ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +7,749
    เรียนคุณ Ghosty Rat
    ผมเห็นด้วยนะกับเรื่องที่ไม่ควรนำคำสอนของพระพุทธองค์เอามาบิดเบือนไปผสมกับศาสนาอื่น แต่ต้องไม่ลืมว่าพระพุทธองค์ทรงสอนทุกคนทุกศาสนาและก็ไม่มีการบังคับหรืออ้อนวอนว่าจะต้องมาเป็นชาวพุทธ ใครก็ได้ที่ต้องการเรียนรู้ธรรมะเพื่อการหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารพระองค์ก็ทรงสอนให้หมดทุกคน ดังนั้นเราต้องถือตามพระองค์ว่าทุกคนทุกศาสนามีความเสมอภาคในการเรียนรู้ธรรมของพระพุทธองค์ไม่มีการแบ่งแยก

    อีกเรื่องหนึ่งการเห็นธรรมไม่ใช่มองที่ภายนอกที่คนอื่นเขาเป็นอยู่(มันเป็นเรื่องส่งจิตออกข้างนอก) การเห็นธรรมอยู่ที่มองที่ภายในใจของเราคือการดูจิตของเราว่ามันปั่นป่วนหรือว่าสงบเย็นอยู่ เราไม่พอใจเรารู้ตัวหรือเปล่าว่าภายในใจเรามันปั่นป่วนอยู่จากการเกิดโทสะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กรกฎาคม 2009
  2. kumpeang

    kumpeang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,984
    แผ่นดินไหว6.0ริคเตอร์ที่มณฑลยูนนาน

    <!-- AddThis Button BEGIN --><SCRIPT type=text/javascript>var addthis_pub="komchadluek";var addthis_brand = "คมชัดลึก";var addthis_header_color = "#ffffff";var addthis_header_background = "#3792ef"</SCRIPT>[​IMG]<SCRIPT type=text/javascript src="http://s7.addthis.com/js/200/addthis_widget.js"></SCRIPT> <!-- AddThis Button END -->
    [​IMG]



    [​IMG]



    <SCRIPT type=text/javascript>var id='20018';function count(){$.ajax({ type: "POST", url: "http://www.komchadluek.net/counter_news.php", data: "newsid="+id, success: function(txt){ var counter_=parseInt(txt); $('#counters').html('จำนวนคนอ่าน '+counter_+' คน'); } });} featuredcontentslider.init({ id: "slider1", contentsource: ["inline", ""], toc: "markup", nextprev: ["Previous", "Next"], revealtype: "click", enablefade: [true, 0.1], autorotate: [true, 8000], onChange: function(previndex, curindex){ }})</SCRIPT>คมชัดลึก :เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.0 ริคเตอร์ที่มณฑลยูนนานของจีน บาดเจ็บอย่างน้อย 336 คน และบ้านเรือนพังทลายนับหมื่นหลัง
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1044823792492543";/* Kom-newdesign338x280story */google_ad_slot = "7614892621";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="BORDER-BOTTOM: medium none; POSITION: relative; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 336px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: inline-table; HEIGHT: 280px; VISIBILITY: visible; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0px"><INS style="BORDER-BOTTOM: medium none; POSITION: relative; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 336px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; HEIGHT: 280px; VISIBILITY: visible; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0px"><IFRAME style="POSITION: absolute; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=google_ads_frame1 height=280 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1044823792492543&dt=1247188482468&lmt=1247188482&output=html&slotname=7614892621&correlator=1247188482468&url=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2Fdetail%2F20090710%2F20018%2F%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A76.0%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99.html&ref=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2Findex.php&frm=0&ga_vid=3002813445011127000.1240304302&ga_sid=1247188458&ga_hid=35649552&ga_fc=true&flash=10.0.22.87&w=336&h=280&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_tz=420&u_his=2&u_java=true&dtd=47&xpc=bYd1i2SocE&p=http%3A//www.komchadluek.net" frameBorder=0 width=336 allowTransparency name=google_ads_frame marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME></INS></INS>

    (10ก.ค.) เว๊ปไซต์ของหนังสือพิมพ์"ไชน่า เดลี่"ของทางการจีนรายงานในวันนี้ว่า ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงปานกลางขนาด 6.0 ริคเตอร์ สั่นสะเทือนมณฑลยูนนาน ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อคืนที่ผ่านมา ที่ระดับลึก 10 กิโลเมตรใต้พื้นดิน และตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อคหลายละลอก ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย336 คน ซึ่งรวมทั้งผู้บาดเจ็บสาหัส 56 คน มีบ้านเรือนเสียหายมากกว่า 2,700 หลังคาเรือน กองทัพและเจ้าหน้าที่ป้องกันภัยฝ่ายพล เรือนกำลังออกช่วยชีวิตและกู้ภัยอยู่ รวมทั้งมีการส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปในพื้นที่ประสบภัยแล้ว
    ทางด้านสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนเช่นกัน รายงานว่า แผ่นดินไหวขนาด 6.0 ริคเตอร์นี้มีจุดศูนย์กลางที่เมืองเยาอันของมณฑลยูนนาน ตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อค 8 ระลอก ทำให้บ้านเรือนพังทลายมากถึง 10,000 หลัง และเสียหายอีก 30,000 หลัง ซึ่งตัวเลขสูงกว่า"ไชน่า เดลี่"มากพร้อมอ้างศูนย์เครือข่ายแผ่นดินไหวจีนว่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองกวนตุน ห่างจากเมืองคุนหมิง เมืองเอกของยูนนาน 200 กิโลเมตร
    ซินหัวรายงานด้วยว่า หน่วยงานกิจการพลเรือนของมณฑลได้ส่งเต็นท์ 4,500 หลัง ผ้าห่ม 3,000 ผืนและสิ่งของบรรเทาทุกข์อื่นๆ ไปยังที่เกิดเหตุแล้ว รวมทั้งตำรวจหลายร้อยนาย ส่วนสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ ระบุความรุนแรงของแผ่นดินไหวในขั้นต้นว่า 5.5 ริคเตอร์ ก่อนปรับเป็น 5.7ริคเตอร์ และว่าแผ่นดินไหวเกิดเมื่อ 19.19 น. ตามเวลาที่จีน ที่ระดับความลึก 10 กิโลเมตร โดยมีจุดศูนย์กลางห่างจากเมืองต้าลี่ในยูนนาน ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือค่อนไปทางตะวันออก 98 กิโลเมตร

    ยูนนานเป็นเขตที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง และเป็นเขตเทือกเขาตามแนวพรมแดนภาคใต้ของจีนที่ติดกับไทยและพม่า รวมทั้งมีพรมแดนติดกับมณฑลเสฉวนที่เมื่อปีที่แล้ว เกิดแผ่นดินไหวขนาด8.0 ริคเตอร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายรวมเกือบ 90,000 คน ส่วนเมื่อปี 2531 ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.1-ริคเตอร์ที่ยูนนานส่วนที่ใกล้กับประเทศพม่า มีผู้เสียชีวิตกว่า 930 คน และเมื่อปี 2513 ก็มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 15,000 จากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริคเตอร์ที่ยูนนาน แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามปิดบังยอดผู้เสียชีวิตและความเสียหายที่แท้จริง ท่ามกลางความปั่นป่วนของยุคปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน


    ที่มา
     
  3. โชตนา

    โชตนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +773
    ประสบการณ์ไข้หวัด 2009




    ไข้หวัด 2009เป็นอะไรที่เป็นธรรมดาหรือธรรมะมาก
    ผู้เขียน เป็นคนที่สุขภาพแข็งแรง มีป่วยก็โรคเข่าเสื่อมเพราะนั่งพื้นมาก คนใกล้ชิดเป็นเด็กที่ป่วยเป็นปอดบวมปีหนึ่ง 2 ครั้ง เป็นภูมิแพ้และ เป็นพาหะโรคธาลัสซิเมีย เ
    วันที่รับเชื้อ เริ่มจากคนใกล้ชิดมีอาการง่วงเรียกไม่ใคร่ตื่นตอนเช้า เรายังไม่ให้พักผ่อนให้เพียงพอ นอนดึกตื่นเช้าอีก วันรุ่งขึ้น เค้าเริ่มบ่นปวดหัว ให้ยากินแล้วยังไปเรียนตามปกติ ยังไม่พักผ่อนให้เพียงพอ นอนดึกตื่นเช้าอีก
    วันที่ 3 เริ่ม ปวดหัวมีไข้ต่ำๆ ให้กินยาพาราแล้วไปทัศนะศึกษาที่ท้องฟ้าจำลองอีก
    วันที่ 4 ไวรัสเริ่มทำลายระบบทางเดินอาหาร มีอาการท้องเสีย และอาเจียน มีไข้ ขณะหลับไวรัสไปถึงระบบสมองนอนหลับมีอาการกระตุก ซึ่งหมอตอนนั้น บอกว่าไม่ใช่ 2009 แน่อาการไม่ใช่ (วันนี้เราดูแลเค้าใกล้ชิดพักผ่อนน้อย เริ่มปวดหัว )
    วันที่ 5 พักผ่อนไม่พอเพราะนอน รพ. พยาบาลมาวัดไข้ทุก 1 ชม. เริ่มมีน้ำมูกและไอถี่ๆ หมอบอกว่ามีเสมหะที่ขั้วปอด
    ลูกขอกลับบ้านเพราะ อยู่รพ.คนกวนทั้งวัน หมอขอน้ำมูกไปตรวจเพราะบอกว่าไอมาก ผลเป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ เอ+ ต้องส่ง รพ.รามาตรวจ 2009 ผลออกอีก 3วัน เนื่องจากมีประสบการณ์ เค้าปอดบวมบ่อย จึงทำการกายภาพบำบัดตามแบบที่ทาง รพ.เคยทำให้ ก่อนที่เสมหะจะลงปอด คือ ให้หนุนหมอนให้ศีรษะต่ำและลำตัวเอียงเท 45 องศา คว่ำมือ2 มือทำให้โป่ง เคาะปอดสลับมือคล้ายท่าม้าก้าวเท้า ทำด้านหน้า หลังและข้างลำตัว คนไข้จะรู้สึกเองว่าเสมหะค้างที่ไหนให้เคาะออก เค้าจะไอมาก ให้ขากบ้วนท้งจนหมด หลังหมดจะไอน้อยลง ถ้าไอถี่อีกให้เคาะอีก แต่ถ้าคนไม่ชำนาญอาจทำผิดแทนที่จะออกมากลับเข้าไปปอดลึกขึ้นได้ ให้ระวัง ( เรารับเชื้อเต็มที่ เพราะ รพ.เวช... ไม่มีผ้าปิดปากมาให้ ไม่แนะนำการป้องกันตัวคนเฝ้าจากคนไข้ วันนี้เรามีไข้ต่ำๆ)
    วันที่ 6 ให้นอนพักทั้งวัน อาการเค้าดีขึ้นมาก ไม่มีไข้ ท้องหายเสีย ไออยู่ให้ทานอาหารอ่อน ผักไม่ทาน ถ้าให้ต้องต้มจับฉ่ายให้ย่อยง่าย งดนมและไข่ (เราที่ทำงานตามตัวไปทำงาน กลางคืนเรามีอาการกระตุกขณะนอนหลับ เริ่มไม่ดีรุ่งขึ้นไม่ทำงาน นอนทั้งวันและตื่นสายขึ้น จากเดิมตื่นตี3 หรือ 4 ทุกวันก็นอน 2 ทุ่ม ตื่น 6-7โมง บ่ายก็นอน แต่เรายังตื่นระหว่างนี้บ่อยเพราะมาห่มผ้าให้เด็ก )
    วันที่ 7 เหลือแต่ไอ (เราพาเค้าไปฟังผล รพ. เป็น 2009 มีคนไข้เด็กอื่นไข้สูงและไอมาก 3-4 คนรอรับตัวเข้านอน รพ. เราใส่ผ้ากั้นแล้วแต่คิดว่ารับเชื้อแรงๆเพิ่ม กลับบ้านเราก็เจ็บคอ กินยาแก้แพ้อากาศกันน้ำมูกไหล รีบนอน แล้วเราก็รอดไม่มีไอหรือน้ำมูก )


    ในระหว่าง 7-14 วัน นี้ ให้พักผ่อนให้เพียงพอ ป้องกันอาการกำเริบ โรคนี้คนดูเป็นปกติก็เป็น 2009 ได้ ไวรัสมันเที่ยวไปทั่วร่างกาย เราต้องรู้จักธรรมชาติของร่างกายเราต้องพักก็ต้องนอน ร่างกายเค้าจะเตือนอยู่แล้ว ยอดคนไข้พวกเด็กเล็กและคนแก่ป่วยไม่หนักเพราะ ป่วยก็นอน และโดยมากก็ไม่ไปที่ชุมชน ผู้ใหญ่กับวัยรุ่น ไม่ค่อยยอมพัก จะเป็นหนัก
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระกรรมฐานผู้ทรงอภิญญา

    [​IMG]
    พระราชพิพัฒนาทร หลวงพ่อถาวร จิตฺตถาวโร
    ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->bigboom007<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2245997", true); </SCRIPT> สมาชิก

    เมื่อ 2 ปีก่อนได้เคยบวชเณรที่วัดปทุมโดย หลวงพ่อถาวรท่านบวชให้ ลูกศิษย์ท่านเล่าให้ผมฟังว่า มีครั้งหนึ่งฟันท่านหลุดหลวงพ่อถาวรท่านก็เมตตาให้กับโยมที่ใกล้ชิดกับท่าน ปรากฏว่าฟันซีกนั้นได้กายเป็นแก้วไปแล้ว ปัจจุบันโยมท่านนั้นก็ยังเก็บฟันซีกนั้นไว้อยู่ และอีกเรื่องหนึ่ง เณรซึ่งเป็นเพื่อนกับผมสมัยที่ผมบวชเณรที่วัดปทุมเล่าให้ผมฟังว่า

    มีอยู่ครั้งหนึ่งมีโยมผู้หญิงกับลูกสาวเอาสังฆทานมาถวายหลวงพ่อ เณรองค์นี้เห็นลูกสาวของโยมท่านสวย ก็คิดในใจจนเกิดกิเลส หลวงพ่อท่านก็เตือนสติด้วยการทุบพื้นและพูดเตือนสติเณรองค์นั้น ทำให้เณรรู้สึกตกใจ ตอนที่ผมบวชเณรอยู่นั้น มีคนฝากผมบวชกับหลวงพ่อ ก่อนที่ผมจะบวชเณรดันไปตรงเข้าพรรษากว่าจะออกพรรษาก็อีกตั้ง 15 วัน จึงห่มขาวและไปอาศัยที่วัด จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นอีกสาขาหนึ่งของหลวงพ่อถาวร มีโยมที่ฝากให้ผมท่านสร้างถวาย หลังจากที่ผมบวชเณรแล้วโยมที่ฝากผมบวช ก็มาบอกผมว่า หลวงพ่อบอกผมกับเพื่อนบวชได้ เหมือนกับท่านเฝ้ามองผมกับเพื่อน ตลอดทั้งๆที่ผมย้ายไปจำวัดที่นครปฐม ความจริงหลวงพ่อถาวรท่านมีวัดที่ท่านสร้างหลายสิบวัดมากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ<!-- google_ad_section_end -->

    9-07-2009, 05:03 PM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/หลวงพ่อถาวร-ฝากคำเตือนเรื่องภูเขาไฟใต้ทะเล.195895/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2009
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เหตุแผ่นดินไหวจีนบาดเจ็บกว่า 300 คน บ้านพังนับหมื่นหลัง

    [​IMG]

    ปักกิ่ง 10 ก.ค. - ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและสำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานว่า เหตุแผ่นดินไหวระดับปานกลาง ซึ่งเกิดขึ้นทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อค่ำวานนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้บ้านเรือนพังราบถึง 30,000 หลัง และมีผู้บาดเจ็บกว่า 300 คน

    เจ้าหน้าที่ศูนย์เครือข่ายแผ่นดินไหวจีน รายงานว่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวขนาด 5.7 ริกเตอร์ครั้งนี้ อยู่ห่างจากเมืองคุนหมิงในมณฑลยูนนานราว 200 กิโลเมตร เกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.19 น. วันพฤหัสบดี ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 18.19 น. เมื่อวานนี้ ตามเวลาในไทย โดยอยู่ลึกใต้พื้นดิน 10 กิโลเมตร ขณะที่สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า แผ่นดินไหวมีระดับ 6.0 ริกเตอร์ และตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกอีก 8 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บกว่า 300 คน ในจำนวนนี้อาการสาหัส 30 คน บ้านเรือนพังราว 30,000 หลัง ทางการท้องถิ่นจัดส่งยา อาหาร เต็นท์ ผ้าปูที่นอน และสิ่งของช่วยเหลือ พร้อมมอบหมายให้ตำรวจกว่า 600 นาย มายังพื้นที่ประสบภัย ส่วนชาวบ้านออกมารวมตัวกันด้านนอก เพราะยังเกรงว่าจะเกิดแรงสั่นสะเทือนหลังแผ่นดินไหวตามมาอีก

    เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้มีขึ้นหลังจากมีผู้เสียชีวิตและสูญหายเกือบ 87,000 คน จากแผ่นดินไหว 8.0 ริกเตอร์ ในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อปีที่แล้ว. - สำนักข่าวไทย

    2009-07-10 07:29:19

    พบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คน จากเหตุแผ่นดินไหวที่มณฑลยูนนาน

    [​IMG]

    จีน 10 ก.ค. - ความคืบหน้าเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มณฑลยูนนานของจีน ล่าสุดพบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คน

    เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ของรัฐบาลจีน เปิดเผยกับสำนักข่าว AFP ว่า มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คน และบาดเจ็บ 328 คน หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 ริกเตอร์ เมื่อเวลา 19.19 น.วานนี้ หรือตรงกับ 18.18 น. ตามเวลาในประเทศไทย โดยศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองกวนตัน ห่างจากเมืองคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนานไปราว 200 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเรือน 3 หมื่นหลัง และเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีก 8 ครั้ง สร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้คนจนไม่กล้าอยู่ภายในบ้าน ขณะที่ทางการจีนส่งเต็นท์ ผ้าห่ม อาหาร ยารักษาโรคและสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว

    ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน จีนประสบเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีที่มณฑลเสฉวน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 87,000 คน.-สำนักข่าวไทย

    2009-07-10 10:18:47

    ฟิลิปปินส์เตือนภูเขาไฟมายอนอาจปะทุเร็ว ๆ นี้

    [​IMG]

    มะนิลา 10 ก.ค. - ทางการฟิลิปปินส์แจ้งเตือนวันนี้ว่า ภูเขาไฟมายอน หนึ่งในภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่มากที่สุดของฟิลิปปินส์ส่งสัญญาณว่าอาจปะทุขึ้นมาอีกครั้งเร็ว ๆ นี้

    สถาบันวิทยาภูเขาไฟ และวิทยาแผ่นดินไหวฟิลิปปินส์ รายงานว่า ได้ยกระดับเตือนภัยภูเขาไฟมายอนไปอยู่ที่ระดับ “ไม่สงบระดับกลาง” จากเดิมที่ “ไม่สงบระดับต่ำ” ซึ่งอาจทำให้เกิดการปะทุเถ้าถ่าน หรือหินหนืดออกมาได้ ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเข้าไปในเขตอันตรายถาวร ภายในรัศมี 6 กม.จากปล่องภูเขาไฟ และเขตดังกล่าวยังขยายไปเป็นรัศมี 7 กม.ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของภูเขาไฟมายอน ซึ่งหันเข้าสู่เมืองเลกาซปี ที่มีประชากรอาศัยอยู่ 160,000 คน

    ด้านหัวหน้าสถาบันวิทยาภูเขาไฟและแผ่นดินไหวฟิลิปปินส์ ระบุว่า อันตรายที่เกิดขึ้นฉับพลันหากภูเขาไฟเริ่มพ่นควันเถ้าถ่าน และหินออกมา จะส่งผลกระทบต่อการบินที่ท่าอากาศยานเลกาซปี หรือสร้างความเสียหายให้หลังคาบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง

    ภูเขาไฟมายอนปะทุมาแล้ว 48 ครั้ง นับแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูล โดยครั้งหลังสุดเกิดขึ้นในปี 2549 ภูเขาไฟลูกนี้เคยเกิดระเบิดครั้งใหญ่รุนแรงที่สุดในปี 2357 ได้ฝังกลบเมืองคักซาวาไปทั้งเมือง. -สำนักข่าวไทย

    2009-07-10 12:57:18

    ปรากฏการณ์เอลนีโญเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว

    [​IMG]

    วอชิงตัน 9 ก.ค. - นักวิทยาศาสตร์สหรัฐกล่าวว่า แนวโน้มอุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้น อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญได้เริ่มขึ้นแล้วและจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทั่วโลกอย่างแน่นอน

    ปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งทำให้น้ำทะเลในตอนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเส้นศูนย์สูตรอุ่นขึ้นเป็นครั้งคราวจะเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยทุกๆ 2-5 ปี และจะเป็นปรากฏการณ์ที่ยาวนานประมาณ 12 เดือน ศูนย์ศึกษาบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติของสหรัฐ แถลงว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญในปัจจุบันจะพัฒนารุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยคาดว่าจะไปสิ้นสุดในราวต้นปี 2553

    ในอดีตเมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ จะลดการเกิดพายุเฮอร์ริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติก และมักนำฝนมาตกในช่วงฤดูหนาวในพื้นที่แห้งแล้งทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ แต่ขณะเดียวกันก็มักจะทำให้เกิดพายุฤดูหนาวในรัฐแคลิฟอร์เนียและสภาพอากาศแปรปรวนทั่วพื้นที่ภาคใต้ของสหรัฐ อีกทั้งทำให้เกิดน้ำท่วมหนักและโคลนถล่มในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ รวมถึงความแห้งแล้งในอินโดนีเซีย.-สำนักข่าวไทย

    2009-07-10 11:39:37

    เว็บไซต์หลายแห่งของสหรัฐและเกาหลีใต้ถูกโจมตีเพิ่ม

    [​IMG]

    สหรัฐฯ 10 ก.ค. - เว็บไซต์หลายแห่งของสหรัฐและเกาหลีใต้ถูกก่อกวนจนไม่สามารถใช้งานได้ในบางขณะ ซึ่งเกาหลีใต้คาดว่าเป็นฝีมือของเกาหลีเหนือ

    เว็บไซต์หลายแห่งของสหรัฐและเกาหลีใต้ยังคงถูกโจมตีเมื่อวานนี้ ส่วนใหญ่เป็นเว็บไซต์ของทางการและเว็บเพื่อการพาณิชย์บางแห่ง ซึ่งในจำนวนนี้มีเว็บไซต์ของทำเนียบขาว และเว็บไซต์ของทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ รวมอยู่ด้วย

    อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ของสหรัฐ ระบุว่า การโจมตีเมื่อวานนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้งาน แต่ทางการก็กำลังหาป้องกันการโจมตีดังกล่าว ขณะที่หน่วยสืบราชการลับของเกาหลีใต้ระบุว่า การโจมตีเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นอาจจะเกี่ยวโยงกับเกาหลีเหนือ แต่รัฐบาลสหรัฐไม่ได้เจาะจงว่าเป็นฝีมือของใคร .-สำนักข่าวไทย

    2009-07-10 09:32:35

    นักวิจัยเยอรมนีให้ระวังไวรัสคนระบาดสู่หมู

    [​IMG]

    ลอนดอน 10 ก.ค. - คณะนักวิจัยชาวเยอรมัน กล่าวว่า มีความเสี่ยงว่าไวรัสเอช1 เอ็น 1 ของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในคนจะระบาดมาสู่หมู และเชื้อไวรัสอาจรวมกัน จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ไม่อาจคาดเดาได้

    คณะนักวิจัยสถาบันฟรีดริช ลอฟเลอร์ ในเยอรมนียืนยันว่า จากการศึกษาพบกรณีต้องสงสัยว่าเชื้อไวรัสเอช1 เอ็น1 จากคนระบาดสู่หมู และส่งผลให้เกิดการระบาดในหมูต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ดังนั้น มาตรการป้องกันการระบาดจากคนไปสู่หมูจึงเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรกในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดใหม่ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่า ในขณะที่ไวรัสระบาดอย่างรวดเร็วในหมู แต่ไม่ได้ระบาดไปถึงไก่ 5 ตัว ที่อยู่ใกล้เคียงกัน องค์การอนามัยโลกประกาศให้ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เป็นโรคระบาดเมื่อเดือนที่แล้ว หลังเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสตัวใหม่ในคนที่รวมตัวกับไวรัสหมูและนก จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 400 คนทั่วโลก และมีแนวโน้มว่าอาจมีผู้ติดเชื้อจำนวนหลายล้านคน.-สำนักข่าวไทย

