั่งสมาธิเท่าที่จะทำได้ โดยมีกระแสบางอย่างเข้ามาช่วยประคับประคองเป็นระยะๆไป และมาช่วยสอนอารมณ์อรูปฌานให้ตามที่ข้าพเจ้าได้นึกขอในใจไว้ ในขณะเดียวกันก็ตั้งใจรักษาศีล ๘ ไปด้วย และก็อุทิศถวายพระราชกุศลแด่ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ตลอดทุกวันเท่าที่จะนึกได้


    นอกจากนี้ ข้าพเจ้าก็เริ่มที่จะฝึกฝนอารมณ์พระโสดาบันจนถึงอารมณ์สังขารุเปกขาญาณทีละเล็กทีละน้อยทุกวัน ต้องยอมรับว่า ความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ข้าพเจ้าไปฝึกพระกรรมฐานที่บ้านสายลมตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นมา พระท่านได้มาสงเคราะห์อารมณ์พระโสดาบัน อารมณ์พระอนาคามี และอารมณ์พระอรหันต์ให้ข้าพเจ้าได้แยกแยะเป็นตั้งแต่แรกแล้ว โดยบอกกับข้าพเจ้าว่านี่เป็นพื้นฐานที่ให้ข้าพเจ้ารู้ไว้ และตั้งแต่ข้าพเจ้าได้พบกับอารมณ์สังขารุเปกขาญาณอย่างชัดเจนในช่วงปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ในขณะที่ทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งนั้น ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกรักในอารมณ์ดังกล่าวนี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าข้าพเจ้าจะทำอารมณ์พระอริยเจ้าทั้งหมดไม่ได้มาก แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นพื้นฐานที่ทำให้ข้าพเจ้ารักและพยายามสั่งสมอารมณ์ดังกล่าวทีละเล็กทีละน้อยตลอดมานับตั้งแต่บัดนั้น


    ในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ นั้น ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปร่วมพิธีสะเดาะเคราะห์ที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมากและวางแผนไว้ว่า จะขอไปพักใจด้วยการไปทำบุญและถือโอกาสเที่ยววัดท่าซุงให้ครบทุกที่ไปเลย แต่แล้วในช่วงต้นเดือนเมษายน พ.ศ ๒๕๕๘ ข้าพเจ้าก็ได้ไปทำบุญที่บ้านวิริยบารมี และก็ได้ยินหลวงพี่เล็กท่านพูดในช่วงหนึ่งว่า พระประธานในวิหาร ๑๐๐ เมตร วัดท่าซุงนั้น เป็นพระคำข้าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งพระท่านได้เมตตาไว้ว่า สามารถที่จะขอพรได้หนึ่งข้อในชีวิต และหลวงพี่เล็กท่านก็พูดว่า(ถ้าจำไม่ผิด) ถ้าเป็นท่าน ท่านจะอธิษฐานว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขอให้สำเร็จทุกอย่าง ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น จึงตั้งใจไว้ในใจว่า หากถึงวันสะเดาะเคราะห์เมื่อไหร่ จะเข้าไปขอพรอย่างนั้น เพื่อให้ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าตั้งใจทำอันเป็นความดีนั้น ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2016
  6. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ในวันก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินทางไปสะเดาะเคราะห์นั้น ข้าพเจ้าได้บังเอิญไปอ่านเจอว่า สามารถขอรับยันต์เกราะเพชรในพิธีสะเดาะเคราะห์ได้ และก็เพิ่งรู้ว่า ในการทำพิธีบวงสรวงทุกครั้ง แม้จะไม่ได้เป็นการทำพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร หรือพุทธาภิเษก ก็สามารถขอรับยันต์เกราะเพชร หรือพุทธาภิเษกได้ เพราะทั้งหมดคือพุทธคุณเหมือนกัน และยิ่งหากเป็นบุคคลที่ทำเพื่อส่วนรวมประเทศชาติแล้ว ท่านพร้อมที่จะสงเคราะห์ให้บุคคลเหล่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น ทุกๆครั้งที่มีการทำพิธีบวงสรวง หากมีเรื่องที่สำคัญหรือจำเป็นจริงๆ ให้ขอพรไปเลยอย่างน้อยๆ ๑ ข้อ


    และในวันที่สะเดาะเคราะห์นั้นเอง ข้าพเจ้าก็ได้ทำการพิสูจน์สิ่งที่ได้ไปอ่านเจอมา และก็ปรากฎว่ามีกระแสยันต์เกราะเพชรเข้ามายังตัวจริงๆ พร้อมกับปรากฎภาพบุคคลๆหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร เข้ามาบอกกับข้าพเจ้าว่า อันนี้เป็นการยืนยันแล้วนะว่าการสะเดาะเคราะห์นั้นสามารถรับกระแสพุทธคุณได้จริงๆ


    และจริงๆแล้ว สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้มานานตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ก็คือ พระท่านได้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า จริงๆแล้วท่านสามารถสงเคราะห์ให้ได้แม้จะไม่มีพิธีบวงสรวงเลยก็ตาม และในขณะนั้นก็ปรากฎกระแสพุทธคุณเข้ามายังตัวของข้าพเจ้าจริงๆ และทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าก็ได้ไปพบในภายหลังว่า พระท่านได้เคยมาสงเคราะห์หลวงพ่อฤาษี ทั้งๆที่ไม่ได้มีการทำพิธีบวงสรวงเลยแม้แต่นิดเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2016
  7. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ในวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ คุณแม่ของข้าพเจ้าได้ให้ข้าพเจ้าไปทำธุระอย่างหนึ่งข้างนอก ซึ่งในช่วงนั้น ข้าพเจ้ายอมรับว่าตนเองนั่งคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมาในปีพ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างยิ่ง และก็เพิ่งรู้ว่าถ้าจะดูกันในทางโหราศาสตร์แล้ว ดวงชะตาประเทศในขณะนั้น ถือว่าอยู่ในช่วงระยะเวลาที่วิกฤติขนาดหนักเลยทีเดียว และก็ปรากฎอาเพทแปลกๆด้วย และข้าพเจ้าก็เพิ่งนึกได้ว่าในช่วงนั้น ประเทศชาติต้องสูญเสียพระสุปฏิปันโนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและทรงสมณศักดิ์สูงยิ่งถึง ๒ องค์ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านมาช่วยตัดเคราะห์กรรมให้แก่ประเทศ ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า ท่านก็ถือว่าได้ช่วยตัดเคราะห์กรรมให้แก่ข้าพเจ้า ที่ขณะนั้นกำลังเผชิญกับวิบากกรรมอย่างแสนสาหัสด้วยเหมือนกัน


    เมื่อข้าพเจ้าคิดดังนั้น ความรู้สึกที่อยากจะตอบแทนพระคุณของท่านก็เกิดขึ้น จึงวางแผนว่าจะเดินทางไปกราบท่านทั้ง ๒ องค์เพื่อขอบพระคุณท่าน จึงได้เดินทางไปยังบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อทำธุระให้กับคุณแม่ทันที จากนั้นในขณะที่กำลังจะเดินทางไปยังวัดบวรนิเวศนั้น อยู่ดีๆก็มีความคิดหนึ่งเข้ามาในหัวข้าพเจ้าว่า ให้เดินทางไปกราบพระแก้วมรกตเพื่อขอพรก่อน ข้าพเจ้าคิดว่าไหนๆก็มาแถวนี้แล้ว เลยตัดสินใจไปกราบพระแก้วมรกตก่อนทันที


    ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ที่หน้าพระพักตร์องค์พระแก้วมรกตนั้น ข้าพเจ้าได้ตั้งใจถวายบุญกุศลที่ได้ทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติและที่ได้ทำงานพระพุทธศาสนาในครั้งนี้แก่พรหมเทวดาที่ประจำองค์พระแก้วมรกตทันที พร้อมกับอุทิศบุญกุศลถวายแด่พระสยามเทวาธิราชและพรหมเทวดาทั้งหมดที่ดูแลรักษาประเทศด้วย และก็ตั้งจิตอธิษฐานขอพรท่านว่า สิ่งใดก็ตามที่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งใจทำเพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไป ขอให้สำเร็จทุกส่ิงทุกอย่างโดยง่ายด้วยเทอญ จากนั้นอยู่ดีๆข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า ควรที่จะไปกราบไว้ศาลหลักเมืองด้วย จึงเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น และเข้าไปกราบไหว้ศาลหลักเมือง พร้อมทั้งอุทิศบุญกุศลที่ได้ทำมาทั้งหมดและที่ได้ทำงานพระพุทธศาสนาให้แก่พรหมเทวดาที่ประจำศาลหลักเมือง จากนั้นก็เข้าไปกราบเจ้าพ่อเทพารักษ์ประจำศาลหลักเมืองทั้ง ๕ พระองค์ และอุทิศถวายบุญกุศลด้วยเช่นกัน


    จากนั้นในขณะที่กำลังจะเดินทางไปวัดบวรนิเวศนั้น อยู่ดีๆก็รู้สึกอยากไปกราบไหว้แม่พระธรณี โดยที่ในขณะนั้น ตัวเองลืมไปแล้วว่าเคยมีเสียงๆหนึ่งพูดเกี่ยวกับแม่พระธรณีในปีพ.ศ. ๒๕๕๖ ในขณะที่กำลังจะไหว้อยู่นั่นเอง ก็ปรากฎเสียงๆหนึ่งเข้ามาบอกข้าพเจ้าว่า ให้ตั้งใจอธิษฐานขอท่านให้ช่วยเหลือให้พ้นจากเคราะห์กรรมในครั้งนี้ด้วย แล้วก็ขอท่านว่าขอให้บุคคลทั้งหลายที่คิดไม่ดีกับข้าพเจ้า เกิดความเข้าใจในตัวข้าพเจ้าและกลับมาเป็นมิตร และตั้งจิตขออโหสิกรรมแก่บุคคลทั้งหลายที่เกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี จึงได้ทำตาม และได้อุทิศถวายบุญทั้งหมดให้แก่แม่พระธรณีในทันที


    หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจทุกอย่างแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้เดินทางไปยังวัดบวรนิเวศ และได้เข้าไปกราบที่พระโกศของสมเด็จพระสังฆราช พร้อมกับตั้งจิตขอตอบแทนพระคุณของท่านด้วยการตั้งใจอุทิศถวายบุญกุศลที่ได้ทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติและได้ที่ทำงานพระศาสนาในครั้งนี้ พร้อมกับอนุโมทนาบุญที่ท่านได้ทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติด้วยเช่นกัน และอธิษฐานว่า ธรรมใดที่ท่านถึงแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้ถึงซึ่งธรรมนั้น จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้เดินทางไปยังวัดสระเกศ เพื่อกราบสมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโน) เมื่อไปถึง ปรากฎว่าศาลาที่ข้าพเจ้าจะเข้าไปนั้นปิดแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้หมอบกราบที่พื้นตรงประตูแทน พร้อมกับตั้งจิตขอบพระคุณท่านและตั้งใจถวายบุญกุศลทั้งหมดที่ได้ทำมาทุกภพทุกชาติและที่ได้ทำงานพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ จากนั้นก็ได้อนุโมทนาบุญที่ท่านได้ทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติเช่นเดียวกัน และอธิษฐานว่า ธรรมใดที่ท่านถึงแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้ถึงซึ่งธรรมนั้น


    จากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นไปกราบไหว้พระบรมบรรพตเจดีย์ภูเขาทองที่อยู่ภายในวัดสระเกศ โดยได้ตั้งใจสวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณถวาย จากนั้นก็ได้ตั้งใจอุทิศบุญกุศลทั้งหมดแก่พรหมและเทวดาที่ดูแลรักษาพระบรมบรรพตเจดีย์อยู่ จากนั้นในขณะที่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เลยนั่งพักสงบจิตสงบใจอยู่ตรงนั้นเพื่อให้หายเหนื่อย ในขณะที่กำลังทำสมาธิอยู่นั่นเอง ก็ปรากฎเสียงๆหนึ่งบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ให้อธิษฐานอุทิศบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติและที่ได้ตั้งใจทำเพื่อพระพุทธศาสนาและส่วนรวมในครั้งนี้ แก่ทุกๆดวงจิตที่อยู่ในทุกๆภพภูมิ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเขาเหล่านั้นให้สามารถบรรลุธรรมได้ไวขึ้น เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ก็ย้อนกลับมานึกถึงตัวเองที่อยากจะบรรลุธรรมพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกัน ถ้าหากว่าบุญกุศลที่ได้ทำมาทั้งหมดจะทำให้ทุกๆดวงจิตมีบุญกุศลที่เพิ่มขึ้น อันจะเป็นบาทฐานแห่งการบรรลุธรรมต่อไปแล้วไซร้ ข้าพเจ้าก็เต็มใจที่จะให้โดยไม่มีข้อแม้เงื่อนไขเลยเช่นกัน


