ประสบการณ์โลกทิพย์ "หลวงปู่ดูลย์ อตุโล" ยอดแห่งพระกรรมฐาน ,ภพภูมิ ,กายทิพย์ ,วิญาญาณ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 6 มิถุนายน 2007.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme--><!--msnavigation--><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๕๕. จิตเสมอกัน


    ต่อเนื่องกับเรื่อง ผู้พิชิตงูจงอาง หลวงปู่ก็ให้การอบรมสั่งสอนเด็กชายซอมต่อไปว่า

    "สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อมีสภาวะแห่งจิตเสมอกัน ย่อมไม่กระทำอันตรายแก่กันและกัน และอาจสื่อสารสนทนากันได้ สามารถเข้าอกเข้าใจกันได้"

    ยกตัวอย่างเช่น สัตว์ที่ตกอยู่ในสภาวะแห่งความกลัวต่อสิ่งเดียวกัน ก็สามารถวิ่งหนีภัยไปด้วยกัน หรือไปชุมนุมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน เมื่อเผชิญกับน้ำป่าหรือไฟป่า เป็นต้น

    บางครั้งเราจะเห็นเสือเดินผ่านฝูงสัตว์ต่างๆ ไปอย่างปกติธรรมดาและสัตว์เหล่านั้น เมื่อเหลือบเห็นเสือก็มิได้แตกตื่นหนี เพราะมันรู้ว่า เสือได้อาหารอิ่มท้องสบายใจแล้ว

    สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ จะมีจิตกำเริบเป็นอันตรายต่อกันและกัน ก็ต่อเมื่อมีความหิวโหยและปรารถนาความอยู่รอดแก่ตน แย่งชิงถิ่นที่อยู่และเกิดคลุ้มคลั่งในสมัยฤดูกาลสืบพันธุ์เท่านั้น

    มนุษย์ต่างหากที่มีความดุร้าย เป็นอันตรายต่อกันและกันได้มากกว่า

    การอยู่ในป่า จึงนับว่าสามารถหลบหลีกอันตราย ซึ่งเป็นไปอย่างเปิดเผยได้ง่ายกว่าการอยู่ในบ้านในเมือง เพราะในสังคมมนุษย์นั้น นอกจากจะมีการมุ่งร้ายหมายขวัญกันอย่างเปิดเผยแล้ว การประทุษร้ายกันอย่างลับๆ ก็ยังเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ด้วยวิธีการสารพัดวิธี

    อนึ่ง หลวงปู่เคยสั่งสอนพระเณรว่า เมื่ออยู่ในป่าและประจันหน้ากับงูจงอาง งูตกใจแล่นไล่จะทำอันตรายแก่เรา อย่าได้วิ่งหนีตรงๆ ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ให้วิ่งหลบหักซ้ายบ้างขวาบ้าง งูจะเข้าถึงตัวได้ช้า หรือไม่ก็จะเลิกความมุ่งร้ายไปในที่สุด

    เมื่อมันยังไล่ตามอยู่ ให้แก้ไขโดยเอาสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นผ้าขาวม้าหรืออะไรก็ตาม โยนทิ้งไว้ข้างหลัง มันจะพุ่งเข้าฉกพัวพันอยู่กับของสิ่งนั้น เลิกล้มการไล่ติดตามเราอย่างสิ้นเชิง ก็จะทำให้รอดพ้นอันตรายไปได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  2. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme--><!--msnavigation--><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๕๖. แบบฉบับการเดินธุดงค์


    ตามธรรมเนียมถือปฏิบัติในการเดินธุดงค์กัมมัฏฐานนั้น เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จนถึงหมู่บ้านหนึ่ง ในระยะเวลาบ่ายมากแล้ว ถ้าขืนเดินทางต่อไปจะต้องค่ำมืดกลางทางแน่ พระธุดงค์ก็จะกำหนดเอาหมู่บ้านที่มาถึงในเวลาบ่ายมากนั้นเป็นที่เที่ยวภิกขาจารหาอาหารในเช้าวันรุ่งขึ้น

    ครั้นได้ระยะห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๕๐๐ ช่วงคันธนู หรือประมาณ ๑ กิโลเมตร ตามที่พระวินัยกำหนดแล้ว ก็จะแสวงหาร่มไม้หรือสถานที่สมควรปักกลด กำหนดเป็นที่พำนักภาวนาในคืนนั้น

    พอรุ่งเช้า ก็จะย้อนเข้าในหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ชาวบ้านที่รู้ข่าวตั้งแต่เมื่อวาน ก็นำอาหารมาใส่บาตรตามกำลังศรัทธา และกำลังความสามารถ

    ครั้นกลับถึงที่พักปักกลด ก็ทำการพิจารณาฉันภัตตาหาร เสร็จแล้วจึงเดินทางต่อไป ยกเว้นแต่จะกำหนดสถานที่นั้นพักภาวนามากกว่า ๑ คืน ก็จะอยู่บำเพ็ญภาวนา ณ สถานที่แห่งนั้นต่อไป

    ชาวบ้านที่สนใจ ก็อาจจะติดตามมาฟังพระธรรมเทศนา และแนวทางปฏิบัติในตอนค่ำบ้าง ในตอนเช้าหลังการบิณฑบาตบ้าง

    เมื่อเป็นเช่นนี้ พระธุดงค์ก็จะถามชาวบ้านถึงเส้นทางที่จะเดินทางต่อไป เพื่อจะได้สามารถกำหนดเส้นทางและกำหนดหมู่บ้านอันเป็นที่สมควรแก่การเที่ยวภิกขาจารในวันต่อๆ ไปได้

    เป็นการเดินธุดงค์ไปตามเส้นทางธรรมดาของพระธุดงค์แท้พระธุดงค์จริงตามแบบอย่างที่ พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต และบรรดาสานุศิษย์ได้ถือปฏิบัติกันมา

    สำหรับการ ปักกลด นั้น ในทางปฏิบัติก็ต้องเอามุ้งกลดแขวนไว้กับเส้นเชือกที่ผูกตรึงกับต้นไม้ ไม่ใช่ปักไว้กับพื้นดิน เพราะการขุดดินหรือทำให้ดินเสียปรกติสภาพของมันไปเป็น การอาบัติโทษ อย่างหนึ่ง

    ข้อปฏิบัติที่ถือเป็นธรรมเนียมประการต่อไป คือจะไปเที่ยวปักกลดในหมู่บ้าน ในสถานที่ราชการ ใกล้เส้นทางคมนาคม เช่น ริมถนน ริมทางรถไฟหรือที่มีคนพลุกพล่านผ่านไปมา อย่างนั้นไม่สมควร

    สถานที่พำนักปักกลดควรเป็นที่สงบวิเวก เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร เช่นในป่า ภูเขา ถ้ำ โคนไม้ เรือนร้าง หรือป่าช้า เป็นต้น

    ถ้ามีพระ เณร หรือฆราวาสที่ร่วมเดินทางด้วย แต่ละคนก็แยกกันไปปักกลดห่างกันพอสมควร เพื่อไม่ให้การปฏิบัติภาวนามีการรบกวนกัน ไม่ใช่ปักกลดอยู่เป็นกลุ่มใกล้ชิดติดกัน

    อย่างไรก็ดี การเดินธุดงค์ตามแบบดังกล่าว ถือเป็นธรรมเนียมหรือแบบฉบับที่ครูบาอาจารย์สายกัมมัฏฐานอบรมสั่งสอน และพากันปฏิบัติสืบต่อกันมา

    ในยุคหลังๆ ในสมัยปัจจุบัน จะเห็นการเดินธุดงค์ไปเป็นคณะใหญ่ๆ มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ญาติโยมทราบ และเชิญชวนมาร่วมทำบุญ ตลอดถึงการนั่งรถไฟ รถทัวร์ ไปธุดงค์ก็มี ที่ทันสมัยกว่านั้นก็จัดธุดงค์เป็นคณะขึ้นเครื่องบินไปธุดงค์ที่ต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง โตเกียว ปารีส ออสเตรเลีย หรือดิสนีย์แลนด์ เป็นต้น จัดเป็นการประยุกต์หรือวิวัฒนาการของการธุดงค์ไปตามยุคสมัย หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  3. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๕๗. หลงป่า-อดอาหาร


    ในช่วงที่หลวงปู่ดูลย์ ยังไม่ได้พำนักประจำที่วัดบูรพารามนั้น ในระหว่างที่อยู่สุรินทร์ท่านนิยมพาลูกศิษย์ลูกหาเดินธุดงค์ท่องเที่ยวไปในป่าดงดิบแถบชายแดนกัมพูชา ในบริเวณเขตต่อเนื่องกับจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษถือเป็นที่เหมาะแก่การหลีกเร้นจากหมู่คณะตามแบบอย่างของพระธุดงค์

    ในป่าแถบนี้ มีผู้อาศัยอยู่น้อย จึงลำบากต่อการแสวงหาอาหารบิณฑบาต กว่าจะไปพบหย่อมบ้านแต่ละแห่ง แห่งละหลังสองหลัง ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นวัน สองวัน หรือมากกว่านั้น

    การอดอาหารของหลวงปู่และลูกศิษย์จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งต้องอดติดต่อกันหลายวันก็มี

    แต่ ไม่เคยได้ยินหลวงปู่พูด หรือเล่าว่าได้อาศัยพวก อทิสสมานกาย หรือพวกที่รูปกายไม่ปรากฏ เช่น เทพเทวดา หรือภูตผีปีศาจต่างๆ เอาอาหารมาถวาย อะไรทำนองนี้

    ท่านบอกแต่เพียงว่า "ก็อดทนไปในระยะสองสามวัน ร่างกายยังไม่เดือดร้อน" หรือไม่ก็พูดว่า "ดื่มแต่น้ำก็สามารถอยู่ได้ เดินทางต่อไปได้" อย่างนี้เท่านั้น

    ท่านหลวงตาซอม เล่าว่า ครั้งหนึ่ง ไปกับหลวงปู่ เกิดหลงทางในป่าอดอาหารเสียแทบแย่ ตกกลางคืนก็ต้องนอนค้างอ้างแรมกันกลางป่า ทั้งหิวทั้งกลัว

    ส่วนหลวงปู่นั้น นอกจากท่าทางที่ดูอิดโรยเล็กน้อยแล้ว ท่านก็ยังเป็นปกติเฉยอยู่

    พอรุ่งเช้า ในขณะที่เด็กชายซอมรู้สึกหมดอาลัยตายอยากแล้ว คิดว่าในวันนั้นจะต้องอดข้าวต่อไปอีกเป็นแน่ เพราะไม่มีวี่แววจะมีผู้คนหรือหมู่บ้านแถวนั้นเลย ผลหมากรากไม้ที่เด็กชายอย่างท่านจะกินกันตายก็ไม่มี

    ทันใดนั้น ดูหลวงปู่มีท่าทางกระปรี้กระเปร่า บอกว่า "ไม่ต้องกลัวอดแล้ว ได้ข้าวกินแน่วันนี้"

    เด็กชายซอมไม่เชื่อหูตัวเองว่าหลวงปู่จะพูดอย่างนั้นจริง จนหลวงปู่ต้องย้ำอีกที จึงค่อยรู้สึกว่ามีความหวังขึ้น ค่อยมีกำลังเดินตามหลวงปู่ต่อไป

    หลวงปู่เดินนำลิ่ว บุกป่าดงออกไปอีกด้านหนึ่งอย่างไม่รั้งรอ เด็กชายซอมเร่งฝีเท้าติดตามหลวงปู่อย่างไม่ลดละ แต่รู้สึกว่ายิ่งบุกป่าไปนานเท่าไรก็ยังเป็นป่าทึบเหมือนเดิม จึงลงความเห็นให้กับตนเองว่า "หลวงปู่คงจะพูดให้กำลังใจ เพื่อจะได้มีแรงเดินนั่นเอง"

    คิดดังนี้แล้ว ก็เป็นอันว่าแข้งขาไม่มีแรงเดิน แทบจะล้มพับลงไป แต่ก็ต้องพยายามแข็งใจ ลากขาตามหลวงปู่ไปแบบหมดอาลัยตายอยาก

    หลังจากนั้นไม่นานนัก หลวงปู่ก็เดินนำลิ่วไปอย่างรวดเร็ว ก้าวพรวดพ้นดงทึบออกไปยืนนิ่งอยู่ เด็กชายซอมชักสงสัย รีบเร่งฝีเท้ากระโจนออกไปยืนข้างๆ หลวงปู่

    แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านั้น หลวงตาซอมเล่าว่า, "เป็นภาพกระท่อมน้อย มุงหญ้าเก่าคร่ำคร่า แต่มีความสวยงามที่สุดสง่ายิ่งกว่าปราสาทราชวังเสียอีก"

    ครั้นได้ข้าวได้น้ำเป็นที่สำราญพอสมควรแล้ว จิตของเด็กชายซอมก็เริ่มถูกส่งออกนอกตามความเคยชิน สงสัยเสียจริงๆ ว่า หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่ามีบ้านอยู่ตรงนี้ จึงได้มั่นใจว่าวันนี้มีข้าวกินแน่ และนำลิ่วมาถูกทางเสียด้วย

    เมื่อทนอัดอั้นอยู่ไม่ไหว จึงเรียนถามท่าน

    หลวงปู่บอกว่า ท่านเดินป่ามามาก ก็มีประสบการณ์ รู้จักสังเกตสังกาและอนุมานเอาได้ ขอให้พยายามฝึกฝนต่อไป บ่มนิสัยตนเองให้รู้จักสังเกตมากขึ้นก็จะรู้ได้เอง

    จึงเป็นอันว่า หลวงตาซอมได้คำตอบจากหลวงปู่มาเพียงเท่านี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  4. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    มาต่อแล้วครับ.......