    2009-07-10 09:21:27

    เปรูเร่งปิดภาคเรียนหนีไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่

    [​IMG]

    ลิม่า 10 ก.ค. - รัฐบาลเปรูประกาศให้นักเรียนหลายล้านคนในโรงเรียนของรัฐและเอกชนได้ปิดภาคเรียนก่อนกำหนด 2 สัปดาห์ เพื่อยับยั้งการระบาดของเชื้อไวรัสเอช1 เอ็น1

    ล่าสุดเปรูมีรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 1,331 คน และเสียชีวิตไป 3 คน นายออสการ์ อูการ์เต รัฐมนตรีสาธารณสุข มีคำสั่งให้นักเรียนอยู่แต่ในบ้านและไม่ออกไปที่สาธารณะระหว่างปิดภาคเรียนซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ ทั้งที่ตามปกติการปิดภาคเรียนมักมีขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม โดยพบว่าร้อยละ 75 ของผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในเปรู มีอายุไม่ถึง 18 ปี ส่วนที่อาร์เจนตินาซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสเอช1 เอ็น1 มากที่สุดในอเมริกาใต้ ประกาศใช้มาตรการปิดภาคเรียนก่อนกำหนดเหมือนกัน .-สำนักข่าวไทย

    2009-07-10 09:04:47

    อิหร่านประท้วงรอบใหม่โดยไม่สนคำสั่งห้าม

    [​IMG]

    อิหร่าน 10 ก.ค. - ตำรวจปราบจลาจลอิหร่านยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคนที่รวมตัวประท้วงรอบใหม่ โดยไม่สนคำขู่ปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาล

    กลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นทั้งชายและหญิง ตะโกนข้อความกล่าวหารัฐบาลว่าเป็นเผด็จการ ระหว่างเดินขบวนไปตามท้องถนนในกรุงเตหะราน พร้อมกับสนับสนุนนายมีร์ ฮอสเซน มูซาวี ผู้นำฝ่ายค้านที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนจะถูกตำรวจปราบจลาจลยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่เพื่อสลายฝูงชน ทำให้กลุ่มผู้ประท้วงแตกฮือวิ่งหนีไป แต่ก็กลับมารวมตัวประท้วงใหม่อีกหลายครั้ง ขณะที่มีรายงานการรวมตัวประท้วงของผู้คนจำนวนหลักร้อยคนในอีกหลายเมืองด้วย

    การรวมตัวประท้วงครั้งนี้ มีขึ้นเพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 10 ปี เหตุจลาจลของนักศึกษา เมื่อปี 2542 ทั้งนี้ ทางการอิหร่านสั่งห้ามการชุมนุมประท้วงรัฐบาลอย่างเด็ดขาด หลังเกิดเหตุจลาจลนองเลือดจากความไม่พอใจผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยยืนยันจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงทันที. - สำนักข่าวไทย

    2009-07-10 04:09:34

    จีนยังคุมเข้มสถานการณ์ในเมืองอุรุมชี

    [​IMG]

    จีน 10 ก.ค. - ทางการจีนยังควบคุมสถานการณ์ในเมืองอุรุมชี เมืองเอกของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุจลาจลทางเชื้อชาติขึ้นอีก

    ทหารจำนวนมากพร้อมอาวุธครบมือ รวมตัวอยู่เต็มพื้นที่จัตุรัสประชาชนกลางเมืองอุรุมชี โดยมีนายจ้าว หยงกัง สมาชิกระดับสูงของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ (โปลิตบูโร) ประกาศให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุจลาจลรุนแรงขึ้นอีก

    มาตรการคุมเข้มเมืองอุรุมชีของทางการจีน ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ส่งผลให้สถานการณ์เริ่มกลับคืนสู่ภาวะปกติ โดยเมื่อวานนี้ ร้านรวงต่าง ๆ เริ่มเปิดบริการอีกครั้ง ขณะที่รถราตามท้องถนนก็เริ่มออกวิ่งตามปกติ ทั้งนี้ รัฐบาลจีนประกาศกร้าว ใครก็ตามที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต
    ขณะเดียวกัน นายกเทศมนตรีเมืองอุรุมชี ประกาศว่า รัฐบาลตั้งงบประมาณ 14.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปลอบขวัญครอบครัวของผู้เสียชีวิต รวมทั้งผู้บาดเจ็บหรือพิการจากเหตุจลาจลครั้งนี้. - สำนักข่าวไทย

    2009-07-10 03:20:02

    ที่มา http://news.mcot.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เขมรเคลื่อนรถถังประชิดชายแดน “เขาวิหาร” ทหารไทยผุดบังเกอร์พร้อมรับมือ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 กรกฎาคม 2552 11:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    ทหารไทยตรึงกำลังตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และสร้างบังเกอร์ขนาดใหญ่เตรียมพร้อมปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างเต็มที่ วันนี้ (10 ก.ค.)

    ศรีสะเกษ - ทหารเขมรเคลื่อนรถถัง 6 คันพร้อมกำลังพลจำนวนมากประชิดชายแดนไทยด้านเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ ส่วนทหารไทยเตรียมพร้อมสร้างบังเกอร์ขนาดใหญ่จำนวน 20 แห่ง 20 ล้าน ตามแนวชายแดนรอบเขาพระวิหาร

    วันนี้ (10 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การตรึงกำลังระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณเขาพระวิหารชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าล่าสุดมีรายงานข่าวแจ้งว่าทหารกัมพูชาได้เคลื่อนรถถังจำนวน 6 คัน พร้อมทหารอีกจำนวนมากมาเตรียมพร้อมอยู่ที่บริเวณบ้านโกมุยใกล้กับเขาพระวิหารฝั่งประเทศกัมพูชาและหันปากกระบอกปืนมายังฝั่งไทย โดยทหารกัมพูชาเหล่านี้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ท.เจีย มอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา ซึ่งการเคลื่อนย้ายทหารมาตรึงกำลังรอบเขาพระวิหารดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมสู้รบกับทหารไทยอย่างเต็มที่

    นายบุญมี บัวต้น นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า จากการที่ขณะนี้สถานการณ์บริเวณเขาพระวิหารตรึงเครียดมาก จึงได้ประกาศเตือนประชาชนในเขต ต.เสาธงชัย ห้ามเข้าใกล้แนวชายแดนเขาพระวิหาร เพราะอาจได้รับอันตรายได้หากเกิดสู้รบขึ้น พร้อมทั้งได้ประสานงานกับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมพร้อม ในการอพยพประชาชนหากเกิดมีการสู้รบกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาขึ้น แต่ล่าสุดขณะนี้เหตุการณ์บริเวณเขาพระวิหารยังคงปกติ

    ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทหารไทยยังคงตรึงกำลังเตรียมพร้อมตามแนวชายแดนด้านเขาพระวิหาร โดยเฉพาะที่บริเวณทางขึ้นเขาสัตตาโสม ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ อยู่ติดกับแนวเขตแดนไทย-กัมพูชา บริเวณที่ทหารไทยได้สร้างบังเกอร์ขนาดใหญ่ 20 แห่ง ด้วยงบประมาณกองทัพภาคที่ 2 จำนวน 20 ล้านบาท ตามแนวชายแดนรอบเขาพระวิหาร เพื่อใช้เป็นสถานที่ตั้งฐานที่มั่นต่อสู้กับศัตรูฝ่ายตรงข้ามที่อาจรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนไทยนั้น ได้สร้างความมั่นใจและขวัญกำลังใจให้กับทหารไทยมากยิ่งขึ้น เพราะบังเกอร์ดังกล่าวมีขนาดใหญ่ แข็งแรงทนทานสามารถป้องกันกระสุนปืนใหญ่และระเบิดทุกชนิดได้เป็นอย่างดี

    ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000077864
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2009
  7. amm.

    amm. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +613
    http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-836#post2248810

    พระอาทิตย์ตกดิน ถ่ายตอนเย็นวันนี้ค่ะ แสงสว่างจ้ามากๆเลยค่ะ ถ่ายตรงถนนเทพารักษ์ กม.7 แถวหนามแดง คนออกมาดูกันเยอะเลยค่ะ กินเวลาประมาณ 15 นาที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Am-0010.jpg
      Am-0010.jpg
      ขนาดไฟล์:
      512 KB
      เปิดดู:
      2,909
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2009
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    นิมิตหลอน มโนมยิทธิเทียม
    โดย physigmund_foid

    [​IMG]

    กสิณนั้นเริ่มฝึกจากการใช้จิตกำหนดภาพ จนกว่าภาพที่จิตกำหนดสร้างจะเกิด แล้วเกิดการเปิดตาทิพย์จริง ระหว่างก่อนเปิดตาทิพย์นั้น ภาพที่จิตสร้างอาจชัดเจนแจ่มใสราวกับเป็นภาพจริง จนอาจคิดไปว่าตาทิพย์ได้เปิดแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่เปิดจริง ดังนั้น ภาพที่เห็นนั้น เรียกว่า “เห็นจริง แต่ไม่ใช่ของจริง” คือ เป็นภาพที่เกิดจากจิตสร้าง ด้วยพลังจิต ด้วยใจที่มีฤทธิ์ ไม่ใช่ของจริงที่ตาทิพย์ไปเห็นมา

    นอกจากนี้แล้ว แม้ว่าตาทิพย์เปิดจริง ระหว่างใช้ตาทิพย์ ก็มีนิมิตหลอนเกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น เพียงแค่คิดถึงปากกา ภาพปากกาก็ปรากฏแล้ว ดังนั้น ตาทิพย์ที่เห็นนั้น กำลังเห็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้น ไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง นอกจากนี้ แม้ว่าจิตไม่ได้สร้างขึ้น บางครั้ง ภาพต่างๆ อาจปรากฏขึ้นมาเองได้ราวกับเป็นของจริง สิ่งเหล่านั้น อาจเกิดจากนิมิตที่ผู้อื่นส่งมา เช่น เป็นนิมิตจากกระแสจิตของภาคมาร เป็นต้น บทความฉบับนี้ ขอเสนอหลักการแยกแยะนิมิตและของจริง ดังนี้

    ข้อสังเกตในการแยกแยะนิมิตและของจริง

    ๑) หากตาทิพย์ยังไม่เปิด สิ่งที่เห็นทั้งหมดเป็นแค่นิมิตเท่านั้น ไม่ใช่ของจริง เมื่อตาทิพย์เปิดแล้ว จะมีทั้งของจริงและนิมิตปนกัน จะต้องละจากนิมิตให้หมด ทำจิตในว่างเปล่าโปร่งใสไร้การปรุงแต่งเจือปนใดๆ ทั้งสิ้นให้ได้ก่อน จึงจะเห็นของจริงแท้ การสังเกตว่าตาทิพย์เปิดหรือยัง ให้ลองสังเกตว่า เคยเห็นแสงสว่างวาบมากๆ จนเกือบๆ จะแสบตาบ้างหรือไม่ แล้วจากนั้น ก็รู้สึกเหมือนเห็นภาพชัด อาการแสงสว่างวาบมากๆ จะเกิดเพราะตาทิพย์เปิดครั้งแรก แต่หากยังไม่มีอาการนี้ ก็ควรระวังสิ่งที่เห็นด้วยว่า อาจเป็นเพียงนิมิต ไม่ใช่ของจริง ตาทิพย์ยังไม่เปิด เช่นเดียวกับหูทิพย์ เมื่อเปิดครั้งแรก จะมีเสียงแหลมๆ ดังเข้ามาก่อน จากนั้น หูทิพย์จึงเปิดจริง หากหูทิพย์ยังไม่เปิด เสียงที่ได้ยินเป็นแค่เสียงหลอน

    ๒) เมื่อตาทิพย์เปิดแล้ว ต้องผ่านด่านมารทดสอบก่อน คือ นิมิตภาคมารที่ส่งมาเรื่อยๆ ทำให้หลงคิดว่าเป็นความจริง แม้ว่าตาทิพย์จะเปิดแล้ว แต่ภาคมารก็สามารถส่งภาพนิมิต มาปกปิดความจริงให้เราหลงทางได้อีก ดังนั้น เมื่อเห็นภาพเทพเทวดา ให้ลองสนทนากับท่านดู ถามท่านให้กระจ่าง แล้วกลับมาตรวจสอบตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกครั้งว่าตรงกันหรือไม่ ต้องตรวจสอบหลายมุม จนเกิดความแน่ใจว่าตรงจริง ในช่วงใช้ตาทิพย์ ให้ตัดความลังเลเคลือบแคลงสงสัยออกก่อน เรียกว่าไปเอาข้อมูลดิบมาเท่านั้น ไม่ต้องนึกคิดปรุงแต่งสงสัยอะไร แต่ให้ถามเอาข้อมูลให้กระจ่าง การถามนั้นไม่ใช่วิจิกิจฉา แต่เป็นวิปัสสนาญาณ เพื่อให้ได้ข้อมูลถึงแก่นธรรมนั่นเอง เช่นนี้ ค่อยมั่นใจขึ้นได้

    ๓) ตรวจสอบกับญาติธรรมกันเอง เช่น ถอดกายทิพย์ไปหาญาติธรรมสนทนาข้อมูลบางอย่าง แล้วลองถามญาติธรรมทางเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ว่าได้รับการสื่อสารจากเราจริงหรือไม่ วิธีการนี้เหมาะสม เพราะตรวจสอบได้ง่าย เพราะญาติธรรมเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่จริง สามารถบอกได้ว่าได้รับการสื่อสารจากเราจริงหรือไม่ ทั้งนี้ พึงระวังอีกประการว่า บางครั้ง การสื่อสารกับกายทิพย์ กายสังขารเนื้ออาจจะไม่ทราบก็ได้ คือ เป็นความรู้สึกทางจิต เหมือนมีเทพเทวดามาดลจิตดลใจ ก็จะรู้สึกแค่ลางสังหรณ์เท่านั้น ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าได้รับการสื่อสารจริง ในกรณีนี้ ควรสื่อกับกายเนื้อเขาโดยตรง จะสื่อสารได้ชัดเจนมากกว่ากายทิพย์

    ๔) ฝึกสติปัฏฐานสี่ แยกแยะจิตและใจออกจากกันก่อน (จิตจะคุมกายทิพย์ แต่ใจจะมีความรู้สึกนึกคิดมาปะปน ทำให้ข้อมูลถูกบิดเบือนได้) หรือฝึกอรูปญาณ โดยเฉพาะฌาน ที่กำหนดความว่างเป็นอารมณ์ให้ชำนาญ เมื่อเริ่มจะดูด้วยตาทิพย์ หรือถอดกายทิพย์ ให้เข้าสมาธิทำจิตให้ว่างเปล่าจากการนึกคิดปรุงแต่งใดๆ ก่อน เมื่อจิตมีความพร้อมแล้ว ให้ลองทายของต่างๆ ที่เก็บไว้ในกล่องเป็นต้น เมื่อทายได้ถูกแม่นยำแล้ว จึงถอดกายทิพย์ออกไป ก็จะได้ข้อมูลที่แม่นยำขึ้น ตัดส่วนภาพที่เกิดจากจิตของเรานึกคิดปรุงแต่งเองออกไปได้ส่วนหนึ่ง

    วิธีการฝึกมโนมยิทธิให้แจ่มใส ไร้นิมิตหลอน

    ๑) ขั้นตอนที่หนึ่ง นั่งสมาธิด้วยท่าที่สบาย อย่ารีบถอยกายทิพย์ อย่ารีบคิดถึงนั่นนี่ ให้นั่งให้สบายก่อน วางจิตเบาๆ แล้วค่อยๆ ให้จิตสงบนิ่ง จนจิตเริ่มว่างเบา เลิกคิดสะเปะสะปะ ถึงนั่นถึงนี่ จากนั้น จึงค่อยๆ เข้าสู่สมาธิ เพื่อการถอดกายทิพย์

    ๒) ขั้นตอนที่สอง เมื่อเข้าสู่สมาธิ สิ่งที่เห็นตอนแรกอย่าเพิ่งเชื่อทันที ให้ดูเฉยๆ ไปก่อน แล้วบริกรรม “ภาพจริงจงปรากฏชัด”ๆๆๆๆ ซ้ำๆๆ จากนั้น ภาพต่างๆ ที่เกิดจากการนึกคิดจะปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วค่อยๆ สลายไปทีละอย่างๆ จนในที่สุด ภาพต่างๆ มืดดับไปหมด จากนั้น บริกรรมต่อไปเช่นเดิม ภาพจริงจะค่อยๆ ปรากฏเหมือนเปิดม่านจากความมืด จะเห็นลางๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ชัดขึ้นๆ

    ๓) ให้ทดลองทายของในกล่องที่ผู้ฝึกเก็บไว้ หากสามารถทำนายได้สำเร็จ แสดงว่ามโนมยิทธิ หรือตาทิพย์แจ่มใส ไร้ความนึกคิดปรุงแต่งเจือปน อีกกรณีหนึ่ง ให้ท่านที่ไม่ทราบเนื้อหาธรรมในไตรปิฎกเลย ฝึกมโนมยิทธิ แล้วถามข้อมูลที่ได้จากการถอดกายทิพย์ไปนรกสวรรค์มา หากได้ข้อมูลที่ตรงกับพระไตรปิฎกทั้งๆ ที่ไม่เคยอ่านมาก่อน ก็นับว่าน่ารับฟังในระดับหนึ่งได้ อนึ่งภาพที่เป็นของทิพย์ กับภาพที่เป็นวัตถุธาตุสี่นั้น จะแบ่งเขตการรับรู้โดยใจ กล่าวคือ ของทิพย์นั้นจิตรับรู้ แต่หากเป็นวัตถุธาตุสี่ จิตต้องทำงานร่วมกับใจ จึงจะรับรู้ได้ชัด ในขณะที่ใจเต็มไปด้วยความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่ง จึงจะต้องตัดการปรุงแต่งออกจากใจให้ได้ ภาพที่เป็นวัตถุธาตุสี่ จึงจะแจ่มใสปรากฏชัดเจนถูกต้องแท้จริง ไม่ถูกหลอก

    ภาวะที่เอื้อต่อนิมิตหลอน และมโนมยิทธิเทียม

    ๑) การรีบถอดกายทิพย์โดยจิตยังฟุ้งซ่าน ไม่เรียบนิ่ง หรือจิตยังมีความคิดปรุงแต่งอยู่มาก เมื่อผู้นำ บอกให้คิดถึงสวรรค์ภาพสวรรค์จะปรากฏทันที แต่ไม่ใช่ของจริง เป็นแค่ภาพที่จิตของแต่ละคนสร้างขึ้น เมื่อมาตรวจสอบถามกันว่าภาพที่เห็นเป็นอย่างไร ก็จะได้รับคำตอบคนละอย่างกัน เพราะต่างจิตต่างใจต่างคนคิด อันนี้ เรียกว่า “นิมิต” เป็นธรรมชาติของนิมิต ที่แต่ละคนจะได้ต่างรูปแบบกัน แต่หากอาศัยนิมิตนี้มาตีปริศนาธรรม ด้วยการใช้สติปัญญาพิจารณาสภาวธรรมแล้ว แม้นิมิตแต่ละท่านจะต่างกัน แต่ก็ได้เข้าถึงธรรมได้เหมือนกันได้ เช่น การได้นิมิตเห็นสวรรค์ แม้ไม่ใช่ของจริง แต่หากสรุปแค่ว่าสวรรค์มีจริง บุญกรรมมีจริง แค่นี้ก็พอแล้ว แต่หากไปสรุปเอาว่าสวรรค์ที่เห็นนั้น เป็นอย่างที่ตนเห็นในนิมิต ก็อาจถูกนิมิตหลอกเอาเต็มเปา เรียกว่า สรุปเกินนิมิต เพราะนิมิตนั้น ไม่ใช่ของจริง

    ๒) การถูกนำความคิดให้คิดตาม เมื่อความคิดเกิด ภาพก็ปรากฏ เป็นเพียงภาพนิมิตเท่านั้น ไม่ใช่ของจริงเลย เช่น ผู้นำฝึกมโนมยิทธิ กล่าวว่า เห็นพระพุทธเจ้าไหม พระพุทธเจ้ามาครบทุกพระองค์ไหม สิ่งเหล่านี้เป็นคำถามนำให้ตอบว่า “เห็น” เพราะสิ่งแวดล้อมและสังคม จะหล่อหลอมให้ต้องคล้อยตามกัน ตามทฤษฎีการเหนี่ยวนำโดยสังคม (Mob psychology) สิ่งเหล่านี้ อาจเรียกได้ว่า “อุปทานหมู่” แต่ถึงจะเป็นอุปทานหมู่ก็ตาม หากเป็นนิมิตที่ทำให้คนเชื่อในกฎแห่งกรรม และสวรรค์ได้จริงแล้ว ก็ไม่ต้องไปถกเถียงหรือยึดมั่นถือมั่นในนิมิตที่เห็นมาก เอาแค่สรุปว่าสวรรค์มีจริง บุญกรรมมีผลจริงก็พอ ไม่ต้องเถียงกันว่าลักษณะเป็นอย่างไร สำหรับผู้ฝึกสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนได้มโนมยิทธิของจริง ก็ควรเลือกผู้มีความเพียรมีพรสวรรค์ แล้วนั่งสอบสอนกันให้ได้มรรคผลจริง ไม่ถามคำถามนำ แต่ถามคำถามเพื่อตรวจสอบ เช่น พระเจดีย์จุฬามณีมีกี่ยอด ถ้าตอบถูกก็ลองถามต่ออีกนิดว่า สีอะไร มีเทพเฝ้าอีกองค์ ถ้าตอบได้ถูกต้อง ก็แสดงว่าผ่านการทดสอบได้

    ในกลุ่มผู้ที่ได้มโนมยิทธิเทียม โปรดอย่าได้เสียใจ เพราะในกลุ่มคนที่ได้มโนมยิทธิจริงนั้น ได้พิสูจน์แล้วว่านรกสวรรค์มีจริง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นนิมิตหรือของจริง หากตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ให้ผลเท่ากัน ขึ้นกับการปฏิบัติของแต่ละคน ใครทำได้มากก็ได้มาก ใครทำได้น้อยก็ได้น้อย ส่วนจะเห็นสวรรค์จริงหรือสวรรค์เทียมเพราะนิมิตหลอกนั้น ไม่สำคัญเท่าการทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ สาธุ

    ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=314855
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2009
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระโอวาทท้าวสักกะเทวราช กัณฑ์ปลุกชาวโลก

    [​IMG]

    มหันตภัยอันน่ากลัวใกล้ตัวแค่นัยน์ตา
    มารทั้งห้ามากวาดล้างโลกดุร้ายยิ่ง
    ทุกคนจัดแจงรีบป้องกันแต่เนิ่นเนิ่น
    ถึงเวลาเกิดเหตุเสียใจภายหลัง

    กัณฑ์ปลุกชาวโลก อธิบายชัดเจน ณ เวลานี้จงเร่งรีบบำเพ็ญคุณธรรม พิบัติภัยใกล้ตัว ร้ายแรงนัก บัญชีหนี้กรรมหมื่นปีต้องชำระ เหล่าทวยเทพอริยะ ได้จัดเตรียมทำบัญชีไว้ก่อน ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต มีหนี้ต้องชดใช้ หนี้ชีวิตหนี้ในบัญชีหนีไม่พ้น

    เหล่าอสูรร้ายได้รับคำสั่งให้ลงสู่โลกมนุษย์ โลกสีแสงสุรานารี พร้อมกันอึกทึกครึกโครมเอ็ดอึงพาให้เสีย ก่อเกิดฆ่าฟันทั่วทุกหนทุกแห่งทั่วโลกา พาให้โลกวุ่นวาย คนทุกประเภทอยู่อย่างไม่เป็นสุข โจรผู้ร้ายชุกชุมทั่วทุกหัวระแหง ทุกคนต่างแสดงตนเป็นวีรบุรุษผู้กล้า บ้างแย่งชิงบ้างหลอกลวง บ้างจับตัวเรียกค่าไถ่ โจรขโมยก่อความวุ่นวาย ทหารออกมาปรากฏทุกคนถูกบีบบังคับจนอยู่ไม่ได้ บ้างถูกปืนยิงตาย บ้างถูกมีดฟันตายไปเมืองผี บ้างถูกไฟเผาตายบ้างกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทั้งหมดล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่ก่อไว้ในอดีตชาติ

