ประสบการณ์เมื่อเรามีคนทักว่าเรามีองค์ (แนวให้ความรู้)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 13 มิถุนายน 2013.

  1. ยอดชา

    ยอดชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +136
    เพิ่งจะผ่านมาทางนี้ ดีใจครับที่ได้มาปฏิบัติ รักษาศิล5 และขอบคุณท่านraming 2555 และคุณ กาลีนะ ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ไห้ฟังครับ รออ่านต่อครับ
     
  2. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... แหม๊ะรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นที่สุดคะ เหมือนพี่ระมิงค์จะรู้ว่าหนูคิดอะไรอยู่ .. อิอิ ว่าแล้วก็ขอเขิลข้ามประเทศได้ไหม๊คะ ... แต่ก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ กราบขอบพระคุณอย่างสูงคะ .. พี่ทำให้หนูนึกถึงคำนี้มากคะ " สอนเหมือนมิได้สอน สุดแท้แต่ปัญญาผู้นั้นรังสรรค์เอา "


    เคยถามลูกน้องคนหนึ่งที่ทรงปู่ฤษีตาไฟมาตั้งกะวัยรุ่นว่า เวลาเห็นวิญญาณต่างๆที่มาปรากฎนั้น เขาเห็นเหมือนภาพมันซ้อนขึ้นมา เห็นได้ค่อนข้างชัด ยิ่งสมัยก่อนตอนที่เคร่งๆนี่เห็นตาเปล่าเลยนะ ว่ากันว่าเป็นอำนาจขององค์ที่มาสถิตร่าง ถ่ายเทพลังอำนาจไว้ให้...
    ต่างจากทิพยจักขุญาณที่ฝึกมา เป็นการเห็นได้ด้วยอาศัยความเป็นทิพย์ของจิต ซึ่งถ้าอาศัยกำลังเราเองจริงๆ มันจะเบลอๆเหมือนมีหมอกลงจัด แต่ว่าอาการทางใจจะรู้ได้...หากว่าอาศัยบารมีพระบ้าง ครูบาอาจารย์ หรือเทวดาที่ท่านคอยสงเคราะห์อยู่นั้น ภาพจะชัดกว่า แล้วไม่ค่อยเปลืองกำลังตัวเอง อีกทั้งอุปทานจะน้อยหน่อย เพราะเป็นการทรงอารมณ์ไว้นิ่งๆธรรมดาๆเท่านั้น ภาพนั้นท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายจะแสดงให้เห็น แต่ว่าก็ไม่ชัดขนาดเหมือนเห็นด้วยตาเปล่านะ


    ... กรณีนี้กาลีนะก็ไม่เคยจะลองยืมท่านมาใช้คะ ปกติจะยืมพลังอย่างอื่นมาใช้เสียมากกว่า เห้อ ๆ คงไม่ต้องอธิบายว่าพลังแนวไหนนะคะ ตามแบบฉบับยายโหด ตามฉายาหนูนี้แหละคะ แต่ต่อไปนี้จะลองดูนะคะ ไหน ๆ ก้ไหนไหนแล้วคงต้องลองสักตั้งหนึ่ง .. เพราะการรู้เห็นทางใจขอบอกตามตรงว่ามันทรมานหนูมากเลยคะ จนตอนนี้คิดว่าถ้าเหนแบบตาเปล่าเลยท่าจะดีกว่านะ

    กะอีกเรื่องนึงสมัยตอนหนุ่มๆไปเจอ นักเลงที่หาดใหญ่ แกเคยไปรับขันธุ์แล้วเอาไปคืนแล้ว แต่ทางร่างทรงก็ยังเหมือนคุมแกเอาไว้ เวลามีงานประจำปี ไม่ว่าแกคนนี้อยู่ที่ไหนก็ตามจะต้องกระเสือกกระสนไปร่วมงานจนได้ แม้ว่าหลายครั้งตั้งใจแน่วแน่ว่าไม่ไป แต่ถึงเวลามารู้สึกตัวอีกทีก็ไปอยู่ที่ในงานแล้ว...แกรู้สึกเดือดร้อนใจมาก อยากให้ช่วย เพียงแต่ผมก็ไม่รู้ว่าถอนขันธ์นี่เขาทำกันอย่างไร เพราะเคยแวะไปดูก็เห็นเหมือนว่า การรับขันธ์เป็นเหมือนการผูกอาถรรพ์เอาไว้กับภพภูมินั้นๆแล้ว ถ้าเขาไม่ปล่อย แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้ แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยเสียด้วยสิ...ตอนที่ยืนคุยอยู่กับตานักเลงคนนั้น แกว่าเราอยู่ใกล้ๆทำให้แกรู้สึกโล่ง แล้วปลอดภัย เพียงแต่เวลานั้นผีที่เขาคุมอีตานักเลงคนนี้มาปรากฎให้เห็นพร้อมกับขอร้องว่า อย่ายุ่ง...


    .... กรณีนี้ ... คงจะเหมือนของเพื่อน อ. หนูเลยคะ จนทุกวันนี้ก็ยังถอนขันธ์นั้นไม่ได้แต่เจ้าตัวเขาคิดว่าคงเสื่อมไปแล้ว และ ตอนนี้ก็เดินสายหาทั้งหมอดู และ ร่างทรงเพื่อย้อนดูอดีตของตนเองว่าเคยเป็นนางสนม หรือ นางส่วย ของเจ้าฟ้าเจ้านายองค์ใดเพราะเขาคิดว่าถ้าเขาตายเขาจะไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น ( เธอมีสามี และ ลุกสองคน ) มีคนมาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนคนนี้ไปร้องไห้ตามตำหนักทรงต่าง ๆ เวลาที่เขาทักนั้นทักนี้ .. ซึ่งกาลีนะก้ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเขาเท่าไหร่ เหตุเพราะเคยโดยวิญญาณที่ตามเพื่อนคนนี้มาเข้าสิงร่างแฟนแล้วต่อว่ากาลีนะว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของเขา เห้อ ๆ อันนี้ก็คิดอยู่ว่าใช่ไหม๊เพราะเขาไม่ระบุตัว หรือ จะเป็นพวกที่จอมปลวก เพราะพวกนี้เขาก็ไม่ชอบให้ใครไปวุ่นวายพวกเขาเท่าไหร่ ( พอดีภพภูมิจำพวกอสุรกายมาอยู่กับกาลีนะหลายจำพวก ทั้งที่ตามมาจากเหนือ และ เป็นเจ้าของที่เดิม แถมจากพวกที่ตามเพื่อนกาลีนะบางตนก็แวะเวียนมาดูกาลีนะเหมือนกัน แต่แฟนบอกว่าพวกนั้นที่ตามเพื่อนกาลีนะเขาไม่ให้ยุ่งไม่งั้นเขาจะเอาตายแน่ ) ... แต่แปลกตรงที่ เวลาเพื่อนคนนี้ป่วย ไม่สบาย ร่อแร่ กาลีนะมักจะฝันเห็นเขาตามกาลีนะมาขออยู่ด้วย มายืนร้องไห้บ้างบอกว่าไม่มีที่อยู่ บอกว่าอยู่ไม่ได้บ้าง เราเองก็กลัว ๆ ว่าจะเป็นแบบจำแลงมาหลอกเรา หรือ เปล่า ... แต่กาลีนะก็ไล่เขาไปทุกครั้ง .. บางครั้งก็ฝันว่าเขาบอกว่าจะทำให้กาลีนะไม่เหลือใคร เขาจะเอาทุกคนไปจากกาลีนะ ... จะทำให้คนอื่น ๆ เกลียดเรา .. ก็พยายามทำใจคะคิดว่ามันคือความฝันแต่ก็ไม่ประมาท .. ยังคงระวังตัวอยู่เสมอ ..