    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ตั้งจิตอุทิศบุญกุศลที่ตนเองได้ทำมาทั้งหมดทุกภพทุกชาติ รวมถึงบุญกุศลแห่งการทำงานพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ โดยอาศัยบุญบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ตลอดจนพรหมเทวดาทั้งหลาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกภพทุกภูมิ ขอให้บุญกุศลทั้งหมดนี้ จงไปถึงยังทุกๆพระองค์ในทุกๆภพภูมิ และทุกๆดวงจิตที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในทุกภพภูมิอยู่ ขอให้บุญกุศลเหล่านี้จงส่งผลเป็นบาทฐานแก่บรรดาดวงจิตที่เป็นเพื่อนร่วมเวียนว่ายตายเกิดนั้น จงได้บรรลุธรรมอย่างน้อยเป็นพระโสดาบันด้วยเทอญ และก็ขอว่าในเมื่อการทำงานพระพุทธศาสนาในครั้งนี้จะต้องทำแบบปิดทองหลังพระตามที่ท่านได้พยากรณ์ไว้ เป็นเหตุให้ข้าพระพุทธเจ้าไม่สามารถบอกกล่าวแก่ผู้ใดได้ ก็ขอให้บารมีของทุกๆพระองค์ในทุกภพภูมิ จงช่วยนำบุญกุศลเหล่านั้นไปยังทุกๆดวงจิตให้ได้อนุโมทนา และขอให้ไปถึงยังมนุษย์ทุกผู้ทุกนามที่อยู่บนโลกใบนี้ด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2016
  8. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    และในคืนวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ นั้นเอง ไสยศาสตร์ดังกล่าวก็ได้เข้ามาเล่นงานข้าพเจ้าอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทำให้สภาพจิตใจของข้าพเจ้าในตอนนั้นย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าเลยตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงเดือน ๗ คือเดือนกรกฏาคมไวๆ เพื่อจะได้พ้นจากวิบากกรรมนี้เสียที ตอนนั้นข้าพเจ้าหวังอยู่ลึกๆว่า ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความเข้าใจผิด และก็น่าจะหมดไปเมื่อข้าพเจ้าหมดวิบากกรรม


    ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้าพเจ้าได้ไปฝึกพระกรรมฐานที่บ้านสายลมตามปกติ โดยในครั้งนี้ได้ไปฝึกกับหลวงพี่อาจินต์ที่ชั้น ๓ แทน การฝึกในครั้งนั้นเป็นครั้งแรกๆที่ดวงจิตข้าพเจ้าถูกดึงขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดุสิต ท่ามกลางมหาสมาคมของเหล่าพระโพธิสัตว์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ที่นั่งในการประชุมของข้าพเจ้านั้นอยู่ลำดับท้ายสุด เพราะเหตุที่บุญบารมีน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับพระโพธิสัตว์อื่นๆ และในที่ประชุมนั้นเอง ก็ปรากฎองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน พร้อมกับหลวงปู่ปานที่นั่งยิ้มอยู่อย่างชัดเจนมาก ในที่ประชุมนั้นมีคำสั่งมาว่าให้ข้าพเจ้าอดทน


    ในการฝึกคราวนั้น หลวงพี่อาจินต์ท่านได้พูดถึงสมเด็จองค์ปฐมว่าการบำเพ็ญบารมีของท่านนั้นยากลำบากกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหมด เนื่องจากยังไม่มีต้นแบบหลักสูตรการสั่งสมบารมีเป็นพระพุทธเจ้าเลย ข้าพเจ้าหวนมานึกถึงตัวเองที่ต้องทำหน้าที่พระโพธิสัตว์(ทั้งๆที่ตนเองไม่ได้อยากทำ แต่ตกกระไดพลอยโจน)ขึ้นมาในทันที ว่ามีความยากลำบากอย่างหนักขนาดไหน จึงได้รู้สึกถึงพระคุณอันไม่อาจจะหาประมาณได้เลยของสมเด็จองค์ปฐม เพราะการทำบารมีของพระองค์ท่านนั้น มีความยากลำบากกว่าข้าพเจ้าอย่างมากมายนัก ในขณะนั้นเอง ข้าพเจ้าได้กราบที่พระบาทของสมเด็จองค์ปฐม พร้อมกับถวายบุญกุศลทั้งหมดที่ได้ทำมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะตอบแทนพระคุณของท่านเป็นอย่างยิ่ง และในขณะนั้น ใจหนึ่งของข้าพเจ้าก็แว่บๆมาว่าอยากจะไปร่วมหล่อสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพาน ที่วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์) เหลือเกิน ถือซะว่าเป็นโอกาสดีที่จะตอบแทนพระคุณของพระองค์ท่านซักครั้งหนึ่งในชีวิต


    สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากคือ หลวงพี่อาจินต์ท่านได้ให้ทุกๆคนอาราธนาบารมีพระ แล้วอุทิศบุญกุศลถวายในหลวงและพระราชินี รวมถึงพรหมและเทวดาที่ดูแลรักษาพระองค์ท่านอยู่ด้วย สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ไม่ได้เป็นคนเดียวที่อุทิศบุญกุศลถวายในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์อีกต่อไป ข้าพเจ้ายังมีเพื่อนอีกมากมายที่ทำเช่นนี้อยู่ และสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้เพิ่มเติมจากการฝึกในครั้งนั้นก็คือ หลวงพี่ท่านได้ให้ทุกๆคนกราบขอบารมีพระ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่คนทั้งหลายที่มีสัมมาทิฐิ เป็นคนดี รวมถึงคนที่ทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมด้วย และนอกจากจะให้แก่บุคคลทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ยังอุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่พรหมและเทวดาที่ประจำตัวคนทั้งหลายเหล่านี้ด้วย ข้าพเจ้าจึงได้จดจำไว้ในใจ และก็เริ่มอุทิศส่วนกุศลแบบนี้ตลอดมา


    สรุปว่าในตอนนั้นนอกจากข้าพเจ้าจะอุทิศบุญกุศลให้แก่ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงพรหมและเทวดาประจำแต่ละพระองค์เป็นปกติแล้ว
    ข้าพเจ้ายังได้อุทิศบุญกุศลแก่พรหมและเทวดาทั้งหลายที่รักษาประเทศชาติ ที่รักษาสถานที่สำคัญๆของชาติ รวมถึงพระสยามเทวาธิราชอยู่เสมอๆ และก็เพิ่งจะมาเพิ่มการอุทิศบุญกุศลให้แก่บุคคลทั้งหลายที่มีสัมมาทิฐ เป็นคนดี คนที่ทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม และพรหมเทวดาประจำตัวเขาเหล่านั้นก็วันนี้เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2016
  9. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ถ้าหากจะถามข้าพเจ้าว่า คนที่บำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์นั้น สามารถเข้าถึงอารมณ์พระอริยเจ้าได้จริงหรือ ก็ต้องตอบว่า เรื่องนี้ถือเป็นปัจจัตตังของแต่ละคนที่จะได้รู้ได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตนเอง แต่สำหรับข้าพเจ้านั้นทุกอย่างเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าได้ไปฝึกพระกรรมฐานที่บ้านสายลมนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นมา ในการฝึกครั้งหนึ่ง ขณะที่ครูฝึกกำลังสอนอารมณ์วิปัสสนาญาณอย่างง่ายๆให้แก่ผู้ฝึกนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติตามไปเรื่อยๆตามปกติเหมือนผู้ฝึกทุกคน จนกระทั่งได้นำจิตขึ้นไปยังพระนิพพาน และในช่วงหนึ่งที่ครูฝึกได้ทำการทบทวนวิปัสสนาญาณอีกครั้งนั้น กระแสบารมีของพระท่านก็ได้เข้ามาแนะนำอารมณ์พระอริยเจ้าแต่ละลำดับให้แก่ข้าพเจ้า พร้อมกับให้ข้าพเจ้าจดจำเอาไว้ และบอกว่า อันนี้ถือว่าท่านให้เป็นพื้นฐานก่อนนะ


    ข้าพเจ้าพยายามจดจำอารมณ์และสภาวะเปรียบเทียบของอารมณ์พระอริยเจ้าขั้นต่างๆไว้ และได้นำกลับมาปฏิบัติเล็กๆน้อยๆเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ไปทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ นั่นเอง ความชินในอารมณ์พระโสดาบันทำให้ข้าพเจ้าพยายามทรงอารมณ์ดังกล่าวเป็นระยะๆตลอดเวลาในการทำงานและการเดินทาง จนกระทั่งในวันที่ข้าพเจ้าถูกไสยศาสตร์ดังกล่าวเล่นงาน และตัดสินใจไม่เอาร่างกาย ข้าพเจ้าจึงได้พบว่าอารมณ์จิตของตัวเองเข้าไปสู่ภาวะอย่างหนึ่งที่เบามากๆ คล้ายๆกับอารมณ์พระอรหันต์ที่พระท่านมาสอน แต่ก็ไม่แน่ใจ จนกระทั่งพระองค์หนึ่งได้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า นี่เป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณ อันเป็นอารมณ์พระอรหันต์แก่ข้าพเจ้า


    จนในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้พบว่า สิ่งที่เคยอ่านเจอจากหลวงพี่เล็กว่า นักปฏิบัติทุกคนนั้น จะรู้ต้นทุนบุญกุศลของตัวเองว่าจริงๆแล้วมีเท่าไหร่ ก็ต่อเมื่อเจอกับสถานการณ์คับขัน ข้าพเจ้าจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าอย่างนี้สิ่งที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านสอนให้ลูกศิษย์ทำอารมณ์พระโสดาบันนิดๆหน่อยๆและตั้งใจว่าจะขอไปพระนิพพานจุดเดียว ซึ่งจะมีผลให้เมื่อจิตสุดท้ายก่อนตายบุญกุศลทั้งหมดนี้ก็จะรวมตัวกันให้สามารถเป็นพระอรหันต์และไปพระนิพพานได้ก็เป็นความจริงสิ หากถามข้าพเจ้าตรงๆ ข้าพเจ้าเชื่อเพราะประสบกับตนเองเข้าอย่างจังในเรื่องนี้ แต่ตอนนั้นยอมรับว่าอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะบารมีพระท่านมาช่วยสงเคราะห์ข้าพเจ้าหรือเปล่า


    จนกระทั่งได้มีโอกาสไปฝึกพระกรรมฐานที่บ้านสายลมราวๆเดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ในขณะที่กำลังฝึกพระกรรมฐานกับหลวงพี่อาจินต์อยู่นั้น ท่านก็ได้สอนวิปัสสนาญาณอย่างง่ายๆด้วยภาษาง่ายๆ จากนั้นก็ให้ผู้ฝึกทุกคนยกจิตขึ้นไปยังพระนิพพานแล้วกราบขอบารมีพระให้กำลังจิตมีความทรงตัว จากนั้นในช่วงที่ท่านเริ่มทวนวิปัสสนาญาณให้ผู้ฝึกอีกครั้งนั้นแหละ ข้าพเจ้าถึงมองออกว่าท่านค่อยๆไล่ตั้งแต่อารมณ์พระโสดาบันไปจนถึงอารมณ์พระอรหันต์ให้แก่ผู้ฝึก เนื่องจากพระท่านคอยอธิบายให้ข้าพเจ้าดู จนกระทั่งเมื่อมาถึงอารมณ์สังขารุเปกขาญาณอันเป็นอารมณ์พระอรหันต์ หลวงพี่อาจินต์ท่านก็ถามผู้ฝึกว่าอารมณ์นี้เมื่อเทียบกับอารมณ์อุเบกขาแล้วเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจึงพบว่าอารมณ์นี้เป็นอารมณ์เดียวกับที่ข้าพเจ้าเจอเมื่อตอนทำงานที่บริษัทแห่งนั้น และอารมณ์นี้เมื่อเทียบกับอุเบกขารมณ์แล้วมีความแตกต่างกันมากมายจนไม่อาจจะเทียบได้เลย