    ชาติก่อนก่อกรรมไว้ชาตินี้มาชดใช้ อดีตชาติทำกรรมไว้ชาตินี้มาชดใช้ กรรมสนองกรรมในชาตินี้ ตามสนองในชาตินี้ไม่ผิดพลาด คนมีบาปเทพเทวารู้ ทุกคนล้วนมีธงปักอยู่บนศีรษะเป็นสัญลักษณ์ ไม่จำตัวบุคคล จะดูสัญลักษณ์จากธงเป็นเครื่องหมายในการตอบสนองตามจริง ปักธงเขียว ถูกยิง ถูกระเบิด ปักธงแดง ถูกไฟเผา ปักธงดำ จมน้ำตาย ปักธงขาว ต้องคมหอกคมดาบ มีแต่ผู้สั่งสมคุณงามความดี ทำบุญทำทาน ถูกปักธงเหลือง เทพเทวาคุ้มครอง

    คนทำความดีได้รับบุญวาสนาอยู่สุขสบายเทพเทวาคุ้มครอง ไม่สู้บำเพ็ญธรรมจึงรอดพ้นภัยได้ มนุษย์โลกควรเร่งรีบเสาะหามหาธรรม ไม่แสวงหามหาธรรมจะไม่รอดพ้นภัย ภัยพิบัติครั้งนี้ หาขอบเขตไม่ได้ เลือดนองเหมือนสายน้ำ กระดูกกองเป็นภูเขา ผู้บำเพ็ญธรรมพ้นจากภัย คนที่ไม่มีธรรมะ ยากที่จะหลุดรอดได้

    เหล่าเทพเทวาลอยสถิตกลางนภา นำบัญชีมาชำระสะสาง ใครถูกเรียก ใครเป็นหนี้ ใครมีหนี้คนนั้นจะต้องชำระ ใครชาติก่อนทำความชั่วไว้ ใครชาติก่อนทำกรรมดีไว้ หักลบกลบหนี้ มาดูว่าชั่วมากกว่าหรือดีมากกว่าหากมีความดี เทพเทวาคุ้มครอง เทพเทวาปกปักรักษามักอยู่เย็นเป็นสุข ชั่วมากกว่าเทพเทวาลงทัณฑ์ เทพเทวาลงทัณฑ์ประสบภัยมาร วุ่นวายทุกหัวระแหง เพิ่มภัยแล้ง นักเลงอันธพาลโรคภัยไข้เจ็บระบาดทั้งในและนอก ทนอดอยากเผชิญความวุ่นวาย ไม่แน่ว่าการขู่กรรโชกจะทำให้เสียชีวิตได้ คิดคิดดูน่าตกใจ วันข้างหน้าจะมีคนตายมากมาย สิบส่วนตายเก้าส่วน เหลือเพียงหนึ่งส่วนคือเทพเซียน คิดคำนวณ ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย

    หนี้ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต เป็นหนี้ในที่สุดต้องชำระ คนในโลกนี้ควรมองให้ทะลุปรุโปร่งเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งโดยตลอด เร่งรีบกินเจสวดมนต์ รักษาศีลสวดพระคัมภีร์ช่วยปลดเปลื้อง บาปกรรมหมื่นพัน หนี้ชีวิตไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ติดหนี้ไม่ต้องชดใช้

    โลกโลกีย์อย่าห่วงอาลัยรัก หลงรักอาลัยยากที่จะตัด โลกสีแสงสุรานารี ถึงแม้ดูดี หลงอาลัยรักสุดท้ายมิเหลืออะไรแม้แต่น้อย ละโมบบริโภค กินเนื้อสัตว์ล้วนแต่สร้างหนี้กรรม กินเขาสี่ตำลึง ชดใช้ครึ่งชั่ง ไม่มีใครยอมเสียเปรียบ บริโภคมาก ก่อบาปเวรมาก ก่อบาปกรรมมากจึงอยู่ไม่ได้ เมื่อหมดอายุขัยต้องตายจาก พญายมออกหมายเรียก ส่งยมทูตมาตามตัว ถือโซ่ตรวนล่ามตัวพาไป ล่ามเที่ยงคืนตายเที่ยงคืน ไม่มีใครที่จะมีลมหายใจอยู่ได้ต่อไปอีก ไม่ว่าจะว่างหรือไม่ว่าง ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ต้องทิ้งทั้งหมด เมื่อสิ้นลมต่อให้ลืมตาก็มองไม่เห็น ทรัพย์สินเงินทองเอาไปไม่ได้ เหลือแค่สองมือว่างเปล่าน่าสงสาร

    ไปถึงยมโลกถูกยมทูตโบยตีกลิ้งไปมา ถูกโบยตี ไม่มีที่จะหลบซ่อน ยังต้องพาตัวไปพบพญายม ฝูงสุนัขดุขวางไว้รุมกัด ถูกกัดจนเลือดไหลท่วมตัว หมู่บ้านผีตายโหงโกลาหล ฝูงผีฉุดลากเรียกเอาเงิน กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ฟันหมาป่ามากมายดั่งเทือกเขาตามทำร้าย เข็มปักกองเท่าภูเขา ทั้งหมดถูกทับอยู่บนตัวกลิ้งไปมา เลือดไหลเลอะเทอะเต็มตัว เนื้อหนังแหลกเหลว ยมทูตลากไปรายงานตัว

    ขุมนรกขุมที่ 5 น่าเกรงขาม ยมทูตหัววัว ยมทูตหน้าม้า ยืนเรียงสองข้าง พญายมประทับตรงกลาง ผู้พิพากษาถือสมุดบัญชี หากทำดี หากทำชั่ว แม้ว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยปากยังแก้ต่างไม่ตก หากทำบุญสุนทานได้เป็นขุนนาง บุญกุศลครบสามพันได้เป็นเทพเป็นเซียน หากไม่มีบุญกุศลคงจะลำบาก มีแต่ลงนรกร้องไห้กับฟ้า ลงกระทะทองแดง ปีนภูเขามีด ถูกครกตำ ใช้โม่เหล็กบด ถึงตอนนั้นเสียใจก็สายไปแล้ว

    วันนี้รีบเร่งบำเพ็ญปฏิบัติ พูดถึงการบำเพ็ญปฏิบัติไม่ยากเลย ขอเพียงมีจิตศรัทธา ตั้งความมุ่งมั่น งดเว้นอาหารคาวเพื่อตัดกรรม รักษาพุทธระเบียบ ตั้งโต๊ะบูชา ถวายธูปวันละสามครั้ง หมั่นสวดมนต์ ไม่ขี้เกียจ หนี้กรรมในอดีตชาติจะถูกลบล้างหมดไป หนี้กรรมในอดีตชาติ หากถูกลบล้างหมดไป จากนี้ไปจะไม่ประสบภัยตกทุกข์ได้ยากต่อไปอีก กราบไหว้พระวิสุทธิอาจารย์ เปิดประตูญาณสามารถเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ ขึ้นสวรรค์เป็นเทพเซียน ไม่เสียแรงที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ฉุดช่วยบรรพบุรุษเจ็ดชั้น ลูกหลานอีกเก้าระดับ ช่วยบิดามารดาได้ไปอยู่แดนพุทธเกษตร ได้รับการยกย่องเป็นลูกกตัญญู ยกย่องเป็นอริยะ ได้รับการยกย่องเป็นทั้งอริยะและกตัญญูพร้อมกัน ขึ้นไปเฝ้าพระแม่องค์ธรรม พบเหล่าเทพเซียน อิสรเสรีสุขสำราญ

    กล่าวถึงตรงนี้ ขอจบแล้ว ขอให้ทุกคนสำรวจและพิจารณาตรวจสอบละเอียดรอบคอบ จะหนีให้พ้นจากภัยพิบัติ ต้องเร่งรีบศึกษากัณฑ์ปลุกชาวโลกนี้

    กัณฑ์ปลุกชาวโลกเสมือนเรือฉุดช่วย พบใครก็ตักเตือนบอกต่อ กลับคืนสู่พุทธบรรพต กราบพระอนุตตรธรรมมารดา ตนเองบรรลุ พาให้คนอื่นบรรลุด้วย บุญกุศลนับไม่ถ้วน หากใครไม่ศึกษากัณฑ์ปลุกชาวโลกนี้ ขณะมีชีวิตอยู่ประสบเคราะห์ร้าย ตายไปถูกลงโทษด้วย ฝากคำพูดง่ายๆ ไว้เตือนชาวโลก รีบไปฉุดช่วยคนให้พ้นจากความทุกข์ เพื่อเก็บงานให้สมบูรณ์

    ขอเตือนสาธุชนชายหญิง รีบบำเพ็ญตนเพื่อคุ้มครองชีวิตตนเอง อย่าได้เห็นเป็นเรื่องล้อเล่น ฉวยโอกาสขณะได้เกิดเป็นคนที่มีความอิสระและสะดวกในการปฏิบัติ รีบขึ้นเรือธรรม ได้รับมหาธรรม

    ที่มา http://www.chongter.com/webboard/ind....msg312#msg312
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สิ่งที่เกิดคือโลกจะหยุดหมุน 1 กึ๊ก
    โดยลุงคนเชียงใหม่(ตอนนี้บวชเป็นพระอยู่ครับ)

    [​IMG]


    หลายคนไม่เชื่อและไม่เข้าใจว่า ทำไมมีคนพยายามบอกว่าน้ำจะท่วมโลก หลายคนหัวเราะท้องแข็ง ว่ามันจะเอาน้ำมาจากใหนตั้งเยอะแยะ ถึงได้ท่วมได้ต่อให้นำแข็งละลายหมดโลก ก็อย่างมากก็คงจะค่อยๆ ท่วมแล้วมันจะอันตรายตรงไหนวะอย่างมากก็อยู่เรือนแพ (มีเวลาเสมอภาคกันระหว่าง คนรวยกับคนจน คือหมดตัวเหมือนกัน)

    แต่ลองมองข้อมูลตรงนี้แล้ว เปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นนะครับทุกวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมากมายคือ เขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่จะมีนำท่วมขัง อยู่เป็นจำนวนมากมายหลายล้านล้านตัน มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โลกต้องใช้การไหลของดินชะของน้ำ เพื่อให้เกิดแบบสมดุลของมวลดินมวลน้ำตั้งหลายร้อยหลายล้านปีและค่อยๆเกิด จนโลกปรับการหมุนได้ ในระยะที่ผ่านมาโลกปรับตัวโดยการให้น้ำไหล ไปยังจุดที่สมดุลย์ไม่กวัดแกว่งจนเสียศูนย์ (แต่อีกประมาณ ไม่เกิน 2 ปี เขื่อนลำน้ำโขงของจีน และเขื่อนกั้นแม่น้ำแยงซีเกียง ของจีนก็จะเป็นเขื่อนเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำ ใหญ่มากที่สุดในโลก)

    การเสียศูนย์สมดุลย์ของโลก ในทุกมิติมีอย่างต่อเนื่องที่สำคัญคือด้านจิต คนที่สามารถฝึกจิตถึงระดับหนึ่ง เมื่อก้มลงแล้วลองกำหนดจิตลงมายังพื้นโลกจะสัมผัสกับดวงจิตที่ดำทะมึน รวมกันจากก้อนเล็กๆจำนวนมาก ภาพของสังคมที่เปลี่ยนไป จากจิตที่เต็มไปด้วยความ โลภ โกรธ หลง ที่มีพลังรุนแรงมากขึ้นคนจะทำชั่วง่ายขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ

    ***ล้อรถที่ถ่วงเพี้ยนไปไม่กี่กรัม ยังแกว่งตุปัดตุเป๋ ดังนั้นน้ำจำนวนขนาดที่หลายคนคิดว่าไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนมวลของโลก แต่อย่าลืมว่าล้อยางกับเหล็กถ่วงล้อรถ เทียบกันไม่ได้แต่มีผลมากมายกับระบบ***

    ..............................................................................
    เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากการปรับตัวของโลก
    ..............................................................................​

    สังเกตุนะความไม่สมดุลย์ก่อให้เกิด แผ่นดินไหว อย่างต่อเนื่องโลกพยายามปรับตัว แต่ไม่ได้ผลครับ ทำให้เกิดการสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง แล้วถึงจุดหนึ่งก็ต้อง reset ตัวเองหรือทั้งระบบ 1 ครั้งคือ จนต้องหยุดหมุนหรือเปลี่ยนองศาการหมุน สิ่งที่เกิดคือโลกจะหยุดหมุน 1 กึ๊ก หลายตนคิดว่าคงไม่เป็นไร แต่ผลกระทบคือมวลน้ำทะเลที่ไหลตามความเร็วโลกนั้น ในยามที่โลกหยุดหมุน (แบบหยุดกึ๊กเลย แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงและภูเขาไฟระเบิด ก้อนหินที่ทวีปตั้งวางอยู่ ที่เกิดการบดอัดกันของก้อนหินใหญ่ๆอย่างรุนแรง) หลังจากนั้น

    **************************************************
    เหตุการณ์ ดอกที่ 1

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโลกหยุด (แผ่นดินที่เป็นของแข็งหยุด แต่น้ำทะเลกลับไม่ยอมหยุด ยังคงเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วเท่าเดิม) ด้วยจำนวนการเคลื่อนที่มีเร็วเท่ากับการหมุนของโลกก่อนหยุดหมุน ทำให้น้ำทะเลกวาด (พูดเฉพาะประเทศไทยนะที่อื่นไม่ทราบ) ภาคใต้ทั้งหมด ภาคกลาง..........น้ำจากทะเลอันดามัน จะขึ้นฝั่งแถวเมาะตะมะของประเทศพม่า น้ำในอ่าวไทย.........จะถล่มเขมร ขึ้นฝั่งแบบเกือบหมดอ่าว

    เหตุการณ์ดอกที่ 2

    หลังจากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมง เมื่อโลกปรับสมดุลย์ได้แล้ว น้ำก็เริ่มไหลตามความลาดชั้นของพื้นที่ ทำให้สิ่งก่อสร้างที่ทนการกวาด ในแนวจากตะวันตกสู่ตะวันออก ต้องพังลงจากน้ำที่ไหลจากเหนือลงใต้อีกระลอกหนึ่ง และภาคใต้ ก็จะถูกวาดอีกครั้งกับคลื่นยักษ์ หลังจากน้ำทะเลจะถูกปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลย์จะเหลือคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง และที่เหลือส่วนใหญ่ก็จะตายจากไปด้วยการอดน้ำ

    **************************************************

    ลุงลำดับเหตุการณ์ให้ฟังก็แล้วกัน เพื่อจะได้เตรียมตัวถูก(ไม่ต้องเชื่อ)

    1. เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เหมือนล้อรถที่เสียสมดุลย์แกว่งอย่างน่ากลัว เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟที่ดับไปแล้วจะถูกอัดบดให้เกิดระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง

    2. โลกพยายามปรับสมดุลย์โดยอาศัยน้ำทะเลเป็นตัวช่วยจัดความสมดุลย์
    แต่ทำไม่มากนัก

    3.โลกหยุดกึ๊กหนึ่ง (เหตุการณ์ ที่สังเกตุได้คนจะล้มทั้งยืน ตึกอาคารจะพังเกลื่อนอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน)

    เสียงเตือนเหมือนวัวยักษ์ครางอือๆ อยู่ระงม ถึงตอนนี้ให้รีบหนีขึ้นที่สูงหรือภูเขาที่ไกล้ที่สุด ขอให้คนที่เตรียมพร้อมแล้ว อย่าเสียดายของที่พังลงไปแล้วขอให้เดินทางขึ้นเหนือให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ถนนหนทางยังพอเดินทางได้ ให้ไปไกล้ตอนเหนือของประเทศให้มากที่สุด

    หลังจากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะมีเสียงดังเหมือนพายุใหญ่ทั้งเมืองจะได้ยินพร้อมกัน ภาพน้ำก็จะข้ามภูเขามาถล่มเมือง เพื่อกวาดทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจมอยู่ใต้น้ำที่ไหลกรากอย่างรวดเร็ว ด้วยจำนวนน้ำจำนวนมหาศาล

    4.หลังจากนั้น น้ำก็เริ่มไหลย้อนกลับ ไปตามความลาดชัน ทำให้สิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกกวาดหายไปกับสายน้ำ

    5.หลังจากวันนั้น ผู้ที่ยังรอดอยู่จะต้องเดินไปสุดแสนไกล เพื่อแสวงหาน้ำจืดเพื่อจะได้นำมาดื่ม

    คนที่รอด เริ่มเจอซากศพของคนตายเกลื่อนเมือง ความหิวกระหาย หนาวเย็นเริ่มทำให้คนแก่งแย่งอาหาร เครื่องนุ่งห่มกัน คนเสียสติจากการพบเห็นซากศพ และความสูญเสียเต็มทางเดิน ที่คนที่เป็นผู้รอดผ่านไป

    .............................................................................

    *** เตรียมตัวนะครับลูกๆหลานๆ****

    การเดินทางของผู้รอด จากระยะที่ 1

    1.ต้องขึ้นเหนือให้เร็วที่สุด ถนนหนทางที่เคยมีจะไม่สามารถใช้ได้ (เข็มทิศจะมีประโยชน์ตอนนี้เอง) สิ่งที่เราเคยจดจำเพื่อเป็นจุดสังเกตุในการเดินทาง จากการถูกกวาดของน้ำจำนวนมหาศาล ผู้อยู่ไกลจะไปไม่ถึง เพราะน้ำดื่มจะหมดระหว่างทางและคนเจ็บ คนเสียสติ โจรจะแก่งแย่งอาหารกัน(ดังนั้นขอให้ตัดสินใจเดินทางหลังจากเกิดแผ่นดินไหวทันที ดีที่สุดคือรถมอเตอร์ไซต์จะไปได้ไกลที่สุด)

    2. ลุงฝากถึงทุกคนที่จะต้องเดินทาง ถ้าไม่แน่ใจจะไปทางไหนขอให้ใช้จุดสังเกตุที่ตรงไป คือควันที่ลอยไปถึงขอบฟ้า (น่าจะเป็นควันที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดแถวภาคเหนือตอนล่าง)

    3. ลุงจะส่งวิทยุคลื่นสั้น(วิทยุสื่สารระบบ VHF) สำหรับติดต่อทุกคนที่กำลังมีการจัดเตรียมจุดทวนสัญญานอยู่ไว้เป็นเครื่องมือนำทางสำหรับทุกคน...........(หลานของคุณลุงคงจะมาทำแทนในเรื่องนี้เพราะคุณลุงบวชเป็นพระไปแล้ว)

    *****มีเวลาเตรียมตัว อีกไม่นานนัก******

    แตยังพอมีเวลานะ เพียงแต่เริ่มก็พอมีความหวัง ลุงไม่กล้ากล่าวเอ่ยถึงนิมิตมาก เพราะคนที่มีระดับจิตสูงกว่าลุง มีมากมายเพียงแต่ลุงเน้นฝึกอนาคตังญานเป็นหลัก ในระยะที่ผ่านมาหรือญานในส่วนอื่นๆ อ่านจะอ่อนด้อยลงไป

    *************************************************
    ขอบารมีแห่งธรรมโปรดตัดรอน กรรมที่เบียดบังความเห็นชอบของท่าน

    *************************************************
    ส่วนใหญ่ที่นำมา post ในเว็บบอร์ดพลังจิต คือเกิดจากนิมิตของลุงเอง นำมารวมกับคำพยากรณ์และบอกเล่าของครูบาอาจารย์ เพราะลุงเองเห็นเหตุการณ์เป็นเพียงบางจุดเท่านั้นเอง

    ไม่ต้องเชื่อหรอกครับ ยิ่งคนที่ไม่เคยฝึกทางจิตจนสามารถสัมผัสกับโลกในมิติอื่นๆได้ยิ่งไม่เข้าใจ และยิ่งอธิบายก็คงเหมือนเล่าให้คนในป่าฟังเรื่องรถไฟฟ้าใต้ดิน เขาไม่เข้าใจหรอกครับ เพราะในความรู้สึกของเขาอย่างมากก็มีพวกใส้เดือน จิ้งหรีดเท่านั้นเองที่อยู่ใต้ดิน อย่าไปพยายามทำความเข้าใจเลยครับเหนื่อยเปล่า แต่เชื่อว่าคนในเว็บพลังจิตส่วนใหญ่จะเข้าใจ

    <!--test-->
    ที่มา http://palungjit.org/threads/คนไม่เข้าใจ-ว่าน้ำมาจากไหนกัน-ถึงท่วมโลกได้.65310/
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    โลกจะหยุดหมุนหนึ่งวินาที
    (สาส์นจากมนุษย์ต่างดาวถึงมนุษยชาติ)

    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --> <SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2240206", true); </SCRIPT>สมาชิก (แปลและเรียบเรียง)

    อะไรกำลังจะเกิดขึ้น?

    ที่โรงเรียนแห่งจิตวิญญาณ Borup แห่งนี้ เป็นโรงเรียนที่จะทำให้เข้าใจว่าอะไรกำลังจะเกิดกับมนุษยชาติ เพื่อที่จะทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจว่าสาเหตุของเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นจากอะไร และจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้อย่างไร สาเหตุของเหตุการณ์ที่ว่านี้ คงจะเรียกว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ได้ในช่วงแรกๆ เพราะว่ามนุษย์ยังไม่เข้าใจกฎแห่งชีวิต แต่เหตุการณ์นี้มันจะจบลงเมื่อถึงวันแห่งการกลับมาครั้งที่สองของเรา (My Second Coming)

    เราได้กล่าวแล้วว่า เราคือชีวิตและสัจธรรม และเราก็ได้กล่าวแล้วว่า ใครก็ตามที่ตามเรามาจะไปถึงพระผู้เป็นเจ้า หนทางสู่พระผู้เป็นเจ้าของมนุษย์คือโดยผ่านเรา เรื่องนี้เราได้สอนเอาไว้แล้ว และเราอยากให้พวกท่านเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ ผู้ใดที่ค้นหาเรา ผู้ใดที่พยายามค้นหาสัจธรรมของชีวิตโดยการฟังเสียงที่เราพร่ำสอนเอาไว้ ก็จะเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า

    ตอนนี้เราจะกลับมาหามนุษย์โลกอีกครั้งด้วยตัวเราเอง ด้วยกายเนื้อที่สมบูรณ์และกองทัพสวรรค์ดั่งที่ได้กล่าวเอาไว้นานแล้ว และเมื่อนั้นดาวเคราะห์โลก (จิตสำนึกของโลกและของชาวโลก) ก็จะถูกยกระดับสูงขึ้น ดังนั้นพวกเขาก็จะเข้าใจพระผู้เป็นเจ้าและความเป็นพระผู้เป็นเจ้าได้ดีขึ้น เพราะว่าตอนนี้พวกเราได้เข้ามาใกล้กันมากขึ้นแล้ว

    เพราะว่าเรากำลังมาหาพวกท่าน พวกท่านจะสามารถเข้าใจในพระผู้เป็นเจ้าได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เข้าใจว่าพระองค์คืออะไร และพระองค์หมายถึงอะไร มีชาวโลกมากมายที่ยังไม่เข้าใจว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง พวกเขามีลางสังหรณ์ พวกเขารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ลางสังหรณ์ที่เรากล่าวถึงหมายถึง สิ่งที่ผู้คนจำนวนมากมายรู้ไม่ค่อยชัดเจนว่าสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

    มันกำลังจะส่งผลร้ายอะไรมาสู่ตนเอง ส่วนคำว่ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าที่เรากล่าวถึง หมายถึง ผู้ที่รู้ตัวเองว่า พวกเขาได้ทำอะไรลงไป และมันจะส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขาและคนอื่นๆมนุษย์ควรจะได้รับอนุญาตให้ดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นอิสรเสรีอย่างแท้จริง และมนุษย์ก็จะได้รับอนุญาตให้ดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นอิสรเสรีอย่างแท้จริง

    มนุษย์จะได้รับอนุญาตให้สามารถสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาก็ได้ตราบเท่าที่ใจของมนุษย์สามารถจินตนาการสร้างมันขึ้นมาได้ เพราะว่าใครก็ตามที่สามารถจินตนาการอะไรขึ้นมาในใจของตนเองได้ ไม่ช้าไม่นานสิ่งนั้นมันก็จะกลายเป็นจริง ไม่มีอะไรที่มนุษย์สามารถคิดมันขึ้นมาได้แล้ว มันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้

    อะไรก็ตามที่ใจสามารถสร้างสรรค์มันขึ้นมาได้ มันก็จะสามารถถูกสร้างขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริงได้เช่นเดียวกัน มันเป็นพลังแห่งความคิด ซึ่งเป็นพลังแห่งการสรรค์สร้างที่แท้จริง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกท่านคงพร้อมที่จะเข้าใจแล้วว่า สิ่งต่างๆมันถูกสร้างขึ้นมาจากผู้ที่ไปถึงจุดแห่งความเจริญ ที่ไกลกว่ามนุษย์โลกมากแล้วนั้นได้อย่างไร ทำไมผู้ที่ผ่านบทเรียนแห่งชีวิตมามากกว่ามนุษย์โลก จึงประสบความสำเร็จในศาสตร์ต่างๆมากกว่ามนุษย์โลกเป็นไหนๆ