    ผมว่านะ บางทีพวกที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ก็อาจจะมีบุพกรรมอะไรในอดีตที่ร่วมกันมาก่อนก็ได้นะ...เหมือนอย่างพวกที่โดนคุณไสยเข้านั่นก็คล้ายกัน คือถ้าไม่มีวิบากกรรมร่วมกันมาก่อนในอดีต มันจะทำเข้าร่างไม่ได้ง่ายๆเหมือนกันนะ

    .... เรื่องของกรรมตัวนี้สำคัญมากคะ เรียกว่าเป็นเหตุผลหลักเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าองค์เทวดา หรือ อสุรกาย ผี พวกนี้ต้องอาศัยบุพกรรมในการเข้ากระทำทั้งสิ้น ... อย่างกรณี กาลีนะ เขาเรียกว่า " กรรมพันธุ มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ " ทุกที่ที่ไปดูจะบอกว่าได้มาทางสายแม่ของกาลีนะเอง ... แต่โดยส่วนตัวก็เชื่อว่าเช่นนั้นคะจากการสังเกตเองนะคะ .. แต่จะมีกาลีนะนี้แหละคะที่สนใจศึกษาเรื่องแบบนี้ ญาติคนอื่นเขาจะไม่ค่อยใส่ใจนัก อย่างยายแกก็เข้าวัดทำบุญไปบวชตามวัดบ้างตามประสาคนแก่แล้ว แต่แกเป็นคนธรรมธรรมโมมาแต่สาว ๆ อยู่แล้ว ส่วนกาลีนะก็เพิ่งเริ่มเข้าวัดจริงจังไม่กี่ปีเองคะ สมัยก่อนศึกษาแต่เรื่ององค์เทพมากกว่า ... และ คิดว่ามันน่าจะเอามารวมกันได้ไม่ยากสำหรับกาลีนะนะคะ ... เพราะไม่ว่า สายพระ หรือ สายเทพ ทุกทางก้มุ่งสู่การหลุดพ้นทั้งสิ้น แลล้วนแล้วแต่มีเมตตาต่อสาวก แล มนุษย์โลกเป็นหลักด้วยกันทั้งนั้น

    ผมเคยได้ยินและก็เคยเจอกับตัวเองด้วยเหมือนกัน ที่ได้ยินนี่ก็คือ อาจารย์คนหนึ่ง จะเรียกว่าคนดีหรือเปล่าไม่รู้ คือแกเป็นทหารผ่านศึกขาขาด ตอนขนศพกลับมาได้สัก 2 วันแล้วเกิดฟื้นขึ้นมา พอฟื้นขึ้นมาได้ก็กลายเป็นคนละคนไปเลย วิชาอาคมมีมาเพียบ แต่ว่าไม่มีแววตา เวลาฝนตกจะมีกลิ่นเหม็นเน่าออกตามตัว ไม่เคยเห็นแกกินข้าว...แกตัดหางวัว ไปต่อหางควายได้ เอาว่าอาคมไม่ธรรมดา...ใครที่ว่ามีเลขยันต์คาถาป้องกัน ทั้งหลาย เวลาเจอแก แกจะเอามือบ้างไม้ไผ่บ้าง เคาะพื้น ไม่กี่ทีของที่กันไว้ออกหมด แกเรียกวิธีการนี้ว่า คัดของ เมื่อคัดออกเสร็จแล้วก็ ซัดเลย...ไม่รอด เกือบทุกราย...ยกเว้น...ครั้งนึงที่ไปทำผู้ใหญ่ท่านนึงของบ้านเมือง แล้วโดนสะท้อนกลับ เพราะบารมีของท่านผู้นั้นมีมาก แกเล่าว่าเหมือนมีกำแพงแก้ว 7 ชั้น แกทำอะไรไม่ได้แล้วตัวเองยังบาดเจ็บ ต้องพักไปเกือบเดือน...อันนี้ก็น่าคิด..

    ... อันนี้ เป็นอย่างที่พี่ได้ยินมาคะ คำว่า บารมี นั้นถือว่าเป็นเกราะที่ดีแก่ตัวเรามากที่สุดคะ แลวิชาที่พี่ระมิงค์ว่าทหารผ่านศึกท่านนั้นมี กาลีนะก้เคยได้ยินพ่อเล่าเหมือนกันคะ ที่ว่า เคาะพื้น แล้ววิชาของอีกฝ่ายจะเคลื่อนย้ายออกไป แต่พ่อยังไม่เคยเจอตัวเขานะคะ .. ส่วนตัวกาลีนะคิดว่าท่านผู้นั้นคงไม่ใช่คนไปแล้วละคะ ... คงไปทำสัญญาปีศาจตั้งแต่ครั้งเป็นทหารนั้นแหละคะ .. เพราะมันสามารถยืดชีวิตพวกเขาได้แต่จะกลายเป็นแค่ครึ่งคนครึ่งผี !!

    ส่วนไอ้น้องคนนี้ เมื่อครั้งที่เดินทางไปพักด้วยกัน มันก็พาเอาผีที่มันเลี้ยงเอาไว้ ปล่อยออกมาทำร้ายผม นัยว่าอยากลองว่าเป็นยังไง...เช้าก็มารายงานว่า ผีของมันไม่กล้าเข้าใกล้ ต้องหนีไปแอบหลบอยู่กลางทุ่งทั้งคืน เข้าใกล้ไม่ได้ มีแสงสว่างออกมาจ้า ไม่กล้าเข้าใกล้...แต่ว่าความจริงผมไม่มีอะไรสว่าง อาจจะมีก็คงหัวเถิกบังเอิญไปสะท้อนแสงอ่ะมั๊ง..หรือว่านอนกรนเสียงดังจนผีไม่กล้าเข้าใกล้..แล้วมาโมเมว่ามีแสงสว่าง...แต่เวลาจะนอนนี่อารธนาพระและท้าวมหาราชย์ทั้งสี่ เทพที่ปกปักรักษาเราไว้ นี่ท่านดูแลอยู่...