    เมื่อข้าพเจ้าพบกับคำตอบที่เป็นการยืนยันแล้วว่า สภาวะที่ตนเองประสบนั้น เป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณอย่างแน่นอน ก็อดสงสัยอีกครั้งไม่ได้ว่า สภาวะตอนนั้นเป็นบุญกุศลของข้าพเจ้าเองที่มารวมตัวกัน หรือว่าเป็นบารมีพระท่านสงเคราะห์ หรือว่าเป็นทั้งสองอย่าง ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ในขณะที่กำลังฝึกพระกรรมฐานกับหลวงพี่อาจินต์อีกครั้งนั่นเอง หลังจากที่กลับมาจากการประชุมที่สวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ข้าพเจ้าแอบรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนเองมีบารมีนิดเดียว แต่กลับต้องมานั่งทำหน้าที่แบบนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า บุญบารมีก็น้อย แถมยังต้องเผชิญกับไสยศาสต์ที่เข้ามาเล่นงานทางจิตใจอีก ทำให้เสี่ยงที่จะต้องตกนรกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงๆหนึ่งลอยเข้ามาว่า บุญบารมีหรือกำลังใจของคนเรานั้น ดูจากวัยไม่ได้นะว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จากนั้นท่านก็กล่าวต่อไปว่า เธอลองคิดดู หากว่าเธอไม่เคยทำบารมีจนกระทั่งเข้าถึงอารมณ์สังขารุเปกขาญาณแล้ว ต่อให้พระท่านจะสงเคราะห์เธอแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะสงเคราะห์ได้ เพราะการสั่งสมบุญบารมีในทางพระพุทธศาสนานั้น จะต้องมีการสั่งสมมานับเป็นแสนๆชาติ จึงจะสามารถทำกรรมฐานนั้นๆได้ จากนั้นก็มีเสียงๆหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ไม่ต้องกลัวตกนรกนะ ให้เธอลองดูดีๆว่าสภาวะจิตเธอเป็นอย่างไร พระท่านคอยช่วยควบคุมกำลังใจอยู่นะ อารมณ์ต่างๆจะขึ้นลงในแต่ละระดับภูมิธรรมให้ แต่ท่านจะปกปิดเอาไว้ และเรื่องนี้จะต้องเป็นความลับ เพราะถ้าหากว่าคนดีที่เกี่ยวข้องรู้เข้า เค้าจะเสียกำลังใจกันมาก เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น จึงเกิดความสงสัยว่าการแอบช่วยสงเคราะห์ของพระท่านนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ท่านจึงได้ให้คำตอบว่า นานมากแล้ว นานกว่าปีพ.ศ. ๒๕๕๖ และเผลอๆจะนานกว่านี้อีก เธออย่ารู้เลย เมื่อได้ยินดังนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตถามท่านว่า เรื่องที่เป็นอจินไตยเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านบอกว่าส่วนหนึ่งมาจากการทำงานพระศาสนาของข้าพเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2016
  10. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    อ่านได้แล้วกำลังใจในการทำดีต่อไป
    บางครั้งผมก็มีความรู้สึกนะว่า พระท่านเมตตาเราเหลือเกิน เราจะจะวอกแวกทำไม่ดีอีกเหรอ
    แต่สภาพใจที่มันหยาบช้า มันก็พลันหลุดไปเรื่อย แต่พระท่านเมตตาเราเรื่อยมา
    เราผิดท่านไม่ห่างจากเรา แต่เราทำตัวห่างจากท่านเอง อันนี้เป็นประสบการณ์ของตัวผมเองนะครับ เจริญกรรมฐานยังไม่ก้าวหน้า เพราะข้ออ้างมันเยอะ

    ชอบตรงเรื่องการมีขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ผมก็คิดเสมอๆนะครับ ช่วงอารมณ์ดีๆก็มักจะคิดเรื่องขันธ์ ๕ มันวุ่นวายกับการมีขันธ์ ๕ การเกิดเป็นคนนี่ไม่ดีเลย อะไรหลายๆอย่างประดังประเดเข้ามา ทำให้ใจเราวุ่น แล้วใจเรามันก็ใจง่ายไปวุ่นกับมันอีก


    บางทีก็เหนื่อย บางทีก็มีกำลังใจ ก็ต้องทำต่อไป ทำเพื่อพระ
     
  11. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่เป็นอจินไตยนั้นแล้ว ยอมรับตรงๆว่าใจหนึ่งก็รู้สึกลึกๆว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกไม่เชื่อเนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เป็นอจินไตยเป็นอย่างมาก เพราะคิดวิเคราะห์ดูแล้วว่า ถ้าหากว่าตนเองถูกวาระกรรมที่จะต้องโดนไสยศาสตร์เล่นงานทางจิตตามที่พระท่านบอกจริงๆ จิตย่อมไม่มีกำลังพอที่จะทรงอารมณ์ในภูมิธรรมเหล่านั้นได้เลย แล้วพระท่านใช้วิธีไหนในการควบคุมอารมณ์จิตนั้น พอนึกได้อย่างนี้ เลยตั้งใจว่าจะปล่อยสิ่งที่รู้มานี้ไว้กลางๆก่อน จนกว่าจะมีอะไรมาพิสูจน์ในซักวันหนึ่ง


    แต่ที่แน่ๆสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าในขณะนั้นก็คือ อารมณ์รู้สึกมึนตึ๊บกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตทั้งหมด เพราะนึกย้อนไปได้ว่า ตนเองเขียนเรื่องราวประสบการณ์มโนมยิทธิและญาณ ๘ ทั้งหมดก็เพราะกลัวตายลงในขณะที่จิตถูกไสยศาสตร์แล้วจะตกนรกและกลัวว่าทุกสิ่งที่ตนเองรู้มาจะหายไปกับตัว แต่นี่กลับเพิ่งมารู้จากพระท่านว่าท่านได้คอยควบคุมจิตของข้าพเจ้าไว้ตลอดและบอกให้ข้าพเจ้าไม่ต้องกลัวตกนรก ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เท่ากับว่าข้าพเจ้าถูกสถานการณ์ในขณะนั้นบีบบังคับให้ต้องเขียนสิ่งต่างๆออกมานั่นเอง พอมารู้ความจริงแบบนี้ ข้าพเจ้าถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรกับปัญหานี้ดี จึงได้แต่ทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองอย่างมิอาจที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลยแม้แต่น้อย


    หลังจากที่ฝึกกรรมฐานที่บ้านสายลมเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ไปทำบุญต่อที่บ้านวิริยบารมี ใจหนึ่งในขณะนั้นรู้สึกอยากจะไปร่วมงานหล่อสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานที่วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์)ที่จ.สระบุรีเหลือเกิน เพราะตั้งใจว่าจะขอทำเพื่อตอบแทนพระคุณท่านซักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกไม่อยากไปขึ้นมาดื้อๆ และในขณะที่รู้สึกอย่างนั้นที่บ้านวิริยบารมีนั่นเอง อยู่ๆก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า"ไป" ข้าพเจ้ารู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก เพราะเสียงนั้นมาพร้อมกับกระแสบารมีที่น่าจะเป็นพระ พรหม หรือเทวดาอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้


    แต่จนแล้วจนรอด ความรู้สึกที่อยากจะไปกับไม่อยากจะไปก็ดึงกันไปกันมาจนข้าพเจ้าบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนในชีวิต เลยตัดสินใจอยู่เฉยๆเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้คืออะไรกันแน่ และในที่สุดในตอนเช้าของวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ นั่นเอง ข้าพเจ้าก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าเหมือนถูกปลุก แล้วก็มานั่งงงๆอยู่ในบ้านพร้อมกับความรู้สึกอยากจะไปและไม่อยากจะไปดึงกันไปกันมาอย่างนั้น จนในที่สุดข้าพเจ้าทนไม่ไหว เลยตั้งใจขอบารมีทุกๆพระองค์ว่า ถ้าหากว่าสมควรจะไปจริงๆ ขอให้ท่านช่วยจัดการให้ด้วย โดยข้าพเจ้าจะนั่งอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลย และในที่สุดก็มีกระแสบางอย่างเข้ามาจริงๆ พาข้าพเจ้าขึ้นชั้นบนไปเก็บข้าวของทุกอย่างใส่ลงในเป้ภายในเวลาไม่ถึง ๓ นาที แล้วก็เดินตัวปลิวออกจากบ้านไปเลย นับเป็นสถิติการจัดกระเป๋าเดินทางที่เร็วที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าก็ว่าได้


    เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาถึงวัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์)จ.สระบุรีแล้ว ก็ได้เข้าไปติดต่อทางวัดเพื่อเข้าพักปฏิบัติธรรม และลงมายังลานด้านหน้าถ้ำเพื่อช่วยทางวัดในการจัดเตรียมงานหล่อสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพาน โดยเข้าไปช่วยยกกระถางต้นไม้ที่จะนำมาวางประดับบริเวณงานในวันนั้น เมื่อยกกระถางต้นไม้เสร็จ ข้าพเจ้าก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ไปไหว้พระตามจุดต่างๆภายในวัดเลย จึงได้เข้าไปกราบพระในถ้ำ ไหว้(ท่านพ่อ)พระนารายณ์ที่หน้าถ้ำ ไหว้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพร้อมกับอธิษฐานว่า ขึ้นชื่อว่า"คำว่า แพ้ ไม่มีในพระโพธิสัตว์ฉันใด" ขอข้าพเจ้าจงเป็นเช่นนั้นเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จากนั้นก็ไปไหว้พระศรีอริยเมตไตรย์พร้อมกับอธิษฐานอย่างเดียวกัน


    ยอมรับตามตรงว่าไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้อธิษฐานอย่างนั้น เพราะตอนนั้นอยู่ดีๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยได้ยินมาจากคลิป "อานุภาพวัตถุมงคล พิธีพุทธาภิเษก ๑ พ.ค. ๕๖ (ถ้ำนารายณ์)"ในยูทูป และได้อ่านเรื่องราวที่มาของเหรียญ"พระยอดฟ้า"มาอย่างนั้นก็เลยอธิษฐานไป พออธิษฐานเสร็จ ข้าพเจ้าก็เดินกลับไปยังบริเวณหน้าถ้ำอีกครั้งหนึ่ง และได้เข้าไปช่วยบรรดาพี่ๆที่วัดจัดเตรียมวัตถุมงคลที่จะแจกในวันงาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2016
  12. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ขณะที่กำลังช่วยม้วนตะกรุดยันต์เกราะเพชรอยู่นั้น กระแสไสยศาสตร์ก็เข้ามาเล่นงานข้าพเจ้าอีกครั้ง ถ้าถามว่ากรรมในแบบที่ว่านี้มันเป็นยังไง พระท่านเคยบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ให้ตอบคนอื่นๆให้เข้าใจด้วยการอธิบายว่า หากใครเคยรู้สึกเสียใจหรือเจ็บปวดจิตใจอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะด้วยการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก อกหัก หรือถูกต่อว่าประจานเสียๆหายๆอย่างรุนแรง ฯลฯ กรรมที่ข้าพเจ้าต้องเผชิญนั้นก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่จะเกิดขึ้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายครั้งหลายหน และไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย พระท่านบอกว่าถ้าหากเปรียบเทียบแบบนี้แล้ว คนอื่นๆจะเข้าใจดีว่าการถูกบีบคั้นจิตใจอย่างถึงที่สุดด้วยวิชาพวกนี้นั้นเป็นอย่างไร


    ในขณะที่ข้าพเจ้าต้องเผชิญกรรมที่ว่านี้อีกครั้งนั้น ความรู้สึกถูกบีบคั้นจิตใจอย่างรุนแรงก็เข้ามาอีกครั้ง พร้อมๆกับความรู้สึกเจ็บปวดใจว่าตนเองกำลังถูกฉีกหน้าและถูกประจานให้กลายเป็นคนโรคจิตโรคประสาทต่อหน้าธารกำนัลอีกครั้ง ถ้าถามว่าตอนนั้นรู้สึกยังไง ต้องขอตอบว่าเจ็บปวดใจมากถึงที่สุดจริงๆ และก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งตลอดมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๖ และในขณะที่กำลังรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงอยู่นั่นเอง อยู่ดีๆความรู้สึกโกรธก็พุ่งขึ้นมาในใจอย่างประหลาด พร้อมกับพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "ทำอะไรให้เกรงใจข้างบน(ฟ้า)บ้าง" การพูดในครั้งนั้นข้าพเจ้าไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เป็นการพูดเป็นนัยๆออกมา โดยที่ในใจรู้ว่ามีท่านบางท่านที่กำลังโกรธมากและต้องการจะเตือนให้คนเหล่านั้นรู้ตัวว่าการทำเช่นนี้เป็นการไม่ให้เกียรติสมเด็จองค์ปฐม เนื่องจากงานนี้เป็นงานของท่านและข้าพเจ้าก็มาทำงานให้ท่านโดยตรง


    หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ข้าพเจ้ายอมรับตรงๆว่ารู้สึกหมดกำลังใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าที่จะไปเผชิญหน้ากับใครในวัดอีกเลย แล้วก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วยงานใดๆอีกด้วย เนื่องจากรู้แล้วว่าวาระกรรมเช่นนี้ไม่เอื้ออำนวยให้ข้าพเจ้าทำอะไรๆได้เลยแม้แต่น้อย มีแต่จะสร้างปัญหาเสียด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าเข้านอนในวันนั้นด้วยความรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก เพราะตั้งใจจะมาช่วยงานวัดเพื่อตอบแทนพระคุณของสมเด็จองค์ปฐม แต่กลับกลายจะเป็นคนโรคจิตโรคประสาทหรือคนทรงแทน ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎระเบียบของทางวัดเป็นอย่างยิ่ง ในความรู้สึกสิ้นหวังนั้น ข้าพเจ้าได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานต่อสมเด็จองค์ปฐมและทุกๆพระองค์อย่างเงียบๆ ขอให้ข้าพเจ้าสามารถอยู่ที่วัดจนถึงวันงานได้อย่างราบรื่น แล้วก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งจิตใจและร่างกาย