    เราได้สอนพวกท่านเกี่ยวกับกฎแห่งการจัดลำดับแล้วด้วย และพวกท่านก็มีความเข้าใจในระดับหนึ่งแล้ว พืชพันธุ์ทั้งหลายก็มีระดับของการจัดลำดับของมันเอง สรรพสัตว์ทั้งหลายก็มีของตัวเอง มนุษย์ก็มีของมนุษย์เอง การจัดลำดับเหล่านี้ขยายลึกลงไปถึงระดับจักรวาล และไปถึงรูปธรรมทรงภูมิปัญญาทั้งหลาย ที่มีระดับภูมิปัญญาสูงส่งเกินกว่าที่มนุษย์โลกจะใช้มาตรฐานใดๆที่ตัวเองมีอยู่ในปัจจุบันนี้มาประเมินได้

    เราได้กล่าวไปแล้วว่า มีดวงดาวหลายล้านดวงที่เตรียมพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือโลก และต้องเข้าใจว่าตอนนี้ดาวเคราะห์โลกกำลังจะยกระดับขึ้นสู่สภาวะของจิตสำนึกที่สูงขึ้น จิตสำนึกของดาวเคราะห์โลกใบนี้กำลังจะถูกยกระดับให้สูงขึ้น สิ่งนี้เราได้เคยสอนพวกท่านแล้ว และเรายังได้เคยกล่าวแล้วด้วยว่ากาแล็กซี่ทั้งกาแล็กซี่นี้กำลังจะถูกยกระดับขึ้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมดวงดาวหลายล้านดวงจึงกำลังเตรียมพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในเหตุการณ์นี้

    ดวงดาวหลายๆดวงในจำนวนที่กล่าวถึงนี้ อาจจะมาช่วยเหลือโลกโดยตรง ในสถานการณ์แห่งความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น ความเจ็บปวดที่มนุษย์โลกได้ร่ำร้องขอให้พระเจ้าลงโทษตัวเองมานานแล้ว สำหรับโรงเรียนแห่งนี้ที่ได้ตั้งขึ้น และได้เขียนถึงสิ่งกำลังจะเกิดขึ้นนี้ และหากพวกท่านจะคิดตามเราสักเล็กน้อย พวกท่านก็จะเข้าใจได้ดีขึ้นเกี่ยวกับปฏิบัติการครั้งยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่า “การกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์” (The Second Coming of Christ)​

    [​IMG]

    เราได้กล่าวไปแล้วว่าโลกจะหยุดหมุนหนึ่งวินาที และโลกก็จะหยุดหมุนหนึ่งวินาที จากนั้นมันก็จะหมุนต่อไป จากนั้นโลกก็จะคว่ำหัวลงแบบง่ายๆ ซึ่งนั่นก็จะทำให้ด้านต่างๆของโลกเปลี่ยนสลับกันไปโดยสิ้นเชิง และเราก็ได้กล่าวไปแล้วด้วยว่า ในขณะที่เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้น ชาวโลกจำนวนมากมาย จะถูกอพยพขึ้นไปอยู่บนยานอวกาศขนาดใหญ่จำนวนมากมาย ซึ่งท่านก็รู้ถึงขนาดความมหึมาของยานเหล่านี้แล้ว

    แต่เราอยากจะเตือนความจำพวกท่านด้วยว่า เมื่อมนุษย์โลกกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง มันจะเหลือแต่ความว่างเปล่า และความแห้งแล้ง ปราศจากพืชพันธุ์ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำอะไรได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือ ตอนนี้เราอยากจะให้พวกท่านคิดและจินตนาการถึงเสบียงอาหารจำนวนมหาศาลที่ถูกจัดเก็บไว้รอพวกท่านอยู่แล้ว เสบียงอาหารเหล่านี้มีปริมาณเพียงพอสำหรับชาวโลกที่จะกลับลงมาบนโลก ที่จะกินได้ไปเป็นปี

    ตอนนี้ท่านคงรู้แล้วว่าทำไมเราถึงเรียกสิ่งนี้ว่า “สาส์นแห่งควาสุข”(Message of Joy) ที่มันเป็นสาส์นแห่งความสุข ก็เพราะว่ามันมีความช่วยเหลือขนาดมหึมาที่จะมาถึง ความช่วยเหลือนี้จะมาถึงได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์โลกรู้จักที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสันติและปรองดองกัน และใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับกฎของพระผู้เป็นเจ้า โดยการเลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีสัตว์หรือมนุษย์คนใดที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะบาดแผลอีกต่อไป

    เพื่อเป็นการยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์โลกขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น จำเป็นจะต้องมีโรงเรียนสอนด้านจิตวิญญาณให้ เพื่อให้มีการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณอย่างเต็มที่ จิตสำนึกของมนุษยชาติต้องก้าวกระโดดไปสู่ความเข้าใจแบบใหม่อย่างอย่างสิ้นเชิง มันต้องเป็นไปในรูปแบบของการผ่าเหล่าทางจิตวิญญาณอย่างกะทันหัน ซึ่งการผ่าเหล่าทางจิตวิญญาณนี้ จะนำไปสู่การก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของวิทยาศาสตร์โลก ซึ่งหมายถึงมนุษย์โลกจะบรรลุเป้าหมายทางความรู้ครั้งยิ่งใหญ่

    เราสามารถกล่าวได้เลยว่า ความก้าวหน้าที่ว่านี้ อย่างน้อยๆ ก็ก้าวไกลเกินกว่าจินตนาการที่ไกลที่สุดของมนุษย์โลกในปัจจุบัน ที่จะสามารถจินตนาการไปถึงได้เลยทีเดียว เราได้ให้สัญญาเอาไว้แล้วว่า ในการกลับมาครั้งที่สองของเรานี้ มนุษย์จะไม่รู้จักการตาย และหลายๆคนอาจจะพูดว่า มันเป็นไปไม่ได้ ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ชั่วกาลนาน เราขอให้พวกท่านคิดตามเราอีกครั้งหนึ่ง แล้วท่านก็จะเข้าใจว่ามันเป็นไปได้

    ร่างกายของมนุษย์โลกสามารถซ่อมแซมตัวมันเองได้ เซลล์ใหม่ๆจะถูกสร้างขึ้นมาทดแทนเซลเก่าๆที่ตายไปแล้วตลอดเวลา เซลเม็ดเลือดใหม่ถูกสร้างขึ้นมาทดแทนเซลเม็ดเลือดเก่าด้วยตัวมันเอง ประดุจว่าเป็นร่างกายใหม่ (เพราะว่าเซลเก่าทั้งหมดตายไปแล้ว จึงเหลือแต่เซลใหม่ จึงเหมือนเป็นร่างกายใหม่แล้ว – Chayutt )

    แต่ว่า การแก่ เกิดขึ้นได้เพราะมนุษย์ไม่ได้เข้าใจถึงวิถีแห่งชีวิตและกฎแห่งชีวิต ด้วยเหตุนี้ เมื่อเซลร่างกายถูกสร้างขึ้นมาใหม่แทนที่เซลเก่าแล้ว ได้รับผลกระทบจากการแสดงออก และการกระทำที่ผิดต่อผู้อื่นของมนุษย์เอง และการกระทำผิดต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย มันจึงทำให้เกิดความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น เพราะว่ามนุษย์โลกทำผิดกฎข้อที่ร้ายแรงที่สุดข้อนี้ไป

    หากมนุษย์หยุดรับประทานเนื้อสัตว์เมื่อใด เซลร่างกายของมนุษย์จะซ่อมแซมตัวเองในวิถีทางใหม่ ที่แตกต่างไปจากที่ในขณะรับประทานเนื้อสัตว์ เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะได้รับความรู้ใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสินเชิง เกี่ยวกับโครงสร้างและส่วนประกอบภายในเซลร่างกายของมนุษย์เอง และมนุษย์จะรู้อย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถูกซ่อมแซมทางเคมีขึ้นมาใหม่อย่างไร

    ดังนั้น มนุษย์ผู้นั้นก็จะสามารถสร้างเซลร่างกายใหม่ขึ้นมาทดแทนได้ง่ายๆด้วยวิธีดังกล่าวนี้ บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์การแพทย์บริสุทธิ์ ซึ่งมนุษย์ผู้นั้นจะยังความอ่อนเยาว์และสดชื่นตลอดเวลา และนี่จึงเป็นสาเหตุว่าบางคนดูราวกับว่าอายุ 20 กว่าๆทั้งๆที่อายุจริง 800 – 900 ปี หรือแม้แต่แก่กว่านั้นแล้วก็ตาม

    นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล้ายืนยันกับพวกท่านว่า หลังจากวันนั้นแล้ว จะปราศจากซึ่งความตาย จะไม่มีการตายทางกายภาพเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้วหลังจากวันนั้น มันขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของพวกท่านเอง ที่จะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะเหตุนี้ เราจึงกำลังจะบอกกับท่านเรื่องนี้

    ความรู้ใหม่อันนี้ จะเผยตัวมันเองออกมาในหลายๆแง่มุม การแก่ของอายุที่เรากล่าวถึงนี้ มันเริ่มต้นจากความคิดของผู้นั้นเอง จากนั้นมันจึงออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เมื่อพลังแห่งความปรารถนาและความคิดก่อตัวขึ้นอย่างมหาศาล และเมื่อผู้นั้นได้ควบคุมพลังแห่งความปรารถนา และความคิดนั้นอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ผู้นั้นก็จะสามารถบังคับให้เกิดการกระทำและสิ่งต่างๆได้เองโดยลำพัง โดยอาศัยแรงแห่งความคิดและความปรารถนาของผู้นั้นเอง นี่คือสิ่งที่มนุษย์โลกทุกวันนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจ

    ที่มา http://palungjit.org/threads/การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก-เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก-ของมิตรจากต่างพิภพ-และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก.193101/page-9
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr1088.jpg
      obr1088.jpg
      ขนาดไฟล์:
      188.5 KB
      เปิดดู:
      12,518
    • obr2426.jpg
      obr2426.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.1 KB
      เปิดดู:
      15,089
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2009
  12. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    457
    ค่าพลัง:
    +956
    เรื่องนิมิต จริง แท้ ครับ
    ขอบคุณครับคุณ เกษม อาการของครั้งแรกเกิดขึ้นแล้วกับผมทั้งหมดเลยทั้งตาและหูแต่ว่าถึงยังไงผมก็ยังไม่เชื่อในนิมิตแม้ว่าจะชัดเจนแค่ไหนก็ตามเพียงเป็นเครื่องมือผ่านให้ปลงหรือเพียงรู้ว่าอันนี้ควรทำต่ออันนี้ทำแล้วไม่ดีก็วางซะถ้าไม่วางเวลาทำแล้วผลที่ได้รับมันจะดีหรือร้ายก็จะได้กลับมาเป็นปัญญาตัดสินเพียงตัวเองเท่านั้น เฝ้ามองแต่ตัวเอง ยับยั้งแต่ตัวเอง จะผิดจะถูกก็เพราะตัวเองกำหนดทั้งสิ้นไม่มีใครมากำหนดให้เราทำผิดได้ถูกได้ ที่บอกกล่าวมานี้หวังให้พี่ เกษม หาข้อมูลดีๆมาเพิ่มอีกครับ สาธุๆๆ กราบ
     
  13. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    *หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ*



    ***** ภัยธรรมชาติ *****


    .....................คำปรารภ................

    .........หนังสือเรื่อง "พุทธวงศ์ อายุขัยของมนุษย์ ภัยธรรมชาติ" เล่มนี้
    ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาและพิจารณาเปรียบเทียบกับสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่
    กำลังเกิดขึ้น ตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก ภัยธรรมชาติประเภทต่างๆที่กำลังเกิดขึ้น จะมีความรุนแรงมากขึ้น
    ที่ยัง ไม่ทันเกิดก็จะเกิดในไม่ช้านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามธรรมชาติในตัว ของมันเอง
    ไม่มีใครมีอำนาจควบคุมหรือบังคับสั่งการอะไรได้

    .........หากท่านผู้อ่านได้รับทราบเรื่องราวที่มีในหนังสือเล่มนี้ ถ้ามีข้อสงสัยประการใด สามารถ ติดต่อสอบถาม
    กับข้าพเจ้าได้โดยตรง ข้าพเจ้ายินดีที่จะให้ความกระจ่างในทุกเรื่องที่ได้เรียบเรียง ลงในหนังสือเล่มนี้

    .........ผู้มีปัญญาย่อมไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท สิ่งที่ผ่านมาก็ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไข อะไรได้
    ขอให้ทุกท่านได้ใช้เวลาที่มีอยู่ สร้างบุญกุศลบารมีตัวเองเอาไว้ให้มาก พวกเรามีโอกาส ได้เกิดมา
    ในยุคสมัยที่พระพุทธศาสนายังคงความบริบูรณ์อยู่ จงพากันตั้งใจหมั่นสร้างเสริมบุญบารมี ทาน ศีล
    และภาวนา ให้ถึงพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยนำพาท่านทั้งหลายข้ามพ้นวัฏฏะ อันเต็ม
    ไปด้วยความระทมทุกข์ ไปสู่ฝั่งพระนิพพานดังที่ได้ปรารถนาไว้โดยเร็วพลันด้วยเทอญ


    พระปัญญาพิศาลเถร
    (พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ)





    พุทธวงศ์



    .....ความเป็นอยู่ของโลก มีความเป็นมายาวนาน มนุษย์ที่เกิด
    ขึ้นมาในโลกนี้ก็มีความเป็นอยู่ที่ ยาวนานเช่นกัน โลกนี้เกิดขึ้นมาแต่เมื่อไรมนุษย์ก็มีอยู่ในโลกนี้มาแต่เมื่อ
    นั้น มนุษย์สามัญชน ธรรมดาไม่มีใครรู้ได้ ผู้จะรู้ความเป็นอยู่ของโลกและหมู่มนุษย์ได้ มีเฉพาะพระพุทธเจ้า
    องค์เดียว เท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้ามีญาณหยั่งรู้ในเรื่องของโลกและมวลหมู่มนุษย์ได้อย่างแจ่มแจ้งถูกต้อง ชัดเจน

    ...หลายๆท่านได้ศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์มาอย่างไร ก็ได้คำนวณคาดการณ์ไปว่า โลกได้เกิด ขึ้นแต่เมื่อนั้น
    หมู่มนุษย์ได้เกิดขึ้นในยุคนั้นยุคนี้ไป มีหนังสือออกเผยแพร่ให้คนทั้งหลายได้รู้กัน ทั่วโลก และมีคน
    ทั้งหลายให้ความเชื่อถือว่าเป็นจริงอย่างนี้และมีเหตุผลต่างๆเอามาเปรียบเทียบ เป็นข้อคิดให้เชื่อตาม
    จึงเชื่อกันไปตามพวกฝรั่งที่เขียนเอาไว้ และยังมีความเข้าใจว่าในจักรวาล อื่นหรือดาวต่างๆอาจจะมีสัตว์
    หรือมนุษย์ต่างดาวพอที่จะไปสัมผัสได้ จึงพากันเชื่อเครื่องมือทาง วิทยาศาสตร์อันทันสมัย เพื่อออกไป
    สำรวจดูตามความเข้าใจของตัวเอง นานหลายปีก็ไม่มีมนุษย์ ต่างดาวตามที่เข้าใจแต่อย่างใด ผู้ไม่มี
    เหตุผลเพื่อการศึกษา ก็มีความเชื่อตามๆกันไป เพราะเชื่อตามการวิจัยวิเคราะห์ของพวกฝรั่งที่ได้
    คำนวณเอาไว้ ในบางเรื่องพอเชื่อได้ ในบางเรื่องเชื่อไม่ได้

    ...ถึงข้าพเจ้าจะยกบุคคลขึ้นมาเป็นองค์ประกอบที่ชอบด้วยเหตุผล หลายๆคนก็จะไม่เชื่อถืออยู่นั่น เอง
    และมีความสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรเพราะในยุคนี้มีน้อยคนที่จะรู้ประวัติของพระพุทธเจ้าทั้ง หมดได้
    ข้าพเจ้าเองก็ได้ศึกษาประวัติของพระพุทฑเจ้ามา ถึงจะไม่รู้ทั้งหมดในคำสอนของพระ พุทธเจ้า
    ก็พอจะนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอธิบายให้ท่านรู้อยู่บ้าง ขอให้ท่านได้รับรู้กันด้วย เหตุและผล เรื่องที่ข้าพเจ้า
    จะนำมาอธิบายให้ท่านรู้ในขณะนี้มีเหตุผลเชื่อถือได้เพียงใด ให้เราทั้ง หลายใช้ปัญญาพิจารณาตรึกตรองดู
    ก็จะรู้ด้วยเหตุผลว่าโลกและมนุษย์มีความเกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน มีความยาวนานเท่าไร ให้จินตนาการดูก็จะรู้
    และมีความเข้าใจในโลกมนุษย์นี้เป็นอย่างดี มิใช่ว่าจะ เชื่อตามคนอื่นไปเสียทั้งหมด สิ่งใดควรเชื่อถือได้
    หรือเชื่อถือไม่ได้ ต้องใช้เหตุผลของตัวเอง เป็นหลักสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะเป็นนิสัยเชื่ออะไรที่งมงายไร้เหตุผลตลอดไป

    ...ในโลกนี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่มีญาณวิเศษรู้เห็น ว่าโลกทั้งสามนี้เกิดขึ้นแต่เมื่อไร พระสาวก
    ทั้งหลายไม่มีญาณหยั่งรู้เหมือนพระพุทธเจ้าได้ ที่เรียกว่าโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลกทั้งหมด
    รู้ความเป็นมาของโลกในอดีตถึงปัจจุบัน และรู้ความเป็นไปในเรื่องอนาคตของโลกนี้อย่างทั่วถึง
    ความรู้แจ้งโลกนี้
    จะมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น บรรดาพระอริยสาวกทั้งหลายมี
    ปัญญาญาณในการละกิเลสเท่านั้นพระพุทธองค์จึงเป็นครูสอนเทวดา มาร พรหม และมนุษย์ทั้งหลาย

    ....พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ในโลกนี้มีอยู่แสนโกฏิจักรวาล โลกที่พวกเราอาศัยอยู่ในขณะนี้ เป็น จักรวาลหนึ่งที่ตั้งอยู่
    ในท่ามกลางของแสนโกฏิจักรวาล และมีจักรวาลเดียวเท่านั้นที่มีสัตว์ประกอบ ด้วยธาตุสี่อาศัยอยู่ได้ มีการสืบพันธุ์
    ต่อกันได้ มีอาหารการกินที่สมบูรณ์ จะมีเฉพาะโลกมนุษย์ที่ อาศัยอยู่แห่งเดียวเท่านั้น ในจักรวาลอื่นไม่มีสัตว์
    ที่มีธาตุสี่อาศัยอยู่ได้เลย เพราะจักรวาลอื่นไม่มี พืชพันธุ์ธัญญาหารให้สัตว์โลกที่มีธาตุสี่อยู่กินและสืบพันธุ์
    ต่อกันเหมือนโลกมนุษย์แต่อย่างใด ใน จักรวาลอื่นเป็นเพียงจิตวิญญาณที่มีกรรมดีกรรมชั่วไปอาศัย
    อยู่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงกาล เวลากรรมที่ทำไว้หมดไป ก็จะได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์นี้อีก
    จึงเป็นวัฏจักรหมุนเวียนเกิด ตายในโลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุดลงได้

    ....เรื่องของกรรมในศาสนาพุทธไม่เหมือนศาสนาอื่น ที่ทำกรรมชั่วเอาไว้แล้วทำพิธีล้างบาป ตาย แล้วได้ไ
    ปอยู่กับพระเจ้าตราบชั่วนิรันดร์ หลักของศาสนาพุทธไม่มีการล้างบาป ผู้ทำบาปต้องได้ รับผลของบาป
    กรรมดีกรรมชั่วเป็นตัวกำหนดให้เป็นไป เว้นเฉพาะผู้ที่สิ้นอาสวะกิเลสเท่านั้นที่ไม่ ได้มาเกิดในภพทั้งสามนี้อีกต่อไป

    ....พระพุทธเจ้าที่อุบัติเกิดขึ้นบนโลกนี้ในอดีตที่ผ่านมามีเป็นจำนวนมาก ทุกพระองค์ล้วนแล้วได้ มาอุบัติเกิดขึ้น
    ในโลกมนุษย์นี้ทั้งนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือพระศรีอาริยเมตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป มีจำนวนมาก
    ทุกๆพระองค์ก็จะมาบำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์นี้ด้วยกัน เป็น ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะ ให้สมบูรณ์ใน
    โลกมนุษย์นี้ และได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน โลกนี้เช่นกัน

    ....ฉะนั้นจักรวาลที่โลกมนุษย์อาศัยอยู่ จึงเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งหลาย ผู้จะทำกรรมดี กรรมชั่ว ก็ต้องทำ
    ในจักรวาลนี้ทั้งนั้น เมื่อทำกรรมดี จิตวิญญาณก็ส่งผลให้ไปอยู่ในจักรวาลอื่นๆ ที่เรียกว่าเทวโลกหรือพรหมโลก
    ในชั่วระยะหนึ่ง เมื่อบุญกุศลได้หมดไปก็ได้กลับมาเกิดในโลก มนุษย์นี้อีก หรือทำกรรมชั่วเอาไว้ จิตวิญญาณก็
    จะได้รับผลในอบายภูมิ คือ นรก เปรต สัตว์ดิรัจฉาน อสุรกาย เมื่อกรรมชั่วหมดไปก็จะไก้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อีก
    จึงเป็นวัฏจักรที่จิตวิญญาณ ต้องหมุนเวียนไปมา ตามกรรมที่ทำไว้แล้ว เว้นแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
    และพระอริยเจ้า ผู้สิ้นอาสวะกิเลสได้แล้วอย่างสมบูรณ์เท่านั้น จึงไม่มีการเกิดในโลกทั้งสามนี้อีกต่อไป นี้เป็นหลัก
    ของพระพุทธเจ้าที่พร้อมด้วยเหตุและผล

    ....ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ในโลกมนุษย์นี้ หากมีการประดับประดาให้สุดสวยงามงอนเหมือน ราชรถก็ย่อม
    ทำได้ พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า ..."คนเขลาเท่านั้นข้องอยู่ คนฉลาดหาข้องอยู่ไม่"..

    ....เมื่อเราได้รับรู้ในคำตรัสของพระพุทธเจ้าแล้วอย่างนี้ เรามีความคิดเห็นเป็นประการใด ให้เราใช้ปัญญา
    พิจารณาดูตัวเองบ้าง อาจสำนึกได้ว่าเราเป็นผู้ฉลาดหรือเป็นคนเขลากันแน่ ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนเขลา
    เราจะฝึกสติปัญญามาสอนใจให้มีความฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริงได้อย่างไร ให้ใจมีความฉลาด
    รอบรู้ในหลักสัจจธรรมเอาไว้บ้าง ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนเขลา เราจะหาวิธีฝึกใจให้มีความฉลาดได้

    ....ถ้าเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ฉลาด โอกาสที่จะเป็นคนเขลานั้นมีสูง หายากมากที่คนเราเกิดมาจะมีความฉลาด
    มาพร้อมกัน จะต้องมีความเขลาติดตัวมาด้วย แล้วฝึกความฉลาดให้เกิดขึ้นในภายหลัง หรือเหมือนที่คน
    เกิดมาจะมีความดีถูกต้องไปเสียทั้งหมด ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกคนย่อมมีการทำผิด และพูดผิดมาก่อน
    แล้วนำมาเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขตัวเองให้มีการทำและการพูดที่ถูกในภายหลัง

    ....พระพุทธเจ้าเอาสัจธรรมมาสอนในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย มิใช่ว่าพระองค์จะเอามาจากที่อื่น เพราะ
    สัจธรรมความจริงมีอยู่ใตวเราอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม จึงได้เกิดความหลงและเกิดความ
    เข้าใจผิดคิดว่าสมบัติทั้งหลายเป็นของของเรา จึงเอาสมบัติของโลกมาทับถมใจตัวเองให้เกิดความทุกข์
    หรือเรียกว่าแสวงหาความสุขในเหตุที่เป็นทุกข์ฉะนั้น พระธรรมจึงเป็นของเก่ามีมาพร้อมกันกับมวล หมู่มนุษย์
    ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ผ่านมาก็เอาสัจธรรมความจริงที่มีอยู่ในตัวของ มนุษย์ทั้งหลาย
    นำมาสอนให้มนุษย์มีความรู้เห็นที่ถูกต้องในความจริง จึงเรียกว่า พระพุทธเจ้าได้ ค้นพบหลักสัจธรรม
    ในหมู่มนุษย์ แล้วสอนให้ทุกคนดูสัจธรรมที่มีอยู่ในตัวเอง ว่าทุกอย่างมีความ เป็นจริงอย่างนี้ด้วยสติปัญญาเฉพาะตัว
    </pre>

    ......................................................................................@....@.....................................................................................