    ด้วยทรงพระหมั่นไส้ ก็เลยว่าจะทำน้ำมนต์ล้างอาคมมันทิ้งให้หมด อีนี่ดันกลัว แต่ตอนลองของเรามันไม่ยักกลัว วิชานี้ได้จากพระธุดงค์ เป็นวิชาครู ได้วิชาเดียวแล้วตำราก็หายสาปสูญไปเฉยๆ... เอาไว้ปราบพวกบ้าพวกนี้แหละ เพราะว่าถ้าวิชามันเสื่อม ผีก็ตาม สิ่งต่างๆที่มันสะกดเอาไว้ก็ตามจะหลุดออกหมด เมื่อนั้นแหละ ไม่ต้องเวรกรรมตามสนองหรอกนะ ไอ้พวกนี้แหละพร้อมเพรียงกันเข้าสนองทันที...


    .... กาลีนะอยากทำน้ำมนต์แบบนี้ได้มั้งจังคะ .. เพราะทุกวันนี้กาลีนะมีแค่น้ำมนต์ที่ไปเก็บมาจากวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยหลายร้อยวัดเอามารวมกันไว้ในโอ่งที่ห้อง ก็อาศัยอาราธนาคุณพระรัตนไตย แล พระ เกจิอาจารย์ ทั้งหลาย รวมทั้งสิ่งศักดิ์ขอให้ท่านช่วย .. ทุกวันนี้ก็ได้น้ำมนต์ตัวนี้แหละคะช่วยให้ผ่านพ้นไปได้ ...

    เล่ามาซะยาวเชียว...
    อ้อ...นึกมาได้อย่างนึงว่า เทพ-พรหม นั้น ท่านไม่ได้มาสนใจกับบุญเล็กๆน้อยๆที่พวกนี้สร้างโบสถ์สร้างวัดหรอกนะ ท่านเหล่านี้ไปติดตามพระอริยะสงฆ์ได้อานิสสงค์กว่า ส่วนพวกที่ต้องการบุญ-ทานทั่วๆไปนี้ ผมเห็นมีพวกโอปะปาติกะ(โอไฟฟ้าไม่มีนะ)สัมภเวสี พวกปีศาจ กับพวกปอบอาคม ที่จะอาศัยบุญจำพวกนี้ที่ร่างทรงทำกัน จะถือศีลบ้าง กินเจบางวันบ้าง เรี่ยไรสร้างโน่นนี่นั่นบ้าง...ก็อาศัยบุญแบบนี้แหละเพื่อหวังจะเปลี่ยนภพภูมิบ้าง เพื่อเพิ่มฤทธิ์ให้ตัวเองบ้าง...

    พวกนี้รู้แล้วเห็นแล้วก็เฉยๆไว้ ผมว่า ทางใครทางมัน รู้ไว้ใช่ว่า..ก็พอนิ..

    เอ้า...ชงให้แล้วนะแม่กาลีนะ...มาต่อเองนะจ๊ะ...


    ... ขอให้เชื่อเถอะคะว่า พุทธองค์ รวมทั้งเทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายไม่ทิ้งสาวกผู้ศัทธาแน่นอนคะ ขอแค่สิ่งนั้นออกมาจากใจก็พอ ..
     
  3. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    บทความ การรับขันธ์ครูจำเป็นแค่ใหน ( จำที่มาไม่ได้ )

    ... ขอนำเรื่องราวเหล่านี้บอกกล่าวเพื่อเป็นกุศลในชาติภพหน้าหากเราเกิดใหม่คงมีชีวิตที่ไม่ทุกข์ยากอยู่ห่างคนที่มีแต่อบายมุขทั้งหลายเทอญ ..

    ... มีผู้คนจำนวนมากถูกทักว่ามาองค์ เป็นช่องทางทำมาหากินของพวก มิจฉาชีพ อาสัยช่องทางของเรื่องลี้ลับมาหลอกลวงต้มตุ๋น แท้จริงแล้วมนุษย์เราเกิดมามีองค์เทพปกปักษ์รักษา อย่างน้อย 2 องค์ (อยู่ห่างจากเราเพียง 3 ศอก ) ตำหนักทรง ร่างทรงต่าง ๆ หลอกให้ไปรับขันธ์ ล้วนแล้วแต่เป็นผี หรือ สัมภเวสีทั้งสิ้น

    .... เนื่องจากผีเหล่านี้ร่อนเร่พเนจร ไม่มีสังขาร จึงมาอาศัยร่างมนุษย์เกาะกินบุญ ทำบุญไปเท่าไหร่สัมภเวสีพวกนี้เอาไปหมด ทำบุญมาก แต่ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น มันจะดีได้อย่างไรในเมื่อท่านไปรับ ผีเข้าตัว บางขันธ์มีเป็นสิบวิญญาณ ขึ้นอยู่กับสำนักไหน สำนักที่เป็นเสือสมิง บรรดาที่ถูกหลอกรับขันธ์มาก็เป็นวิญาณเสือสมิงเข้าตัวทั้งนั้น ที่ผ่านมาปราบไปเป็นจำนวนมาก

    .... ร่างทรงต่าง ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผี เข้าใจว่าเป็นเทพเจ้า อ้างตนเป็นเทพองค์ใหญ่ ๆ เพราะถ้าบอกว่าเป็นผีนายมั่ง นางมี.. ก็คงไม่มีใครไปเชื่อถือ เลยอ้างตนเป็นพระแม่อุมาบ้าง , เสด็จพ่อ ร.5 บ้าง (ท่านไม่มาดูหมอดูดวง หรือ มายุ่งกับเรื่องผัวเมีย ทำนายทายทักอะไรเพระท่านไม่มีหน้าที่ เพราะเทพที่มีหน้าที่เค้ามีอยู่) , บ้างก็อ้างเป็นกรมหลวงชุมพรบ้าง พระเจ้าตาก ก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้ เพราะกษัตริย์ไทยดัง ๆ อยู่ไม่กี่องค์ หากินง่าย ยิ่งเป็น ร.5 มากที่สุดเพราะคนนับถือ เยอะ ..