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๕๘. ิหลวงปู่พูดถึงพระอาจารย์ใหญ่


    ลูกศิษย์ลูกหาที่วัดบูรพารามเคยกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เกี่ยวกับเรื่องราวของท่าน พระอาจารย์ใหญ่ คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เล่าให้ฟังในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่อาจแตกต่างจากที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านพบในที่ต่างๆ ไปบ้าง เห็นว่าน่าจะนำมาบันทึกรวมไว้เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจด้วย

    ครั้งนั้น ผู้เขียน (พระโพธินันทมุนี) ได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า, "ได้อ่านประวัติ ท่านพระอาจารย์มั่น ที่มีผู้เขียนไว้อย่างพิสดาร มีสิ่งเร้นลับเหนือวิสัยและอภินิหารบางอย่างอยู่ในนั้นมากมาย หลวงปู่เคยอ่านบ้างไหม และมีความเห็นอย่างไร?"

    หลวงปู่ตอบว่า "เคยอ่านเหมือนกัน แต่เมื่อสมัยที่เราอยู่กับท่านนั้น ไม่เคยได้ยินท่านพูดสิ่งเหล่านี้ให้ฟังเลย แต่ถ้าจะพูดในแง่ธุดงค์แล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่จะถือธุดงค์อย่างเคร่งครัดที่สุด ยืนยันได้เลยว่า ลูกศิษย์ของท่านทั้งหมด ยังไม่มีผู้ใดถือได้เท่าเทียมกับท่านอาจารย์ใหญ่เลยแม้แต่องค์เดียว"

    แล้วหลวงปู่ก็เล่าต่อว่า ท่านพระปรมาจารย์ หรือท่านอาจารย์ใหญ่ของหลวงปู่นั้น จะไม่ยอมใช้ผ้าสบงจีวรสำเร็จรูป หรือ คหบดีจีวร ที่มีผู้ซื้อจากท้องตลาดมาถวายเลย นอกจากได้ผ้ามาเอง แล้วมาตัดเย็บย้อมเองทั้งหมดจึงใช้ และ ไม่เคยดำริหรือริเริ่มให้ใครคนใดคนหนึ่งสร้างวัดสร้างวาเลย มีแต่สัญจรไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าป่าตรงไหนเหมาะสมท่านก็อยู่ เริ่มด้วยการปักกลดแล้วทำที่สำหรับเดินจงกรม

    ส่วนญาติโยมผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เมื่อมาพบและมองเห็นความเหมาะสมสำคัญ ก็จะสร้างกุฏิน้อย สร้างศาลาชั่วคราวถวายท่าน นอกจากนั้น สถานที่นั้นก็กลายเป็นวัดป่าเจริญรุ่งเรืองต่อมา

    ยิ่งกว่านั้น แม้แต่การรับกฐินท่านก็ไม่เคย สมัยต่อมานั้นไม่ทราบและท่านไม่เคยถือเอาประโยชน์ที่ได้รับอานิสงส์พรรษาตามพระพุทธบัญญัติ ที่ให้สิทธิพิเศษแก่ภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือน ได้รับการยกเว้นบางอย่างในการปฏิบัติ

    ท่านจะ ถือตามสิกขาบทโดยตลอด ไม่เคยยกเว้น ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธุดงควัตรโดยสม่ำเสมอ

    ด้านอาหารการฉันก็เช่นเดียวกัน ท่านถือการบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นประจำไม่เคยขาด แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วย แต่พอเดินได้ท่านก็เดิน จนกระทั่งในที่สุด เมื่อเดินไปบิณฑบาตไม่ได้ ท่านก็ลุกขึ้นยืนแล้วอุ้มบาตร ศิษยานุศิษย์ที่กลับมาจากบิณฑบาต และญาติโยมก็มาใส่บาตรให้ท่าน แล้วท่านก็ จะขบฉันเฉพาะอาหารที่อยู่ในบาตรเท่านั้น

    แม้เมื่อเวลาท่านชราภาพมากแล้ว เวลาท่านเจ็บไข้ หรือป่วยมากจนไม่อาจเดินออกนอกวัดได้ ก็ทราบว่าท่านเป็นอยู่อย่างนี้ และยังฉันอาหารมื้อเดียวตลอด

    แม้แต่หยูกยาคิลานเภสัชต่างๆ ที่ใช้ในยามเจ็บไข้ ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ ไม่นิยมใช้ยาสำเร็จรูป หรือแม้แต่ยาตำราหลวง หากแต่พยายามใช้สมุนไพรตัวยาต่างๆ มาทำเอง ผสมเองเป็นประจำ

    แม้แต่การเข้าไปพักตามวัดก็นิยมพักที่วัดป่า จำได้ว่า ไม่เคยเข้าไปอยู่ในวัดบ้านเลย แต่จะอยู่วัดที่เป็นป่าหรือชายป่า เมื่อไม่มีวัดเช่นนี้อยู่ ท่านจะหลีกเร้นอยู่ตามชายป่า แม้ว่าจะมีความจำเป็นเวลาเดินทางก็ยากนักที่จะเข้าไปอาศัยวัดวาในบ้าน

    ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ได้เล่าถึงคำสอนของท่านพระอาจารย์ใหญ่เกี่ยวกับการขบฉันภัตตาหารได้ว่า

    "ท่านอาจารย์ใหญ่สั่งสอนไว้ว่า การฉันอาหารต้องฉันอย่างประหยัด มีสติสัมปชัญญะ เพื่อขัดเกลาจิตใจมิให้เกิดความโลภ

    วิธีการฉันนั้น เมื่อรับข้าวสุกมากะว่าพออิ่มสำหรับตนแล้ว ให้แบ่งข้าวสุกที่ตนพออิ่มนั้นออกเป็น ๔ ส่วน เอาออกเสียส่วนหนึ่ง แล้วจึงรับเอากับข้าวมาในปริมาณที่เท่ากับส่วนหนึ่งที่เอาออกไป กล่าวคือ ให้มีข้าว ๓ ส่วน กับข้าว ๑ ส่วน แล้วจึงลงมือฉัน ท่านอาจารย์ใหญ่เอง ก็จะฉันภัตตาหารในลักษณะเช่นนี้โดยตลอด

    เมื่อมีผู้ใดจะตระเตรียมภัตตาหารในบาตรถวายท่าน ท่านอาจารย์ใหญ่ก็จะแนะนำให้จัดแจงมาในลักษณะเช่นนี้ แล้วท่านจึงฉัน"

    นี่คือปฏิปทาส่วนตัวของ ท่านพระอาจารย์ใหญ่ ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตามที่หลวงปู่เล่าให้ฟัง ซึ่งหลวงปู่จะพูดถึงแต่ในแง่ที่ท่านถือธุดงค์ ในแง่ที่ท่านเคร่งครัดอย่างไร เพื่อให้ผู้สนใจซักถามนั้นได้ถือเป็นแบบแผนเยี่ยงอย่าง

    ส่วนคุณธรรมด้านอื่นๆ นั้น หลวงปู่เคยกล่าวในแวดวงนักปฏิบัติว่า "ท่านอาจารย์ใหญ่เป็นผู้ที่มีญาณใหญ่ไม่มีใครเทียบเท่าได้" ดังนี้เท่านั้น ส่วนคุณวิเศษหรืออภิญญาใดๆ ที่มีในตัวพระอาจารย์ใหญ่มั่นนั้น หลวงปู่ไม่เคยพูดถึงเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  5. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme--><!--msnavigation--><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๕๙. พูดถึงครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ


    นอกจาก พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต แล้ว เมื่อพูดถึงครูบาอาจารย์อื่นๆ ก็ทำนองเดียวกัน แม้ว่าในบางครั้ง จะมีพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งตอบคำถามของผู้สนใจใคร่รู้ ว่าองค์โน้นมีคุณพิเศษอย่างนั้น องค์นั้นมีอานุภาพอย่างนี้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ซึ่งอยู่ในที่นั้นด้วย ก็จะตั้งใจรับฟัง

    แต่เมื่อถึงคราวที่ท่านจะต้องพูดถึงครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ
    ท่านก็จะพูดถึงแต่ปฏิปทา จริยาวัตรอันน่าเลื่อมใสของครูบาอาจารย์องค์นั้นๆ ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้น

    ครั้งหนึ่ง มีผู้ถามหลวงปู่ถึง พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ก็เล่าถึงปฏิปทาในทางธุดงค์กัมมัฏฐานอันน่าศรัทธาเลื่อมใสของพระอาจารย์ฝั้น แล้วเน้นว่า

    "ท่านอาจารย์ฝั้น นั้น มีพลังจิตสูงมาก น่าอัศจรรย์ในด้านการธุดงค์กัมมัฏฐาน หรือการปฏิบัติของท่าน ท่านเป็นนักต่อสู้และเอาชีวิตเข้าแลกทีเดียวต่อการปฏิบัติ ดังนั้น ในระยะหลังจึงมีคนนับถือท่านมาก ผู้สนใจการปฏิบัติก็มาหาท่านมาก

    เมื่อมีคนมาหาท่านมาก ท่านมีเมตตา ก็ต้องรับแขกมาก คนเหล่านั้นไม่รู้หรอกว่าได้ทำความลำบากแก่ขันธ์ของท่านเพียงไร

    ตัวเรานี้ถ้ามีแขกมาก หรือทำอะไรมากๆ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นแล้ว ก็จะไม่มีอายุยืนนานถึงขนาดนี้ดอก

    แต่ก็เป็นธรรมดาสำหรับนักปฏิบัติระดับนี้ ที่จะต้องเอื้อเฟื้อต่อสรรพสัตว์ เพราะตนเองก็ไม่ห่วงสังขารอะไรอยู่แล้ว"

    ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ได้พูดถึง หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพลจังหวัดอุดรธานีว่า ท่านพอจะทราบประวัติบ้างเหมือนกัน คล้ายๆ ประวัติพระเถระในสมัยพุทธกาล

    หลวงปู่ขาว นั้นมาบวชเมื่อมีอายุพอสมควรแล้ว และมีครอบครัวมาก่อนท่านมีอาชีพเดิมเป็นพ่อค้าขายวัวขายควาย

    ครั้งหนึ่ง เดินทางต้อนวัวควายไปขายในที่ไกล จะเป็นเพราะมีความจำเป็นหรือมีอุปสรรคอันใดไม่ทราบ ท่านหายหน้าหายตาไปหลายเดือนทีเดียว

    ทีนี้สมัยนั้น การส่งข่าวคราวมันไม่ได้รวดเร็วเหมือนสมัยนี้ และคนมีอาชีพอย่างนี้ เมื่อเกิดสูญหายไปไม่มีร่องรอย ในสมัยนั้น เขาสันนิษฐานไว้ประการเดียว

    ดังนั้น ภรรยาของท่านทางบ้าน จึงคิดว่าท่านตายจากไปแล้ว ก็เลยมีสามีใหม่

    เมื่อท่านกลับมาทราบเรื่องเข้าก็เกิดความสลดสังเวชใจ จึงออกบวชและมุ่งปฏิบัติธุดงค์กัมมัฏฐาน จนกระทั่งเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

    สำหรับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ นั้น หลวงปู่เคยกล่าวว่า หลวงปู่แหวนนี้เคยมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ยังดำรงภิกษุภาวะอยู่ในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ครั้งเมื่อญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกายแล้ว ก็เป็นพระอาจารย์ฝ่ายกัมมัฏฐานที่มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดมา

    ส่วน หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร แห่งวัดถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย และหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แห่งสำนักวัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย นั้น หลวงปู่ก็เคยกล่าวยกย่องชมเชยไว้เป็นอันมากว่า

    ทั้งสองท่านนี้เป็นผู้มีปฏิปทาดีมาก ทั้งยังมีรูปร่างงดงามได้สัดส่วนกิริยามารยาทงดงามเหมาะเจาะ สุ้มเสียงมีกังวานไพเราะ ทั้งยังแตกฉานเชี่ยวชาญตลอดปริยัติ ปฏิบัติ จนถึงปฏิเวธ ฉลาดในการแสดงพระธรรมเทศนา คือ สมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบทุกอย่างที่ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เป็นกำลังใหญ่ในพระศาสนาด้านวิปัสสนาธุระเป็นอย่างยิ่ง และได้เคยร่วมเดินธุดงค์บ้างบางครั้งบางคราวในระยะหลัง จึงทราบประวัติและปฏิปทาของท่านดี

    อนึ่งในช่วงสุดท้ายที่หลวงปู่อาพาธ นัยว่าหลวงปู่เทสก์ได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่ง มาเยี่ยมเยียนถามไถ่สุขภาพอนามัยหลวงปู่ ไม่ทราบว่าหลวงปู่ได้รับหรือเปล่า?