    อายุขัยของมนุษย์


    ....เมื่อพูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าที่ได้อุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้หลาย
    พระองค์ที่ผ่านมา หลายคนอาจมีความ สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร ก่อนจะอธิบายประวัติของพระพุทธเจ้า
    ให้ท่านได้รู้ จำเป็นต้องอธิบายใน ความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่ให้เข้าใจ เพราะพระพุทธเจ้า
    ที่ได้อุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้ มนุษย์มีอายุขัยแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เท่ากัน
    บางยุคมนุษย์มีอายุขัยน้อย บางยุคมีอายุขัยมากไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าก็ต้อง
    มีอายุขัยที่เป็นไปใน หมู่มนุษย์ตามยุคนั้นๆ อายุขัยของหมู่มนุษย์ไม่เท่ากัน เพราะเป็นกฎเกณฑ์ของ
    ธรรมชาติต้องเป็น อย่างนี้ มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้อาจไม่รู้หรือไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ถึงอย่างไรขอให้ท่าน
    ได้พิจารณา ด้วยปัญญาที่มีเหตุผล อย่าเพิ่งปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นไปแล้วในอดีตที่ผ่านมา ถ้าผู้ได้ ศึกษา
    หนังสือพุทธวงศ์ จะรู้ในเรื่องของพระพุทธเจ้าแต่ละยุคได้ดีและมีความเข้าใจในอายุขัยของ หมู่มนุษย์ในยุคนั้นๆ

    ....อายุขัยของมนุษย์แต่ละยุคไม่เท่ากัน ในบางยุคมนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น ในบางยุคมนุษย์มีอายุขัย ขาลง
    มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้นมีอายุขัยขาลงเป็นอย่างไรท่านจะได้รู้ในหนังสือเล่มนี้ พระพุทธเจ้าที่มา
    อุบัติเกิดขึ้นในโลกก็จะอธิบายเอาไว้พอเป็นตัวอย่าง คำว่า มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้นและขาลงมีเพดาน กฎเกณฑ์
    เอาไว้ดังนี้

    ....มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น หมายถึง ยุคมนุษย์ที่มีอายุขัยยาวนานที่สุด ๑ ล้านปี เป็นอายุขัย
    อายุขัยของมนุษย์ขาลงต่ำสุดมี ๑๐ ปีเป็นอายุขัย...
    อายุขัยขาขึ้นและขาลงจะเป็น
    กฎธรรมชาติในตัวมันเอง มนุษย์ทั้งหลายจะมีอายุขัยเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ของธรรมชาตินี้ด้วยกัน
    เรียกว่ากฎเกณฑ์ของอายุขัย ไม่มีสิ่งใดๆเปลี่ยนแปลงได้เลย มนุษย์และสัตว์ จะเป็นไปตามธรรมชาติ
    เป็นวัฏจักรหมุนเวียนวนไปมาอยู่อย่างนี้ เมื่อมนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น รูปร่าง สูงใหญ่ไปตามอายุขัย
    ที่มากขึ้น เมื่อมนุษย์มีอายุขัยขาลง รูปร่างก็เตี้ยและเล็กลงตามอายุขัยในยุคนั้นๆ

    ....การคำนวณอายุขัยของมนุษย์ขาขึ้นและขาลงมีดังนี้ สมมติว่ามนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย อีก ๑๐๐ ปี
    อายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปี เป็น ๑๑ ปีเป็นอายุขัย อีก ๑๐๐ ปี อายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปี มนุษย์จะมีอายุขัย ๑๒ ปีตาย
    ๑๐๐ ปีอายุขัยเพิ่ม ๑ ปี เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ มนุษย์จะมีอายุขัย ๒๐ ปีตาย ๑๐๐ ปีตาย
    ๑ พันปีตาย ๑ หมื่นปีตาย ๑ แสนปีตาย ๑ ล้านปีตาย นี้เป็นเพดานสูงสุดในอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นๆ

    ....จากนั้นก็จะเกิดอาเพท มีความประมาทในชืวิต อายุขัยก็จะถอยกลับลงมา ๑๐๐ ปี อายุขัยของ มนุษย์จะ
    ลดลง ๑ ปี ๑๐๐ ปีอายุขัยลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆจนอายุขัย ๑ แสนปี ๑ หมื่นปี ๑ พันปี ๑๐๐ ปี
    และลงสู่อายุขัย ๑๐ ปี ซึ่งจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่อย่างนี้ เรียกว่า วัฏจักรอายุขัย
    ของหมู่มนุษย์ทั้งหลาย

    ....ในหลักธรรมชาตินี้มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นได้รู้ด้วยญาณของพระองค์เอง จึงเป็นโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
    อย่างเปิดเผยด้วยญาณรู้ของพระองค์ นี่ก็เป็นหลักสัจธรรมที่เป็นจริง เราทั้งหลายควรศึกษาให้รู้เอาไว้
    หรือเอามาเป็นอุบายสอนใจตัวเองว่า วัฏจักรของชีวิตมีความเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีสิ่งใด
    ถาวรเที่ยงแท้แน่นอนได้ เพราะทุกอย่างตกอยู่ในอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ด้วยกันทั้งนั้น


    ....มีเหตุผลประกอบอีกเรื่องเกี่ยวกับอายุขัยของมนุษย์ที่มีขาขึ้นขาลง ในหลักของพระพุทธศาสนา
    จะอธิบายเรื่องของพระพุทธเจ้าในอดีตที่ผ่านมา ให้เราได้ศึกษาเอาไว้เพื่อประกอบการวินิจฉัย
    ในอายุขัย ของหมู่มนุษย์ทั้งหลายที่ผ่านมา ให้รู้ว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าที่อุบัติ
    เกิดขึ้นในโลกนี้มีจำนวนมาก พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น แต่ละองค์มาตรัสรู้เป็น
    เวลาห่างกันมาก ในภัทรกัปหนึ่งๆมีเวลายาวนาน ถึงจะมีภัทรกัปเท่ากันในบางภัทรกัปพระพุทธเจ้า
    มาตรัสรู้ ๑ องค์ เมื่อโปรดสัตว์แล้วก็นิพพาน ต่อจากนั้นก็จะเป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพุทธศาสนา
    เป็นเวลาอันยาวนาน ในบางภัทรกัปมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๓ องค์ ความว่างเป็นสุญกัปก็น้อยลง



    http://www.watsanfran.com/library/luangpor_books/2550_natural_disaster/natural_disaster_th.pdf
     
  14. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    ....ขอยกตัวอย่างในภัทรกัปปัจจุบันนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ร่วมสมัยมี ๕ พระองค์ด้วยกัน แต่ละพระองค์
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้มีอายุขัยไม่เท่ากัน

    ....พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ พระกกุสันโธ พระองค์ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก ช่วงนั้นมนุษย์
    มีอายุขัย ๔ หมื่นปี เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็เข้าสู่พระนิพพาน จากนั้นมาเป็นสุญกัป เป็น
    กัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นมี ๔ หมื่นปี ๑๐๐ ปีอายุขัยของมนุษย์ดลดลง
    ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆจนถึงมนุษย์ในยุคต่อมา มีอายุขัย ๓ หมื่นปี ในยุคนี้มี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒
    พระโกนาคมะโน
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

    ....จากนั้นมาก็เป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑๐๐ ปี
    อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ ในยุคต่อมามนุษย์มีอายุขัย ๒ หมื่นปี ในยุคนั้นมี
    พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ พระกัสโป ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้ว
    ก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน อายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปี จนถึงอายุขัยของ
    มนุษย์ในยุคนั้น ๑๐๐ ปีเป็นอายุขัย ในยุคนี้ มี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ พระสมณโคดม (องค์ปัจจุบัน)
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

    ....พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้วางศาสนาต่อเอาไว้อีก ๕ พันปี ขณะนี้พระพุทธศาสนามาถึง ๒๕๕๐ ปี
    อีก ๒๔๕๐ ปี พระพุทธศาสนาจะสูญไปจากโลกนี้ จากนั้นจะเป็นสุญกัปเป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา
    ยาวนาน คำว่า "ว่าง" คือไม่มีใครรู้ในพุทธวจนะ ไม่รู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง
    ถึงพระพุทธศาสนาจะหมดไปจากโลกนี้แล้วก็ตาม แต่สัจธรรมคือความจริงยังมีอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่มีใครรู้
    เหมือนยุคสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ในยุคนั้นมีสัจธรรมอยู่ประจำโลก แต่ก็ไม่มีใครรู้
    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงนำเอาสัจธรรมคือความจริงนั้นๆมาประกาศให้คนได้รู้ในภายหลัง
    เป็นอันว่าในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าได้มาตรัสรู้โปรดสัตว์แล้ว ๔ พระองค์ (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕
    คือ พระศรีอาริยเมตไตรย์ ยังไม่มาอุบัติในช่วงนี้)

    ....กฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าจะได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ จะมีอยู่ในช่วงอายุขัยของมนุษย์ขาลง
    เท่านั้น และอายุขัยของมนุษย์ไม่เกิน ๑ แสนปี และมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี

    ....จากนี้ไป อายุขัยของมนุษย์จะลดลงเรื่อยๆ ๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปี เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๕๐ ปี
    พระพุทธศาสนาก็จะสิ้นสุดลง นับจากนี้ไปอีก ๖ พันกว่าปี มนุษย์จะมีอายุขัย ๑๐ ปีตาย ในยุคนั้น
    หนุ่มสาวจะแต่งงานกันเมื่ออายุ ๓ ปี ตั้งครรภ์ ๓ เดือน นับจากวันนี้ไปถึงวันนั้นยาวนาน มนุษย์ทั้งหลาย
    ทั่วโลกจะมีอายุขัยในช่วงเดียวกันทั้งหมด นี้เป็นหลักพุทธศาสตร์ ถ้าหากชาวพุทธได้ศึกษาในพระ
    พุทธศาสนาดีแล้วจะรู้เรื่องนี้ดี ที่พวกฝรั่งจะทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวออกไปนั้น เป็นความคิด
    ความเห็นของท่านเหล่านั้น เมื่อหลักพุทธศาสตร์กับหลักวิทยาศาสตร์ไม่ตรงกันอย่างนี้ เราจะเชื่อ
    ฝ่ายไหน ให้เราวินิจฉัยใช้สติปัญญาคิดพิจารณาในเหตุผลและตัดสินใจเชื่อด้วยตัวเองก็แล้วกัน

    ....เมื่อถึงยุคมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย จะเกิดกลียุค เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมยุคใหม่ เป็นสังคมมนุษย์
    ที่มีอายุขัยขาขึ้น ก่อนจะเกิดสังคมมนุษย์ในยุคใหม่จะเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ในยุคนั้นๆ
    ทุกคนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงฆ่ากันด้วยอาวุธต่างๆ เห็นกันอยู่ที่ไหนจะฆ่ากันในทันที ไม่มีใคร
    ยอมใคร ผัวเมียและทุกๆคนจะมีความเห็นว่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

    ....ก่อนที่จะเกิดกลียุคประมาณ ๑๐ ปี จะมีเทพอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะมาสืบทอดสังคมในยุคนั้น จะพากัน
    ลงมาเกิดในสังคมที่มีอายุขัย ๑๐ ปีนี้มากมาย แล้วจึงได้เกิดกลียุคขึ้นกลุ่มเทพที่เกิดมาก็พากันหลบหนี
    ไปอยู่ที่ปลอดภัย ปล่อยให้พ่อแม่ญาติทั้งหลายฆ่ากันตายหมดแล้ว จะมีฝนตกลงมาชะล้างซากศพ
    คราบเลือดกลิ่นคาวที่ตกค้างในผืนแผ่นดินไหลลงสู่มหาสมุทรสุดสาครจนหมดสิ้น จากนั้นจะมีลม
    พัดพาเอาแก่นคู่แก่นจันทร์อันเป็นทิพย์ ที่หอมอบอวลลงมาจากสวรรค์โปรยลงมาเป็นบรรยากาศที่
    บริสุทธิ์ พร้อมด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีความอุดมสมบูรณ์ในสมัยครั้งนั้น

    ....จากนั้น หนุ่มสาวทั้งหลายที่ไปหลบภัยกลียุคในป่าเขา ก็พากันออกมาสู่สถานที่เดิมเป็นหมู่ใหญ่
    และมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีคุณธรรมด้วยกัน จึงจัดตั้งหัวหน้าเป็นผู้นำทำพิธีจัดคู่
    หนุ่มสาวเหล่านั้นให้เป็นผัวเมียกันตามประเพณีในยุคนั้น แล้วพากันรักษาศีลกรรมบท ๑๐ อย่างสมบูรณ์
    เคร่งครัด (ศีลกรรมบท ๑๐ แบ่งเป็น ๓ หมวด ๑. กายกรรม ๓ , ๒. วจีกรรม ๔ , ๓. มโนกรรม ๓)

    ....ลูกหลานที่เกิดมาก็พากันรักษาศีลกรรมบท ๑๐ สืบทอดต่อกันมายาวนานถึง ๑๐๐ ปี จากนั้น
    อายุขัยได้เพิ่มขึ้น ๑ ปี เป็น ๑๑ ปีตาย ๑๐๐ ปีอายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปีเป็น ๑๒ ปีตาย อายุขัยเพิ่มขึ้น
    ๑ ปีต่อ ๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์มีอายุขัยเพิ่มขึ้น ๒๐ ปีตาย ๕๐ ปีตาย ๑๐๐ ปีตาย ๑ พันปีตาย
    ๑ หมื่นปีตาย ๑ แสนปีตาย ๑ ล้านปีตาย เมื่อมนุษย์มีอายุขาขึ้นนี้จะไม่มีพระพุทธเจ้า
    มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้เลย
    ให้เราคิดคำนวณดูเองว่า นับแต่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย
    ๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนมนุษย์มีอายุขัย ๑ ล้านปี ให้เราคิดคำนวณดูว่ามีความยาวนานกี่ปี ในช่วงนี้
    จะเป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนายาวนานทีเดียว สังคมมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นและอยู่ร่วมกัน
    อย่างมีสุขในยุคนั้นๆ

    ....เมื่อถึงยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ๑ ล้านปี จะเกิดอาเพศเกิดขึ้น มนุษย์ทั้งหลายจะเกิดความเบื่อหน่าย
    ในชีวิตอันเป็นอยู่ที่ยาวนาน มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน ชีวิตจึงได้เกิดความแปรผันลดลง ๑๐๐ ปี
    อายุขัยลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ เป็น ๙ แสนปีตาย ๘ แสนปีตาย ๑ แสนปีตาย ในช่วงที่มนุษย์มีอายุขัย
    ๑ แสนปี จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ได้ ถ้าอายุขัยของมนุษย์
    เกิน ๑ แสนปีขึ้นไป จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้แต่อย่างใด ถือว่ามนุษย์ในยุคนั้น
    ยังมีความเพลิดเพลินในความเป็นอยู่ของชีวิต มีความสุขสบายในลาภ ยศ สรรเสริญ และมีความสุข
    ในกามคุณ ไม่มีความทุกข์ใดๆ ด้วยเหตุดังนี้ จึงไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้น



    .............................................................................@...............@...........................................................................................




    ....ยุคศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย์....

    ....จากนั้นอายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ ลดลงจนอายุ ๘ หมื่นปีเป็นอายุขัย ในช่วงนี้เองพระศรี
    อาริยเมตไตรย์จะได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก ผู้ที่ได้บำเพ็ญบุญบารมีมาแล้ว ก็จะได้มาเกิดในยุคนี้ทั้งหมด
    หรือผู้ได้บำเพ็ญบุญบารมีในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์อื่นที่ผ่านมา มีความปรารถนาขอ
    ให้เกิดร่วมศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย์ ก็จะได้มาเกิดร่วมกันในยุคนี้ทั้งหมด แล้วจะได้ฟังธรรม
    จากพระศรีอาริยเมตไตรย์ จนได้เกิดปัญญาญาณหยั่งรู้ในสัจธรรมตามความเป็นจริง ผู้ทีบารมียังไม่สมบูรณ์
    ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบัน ขั้นพระสกิทาคามี ผู้มีบารมีมากก็จะได้บรรลุธรรม
    เป็นพระอนาคามี เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็จะได้ไปเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง เมื่อถึงกาลเวลา
    ก็จะได้นิพพานในชั้นพรหมนี้ต่อไป เมื่อผู้มีบารมีที่สมบูรณ์แล้วก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
    เข้าถึงพระนิพพานตามพระศรีอาริยเมตไตรย์ไปในกาลครั้งนั้น

    ....ในยุคนั้น พระศรีอาริยเมตไตรย์ไม่ได้วางศาสนาเอาไว้เหมือนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพราะ
    ผู้มีบารมีที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้บรรลุธรรมตามพระศรีอาริยเมตไตรย์ไปทั้งหมดแล้ว เรา
    อาจเป็นคนหนึ่งที่ได้บรรลุธรรมตามพระศรีอาริยเมตไตรย์ไปก็เป็นได้

    ....ในยุคปัจจุบันนี้มีผู้ปรารถนาไปเกิดร่วมศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย์เป็นจำนวนมาก ขอให้
    สมปรารถนาในหมู่ศรัทธาทั้งหลายด้วย แต่ทว่า เพียงปรารถนาอย่างเดียวไม่บำเพ็ญบารมีไว้ ก็จะไม่
    สมความปรารถนาแต่อย่างใด จงพากันบำเพ็ญทาน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ เข้าไว้ หรือภาวนาปฏิบัติให้เกิด
    สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ให้ถูกต้อง เพราะคำสอนของ
    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ผ่านมาจนถึงองค์ปัจจุบัน และพระศรีอาริยเมตไตรย์หรือพระพุทธเจ้าที่จะ
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในอนาคตภายภาคหน้า หลักคำสอนก็จะเริ่มต้นจากสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
    ด้วยกันทั้งนั้น จึงเป็นการเริ่มต้นในการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง

    ....ในยุคนี้มีผู้เขียนวิธีการปฏิบัติเอาไว้ มีหลายวิธีด้วยกัน หนังสือแต่ละเล่มก็ได้อ้างอิงว่าเป็นคำสอน
    ของพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น ทำให้หลายคนในยุคนี้เกิดความสับสน การปฏิบัติจะเอาวิธีไหนกันแน่
    จึงเกิดความลังเลไม่แน่ใจ ผู้ปฏิบัติธรรมในยุคนี้ส่วนมากจะมีความเห็นว่าต้องเริ่มต้นจากการทำสมาธิก่อน
    และสอนกันอย่างนี้เป็นจำนวนมาก สอนกันว่า นั่งสมาธิไปเถอะเมื่อจิตมีความสงบแล้วจะมีปัญญา
    เกิดขึ้นเอง นี้เป็นคำสอนที่ไร้เหตุผล ผู้สอนไม่ได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้าเลย หรืออ่านอยู่ก็ตีความ
    ในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามแนวทางในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสเอาไว้
    ....เช่นในความหมายที่ว่า นั่งสมาธิให้จิตมีความสงบแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นนั้น ในวิธีการสอนอย่างนี้
    ไม่มีตัวอย่างในสมัยครั้งพุทธกาลเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนใครในที่ไหนแต่อย่างใด

    ทำไมในยุคนี้จึงสอนกันในลักษณะนี้ ผู้สอนอาจได้ไปอ่านประวัติตอนที่พระองค์ไปทำสมาธิอยู่กับ
    ดาบสทั้งสอง แล้วตีความหมายไปว่า พระพุทธเจ้าทำสมาธิก่อนอย่างนี้หรือ ที่พระองค์ทำสมาธิมาก่อน
    ก็จริง แต่เมื่อจิตของพระองค์มีความสงบเป็นสมาธิอย่างเต็มที่แล้วปัญญาของพระองค์ก็ไม่ได้เกิดขึ้น
    แต่อย่างใด ทำไมการทำสมาธิของพวกเราในยุคนี้จะมีความสงบอันยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่าพระพุทธองค์
    ปัญญาจะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ การตีความหมายในคำสอนของพระพุทธเจ้าสับสนโยงกันไปโยงกันมา
    จึงได้เกิดปัญหาแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายในยุคปัจจุบัน

    ....การภาวนาปฏิบัติทุกคนก็ว่าจะทำตามเยี่ยงอย่างในคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อภาวนาปฏิบัติจริง
    กลับไม่เป็นไปตามคำสอนของพระองค์แต่อย่างใด แต่ไปเอาเยี่ยงอย่างของพวกดาบสฤาษีกันทั้งนั้น
    มีดาบสฤาษีองค์ไหนที่ทำสมาธิให้จิตมีความสงบแล้วมีปัญญาเกิดขึ้นบ้างเล่า ถึงพระองค์จะเคยทำ
    สมาธิมาก่อนในช่วงนั้นพระองค์ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด ในนามก็เป็นพระสิทธัตถะ
    ภิกขุเท่านั้น แม้พระองค์ได้บำเพ็ญปัญญาบารมีมาแล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อพระองค์ทำสมาธิจิตมีความสงบ
    ถึงที่สุดแล้ว ปัญญาที่พระองค์เคยได้บำเพ็ญมาก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด

    ....ให้เราทั้งหลายไปศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าเสียใหม่ และตีความ
    หมายในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ ให้เป็นไปในหลักสัมมาภาคปริยัติที่ถูกต้อง
    แล้วนำมาปฏิบัติ ก็จะเกิดสัมมาในภาคปฏิบัติ อันเป็นแนวทางที่จะเข้ากระแสแห่งมรรค ผล นิพพาน ต่อไป



    ........................................................................................@..............@.....................................................................................


    .......** ยุคภัยธรรมชาติที่รุนแรง **.......