    .. ในข้อเท็จจริงแล้ว ใครทรงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านแจ้งความเรียกตำรวจจับได้เลย ..หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฏหมายเค้ามีอยู่ บางคนก็ทรง ร. 8

    .... ผู้ที่รับขันธ์มา ส่วนใหญ่แล้วชีวิตอัปปาง วิบัติ ลมสลายเกือบทุกรายไป ที่ยังไม่ออกเหตุก็เพราะบุญยังเยอะ สุดท้ายจบลงด้วย โรคมะเร็ง เบาหวาน อัมพฤกษ อัมพาต หรืออุบัติเหตุ แทบทั้งสิ้น รวมถึงเจ้าของตำหนักคนทรงก็ตามมักจะจบชีวิตด้วยเหตุนี้ โดนกัดกินอวัยวะภายในเจ็บป่วยในบั้นปลายชีวิต...บ้างก็ล้มตายด้วยอุบัติเหตุ..ไปเลย

    ... ที่ผ่านมามีผู้ทนทุกข์ทรมานถอนขันธ์เป็นจำนวนมาก บางคนหมดเงินไปเป็นล้าน ๆ บางคนก็ถอนเองส่วนใหญ่จะทำไม่ถูกวิธี .. ทิ้งขันธ์ไป แต่วิญญาณในขันธ์นั้นยังเกาะอยู่เหมือนเดิม..!! เหลือแต่ขันเปล่า ๆ ก็ยังมีแฝงอยู่ดี

    ... งานพิธีไหว้ครูต่าง ๆ เป็นการเต้นรำ บรรดาผีต่าง ๆ แต่งตัวมาเลียนแบบเทพ กันสนุกสนาน ท่านสังเกตุเถิดว่า พระแม่กวนอิมต้องมาฟ้อนรำกับกุมาร หรือ พระศิวะ กุมารต่าง ๆ หรือ มหาเทพอย่างพระแม่อุมา จะมาฟ้อนเต้นแร้งเต้นกากับผี หรือกุมารต่าง ๆ อย่างนั้นหรือ..!!

    ...เทพต่าง ๆ ล้วนอิ่มทิพย์ .. ไม่ต้องมาทรมานสังขารมนุษย์ ( มันเป็นบาป ) นั่งสั่น หงายท้อง หรือ ดูดบุหรี่ทีละ 5 มวน อันนั้นมันผีชัด ๆ หรือ พูดจาด่าทอสาปแช่งมนุษย์บรรดาเทพต่าง ๆ ไม่เสี่ยงกับการตกสววรค์ หากมีจิตใจไม่ดี หรือ ไม่มีศีลธรรมคงไม่เป็นเทพหรอกครับ. ยกเว้นพวกผี..ชั้นต่ำเท่านั้น..!!

    .... บางตำหนักทรงก็เป็นผี ชั้นดีต้องการสร้างบุญจริง ๆ ไม่เก็บเงินใด ๆ เอาไปทำบุญ แต่หากให้รับขันธ์ ก็ผิดอีกนั้นแหละ ไปเอาพวกผีด้วยกันมาใส่ตัวชาวบ้านให้ได้รับความเดือดร้อนกัน...!!

    ... บางท่านไม่ได้รับขันธ์ แค่นั่งสมาธิก็โดนสัมภเวสีเข้าแทรก มีอาการแปลก ๆ ดังที่เห็นได้ในงานพิธีสวดภาณยักษ์ใหญ่ ของต่าง ๆ ที่ขี้นให้เห็นเพียงพรมน้ำมนต์ก็สงบลง แต่ไม่ออกนะครับ...ผลสุดท้าย วัดนั้นเพียงเอาเรื่องนี้มาทำมาหากิน ขายวัตถุมงคล ..

    ... มนุษย์เรา ไม่เข้าใจเรื่องของกฏแห่งกรรม ไปเอาวัตถุมงคลมาคุ้ม ถึงได้ผีเข้ากันมากมาย ใครรู้ตัวก่อนก็เป็นบุญเทวดาพามาให้เจอ..

    ความเข้าใจกรณีการรับขันธ์

    ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

    .......... เทพ เป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้น ๆ และ ยังหมายถึงข้อตกลง ระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมี โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป
     
  4. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ความหมายของขันธ์ต่างๆ

    ขันธ์ 5 หมายถึง การรับศีล 5 มาปฏิบัติโดยเคร่งครัด ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเผลอไปรับเข้า มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้

    ขันธ์ 8 หมายถึง การรับศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง

    ขันธ์ 9 หมายถึง การรับศีลอุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ

    ขันธ์ 10 หมายถึง ศีลของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ

    ขันธ์ 16 หมายถึง ศีลของนักบวช 227 ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมือเดียว งดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่าน อยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวช เพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้น


    ... ดังนั้น หากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับเลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น จะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วย ก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงองค์เทพที่รับมาด้วยจึงจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือดร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมา

    ลักษณะของชั้นเทพ

    ... ลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่าง ๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตุให้ดี ก็พอจะแยกได้ว่า เป็นเทพ หรือ เป็นผี โดยอาศัยหลักพิจารณาโดยสังเขปดังนี้

    1. ประทับทรงจากส่วนล่าง
    .... จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มักจะเป็นพวก สัมภเวสี หรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว

    2. ประทับทรงจากด้านหลัง
    .... จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลัง มักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าปู่ ฯลฯ

    3. ประทับทรงจากด้านหน้า
    ... จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็น เทวดาชั้นจาตุม ฯ ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์

    4. ประทับทรงจากทางบ่า
    .... จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่า มักจะเป็นเทพ หรือ ดาบสที่มีฤทธิ์ ในระดับกลาง ๆ

    5. ประทับทรงจากกลางกระหม่อม
    ... จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศรีษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง


    คำแนะนำ

    ... ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะมีองค์ หรือ ไม่ก็ตาม ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ องค์เทพเทวาที่คุ้มครองรักษาตนเอง ก็น่าจะเพียงพอ เพราะการที่เทพมาอยู่กับเราก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือ ปรารถนาจะได้ร่วมสร้างบารมี และ ช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน พาร่างสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

    ....... ถ้าเราทำได้ดังนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปรับขันธ์ เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ประกอบด้วย หิริโอตตัปปะ คือ ความละอาย และ เกรงกลัวต่อบาป ย่อมไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับร่างที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านกลัวบาป การที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือ ลงโทษอะไรหนักหนาคงไม่มี นอกจากช่วยเหลือเท่านั้น แต่ที่มันเจ็บป่วย หรือ มีปัญหาในหน้าที่การงาน การเงิน จนล้มละลาย มันเป็นเรื่องของวิบากกรรมที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้ นอกจากช่วยประคับประคอง หรือ ดลจิตดลใจให้ไปหาผู้ที่สามารถแก้ไขวิบากรรมส่วนนี้ได้