    ในวันรุ่งขึ้น ทุกๆอย่างก็ค่อยๆเข้าสู่ความสงบอย่างน่าประหลาด มีแต่เพียงกระแสไสยศาสตร์บางๆมาควบคุมไว้แต่ไม่ได้บีบคั้นจิตใจนัก ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่า นับตั้งแต่วาระกรรมนี้เข้ามา ไม่ใช่ว่าจะบีบคั้นจิตใจอย่างถึงที่สุดตลอดเวลา แต่จะมาเป็นระยะๆตามแต่อารมณ์ของผู้ทำ แต่ตลอดเวลานั้นจะมีกระแสคอยควบคุมความคิดและจิตใจอยู่ตลอด ซึ่งตรงนี้มีข้อดีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ทำให้ข้าพเจ้าไม่ต้องมานั่งกลัดกลุ้มกับกรรมที่ตัวเองกำลังเผชิญมากจนเกินไป และสามารถปล่อยวางเรื่องอจินไตยที่พระท่านบอกมาได้โดยไม่หวนกลับไปคิดอีก แต่ข้อเสียของการอยู่ในสภาวะนี้ก็มีอีกเช่นกัน เพราะจะทำให้ในบางครั้งถูกปั่นความคิดจนฟุ้งซ่าน และหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไปชั่วขณะ ทำให้การทำงานหลายๆอย่างเกิดความผิดพลาดขึ้น และในบางทีก็เดินชนนู่นชนนี่ให้ต้องเจ็บตัว แต่ในเมื่อมันเป็นกฎของกรรม อย่างไรก็ไม่อาจหลีกพ้น ข้าพเจ้าจึงได้พยายามตั้งใจทำความดีเพื่อหนีกรรมให้ได้มากที่สุด


    ในขณะที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่นั้น อยู่ดีๆก็มีเสียงเข้ามาบอกข้าพเจ้าในทำนองว่า ท่านเข้าใจที่ข้าพเจ้าไม่สามารถจะช่วยงานได้ เอาอย่างนี้ละกันให้ข้าพเจ้ากวาดใบไม้ทำความสะอาดบริเวณวัดแทน ถือว่าเป็นการช่วยงานจัดเตรียมสถานที่เหมือนกัน จากนั้นตาของข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นไม้กวาดกับถังใส่เศษใบไม้วางอยู่ จึงลงมือตั้งหน้าตั้งตากวาดวัดตามจุดต่างๆตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา และในช่วงที่ข้าพเจ้าทำหน้าที่กวาดใบไม้อยู่นั่นเอง ก็มีกระแสบางอย่างเข้ามาพูดถึงเรื่องความทุกข์ให้ข้าพเจ้าเห็นและคิดตาม ว่าการเกิดมามีชีวิตนั้นเป็นความทุกข์อย่างไร ดูอย่างง่ายๆก็คือการที่ข้าพเจ้าต้องเผชิญกับกฎแห่งกรรมอยู่ในขณะนี้ การเข้ามาพูดนี้เป็นการเข้ามาแบบทีละนิดทีละหน่อย ให้พอเห็นภาพโดยยกตัวอย่างจากความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันกับตัวของข้าพเจ้าเอง และพอข้าพเจ้าเห็นภาพนิดๆหน่อยๆแล้ว เสียงนั้นก็จะหายไปแล้วก็ปล่อยให้ข้าพเจ้ากวาดวัดต่อไปโดยไม่ได้เร่งรัดให้ข้าพเจ้าพิจารณาธรรมจนมากเกินไปนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2016
  13. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ข้าพเจ้ายอมรับว่าการมาช่วยงานและปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ ใช่ว่าจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางวัดได้ครบถ้วนร้อยเปอร์เซนต์ เนื่องจากมาแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย จึงต้องค่อยๆดูว่าช่วงเวลาไหนจะต้องทำอะไรบ้าง อาศัยดูจากคนอื่นๆบ้าง และในการเดินจงกรมวันแรกนั้น อยู่ดีๆก็มีกระแสเสียงหนึ่งเข้ามาในความคิดของข้าพเจ้าว่า ถ้าหากข้าพเจ้าจะขอในเรื่องของวาระกรรมในครั้งนี้ ท่านไม่สามารถจะให้ได้นะ แต่ถ้าขอในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ท่านจะให้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าในชีวิตนี้นับตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมา ไม่เคยเรียนการเดินจงกรมในขั้นพื้นฐานเลย อาศัยแต่การปฏิบัตินิดๆหน่อยๆในทุกอิริยาบถตามที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านสอนมากกว่า จึงได้ขอท่านให้ช่วยสอนการเดินจงกรมตั้งแต่พื้นฐานให้ เนื่องจากไม่มีความรู้ในทางทฤษฎีในส่วนนี้เหมือนกับคนอื่นๆเลย


    และในขณะที่ข้าพเจ้าเริ่มเดินจงกรมพร้อมๆกับคนอื่นๆนั้น ก็มีกระแสบางอย่างเข้ามาจริงๆ โดยในขณะที่กำลังก้าวเท้าเดินจงกรมอยู่นั้น ท่านก็ให้ข้าพเจ้าเริ่มจากอานาปานุสติก่อน เนื่องจากกรรมฐานทุกกองจะต้องขึ้นด้วยกองนี้ทั้งนั้น เมื่อจิตมีความสงบระดับหนึ่งแล้ว ท่านก็ดึงจิตข้าพเจ้าให้ขึ้นสู่กายคตานุสติกรรมฐาน ระลึกรู้ร่างกายทั้งหมดและการเคลื่อนไหวก้าวเท้าซ้ายขวาที่กำลังเกิดขึ้น อันเป็นส่วนของสมถะกรรมฐาน เมื่อรู้แล้ว ท่านก็เปลี่ยนให้ข้าพเจ้ามาทำกายคตานุสติกรรมฐานในส่วนของวิปัสสนากรรมฐานแทน โดยให้พิจารณาถึงร่างกายว่าร่างกายคนเรานั้นตายไหม อันเป็นการใช้มรณานุสติเข้ามาร่วม พอข้าพเจ้าเห็นว่าร่างกายคนเรานั้นตายแน่ ท่านก็ดึงจิตข้าพเจ้าเข้าสู่พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ควบด้วยอุปสมานุสติต่อ โดยให้คิดสั้นๆนิดเดียวว่า "เรานั้นจะต้องตายแน่ ถ้าหากว่าเราตายเมื่อไหร่ ขอยึดพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง และขอนิพพานไม่ขอกลับมาเกิดอีก" เมื่อข้าพเจ้าคิดดังนี้แล้ว ก็มีเสียงบอกแก่ข้าพเจ้าว่า อันนี้เป็นการปฏิบัติแบบสุขวิปัสสโกแบบง่ายๆนะ โดยเริ่มตั้งแต่อานาปานุสติ แล้วเข้าสู่กายคตานุสติแบบสมถะก่อน จากนั้นค่อยเข้าสู่กายคตานุสติแบบวิปัสสนาโดยเอามรณานุสติเข้ามาร่วม เพื่อใช้ตัดร่างกายขึ้นสู่อารมณ์พระโสดาบันในที่สุด จากนั้นท่านก็ทิ้งคำถามไว้เป็นปริศนาให้แก่ข้าพเจ้าว่า กายคตานุสติกรรมฐาน กับ กายานุปัสสนา ในมหาสติปัฏฐาน ๔ นั้น เธอคิดว่าแทบจะเป็นอันเดียวกันไหม ?


    เมื่อเดินจงกรมเสร็จ ข้าพเจ้าก็ร่วมทำกิจกรรมกับทางวัดต่อ โดยการเก็บใบไม้ในบริเวณลานจงกรม เมื่อเก็บเสร็จ ข้าพเจ้าก็แยกตัวออกมาเพื่อไปกวาดเศษใบไม้ตามจุดต่างๆต่อไป และในระหว่างที่กำลังเดินไปยังบริเวณที่มีใบไม้นั้น ก็มีกระแสเข้ามาดึงจิตข้าพเจ้าให้เข้าสู่อารมณ์การเดินจงกรมในขณะที่กำลังเดินไปด้วยเป็นระยๆ โดยเข้ามาทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็ปล่อยให้ข้าพเจ้าเดินตามสบาย จากนั้นก็มีกระแสเข้ามาให้ข้าพเจ้าพิจารณาทุกข์จากกฎแห่งกรรมทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็ปล่อยข้าพเจ้าตามสบายเช่นกัน สำหรับการกวาดเศษใบไม้เพื่อจัดเตรียมสถานที่นั้น มีกระแสๆหนึ่งผ่านเข้ามายังความคิดของข้าพเจ้าว่า ให้แบ่งเวลาการกวาดใบไม้สลับกับการปฏิบัติธรรมด้วย โดยเมื่อข้าพเจ้ากวาดใบไม้ที่จุดๆหนึ่งเสร็จ หรือกวาดใบไม้ซักประมาณครึ่งชั่วโมง ท่านก็จะให้ข้าพเจ้าเดินจงกรม ณ สถานที่นั้นๆด้วย โดยในขณะที่เดินจงกรมนั้น บางครั้งท่านก็จะให้ทำแบบสุขวิปัสสโกแบบง่ายๆอย่างที่ท่านสอน บางครั้งก็จะให้ทำแบบมโนมยิทธิโดยแบ่งจิตขึ้นไปจงกรมบนพระนิพพานด้วย เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าเบื่อ และเมื่อทำไปซักระยะหนึ่ง ท่านก็จะให้พิจารณาในพรหมวิหาร ๔ แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งแผ่เมตตาให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และบุคคลทั้งหลายที่เป็นศัตรูด้วย จากนั้นก็ให้ข้าพเจ้ากลับไปกวาดใบไม้ต่อ


    และเมื่อกวาดใบไม้เสร็จ ท่านก็ให้ข้าพเจ้าเข้าไปในโบสถ์เพื่อสวดมนต์ด้วย เพื่อสลับกับการภาวนา ในตอนนั้นเวลาที่เปิดไปเจอบทสวดมนต์บทไหนแล้วอยากสวดก็จะสวดหมด แต่มีบทสวดอยู่บทหนึ่งที่สะดุดใจเป็นครั้งแรก เพราะไม่น่าจะเคยสวดเลยนับตั้งแต่จำความได้ บทนั้นก็คือคือบทอนัตตลักขณสูตร อันเป็นบทสวดมนต์ที่ว่าด้วยขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณนั้นมีสภาพเป็นทุกข์ ไม่เที่ยงหาความคงตัวไม่ได้ แล้วก็สลายไปไม่มีตัวตน ซึ่งก็คือทุกขัง อนิจจัง อนัตตาในไตรลักษณ์นั่นเอง และในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังสวดอยู่นั้น ก็มีกระแสบางอย่างเข้ามาให้ข้าพเจ้าพิจารณาตามไปด้วยว่า ขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณนั้นมันมีสภาพทุกข์ขนาดไหน โดยดูจากกฎแห่งกรรมที่เข้ามาสนองข้าพเจ้าอันเป็นส่วนของจิตใจคือเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณโดยตรง ข้าพเจ้ายอมรับว่าท่านฉลาดมากที่สอนข้าพเจ้าแบบนี้ เพราะท่านทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านได้ปูพื้นฐานในเรื่องทุกข์ในอริยสัจกับไตรลักษณ์ โดยยกตัวอย่างจากกฎแห่งกรรมที่ต้องเผชิญให้เห็นก่อน จากนั้นก็ให้ข้าพเจ้ามาสวดมนต์บทนี้ เพื่อให้เห็นชัดๆว่าขันธ์ ๕ ที่พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็นทุกข์นั้น มันเป็นทุกข์ขนาดไหน และอย่างไร และวิธีการที่ท่านสอนข้าพเจ้าในขณะนั้นก็คือ ให้ข้าพเจ้าระลึกนึกถึงและพิจารณาสภาวะในขณะที่กฎแห่งกรรมเข้ามาสนองทางด้านจิตใจโดยตรง เพื่อให้จิตใจขณะนั้นเห็นว่าขันธ์ ๕ คือร่างกาย อันเป็นตัวเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณนั้น มันเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ขนาดไหน ถ้าหากว่าไม่มีมันแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องมานั่งรับความทุกข์ขนาดนี้ จากนั้นท่านก็ให้พิจารณาต่อว่า นอกจากมันจะทุกข์แล้ว มันยังมีสภาพไม่เที่ยงอีกด้วย เพราะสุดท้ายแล้วมันก็จะต้องสลายลงจบลงด้วยความตาย และจากนั้นสภาพร่างกายคือขันธ์ ๕ ทั้งหมด ก็จะต้องย่อยสลายกลายไปเป็นธาตุ ๔ และไปประกอบอยู่ในส่วนต่างๆของธรรมชาติต่อไป ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆคือ ผิวหนังของข้าพเจ้าที่เป็นธาตุดิน เมื่อตายลงก็จะย่อยสลายกลายเป็นดินและไปหมุนเวียนกลายเป็นต้นไม้บ้าง ไปเป็นขาของกิ้งกือ ไส้เดือนบ้าง ดังนั้นให้ดูดีๆว่าธาตุดินหน่วยหนึ่งๆในร่างกายเรานั้น มันเคยเป็นอะไรมาแล้วบ้างในวัฎสงสารนี้ แล้วข้าพเจ้าจะเห็นว่า มันเคยเป็นมาแล้วสารพัดนับไม่ถ้วน นับตั้งแต่ขี้วัว ขี้ควาย ขี้คน เนื้อสมอง หัวใจ ปอด ลำไส้ ฯลฯ บางครั้งมันก็เป็นอวัยวะของสัตว์ต่างๆบ้าง สรุปแล้วมันหาตัวตนของมันไม่ได้จริงๆ แล้วอย่างนี้มันถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเราไหม? ตอนนั้นข้าพเจ้ายอมรับว่าพอได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกปลงมากๆจริงๆ เพราะนอกจากจะทุกข์แล้ว มันยังหาความยั่งยืนเป็นแก่นสารอะไรไม่ได้ซักอย่าง แถมยังต้องมานั่งเวียนว่ายตายเกิดซ้ำๆซากๆให้เป็นทุกข์อีก