    ในตอนหลัง พระอาจารย์ชัยชาญ ลูกศิษย์หลวงปู่เทสก์ได้มาเยี่ยมหลวงปู่ และบังเอิญมาถึงตอนที่หลวงปู่มรณภาพพอดี ได้ถามถึงจดหมายนั้นว่าหลวงปู่ได้รับหรือไม่

    ปรากฏว่า สอบสวนซักถามเท่าไหร่ๆ ก็ไม่พบว่าผู้ใดได้รับ หรือได้เห็นจดหมายประวัติศาสตร์ฉบับนั้น เพราะอยากทราบเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านเขียนถึงกันว่าอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นจดหมายที่เขียนถึงกันฉบับสุดท้ายด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  6. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๐. ผู้ไม่มีโทษทางวาจา


    ในพระสุตตันตปิฎก มีพระสูตรๆ หนึ่งว่าด้วยการพูด ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพระสงฆ์สาวกว่า ควรจะพูดถ้อยคำที่ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ เป็นเรื่องจริง มีประโยชน์ ผู้ฟังพอใจและถูกต้องเหมาะกับเวลาและสถานที่ จะขาดองค์หนึ่งองค์ใดไม่ได้

    หมายความว่า ถ้าขาดองค์หนึ่งองค์ใดก็ไม่ควรพูด เช่น เป็นเรื่องยกเมฆ แต่ก็มีประโยชน์ คนฟังชอบ ได้จังหวะเหมาะสม อย่างนี้ก็ไม่ควรพูด

    เรื่องจริง มีประโยชน์ ถูกกาลเทศะ แต่พูดแล้วคนฟังจะต้องโกรธก็ไม่ควรพูดอีกเหมือนกัน ดังนี้เป็นต้น

    สำหรับหลวงปู่ดูลย์ของพวกเรานั้น รู้สึกว่า ท่านดำเนินปฏิปทาในเรื่องการพูดนี้ได้ถูกต้องตามพระพุทโธวาทเป็นอย่างดี เพราะเท่าที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านมานานปี มีความเห็นว่า
    "ท่านเป็นผู้ไม่มีโทษทางวาจา"

    ทั้งนี้ โดยปกติท่านเป็นคนพูดน้อย แต่คำพูดเหล่านั้นมักจะรวบรัดจำกัดความ หมดจดชัดเจน แต่ก็มีความหมายลึกซึ้ง ยิ่งคิดยิ่งมองเห็นความหมายมากขึ้นไปอีก

    เป็นถ้อยคำที่ไม่ผิดพลาดจากความเป็นจริง ถูกกาลเทศะ ตรงต่อพระธรรมวินัย ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่นทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนา พูดตามความจำเป็นตามเหตุการณ์

    คำพูดแต่ละคำไม่มีมายาเจือปนแม้แต่น้อย ไม่พูดพร่ำเพรื่อเพ้อเจ้อ เชิงเล่นหัวกับทั้งสานุศิษย์กับทั้งบุคคลอื่นทั่วไป ไม่พูดตลกคะนองหรือพูดเสียงดัง ไม่พูดเล่าถึงความฝัน ไม่พูดหรือปลอบโยนเอาอกเอาใจ หรือพูดเลียบเคียงหวังประโยชน์

    เมื่อมีเหตุการณ์อะไรไม่สมควร ที่ลูกศิษย์ประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่จะพูดครั้งเดียวแล้วก็หยุดไม่พูดพร่ำเพรื่อ หรือเมื่อจำเป็นต้องปรามให้หยุดการกระทำนั้น ก็จะปรามครั้งเดียวไม่มีอะไรต่อ คือจะมีอะไรที่แรงออกมาคำหนึ่งแล้วท่านก็สงบระงับไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมีอะไรที่น่าพอใจ น่าขัน ก็จะหัวเราะออกมาในวาระแรก แล้วต่อไปก็ยิ้มๆ และเป็นยิ้มที่สะอาดหมดจด เป็นปรกติ จริงใจ

    บุคลิกอีกอย่างหนึ่งที่มีประจำตัวหลวงปู่ก็คือ เมื่อเวลาสนทนากัน ท่านจะไม่มองหน้าใครตรงๆ จะมองเพียงครั้งแรกที่พบ จากนั้นก็จะทอดสายตาลงต่ำ นานๆ ครั้งจึงจะหันหรือเงยหน้าขึ้นมองบ้างเมื่อจำเป็น แม้แต่เมื่อพูดกับสมณะด้วยกัน เช่น ท่านหลวงปู่ขาว เป็นต้น ท่านก็ปฏิบัติเช่นนี้ ดังนั้น เรื่องการจดจำบุคคลของหลวงปู่ ท่านจึงจำไม่ค่อยเก่ง

    สำหรับผู้ที่หลวงปู่จำได้ดีเป็นพิเศษ ส่วนมากเป็นบุคคลที่มาปฏิบัติธรรมด้วย หรือผู้ที่นั่งสมาธิภาวนามาแล้วได้ผลอย่างไร แล้วมากราบเรียนท่าน เพื่อท่านจะได้แนะนำแนวทางปฏิบัติให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

    ส่วนผู้ที่อุปัฏฐากด้วยปัจจัยสี่นั้น ท่านก็จำได้เป็นครั้งคราว แล้วแต่เหตุการณ์

    ในเรื่องการประชาสัมพันธ์ ติดต่อขอร้อง ขอความช่วยเหลือ หรือขอความเห็นใจจากบุคคลอื่น หรือส่วนราชการต่างๆ หลวงปู่ไม่เคยทำ ท่านทำไม่เป็นหรือไม่สนใจที่จะทำ

    เช่น การจะเที่ยวขอร้องฝากให้ลูกศิษย์เข้าโรงเรียนหรือเข้าทำงาน หรือขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ ให้ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านไม่เคยมี ไม่มีแม้กระทั่งความใกล้ชิดสนิทสนมกับใคร หรือกับตระกูลใดเป็นพิเศษ

    ในกิจนิมนต์นั้น
    หลวงปู่ก็จะสงเคราะห์รับไปตามความสะดวก ตามความเหมาะควรโดยไม่คำนึงถึงฐานะของเจ้าภาพ ไม่คำนึงถึงชั้นวรรณะหรือเห็นแก่หน้าใคร ไม่ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของใคร ท่านให้ความอนุเคราะห์เสมอภาคกันหมด

    การชี้แจงแสดงธรรมะหรือข้อปฏิบัตินั้น หลวงปู่ไม่นิยมออกตัวหรือการอารัมภบท เมื่อจะพูด ก็พูดชี้ไปตรงจุด ตรงความมุ่งหมายอันสูงสุดของการปฏิบัติธรรม พูดถึงจิต อุบายวิธีทำให้จิตสงบ หรือการพ้นจากทุกข์โทษทางใจ นิพพาน ความว่าง จิตเดิม จิตหนึ่ง ท่านจะแสดงเฉพาะจุด เฉพาะแนวทางตามภูมิของผู้ปฏิบัติ หรือตามความสนใจของผู้เรียนถามท่านเท่านั้น บางทีก็พูดแบบถามคำตอบคำ

    เคยมีนักปฏิบัติธรรมระดับสูงผู้หนึ่งยกย่องท่านว่า หลวงปู่แสดงธรรมด้วยการไม่พูดอย่างไพเราะเพราะพริ้ง ดังนี้ก็มี

    หลวงปู่ไม่เคยแสดงธรรมนอกเรื่องนอกราว ตลกคะนอง สาธกยกนิทานชาดก หรือเล่นสำนวนโวหาร

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อหลวงปู่ไปกิจนิมนต์ และพระองค์อื่นแสดงพระธรรมเทศนา แล้วมีใครคนหนึ่งวิจารณ์การแสดงธรรมให้ท่านฟัง และขอคำวิจารณ์จากท่าน หลวงปู่ก็สนองตามความต้องการ โดยไม่ขัดอัธยาศัยทันที ด้วยการวิจารณ์ว่า
    "ท่านองค์นั้นก็แสดงธรรมไปตามความถนัด ตามความสามารถของท่านเอง"

    การแนะนำศิษย์ในเรื่องการเทศน์การแสดงธรรมนั้น หลวงปู่ไม่โปรดเรื่องตลกคะนองหรือเรื่องภายนอกมากเกินไป ท่านยอมรับการเทศน์ตลก มีมุกขำขันของพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) แห่งวัดบรมนิวาส สมัยก่อน ซึ่งเป็นมุกขำขันที่มีสาระและประกอบด้วยธรรมะ

    หลวงปู่แนะนำว่า ในการแสดงพระธรรมเทศนานั้น ควรแสดงธรรมให้เป็นกระแส จากต่ำไปหาสูง จากง่ายไปหายาก ท่านย้ำว่า ถ้าต้องการจะให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ขัน ไม่ง่วงก็แสดงให้เขาซาบซึ้งในเนื้อหาแห่งธรรม หรือเข้าใจสัจธรรมข้อใดข้อหนึ่ง มันก็ขันขึ้นมาเอง ความโง่งมหลงเซอะบรรดามีในโลก พอรู้สึกตัว "รู้" เท่านั้น มันก็น่าขันเสียทั้งนั้น ผู้ฟังก็จะขำขันในความเขลาของตน ตื่นตัวตื่นใจขึ้นมาเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  7. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme--><!--msnavigation--><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๑. ศึกษาจากตำราหรือว่าปฏิบัติเอง


    ในหมู่ผู้สนใจศึกษาศาสนาจะมีข้อโต้แย้งกันเสมอระหว่างการศึกษาจากตำรา คือศึกษาด้านปริยัติ กับอีกฝ่ายหนึ่งเน้นการปฏิบัติและไม่เน้นการศึกษาจากตำรา ว่าแนวทางใดจะให้ผลดีกว่ากัน หรือตรงกว่ากัน

    สำหรับ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเสนอแนะให้ดำเนินสายกลาง นั่นคือถ้าเน้นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และละเลยอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นการสุดโต่งไป

    หลวงปู่ท่านแนะนำลูกศิษย์ลูกหาที่มุ่งปฏิบัติธรรมว่า ให้อ่านตำรับตำราส่วนที่เป็นพระวินัยให้เข้าใจ เพื่อที่จะปฏิบัติไม่ผิด แต่ในส่วนของพระธรรมนั้นให้ตั้งใจปฏิบัติเอา

    จากคำแนะนำนี้แสดงว่าหลวงปู่ถือเรื่อง การปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระวินัยเป็นเรื่องสำคัญ และจะต้องมาก่อน ศึกษาให้เข้าใจ และปฏิบัติตนให้ถูก แล้วเรื่องคุณธรรมและปัญญาสามารถสร้างเสริมขึ้นได้ถ้าตั้งใจ

    ยกตัวอย่างในกรณีของ หลวงตาแนน

    หลวงตาแนน ไม่เคยเรียนหนังสือ ท่านมาบวชพระเมื่อวัยเลยกลางคนไปแล้ว ท่านเป็นพระที่มีความตั้งใจดี ว่าง่ายสอนง่าย ขยัน ปฏิบัติกิจวัตรไม่ขาดตกบกพร่อง เห็นพระรูปอื่นเขาออกไปธุดงค์ก็อยากไปด้วย จึงไปขออนุญาตหลวงปู่

    เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว หลวงตาแนนก็ให้บังเกิดความวิตกกังวล ปรับทุกข์ขึ้นว่า "กระผมไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ภาษาพูดเขา จะปฏิบัติกะเขาได้อย่างไร"

    หลวงปู่จึงแนะนำด้วยเมตตาว่า

    "การปฏิบัติไม่ได้เกี่ยวกับอักขระ พยัญชนะ หรือคำพูดอะไรหรอก ที่รู้ว่าตนไม่รู้ก็ดีแล้ว สำหรับวิธีปฏิบัตินั้น ในส่วนวินัย ให้พยายามดูแบบเขา ดูแบบอย่างครูบาอาจารย์ผู้นำ อย่าทำให้ผิดแผกจากท่าน ในส่วนธรรมะนั้น ให้ดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเข้าใจจิตแล้ว อย่างอื่นก็เข้าใจได้เอง"

    เนื่องจากหลวงปู่ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ผู้ปฏิบัติมามากต่อมาก ท่านจึงให้ข้อสังเกตในการปฏิบัติธรรม ระหว่างผู้ที่เรียนน้อยกับผู้ที่เรียนมากมาก่อน ว่า

    "ผู้ที่ยังไม่รู้หัวข้อธรรมอะไรเลย เมื่อปฏิบัติอย่างจริงจัง มักจะได้ผลเร็ว เมื่อเขาปฏิบัติจนเข้าใจจิต หมดสงสัยเรื่องจิตแล้ว หันมาศึกษาตริตรอง ข้อธรรมะในภายหลัง จึงจะรู้แจ้งแทงตลอด แตกฉานน่าอัศจรรย์"

    "ส่วนผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน แล้วจึงหันมาปฏิบัติต่อภายหลัง จิตจะสงบเป็นสมาธิยากกว่า เพราะชอบใช้วิตกวิจารมาก เมื่อจิตวิตกวิจารมาก วิจิกิจฉาก็มาก จึงยากที่จะประสบผลสำเร็จ"

    อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตดังกล่าว หลวงปู่ย้ำว่า "แต่ทั้งนี้ก็ไม่เสมอไปทีเดียว" แล้วท่านให้ข้อแนะนำต่อไปอีกว่า

    "ผู้ที่ศึกษาทางปริยัติจนแตกฉานมาก่อนแล้ว เมื่อหันมามุ่งปฏิบัติอย่างจริงจัง จนถึงขั้นอธิจิต อธิปัญญาแล้ว ผลสำเร็จก็จะยิ่งวิเศษขึ้นไปอีก เพราะเป็นการเดินตามแนวทางปริยัติ ปฏิบัติ ย่อมแตกฉานทั้งอรรถะและพยัญชนะ ฉลาดในการชี้แจงแสดงธรรม"

    หลวงปู่ได้ยกตัวอย่างพระเถระทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนความคิดดังกล่าว ก็มีท่านเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และ ท่านอาจารย์พระมหาบัว ณาณสมฺปนฺโน แห่งสำนักวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น

    ทั้งสององค์นี้ "ได้ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อาจหาญชาญฉลาดในการแสดงธรรม เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่พระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง"

    โดยสรุป หลวงปู่สนับสนุนทั้งตำรา คือ ปริยัติและปฏิบัติ ต้องไปด้วยกันและท่านย้ำว่า

    "ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์ ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้จะพ้นทุกข์ได้ ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  8. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๒. ปริยัติคู่กับปฏิบัติ


    ในหัวข้อที่ผ่านมาได้กล่าวถึงการสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่าท่านไม่ทิ้งทั้งปริยัติและปฏิบัติ ต้องมีประกอบกัน

    ในหัวข้อนี้เป็นตัวอย่างการสอนของหลวงปู่จากประสบการณ์ของ หลวงพ่อเพิ่ม กิตฺติวฒฺโน (พระมงคลวัฒนคุณ) แห่งวัดถ้ำไตรรัตน์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ขอยกข้อความมาดังนี้