    ข้อสังเกต

    มนุษย์ผู้ที่มีองค์เทพคุ้มครองอยู่นั้นสังเกตได้ด้วยตนเองไม่ยาก

    1. มึนศรีษะข้างเดียวเป็นประจำ บางทีทางการแพทย์ว่าเป็น “ ไมเกรน ”

    2. หนักต้นคอ บางครั้งหนักบ่าสองข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ บางทีขับรถอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนักบ่า

    3. แน่นหน้าอกเป็นบางครั้ง เหมือนคนหายใจไม่อิ่ม บางคนเป็นบ่อย จนหมอว่าเป็นโรคหัวใจ

    4. ฝันแม่นยำ มีลางสังหรณ์แม่นยำ บางทีเรียกสัมผัสที่หก หรือ “ ซิกเซ้นท์ ”

    5. ชอบฝัน หรือ ตีเป็นตัวเลข เสี่ยงโชคได้ใกล้เคียง บางที ผิดแต้มเดียว กลับบนกลับล่าง กลับหน้ากลับหลัง ซื้อทีไรก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเป็นประจำ แต่ถ้าไม่ซื้อเที่ยวบอกใคร เขาก็จะถูก

    6. บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกชื่อเบา ๆ เหมือนเสียงกระซิบก็มี เสียงดังก้องในหู ก็มี

    7. ไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีอะไรที่ลี้ลับ จะรับรู้โดยการสัมผัส ขนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว

    8. บางครั้งสวดมนต์เป็นภาษาบาลีอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นรัวเร็วขึ้นมา

    9. หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เร็วกว่าคนทั่วไป


    ..... ดังนั้น อาการบางอย่างหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว มันไม่หาย ก็ให้ สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ว่าแล้วแผ่เมตตาบ่อย ๆ ทุกอย่างมันจะหายไปเอง เสี่ยงโชคลาภก็จะได้ เพราะบารมีที่ทำนี่แหละ แต่บางอย่างก็อาจจะเกิดจากสัมภเวสีได้ เช่นกัน


    1. ปวดศรีษะเป็นประจำ บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหว หมอว่าเป็นความดันบ้างก็แล้วแต่ ก็ควรตรวจเช็คแก้ไข เพราะอาจถูกสัมภเวสีเกาะอยู่ในศรีษะได้

    2. ปวดไหล่เป็นประจำ หมอว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบ กินยาทายาก็แล้ว มันไม่หาย ตึงไปหมด ถือว่าผิดปกติ

    3. มือเท้าชาเป็นซีก จากไหล่ หรือตะโพก หัวเข่าก็ตาม

    4. แน่นหน้าอกมากผิดปกติ

    5. ปวดบริเวณกระเบนเหน็บ บางที่การแพทย์ระบุว่า หมอนรองกระดูกทับเส้น เว้นแต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มจนกระแทกพื้นอย่างแรง นั่นก็จะต้องพิจารณารายละเอียดเป็นกรณีไป

    ..... อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวกับองค์เทพ แต่เป็นการแทรกซ้อนจากวิญญาณเร่ร่อนหรือสัมภเวสีที่ไม่มีที่อยู่นั่นเอง หากรักษาแล้วแก้ไขแล้วไม่ดีขึ้น ก็ลองติดต่อขอรับการสงเคราะห์หรือปรึกษากับ หลวงพ่อวัชระ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี เพราะท่านอาจจะพอหาทางแก้ไขให้ได้

    ดังนั้น การที่ได้กล่าวพาดพิงถึง การรับขันธ์ หรือ องค์เทพ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณในการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข เพราะวิบากกรรมเป็นของมนุษย์ที่กระทำกันมา ครูบาอาจารย์องค์เทพก็ตาม ก็ไม่อาจฝืนกฏแห่งกรรมได้ แต่อาจชี้ทางแก้ไขได้ เพราะการเจ็บป่วย หรือ ปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้ามนุษย์นั้น มีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุมันก็ไม่จบ ต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น
     
  5. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    ตามที่ผมประสบจากคนใกล้ตัว รู้สึกเทพที่เป็นสัมมาทิฏฐิท่านจะไปประชุมอะไรกันสักอย่างในวันพระ (ไม่รู้ว่าไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่เทวสภาหรือเปล่า) อย่างช่วงเข้าพรรษาพระพรหมท่านจะไม่ลงทรงเลย ท่านว่าท่านจะเข้าสมาธิ คล้ายๆกับการเข้ากรรมฐานอะไรสักอย่างของท่านครับ

    ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ที่กล้าหาญมาก อุตส่าเอาความรู้เหล่านี้มาลง แต่ผมยังตามอ่านได้ไม่หมดต้องค่อยๆทยอยอ่านทีละนิด :D
     
  6. dakjued

    dakjued เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +851
    ได้ความรู้มากครับ
     
  7. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... น่าจะไปฟังเทศน์ ฯ กันนะคะ หรือไม่ก็อยู่ปฏิบัติกันในที่ของตนเองนะคะ ... เพราะเทพพรหมเทวดาท่านก็ยังต้องปฏิบัติเช่นกันอยู่แล้ว ...

    .... โหชมแบบนี้ บอกตามตรงคิดมานานมากเหมือนกันคะว่าจะลงดีไหม๊ ลงแบบไหนดีที่จะเกิดปัญหาน้อยที่สุด .. อย่างน้อยก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ... ของคนที่ผ่านจุดนั้นมาแล้วคะ .. ถือว่าเอาประสบการณ์ตนเองเป็นธรรมทานคะ ^___^
     
  8. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ,,,,,,,,,,,,,,,,,, ข้อปฏิบัติเมื่อรับขันธ์มาแล้ว ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,

    ........ ในการปฏิบัติตนเมื่อไปรับขันธ์ใดๆ มาก็ตาม แสดงว่าท่านต้องการตะทำหน้าที่
    เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เมื่อรับมาแล้ว
    ก็เสมือนมีหน้าที่และคุณสมบัติพิเศษบางประการที่ต่างจากคนทั่วไป

    การรับขันธ์นั้น ผู้รับต้องไปทำและปฏิบัติตนที่ขันธ์ของตัวเอง
    ไปทำรูป นาม ขันธ์ 5 ให้ปรากฏชัด หมายความว่า
    ต้องหัดทำจิตใจให้เป็นสมาธิ คือ อย่างน้อยๆ
    ก็ขอให้จิตใจมีระดับสมาธิสั่งๆ เสียก่อน
    จุดมุ่งหมาย คือ
    ให้สมาธิตนเองนั้นได้เข้าสู่ขันธ์ โดยรูปธรรม นามธรรม โดยเพื่อรับรู้ว่า
    ความสุขและความทุกข์ทั้งหลาย นั้นคือความไม่แน่นอน