    หลังจากสวดมนต์เสร็จ ท่านก็ให้ข้าพเจ้าไปนั่งสวดพระคาถาเงินล้านที่พระปัจเจกพุทธเจ้าอีก โดยให้เหตุผลว่า นอกจากจะต้องกวาดใบไม้ เดินจงกรม ปฏิบัติธรรม และสวดมนต์แล้ว การสวดพระคาถาเงินล้านที่เคยทำมาทุกวันวันละ ๑๐๘ จบ ก็จะขาดไม่ได้ จะต้องทำให้ครบถ้วนทั้งหมด โดยแบ่งเวลาสลับกันทำ เมื่อสวดพระคาถาเงินล้านเสร็จ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปห้องพักเพื่ออาบน้ำ ซักผ้า และเตรียมตัวทำวัตรเย็น ในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่นั้น ท่านก็ให้ข้าพเจ้าฟังเสียงธรรมตามสายไปด้วย แล้วก็ให้ทำอารมณ์พระโสดาบันนิดๆหน่อยๆไปด้วย จากนั้นก็ให้ขัดห้องน้ำนิดๆหน่อยๆแล้วรีบลงมาทำวัตรเย็น


    ในการทำวัตรเย็นนั้น ขณะที่กำลังสวดมนต์แต่ละบทอยู่ ท่านจะให้ข้าพเจ้าดูความหมายของบทสวดและคิดพิจารณาตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในบทกรณียเมตตาสูตร ท่านก็จะให้นึกถึงกรรมฐานพรหมวิหาร ๔ ที่เคยทำ พร้อมกับตั้งจิตแผ่เมตตาอันไม่มีประมาณให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย ส่วนบทขันธปริตรนั้น ท่านก็จะให้แผ่เมตตาจิตแก่พญางูในสกุลต่างๆ สัตว์ที่ไม่มีเท้า มี ๒ เท้า มี ๔ เท้า และมีหลายเท้าไปด้วย เมื่อมาถึงบทพิจารณาปัจจัย ๔ ท่านก็จะให้พิจารณาถึงความหมายและบอกให้ข้าพเจ้ายึดถือเป็นหลักปฏิบัติด้วยโดยให้ค่อยๆทำไป โดยยึดโยงเข้ากับบทมงคลสูตรว่าด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ ว่าในฐานะผู้บวชเนกขัมมะ(ศีล๘)จะต้องมีความสำรวมระวังในการใช้เครื่องนุ่งห่ม การบริโภคอาหารและยา รวมถึงการใช้เสนาสนะเครื่องใช้สอยต่างๆ ไม่ให้เกินพอดีและอยู่ในกามคุณ ๕ จนเกินไป และการปฏิบัติธรรมนั้นจะต้องเป็นผู้เห็นอริยสัจคือความทุกข์ด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2016
  14. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ในเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าก็ทำวัตรเช้าตามปกติ โดยมีกระแสไสยศาสตร์มาเล่นงานเป็นระยะๆเพื่อขัดขวางการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก็เกิดแทบจะตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ข้าพเจ้าต้องเผชิญกับวาระกรรมที่ว่านี้ จนบางครั้ง ข้าพเจ้าก็คิดอยู่เหมือนกันว่า เขาฉลาดมากที่ใช้วิธีการเช่นที่ว่านี้ในการเล่นงานข้าพเจ้า เพราะหากจะใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายข้าพเจ้าให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร สู้ใช้วิธีการเล่นงานและควบคุมทางจิตใจและความคิดการกระทำของข้าพเจ้าจะดีกว่า เพราะคนในยุคปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ไม่เชื่อแน่ว่าไสยศาสตร์หรือศาสตร์ทางจิตต่างๆนั้นมีจริง ดังนั้นจึงสามารถเล่นงานข้าพเจ้าได้อย่างแนบเนียนที่สุด อีกทั้งยังได้ประโยชน์หลายทาง คือสามารถควบคุมข้าพเจ้าไว้เป็นเครื่องมือสร้างสถานการณ์หรือทำอะไรก็ได้ อีกทั้งยังสามารถดิสเครดิตสิ่งที่ข้าพเจ้าไปรู้เห็นมา อันเป็นการดิสเครดิตการปฏิบัติธรรมในสายมโนมยิทธิว่าเป็นการ"มโน"หรือคิดไปเองได้อีกด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้ว ทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพระพุทธศาสนาทั้งหมด เพราะเป็นการทำลายรากฐานสำคัญในการพิสูจน์ความจริงที่ว่า การเวียนว่ายตายเกิดและภพภูมิต่างๆนั้นมีจริงนั่นเอง


    ถ้าถามว่า การที่เขาใช้วิธีการเช่นนี้ขัดขวางการทำความดีของข้าพเจ้าเพื่ออะไร ส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่า เขาคงคิดว่าการขัดขวางเช่นนี้จะทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถสร้างบุญกุศลเพื่อมาช่วยเหลือตนเองได้ แต่ลึกๆข้าพเจ้าก็รู้ว่าเขาคิดผิด เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะสร้างบาปอย่างร้ายแรงให้แก่ตัวผู้กระทำและผู้ร่วมขบวนการเสียมากกว่า เนื่องจากข้าพเจ้ารู้อยู่ในใจว่า สิ่งที่ท่านบอกแก่ข้าพเจ้าว่าท่านจะช่วยควบคุมกำลังจิตให้ขึ้นลงในแต่ละระดับภูมิธรรมให้และปกปิดไว้นั้น เป็นความจริงอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะก่อนที่ท่านจะบอกเล่าเรื่องราวนี้แก่ข้าพเจ้านั้น ท่านได้เปิดเผยเหตุผลและที่มาที่ไปให้แก่ข้าพเจ้าในขณะที่กำลังฝึกมโนมยิทธิกับหลวงพี่อาจินต์ว่า พุทธภูมิที่มีบารมีเต็มนั้น จะต้องเข้าถึงอารมณ์พระอรหันต์อย่างเต็มเปี่ยม และผ่านการเรียนรู้อารมณ์พระอริยเจ้าในแต่ละระดับมาแล้ว และตัวข้าพเจ้าเองนั้น การที่ปฏิบัติอยู่ในส่วนของมานะกิเลสนั้น จริงๆแล้วก็คือการปฏิบัติในส่วนของสังโยชน์ตัวที่ ๘ อันเป็นส่วนของอรหันตมรรคนั่นเอง ดังนั้นขอให้มั่นใจนะว่าบารมีใกล้เต็มแล้ว


    ข้าพเจ้ายอมรับตรงๆว่า ณ ขณะที่ได้ยินนั้น ส่วนหนึ่งก็ตกใจและพยายามทำใจให้เป็นกลางหรืออุเบกขาให้เร็วที่สุด เพราะการที่ถูกอบรมมาในส่วนของมานะกิเลสนั้น จะรับรู้ได้เลยว่า การรู้เห็นเช่นนี้ อาจก่อให้เกิดมานะกิเลส ซึ่งเป็นกิเลสที่จะส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าในอนาคตได้ เนื่องจากข้าพเจ้าถูกสอนมาว่า บุคคลที่มีบารมีใกล้เต็มแล้วนั้น จะเป็นบุคคลที่มีมานะกิเลสเบาบางมากหรือแทบจะไม่มีเลย ดังเช่นหลวงปู่หลวงพ่อหลายๆองค์ที่พระท่านชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านไม่ถือตัวและมีมานะกิเลสเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจมากและก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ตนเองไม่มีมานะกิเลสเหมือนเช่นหลวงปู่หลวงพ่อองค์นั้นๆมาโดยตลอดนั่นเอง สำหรับอีกใจหนึ่งนั้น หลังจากที่ได้ยินเรื่องดังกล่าวแล้ว ก็รู้สึกมีกำลังใจดีขึ้นมาก พอที่จะมีกำลังกายและกำลังใจเผชิญหน้ากับวาระกรรมต่อไป แต่อีกใจหนึ่งนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นทุกข์มาก และก็คิดว่า นี่ขนาดเกิดมาชาตินี้ ยังต้องเผชิญกับวิบากกรรมและการทำบารมีจนทำให้จิตใจต้องเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัสขนาดนี้ หากจะต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อทำบารมีให้เต็มอีก ส่วนตัวคงจะรับกับความทุกข์ไม่ไหวแน่ จึงได้ตั้งใจว่าจะลาพุทธภูมิเพื่อเข้าพระนิพพานดีกว่า และในขณะที่คิดเช่นนั้น ก็ปรากฎเสียงบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ถ้าจะลาขาดตอนนี้เลยยังไม่ได้นะ เพราะหน้าที่ที่จะต้องมาทำยังค้างคาอยู่ และต้องอาศัยกำลังใจพุทธภูมิ ขอให้ทำงานต่อไปก่อน


    หลังจากรู้ดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ตั้งใจฝึกมโนมยิทธิต่อไป แต่บุคคลที่กระทำไสยศาสตร์ก็ยังเล่นงานข้าพเจ้าไม่หยุด แม้กระทั่งในขณะที่กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกแย่เป็นอย่างมาก จึงได้ตั้งจิตบอกกับพระท่านว่า การที่ข้าพเจ้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเสียเปรียบบรรดานักปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆเป็นอย่างมาก ที่ได้ปฏิบัติในอารมณ์พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ได้อย่างเต็มที่ แต่กับตัวข้าพเจ้าเอง กลับต้องถูกกลั่นแกล้ง ขัดขวางอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่ท่านเองก็ได้สอนอารมณ์ในระดับต่างๆให้ข้าพเจ้านำไปปฏิบัติแล้ว แล้วอย่างนี้ข้าพเจ้าจะปฏิบัติทันพี่ๆน้องๆเพื่อเข้าพระนิพพานได้อย่างไร เมื่อข้าพเจ้าบอกกับท่านดังนั้น ท่านจึงได้บอกกับข้าพเจ้าว่า ท่านคอยควบคุมกำลังใจของข้าพเจ้าในระดับภูมิธรรมต่างๆให้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปได้เนื่องจากการที่ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงอารมณ์สังขารุเปกขาญาณในขณะที่ทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งนั้นได้ และสามารถเรียนรู้อารมณ์พระอริยเจ้าระดับต่างๆที่ท่านสอนให้ได้ นั่นหมายถึงว่า ข้าพเจ้าได้สั่งสมบารมีในอารมณ์พระอริยเจ้าในระดับต่างๆมานับเป็นแสนๆชาติแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2016
  15. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    บันทึกการทำงานพระพุทธศาสนา