    ....โลกที่เราอยู่มีภัยนานาประการอันเป็นผลกระทบต่อชีวิต ทำให้ได้รับความทุกข์จากภัยธรรมชาติ
    เป็นอย่างมากทีเดียว หลายชาติในอดีตได้เจอกับภัยธรรมชาติมาแล้ว เมื่อเกิดมาในชาตินี้ ขณะที่
    ภัยธรรมชาติยังไม่มาถึงตัวเราก็ไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่อีกไม่นานนัก เมื่อเราได้มาเกิดในโลกนี้อยู่บ่อยๆ
    ชีวิตก็ต้องเจอกับภัยธรรมชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีขึ้น
    ในโลกมนุษย์มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้น ในยุคต่อไป จะมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก จะไม่
    มีใครในโลกนี้เอาชนะภัยธรรมชาตินี้ได้แต่อย่างใด

    ....ภัยธรรมชาตจะเกิดขึ้นในตัวมันเอง เป็นภับธรรมชาติที่มีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหนๆ

    เมื่อโลกนี้ได้เกิดขึ้นมานานหลายล้านๆปี ถึงกาลสมัยเปลือกโลกเสื่อมหมดคุณภาพลง เกิดขึ้นใน
    สถานที่มีมนุย์อยู่อาศัย จะเกิดขึ้นน้อยหรือเกิดขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นอยู่ตามกฎเกณฑ์ของโลก

    ....ภัยธรรมชาติที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่
    อายุขัยของมนุษย์ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป
    จะทำให้มนูษย์ทั้งหลายได้ตายเป็นจำนวนมาก
    หากมนุษย์มีอยู่ในโลกประมาณ ๒ หมื่นล้านคน จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น
    มนุษย์จะล้มตายจากภัยธรรมชาตินี้ จะหาที่หลีกหนีไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่รอดได้ประมาณ ๓๐ เปอร์เซนต์
    ของประชากรโลก แล้วเริ่มตันชีวิตใหม่ โดยไม่มีวิ่งอำนวยความสะดวกสบายเหมือนยุคปัจจุบัน


    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดต่อเนื่องต่อกันยาวนาน จะหลบจากภัยธรรมชาติในจุดหนึ่งได้แล้ว ก็ไป
    เจอกับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอีก ภัยธรรมชาตินี้มีอยู่เป็นจุดใหญ่ ๘ จุดด้วยกัน คือ

    ๑. วาตภัย จะเกิดลมพายุใหญ่ทั้งบนบกและในทะเล
    ๒. อุทกภัย จะเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง
    ๓. ธรณีภัย จะเกิดแผ่นดินถล่มและแผ่นดินไหว
    ๔. อัคคีภัย จะเกิดความแห้งแล้ง ไฟไหม้ป่า
    ....ส่วนภัยธรรมชาติอย่างอื่นก็จะเกิดตามมา เช่น
    ๕. มลพิษภัย จะเกิดมลภาวะที่ร้ายแรง มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสัตว์เป็นอย่างมาก
    ๖. โรคภัย จะเกิดโรคระบาดนานาชนิด
    ๗. อาหารภัย จะเกิดการอดอยากในอาหาร
    ๘. โจรภัย ภัยจากกลุ่มคนพาลปล้นจี้ลักขโมย


    http://www.watsanfran.com/library/luangpor_books/2550_natural_disaster/natural_disaster_th.pdf
     
  15. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    ....ภัยธรรมชาติทั้งหลายนี้จะทำให้มนุษย์ในยุคนั้นอยู่กันด้วยความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างมากทีเดียว
    ทั่วทุกมุมโลกจะมีภัยธรรมชาตินี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทุกประเทศเขตแดนจะไม่มีใครช่วยเหลือกันได้เลย
    ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้อย่างทั่วถึงกัน

    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีทุกฤดูกาล ฤดูแล้ง ฤดูฝน ฤดูหนาว จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เกิด
    ขึ้นในที่ไหนจะทำให้เกิดความเสียหายในที่นั้นๆเป็นอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วาตภัย
    เป็นภัยที่มาอันดับหนึ่ง ถ้าไม่มีฝนตกลงมา ลมก็จะพัดเอาน้ำมหาสมุทรเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ทำให้
    เรือน้อยใหญ่ไม่สามารถวิ่งฝ่าคลื่นน้ำขนาดใหญ่ไปได้ เรือพวกพ่อค้าวาณิชที่เคยส่งน้ำมันส่งอาหาร
    จากประเทศนั้นไปสู่ประเทศนี้ก็จะจอดนิ่งทันที ถ้ามีบ้านเรือนที่ปลูกชิดกันกับชายฝั่งก็จะมีผลกระทบ
    อย่างแน่นอน ประชาชนจะมีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

    ....นี้เป็นส่วนหนึ่งที่วาตภัยทำให้น้ำในทะเลเกิดความแปรปรวน จะเป็นอยู่อย่างนี้ติดต่อกันยาวนาน
    ต่อเนื่องกันทั้งกลางคืนและกลางวัน ลมที่อุ้มเอาน้ำทะเลให้เป็นคลื่นขนาดใหญ่พัดไปมา ประชาชน
    ที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลจะมีความเดือดร้อน ซึ่งเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ประชาชนได้รับผลกระทบ
    จากลมที่พัดเอาน้ำทะเลทำให้เกิดความเสียหายมาแล้ว ในช่วงต่อไปไม่นานนักมนุษย์ที่อยู่ริมฝั่งทะเล
    ก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน จะทำให้ทรัพย์สินเสียหายและมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมากทีเดียว
    นี้คือน้ำท่วมอันเนื่องจากลมเป็นต้นเหตุ

    ....วาตภัยที่เกิดขึ้นในตัวของมันเอง ไม่มีน้ำทะเล ไม่มีฝนตกลงมา ลมนี้จะพัดพาไปในทิศทางต่าง
    ของตัวลมเอง ไม่มีสิ่งใดๆจะไปขัดขวางห้ามได้ ถ้าพัดเข้าไปในป่าจะทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่น
    ทำลายทรัพยากรป่าไม้เป็นอย่างมาก ถ้าลมได้พัดเข้าที่ชุมชนอยู่อาศัยจะทำให้บ้านเรือนพังพินาศไป
    คนจะขาดที่อยู่อาศัยหรือล้มตายเพราะอาคารบ้านช่องพังทับถม

    ....ลมที่ว่านี้จะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ ชื่ออะไรไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือ ความรุนแรงของลมแต่ละอย่าง
    จะทำให้เกิดความเสียหายเหมือนกัน วาตภัยจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วทุกหนแห่งของมุมโลก มนุษย์จะ
    มีความทุกข์เดือดร้อนเพราะลมไม่น้อย เงินของรัฐบาลจะสร้างบ้านที่พักอาศัยให้ทุกครอบครัวจึงทำได้ยาก
    เพราะบ้านได้พังเสียหายเนื่องจากลมที่มีความรุนแรง จึงยากที่จะได้รับความสงเคราะห์ให้ทั่วถึงกันได้
    ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีผลกระทบจากลมอย่างรุนแรงในภายภาคหน้าโน้น

    ....วาตภัยเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีฝนตกลงมา จะเป็นพลังบวกกับลมอย่างรุนแรง ถ้าฝนตกลงมาแรง
    ลมก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดน้ำท่วมในที่ต่างๆอย่างกว้างขวาง ถ้าบ้านปลูกในที่ต่ำ น้ำก็จะ
    ท่วมอย่างหลีกหนีไม่ได้ ทั้งลมก็พัดทำให้บ้านเรือนเกิดความเสียหาย ทั้งน้ำก็ท่วมบ้าน ทรัพย์สิน
    ทั้งหลายเกิดความเสียหาย เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆพอจะนำเอาติดตัวมาได้เลย
    คนก็จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะพึ่งใครๆได้ หน่วยราชการและหน่วยงานอื่นๆที่รับผิดชอบ
    ก็ถูกภัยธรรมชาตินี้ทำลายเช่นกัน ข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม จะพากันอดอยากเป็นอย่างมาก เครื่องบริโภค
    เครื่องอุปโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค จึงยากที่ทางรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือได้

    ....ความทุกข็เพราะสิ่งเหล่านี้ก็แสนสาหัสอยู่แล้ว หากคนในครอบครัวมีการพลัดพรากจากกันหรือ
    ได้ตายไปเพราะภัยพิบัตินี้อีก คนทั้งหลายก็จะเพิ่มทวีความทุกข์เดือดร้อนยิ่งขึ้น ในช่วงนั้นจะเรียกร้อง
    ให้ใครๆมาช่วยเหลือเราจึงเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคนก็ได้เจอกับภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน ในเหตุการณ์
    อย่างนี้นับแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ก็เริ่มเกิดภัยธรรมชาตินี้
    ให้เห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งจะมีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้

    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีความรุนแรงในภายภาคหน้า ในอดีตหลายล้านปีที่ผ่านมา ก็ได้มีภัย
    ธรรมชาตินี้มาแล้วหลายครั้ง จะเกิดขึ้นในช่วงมนุษย์มีอายุขัยขาลง มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป
    ภัยธรรมชาติก็จะเริ่มก่อตัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดขึ้นน้อยบ้างมากบ้างและเกิดขึ้นอย่างรุนแรงบ้าง จะมี
    ผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทั้งลมทั้งฝนที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทั้งอากาศก็แปรปรวนในที่ทั่วไป
    ทำให้เกิดเป็นภัยธรรมชาติเป็นวงกว้างทุกมุมโลกทั่วถึงกันทุกประเทศเขตแดน เครื่องบินที่เคยเหาะ
    เหินเดินอากาศ ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนได้ เครื่องบินเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก
    ของชีวิต ในการเดินทางไปต่างประเทศนั้นประเทศนี้ก็จะสิ้นสุดลงไปตามยุคสมัย
    รถเรือ
    ที่เคยให้ความสะดวกในการไปมา ก็จะพากันจอดอย่างสนิท จะวิ่งไปมาไม่ได้เลย มนุษย์จะอยู่กัน
    เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ใครอยู่กันที่ไหนก็อยู่กันไปในที่นั้น จะส่งข่าวสารติดต่อกันด้วยวิธีใดก็จะติดต่อ
    กันไม่ได้เลย

    . ..............................................




    ..... วาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย .....

    ....วาตภัย จะทำให้เกิดเป็นลมขึ้น ๒ จุดด้วยกัน คือ

    ๑. วาตภัยที่เกิดขึ้นจากความกดดันในชั้นบรรยากาศของโลกที่แปรปรวน ทำให้ลมเกาะกันเป็น
    กลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ จะเกิดเป็นช่องว่างให้ลมเกิดการหมุนตัว หลายคนเคยนั่งเครื่องบิน ได้ชนกับ
    กลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศเหมือนกับเครื่องบินได้วูบตัวลง หรือในบางครั้ง
    เครื่องบินได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินสั่นสะเทือนเพราะอากาศไม่ปกติ มีความ
    แปรปรวน
    ....ถ้าเครื่องบินเล็กเดินทางผ่าน ก็จะเกิดอันตราย บังคับไม่ได้ ทำให้เสียหลักในการทรงตัวแล้ว
    หมุนไปตามกระแสลม หรือตกลงพื้นดิน ทำให้เสียชีวิตดังได้ดูข่าวในปัจจุบัน
    ....ถ้าเครื่องบินลำใหญ่ ลมกลุ่มเล็ก ก็พอจะบินผ่านไปได้ ถ้าลมกลุ่มใหญ่ มีกระแสพัดอย่างรุนแรง
    ถึงเครื่องบินจะใหญ่ก็ไม่สามารถบินผ่านไปได้ เครื่องบินจะขึ้นจากสนามและลงสู่สนามก็เป็นอันตราย
    เช่นกัน ทุกสนามบิน เมื่อมีลมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ห้ามเครื่องบินทุกชนิดขึ้นลง จะทำให้เป็นไปตามกระแส
    จนกว่าจะหมดกำลังลง เมื่อลมกลุ่มนี้หมดไป ลมกลุ่มใหม่เกิดขึ้นทั่วถึงกันในโลกนี้ ทุกสายการบิน
    ในโลกนี้ก็ต้องหยุดในการเดินทาง ถ้าลมเกิดขึ้นยาวนานเครื่องบินก็จอดสนิทยาวนานเช่นกัน

    ....ดาวเทียมเป็นสัญญาณสื่อที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเครื่องรับ
    สัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆ มีจำนวนมาก ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการทำงานได้อย่าง
    รวดเร็ว เครื่องที่ใช้งานรับสัญญาณจากดาวเทียมเหล่านี้ ถ้าไม่มีสัญญาณของดาวเทียมในการสื่อสาร
    จะทำงานไม่ได้
    ....ให้ฝึกทำใจไว้เลยว่า อนาคตต่อไปภายภาคหน้า เมื่อดาวเทียมมีปัญหาขัดข้องไม่สามารถส่งสัญญาณได้
    จะไม่มีใครๆขึ้นไปแก้ไขให้ทำงานเป็นปกติได้ เพราะวาตภัยในห้วงอากาศกำลังหมุนตัวอย่างรุนแรง
    ท้องฟ้ากำลังแปรปรวนอย่างหนัก เครื่องบินอวกาศทุกชนิดไม่สามารถขึ้นไปสู่บนท้องฟ้าได้ ดาวเทียม
    ก็จะมีปัญหาขัดข้องส่งสัญญาณข้อมูลอะไรไม่ได้ เครื่องอีเล็คทรอนิคส์ อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์
    หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆก็ทำงานไม่ได้ เพราะสัญญาณของดาวเทียมเป็นต้นเหตุ
    ถึงมนุษย์จะมีความรู้ดี ได้สร้างดาวเทียม คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวก
    ในการทำงาน ก็จะสิ้นสุดลงในยุคสมัย นี้คือจุดจบของมนุษย์ที่จะต้องรับในยุคต่อไป

    ....กรมอุตุนิยมวิทยามีความชำนาญในการติดตั้งเครื่องเตือนภัยทั้งหลาย ที่ได้ติดตั้งเพื่อรับข่าวสาร
    จากภัยธรรมชาติต่างๆก็จะหยุดตัวลง ทำงานไม่ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในลักษณะใดก็ไม่สามารถรู้ได้
    ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไรไม่มีใครๆรู้ล่วงหน้า เมื่อภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะได้รับ
    ผลกระทบในทันที ทั้งวาตภัย อุทกภัยที่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน
    มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ จะอยู่กินหลับนอนกันไปด้วยความลำบาก

    ....ในยุคต่อไปเปลือกโลกจะเสื่อมอย่างรุนแรง จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นในตัวของมันเอง
    เมื่อครบวงจรของเปลือกโลกเสื่อมก็จะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น จะหาวิธีป้องกันหยุดภัยธรรมชาตินี้
    ไม่ได้ มนุษย์ที่เกิดมาอาศัยโลกอยู่ เมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ทุกคนต้องได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้
    ในขณะนี้หลายพื้นที่หลายประเทศได้เห็นภัยธรรมชาตินี้อยู่แล้ว หลายประเทศได้รับผลกระทบ มีความ
    ทุกข์เดือดร้อนไปตามๆกัน ฉะนั้น ทุกคนอย่าประมาท ตั้งสติให้ดี ในโลกนี้
    อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น


    ....๒. วาตภัยอีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ต้องได้รับ นั้นคือลมใต้พื้นภิภพ จะมีความกดดันอย่างรุนแรง
    เปลือกโลกจุดไหนที่เสื่อมคุณภาพก็จะเกิดความกดดัน แผ่นดินจะเกิดแตกแยกจากกัน เรียกว่า
    ลมประทุให้หินในพื้นภิภพได้แตกและกระจายอย่างกว้างไกล ถ้าเกิดบนบกก็เรียกว่า แผ่นดินไหว
    จะไหวมากไหวน้อยขึ้นอยู่กับความกดดันของลม มนุษย์จึงคิดคำนวณความรุนแรงออกมาเป็นริคเตอร์
    เท่านั้นเท่านี้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในที่ชุมชนอย่างรุนแรง ก็จะทำให้บ้านอาคารมีความเสียหายเป็น
    อย่างมาก อาคารต่างๆก็จะพังทับถม หมู่มนุษย์ได้ล้มตายกันไปไม่มีใครๆช่วยกันได้
    ....การเกิดแผ่นดินไหวในลักษณะนี้ มีวาตภัยและธรณีภัยเกิดขึ้นพร้อมกัน และจะเกิดขึ้นบ่อยต่อเนื่อง
    อย่างน้อย ๘ ริคเตอร์ขึ้นไป ถ้าเกิดขึ้น ๑๐ ริคเตอร์ หรือ ๑๒ ริคเตอร์ขึ้นไป ในเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้น
    ในภายภาคหน้า อาคารบ้านช่องจะพังทลาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะแก้ไขป้องกันได้
    ความเป็นไปในลักษณะนี้ก็เพราะโลกธาตุได้เกิดขึ้นมายาวนาน ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตาม
    เหตุปัจจัยในตัวมันเอง ธาตุเดิม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ทั้งบนอากาศหรือพื้นภิภพต้องเป็นอย่างนี้

    ....ภัยธรรมชาติอีกจุดหนึ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย ถ้าพื้นภิภพเสื่อมอยู่ใรท่าม
    กลางมหาสมุทร ลมก็จะเกิดความกดดันให้เปลือกโลกส่วนที่เสื่อมแยกออกจากกัน ที่เรียกว่า
    แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอย่างรุนแรง เมื่อแรงกดดันของลมปะทะกับชั้นหินที่มีความแข็ง ก็จะเกิด
    ระเบิดอย่างกว้างขวาง หลายๆประเทศจะได้รับผลกระทบ ตายเป็นจำนวนมาก เมื่อชั้นหินได้แยก
    ออกจากกันเป็นช่องใหญ่หลายจุดพร้อมกัน น้ำทะเลก็จะไหลลงสู่โพรงใต้พื้นภิภพเป็นจำนวนมาก
    น้ำทะเลก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เมื่อน้ำทะเลไหลลงสู่สู่โพรงดินขนาดใหญ่เต็มแล้ว วาตภัย
    ในพื้นภิภพก็จะกดดันน้ำทะเลในส่วนนั้นกลับคืน น้ำทะเลก็จะถูกลมกดดันไหลขึ้นท่วมสถานที่ต่างๆ
    อาคารบ้านช่องก็จะพังเสียหายเป็นจำนวนมาก มนุษย์และสัตว์ก็จะล้มตายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน
    ที่เรียกว่า สึนามิ นั้นเอง
    ....ในลักษณะอย่างนี้เป็นเพียงวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัยในพื้นภิภพเท่านั้น ถ้าหากเกิดวาตภัยขึ้น
    ในช่องอากาศที่มนุษย์อาศัยอยู่ ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว หรือหาก
    มีอุทกภัยฝนได้กระหน่ำซ้ำเติมลงมาอีก ทั้งลมและฝนบนพื้นโลกไปบวกกับวาตภัยในพื้นภิภพ น้ำทะเล
    เดิมก็มีความปั่นป่วนอยู่แล้ว เมื่อลมและฝนซ้ำเข้าอีก มนุษย์จะอยู่กันอย่างไร เครื่องเตือนภัยสื่อสาร
    กับสัญญาณดาวเทียมใช้ไม่ได้ ใครจะบอกว่าให้มนุษย์พากันหลบภัยในที่ไหน ในหมู่มนุษย์ก็จะเกิด
    ความกลัวตายต่อภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก และยังเห็นเพื่อนมนุษย์ได้ตายให้เห็นต่อหน้าต่อตา
    จะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย จะหลบตัวไปที่ไหนก็ไม่มีความปลอดภัย และภัยต่างๆก็จะเกิดตามมา
    เช่น โรคภัย มลพิษภัย อาหารภัย ความอดอยากหิวโหย โรคภัยต่างๆที่เกิดจากมลพิษภัย จะไม่มี
    หมอรักษา จะไม่มียาให้กิน เรียกว่า สิ้นเนื้อประดาตัว ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องประสบเหตุการณ์นี้
    ลองคิดดูว่าเราจะเป็นอย่างไร


     
  16. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    ***** อัคคีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย *****

    .... อัคคีภัย หมายถึง ความร้อนจะเกิดขึ้นในโลกนี้อย่างรุนแรง ความแห้งแล้ง
    เพราะฟ้าฝนไม่ตกตามฤดูกาล ที่ผ่านมาเกิดภัยธรรมชาติขึ้นดังที่ได้อธิบายมาแล้ว มีวาตภัย อุทกภัย
    ธรณีภัย และ ภัย เช่น โรคภัย อาหารภัย โจรภัย มลพิษภัย เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย
    อยู่ด้วยความลำบาก เป็นทุกข์เดือดร้อนเป็นจำนวนมาก หากมีอัคคีภัยเกิดขึ้นซ้ำเติม ชีวิตความ
    เป็นอยู่ของมนุษย์จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากแร้นแค้นแสนเข็ญ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์อยู่ด้วยความ
    อดอยากดิ้นรน ฝนจะตกลงมาน้อยไม่พอที่จะทำไร่ทำนา ดินฟ้าอากาษก็จะเกิดความแปรปรวน
    ไปทั่วหนแห่งทุกมุมโลก
    ....ในบางพื้นที่จะไม่มีฝนตกลงมาเลย ความร้อนจากแสงอาทิตย์แผดเผา ทำไร่ทำนาไม่ได้ผล
    แต่อย่างใด ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีความแห้งแล้งทั่วถึงกันในทุกมุมโลก อาหารการกินจะขาด
    แคลนขัดสน คนจะล้มตายเป็นจำนวนมากเพราะความอดอยากหิวโหย จะเกิดโจรภัย ลักปล้นจี้
    ให้ได้มาซึ่งอาหารเพื่อให้ชีวิตอยู่ได้ ในหมู่สัตว์เดรัจฉานไม่มีอาหารที่จะกินก็จะล้มตายกันไปเช่นกัน
    ....อัคคีภัยที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าโน้น คนที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้เผชิญต่อภัยธรรมชาตินี้
    อย่างแน่นอน จะหลบหลีกหนีไปอยู่ในมุมโลกซีกไหนก็ไม่พ้นจากภัยธรรมชาติเหล่านี้ได้ ในยุคสมัย
    ที่ประชากรโลกมีจำนวนประมาณ ๒ หมื่นล้านคน ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดขึ้นเต็มรูปแบบทั่วทุกมุมโลก
    มนุษย์จะได้รับผลกระทบล้มตายไปเพราะอัคคีภัยเป็นจำนวนมาก
    ความร้อนจาก
    แสงแดดจะเผาเพิ่มความร้อนขึ้นหลายเท่า การจะรักษาชีวิตอยู่รอดได้นั้นยากมาก นับจากวันนี้ไป
    ความร้อนจะทวีความรุนแรงหลายเท่าตัว จะเกิดความร้อนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนที่เกิดขึ้น
    จากดวงอาทิตย์บนโลกและความร้อนที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน จะทำให้เกิดความร้อนระอุขึ้นทุกหน
    แห่ง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะล้มตายเป็นจำนวนมาก จะหาสถานที่หลบภัยในที่ต่างๆหาได้ยาก

    ....ถ้าหากเราเป็นคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์อย่างนี้ก็จะได้รับความเดือดร้อนเหมือนคนทั่วไป ก่อให้
    เกิด อาหารภัย คือ ข้าวปลาอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค
    จะขาดแคลนอดอยาก ตามมาด้วย โรคภัย คือภัยจากโรคต่างๆก็จะเกิดตามมา
    ในปัจจุบันมีโรคระบาดหลายชนิดที่เกิดขึ้นมาโดยบไม่ทราบสาเหตุ และยังหาวิธีรักษาไม่ได้ ซึ่งเกิด
    ขึ้นทั้งมนุษย์และสัตว์ เช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคซาร์ เมื่อเกิดโรคภัยอย่าง
    รุนแรง จะหาหมอหายามารักษา จะหาได้ยาก

    ....เมื่อประสบปัญหาอาหารภัย โรคภัย ก็จะเกิดโจรภัยการจี้ปล้นเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร มนุษย์จะ
    เบียดเบียนกันเอง เกิดความกลัวความหวาดระแวงในทรัพย์สิน ชีวิตของมนุษย์จะมีความเดือดร้อน
    อย่างแสนสาหัส แต่ละครอบครัวจะสูญเสียบุคคลที่เรารัก และพลัดพรากจากกันไป พ่อแม่ลูกหลาน
    ญาติมิตร เหมือนได้ติดอยู่ในความมืด ไม่รู้ข่าวสารซึ่งกันและกัน เพราะได้หนีตายไปคนละทิศ
    ละทาง การไปมาในที่ไหน จะไม่มีความสะดวกสบายเหมือนในยุคปัจจุบัน ไฟฟ้าจะใช้ในเวลา
    ค่ำคืนก็ไม่มี ฟืนที่จะหามาก่อไฟเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นก็หาได้ยาก เสื้อผ้าที่จะนำมานุ่งห่ม
    ก็ขาดแคลน เรียกว่า สิ้นเนื้อประดาตัว

    ....เหตุการณ์อย่างนี้จะมีเกิดขึ้นในภาบภาคหน้าอย่างแน่นอน ภัยธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อไม่เกิดขึ้น
    กับตัวเองก็รู้สึกว่าเฉยๆเหมือนในยุคนี้ แม้มีภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นอยู่บ้างเราก็ไม่มีความเดือดร้อน
    ดังคำว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เพราะถือว่าไม่ได้เป็นเรื่อง
    ของเราและไม่ใช่ญาติของเรา จึงไม่มีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่อง
    ของคึนอื่น ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไร จึงจะได้เกิดความรู้สึกตัว

    ....อัคคีภัยความร้อนในยุคปัจจุบันก็เริ่มมีผลกระทบอยู่แล้ว ต่อไปจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
    มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบากเป็นอย่างมากทีเดียว ความร้อนที่เกิดขึ้นจะหาวิธีป้องกันได้ยาก
    เพราะเป็นภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในตัวของมันเอง หมู่มนุษย์แม้จะมีส่วนทำให้ความร้อนของโลกนี้
    เพิ่มพูนขึ้นอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกร้อนขึ้นเพราะเปลือกโลกเสื่อมนั่นเอง

    ....อัคคีภัยความร้อนในพื้นภิภพจะเป็นเหตุให้ภูเขาไฟเกิดการปะทุมากขึ้น ภูเขาไฟจะบวกกับ
    วาตภัยลมก็จะกดดันให้ภูเขาไฟระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ลาวาเถ้าถ่านก็จะฟุ้งกระจายขึ้นไปสู่อากาศ
    และตกลงมา มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จะเกิดเป็นมลพิษนานัปการ