    ขันธ์ของตนเองถึงจะถูกต้องสมบูรณ์ในการรับขันธ์
    ไม่ใช่รับเอาขันธ์มาแล้วไปนั่งที่โน่น นั่งที่นี่ นั่งในถ้ำในป่าก็ไม่ได้ผล
    เพราะสิ่งสำคัญที่สุดเราต้องเข้าใจตัวเอง เข้าใจขันธ์
    เข้าใจรูปธรรม เข้าใจนามธรรม
    เข้าใจ รู้จักกำหนดจดจำความดี แยกแยะความชั่ว

    .,,,เมื่อเข้าใจพื้นฐานแห่งขันธ์แล้ว ก็ขอให้นำข้อปฏิบัติตนต่างๆ
    สำหรับการรับขันธ์มา เพื่อความสุขและความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตขัดเกลาจิตใจของตนเอง ให้จิตว่างจากกิเลส
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    อ่านๆมาได้ความได้ความรู้มากมายครับ..และหลังๆมาเนี่ย
    เริ่มมีแทรกมุขตลกมาด้วย..อ่านไปแล้วนั่ง.ฮาไปด้วย.

    เสียดายไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้.ไม่งั้นจะร่วมแจมด้วย.
    งั้นขอตามอ่านตามฮาต่อไปแล้วกัน..คริ คริ
     
  10. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +2,951
    ขออ้างจากข้อความนี้ แล้วเปรียบเทียบกับเฮ่งเจียกง สวนผัก ที่เคยเจอะนะค่ะ
    -พูดน้อย ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที
    แปลไม่ได้ มีโมโหด้วย ว่า ทำไมไม่เข้าใจ ต้องให้ท่านอธิบาย
    -ฟังอาการ บวกกับดู วันเดือนปีเกิด (เทียบสากลเป็นแบบจีน ) ถ้าเขียนไม่ได้ ให้คนที่ดูแลศาลเขียน 1 บาท จนสูงสุดก่อนท่านไป 5 บาท ใครเขียนเองได้ ไม่ต้องจ่ายตรงนี้
    -แต่งตัว เสื้อกางเกงเก่าๆ แบบคนจีนสมัยก่อน เสื้อขาว กางเกงสีมืดๆ ขาก้วยไม่ก็ขายาว (จำไม่ค่อยได้แล้ว ) ไม่มีการแต่งตัว แบบไฉไล หรือ ต้องแต่งเป็น องค์เฮ่งเจีย
    -โดนอำเยอะ ถ้าใครทำผิดมา ท่านจะถาม-พูด เหมือนรู้เรื่องเลย หนักไปทาง โดนอบรม เราก็เคยโดน เถึยงไม่ออกเลยค่ะ
    -ไม่ก้าวก่ายกฎแห่งกรรม อันนี้จริงๆค่ะ บางอย่าง ไม่ถึงวาระที่จะต้องรู้ ท่านก็ไม่บอก หรือตอนพ่อเราจะเสีย ท่านก็ไม่พูด ใช้คำพูดเลี่ยงไปว่า ..ถามแพทย์ถูกแล้ว...
    ถ้าท่านไม่อยากพูดต่อ จะไล่กลับบ้านเลย เช่นตอนถามเรื่องเราตอนอายุ 15-16 พูดแค่นัยๆ ไม่รู้เรื่อง
    -ทรงเฉพาะวันพระจีน
    -อย่างน้องชายเรา เป็นลูกขอ (ปู่ขอท่านว่าอยากได้หลายชายซักคน) พ่อกับแม่ไม่รู้เรื่องเลย จนท่านเห็นวันเกิดแล้วทวง ว่า "คนนี้ลูกใคร" ทำให้ ต้องถามญาติๆ ตกลงว่า ปู่เคยขอไว้ แต่ไม่ได้บอกพ่อแม่เรา
    -เข้าทรง หายใจลึกๆ 1 ที (แม่บอก) ออกทรง ก็ไม่มีอะไรแปลก อาการตรงนี้ คนที่ศาลจะเป็นคนบอกว่า เข้าทรงแล้ว (ดูไม่ออกว่า ตอนไหนทรง ไม่ทรง)
    เพราะ การพูดน้้ำเสียง เหมือนคนปกติ


    แม้จะมีเหตุการณ์เยอะกว่านี้ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่เชื่อค่ะ แต่คนจีนสมัยก่อนมีอะไร ไม่มีที่พึ่ง มักจะนึกถึงท่าน แล้วก็จะได้คำตอบ
    บางคนลบหลู่
    เราก็ไม่เชื่อ แต่เถียงไม่ออก จนญาติธรรม(หลายคน) มาขยายความอีกทีนึง ได้พอดีกัน เป็นเรื่องเดียวกัน
    ลูกหลานจุดธูปขอ ท่านก็ไม่ลงมาทรงแล้วค่ะ (คนทรงเสียแล้ว) ทำให้ศาลเงียบไปมาก

    ลองอ่านอันนี้ประกอบ (เฉพาะเฮ่งเจียกงนะค่ะ รายอื่นไม่ยืนยัน)
    Daily News - Manager Online - องค์ประทับร่าง ความเชื่อ ศรัทธา หรือ กลลวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2013
  11. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +2,951
    ขอเปรียบเทียบกับ ทรงร่าง ของลัทธินึง

    แรกๆ เราเข้าไปด้วยความไม่รู้และอยากเข้าไปวันทรง เพื่อถามเรื่องลูก
    แต่พอยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกแปลก เลยตัดสินใจไม่ไปยุ่งเกี่ยว และญาติธรรมเตือน ไม่เข้าไปบริเวณสถานธรรมอีกด้วย (กลัวของแถมค่ะ)

    พอฟังหลายๆทีเรื่องอาการทรง แตกต่างกับเฮ่งเจียกง สวนผักมาก
    -แต่งตัว ทำท่าทางให้เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธ์ มากเกินไป
    -ออกทรง หัวกระแทกโครม ต้องปฐมพยาบาล
    -เวลาทรง ท่าเยอะ ดัดเสียง
    -ถ้าเป็นเทพบริวารเด็กๆ จะวิ่งไล่แจกท๊อฟฟี่ได้ด้วย
    -สิ่งศักดิ์สิทธิ์บารมีระดับสูง ทรงเต็มตัวได้ด้วย
    -คนทรง 1 คน รับ ทรงสิ่งศักดิ์สิทธิได้เยอะมาก เปลี่ยนไปตามบุญที่สัมพันธ์กับคนเข้าประชุมธรรม