    ถ้าถามว่า ผลกรรมของบุคคลที่ทำต่อข้าพเจ้านั้นมีผลรุนแรงมากน้อยเพียงใด เสียงๆหนึ่งเคยบอกกับข้าพเจ้าว่า สิ่งที่เขาทำนอกจากจะตั้งใจทำลายพระพุทธศาสนาผ่านทางข้าพเจ้าแล้ว ผลกรรมใดๆก็ตามจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับระดับจิตของข้าพเจ้าในขณะนั้นๆ ถ้าหากขณะนั้นจิตของข้าพเจ้าทรงอยู่ในอารมณ์พระอริยเจ้าระดับใดระดับหนึ่ง แม้จะเป็นอารมณ์เทียบเท่าเนื่องจากเป็นพระโพธิสัตว์ก็ตาม แต่ผลกรรมนั้นก็จะเทียบเท่ากับการที่บุคคลนั้นๆกระทำกับพระอริยเจ้าในระดับนั้นๆเหมือนกัน ถ้าหากถามข้าพเจ้าว่าเชื่อสิ่งที่พูดมานี้หรือไม่ ยอมรับตรงๆว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อ และถึงแม้จะเป็นความจริง ข้าพเจ้าก็คงจะไม่พูดออกไป เพราะบุคคลผู้กระทำนั้น ก็คงไม่เชื่อ และอาจจะเกิดผลเสียหายในทางที่จะทำให้เค้าก่อกรรมกับข้าพเจ้าหนักมากขึ้นไปอีก


    อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็พยายามที่จะวางเฉย และตั้งหน้าตั้งตาทำความดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากต้องการจะทำความดีหนีอกุศลกรรมและเรื่องราวต่างๆนี้ให้เร็วที่สุด ดังนั้นตลอดระยะเวลา ๗ วันที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)แห่งนี้ ข้าพเจ้าจึงได้ตั้งใจปฏิบัติและศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรดาท่านต่างๆมาสอนให้ดีที่สุด ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากท่านเหล่านั้นว่า คนที่ทำบารมีเป็นพระโพธิสัตว์นั้นนอกจากจะต้องมาทางสายอภิญญาแล้ว จะต้องมาทางสายปฏิสัมภิทาญาณด้วย โดยจะต้องรู้กรรมฐานกองต่างๆในพระพุทธศาสนาอย่างแจ่มแจ้ง จะต้องรู้ถึงการเชื่อมโยงของกรรมฐานกองต่างๆเพื่อเอามาสอนให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากคนๆนี้มาทางสายสุขวิปัสสโกก็จะต้องสอนแบบหนึ่ง แต่ถ้าหากคนๆนี้มาทางสายอภิญญาก็จะต้องสอนอีกอย่างหนึ่ง หรือถ้าหากบุคคลใดกำลังใจมาทางเครื่องรางของขลัง ก็จะต้องรู้จักให้เครื่องรางของขลังตามกำลังใจของเขา แล้วสอดแทรกการทำความดีผ่านทางพุทธคุณเครื่องรางของขลังไป และสำหรับความรู้ในทางศาสตร์อื่นๆนั้น จะต้องรู้ด้วยว่า บุคคลที่มีความรู้อย่างแท้จริงในแต่ละศาสตร์นั้นมีอยู่ แต่อยู่ที่ว่าตัวเราเองนั้นจะมีบุญวาสนาบารมีเพียงพอที่จะได้พบเจอกับบุคคลเหล่านั้นหรือไม่ จากนั้นท่านก็ตำหนิว่า อย่างตัวข้าพเจ้าเองนั้น รู้ทั้งรู้อยู่ว่าศาสตร์ทางจิตในพระพุทธศาสนานั้นมีจริง และก็รู้ว่าต้องอาศัยระยะเวลาในการปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ และก็รู้ว่าบุคคลที่เข้าถึงได้จริงนั้นมีจริง แต่ทั้งๆที่รู้อย่างนี้ กลับไม่รู้จักคิดต่อว่า ศาสตร์ทางจิตอื่นๆที่ไม่ใช่พุทธศาสตร์นั้นก็อาจจะมีอยู่จริงเช่นกัน ซึ่งต้องรู้จักใช้หลักกาลามสูตรคือไม่เชื่อหรือปฏิเสธไว้ก่อน แล้วหาหนทางพิสูจน์ และตัวข้าพเจ้าเองนั้น กว่าจะรู้ว่าไสยศาสตร์นั้นมีจริง ก็สายไปเสียแล้ว ทั้งๆที่ท่านก็เคยบอกเคยเตือนมาหลายวาระแล้วเช่นกัน


    จากนั้นท่านก็ตำหนิต่อว่า ทั้งๆที่ข้าพเจ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา และจบการศึกษาจากธรรมศาสตร์มาแท้ๆ กลับไม่รู้จักถึงคำว่าปัญญาคือความรอบรู้ในพระพุทธศาสนา และคำว่ารอบด้าน(well-rounded)ในทางสังคมศาสตร์ ทั้งๆที่สองคำนี้มีความหมายเดียวกัน นั่นก็คือ การเป็นบุคคลที่มีความรู้รอบ ไม่รู้เพียงศาสตร์เดียวหรือสองศาสตร์ แต่รู้รอบในทุกๆศาสตร์ และไม่ปฏิเสธศาสตร์ที่ตนเองยังไม่รู้จริง ว่าไม่มีหรือเหลวไหล และนับแต่นี้เป็นต้นไป จงอย่าปฏิเสธหรือต่อว่าศาสตร์ใดๆที่ตนเองยังไม่รู้จริงเป็นอันขาด เพราะตัวเราเองนั้นอาจจะยังไม่พบเจอกับผู้ที่รู้จริงและเข้าถึงจริงในศาสตร์นั้นๆก็เป็นได้ ขอให้จำเอาไว้ เมื่อเสียงนั้นสิ้นสุดลง ก็ปรากฎภาพหลวงพ่อพระราชพรหมยานขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ


    นอกเหนือจากสิ่งต่างๆเหล่านี้แล้ว ท่านยังสอนให้ข้าพเจ้าปฏิบัติในอารมณ์พระโสดาบันและขึ้นสู่อารมณ์พระอรหันต์อย่างง่ายๆโดยใช้การพิจารณาขันธ์ ๕ ในอนัตตลักขณสูตรควบกับทุกข์ในอริยสัจ ๔ อีกด้วย และนอกจากใช้วิธีพิจารณาแล้ว ท่านก็ได้สอนวิธีทำอารมณ์พระอรหันต์แบบง่ายๆ โดยต่อยอดมาจากการพิจารณาขันธ์ ๕ และทุกข์ในอริยสัจ ๔ ซึ่งในส่วนนี้นับว่าแปลกมาก เพราะข้าพเจ้าได้มาจากเสียงของสมเด็จพระพุฒาจารย์เกี่ยว(วัดสระเกศ)ที่เปิดภายในวัดเขาวงศ์(ถ้ำนารายณ์)ในเสี้ยวไม่กี่วินาที ที่บังเอิญตรงกับการพิจารณาในขณะนั้นพอดี โดยเป็นการให้วิธีการคิดแบบง่ายๆลัดๆ อันเป็นการเสริมต่อจากวิธีการพิจารณาโดยละเอียดพอดี


    นอกจากนั้น ท่านยังสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักทานอาหารโดยพิจารณาธรรมไปด้วย โดยบทเรียนที่ว่านี้เกิดขึ้นในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะรับประทานอาหารในช่วงเช้าวันที่ ๓ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังตักอาหารอยู่นั้น อยู่ดีๆก็มีเสียงพระองค์หนึ่งมาพูดในทำนองว่า ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น จะต้องรู้จักพิจารณาอาหารด้วย แล้วท่านก็บอกต่อว่าจะสอนให้นะ ซึ่งข้าพเจ้ายอมรับว่า ตนเองเป็นคนที่ชอบทานอาหารอร่อยๆมาก พอได้ยินแบบนี้ ก็รู้สึกอึดอัดใจมากเพราะไม่รู้ว่าจะสามารถรับกับบทเรียนนี้ได้หรือไม่ เพราะเคยอ่านเรื่องราวจากลูกศิษย์หลวงพ่อบางคนที่เล่าว่า หลวงพ่อเคยชี้กุ้งที่อยู่ในชามอาหารว่าเป็นศพกุ้ง แล้วภาพศพกุ้งก็เกิดขึ้นมาจริงๆ อันเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญากรรมฐาน พอข้าพเจ้าคิดดังนั้น ท่านก็พูดขึ้นมาว่า ท่านจะค่อยๆสอนแบบง่ายๆให้ รับรองว่าไม่เป็นการฝืนใจข้าพเจ้าจนเกินไปอย่างแน่นอน ให้ข้าพเจ้าลองคิดดูว่า นับตั้งแต่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมมานั้น เวลาที่มีท่านต่างๆมาสอน ท่านไม่เคยสอนในสิ่งที่เกินกำลังใจของข้าพเจ้าเลย มีแต่จะค่อยๆบอก ค่อยๆสอน ค่อยๆปรับให้ข้าพเจ้าเคยชินขึ้นไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง จากนั้นท่านก็พูดต่อไปว่า ให้ลองดู สนุกนะ ข้าพเจ้าจะได้รู้จักวิธีพิจารณาอาหารไว้เป็นประสบการณ์และเป็นแนวทางในการปฏิบัติในอนาคตต่อไปด้วย


    หลังจากที่ท่านพูดกระตุ้นความสนใจอยากรู้ของข้าพเจ้าเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจว่าลองดูก็แล้วกัน จากนั้นก็เริ่มตักอาหารใส่จานหลุมของตัวเอง เห็นอะไรน่าสนใจก็ตัก แต่แปลกที่ว่า พอตักใส่จานทีไร มือมันจะเทอาหารลงไปในหลุมกลางอย่างเดียวทุกครั้ง จนอาหารคาวที่ข้าพเจ้าตักมาทั้งหมดมารวมกันอยู่ในหลุมเดียว ส่วนของหวานนั้นจะแยกอยู่ในอีกหลุมต่างหาก และก่อนจะเริ่มทานนั้น ข้าพเจ้าก็จะถวายข้าวพระเพื่อเป็นพุทธบูชาเสียก่อน จากนั้นจึงอธิษฐานลามารับประทาน โดยก่อนที่จะเริ่มทานนั้น ก็จะตั้งใจอย่างง่ายๆว่า อาหารที่เราจะรับประทานนี้ จะทานเพื่อประทังสังขารร่างกายให้ทรงอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเข้าถึงความดับทุกข์เท่านั้น จากนั้นก็เริ่มรับประทาน โดยค่อยๆตักอาหารเข้าปาก ค่อยๆรับรู้รสชาดอาหาร จนกระทั่งถึงอารมณ์ใจที่มีความรู้สึกอร่อยนั้น เมื่อเห็นอารมณ์ใจที่มีความรู้สึกอร่อยแล้ว ท่านก็ให้ดูกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การรับรู้รสชาดมาจนถึงการปรุงแต่งว่าอร่อย พร้อมกับบอกข้าพเจ้าว่า ตัวสังขารการปรุงแต่งนี่แหละที่เป็นตัวสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้ายึดติดกับรสชาดอาหาร ถ้าหากว่าจิตไม่ปรุงแต่งซะอย่างคือเป็นสังขารุเปกขาญาณ ทุกอย่างก็จะไม่เกิด ทั้งความรู้สึกอร่อย ไม่อร่อย พอใจ หรือไม่พอใจ


    หลังจากผ่านบทเรียนนี้แล้ว ในเช้าวันที่ ๔ ท่านก็ให้ข้าพเจ้าลองตักอาหารทั้งคาวและหวานมารวมในหลุมเดียวกันดูบ้าง จากนั้นก็ให้นั่งพิจารณาแบบเดิม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเติมมาก็คือ ตัวขนมเค้กเจ้าปัญหาที่อยู่ในถาดอาหารของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายอมรับว่า การทานอาหารคาวในหลุมเดียวกันทั้งแกง แกงจืด ข้าว และขนมจีนนั้น จริงๆไม่ใช่เรื่องที่ยากเท่าไหร่ และการที่นำของหวานที่เป็นลักษณะขนมมารวมกับของคาวนั้นก็ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่ของหวานประเภทเป็นน้ำๆ เช่น ทับทิมกรอบมารวมกับข้าวกับแกง แต่ประเด็นปัญหาที่ข้าพเจ้าต้องเผชิญในวันนั้นก็คือ ขนมเค้กชิ้นนั้นมีรสชาดที่แย่มากๆ อย่างน่าประหลาดใจ แย่ถึงขนาดที่ข้าพเจ้ารับรู้อารมณ์ใจของตัวเองได้เต็มๆในขณะนั้นเลยว่า ไม่ไหวอย่างรุนแรง และในขณะที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนั้น ก็ปรากฎเสียงๆหนึ่งดังเข้ามาในใจข้าพเจ้าว่า ให้พิจารณาให้เห็นอารมณ์จิตที่ไม่พอใจในรสชาดอาหารก่อน จากนั้นดูตัวสังขารปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในขณะที่ทานขนมเค้กชิ้นนั้น และให้นำอารมณ์ใจในสังขารุเปกขาญาณที่เคยปฏิบัติมาเข้ามาใช้แก้ไขกิเลสความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในขณะนี้แทน ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ทำตาม แต่ความรู้สึกไม่ไหวกับรสชาดของขนมเค้กนั้นก็แทรกเข้ามาตลอดเวลา ทำให้สภาพ ณ ขณะนั้น เป็นการต่อสู้ดึงกันไปดึงกันมาระหว่างอารมณ์สังขารุเปกขาญาณ กับอารมณ์ไม่ไหวจะเคลียร์กับขนมเค้กมารผจญชิ้นนั้น และในที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องยอมแพ้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2016
  16. มังกรน้อย ชัยภูมิ