    ....มนุษย์จะเกิดการเจ็บป่วยล้มตาย ที่อยู่อาศัยก็จะถูกฝุ่นเถ้าจากภูเขาไฟทับถม สถานที่อาศัยที่
    ได้ถูกภัยธรรมชาติอย่างอื่นทำลายมาก่อนแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟเพิ่มเติมซ้ำอีก
    มนุษย์จะอยู่ก็ด้วยความลำบาก ความทุกข์ยากก็จะเกิดตามมา จะหาสถานที่หลบภัยที่ไหนก็แทบ
    ไม่มี เพราะในช่วงนี้จะมีอากาศแปรปรวนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนจากอัคคีภัยจะทำให้ภูเขาไฟ
    เกิดปะทุขึ้นหลายๆจุดต่อเนื่องกัน แต่ละวันมนุษย์จะหาที่หลบภัยจากกลิ่นไออันเป็นพิษอยู่ตลอด
    เวลา จะหาหน่วยงานใดเข้าไปช่วยเหลือนั้นเป็นของยาก มีความลำบากในการกินอยู่หลับนอน
    เนื่องจากภัยธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้น ประเทศใดหรือสถานที่แห่งใดไม่มีภูเขาไฟระเบิดก็ยัง
    ได้รับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอยู่นั่นเอง

    ....อัคคีภัยความร้อนจะมีผลกระทบต่อคลังแสง หมายถึงอาวุธที่เป็นพิษภัยที่มนุษย์ได้สร้างเอาไว้
    มาก เช่น ระเบิดปรมาณู นิวเคลียร์ที่เป็นพิษอย่างรุนแรง หลายๆประเทศที่เก็บอาวุธเหล่านี้เอาไว้
    ในสถานที่ต่างๆ อาวุธทั้งหลายเหล่านี้เมื่อถูกความร้อนมากขึ้นก็จะเกิดการระเบิด สารพิษก็จะ
    กระจายขึ้นสู่อากาศ ลมก็จะพัดไปทั่วทุกมุมโลก มนุษย์ที่รับสารพิษเหล่านี้เกิดเป็นโรคภัยก็จะพา
    กันล้มตายเป็นจำนวนมาก ผู้ที่คิดทำอาวุธร้ายแรงนี้ขึ้น ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมา
    เรื่องอัคคีภัยอันเป็นภัยธรรมชาตินั้นอาจจคิดไม่ถึง จึงได้สร้างอาวุธที่ร้ายแรงขึ้น

    ....ปัญหาโลกร้อนในขณะนี้ มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมนุษย์ทำให้อากาศของโลกมีความร้อน แต่
    ส่วนใหญ่ความร้อนเกืดจากอัคคีภัยอันเป็นความร้อนจากภัยธรรมชาติเอง ดังความร้อนที่มนุษย์ได้
    รับกันอยู่ในขณะนี้ ทุกๆปีความร้อนมีแต่จะเพิ่มขึ้น ดินฟ้าอากาศก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปใน
    ทางที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบาก ภัยธรรมชาตินี้ จะไม่มีวิธีป้องกันได้เลย ถ้า
    หวนคิดย้อนหลังสัก ๕๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะรู้ได้ชัดว่าความร้อนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และ
    จะมีความร้อนเพิ่มขึ้นทุกๆปี นี้คือมนุษย์ในยุคต่อไปจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง

    ....มลพิษภัยที่เกิดขึ้นตามมา คือ มลพิษทางน้ำ น้ำใช้ที่เกิดการปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี และสิ่ง
    สกปรก จนเน่าเสีย ซึ่งมาจากการปนเปื้อนสารเคมีของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ประสบปัญหา
    น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน มลพิษทางอากาศ อากาศมีฝุ่นควันที่เป็นพิษปนเปื้อน เมื่อคนหายใจเข้า
    ไป ก่อให้เกิดโรคภัยและล้มตายเป็นจำนวนมาก และมลพิษจากขยะและสิ่งปฏิกูลที่มนุษย์เป็นผู้
    สร้าง ก็จะถูกน้ำพัดออกมาทำให้เน่า เกิดโรคระบาดติดเชื้อมากมาย

    ....มลพิษเหล่านี้ จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่เป็นอย่างมาก จะมีผลกระทบต่อ
    ร่างกาย ทำให้เกิดเจ็บไข้เป็นโรคร้ายต่างๆตามมานานัปการ ที่ผ่านมามนุษย์ได้คิดค้นทางวิทยา
    ศาสตร์ทางเคมีที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดเป็นโทษในภายหลัง
    ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ยังได้รับผลกระทบดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ แม้มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบอยู่
    แต่ยังไม่รู้ตัว ที่เรียกว่า ตายผ่อนส่ง

    ....มลพิษภัยเหล่านี้มีผลกระทบต่อร่างกาย และมีผลกระทบถึงทางใจ ทำให้เกิดอารมณ์ที่หงุด
    หงิด เพราะว่าได้รับผลจากมลพิษภัยธรรมชาตินั้นเอง เมื่อสังคมของมนุษย์ได้รับมลพิษ
    จากภัยธรรมชาติมากขึ้น อารมณ์ที่แสดงต่อกัน ล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ที่เป็นพิษด้วยกัน
    นี้เรียกว่า
    ถึงยุคสมัยในการเปลี่ยนแปลงไปของโลก

    ....คำว่า "โลก" มีคำจำกัดความอยู่ ๓ อย่าง คือ

    ....๑. สิ่งที่มีจิตครองร่าง

    ....๒. สิ่งที่ไม่มีจิตครองร่าง

    ....๓. อากาศ

    . ทั้ง๓ อย่างนี้รวมกันจตึงเรียกว่า "โลก" จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ภัยธรรมชาติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น
    ก็เพราะธรรมชาติมีความเสื่อมไปตามอายุขัยในตัวมันเองที่เรียกว่าเปลือกโลกเสื่อม จึงได้เกิดภัย
    ธรรมชาติขึ้นดังที่รู้เห็นกันในปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า ผู้ที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้
    ประสบต่อภัยธรรมชาตินี้ต่อไป

    *************************************************************
     
  17. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    *จุดจบของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี*

    ....ในยุคสมัยที่พวกเราอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ จะมีปัญญาชนที่มีความรู้ดีในหลักวิทยาศาสตร์ มีความ
    ฉลาดในอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี มีความสามารถทำดาวเทียมขึ้นโคจรในอวกาศ
    เพื่อเป็นสื่อถ่ายทอดข่าวสารลงมาสู่เทคโนโลยีและสื่อสารในอินเตอร์เน็ตอย่างคล่องตัวฉับไวใน
    การทำงาน ได้นำมาใช้เป็นประโยชน์ในสังคมยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นยุคของปัญญาชนมี
    ความโดดเด่นที่สุดเช่นกัน เหตุผลที่ว่านี้ในกลุ่มปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้ยังศึกษาไม่ถึง จึงได้
    มองโลกไปในทางที่ดีไปเสียทั้งหมด ส่วนความไม่ดีที่เลวร้ายไม่ได้คิดวางแผนรองรับไว้เลยนั้น
    คือภัยธรรมชาติที่จะเกิดในยุคต่อไป

    ....หลังจากภัยธรรมชาติได้ผ่านไปแล้ว แทนที่ชีวิตความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์จะมีความสุขสบาย
    ก็ตรงกันข้าม ชีวิตความเป็นอยู่ยิ่งย่ำแย่เลวร้ายลง จะได้รับมลพิษจากภัยธรรมชาติที่ตกค้างอยู่เป็น
    อย่างมาก ดินฟ้าอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงไป จะมีมลพิษภัยนานาประการได้เกิดขึ้นอย่างหลีก
    เลี่ยงไม่ได้ มนุษย์ทั้งหลายจะอยู่กันด้วยความเป็นทุกข์ มีความลำบากอย่างแสนสาหัส ทุกคน
    ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตอยู่รอด ไม่มีใครๆช่วยเหลือกันได้

    ....ทางฝ่ายบริหารการปกครอง บ้านเมืองเหมือนได้ถูกยุบตัวลงโดยปริยาย หน่วยงานราชการ
    ทุกกระทรวงทบวงกรม ก็ได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน เอกสารข้อมูลในการทำงาน
    ต่างๆ เกิดความเสียหาย ข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องรับสัญญาณจาก
    ดาวเทียมสื่อสารต่อกันไม่ได้ เพราะดาวเทียมเองก็เกิดมีปัญหาขัดข้องในการส่งสัญญาณ ไม่ทำ
    งานสื่อสารลงมาสู่คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต หรือเครื่องรับสัญญาณอื่นใดได้เลย ผู้มีความรู้ในทาง
    คอมพิวเตอร์ในแผนกใดก็ตาม เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมส่งเข้าไม่ได้ คอมพิวเตอร์ก็ทำงานไม่
    ได้ ความรู้ที่มีอยู่ก็เอาไปทำงานอะไรไม่ได้ นี้คือการทำงานสื่อสารในทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
    ต่างๆก็จะสิ้นสุดจบลงตรงนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะต้องเริ่มตันใหม่ตามธรรมชาติเอง

    ....มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ยอมรับว่ามีปัญญา ค้นคิดเอาสิ่งต่างๆมาเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกได้ดี
    คิดประดิษฐ์สื่ออุปกรณ์ในการทำงานช่วยความจำแทนสมองเก็บความรู้เอาไว้ แต่ก็น่าเป็นห่วง ที่
    มนุษย์อ้างตัวว่าเป็นผู้มีความฉลาด แล้วเอาความรู้ความสามารถุไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต
    เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมยังทำงานได้อยู่ก็ทำงานให้สำเร็จได้ เมื่อสัญญาณดาวเทียมมีปัญหาขัดข้อง
    คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตก็เกิดความขัดข้องเช่นกัน จะทำงานให้สำเร็จเป็นไปได้ยากหรือเป็นไป
    ไม่ได้เลย วิธีการไม่ตรงต่อเป้าหมาย จะนำมาใช้กับปัญญาความรู้ความสามารถของตัวเองไม่ได้
    ในหลักการข้อมูลต่างๆทางหลักปฏิบัติ การเอาปัญญาความรู้ความสามารถไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์
    อินเตอร์เน็ต ก็มีปัญหาไปด้วย จึงไม่สามารถดึงข้อมูลข่าวสารออกมาใช้งานได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้
    ความรู้ความฉลาดก็จะกลายเป็นความโง่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

    ....ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือศาสตร์อื่นก็เอามาใช้งานไม่ได้ แม้แต่คณิตศาสตร์
    บวก ลบ คูณ หาร ด้วยกระดาษ ปากกาด้วยปัญญาความรู้ของตัวเองก็ทำไม่ได้ ต้องอาศัยเครื่องคิดเลข
    หรือหรือเทคโนโลยีอย่างอื่นช่วยให้ทำงานได้ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็บันทึกเก็บเข้าในเครื่องไว้ทั้งหมด
    เมื่อสัญญาณของดาวเทียมมีปัญหา โทรศัพท์ก็มีปัญหาไปด้วย หรือสถานที่ทำงานของราชการ
    และเอกชนจะต้องอาศัยเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต กระแสไฟฟ้า และอาศัย
    สัญญาณของดาวเทียมช่วยให้ทำงานได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายจากภัยธรรมชาติจนหมดสภาพไปแล้ว
    หลักการวิธีการแผนงานที่เป็นโครงสร้างพัฒนาก็มีปัญหาตามมาเช่นกัน เมื่อในยุคนี้มีเหตุการณ์
    อย่างนี้เกิดขึ้น ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะอยู่กันอย่างไร การพัฒนาหรือธุรกิจต่างๆเหมือนกับว่า
    ได้ปิดตัวลงแบบถาวร จากนั้นไปจะไม่มีเทคโนโลยีทุกประเภทมาประกอบสื่อในการทำงานอะไรได้เลย
    คำว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" ก็จะพลอยหมดความหมายทำอะไรไม่ได้
    ความรู้ความสามารถความฉลาดจะหดหายไปจากตัวเองโดยไม่รู้ตัว จะเป็นผลกระทบในการทำงาน
    การปกครองอย่างใหญ่หลวง

    ....ในยุคนี้สมัยนี้เราได้สร้างความเจริญไว้ในโลกมีมากมายหลายอาชีพ ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก
    สบายให้แก่ตัวเองและส่วนรวมเอาไว้ จะทำงานในแผนกใดจะทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทำได้ทั้ง
    ดาวเทียมการใช้สัญญาณสื่อสาร ทำเครื่องบิน รถ เรือ เพื่อเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง
    จะไปไหนมาไหนได้รวดเร็วทันใจตามที่ต้องการ เมื่อภัยธรรมชาติยังไม่เกิดความรุนแรง ก็พออาศัย
    ขับขี่ไปมาได้ ในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเกิดภัยธรรมชาติขึ้นรุนแรง สิ่งอำนวยความสะดวกในการไปมา
    ก็จะหมดยุคหมดสมัยไป มิใช่ว่ามนุษย์มีความรู้ดีมีปัญญาที่ฉลาดมีความสามารถจะรักษาไว้ได้
    ตัวภัยธรรมชาตินั้นเองจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดแทนมนุษย์อยู่แล้ว เพราะเทคโนโลยีที่มนุษย์คิดขึ้นมา
    ใช้งาน จะเป็นเพียงบางยุคบางสมัยเท่านั้น ถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของโลกว่ามีความเป็นอยู่และ
    เป็นมาอย่างไร ก็ไม่ปรากฏว่ามีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลเหมือนในยุคปัจจุบัน ฉะนั้น มนุษย์ไม่ควรลืมตัวว่า
    สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นใช่ว่าจะอยู่ถาวรตลอดไป เพราะในทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือเกิด
    ขึ้นจากความสามารถของมนุษย์สร้างขึ้นมาก็ตาม ทุกอย่างจะต้องตกอยู่ในความเปลี่ยนแปลงไป
    ตามยุคสมัยนั้นๆ


    ....เมื่อวาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย และภัยต่างๆ ได้ทำลายในสิ่งอำนวยความสะดวกที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น
    ให้หมดไปแล้ว หมู่มนุษย์ในยุคนั้นก็จะเหลืออยู่น้อยและอยู่กันเหมือนเศษมนุษย์เดนตาย จะพากัน
    อยู่สถานที่ใดก็หาเลี้ยงชีพพอให้มีชีวิตอยู่ได้ไปวันต่อวัน ไม่มีความคิดในการเสริมสร้างพัฒนา
    ความเจริญในทางโลก ไม่มีความเจริญในทางพัฒนาแต่อย่างใด การไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันต่าง
    สถานที่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางเหมือนในยุคปัจจุบัน จะส่งข่างสารต่อกันด้วยวิธีใด
    ก็จะทำไม่ได้ว่าใครพากันอยู่ที่เมืองอะไรอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน จึงเป็นต่างกลุ่มต่างอยู่ ไม่รู้กันว่าใคร
    เป็นญาติของใคร พี่น้องอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน

    ....แม้แต่การศึกษาหาความรู้ในหลักวิธีการต่างๆ ก็ไม่มีครูผู้ให้คำแนะนำสั่งสอน จะอ่านหนังสือไม่ได้
    เขียนหนังสือไม่ได้ ต่างคนต่างกลุ่มทำมาหากินเท่านั้น ถ้าจะดูประวัติศาสตร์ประกอบเพื่อเป็นพยาน
    หลักฐาน ก็ให้ดูประวัติแต่ละประเทศว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมตัวหนังสือไม่เหมือนกัน ทั้ง
    ภาษาสื่อต่อกันแต่ละประเทศก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เพราะครั้งก่อนได้ประสบภัยธรรมชาติ ที่เดนตาย
    ก็เกาะกัยเป็นกลุ่ม นานๆเข้าเป็นกลุ่มใหญ่ กลายเป็นประเทศจึงแตกต่างกันทางภาษา

    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายเรื่องภัยธรรมชาติให้ท่านรู้ ก็เพราะมีหลักฐานในประวัติศาสตร์ที่มีความ
    แตกต่างกัน เรื่องภาษา ตัวหนังสือ วัฒนธรรม ประเพณี ที่เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง นับจากถูกภัย
    ธรรมชาติในยุคนั้นผ่านมาอีกยาวนานจนกว่าจะเกาะกลุ่มกันได้ จึงได้ตั้งสื่อภาษาเป็นของตัวเองขึ้น
    เพื่อสื่อสารต่อกัน จนกลายเป็นประเทศในปัจจุบัน มีประเทศใหญ่บ้างประเทศเล็กบ้างตามประชากร
    ของแต่ละประเทศนั้นๆ แต่ละประเทศจะมีภาษากลางของแต่ละประเทศในการสื่อสารกัน แต่ละ
    ประเทศก็มีชนเผ่าหลายกลุ่มผนวกไว้ด้วยกัน แต่ละเผ่าก็มีภาษาเป็นของตัวเอง พูดเฉพาะในกลุ่ม
    ของตัวเอง แต่ก็ต้องศึกษาภาษากลางของประเทศตัวเองเพื่อสื่อสารกันเอาไว้ หลายๆชนเผ่าที่เล็กๆ
    ก็หลงลืมในภาษาเผ่าของตัวเอง เพราะเคยชินต่อภาษาของประเทศจนลืมตัว ภาษากลางแต่ละ
    ประเทศจะพูดไม่เหมือนกัน ถึงความหมายจะเหมือนกันแต่สื่อในการพูดจะไม่เหมือนกัน ส่วนภาษา
    กลางของโลกใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจะสื่อสารกันได้ทั่วโลก
     
  18. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    ...........***** บทสรุป *****..........

    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายประวัติศาสตร์ในพุทธวงศ์ คือวงศ์ของพระพุทธเจ้า และประวัติอายุขัยของ
    มนุษย์ มีขาขึ้นขาลงดังที่อธิบายไว้แล้ว และเรื่องภัยธรรมชาติ ก็ได้อธิบายไว้แล้วเช่นกัน ท่านผู้
    อ่านทั้งหลายที่มีการศึกษามากและมีการศึกษาน้อย หรือผู้ไม่เคยศึกษาในประวัติศาสตร์เหล่านี้
    หลายๆท่านต้องคิดกันหนักพอสมควร ว่าเรื่องเหล่านี้จะพอเชื่อถือได้แค่ไหน หรือไม่เชื่อเลยก็
    เป็นได้

    ....เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติ บางคนไม่เชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้น บางคนอาจจะเชื่ออยู่บ้างแต่คิดว่ากว่า
    จะเกิดขึ้นอีกนาน หากตายไปก่อนแล้วจะไม่ได้เจอไม่มีผลกระทบกับตัวเอง ให้ท่านคิดต่อไป
    อีกว่าเชื่อในผลของกรรมหรือไม่ และเชื่อในภพชาติการเกิดใหม่หรือไม่ เมื่อจิตยังมีกิเลสตัณหา
    เป็นเชื้อพาให้มาเกิด จิตก็ต้องกลับมาเกิดเป็นชาติใหม่ได้ เมื่อได้มาเกิดในชาติใหม่ก็จะได้เจอ
    ต่อภัยธรรมชาตินี้อีกมิใช่หรือ เรื่องความไม่เชื่อต่อผลกรรมดีกรรมชั่ว เรื่องไม่เชื่อในภพชาติใน
    การเกิดใหม่ ความไม่เชื่อในเรื่องอย่างนี้นั้น เป็นความเห็นเฉพาะตัวเท่านั้น ในหลักสัจธรรมความ
    จริงจะเป็นสิ่งตายตัว ไม่เป็นไปตามความเห็นตามที่เรามีความเข้าใจอยู่นั่นเอง

    ....ความเห็นของหมู่มนุษย์ในอดีตมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ในยุคปัจจุบันหรืออนาคตภายภาค
    หน้า ความเห็นของมนุษย์ก็จะมีความแตกต่างกันตลอดไป ใครจะมีความเห็นผิดใครจะมีความเห็น
    ถูกเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เช่นนับถือศาสนาต่างกัน นับถือพระเจ้าคนละองค์ ความเห็นยก็มี
    ความแตกต่างกันอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับนำสื่อคำสอนของพระเจ้ามาตีความเพื่อให้เกิดความเชื่อ ใคร
    เชื่อในคำสอนของพระเจ้าอย่างไรก็ปฏิบัติกันไป หรือนับถือศาสนาอะไรก็ได้ เรื่องบาปบุญคุณ
    โทษ ตายไปจะเกิดใหม่หรือไม่เกิด ก็จะไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้

    ....ถึงจะไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร ข้อสำคัญให้เราทำดีเอาไว้ในชีวิตนี้ก็แล้วกัน เพราะการ
    ทำดีการพูดดีและมีความเห็นที่เป็นธัมมาธิปไตยนี้ต่างหากที่จะเป็นเส้นทางให้จิตจะต้องได้รับผล
    ในทางที่ดี ถ้ามีความเห็นเป็นอัตตาธิปไตย ในทุกเรื่องจะเข้าข้างตัวเอง จะเป็นเหตุให้เกิดปัญหา
    แก่ตัวเองและสังคมส่วยรวม ที่เรียกร้องความสมานฉันท์ความรักสามัคคีให้เกิดขึ้น แต่ไม่หยุด
    ความก้าวร้าว กล่าวคำนินทาว่าร้ายซึ่งกันและกัน จะให้ความสมานฉันท์เกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า นี้
    คือเอาอัตตาธิปไตยมาเป็นหลักยืนโดยไม่รู้ตัว ความสมานฉันท์ในกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่จึงเป็นไปได้
    ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย

    ....การศึกษาไม่ควรผูกขาดในใบประกาศนียบัตร ว่าจบในระดับนั้นระดับนี้มาจึงจะเชื่อถือได้ ที่จริง
    ใบประกาศนียบัตรเป็นเพียงหลักฐานยืนยันในวุฒิการศึกษาเท่านั้น หรือจำกัดว่าผู้มีความรู้มากมี
    ความรู้น้อยในสาขาอาชีพนั้นๆ สำหรับความผิดถูกชั่วดี จะเอาวุฒิการศึกษา
    มาเป็นตัวตัดสินไม่ได้ เพราะความผิดถูกชั่วดีเป็นผลที่เกิดจากความเห็น


    ....ถ้ามีความเห็นผิด จะจบการศึกษาในระดับไหนมาก็ลบล้างความเห็นผิดไม่ได้ หนำซ้ำความรู้
    ยังเป็นตัวหนุนให้เกิดความเห็นผิดเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้ามีความเห็นถูก ถึงจะมีความรู้น้อยความรู้มาก
    ก็เป็นประโยชน์มีคุณค่าให้แก่ตัวเองและสังคมส่วนรวมได้ หรือผู้ไม่มีความรู้ทางหลักวิชาการในภาค
    การศึกษามา แต่ใจมีความรักความสงสารในหมู่คณะ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว มีความเห็นใจและเข้าใจ
    คนอื่น เพียงเท่านี้ความสมานฉันท์ก็เริ่มตั้งหลักได้แล้ว เมื่อตั้งหลักของเหตุปัจจัยในคำว่าสมานฉันท์
    ไม่ถูกต้องและเข้าข้างตัวเอง ความรักสามัคคีความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไปเอาความรู้
    เอาวุฒิในการศึกษามาประกอบอัตตาของตัวเอง แล้วไปเรียกร้องเอาความถูกต้องชอบธรรมให้เกิดขึ้น
    ในสังคม ในใจตัวเองยังมีอคติ สมานฉันท์จึงเกิดขึ้นไม่ได้

    ....คำสอนของพระพุทธเจ้าหลายหมวดหมู่มีเหตุผลเชื่อถือได้ ข้าพเจ้าได้นำประวัติพุทธวงศ์ ประวัติ
    ของอายุขัยของมนุษย์ และภัยธรรมชาติ ทั้ง ๓ หมวดนี้ นำมาอธิบายโดยย่อพอให้เข้าใจอยู่บ้าง
    เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติให้เราสังเกตติดตามดูให้ดี ว่าภัยธรรมชาติทั้ง ๘ จุดนั้นเป็นอย่างไร ในอดีต
    จนถึงปัจจุบันภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไร นับแต่ปัจจุบันไปสู่อนาคต ต่อไปจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น
    อย่างไรบ้าง

    ....ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็ให้รับฟังจากกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนภัยไว้บ้าง เฉพาะต่าง
    ประเทศ หลายๆประเทศที่ได้ประสบภัยธรรมชาตินับแต่จะมีความรุนแรงมากขึ้น มนุษย์จะได้รบผล
    กระทบอย่างมาก