    การศึกษาความรู้กับ หลวงปู่ดูลย์ เมื่อครั้งที่ท่าน (หลวงพ่อเพิ่ม) ยังเป็นสามเณรน้อยได้รับการชี้แนะอบรมพร่ำสอนจากหลวงปู่ดูลย์อย่างใกล้ชิด โดยท่านจะเน้นให้ศิษย์ของท่านมีความสำนึก ตรึกอยู่ในจิตเสมอถึงสภาวะความเป็นอยู่ในปัจจุบันว่า

    บัดนี้เราได้บวชกายบวชใจ เข้ามาอยู่ในบวรพุทธศาสนา เป็นสมณะที่ชาวบ้านทั้งหลายให้ความเคารพบูชา ทั้งยังอุปัฏฐากอุปถัมภ์ค้ำจุนด้วยปัจจัยสี่ ควรที่จะกระทำตนให้สมกับที่เขาเคารพบูชา ถือประพฤติปฏิบัติตามศีลธรรม ตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด ไม่ฝ่าฝืนทั้งที่ลับและที่แจ้ง

    พระเณรที่มาบวชกับท่านหลวงปู่ จึงให้ศึกษาทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติควบคู่กันไป

    ด้านปริยัติ ท่านให้เรียนนักธรรม บาลี ไวยากรณ์ ให้เรียนรู้ถึงเรื่องศีล ธรรม พระวินัย เพื่อจะได้จดจำ นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่ออกนอกลู่นอกทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ ซึ่งจะทำให้สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่างเหมาะสมเยี่ยงผู้ถือบวช ที่ชาวบ้านศรัทธาเขากราบไหว้บูชา

    ด้านปฏิบัติ ท่านเน้นหนักเป็นพิเศษให้พระเณรทุกรูปทุกองค์ปฏิบัติกัมมัฏฐาน เพราะการปฏิบัติพระธรรมกัมมัฏฐานนี้ จะเป็นการฝึกกายฝึกจิตให้ผู้ศึกษาธรรม ได้รู้ได้เห็นของจริงโดยสภาพที่เป็นจริง อันเกิดจากการรู้การเห็นของตนเอง ไม่ใช่เกิดจากการอ่านจดจำจากตำรับตำราซึ่งเป็นการรู้ด้วยสัญญาแห่งการจำได้หมายรู้ คือรู้แต่ยังไม่เห็น ยังไม่แจ้งแทงตลอดอย่างแท้จริง

    ข้อธรรมกัมมัฏฐานที่ หลวงปู่ดูลย์ ท่านให้พิจารณาอยู่เป็นเนืองนิตย์ก็คือ หัวข้อกัมมัฏฐานที่ว่า สพฺเพ สงฺขารา สพฺพสญฺญา อนตฺตา

    การพิจารณาตามหัวข้อธรรมกัมมัฏฐานดังกล่าวนี้ หากได้พิจารณาทบทวนอย่างสม่ำเสมอแล้ว ในเวลาต่อมาก็จะรู้แจ้งสว่างไสว เข้าใจได้ชัดเจนว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้ มีการเกิดดับ-เกิดดับ อยู่ตลอดเวลา

    เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว จะทำให้เลิกละจากการยึดถือตัวตนบุคคลเราท่าน เพราะได้รู้ได้เห็นของจริงแล้วว่า สังขารที่เรารักหวงแหนนั้น ไม่ช้าไม่นาน มันก็ต้องเสื่อมสูญ ดับไปตามสภาวะของมัน ไม่อาจที่จะฝ่าฝืนได้

    เมื่อสังขารดับได้แล้ว ความเป็นตัวเป็นตนก็จะไม่มี เพราะไม่ได้เข้าไปเพื่อปรุงแต่ง ครั้นเมื่อความปรุงแต่งขาดหายไป ความทุกข์จะเกิดได้อย่างไร

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  9. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๓. ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ละระดับ


    เนื้อหาในหัวข้อนี้คัดลอกมาจากประวัติของ หลวงพ่อเพิ่ม กิตฺติวฒฺโน (พระมงคลวัฒนคุณ) เช่นเดียวกับตอนที่ผ่านมา ดังต่อไปนี้

    คำสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล อีกประการหนึ่ง ที่ท่านแนะนำพร่ำสอนต่อผู้มาขอแนวทางการปฏิบัติจากท่าน ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ดี ท่านจะให้ปฏิบัติโดยแนวทางแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกันหมด

    หลวงพ่อเพิ่ม ท่านได้เล่าว่า สมัยที่ท่านยังเป็นสามเณร และอยู่กับหลวงปู่ดูลย์ ที่วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ มีคนเคยมาถามหลวงปู่ถึงคำสั่งสอนดังกล่าวของท่านว่า

    "สอนเด็ก ก็สอนศีล สมาธิ ปัญญา
    สอนหนุ่มสาว ก็สอนศีล สมาธิ ปัญญา
    สอนผู้เฒ่าผู้แก่ ก็สอนศีล สมาธิ ปัญญา
    สอนพระเณร ก็สอนศีล สมาธิ ปัญญา
    ศีล สมาธิ ปัญญา ในระดับต่างๆ กันนั้น เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร?"

    ขณะที่มีผู้ถามนั้น ตอนนั้นหลวงปู่ดูลย์กำลังปะชุนเย็บจีวรอยู่ เมื่อท่านฟังคำถามนั้นจบลง ท่านก็ยกเข็มให้ดู แล้วกล่าวว่า

    "คุณลองดูว่าเข็มนี้แหลมไหม?"
    ผู้ถามก็ตอบว่า "แหลมขอรับหลวงปู่"

    หลวงปู่อธิบายว่า :-
    "ความแหลมคมของสติปัญญาในระดับเด็ก ระดับผู้ใหญ่ ก็มีความแหลมคมไปคนละอย่าง แต่ในระดับความแหลมคมของสติปัญญาพระอรหันต์นั้น อยู่เหนือความแหลมคมทั้งหลายทั้งปวง

    ความแหลมคมของเข็มนั้น เกิดจากคนเราทำขึ้น แต่สติปัญญาที่เกิดจากพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ระดับโลกุตรธรรม ที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน มีความมั่นคงไม่แปรเปลี่ยนอีกแล้ว

    สำหรับสติปัญญาระดับปุถุชน ก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา เช่นกัน แต่เป็นศีล สมาธิ ปัญญาที่จะต้องระมัดระวัง เพราะยังอยู่ในขั้นโลกียธรรม ยังคงมีความเปลี่ยนแปลงผันแปรได้เสมอ"

    คำตอบของหลวงปู่ดูลย์ดังกล่าวนั้น ชี้ให้เห็นถึง ไหวพริบและปฏิภาณในการอธิบายข้อธรรมที่ลุ่มลึกได้อย่างฉับไว โดยสามารถยกสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราคิดไม่ถึงมาเป็นตัวอย่างประกอบ ชี้ให้เห็นปัญญาที่ไต่ถามได้อย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งนับว่าเป็นการอธิบายข้อธรรมที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  10. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๔. ภาวนากับนิมิต


    หลวงพ่อเพิ่ม ได้เล่าถึงประสบการณ์ในการปฏิบัติกัมมัฏฐานสมัยเริ่มต้น เมื่อครั้งยังเป็นสามเณรว่า ตอนที่ฝึกกัมมัฏฐานใหม่ๆ นั้น ท่านยังไม่ประสีประสาอะไรเลย หลวงปู่ดูลย์ ได้แนะนำถึงวิธีการทำสมาธิ ว่าควรนั่งอย่างไร ยืน เดิน นอน ควรทำอย่างไร

    ในชั้นต้น หลวงปู่ให้เริ่มที่การนั่ง เมื่อนั่งเข้าที่เข้าทางก็ให้หลับตาภาวนา "พุทโธ" ไว้ อย่าส่งใจไปคิดถึงเรื่องอื่น ให้นึกถึงแต่ พุทโธ-พุทโธ เพียงอย่างเดียว ก็จดจำนำไปปฏิบัติตามที่หลวงปู่สอน

    ปกติของใจเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง มักจะคิดฟุ้งซ่านไปโน่นไปนี่เสมอ ในระยะเริ่มต้นคนที่ไม่เคยฝึกมาก่อน อยู่ๆ จะมาบังคับให้มันหยุดนิ่ง คิดอยู่แต่พุทโธประการเดียวเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก

    สามเณรเพิ่มก็เช่นกัน เมื่อภาวนาไปตามที่หลวงปู่สอนได้ระยะหนึ่งก็เกิดความสงสัยขึ้น จึงถามหลวงปู่ว่า "เมื่อหลับตาภาวนาแต่พุทโธแล้วจะเห็นอะไรครับหลวงปู่"

    หลวงปู่บอก "อย่าได้สงสัย อย่าได้ถามเลย ให้เร่งรีบภาวนาไปเถิด ให้ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆ แล้วมันจะรู้เองเห็นเองแหละ"

    มีอยู่คราวหนึ่ง ขณะที่ สามเณรเพิ่ม ภาวนาไปได้ระยะหนึ่ง จิตเริ่มสงบก็ ปรากฏร่างพญางูยักษ์ดำมะเมื่อมขึ้นมาอยู่ตรงหน้า มันจ้องมองท่านด้วยความประสงค์ร้าย แผ่แม่เบี้ยส่งเสียงขู่ฟู่-ฟู่ อยู่ไปมา

    สามเณรเพิ่มซึ่งเพิ่งฝึกหัดภาวนาใหม่ๆ เกิดความหวาดกลัว ผวาลืมตาขึ้นก็ไม่เห็นพญางูยักษ์ จึงรู้ได้ทันทีว่า สิ่งที่ท่านเห็นนั้นเป็นการเห็นด้วยสมาธิจิตที่เรียกว่า นิมิต นั่นเอง จึงได้หลับตาลงภาวนาต่อ พอหลับตาลงเท่านั้น ก็พลันเห็นงูยักษ์แผ่แม่เบี้ยส่งเสียงขู่ ทำท่าจะฉกอีก แม้จะหวาดกลัวน้อยลงกว่าครั้งแรก แต่ก็กลัวมากพอที่จะต้องลืมตาขึ้นอีก

    เมื่อนำเรื่องนี้ไปถามหลวงปู่ ได้รับคำอธิบายว่า

    "อย่าส่งใจไปดูไปรู้ในสิ่งอื่น การภาวนาท่านให้ดูใจของตนเองหรอก ท่านไม่ให้ดูสิ่งอื่น"

    "การบำเพ็ญกัมมัฏฐานนี้ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้น ไปรู้ไปเห็นอะไร เราอย่าไปดู ให้ดูแต่ใจ ให้ใจอยู่ที่พุทโธ

    เมื่อกำลังภาวนาอยู่ หากมีความกลัวเกิดขึ้น ก็อย่าไปคิดในสิ่งที่น่ากลัวนั้น อย่าไปดูมัน ดูแต่ใจของเราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แล้วความกลัวมันจะหายไปเอง"

    หลวงปู่ได้ชี้แจงต่อไปว่า สิ่งที่เราไปรู้ไปเห็นนั้น บางทีก็จริง บางทีก็ไม่จริงเหมือนกับว่า คนที่ภาวนาแล้วไปรู้ไปเห็นสิ่งต่างๆ เข้า การที่เขาเห็นนั้นเขาเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่จริง เหมือนอย่างที่เราดูหนัง เห็นภาพในจอหนังก็เห็นภาพในจอจริงๆ แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง เพราะความจริงนั้นภาพมันไปจากฟิล์มต่างหาก

    ฉะนั้น ผู้ภาวนาต้องดูที่ใจอย่างเดียว สิ่งอื่นนอกจากนั้นจะหายไปเอง
    ให้ใจมันอยู่ที่ใจนั้นแหละ อย่าไปส่งออกนอก

    ใจนี้มันไม่ได้อยู่จำเพาะที่ว่า จะต้องอยู่ตรงนั้นตรงนี้ คำว่า
    "ใจอยู่กับใจ" นี้คือ คิดตรงไหนใจก็อยู่ตรงนั้นแหละ ความนึกคิดก็คือตัวจิตตัวใจ

    หากจะเปรียบไปก็เหมือนเช่นรูปกับฟิล์ม จะว่ารูปเป็นฟิล์มก็ได้ จะว่าฟิล์มเป็นรูปก็ได้ ใจอยู่กับใจ จึงเปรียบเหมือนรูปกับฟิล์มนั่นแหละ

    แต่โดยหลักปฏิบัติแล้ว ใจก็เป็นอย่างหนึ่ง สติก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วมันก็เป็นสิ่งเดียวกัน เหมือนหนึ่งว่า ไฟกับกระแสไฟ ความสว่างกับไฟก็อันหนึ่งอันเดียวกันนั่นแหละ แต่เรามาพูดให้เป็นคนละอย่าง

    ใจอยู่กับใจ จึงหมายถึง ให้มีสติอยู่กำกับมันเอง ให้อยู่กับสติ

    แต่สติสำหรับปุถุชน หรือสติสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติ เป็นสติที่ยังไม่มั่นคง มันจึงมีลักษณะขาดช่วงเป็นตอนๆ ถ้าเราปฏิบัติจนสติมันต่อกันได้เร็ว จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เป็นแสงสว่างอย่างเดียวกัน

    อย่างเช่น สัญญาณออด ซึ่งที่จริงมันไม่ได้มีเสียงยาวติดต่อกันเลย แต่เสียงออด - ออด - ออด ถี่มาก จนความถี่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราจึงได้ยินเสียงออดนั้นยาว

    ในการปฏิบัติ ที่ว่า ปฏิบัติจิต ปฏิบัติใจ โดยให้ใจอยู่กับใจนี้ ก็คือให้มีสติกำกับใจ ให้เป็นสติถาวร ไม่ใช่เป็นสติคล้ายๆ หลอดไฟที่จวนจะชาด เดี๋ยวก็สว่างวาบ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สว่าง แต่ให้มันสว่างติดต่อกันไปตลอดเวลา