    มังกรน้อย ชัยภูมิ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0



    เป็นธรรมมะที่ลึกซึ้งจังครับ ชอบอ่านครับ ขอบคุณในเมตตาที่เเบ่งธรรมทานให้อ่านนะครับ
     
  17. Napaphat Indraphong

    Napaphat Indraphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2017
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +9
    เรียน คุณ มังกรน้อย ชัยภูมิ

    จริงๆส่วนตัวไม่ได้คิดว่าจะต้องมาทำงานพระศาสนา และต้องมาแบ่งปันประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของตนเองเลยค่ะ เนื่องจากโดยส่วนตัวแล้วนั้น ถูกหลวงพ่อและพระองค์ต่างๆคอยอบรมมาให้ไม่คิดว่าตัวเองดี จึงไม่กล้าที่จะพูดว่าตนเองปฏิบัติอะไรมาบ้าง แต่ด้วยกฎแห่งกรรมเข้ามาบังคับ จึงต้องทำความดีด้วยการแบ่งปันประสบการณ์ของตนให้เป็นธรรมทาน อันเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลที่สูงยิ่งในฝ่ายของทานค่ะ


    ถ้าจะถามว่าตัวเองฝึกฝนตนเองอย่างไรมาบ้าง จึงได้พบกับประสบการณ์การปฏิบัติธรรมเหล่านี้ ก็ต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่เกิดจากธรรมะจัดสรรค่ะ ถ้าจะให้กล่าวถึงรายละเอียดในเชิงลึก ก็คงจะต้องบอกว่า ถูกทุกๆพระองค์เคี่ยวเข็ญมาแบบเนียนๆแบบไม่ให้รู้ตัวตั้งแต่เด็ก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2017
  18. Napaphat Indraphong

    Napaphat Indraphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2017
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +9
    ขออนุญาตเริ่มเลยนะคะ

    ตั้งแต่เด็กๆเลย ส่วนตัวจะเป็นคนที่มีความคิดแปลกๆอยู่สักหน่อย คือชอบคิดว่าเราเกิดมาทำไม มาทำอะไร ซึ่งจะดูเป็นคำถามแนวปรัชญาๆ เวลากินข้าว ก็จะตั้งคำถามว่า เรากินไปเพื่ออะไร มันก็จะมีคำตอบมาว่า กินเพื่อให้อยู่ได้ แล้วก็จะคิดต่อไปอีกว่า ข้าวนี้คืออะไร ก็จะมีคำตอบมาว่า เป็นวัตถุที่มีสารอาหารอยู่ แล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เรากินสารอาหารที่มีอยู่ในนั้น ประมาณว่ามองอาหารเป็นสสารเป็นสารอาหาร มันทำให้เรารู้สึกถึงแก่นแท้คุณค่าความหมายที่แท้จริงของการดำรงชีวิตอยู่ค่ะ


    พอคิดแบบนั้น เราก็เริ่มจากการกินแบบรู้คุณค่าความหมายที่แท้จริงของการกิน แล้วก็รู้สึกว่า จริงๆเรากินอะไรก็ได้นี่ เพราะเราต้องการแค่สารอาหารต่างๆที่จำเป็นเข้ามาในร่างกายเท่านั้น แล้วส่วนตัวก็เป็นคนกินง่าย กินอะไรก็อร่อยด้วย ก็เลยทดลองด้วยการกินข้าวกับน้ำปลา เพื่อให้ซึมซับกับความคิดดังกล่าวที่ว่ามา ถึงตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนเด็กๆทำไปได้ยังไง 555


    แล้วตอนเด็กๆ นอกจากคุณแม่จะสวดมนต์ให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วก็พาลูกๆสวดมนต์ตามแล้ว ส่วนตัวยังเป็นคนชอบอ่านหนังสือด้วยค่ะ มีอะไรอ่านหมด ดังนั้นเวลาขึ้นไปที่หิ้งพระ เลยชอบเอาหนังสือสวดมนต์มาอ่านอยู่เสมอๆ แล้วก็รู้สึกว่าพระคาถานี่เป็นอะไรที่ดูเจ๋งดี เลยพยายามท่องจำพระคาถาสั้นๆอยู่ตลอด พระคาถาที่ท่องได้ก็มี พระคาถาชินบัญชร พระคาถาพญายม พระคาถากำแพงแก้วเจ็ดชั้น ส่วนพระคาถาที่่ท่องได้อีกคาถาหนึ่งคือพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงปู่ปานวัดบางนมโค แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงชอบเรียกชื่อท่านซ้ำๆอยู่คนเดียวว่าหลวงปู่ปานๆ วัดบางนมโค


    ส่วนหนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ขอคุณพ่อซื้อให้คือหนังสือนิทานทศชาติค่ะ จำได้ว่าพอกลับมาบ้านแล้วอยากอ่านใจจะขาด แต่ติดที่ต้องขึ้นนอน ดังนั้น เช้าวันนั้นเราเลยตื่นแต่เช้ามานั่งอ่านด้วยความอยากรู้เป็นอย่างยิ่งค่ะ ตอนอ่านไปแต่ละชาติๆ ยอมรับนะคะว่ารู้สึกอึ้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เมื่อครั้งยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์นั้นทำบารมีอย่างนั้นได้อย่างไร เป็นเราๆคงทำไม่ได้แน่ค่ะ แต่ในใจก็แอบรู้สึกว่าเท่ห์มากๆ สุดยอดมากๆ แล้วในที่สุด พอได้มาอ่านเรื่องราวของพระศรีอาริย์เมตไตรที่หิ้งพระที่บ้าน แล้วในหนังสือนั้นบอกว่า ถ้าได้อ่านแล้วตั้งจิตปรารถนาพุทธภูมิก็จะสำเร็จ(ประมาณนี้)เราก็อธิษฐานเลยค่ะ 555


    ส่วนตอนที่ตั้งจิตปรารถนาพุทธภูมิตอนเด็กๆนั้น เราจำได้ว่าตอนแปดขวบ เราได้มีโอกาสกลับไปที่โรงเรียนอนุบาลค่ะ แล้วก็พบหนังสือพุทธประวัติอยู่บนโต๊ะคุณครู เรารู้สึกสนใจก็เลยแอบเปิดอ่าน จนถึงตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช เรารู้สึกขนลุกและรู้สึกถึงอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ จนเราถึงกับคิดในใจว่า ซักวันหนึ่งเราจะทำแบบท่านบ้าง เราจะเป็นมหาบุรุษแล้วจะออกบวชเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ค่ะ อันนี้เป็นประสบการณ์ในวัยเด็กที่ฝังใจเรามาก เพราะเราขนลุกแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจอย่างแรงนั่นเอง


    พอเราโตขึ้นอายุซักประมาณ 13 ขวบ เราเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนมากค่ะ เพราะเรียนด้วยความอยากรู้โดยทิ้งเป้าหมายเรื่องเกรดไว้เป็นเบื้องหลัง ทำให้ผลการเรียนในตอนม.ต้นนั้นดีมาก และแล้วประสบการณ์ในทางธรรมก็เกิดขึ้นกับเราแบบบังเอิญในช่วงโมงเรียนวิทยาศาสตร์ม.1 กับอ.เนาวรัตน์ รุ่งเรือง...(ขอสงวนนามสกุล)โดยในขณะที่กำลังเรียนเรื่องวัฎจักรของน้ำอยู่นั้น อยู่ดีๆก็ปรากฏภาพพระภิกษุองค์หนึ่งที่ไม่ชัดนัก พร้อมกับความคิดที่เข้ามาในหัวว่า ลองพิจารณาดูวัฎจักรของน้ำสิ เดี๋ยวก็อยู่บนฟ้า ซักพักตกลงมาเป็นน้ำ แล้วก็เข้ามาอยู่ในร่างกายเราเป็นเลือด จากนั้นก็จะถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะ แล้วก็ไหลตามท่อลงสู่แม่น้ำจนกระทั่งออกสู่ท้องทะเล แล้วสุดท้ายก็จะระเหยกลายเป็นเมฆแล้วก็ถูกลมพัดมาตกเป็นฝนให้เราได้ดื่มกินอีก แล้วลองคิดดู น้ำที่เคยอยู่ในร่างกายคนอื่น แล้วก็วนเวียนมาให้เราได้ดื่ม ได้อาบ ได้ใช้นั้น เคยเป็นเลือดเป็นปัสสาวะคนมาแล้วกี่คน พอคิดเท่านั้นแหละ ก็รู้สึกถึงค.ไม่เที่ยงแท้และความสกปรกขึ้นมาทันที


    จริงๆตอนหลังเราถึงได้มารู้ว่าพระองค์นั้นท่านเป็นใครค่ะ แต่ไม่สามารถบอกกล่าวได้ เนื่องจากไมอยากให้ท่านดัง เพราะดังแล้วคนจะไปรบกวนท่านมากค่ะ ต้องขออภัยณตรงนี้ด้วย เพราะสุภาษิตจีนที่ว่า "ถ้าหากอยากดัง ก็อย่าหวังความสงบ" นั้นเป็นเรื่องจริงค่ะ แล้วความสงบนั้นก็เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับนักบวช เราจึงไม่อยากให้ท่านต้องลำบากค่ะ


    จนในที่สุดเราก็ได้เข้ามาปฏิบัติธรรมในสายมโนมยิทธิของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ซึ่งจริงๆแล้วอยากจะบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ครูบาอาจารย์ที่มองไม่เห็นตัวจะเป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติค่ะ เนื่องจากท่านเหล่านี้มักจะมีความเกี่ยวข้องกับเรามามาก จะรู้จริตนิสัย(วาสนา)ของเราเป็นอย่างดี อีกทั้งเราเองก็จะเชื่อฟังท่านและทำตามเนื่องจากสร้างบุญสร้างบารมีร่วมกับท่านมา เวลาพูดคุย(หรืองอแง 555)ก็จะเข้าใจกันได้ง่ายกว่าปกติค่ะ


    ทีนี้ช่วงแรกๆที่ท่านสอนเรานั้น เนื่องจากเป็นผู้เริ่มปฏิบัติ สมาธิยังตั้งมั่นไม่ได้นานมากนัก อีกทั้งจิตอยู่กับกิเลสมานาน ท่านจะตามใจเราค่ะ เช่น อาจจะให้จับลมหายใจซักสิบคู่เวลาเดินกลับบ้าน แล้วก็ให้เราฟังเพลงทำอะไรเรื่อยเปื่อยแบบที่เราชอบ พอเราเริ่มชินขึ้นๆ จิตเราจะเริ่มทำสมาธิได้นานขึ้น ทีนี้ท่านก็จะให้เราเริ่มจับพรหมวิหาร๔ เพราะจะเป็นตัวหล่อเลี้ยงกำลังศีล สมาธิ และปัญญาที่สำคัญให้แก่เราในวันข้างหน้า ซึ่งเผอิญว่าตรงกับจริตของเราที่เป็นโทสะจริตผสมกับพุทธจริต เลยกลายเป็นว่าพอทำไปนานๆเข้าจิตก็เริ่มชอบความเยือกเย็นของตัวเมตตาในพรหมวิหาร ๔ไปโดยปริยาย เพราะเห็นความแตกต่างระหว่างจิตใจที่เยือกเย็นในพรหมวิหาร๔กับจิตใจที่ร้อนและน่าอึดอัดเวลาโกรธนั่นเอง สรุปคือ ไม่ได้เป็นคนดีอะไรมากมาย แต่เกิดจากการทำจนเคยชิน(ฌาน)และเริ่มเปรียบเทียบระหว่างจิตใจทั้งสองแบบนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2017
  19. Napaphat Indraphong