    ส่วนเพื่อนเราที่อยู่ลัทธินี้ ฟังเผินๆ เหมือนคนมีองค์ คุ้มครองตลอดเวลา มีเสียงเรียกหวานๆ ทิ้งหางเสียง อยู่ทุกวัน (หาอ่านได้ในญาณทิพย์ค่ะ เราไม่ได้ยิน แต่พอรู้ว่า เสียงเป็นแบบนี้ใช่หรือเปล่า เพื่อน งง ว่ารู้ได้ไง)
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (หรือไรไม่รู้) พยายามแสดงตัวเยอะมาก เรียกแทบทั้งวัน เรียกคนทั้งบ้าน เรียกปลุกทำอาหารเจช่วงเทศกาล 10 วัน

    เราเขียนเพื่อเปรียบเทียบในสิ่งที่รับรู้มาค่ะ
    กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
     
  12. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    พยายามอย่าไปร่วมอะไรที่เราไม่แน่ใจนั้นถูกแล้วครับ ต้องบอกว่าจะหาของแท้นั้นมีน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าร้อยทั้งร้อยจะเป็นของปลอมเสียทีเดียว เพียงแต่ของมันไม่เห็นตัว มันก็ค่อนข้างจะอันตรายเหมือนกัน
    เดี๋ยวจะมาเล่าเรื่องญาติข้างบ้านผมที่เขาประสบมาเกี่ยวกับเรื่องของการรับขันธ์ ตอนนี้ไม่มีเวลาพิมพิ์ยาวๆครับ :boo:
     
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เตี่ยผมเนี่ย เชื่ออย่างมาก และให้ความเคารพอย่างมาก กับเจ้าพ่อเฮ้งเจีย ที่สวนผัก...
    ผมยังต้องมีหน้าที่ขับรถพาไป แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก...
    ทั้งนี้เพราะอะไร....

    เฮ้งเจียคือลิงที่เกิดจากก้อนหิน ซึ่งเป็นนิยายที่แต่งขึ้น ไม่เคยมีตัวตนจริงๆในประวัติศาสตร์ เป็นบุคคลาธิษฐาน คือสมมติเอาตัวบุคคลที่เป็นรูป แทน นาม...เช่น วรรณกรรมเรื่อง ธัมมาธัมมะสงคราม...ที่สมมติให้เทพตัวดำเป็นผู้ร้าย เทพตัวขาวเป็นฝ่ายผู้ดี อย่างนี้เป็นต้น...
    เฮ้งเจียถูกแทนด้วย ปัญญา ...เพื่อจะบอกว่า มีแต่ปัญญาอย่างเดียว ขาดสมาธิควบคุม ขาดสติ มันก็จะฟุ้งซ่านวุ่นวาย...
    ตือโป้ยก่าย แทนด้วย ศีล ในขณะที่การแสดงออกคือ การทุศีล เพื่อชี้ให้เห็นว่า การบกพร่องจากศีลนี้ มีข้อเสียอย่างไร...
    ซัวเจ๋ง แทนด้วย สมาธิ เพื่อจะแสดงว่าสมาธิที่ขาดปัญญา มันทื่อๆทึ่มๆอย่างไร...
    ส่วนพระถังซำจั๋ง แทนด้วย ขันติ ....

    เมื่อเป็นการสมมติแล้ว เจ้าพ่อเฮ้งเจีย หรือ เฮ้งเจียกง ที่สวนผัก มาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร...
    ถ้าการสมมติของตัวละครในวรรณกรรม สามารถเอามาเป็นร่างทรงได้จริง...ดังนี้แล้ว เราต้องเห็นร่างทรง โดราเอม่อน , โนบิตะ, ลอร์ดวันเดอร์มอร์ ฯลฯ

    ผมพาเตี่ยไปที่ศาลเจ้าพ่อเฮ้งเจียที่สวนผัก คนจีนไปกันมากมาย ใส่ชุดขาว ร่างทรงพูดจาเหมือนคนธรรมดา ดูไม่ออกว่าทรงอยู่ พูดไทยก็ได้จีนก็ได้ ปนกันไป...
    ผมมีหน้าที่ขับรถไปส่งก็พาไป แล้วก็แยกตัวออกมายืนห่างๆ ห่างมาก...
    เตี่ยเข้าไปยกมือไหว้ปะหรกๆ ... คนมุงกันมากมาย มีธงเล็กๆ ไม่ได้เอาไว้ฟัน แต่เอาไว้โบก...
    คนทรงกวักมือเรียกผมเข้าไปหาใกล้ๆ พูดทำนายทายทัก แต่ไม่ตรงเลยสักอย่าง เป็นเรื่องที่เตี่ยผมคงไปบ่นเอาไว้ เกี่ยวกับฤกษ์แต่งงานมั๊ง...
    คนทรงยังทำเหมือนกับว่า ผมนี่มีองค์ มีฤทธิ์ มีเดช อะไรทำนองนั้น ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีอะไรเลย...ไปส่งเตี่ยเฉยๆ...ไม่ได้ท้าทายอะไรใดๆ...แต่เวลาจะไปก็อารธนาบารมีพระผู้พระภาคเจ้าด้วย ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ด้วย เท่านั้นเอง...

    สิ่งที่คนทรงเจ้าพ่อเฮ้งเจี่ยสั่งเตี่ยผมมาคือ ให้หยุดสูบบุหรี่ได้แล้ว ปอดลื้อไม่ไหวแล้ว(แปลเป็นไทยได้ประมาณนี้) เตี่ยผมเอาบุหรี่ห่อใส่ หงิ่งเตี๋ย แล้วโยนเข้าไปเผาไฟ เลิกบุหรี่ ณ บัดนาว...นี่ผมเห็นคุณของ ร่างทรงเจ้าพ่อเฮ้งเจีย ก็ในตอนนั้น..

    หลวงพ่อฤษีท่านก็เคยเล่าว่าท่านเคยไปหา ร่างทรง เจ้าพ่อตือโป้ยก่าย เมื่อสมัยที่บวชพระไม่นาน แล้วยังเคยเล่าให้ฟังถึง เรื่องที่หลวงพ่อปานมาเข้าสิง ร่างทรงคนหนึ่ง มาคุยกับหลวงพ่อฤษีก็เคยมี....

    คือถ้าบุคคลที่สมมติในวรรณกรรมไซอิ๋ว สามารถมีตัวตนได้จริง ก็อยากให้คุณแม่กาลีนะ ทรงเจ้าแม่แมงมุม แม่หม้ายดำ ในไซอิ๋วให้หน่อยสิ...หรือจะให้คุณดัชเชส ประทับทรง เมดูซ่า ให้จ้องหน้าแล้วกลายเป็นหินกันเสียให้หมด...