    เมื่อสติมันติดต่อกันไปอย่างนี้แล้ว ใจมันก็มีสติควบคุมอยู่ตลอดเวลา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา"

    ตัวรู้ ก็คือ สติ นั่นเอง

    หรือจะเรียกว่า "พุทโธ" ก็ได้ พุทโธที่ว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ก็คือตัวสตินั่นแหละ

    เมื่อมีสติ ความรู้สึกนึกคิดอะไรต่างๆ มันก็จะเป็นไปได้โดยอัตโนมัติของมันเอง เวลาดีใจก็จะไม่ดีใจจนเกินไป สามารถพิจารณารู้ได้โดยทันทีว่า สิ่งนี้คืออะไรเกิดขึ้น และเวลาเสียใจมันก็ไม่เสียใจจนเกินไป เพราะว่าสติมันรู้อยู่แล้ว

    คำชมก็เป็นคำชนิดหนึ่ง คำติก็เป็นคำชนิดหนึ่ง เมื่อจับสิ่งเหล่านี้มาถ่วงกันแล้วจะเห็นว่ามันไม่แตกต่างกันจนเกินไป มันเป็นเพียงภาษาคำพูดเท่านั้นเอง ใจมันก็ไม่รับ

    เมื่อใจมันไม่รับ ก็รู้ว่าใจมันไม่มีความกังวล ความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ ก็ไม่มี ความกระเพื่อมของจิตก็ไม่มี ก็เหลือแต่ความรู้อยู่ในใจ

    สามเณรเพิ่มจดจำคำแนะนำสั่งสอนจากหลวงปู่ไปปฏิบัติต่อ ปรากฏว่าสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวไม่ทำให้ท่านหวาดหวั่นใจอีกเลย

    ทำให้ท่านสามารถโน้มน้าวใจสู่ความสงบ ค้นพบปัญญาที่จะนำสู่ความสุขสงบในสมาธิธรรมตั้งแต่บัดนั้นมา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  11. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๕. สามเณรขอลาสึก


    ดังที่หลวงปู่อธิบายแต่ต้นว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ของผู้ปฏิบัติทุกคนเหมือนกันหมดแต่ต่างระดับกัน มีความแหลมคมรอบรู้ธรรมไม่เหมือนกัน ในระดับของผู้บรรลุธรรมขั้นสูงเป็น โลกุตรธรรม ที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน มีความมั่นคงไม่แปรเปลี่ยนอีกแล้ว

    แต่ศีล สมาธิ ปัญญาของปุถุชน ซึ่งอยู่ในขอบข่ายของโลกียธรรม ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงผันแปรได้เสมอ

    ดังเช่น สามเณรเพิ่ม แม้จะปฏิบัติภาวนามาร่วม ๓ ปี แต่ก็ยังไม่อาจยกระดับจิตระดับใจก้าวขึ้นสู่ภูมิธรรมขั้นโลกุตระได้ ความผันแปรในใจจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา คือ ในช่วงของพรรษา ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นปีที่ ๓ แห่งการบวชสามเณรเพิ่มวัย ๑๘ ปี เกิดมีความอยากจะสึกหาลาเพศไปใช้ชีวิตฆราวาสเต็มกำลัง

    สามเณรเพิ่มเข้าไปกราบขอลาสึกจากหลวงปู่ถึง ๓ ครั้ง แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ หลวงปู่ตอบปฏิเสธทุกครั้ง สามเณรเพิ่มเฝ้าเพียรพยายามหาลู่ทางขอสึกให้ได้

    หลังจากจดๆ จ้องๆ มองหาโอกาสอยู่หลายวัน จนกระทั่งเห็นว่าโอกาสเหมาะ หลวงปู่พักผ่อนอยู่ในกุฏิองค์เดียว สามเณรเพิ่มจึงตั้งใจว่าวันนี้ล่ะอย่างไรเสียต้องลาสึกให้ได้ จึงจัดหาดอกไม้ธูปเทียนใส่ฝาบาตร ค่อยย่องเข้าไปหาหลวงปู่ในกุฏิ

    ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม พอสามเณรโผล่หน้าเข้าไป หลวงปู่เหลือบมองมานิดหนึ่ง แต่ไม่พูดอะไร สามเณรค่อยคลานเข้าไปกราบหลวงปู่แล้วพูดว่า "หลวงปู่ครับ ขอให้ผมบีบนวดให้หลวงปู่นะครับ"

    สามเณรเพิ่มไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดเช่นนั้น ทั้งๆ ที่เตรียมคำพูดมาอย่างดี และตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วก็ตาม

    สามเณรบีบนวดหลวงปู่ตั้งแต่ ๑ ทุ่ม จนกระทั่งถึง ๖ ทุ่ม หลวงปู่ไม่เอ่ยปากพูดแม้แต่คำเดียว พอเลย ๖ ทุ่มไปเล็กน้อย ท่านจึงเอ่ยปากว่า

    "เอาล่ะ! แค่นี้พอแล้ว คงจะนวดเป็นที่พอใจแล้วนะ"
    กล่าวจบ หลวงปู่ก็เงียบไปชั่วอึดใจ แล้วถามสามเณรว่า
    "มาคืนนี้ เณรถ้าจะมาลาสึกอีกละสิ"
    โดนคำถามจี้ใจเช่นนี้ สามเณรเพิ่มรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่แทนที่จะตอบรับหลวงปู่ตามที่ตั้งใจ กลับตอบไปว่า
    "เปล่าครับ หลวงปู่"

    หลวงปู่ถามต่อ "ถ้ายังงั้นคืนนี้เข้ามาทำไมล่ะ"
    "กระผมจะมาลาหลวงปู่ไปอยู่ วัดสุทธจินดา ครับ"

    วัดสุทธจินดา อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นวัดหนึ่งที่มีการสอนด้านปริยัติธรรม และหลวงปู่มักส่งพระภิกษุและสามเณรไปศึกษาที่วัดแห่งนี้

    หลวงปู่ตอบว่า "เป็นยังไง อยู่ที่นี่ไม่สบายใจหรืออย่างไร ไปอยู่วัดสุทธจินดากับอยู่ที่นี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ เณรอย่าไปเลย"

    สามเณรเพิ่มจึงกราบเรียนหลวงปู่ว่า "ถ้าอย่างนั้นกระผมขอไปเรียนหนังสือที่วัดบรมนิวาส นะขอรับ"
    "อ๋อ! อยากไปอยู่เมืองหลวงละซี เอาเถอะ ถ้าเณรอยากไปจริงๆ ก็ไปอยู่วัดบวรฯซิ (หมายถึง วัดบวรนิเวศวิหาร) ที่นั่นเขามีการเรียนการสอนเหมือนกัน"
    "ขอรับหลวงปู่"

    สามเณรตอบรับคำ ทั้งๆ ที่ใจไม่เคยนึกอยากไปวัดบวรฯ เลย เพราะที่นั่นการเรียนการสอนเขาเข้มงวดมาก สวดมนต์ก็หลายบท ตั้ง ๙๕ สูตร เกรงว่าสติปัญญาของตนเองจะไปไม่ไกล แต่ภายหลังจากที่ไปอยู่แล้ว ท่านกล่าวว่า สิ่งที่ท่านเกรงกลัวกลับไม่มีปัญหาอะไรเลย ซ้ำยังได้รับเลือกให้เป็นเณรหัวหน้าซ้อมสวดมนต์อีกด้วย

    สามเณรเพิ่มเดินทางเข้าวัดบวรนิเวศฯ ในปี ๒๔๙๘ โดยมี หลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโน (พระเทพสุทธาจารย์) นำไปฝากตัวกับ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศฯ ในสมัยนั้น

    ในกรณีของสามเณรเพิ่ม เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงเมตตาในการให้การศึกษาแก่ลูกศิษย์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  12. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๖. อุบัติเหตุที่เขาพนมสวาย


    ในหัวข้อนี้ยังเป็นเรื่องราวของ สามเณรเพิ่ม อยู่ซึ่งเป็นเหตุการณ์หนึ่งในประวัติของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เห็นว่าน่าสนใจจึงคัดลอกมาไว้ ณ ที่นี้

    ในสมัยที่ หลวงพ่อเพิ่ม กิตฺติวฒฺฑโน ยังเป็นสามเณรอยู่ ท่านกล่าวว่า หลังจากที่เรียนรู้พื้นฐานด้านศีลธรรมจรรยา อันเป็นข้อวัตรปฏิบัติที่เหมาะสมตามควรแล้ว หลวงปู่ดูลย์ ก็นำออกฝึกภาคสนามยังป่าเขาลำเนาถ้ำต่างถิ่นต่างสถานที่ การที่ได้ติดตามหลวงปู่ไปยังที่ต่างๆ นั้น สามเณรเพิ่มได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่ไม่อาจหาได้ในวัดหลายประการ

    ความวิเวกสงบสงัดของป่าเขาก็เป็นครูบาอาจารย์ประการหนึ่ง ที่สอนให้ผู้ปฏิบัติเกิดความกล้าหาญ มีจิตใจมั่นคง เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยมากยิ่งขึ้น

    ครั้งแรกที่หลวงปู่นำสามเณรออกสู่สนามของพระอริยะนั้น ได้พาไปฝึกปฏิบัติที่ เขาพนมสวาย ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมืองสุรินทร์นั่นเอง และสถานที่แห่งนี้เองที่ถูกกำหนดให้เป็นสถานประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ในภายหลัง

    ในสมัยนั้นเขาพนมสวายยังเป็นป่าดงรกชัฏอยู่ ห่างไกลบ้านเมือง และมีความสงัดเงียบจนวังเวง สามเณรทั้งหลายมีความหวาดกลัว โดยเฉพาะยามค่ำคืน เมื่อเข้ามุ้งเข้ากลดแล้วจะมีความรู้สึกคลายใจ เมื่อนึกถึงว่าหลวงปู่คอยปกป้องดูแลอยู่

    ในช่วงกลางวัน เมื่อว่างเว้นจากการปฏิบัติชั่วคราว บรรดาสามเณรก็ชักชวนกันไปวิ่งเล่นบนเขา ตามประสาเด็กที่ยังคึกคะนองชอบเล่นสนุกสนาน

    ของเล่นที่พอหาได้ก็มีพวกก้อนหินขนาดต่างๆ คณะสามเณรช่วยกันกลิ้งหินก้อนเล็กก้อนน้อยลงมา ทำให้เกิดความสนุกสนานเบิกบานใจของคณะสามเณร ตามประสาเด็กกลางป่ากลางเขาชาวดงดอย

    ในขณะที่สามเณรเหล่านั้นกำลังเล่นกลิ้งก้อนหินอยู่อย่างเพลิดเพลินจนเกินขอบเขต ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน จนเกือบจะก่อโศกนาฏกรรมขึ้นโดยไม่เจตนา

    ปรากฏว่า ครั้งหนึ่งเมื่อสามเณรช่วยกันผลักหินก้อนใหญ่ให้กลิ้งลงไป ปรากฏว่าก้อนหินพุ่งตรงลิ่วเข้าหาร่างของหลวงปู่ที่ยืนอยู่ข้างล่างอย่างรวดเร็ว

    สามเณรทั้งกลุ่มตะลึงลานด้วยความตกใจสุดประมาณ เพราะพวกตนรู้แก่ใจว่าความเร็วของก้อนที่พุ่งตัวลงไปนั้น หลวงปู่ผู้เป็นอาจารย์ที่อยู่ในวัยชราจะต้องกระโดดหลบหลีกไม่ทันอย่างแน่นอน และครั้งนี้นัยว่าพวกตนร่วมกันสร้างบาปกรรมขั้นมหันต์ขึ้นแล้ว

    ขณะที่บรรดาสามเณรยืนตะลึงตัวแข็งอยู่เบื้องบนเขา ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยายอยู่นั้น ฝ่ายหลวงปู่ซึ่งกำลังจะถูกหินพุ่งเข้าชน กลับยืนนิ่งเฉยไม่มีอาการหวาดหวั่นสะทกสะท้านต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที

    ดูอาการท่านสงบราบเรียบ ไร้อาการตื่นกลัว สายตาท่านเพ่งจับที่ก้อนหิน ดูประหนึ่งว่าท่านพร้อมที่จะรับชะตากรรมที่ลูกศิษย์กำลังก่อขึ้น คล้ายกับว่าหากเป็นเวรกรรมที่ท่านเคยกระทำไว้ ท่านก็คงยินดีที่จะชดใช้กรรมด้วยความเต็มใจ

    ชั่วเวลาที่ทุกคนกำลังตะลึงดังต้องมนต์สะกดอยู่นั้น เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็อุบัติขึ้นให้ปรากฏแก่สายตาทุกคู่

    เมื่อหินกลิ้งมาด้วยความเร็ว ใกล้ร่างหลวงปู่ประมาณ ๓ วาเศษ มันกลับเบนเบี่ยงเปลี่ยนทิศทางไปจากเดิมอย่างกะทันหัน ประดุจมีมือยักษ์ที่ทรงพลังมาปัดให้เฉออกนอกทิศทางเดิม พุ่งเลยร่างหลวงปู่ออกไปอีกทางหนึ่ง

    บรรดาสามเณรจอมซนรู้สึกโล่งใจ เมื่อได้สติต่างก็รีบวิ่งลงมายังพื้นล่าง ทรุดตัวหมอบกราบแทบเท้าของหลวงปู่ อย่างสำนึกในความผิด

    หลวงปู่มองการกระทำของสามเณร แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

    "พวกเณรที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ผู้ที่คนทั่วไปยกย่องว่าเป็นผู้มีศีลมีธรรม ควรที่จะหมั่นศึกษาพระธรรมวินัย ยึดมั่นในศีล มีความเพียรในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นกับตน สมกับที่เขาเชื่อถือ