    Napaphat Indraphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2017
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +9
    ทีนี้พอจิตเริ่มมีสมาธิดีขึ้น(จับหลักนิวรณ์๕ประการ)และนานขึ้น(จากกำลังของพรหมวิหาร๔ที่เป็นตัวหล่อเลี้ยง) ท่านก็จะเริ่มสอนในเรื่องมานะกิเลส การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้ปฏิบัติอื่นๆ โดยใช้หลักของไอดอลหรือบุคคลต้นแบบ โดยอาศัยการฝึกแบบมโนมยิทธิให้ขึ้นไปกราบพระที่พระนิพพาน และให้ดูว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ พระปัจเจกพุทธจ้าแต่ละพระองค์ พระพระอริยสงฆ์ทั้งหลายท่านยอมรับนับถือในความดีของแต่ละพระองค์โดยไม่มีการถือตัวถือตน(มานะกิเลส)อย่างไร อันนี้ต้องบอกว่าจำได้ติดใจและนับถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอดตลอดมาค่ะ แต่ดันเป็นประสบการณ์ส่วนตน ไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ ถ้าท่านได้ได้มโนมยิทธิ คงต้องกราบขอบารมีพระท่านให้สงเคราะห์เป็นการเฉพาะค่ะ


    สำหรับการสอนเราเรื่องมานะกิเลสการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นนั้น ท่านจะสอนเรื่องการจับผิดความเลวและกิเลสของตนเอง และการไม่สนใจในความเลวของผู้อื่นร่วมด้วยค่ะ อันนี้กลายเป็นหลักที่เรายึดมาโดยตลอดเลย


    กล่าวโดยสรุปนะคะ หลักพื้นฐานที่ท่านให้เราไว้คือ

    ๑. สมาธิ

    - จะต้องจับหลักนิวรณ์ ถ้านิวรณ์ไหนมาก็กำจัดทิ้งไป

    - ต้องทรงไว้ซึ่งพรหมวิหาร๔ เนื่องจากเป็นตัวหล่อเลี้ยงศีล สมาธิ ปัญญาให้อยู่
    ได้นาน

    ๒. มานะกิเลส

    - ใช้หลักไอดอล ให้ดูว่าพระทุกๆพระองค์บนพระนิพพานนั้น ปราศจากมานะ
    กิเลสอย่างไร (ทุกๆพระองค์เคารพในความดีของกันและกันมาก ไม่ถือว่า
    เป็นพระพุทธเจ้่า เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ แต่เคารพกันโดยธรรม)

    - ต้องดูกิเลสความเลวของตัวเองไว้เสมอ ส่วนคนอื่นถ้าไปสนใจว่าเลว ให้ถือว่า
    เราเป็นคนที่เลวมาก ต้องเตือนตนเอง และการปฏิบัติไม่ใช่เรื่องที่จะไปโอ้อวด
    กับใคร ถ้าคิดจะโอ้อวดให้ตำหนิตนเองทันที


    จากนั้นท่านก็จะเริ่มสอนวิปัสสนาญาณแบบง่ายๆเนียนๆให้เรา โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวว่านั่นคือวิปัสสนาญาณ (เพิ่งมารู้เอาตอนหลัง แต่โดนท่านหยอดใส่ไปเรียบร้อยแล้ว พูดไม่ออกเลยเรา)


    วิธีการของท่านก็คือ ใช้การฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลังของเรานี่แหละค่ะ โดยการหลอกให้เราถอดจิตไปนิพพานบ่อยๆในเวลาที่ว่าง โดยให้เราคิดตัดสินใจในตอนนั้นเลยว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา(อารมณ์นี้ถ้าใครปฏิบัติในสายนี้จะทราบดีว่าคืออะไรนะคะ) เราไม่เอา่ร่างกาย สรุปคือเราโดนหลอกให้คิดอารมณ์วิปัสสนาญาณโดยไม่รู้มาก่อนเลยค่ะ ทีนี้พอทำได้บ่อยๆจิตก็เริ่มชินมาเรื่อยเลย(ซะงั้น) โดยเฉพาะในช่วงปี ๕๑-๕๒ จะเป็นช่วงที่เราทำแบบนี้บ่อยมาก ยิ่งว่างจากการดำเนินชีวิตเมื่อไหร่เราก็จะทำแบบนี้ตลอดเวลาเลยค่ะ เพราะช่วงนั้นโดนท่านหลอกให้เร่งบารมีพุทธภูมิจะได้เต็มไวๆ(โดนท่านหลอกประจำ เพราะท่านบอกว่า่พุทธภูมิตั้งแต่อุปบารมีปลายนี่เค้าไปนิพพานกันเป็นปกติ เราก็ต้องปกติบ้าง ว่างเมื่อไหร่ปุ๊บไปปั๊บ 555)


    ทีนี้จุดที่เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตตัวเองแบบชัดๆคือตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีสามค่ะ ตอนนั้นกำลังส่งจิตขึ้นนิพพานตอนเดินอยู่ในหอพัก ปรากฏว่าเห็นจิตตัวเองแบ่งกำลังส่วนหนึ่งอยู่บนนิพพาน อีกส่วนก็ทำหน้าที่เดินอยู่ตามปกติแบบอัตโนมัติ คือเป็นไปอย่างธรรมชาติโดยไม่ต้องบังคับมาก่อน ซึ่งตนเองก็รู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็ได้แต่เก็บไว้ เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2017
  20. Napaphat Indraphong

    Napaphat Indraphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2017
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +9
    ถ้าถามว่าตอนปฏิบัติธรรมมีความรักไหม ก็ต้องตอบตามประสาวัยรุ่นนะคะว่ามีชอบคนนี้บ้าง คนนั้นบ้าง แต่ก็เป็นลักษณะของการแอบชอบมากกว่า ไมได้จีบหรือคบหาใครเป็นแฟน เพราะชีวิตช่วงนั้นส่วนหนึ่งไปอยู่กับสังคมที่ปฏิบัติธรรมค่อนข้างมาก จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละ ถึงพึ่งจะได้พบกับคู่บารมี


    เอาจริงๆตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าคนๆนี้จะเป็นคู่บารมีของตัวเอง เพราะตอนที่เจอกันครั้งแรกไม่ได้รักหรือสะดุดใจอะไรมากนัก ออกจะงงๆกับคนๆนี้ด้วยซ้ำว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ทักทายแล้วทำไมมันไม่ทักตอบ 555 เหมือนเค้ามีโลกส่วนตัวจนเราต้องทักซ้ำสองสามรอบถึงจะรู้สึกตัวอ่ะค่ะ


    แต่สิ่งที่ทำให้เราจำได้ในตอนที่เจอหน้ากันครั้งแรกก็เพราะเหตุนี้นี่แหละค่ะ เพราะความแปลกนี่เอง เนื่องจากตั้งแต่เกิดมา เราทักทายใครทุกๆคนเค้าก็ตอบรับกลับมาด้วยกันทั้งนั้น แต่คนนี้มันดันไม่ตอบ 555 โดยในตอนแรกๆที่พบกันนั้น ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย นานๆถึงจะเจอหน้าด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าไปอยู่โลกไหนมา ทั้งๆที่เรียนคณะเดียวกัน แต่แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย พรหมลิขิตกลั่นแกล้งกันชัดๆ 555


    จนกระทั่งชีวิตของเราได้พบกับวิบากกรรมที่เข้ามานี่แหละค่ะ ถึงได้รู้ว่าคนๆนี้เป็นคู่บารมีที่ติดตามกันมา เพราะชีวิตนี้ ตั้งแต่ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่รู้สึกเหงาเลย ว่างเมื่อไหร่ก็ไปครื้นเครงอยู่ข้่างบน เลยไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะต้องการแฟนไปทำไม แต่ในที่สุดคนที่ไม่อยากได้แฟน เพราะมีความสุขดีอยู่แล้วกับการปฏิบัติธรรม ก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าตนเองมีคู่บารมีที่ติดตามกันมาลงมาเกิดด้วย ในตอนแรกๆที่พระท่านแจ้งมาว่ามีคู่บารมีนะ ในใจตอนนั้นรับไม่ได้เลยค่ะ เพราะมารู้เอาในตอนที่กำลังเผชิญวิบากกกรรมอย่างหนัก จนรู้สึกว่าอยากจะไปนิพพานรอมร่อ พอพระท่านมาบอกแบบนี้ ความรู้สึกในตอนนั้นบอกตรงๆว่ารู้สึกคัดค้านในใจอย่างรุนแรงมาก ทั้งอึ้ง เอ๋อ มึน งง สับสนไปหมด แล้วในตอนนั้นก็ยังไม่รู้ด้วยว่าใคร แต่ในใจรับรู้แล้วว่ามีแน่ๆ (แอบคิดในใจว่าจะมาทำม๊าย คนเดียวตูก็จะตายห่....อยู่แล้วโว้ย โอ๊ย ขันธ์๕ไม่พอนี่ล่อไปขันธ์๑๐ 555)


    ตอนที่มารู้ว่าคู่บารมีนั้นเป็นใครก็ตอนปี๕๙ ค่ะ ตอนนั้นวิบากกรรมก็ยังไม่พ้นไป จนจะถอดใจอยู่รอมร่อ ท่านก็เลยให้กำลังใจด้วยการบอกว่าคู่บารมีของตนนั้นเป็นใคร ชีวิตจะได้รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปบ้าง 555 ภาพในตอนนั้นที่เห็นก็คือคนๆนึง กำลังเดินอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เห็นหน้าและบุคลิกชัดเ่จนมาก จนตัวเองตกใจว่า ห๊ะ สรุปว่าเป็นคนๆนี้หรอ ไม่เชื่อๆ เป็นคนนี้ไปได้ยังไง


    จากนั้นข้อมูลเกี่ยวกับคู่บารมีก็เริ่มมาค่ะ ว่าชาตินี้มีคู่บารมีตามมาเกิดแค่คนเดียว คนอื่นๆไม่มีมาเกิดเลย (ช่างร้ายกาจนัก นี่กะจะไม่ให้มีตัวเลือกกันเลย อยากเ่ล่นตัวต่อรองบ้าง 555) แถมเป็นคนที่ได้อภิญญาด้วย เก่งด้วย (แหม ทำไมเราด้อยกว่ามันวะ อภิญญาก็ไม่ได้ เสียศักดิ์ศรีชะมัด) แต่ต้องระวังนิดนึง เพราะเค้าเป็นคนขี้หึงมาก แถมได้อภิญญาด้วย ดังนั้น ถ้าเป็นแฟนแล้ว อย่ามองคนอื่นอีก (โถ ท่านย่า* รู้อีกว่าจะใช้อภิญญามาเช็คหลาน ฮือๆๆ)


    จากนั้นกาลเวลาก็ได้พิสูจน์ว่าคนๆนี้เป็นคู่บารมีของเราจริงๆค่ะ เพราะได้เข้ามาร่วมผจญภัยในวิบากกรรมร่วมกัน (ไม่น่าตามตูมาเกิดเล๊ย สงสาร) แล้วเราก็พบว่า เค้าเป็นคนที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)คอยอบรมสั่งสอนมาค่ะ ประมาณว่ามีครูบาอาจารย์ที่ไม่เห็นตัวไม่เห็นตนคอยดูแลมา และการปฏิบัติธรรมของเค้าที่ทำมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเราค่ะ แถมได้อะไรๆง่ายกว่าเราด้วยซ้ำ เพราะหลวงพ่อชมเรามาว่าเราโง่กว่าเค้าค่ะ (จะภูมิใจดีมั้ยที่อะไรๆแฟนก็ทำได้ดีกว่าเราเนี่ย ฮือๆๆๆ น้อยใจชะมัด)


    * ท่านย่าที่กล่าวถึงในที่นี้หมายถึงท่านย่าสุชาดา ชายาพระอินทร์นะคะ ถ้าท่านใดเป็นลูกศิษย์สายวัดท่าซุงที่ปฏิบัติพระกรรมฐานและสัมผัสถึงท่านได้จะทราบดี โดยส่วนตัวแล้ว ท่านเป็นเทวดาที่มีความเด็ดขาดมากค่ะ สั่งหรือบอกคำไหนเป็นอันรู้ว่าให้ปฏิบัติตามนั้นค่ะ ซึ่งจขกท.อยากจะแชร์ว่า ท่านแอบย้ำนักย้ำหนากับจขกท.ว่า ชาตินี้คู่ของจขกท.เป็นคนที่ขี้หึงมากจริงๆ ดังนั้นคำว่าห้ามมองใครอีกของท่านจึงมีความหมายที่ละเอียดมากเป็นพิเศษ กล่าวคือ ท่านสั่งให้จขกท.ควบคุมและระมัดระวังจิตของตนเองกับเพศตรงข้ามเป็นพิเศษ อย่าให้มีอารมณ์จิตปรุงแต่งกับเพศตรงข้ามแม้แต่นิดเดียวเป็นอันขาด ซึ่งจขกท.ก็งงมากว่าทำไมถึงต้องระมัดระวังถึงขนาดนั้น ท่านก็เลยแอบบอกว่า เค้าดูจขกท.ละเอียดมาก ดังนั้นหากอยากมีความสุขในชีวิตครอบครัวให้จขกท.ปฏิบัติตามแต่โดยดี 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...