    ในเมื่อเป็นเพียงตัวละครที่สมมติขึ้นมาอย่างนี้แล้ว จะเข้าทรงเป็นจริงเป็นจังได้ไง...แม่กาลีนะ มาไขปัญหาให้หน่อย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2013
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เรื่องเงาดำๆ กระโดดขึ้นมานั่งบนรถ ก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร..
    ดึกๆลองขับรถผ่านป่าช้า ที่เมืองชลบุรีดูสิ มีเส้นทางหนึ่งต้องผ่าน 3 ป่าช้า...
    มีพวกเงาดำๆกระโดดขึ้นมานั่งกะบะท้ายบ้าง นั่งบนหลังคาบ้าง...รถหนักแอ่กขึ้นมาทันที...
    ผมดูงานเสร็จประชุมต่อ เลิกดึก กลับที่พักก็ต้องขับรถผ่าน ก็เจอ...ลูกน้องเจอจนเฉยๆไปแล้ว บางทีก็ตะโกนถามไปว่า นั่งรถเล่นเหรอ...เฮ้ย..อย่ากระโดดแรง...
    แต่พอผ่านป่าช้าไปแล้ว รถก็หายหนัก กลับมาเป็นปกติ...ไม่มีอะไร แค่พวกสัมภเวสีเท่านั้นเอง...:boo:
    อย่างมากเราก็ปัดกระจกมองหลังขึ้นไป แล้วไม่มองกระจกมองข้าง ก็แค่นั้นเอง...ทำกันทั้งลูกพี่ลูกน้อง...นี่ไม่ใช่กลัวหรอกนะ แต่ไม่อยากไปสนใจ..ให้มันผ่านๆไปเห๊อะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2013
  15. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... อิอิ .. คือกรณี ผีขึ้นรถนั้น ... ส่วนตัวกาลีนะเจอมาตลอดคะ .. ไม่ใช่เพิ่งเจอ แต่เราไม่รู้ว่าเขามาจากไหนแค่นั้น เพราะด้วยปกติจะไม่แสดงตัวแบบว่าเป็นปรปักษ์กับเราเยี่ยงนี้ .. มาแบบธรรดาคะ จะรู้แค่รถหนักขึ้นถ้าเราบ่นมากก็เบาลงบ้างถ้าหนักมาก ๆ ก็จอดรถคะแล้วก็ด่าไล่เลย ส่วนมากแค่บ่น ๆ พวกเขาก้ไป หรือ ไม่ก็ลดจำนวนลง ในกรณีของเพื่อน คือ เขาวนเวียนอยู่รอบตัว คล้ายสวมกอดมากกว่าสาม หรือ สี่ ตนและไม่ค่อยจะดีกับเราเท่าไหร่ ( พระที่ช่วยท่านเคยสั่งไว้คะว่าเขาจะเอาชีวิตเพื่อนหนูไปด้วยเรื่องของอุบัติเหตุ ซึ่งสักสามเดือนที่แล้วก็สตาร์รถพุ่งชนต้นไม้มาแล้ว กับ " ชัก "ในรถยนต์จนต้องส่งโรงบาลแต่ไม่ตาย )

    ... แถมเวลาขับรถตอนกลางคืน กาลีนะ ไม่มองกระจกมองหลังเลยคะ เรียกว่าแทบไม่ใช้เลยดีกว่า .. จะมองกระจกข้างแทน .... แต่ถ้ากลางคืนจะไม่มองถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ...
     
  16. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ..... ก็ตามความเป็นตัวเองละคะ .. ตอบตามที่คิด และ รู้สึก ... ขนาดระดับนี้ยังไม่มีประสบการณ์เลยหร้่าคะ กำลังว่าจะถามเลยว่ามีเอามาแนะนำน้อง ๆ บ้างไหม๊คะ อิอิ
     
  17. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .. ขอบคุณมากนะคะ .. กาลีนะยังไม่เคยไปเลยคะที่นี้ .. เพราะช่วงหลังจะระวังตัวเองมากไม่ไปในที่ " อโคจร " ถ้าไม่จำเป็นเพราะก็กลัวอยู่เหมือนกัน .. แต่ถ้าจำเป็นก็ไปคะ หรือบางทีมีคนวานให้พาไปประมาณนี้เราก็ไปสังเกตการณ์เขามากกว่าเข้าไปกวน เห้อ ๆ สหบาทามันเยอะคะ ...
     
  18. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297

    ... ถ้าแนวนั้นก็ไม่น่าไว้ใจจริง ๆ แหละคะ .. แต่เรื่องแต่งตัวเราคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวนะคะ เรื่องนี้เราว่าเป็นความชอบส่วนตัวมากกว่า .. ต้องใช้วิจารณญาณในการดู และ เชื่อส่วนบุคคลสูงมากคะ
     
  19. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... เห็นด้วยคะ และ รอฟังนะคะ เพราะเดี๋ยวกาลีนะก็จะเอามาเล่าเช่นกัน อิอิ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    มีแต่ประสบการณ์ระเบิดฟอร์ม..กับภูต.อสูรกาย.
    ระดับที่เป็นเพื่อนกับกาลีนะอยู่ตอนนี้จะเอาไหมหละ ฮ่าๆๆๆ..แหมๆ ล้อเล่นหรอก.:p.

    ..เดี๋ยวนี้ต้องยึดสโลแกนจีบได้ทุกภพภูมิ เอ่ย!!!! ไม่ใช่ๆๆ..เป็นมิตร
    กับทุกภพภูมิ..ต่างคนต่างคนอยู่..คนดีเค้าไม่ตีใคร.ไม่หาเรื่องใคร.
    ทุกเหตุการณ์มีทางออกที่ดีที่สุดและเป็นกลางเสมอ..ไม่ว่าผีหรือคน.ซักวัน
    เราก็มีโอกาสเป็นผีได้เหมือนกัน.เพราะฉนั้นหาพันธมิตรไว้ให้เยอะๆ.


    เมตาตาเปิด เป็นฐานการได้มาซึ่งเพื่อนพันธ์มิตรทางภพภูมิ...
    .อุทิศส่วนกุศลให้บ่อยๆ.จะเพิ่มฐานสมาธิให้ขยายวงของการอุทิศส่วนกุศล
    ไปสู่ภพภูมิต่างๆได้ไกลขึ้นเรื่อยๆ.
    .ทำให้มิตรทางภพภูมิเพิ่มขึ้้นและหลั่งไหลตามกันมา.

    ที่ไม่ดีก็มี.ต้องอุเบกขาเป็น และเฉลียวในการเจรจา.ให้กำลังครูบาร์อาจารย์
    ช่วยหนุน..หากแม้ได้มาซึ่งอาวุธเหตุเพราะคุณสมบัติพร้อม.
    เน้นเพื่อยุติความขัดแย้ง..หาใช่เพื่อทำลาย.;)..​
     

แชร์หน้านี้

Loading...