    บัดนี้พวกเธอไม่ใช่เด็กน้อยลูกหลานชาวบ้าน ที่จะเที่ยววิ่งเล่นซุกซนได้ตามอำเภอใจเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่เธอเป็นบุตรศากยะในพระพุทธศาสนา ที่จะต้องปฏิบัติตามศีลตามธรรมอย่างเคร่งครัด ขอให้เธอมีความสำนึกเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อ"

    หลวงปู่กล่าวแล้วก็เดินจากไป เหมือนกับไม่มีเหตุวิกฤตอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น จิตใจของสามเณรทุกรูปต่างก็เกิดปณิธานขึ้นโดยฉับพลันว่า

    "ตั้งแต่นี้ไป พวกตนจะไม่แสวงหาความสนุกสนานคึกคะนองเหมือนที่ทำมา แต่จะตั้งหน้าศึกษาศีล ปฏิบัติธรรม ให้สมกับความรักความเมตตาที่หลวงปู่ท่านสอนสั่งอย่างจริงจังเสียที"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  13. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme--><!--msnavigation--><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๗. ภูติ ผี วิญญาณ และเทวดา

    โดยปกตินั้น เมื่อหลวงปูจะพูดอะไรก็มักจะพูดแต่สิ่งที่เป็นภายใน คือ เรื่องจิตเรื่องใจเป็นส่วนมาก แต่ก็มีบ้างนานๆ ครั้ง ที่พูดถึงสิ่งภายนอก เช่นเรื่องเกี่ยวกับภูติผีปีศาจ สัมภเวสีหรือโอปปาติกะ เป็นต้น แต่ไม่เคยได้ยินหลวงปู่พูดออกมาตรงๆ ว่า เคยพบเคยเห็น หรือมีอะไรมาเบียดเบียน หรือมาเป็นมิตรสนับสนุนท่านอย่างใดอย่างหนึ่ง

    แต่ก็มีเรื่องประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง

    ครั้งนั้น หลวงปู่และคณะศิษย์เดินทางไปเยี่ยม พระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ ที่สำนักถ้ำศรีแก้ว อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร

    หลวงปู่พำนักอยู่ที่ศาลาต้อนรับ ตอนกลางคืนดึกสงัด ท่านนอนอยู่แต่ยังไม่หลับ ยังอยู่ในภาวะตื่นมีสติสัมปชัญญะเต็มที่ ท่านได้เห็นร่างชาย ๒ คน ยืนอยู่ที่ปลายเตียง ท่านผงกศีรษะขึ้นถามว่าใคร ก็ไม่ได้รับคำตอบ ท่านจึงลุกขึ้นนั่งมองดู ร่างทั้งสองนั้นก็หายวับไปในทันที

    หลวงปู่รู้สึกแปลกใจ จึงเล่าเหตุการณ์ให้ลูกศิษย์ที่ติดตามฟังในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

    ในช่วงท้ายๆ ของชีวิต ตอนที่หลวงปู่ไปพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็มีเหตุการณ์แปลกๆ คล้ายกับว่าท่านกำลังพูดคุยหรือเทศน์ให้ใครฟัง ทำให้พระเณรที่อยู่พยาบาลเชื่อว่าท่านมีกิริยาวาจากับใครอย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาดึกสงัด

    เมื่อถามภายหลังว่า ทำไมหลวงปู่จึงสวดยถาให้พร ทำไมจึงกล่าวอรรถะคาถาธรรมข้อใดข้อหนึ่งในระหว่างนั้น จนผู้อยู่เฝ้าพยาบาลได้ยิน ก็ได้รับคำตอบที่ไม่อาจขจัดความพิศวงสงสัยได้ชัดเจน

    แต่ก็ยืนยันกันได้ว่า ท่านแสดงกิริยาอย่างนั้น โดยที่สังเกตได้ชัดว่า สติสัมปชัญญะของท่านยังสมบูรณ์ดีทุกประการ

    เรื่องทำนองเดียวกันนี้ คุณบำรุงศักดิ์ กองสุข ได้เขียนบรรยายไว้ดังนี้

    ผู้เขียน (หมายถึงคุณบำรุงศักดิ์) ได้ยินพระเณรวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ เล่าสู่กันฟังว่า ในตอนดึกๆ มักจะได้ยินหลวงปู่ให้พร ทำคล้ายๆ ว่ามีแขกมาเยือนในยามวิกาล ผู้แอบสังเกตการณ์เหล่านั้น สรุปเอาเองว่า หลวงปู่พูดกับเทวดา

    ผู้เขียนได้ฟังเป็นครั้งแรก คิดอกุศลว่า คงจะเป็นแผนของท่านพระครูฯ (หมายถึง พระครูนันทปัญญาภรณ์ ภายหลังเลื่อนสมณศักดิ์ที่ พระโพธินันทมุนี) ออกอุบายเพื่อจะได้จำหน่ายเหรียญหลวงปู่กระมัง จึงได้ให้พระเณรปั้นเรื่องเป็นข่าวลือเช่นนี้

    ผู้เขียนรู้จักหลวงปู่มา ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องลึกลับอะไรแบบนี้ รู้แต่ว่าหลวงปู่ท่านสอนไม่ให้งมงาย สอนเรื่องจิตภาวนาปัจจุบันทันสมัย

    เมื่อหลวงปู่อาพาธ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬา ฯ ลูกศิษย์ที่เฝ้าพยาบาลหลวงปู่ก็ได้รู้เห็นทั่วกันว่า ในคืนวันนั้น เมื่อเวลาตี ๒ หลวงปู่ตื่นขึ้นกลางดึก บอกให้พระจุดเทียนรับเทวดาที่มาหา

    พระครูเยื้อนบอกหลวงปู่ว่า เปิดไฟฟ้าแล้ว หลวงปู่ก็ไม่ว่าอะไร ตกลงไม่จุดเทียน หลวงปู่ก็สวดมนต์เจริญพระคาถา นั่งสมาธิพักใหญ่ๆ จึงเอนตัวลงนอน

    มีผู้ถามหลวงปู่เรื่องเทวดาในวันต่อมา หลวงปู่ก็ตอบว่า

    "ไม่ใช่เรื่องของการปฏิบัติภาวนา"

    วันต่อมา ผู้เขียน(คุณบำรุงศักดิ์) ได้โอกาสเหมาะ ลองถามหลวงปู่บ้างว่า "เทวดาที่มาหาหลวงปู่ พวกเขาแต่งกายแบบลิเก หรือแบบไหนครับ"

    ท่านชี้มาที่ผู้เขียนแล้วว่า "แต่งกายแบบนี้แหละ" ท่านว่า "ที่อยู่ของพวกพรหมนั้นเขาอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์มาก"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  14. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme--><!--msnavigation--><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๘. ความเชื่อถือเรื่องอิทธิฤทธิ์


    ในตอนต้นได้เคยเขียนถึงเหตุการณ์ที่หลวงปู่ผจญภัย โดยถูกควายป่าไล่ขวิดตอนออกธุดงค์ ในแดนกัมพูชามาแล้ว

    หลายครั้งที่มีผู้ถามหลวงปู่ว่า ตอนที่ท่านเดินธุดงค์ไปกัมพูชา แล้วมีควายป่ามาไล่ขวิดท่านอุตลุดไปหมด แต่ท่านไม่เป็นอันตรายนั้น หลวงปู่มีของดีหรือคาถาอาคมอะไรหรือเปล่า

    หลวงปู่ตอบว่า "ไม่มีอะไร มันขวิดไม่ถูกเอง ถูกแต่ตามซอกแขนซอกขาเท่านั้น ถ้าถูกเต็มที่มันก็อันตรายเหมือนกัน"

    ทั้งๆ ที่ท่านก็ตอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ คนก็มักไม่ค่อยเชื่อกัน พยายามพากเพียรรบเร้าขอวัตถุมงคล หรือของดีอะไรต่างๆ จากหลวงปู่อยู่เรื่อยๆ

    ความจริงแล้ว สำหรับ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดี ในสิ่งเร้นลับเหลือวิสัยก็ดี ในเรื่องฤกษ์งามยามดีต่างๆ ไม่มีเอามาเป็นสาระในจิตใจท่าน ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปจากอาการที่ปรากฏทางร่างกาย ทางวาจาของท่านนั่นเอง

    เมื่อมีผู้ใดจะดำเนินกิจกรรมอะไร มาถามความเห็นท่านเรื่องฤกษ์งามยามดี หลวงปู่ก็จะบอกว่า วันไหนก็ได้ วันไหนพร้อม วันไหนสะดวกสบาย ใช้ได้ทั้งหมด และก็นิ่งเฉย ไม่ค่อยจะพูดว่า วันนั้นดี วันนี้เหมาะ วันนั้นใช้ไม่ได้

    หลวงปู่เคยพูดในหมู่สงฆ์ว่า "ถ้ากาย วาจา และจิตใจดี อำนาจความดีงามก็จะเกิดขึ้นเอง"

    ในหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนกันยายน ๒๕๒๖ ซึ่งคณะแม่บ้านกระทรวงมหาดไทย ได้แวะไปกราบหลวงปู่เมื่อเวลา ๑๘.๒๐ น. แล้วมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งถือโอกาสพิเศษ กราบหลวงปู่ว่า "ดิฉันขอของดีจากหลวงปู่ด้วยเถอะเจ้าค่ะ..."

    หลวงปู่เจริญพรว่า "ของดีก็ต้องภาวนาเอาเองจึงจะได้ เมื่อภาวนาแล้วใจก็สงบ กายวาจาก็สงบ แล้วกายก็ดี วาจาใจก็ดี เราก็อยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง"

    "ดิฉันมีภาระมาก ไม่มีเวลาจะนั่งภาวนา งานราชการเดี๋ยวนี้รัดตัวมากเหลือเกิน มีเวลาที่ไหนมาภาวนาได้เจ้าค่ะ" สุภาพสตรีท่านนั้นชี้แจง

    หลวงปู่อธิบายว่า "ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา"

    เรื่องการประพรมน้ำมนต์ หรือเจิมรถเจิมบ้านร้านค้าอะไรต่างๆ แต่ก่อนหลวงปู่ไม่ยินดีทำเลย มาในระยะหลังๆ เห็นว่า บุคคลมีหลายระดับ เพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่เขา ให้เขาได้พ้นทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ท่านจึงปฏิบัติไป เพื่อโลกัตถจริยา เป็นการอนุเคราะห์อนุโลมตามความประสงค์ของทางโลกเท่านั้น

    ครั้งหนึ่ง มีพระภิกษุสงฆ์นำรถของตนมาให้ท่านเจิม หลวงปู่ไม่ยอมทำและดุเอาว่า "งมงาย"

    บางครั้งมีคนมาขอชานหมาก ท่านก็ว่า "เอาไปทำไมของสกปรก"

    มีคนมาขอให้เป่าหัว ท่านก็ว่า "เป่าทำไม เดี๋ยวน้ำลายเลอะ"

    เรื่องวัตถุมงคล เช่นเหรียญต่างๆ เป็นต้น หลวงปู่ไม่นิยมยินดีที่จะทำหรือให้ทำเลย แต่ภายหลังท่านก็อนุโลมตามบ้าง เมื่อมีลูกศิษย์ลูกหาจัดทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆ ท่านก็อนุโลมแผ่พลังจิตให้ตามสมควร เพื่อไม่ให้เป็นการขัดศรัทธาต่อทายกทายิกา และลูกศิษย์ลูกหาที่มีความปรารถนาเช่นนั้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  15. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๖๙. วัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ

    หลวงปู่เล่าว่า ครั้งหนึ่ง มีพวกสาธุชนปัญญาชนกลุ่มหนึ่งมาสนทนาธรรมด้วย และถามท่านว่า

    "วัตถุมงคลมีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ หลวงปู่จึงได้สร้าง หรืออนุญาตให้สร้างเหรียญขึ้น?"

    หลวงปู่จึงวิสัชชนาว่า

    "พวกท่านทั้งหลายแสดงความสนใจในการบำเพ็ญภาวนา ก็พากันบำเพ็ญภาวนาไป ไม่ต้องไปห่วงไปสนใจกับวัตถุมงคลอันเป็นของภายนอกนี้ แต่สำหรับผู้มีจิตใจเพลิดเพลินอยู่ ยังยินดีในการเกิดตายในวัฏฏสงสาร ยังไม่สามารถหันมาสู่การปฏิบัติธรรมได้ ก็ให้อาศัยวัตถุภายนอกเช่นวัตถุมงคลเช่นนี้เป็นที่พึ่งไปก่อน อย่าไปตำหนิติเตียนอะไรเลย

    ครั้นเขาเหล่านั้นประสบเหตุเภทภัยมีอันตรายแก่ตน และเกิดแคล้วคลาดด้วยคุณแห่งพระรัตนตรัยก็ดี โดยบังเอิญก็ดี ก็จะเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ในภายหลัง ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้เจริญงอกงามในทางที่ถูกต้องได้เอง

    สำหรับผู้ที่มีศรัทธามากแล้วชอบการบำเพ็ญภาวนาจิตใจในธรรมปฏิบัติอันยิ่งๆ ขึ้นไป

    ในเรื่องวัตถุมงคลนี้ หลวงปู่จะบอกตามสัจจธรรมว่า "ไม่มีอะไร เป็นเพียงช่วยด้านกำลังใจเท่านั้น"

    หลวงปู่มักกล่าวว่า "เอาไปทำไม ของที่เป็นภาระต้องเอาใจใส่ดูแลของที่ต้องทิ้งเสียในภายหลัง"

    แล้วท่านก็สอนเป็นปริศนาธรรมว่า "จงเอาสิ่งที่เอาได้ จงอย่าเอาสิ่งที่เอาไม่ได้"

    ถ้ามองในแง่ของปุถุชนสามัญธรรมดาแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์แห่งคุณพระรัตนตรัยย่อมมีปรากฏเป็นอัศจรรย์ได้ ดังเช่นพระพุทธานุภาพแห่งพระบรมศาสดาที่ได้ทรงแสดงแก่เหล่าเดียรถีย์นอกศาสนา

    ดังนั้น ความอัศจรรย์ของอานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัยจะบังเกิดคุณประโยชน์อย่างไร ขอท่านทั้งหลายพิจารณาถือเอาตามสมควรแก่ตนเทอญ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  16. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๗๐. ผู้เจริญด้วยยถาลาภสันโดษ


    โดยเหตุที่หลวงปู่ถือธุดงควัตร ท่านจึงมีความยินดีในการบิณฑบาตเป็นวัตร และได้ประพฤติปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งมาในระยะหลัง เมื่อท่านชราภาพมากแล้ว ประกอบกับอาพาธขาข้างซ้ายเลือดลมเดินไม่สะดวก และบรรดาภิกษุสามเณรพยายามวิงวอนขอร้อง ขอให้หลวงปู่งดออกเดินบิณฑบาตนอกวัด ขอให้ท่านรับบิณฑบาตภายในวัดเท่านั้น โดยภิกษุสามเณรจะพากันใส่บาตรท่านที่วัดในตอนเช้าด้วย ถ้าหลวงปู่ยังคงออกบิณฑบาตนอกวัดอยู่ และเกิดอาพาธระหว่างทาง เท่ากับว่าจะยิ่งทำให้ลูกศิษย์ลูกหา และญาติโยมเกิดความลำบากใจเป็นแน่แท้ หลวงปู่ได้แต่เพียงหัวเราะและยอมอนุโลมตาม

    ครั้นเมื่อภิกษุสามเณรและญาติโยมใส่บาตรให้ท่านแล้ว ท่านก็จะฉันภัตตาหารที่ได้รับจากบาตรนั้น โดยปรกติหลวงปู่ฉันแต่น้อย
    เป็นผู้เจริญด้วยยถาลาภสันโดษ คือ ยินดีในของบริโภคตามมีตามได้

    เมื่อรับการถวายมาอย่างไร ท่านก็ยินดีอย่างนั้น ไม่เดือดร้อนเรื่องการขบฉัน ไม่ฉันพลางดื่มน้ำพลาง เพราะจิตวิญญาณไม่เร้าร้อน ไม่เคยตำหนิหรือชมเชยอาหารที่สาธุชนถวาย ว่า "สิ่งนี้อร่อย - สิ่งนี้ไม่อร่อย" หรือ "เออ! วันนี้มีอาหารถูกปาก อย่างนั้นไม่ถูกโรคกัน" เหล่านี้เป็นต้น

    อาหารจะจืดจะเค็มอย่างไรท่านก็ไม่เคยเรียกหาอะไรเพิ่มเติม ประเคนอย่างไรก็ฉันอย่างนั้น ทำให้ภิกษุสามเณรที่อุปัฏฐากท่านถึงกับละเลยเลินเล่อ เมื่อต้อนรับอาคันตุกะอยู่บ่อยๆ

    ลูกศิษย์ลูกหาบางท่านมีนิสัยตรงข้าม จึงถูกหลวงปู่ดุเอาว่า "แค่นี้ก็ทนไม่ได้ แล้วจะทำอะไรได้"

    ในระหว่างการขบฉัน หลวงปู่มีความสำรวมระวังไม่บกพร่องในข้อวัตรปฏิบัติที่เคยได้รับอบรมมา ไม่นิยมพูดในขณะฉัน เมื่อมีผู้ถามไถ่ท่านก็จะตอบเมื่อจำเป็นและไม่มีคำข้าวอยู่ในปาก ไม่มีการชะเง้อทักทายโหวกเหวกกับญาติโยม

    ปริมาณการฉันของท่านก็เป็นไปตามปกติธรรมดา มีน้อยก็ฉันเท่าที่มี มีมากก็ฉันพออิ่มเท่าที่เคย

    เมื่อเสร็จจากภัตตกิจแล้ว หลวงปู่มักจะเดินจงกรม ทำตามพระวินัยและข้อวัตร

    ปัจจัยอื่นๆ นอกจากอาหารก็ทำนองเดียวกัน เมื่อมีลาภสักการะมาก ท่านไม่เคยสั่งสม คอยดูแลพระเณรที่ขาดแคลนตามวัดต่างๆ อยู่เสมอ ที่ไหนขาดก็แบ่งปันไปให้ทั่วถึง เมื่อถึงคราวมีน้อยก็ว่ากันไปตามมีตามเกิด

    หลวงปู่ไม่เคยปรารถนาอยากได้อะไร เช่น "ร้อนมาก ถ้ามีแอร์ก็จะดี" หรือว่า "แก่มากแล้ว ไปมาลำบาก มีรถยนต์นั่งติดแอร์เย็นๆ สักคันก็เหมาะ" ตามแบบอย่างที่เรียกกันขำๆ ทำนองประชดว่า "ยถาโลภะสันโดษ" หรือ "ยถาราคะสันโดษ" คือ ยินดีตามแต่ความโลภหรือความทะยานอยากในกามสุขจะบงการให้เป็นไป อย่างนี้เป็นการไม่สมควร

    แต่ในวิสัยสมณะ คือ การเจริญด้วยลาภะสันโดษ หมายถึง การยินดีในของบริโภคตามมีตามได้ มีน้อยก็ใช้น้อย ไม่มีก็ไม่ต้องใช้ มีมากก็ใช้เท่าที่จำเป็น ไม่ดิ้นรนแสวงหา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  17. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๗๑. รสอาหารดีอยู่ที่ใจ

    ท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี (อดีตท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์) เล่าให้ฟังว่าในอดีตท่าน "มีความไม่ค่อยดีอยู่อย่างหนึ่ง" คือ ทั้งๆ ที่พยายามปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงปู่และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย แต่ก็สังเกตตัวเองได้ว่า ถ้าวันไหนมีภัตตาหารเป็นปกติธรรมดา เช่น น้ำพริกผักต้ม หรืออาหารพื้นบ้านทั่วๆ ไป ก็มีความสุขกายสบายใจเป็นธรรมดาตามความเคยชิน แต่ถ้าวันไหนมีอาหารที่พิเศษพิสดารขึ้นกว่าปกติก็ชักจะรู้สึกสนุกสนานผิดธรรมดาไปหน่อย จนกระทั่งเกิดความรำคาญตัวเองขึ้นมา จึงต้องแก้ไขดัดนิสัยตัวเองด้วยการฉันเฉพาะอาหารผักเสียบ้าง ให้มันรู้สึกยากลำบากต่อการได้มายิ่งขึ้น ให้รสชาติอาหารเป็นธรรมดาๆ มากขึ้น

    ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า พระเถระก็ดีอุบาสกอุบาสิกาก็ดี ที่เจริญด้วยการปฏิบัติธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป ชะรอยจะตัดความยินดีในรสอาหารเสียได้ จึงไม่ยินดียินร้ายในรสอาหารเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไร ล้วนพอใจทั้งสิ้นที่จะได้รับ ไม่รู้สึกรังเกียจไม่รู้สึกอร่อยหรือไม่อร่อย ไม่เรียกร้องการปรุงรสเพิ่มเติม นับว่าเป็นที่น่าชื่นชมควรคารวะยิ่งนัก

    ครั้นคิดได้เช่นนี้แล้ว จึงเข้าไปหาหลวงปู่ และกราบเรียนท่านถึงความคิดของตน พร้อมทั้งขอทราบความคิดเห็นของท่าน

    หลวงปู่บอกว่า "เข้าใจถูกครึ่งหนึ่ง เข้าใจผิดครึ่งหนึ่ง แต่ก็เป็นการดีแล้วที่มาพบ เพื่อพยายามทำความเข้าใจ"

    แล้วหลวงปู่ก็อธิบายต่อไปว่า

    "ที่ว่าเข้าใจถูกนั้น ก็คือท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว สามารถตัดความยินดีในรสอาหารได้จริง

    ที่ว่าผิดนั้นก็เพราะท่านมีความรู้สึกรับรู้ถึงรสอาหารได้เป็นอย่างดีผิดคนธรรมดาสามัญ ทั้งนี้เนื่องจากขันธ์ธาตุของท่านบริสุทธิ์หมดจดแล้ว สะอาดแล้วด้วยการชำระล้างแห่งธรรมอันยิ่ง ประสาทรับรู้รสอันประกอบด้วยเส้นตั้งพัน ตามที่ปรากฏในพระธรรมบทขุททกนิกายต่างก็ปฏิบัติหน้าที่รับรู้รสของตนได้อย่างอิสระเต็มที่เต็มทาง ตามความสามารถแห่งคุณสมบัติของตน จึงรู้รสชาติต่างๆ ได้อย่างชัดเจนละเอียดลออ ไม่ขาดไปแม้แต่รสเดียว และแต่ละรสมีรสชาติขนาดไหนก็รู้สึกได้ เสียแต่ว่าไม่มีคำพูดหรือภาษาที่บัญญัติไว้ให้พออธิบายได้เข้าใจเท่านั้นเอง ซึ่งด้วยภูมิธรรมของปุถุชนสามัญธรรมดา หากสามารถรับรู้รสชาติเห็นปานนั้นได้ น่าที่จะต้องเกิดคลั่งไคล้ใหลหลงอย่างแน่นอน ถ้าได้บริโภคอาหารที่สมบูรณ์ด้วยคุณค่าและรสชาติจริงๆ

    ดังนั้นไม่ว่าอาหารนั้นจะได้รับการปรุงแต่งให้มีรสชาติมาก หรือรสชาติน้อยอย่างไร รสชาติบรรดาที่มีอยู่ในตัวอาหารนั้นๆ ท่านที่ปฏิบัติชอบแล้ว ก็สามารถรับรู้ได้จนครบถ้วนทุกรส แต่เมื่อรับรู้แล้วก็หมดกันเท่านั้น ไม่เกิดความยินดีพอใจสืบเนื่องต่อไป"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  18. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme--><!--msnavigation--><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๗๒. พระอรหันต์ไม่รับรู้อะไรจริงหรือ


    หวนคิดขึ้นมาได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นสามเณร ๒ รูป เสร็จจากการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้หน้ากุฏิ ถกเถียงกันอยู่ถึงคุณแห่งพระอรหันต์ที่ศึกษามาจากห้องเรียน

    สามเณรใหญ่ชี้แจงว่า "พระอรหันต์นั้นละกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น หมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิง"

    สามเณรน้อยเถียงทันที "พระอรหันต์ของหลวงพี่ช่างน่าเวทนานัก เหมือนเสาต้นหนึ่ง ก้อนหินก้อนหนึ่ง จะเกิดน้ำท่วมไฟไหม้ก็ไม่รู้อะไรเลย คงจะต้องตายเสียเปล่า และยังเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์สิ้นเชิง"

    ขณะที่วิวาทะกำลังดำเนินไปอย่างผิดเป้าหมาย ก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นจากในกุฏิ สามเณรทั้ง ๒ จึงสามัคคีกันหลบหนีไป

    ครั้นข้อถกเถียงนี้ล่วงรู้ถึงหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า "แม้จะเป็นการถกเถียงเอาชนะกันแต่ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตที่น่าพินิจพิจารณา"

    แล้วหลวงปู่อธิบายว่า

    "จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ ตราบใดที่มีจิต การรับรู้อารมณ์ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา โดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นบุคคลธรรมดารับรู้อารมณ์อย่างไร พระอรหันต์ก็ย่อมจะต้องรับรู้อารมณ์อย่างนั้น และการรับรู้อารมณ์ของท่านน่าจะเป็นไปด้วยดี ยิ่งเสียกว่าคนธรรมดาสามัญด้วยซ้ำ เพราะจิตของท่านไม่มีเมฆหมอกคือกิเลสปกคลุมอยู่ อันจะทำให้ความสามารถรับรู้อารมณ์ลดลง"

    ดังนี้ การกล่าวหาว่าพระอรหันต์ไม่รับรู้อะไร ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้น จึงไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน

    ส่วนการที่ท่านหมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิงนั้น ย่อมหมายความว่าแม้กระทั่งความไม่ยึดมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ย่อมไม่มีแก่ท่าน

    กล่าวคือ
    ท่านหมดทั้งความยึดมั่นถือมั่น และความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทั้งความพอใจในสิ่งใด ทั้งความรังเกียจในสิ่งใด ดังนี้จึงจะเรียกว่า "โดยสิ้นเชิง" ได้

    จิตของท่านจึงลอยเด่นเหนือความดึงดูดและผลักดันต่อสรรพสิ่งเป็นอิสระชั่วนิรันดร

    หลวงปู่ได้ชี้แนวทางพิจารณาว่า

    "อย่าพยายามทึกทักเอาเองตามความรู้สึกของตนว่า พระอริยบุคคลไม่ว่าในลำดับใด เป็นบุคคลที่มีอะไรผิดแปลกไปจากคนธรรมดาสามัญ ท่านก็มีอะไรทุกอย่างเหมือนๆ กับคนธรรมดาสามัญ ทั้งร่างกายและจิตใจ

    หรือถ้าจะว่าให้ถูก ท่านเสียอีกเป็นธรรมดาสามัญ ปุถุชนต่างหากที่มีอะไรผิดธรรมดาวิปริตไปด้วยการปรุงของกิเลสตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์

    พระอรหันต์ท่านเป็นปกติธรรมดา พ้นจากการปรุงแต่ง จึงอยู่อย่างไม่มีทุกข์

    พระอริยบุคคลที่รองๆ ลงมา ก็มีการดำรงอยู่อย่างมีทุกข์มากขึ้นตามลำดับ และกำลังดำเนินไปสู่การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์ต่อไป

    ก็แล การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์นี้ย่อมเป็นยอดปรารถนาของสัตว์โลกทั้งมวล

    สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วิ่งเต้นดิ้นรนอยู่ด้วยประการต่างๆ ทุกวันเวลานี้ ก็ล้วนแต่เพื่อจุดประสงค์ที่จะระงับดับทุกข์ของตนๆ อย่างเดียวเท่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อประการอื่นใดเลยแม้แต่น้อย เมื่อหิวก็เสาะแสวงหาอาหาร เมื่อเกิดโรคภัยก็วิ่งหายารักษาโรค เป็นต้น"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  19. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><!--msnavigation--></TBODY></TABLE><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๗๓. ทุกหมู่เหล่าล้วนแสวงหานิพพาน

    ครั้งหนึ่ง หลวงปู่กล่าวว่า "โดยนัยอันปรากฏอยู่ใน พระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร อันเป็นพระปฐมเทศนานั้น พระศาสดาแสดงไว้ชัดเจนว่า สัตว์ทุกหมู่เหล่าล้วนแสวงหาพระนิพพาน คือความดับแห่งทุกข์ แต่เพราะความเขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงพยายามดับทุกข์ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ความทุกข์จึงเกิดมีมาให้ดับอยู่ร่ำไป

    วิธีอันโง่เขลาที่สรรพสัตว์ใช้ในการดับทุกข์ มี ๒ วิธี คือ กามสุขัลลิกานุโยค อธิบายง่ายๆ ว่า วิธีคล้อยตามความปรารถนา คือเมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ให้สมปรารถนาในสิ่งนั้น ความทุกข์ก็ระงับดับไป และ อัตตกิลมถานุโยค หมายถึง วิธีหักห้ามความปรารถนา คือ เมื่อเกิดปรารถนาสิ่งใดก็แก้ไขหักห้ามตรงๆ บ้าง หันเหจิตใจไปสู่อารมณ์อื่นที่สุขุมประณีตกว่า เช่น การเล่นกีฬา เล่นต้นไม้ เป็นต้นบ้าง ในที่สุดความทุกข์นั้นก็ระงับดับไป

    สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่าล้วนแสวงหาพระนิพพานแก่ตนด้วยวิธีการอันโง่เขลาทั้ง ๒ วิธีมาเป็นเวลานาน ความทุกข์ก็ยังเกิดมีมาให้ดับอยู่ร่ำไป

    จนพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก และทรงรู้แจ้งจึงชี้แนวทางที่ถูกต้องให้ดำเนินตาม

    ทรงชี้ให้เห็นว่า ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ตัวความปรารถนานั้นนั่นเอง ถ้าสามารถทำความเข้าใจให้แจ้งชัด รู้ถึงเหตุปัจจัยการปรุงแต่งของมัน หรือรู้รากเหง้าของมัน ธำรงจิตเสียใหม่ให้ถูกต้อง ธำรงจิตให้อยู่โดยประการที่ความทุกข์ไม่อาจท่วมทับได้ โดยประการที่เหตุปัจจัยทั้งหลายไม่อาจปรุงแต่งจิตให้หลงโง่เขลาได้ ดังนี้แล้ว ก็เป็นอันว่าได้บรรลุถึงวิธีการดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์โดยสิ้นเชิง

    เหลือภารกิจโดยธรรมดาอยู่อย่างเดียว คือการดูแลรักษาขันธ์นี้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย เมื่อมันต้องการอาหารก็หาให้ เมื่อมีโรคภัยก็เยียวยารักษาไปดังนี้แล"

    จากโอวาทของหลวงปู่ข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่า สัตว์ทุกหมู่เหล่าต่างดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อหาทางระงับความทุกข์ ความกระวนกระวายทั้งทางกายและทางวิญญาณของตน

    ทุกข์ทางกาย อันเป็นทุกข์ประจำนี้ ก็บำบัดเสียด้วยการแสวงหาปัจจัย ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค

    ส่วนทุกข์ทางใจ อันเป็นความกระวนกระวายทางวิญญาณ ต่างก็บำบัดกันไปตามแต่จะเห็นชอบ ซึ่งพอสรุปได้เป็น ๒ วิธี คือ กามสุขัลลิกานุโยค ระงับความกระวนกระวายทางวิญญาณด้วยการคล้อยตามความปรารถนา เมื่อเกิดความทะเยอทะยานอยากในอารมณ์ กับ อัตตกิลมถานุโยค คือการหักห้ามจิตใจให้พ้นจากอำนาจความปรารถนาในอารมณ์ที่น่าปรารถนา ให้พ้นจากความไม่ปรารถนา ในอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ด้วยอุบายวิธีต่างๆ เช่น หักห้ามจิตใจโดยตรงไม่ยอมคล้อยตาม หรือด้วยการเตือนตัวเองว่าไม่อาจสนองตอบได้ และหักห้ามจิตใจให้หันไปสู่อารมณ์อันเป็นตรงข้าม เช่น หันไปเล่นกีฬา เป็นต้น ตลอดจนถึงการทรมานกายด้วยประการต่างๆ ของพวกโยคีเป็นตัวอย่าง ก็เป็นการทำให้วิญญาณสงบลงได้เหมือนกัน

    การระงับดับทุกข์ทั้ง ๒ วิธี สามารถบำบัดได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว บางอย่างกลับเพิ่มความทุกข์ซ้ำซ้อนขึ้นมาเสียอีก จึงไม่ใช่วิธีระงับดับทุกข์ที่ได้ผลอย่างแท้จริง เพราะต้นเหตุมันอยู่ที่ความปรารถนาที่เกิดขึ้นที่จิตใจ ต้องแก้กันที่เหตุต้องดับกันที่เหตุ ทุกข์จึงจะระงับดับไปได้แน่นอน

    วิธีแก้ก็ด้วยการธำรงจิตให้ถูกต้อง จะทำให้เห็นและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เป็นจริง แล้วจิตใจก็จะสมบูรณ์ด้วยปัญญา สามารถรู้เท่าทันเหตุปัจจัยทั้งหลายที่เคยปรุงแต่งให้หลงโง่เขลา ก็จะถูกขัดเกลาให้หมดไป บุคคลนั้นๆ ก็จะดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ปราศจากความทุกข์ทางวิญญาณโดยสิ้นเชิง

    เมื่อเราสามารถธำรงจิตได้ถูกต้อง เราย่อมดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งได้อย่างสบาย สรรพสิ่งทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นปฏิปักษ์ชักนำให้ทุกข์เกิดแก่เรา ก็จะกลับกลายมาเป็นมิตร มาเป็นเครื่องอำนวยประโยชน์สุขให้แก่เรา เพราะเหตุว่าแท้จริงนั้น
    สรรพสิ่งหาได้เป็นเหตุแห่งทุกข์ไม่ ความหลงผิดต่างหากที่เป็นตัวการ

    เมื่อความหลงผิดถูกกำจัดสูญสิ้นไป เพราะการรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เป็นจริง การปรุงแต่งให้จิตหลงผิดซ้ำๆ ซ้อนๆ ก็สลายตัวลงอย่างราบคาบสันติสุขถาวรย่อมดำรงอยู่ชั่วนิรันดร

    ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่ดูลย์ ท่านจึงชอบใจนักหนากับคำกล่าวใน สูตรของเว่ยหล่าง ที่ว่า "คนโง่ย่อมหลบหลีกปรากฏการณ์ แต่ไม่หลบหลีกความคิดปรุงแต่ง ส่วนคนฉลาดย่อมหลบหลีกความคิดปรุงแต่ง และไม่จำเป็นต้องหลบหลีกปรากฏการณ์"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  20. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    [​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript><!--MSFPhover = (((navigator.appName == "Netscape") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 3 )) || ((navigator.appName == "Microsoft Internet Explorer") && (parseInt(navigator.appVersion) >= 4 ))); function MSFPpreload(img) { var a=new Image(); a.src=img; return a; }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav1n=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav1h=MSFPpreload("../_derived/home_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav2n=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav2h=MSFPpreload("../_derived/history1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> <SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav3n=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav3h=MSFPpreload("../_derived/dharma1.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript><!--if(MSFPhover) { MSFPnav4n=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn.gif"); MSFPnav4h=MSFPpreload("../_derived/picture.htm_cmp_nature110_hbtn_a.gif"); }// --></SCRIPT> [​IMG]
    <!--mstheme--><!--msnavigation--><!--msnavigation--><TABLE dir=ltr cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--msnavigation--><TD vAlign=top><!--mstheme-->โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

    <!--msthemeseparator-->
    [​IMG]
    ๗๔. ผู้มีตนเป็นที่พึ่งตลอดกาล


    ผลที่ได้รับจากการอยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่มานานปี มีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งบอกไม่ถูกว่าเป็นผลดีหรือไม่ดี คือเป็นคนที่ไม่ฉลาดและไม่พิถีพิถันในการเอาอกเอาใจผู้อื่น ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่ หลวงปู่ท่านเป็นคนที่สุดแสนจะปรนนิบัติง่าย

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ไม่ยินดีให้ผู้อื่นต้องเสียเวลามาปรนนิบัติท่านจนเกินจำเป็น ท่านจะยินยอมให้พอสมควรแก่การที่ศิษย์ได้นับว่าบำเพ็ญอุปัชฌายวัตร อาจาริยวัตรเรียบร้อยตามพระวินัยเท่านั้น เสร็จแล้วท่านก็รีบไล่ให้ไปดูตำรับตำรา หรือไปทำสมาธิภาวนากันต่อไป

    กิจที่ยังมีเหลือให้ทำอยู่อีกท่านก็จะช่วยตัวเอง บางครั้งแม้จะมีพระเณรคอยรับใช้อยู่ท่านก็ยังทำเอง เช่น เดินไปหยิบของ เดินไปเปิดปิดไฟ หรือรินน้ำใส่แก้ว เป็นต้น และท่านทำด้วยความคล่องแคล่วรวดเร็วมาก จนผู้คอยปฏิบัติอาจาริยวัตรขยับตัวไม่ทันเลยทีเดียว แม้การนุ่งห่มสบงจีวร แต่งเครื่องบริขารท่านก็มักจะทำเองโดยไม่ยอมให้ใครช่วย

    เมื่อลองมาพิจารณาดูแล้ว ก็พอจะสรุปเหตุผลได้ดังนี้

    ประการแรก หลวงปู่ท่านเป็นคนไม่มีมายา ไม่มีการวางมาดนั่งอย่างนั้น ยืนอย่างนี้ พูดอย่างนี้ เดินอย่างนี้ อะไรทำนองที่ทึกทักด้วยตนเองว่าทำให้เกิดความภูมิฐาน น่าเลื่อมใสน่านับถือ น่ายำเกรง หรือมีบุญญาธิการ

    เวลาจะพูด ก็ไม่มีการทำสุ้มเสียงให้ห้าวกระหึ่มผิดปรกติ ให้น่าเกรงขามทำตนให้เป็นคนที่ใครๆ เอาใจยากๆ หน่อย ไม่เช่นนั้นจะดูเป็นคนปกติธรรมดาสามัญไป

    หลวงปู่จะทำอะไรทำโดยกิริยา พูดโดยกิริยา ไม่ทำให้ใครลำบากโดยใช่เหตุ ไม่พูดให้ใครอึดอัดใจ เพียงเพื่อจะสนองตัณหาหรือปมด้อยหรืออัสมิมานะ (การถือเขาถือเรา) อะไรบางอย่าง

    ประการที่สอง หลวงปู่ท่านเป็นคนเข้มแข็ง คนที่เข้มแข็งย่อมไม่นิยมการพึ่งพาผู้อื่นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะในกิจที่เล็กๆ น้อยๆ คนอ่อนแอเท่านั้น ที่คอยแต่จะอาศัยคนอื่นโดยไม่จำเป็น เด็กที่อ่อนแอย่อมคอยแต่จะอ้อนมารดา โยกเยกโยเยด้วยอาการต่างๆ เป็นอาจิณ ผู้ใหญ่ที่อ่อนแอก็เช่นกัน อยู่ก็ยาก กินก็ลำบาก งอแงหงุดหงิด เจ้าโทสะ ต้องมีคนคอยเอาอกเอาใจอยู่ตลอดเวลาเหมือนเด็กอ่อนขี้โรค

    หลวงปู่ท่านเป็นคนหาความอ่อนแอไม่พบ เป็นผู้ที่มีความสง่าผ่าเผยโดยไม่ต้องวางมาด ทุกอิริยาบถของท่าน อวัยวะทุกส่วน เคลื่อนไหวตัวเองตามหน้าที่อย่างอิสระ ปราศจากการควบคุมบรรจงจัด ให้น่าประทับใจแต่อย่างใด ไม่เคยนั่งตัวงอหรือเอนกายในที่สาธารณสถาน ไม่เอนกายเอกเขนก หรือนอนรับคารวะจากสหธรรมิกแม้สามเณรที่เพิ่งบวชในวันนั้น

    เมื่อท่านจะลุกขึ้นยืน ท่านจะลุกโดยไม่ต้องค้ำยัน หรืออาศัยสิ่งพักพิงสิ่งใดและลุกขึ้นนั่งตัวตรง หรือยืนตัวตรงทันที ยกเว้นเมื่ออาพาธเท่านั้น

    บางครั้งเราจะเห็นภาพที่ผู้มองอดขำเสียไม่ได้ คือ เมื่อท่านมีอายุมากกว่า ๙๐ ปีแล้ว ญาติโยมก็มีจิตศรัทธาซื้อหาไม้เท้ามาถวายให้ท่านได้ใช้เป็นเครื่องพยุงกาย

    ท่านก็ฉลองศรัทธาญาติโยม ด้วยการนำไม้เท้านั้นติดตัวไปไหนมาไหนด้วย แต่กลับไม่ได้ใช้ไม้เท้านั้นค้ำยันกายเลย จึงเกิดภาพที่น่าขันที่เห็นท่านนำไม้เท้าไปในลักษณะที่ถือไปทุกครั้ง ทำให้ดูกลับกลายเป็นว่า หลวงปู่ไม่ได้พึ่งอาศัยไม้เท้านั้น แต่ไม้เท้านั้นกลับต้องพึ่งพาให้หลวงปู่เอาไปไหนมาไหนด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     

แชร์หน้านี้

Loading...