    ....มนุษย์มีส่วนทำให้ภัยธรรมชาติเกิดอยู่บ้าง เช่น อาหารภัย ภัยที่ใช้สารเคมีมาเป็นปุ๋ยในพืชผล และ
    ปรุงอาหารชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยในตัวของมันเอง จะมีผล
    กระทบต่อร่างกายและมีผลกระทบเข้าหาใจได้ ถ้าร่างกายเกิดวิบัติจากสิ่งต่างๆมีความเจ็บไข้อย่างไร
    ใจก็จะได้รับความทุกข์ไปด้วย เป็นอันว่ามนุษย์ทั้งหลายมาเกิดท่ามกลางภัยธรรมชาติอยู่แล้ว ดัง
    คำว่า เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ได้ชั่วขณะ แล้วแตกสลายตายไป เรียกว่าเวียนเกิดเวียนตาย
    ในภพทั้งสาม

    ....การเกิดมาในโลกนี้ ผู้ที่ไม่ทำกรรมไม่มีในโลก แต่ใครจะทำกรรมดีกรรมชั่ว
    มากกว่ากันเท่านั้น โลกมนุษย์นี้เป็นศูนย์กลาง เป็นสถานที่สร้างกรรม เมื่อตายแล้วกรรมจะเป็นตัวนำพา
    ให้ไปเกิดในภพอื่น หมุนเวียนไปมาเป็นวัฏจักรไม่มีที่จบสิ้น เมื่อผลกรรมหมดลง ก็จะได้มาเกิดในโลก
    มนุษย์ เพื่อสร้างกรรมอีกต่อไป และได้เจอต่อภัยธรรมชาติของโลกนี้อีก จะเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

    ....เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต้องตั้งสติให้ดี ใช้ปัญญารอบรู้เท่าทันในความเป็นอยู่ของโลกนี้ให้ได้
    ในยุคต่อไป ในช่วง ๖ พันกว่าปีข้างหน้า จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ทางที่ดีเราควรหาวิธี
    เว้นวรรคในการเกิดชั่วขณะหนึ่ง
    เมื่อหมดยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีไปแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลง
    เป็นสังคมยุคใหม่ ภัยธรรมชาติจะสิ้นสุดลงในยุคนั้น สภาพความเป็นอยู่จะมีความสมบูรณ์ มนูษย์จะมี
    อายุขัยเพิ่มขึ้นดังที่ได้อธิบายมาแล้ว เราจะเกิดมาเกิดใหม่ในยุคนั้น สมควรที่จะมาเกิดได้ เพราะในยุคนั้น
    เป็นยุคของผู้มีบุญจะลงมาเกิดร่วมกัน ชีวิตความเป็นอยู่จะมีความสุข ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล

    ....ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ช่วยเหลือไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ศึกษามา
    และได้สังเกตภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในอดีต และมีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติในอนาคตนั้น
    มีสูง จึงได้บอกเตือนเอาไว้ว่าจะหาวิธีป้องกันตัวเองได้อย่างไร มิใช่ว่าเมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้นถึงตัว
    แล้วจึงตื่นตัว จะตั้งหลักก็ไม่ทัน ปัญหาต่างๆก็เกิดตามมา จะหาที่หลบซ่อนตัวก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์
    อย่าไปคิดว่าภัยธรรมชาตินี้เป็นเรื่องไกลตัว หลายๆประเทศ ภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อมนุษย์
    มากทีเดียว เราคนหนึ่งจะต้องได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้ในยุคต่อไป วาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย
    ธรณีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย ภัยทั้ง ๘ นี้จะมีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เราจะ
    ต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะหาวิธีป้องกันอย่างไรที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบา เพื่อให้
    ชีวิตอยู่รอด พวกเราทั้งหลายจงอย่าประมาท ให้มีความกลัวต่อธรรมชาตินี้เอาไว้

    ....ในเหตุการณ์หนึ่ง ที่คนทั่วโลกเริ่มตระหนักและพูดถึงกันอยู่มาก นั่นคือ "โลกร้อน" ก้อนน้ำแข็ง
    ที่ขั้วโลกเหนือจะละลาย ทำให้เพิ่มปริมาณของน้ำทะเลมากขึ้น น้ำทะเลก็จะท่วมในสถานที่ต่างๆตาม
    ชายฝั่ง อาคารบ้านเรือนจะเกิดความเสียหาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก นี้เป็นส่วนหนึ่ง ให้เรา
    พากันรับฟังข่าวสารของโลกเอาไว้

    ....ข้าพเจ้าได้รับฟังข่าวเรื่องโลกร้อนและก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลายเช่นกัน ในปีพ.ศ. ๒๕๕๐
    ข้าพเจ้าได้ไปประเทศสหรัฐอเมริกา มีเวลาได้ไปดูก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือในเขตอล้าสก้า นั่งเรือ
    ไปหลายชั่วโมงกว่าจะถึงก้อนน้ำแข็งนั้น ข้พเจ้าก็ได้ข้อคิดว่า อันน้ำแข็งนี้จะละลายจริงหรือไม่ ก้อนหิมะ
    ขนาดใหญ่เท่าภูเขาหลายลูกขาวโพลนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เรียกว่า ภูเขาหิมะ ที่สะสมกันมาหลาย
    พันปี มีอากาศหนาวเย็น จึงมีหิมะตกลงมาเป็นกลุ่มก้อน เมื่อความร้อนของโลกเพิ่มขึ้นจึงทำให้ก้อน
    ภูเขาหิมะเกิดพังทลายเสียงดังสนั่นท่ามกลางมหาสมุทร ก้อนน้ำแข็งลอยพันเป็นแพขาวโพลนในสถาน
    ที่แห่งนั้น

    ....ข้าพเจ้าได้สังเกตดูว่า ที่ว่าก้อนน้ำแข็งจะกระทบความร้อนแล้วละลายทำให้น้ำทะเลเอ่อท่วมโลกนั้น
    เมื่อสังเกตดูเหตุการณ์แล้ว คงไม่ถึงขั้นที่จะเกิดน้ำท่วมโลกแต่อย่างใด ถึงจะมีอยู่บ้างก็จะท่วมเฉพาะ
    บางพื้นที่เท่านั้น เพราะก้อนน้ำแข็งนั้นจะถูกความร้อนแผดเผา ไอของน้ำแข็งก็จะแห้งหายไปตามความ
    ร้อนนั้น มีส่วนหนึ่งก็จะทำให้น้ำทะเลเพิ่มขึ้น แต่จะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกตามที่ฝรั่งได้คำนวนเอาไว้
    ข้าพเจ้าได้ไปดูด้วยตาตัวเอง จึงได้นำมาบอกกล่าวให้ท่านรับรู้เอาไว้เท่านั้น

    ....ในเหตุการณ์อย่างนี้ ถ้าเกิดมีวาตภัยเกิดลมแปรปรวนอย่างรุนแรง อุทกภัยมีฝนตกลงมาอย่างหนัก
    ทั้งลมทั้งฝนได้เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างรุนแรง ก้อนน้ำแข็งที่ถูกความร้อนแผดเผาจะละลายกลายเป็นน้ำ
    มากขึ้น ก็จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติ ถ้าลมได้เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง มีฝนตกในหลายพื้นที่ ก็จะมีผลกระทบ
    อย่างรุนแรง

    ....อล้าสก้าเดิมเป็นพื้นแผ่นดินของรัสเซีย มีพื้นที่อันกว้างใหญ่ ส่วนมากเป็นภูเขา มีชนเผ่าหนึ่งที่อาศัย
    อยู่ชื่อว่า เผ่าเอสกิโม มีอาชีพชาวประมง เป็นเกาะขนาดใหญ่มีต้นไม้ภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ มีภูเขาที่เป็น
    หยกเขียว หยกสีชมพู หยกแดงมากมาย และมีแร่ทองคำ มีน้ำมัน และมีแร่ธาตุอย่างอื่นอีก เรียกว่า
    เป็นพื้นที่มีทรัพยากรที่มีความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของโลก มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย ๓ เท่า
    อากาศจะมีร้อนกับหนาว จะมีร้อนอยู่ ๔ เดือน มีหนาวอยู่ ๘ เดือน จะปลูกพืชผักไม่ได้เพราะมีอากาศ
    หนาวติดต่อกันนาน อาหารจึงมีราคาสูง เพราะมาจากหสหรัฐอเมริกา แคนาดา มีหลายประเทศที่ส่งเข้า
    มาขาย ระยะเวลานั่งเครื่องบินจากเมืองซีแอตเติ้ลไปอล้าสก้า ใช้เวลาบิน ๓ ชั่วโมง เครื่องบินจะมีรูป
    คนเผ่าเอสกิโมในหางเครื่องบินทุกลำเพื่อเป็นอนุสรณ์ของชนเผ่า

    ....อล้าสก้าเป็นพื้นที่ของรัสเซียมาก่อน ทางรัสเซียมีปัญหาทางบริหารในการพัฒนา ในสมัยพระเจ้า
    อเล็กซานเดอร์ที่ ๒ ของรัสเซีย ได้ขายที่ดินนี้ให้ประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีแอนดรูว์
    จอห์นสัน (Andrew Johnson) ค.ศ. ๑๘๖๗ โดยนายวิลเลี่ยม เอช ซูเวิร์ด(William H. Seward)
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในสัญญาซื้อดินแดนอล้าสก้า
    ราคาซื้อขายกันในสมัยนั้น ๗.๒ ล้านเหรียญสหรัฐ อล้าสก้าถึงเวลาหน้าหนาวจะมีความหนาวเย็นมาก
    เมื่อถึงฤดูร้อนก็มีความร้อนมากเช่นกัน ตะวันขึ้นลงที่อลาสก้าจะขึ้นและตกมีความแตกตื่นในที่อื่นๆ ใน
    ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม จะมีความสว่างอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาค่ำมืดเปิดไฟฟ้าแต่อย่างใด
    ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ก็จะมีความมืดเปิดไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
    จะดูเวลากลางวันกลางคืนก็ต้องดูนาฬิกา AM - PM เท่านั้น จึงจะรู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนได้ ในคืน
    หนึ่งมีคณะญาติโยมพาข้าพเจ้าไปชมภูเขาสูง ขณะนั้นเวลา ตี ๒ ความสว่างเท่ากับก้อนเมฆปิดบังตะวัน
    วิ่งรถไม่ต้องเปิดไฟ สถานที่แห่งนั้นเป็นภูเขาสูง นั่งรถไป ๒ ชั่วโมง ตะวันตกที่เรียกว่าแสงออร่า เป็นแสง
    สะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่หมุนตัวกลับที่เดิม คนที่พาข้าพเจ้าไปพูดว่าไม่เคยมาในที่แห่งนี้ ที่มาได้ก็เพราะ
    ดูแผนที่ เขาพูดว่า มีพระองค์เดียวคือหลวงพ่อทูลเท่านั้น ที่ได้ขึ้นมาจุดสูงสุดของขั้วโลกเหนือ ข้าพเจ้า
    ได้เล่าให้ฟังเพียงบางส่วนเท่านั้น และมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ขอให้ท่านไปดูด้วยตนเองก็แล้วกัน

    ....เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าได้ไปที่เมืองแฟร์แบ้งค์ รัฐอลาสก้า ซึ่งคุณละอองดาวและครอบครัว
    ได้เปิดร้านอาหารชื่อ ไทยเฮ้าส์ (Thai House Restaurant) เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ มีคนเข้าไป
    รับประทานอาหารแต่ละวันเป็นจำนวนมาก เพราะอาหารอร่อย นี้เป็นจุดแรกที่ไปพักที่เมืองนี้ ซึ่งมีคณะ
    ลูกศิษย์และคณะศรัทธาเป็นจำนวนมากให้การต้อนรับ พาไปเที่ยวชมดูสถานที่ต่างๆ

    ....จากนั้นได้บินต่อไปที่เมืองแองโคเร้จ คณะลูกศิษย์ได้พาไปเที่ยวดูก้อนหิมะที่ขาวโพลนปกคลุมอยู่บน
    ภูเขา ในช่วงนี้ก้อนหิมะกำลังพังทลายลงสู่ทะเล จากนั้ได้ลงเรือขนาดใหญ่บรรจุคนได้ประมาณ ๓๐๐ คน
    ใช้เวลาเดินทาง ๕ ชั่วโมง นี้เป็นส่วนหนึ่งที่มีก้อนหิมะกำลังละลาย ในอีกส่วนหนึ่งเป็นก้อนหิมะขนาดใหญ่
    ที่ขั้วโลกเหนือ ที่ฝรั่งพูดว่ากำลังพังทลายจะทำให้น้ำทะเลเพิ่มปริมาณขึ้นจนเกิดน้ำท่วม ก้อนหิมะนี้ได้เกาะ
    กันอยู่มายาวนานหลายพันปี เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่าภูเขา

    ....ข้าพเจ้าอยากไปดูว่าจะละลายกลายเป็นน้ำท่วมโลกหรือไม่ ทางฝรั่งเขาว่ามีอันตรายในการเดินทาง เรือ
    ใหญ่ธรรมดาไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะก้อนหิมะแตกกระจัดกระจายไปทั่วตามน้ำทะเลเต็มไปหมด
    เรือจะเดินผ่านลำบาก และเข้าไปใกล้ไม่ได้ เพราะก้อนน้ำแข็งกำลังพังทลาย และเกิดลมแปรปรวนที่
    รุนแรง ไม่มีสถานที่ปลอดภัย ระยะทางก็ไกล ใช้เวลาเดินทางไปกลับ ๑๖ ชั่วโมง เมื่อดูหนังที่เขาฉาย
     
  19. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    เมื่อดูหนังที่เขาฉาย ให้ดูภูเขาน้ำแข็งนี้ ก็เป็นที่น่ากลัว เมื่อพิจารณาดูด้วยเหตุผลว่าจะมีน้ำท่วมโลกจริงหรือไม่
    ให้คำตอบได้เลยว่า "น้ำจะไม่ท่วมโลกตามคำฝรั่งที่พูดกัน" เพราะก้อนน้ำแข็งถูกอากาศร้อนแผดเผาละลายออก
    จากกัน ส่วนหนึ่งก็จะกลายเป็นน้ำ อีกส่วนหนึ่งก็จะเกิดไอระเหยตามความร้อนไป จะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกได้

    ข้าพเจ้าได้ไปอเมริกาครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ไปศึกษาดูภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น เฉพาะวาตภัยในอดีต
    ที่ผ่านมา มีลมทอร์นาโดได้เกิดขึ้นแต่ละปีไม่กี่ครั้ง ลมเกิดขึ้นแต่ละครั้งทำความเสียหายให้แก่บ้านเรือนเป็น
    อย่างมาก ข้าพเจ้าไปทุกปี แต่ละปีมีลมทอร์นาโดเกิดขึ้นปีละหลายๆครั้งและจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิด
    ความเสียหายเป็นอันตรายในความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ทั้หลาย

    ....หลายๆประเทศที่ถูกลมทำลายอย่างมากมาย ในสมัยก่อนเกิดลมขึ้นปีละ ๓ - ๔ ครั้ง ต่อมามีลมเกิดขึ้น
    ปีละ ๒๐ - ๓๐ ครั้ง ในบางปีเกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง นี้เรียกว่าอากาศของโลกกำลังแปรปรวน ทั้งลมก็เกิดมากขึ้น
    น้ำก็ท่วมในหลายพื้นที่ จึงเป็นแนวโน้มที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องภัยธรรมชาติที่จะเกิด
    ขึ้นในภายภาคหน้าให้ท่านได้ศึกษาเอาไว้ จะอธิบายไว้ไม่ละเอียด และทั้งหมดคิดว่าท่านผู้อ่านพอจะเข้าใจ
    เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดมีในโลกอย่างแน่นอน หลายๆประเทศกำลังคิดหาวิธีป้องกันลมป้องกันน้ำท่วม และ
    ป้องกันโลกร้อน การจะอาศัยเทคโนโลยีอันทันสมัยในหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั้น จึงเป็นของยาก
    ที่จะป้องกันได้ เพราะภัยธรรมชาตินี้ไม่มีสิ่งใดห้ามได้


    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายในเรื่องภัยธรรมชาตินี้ ก็เพื่อเตือนสติไม่ให้ประมาท ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ว่าอีกวันหนึ่ง
    ข้างหน้าเราต้องเจอต่อภัยธรรมชาตินี้อย่างแน่นอน เพราะเราได้มาเกิดในยุคสมัยที่โลกกำลังแปรปรวน หรือ
    มาเกิดในยุคเปลือกโลกเสื่อม ไม่ควรที่จะไปกล่าวโทษต่อภัยธรรมชาตินี้ ต้องโทษตัวเองว่า เรามาเกิดใน
    ในยุคนี้ทำไม เราต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
    เพราะโลกเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติในตัวของมันเอง
    อย่าไปเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและหลักวิทยาศาสตร์จนลืมตัว สิ่งเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวก
    ในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงกาลเวลาของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หลักวิชาการต่างๆก็ไม่สามารถช่วยเราได้เลย

    ....ข้าพเจ้าขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายเอาไว้ในที่นี้ หากมีประโยคที่บกพร่องไม่เหมือนกับที่ท่านได้ศึกษามา คิดว่า
    ท่านคงไม่ติดใจ เพราะข้าพเจ้ามีความรู้น้อย คิดว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายคงให้อภัย


    *************************จบแล้วครับ************************

    <hr class="hrcolor" size="1" width="100%"> ทั้งหมดนี้ คือหนังสือ "ภัยธรรมชาติ" ที่หลวงพ่อทูล ได้เขียนขึ้น ในปี 2550

    และได้มอบให้กระผมนำมาลงในอินเตอร์เน็ต

    หวังว่าคงเป็นคติธรรมเตือนใจท่านทั้งหลายให้ได้รับประโยชน์โดยทั่วกันนะครับ


    นำมาลงโดย

    หมอบัญชา ทิพย์อักษร

    http://www.watsanfran.com/library/luangpor_books/2550_natural_disaster/natural_disaster_th.pdf
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    การยับยั้ง"สงครามนิวเคลียร์"
    ให้หยุดลงเพียงกลางคัน !

    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2240206", true); </SCRIPT>สมาชิก (แปลและเรียบเรียง)

    ข้อความบางส่วนจากหนังสือชื่อ สาส์นถึงมนุษยชาติ (The Message to Mankind)<O:p</O:p
    <O:p</O:pโดย: BORUP'S <ST1:p<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:placeName>SPIRITUAL <st1:placeType w:st="on">SCHOOL </st1:placeType></ST1:p(1-2)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นี่คือสาส์นแห่งความสุข คือการเกิดใหม่ทางจิตวิญญาณของมนุษย์ชาติ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะผู้คนจำนวนหมื่น หรือจำนวนแสน แต่มันหมายถึงผู้คนหลายล้านคน ที่จะถูกยกระดับขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงขั้นและมีวิถีชีวิตในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากวิถีชีวิตเดิมอย่างสิ้นเชิง วิถีชีวิตที่จะมีความสุขอย่างแท้จริง วิถีชีวิตที่มนุษย์จะรู้สึกสำนึกในบุญคุณของชีวิต มันคือสิ่งที่พวกท่านก็ทราบแล้วว่ามันไม่เหมือนกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
    <O:p</O:p
    นับจากนั้นไป ทุกๆคนจะต้องรู้สึกสำนึกในบุญคุณของชีวิต ตระหนักรู้ว่าชีวิตคืออะไร ใครคือผู้ที่ประทานชีวิตนี้มาให้ และนั่นจะทำให้เกิดการปรับปรุงตัวเองโดยความสมัครใจและเชื่อฟัง <O:p</O:pชาวโลกหลายคนได้เคยอ่านเรื่องราวของดาววีนัสมาแล้ว บนดาววีนัสมีจิตสำนึกอยู่ในระดับสูงกว่าดาวเคราะห์โลก และเมื่อเรากล่าวถึงจิตสำนึกของดาวเคราะห์โลกและดาววีนัส ก็ขอให้เข้าใจว่า หากพวกท่านนำเอาค่าเฉลี่ยของจิตสำนึกของมนุษย์โลกมา ก็จะได้จิตสำนึกของโลก​

    [​IMG]

    จิตสำนึกของดาววีนัสอยู่ในระดับสูงกว่าของโลก หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ผู้คนบนดาววีนัสมีความเข้าใจ และดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎของพระผู้เป็นเจ้า สภาวะนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของชีวิตที่แตกต่างไป<O:p</O:p

    ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ยังหมายถึง พวกเขาสามารถท่องอวกาศได้ พวกเขาได้รับอนุญาตให้ท่องไปในอวกาศ ในขณะที่มนุษย์โลกยังไม่ได้รับอนุญาต จึงไม่สามารถท่องไปในอวกาศได้ มนุษย์ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปได้แค่รอบๆชั้นบรรยากาศของโลกเท่านั้น แต่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปได้ไกลถึงในอวกาศ ในสภาวะทางจิตวิญญาณและศักยภาพเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
    <O:p</O:p
    ชาวดาววีนัสรู้ว่าจะปฏิบัติตนให้อยู่ภายใต้กฎแห่งพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร แต่กฎเดียวกันนี้ก็ถูกเขียนขึ้นสำหรับมนุษย์โลก ด้วยเช่นเดียวกัน หากแม้นเพียงแต่มนุษย์โลกเคารพเชื่อฟังกฎดังกล่าวนี้ มนุษย์โลกก็จะสามารถเป็นได้เหมือนสังคมของชาวดาววีนัสโดยไม่ยากเลย แต่อย่างไรก็ตาม เพียงแค่อ่านในคัมภีร์ไบเบิ้ลของพวกท่าน เพราะมันได้เขียนเอาไว้หมดแล้วว่าควรดำเนินชีวิตอย่างไร มันอยู่ในนั้นหมดแล้ว<O:p</O:p

    สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ การทำให้กฎแห่งพระผู้เป็นเจ้าบรรลุเป้าหมาย เราได้เคยกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า มนุษย์โลกได้มาถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมความรู้ของตนเองด้วยสภาวะของระดับจิตวิญญาณที่มีอยู่ในขณะนี้ได้ มนุษย์ได้มาไกลเกินไปแล้ว เกินกว่าที่จะสามารถเดินต่อไปบนเส้นทางที่กำลังดำเนินอยู่นี้ได้อีก แบบที่มีชีวิตรอดอยู่ แต่มนุษย์ก็มีทางเลือกอิสระเป็นของตนเอง เพราะเหตุนี้มนุษย์จึงได้รับอนุญาตให้เดินมาไกลอย่างนี้ได้ และก็เพราะด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ มนุษย์จะได้รับอนุญาตให้เดินต่อไปไกลที่สุด ​

    มนุษย์จะได้รับอนุญาตให้แสดงออกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองสร้างขึ้นมาด้วยความเข้าใจผิดของมนุษย์เอง มนุษย์จะได้รับอนุญาตให้พุ่งความเกลียดชังมาสู่มนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์จะได้รับอนุญาตให้ต้องได้รับความเจ็บปวดเพราะความเกลียดชังที่ต่างฝ่ายต่างก็สร้างมันขึ้นมาเอง ซึ่งสิ่งนี้เองจะนำไปสู่เหตุการณ์สยดสยองที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ สิ่งนี้จะนำไปสู่ สงครามนิวเคลียร์ ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเพิ่มมากขึ้นไปอีก<O:p</O:p

    แต่เพราะว่ากฎแห่งพระผู้เป็นเจ้า ไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนจักรวาลได้ พวกเราจึงจะไม่ไปรบกวน แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเราจะมาช่วยเหลือมนุษย์ เพราะนอกจากเหตุผลอื่นๆแล้ว พวกเรายังมีเหตุผลที่ว่า มนุษย์เองได้ร้องขอให้พวกเราช่วยเหลือ เพราะว่ามีมนุษย์มากมายบนโลกที่ยินยอมให้พวกเรามาช่วย
    <O:p</O:p
    แต่การช่วยเหลือครั้งนี้ ก็จะเกิดขึ้นกับเฉพาะผู้ที่ยินยอมให้พวกเราช่วยเหลือด้วยความสมัครใจเท่านั้น

    เมื่อความสิ้นหวังมาถึงจุดสูงสุด พวกเราจะลงมาจากอวกาศ ในลักษณะที่จะทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจได้ ชาวโลกจะเห็นพวกเรา ได้ยินเสียงพวกเรา และสัมผัสพวกเราได้
    <O:p</O:p
    พวกเราจะหยุดสงคราม(นิวเคลียร์) ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ เร็วดุจสายฟ้าฟาด มันจะเกิดขึ้นเร็วมากแค่วินาทีเดียว

    แล้วต่อจากนั้นพวกเราก็จะอพยพชาวโลก ที่เหลือรอดชีวิตอยู่บนโลกขึ้นไปอยู่ในยานอวกาศขนาดใหญ่ ที่ลอยประจำการอยู่ในภารกิจนี้จำนวนมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างในปฏิบัติการครั้งนี้ได้ถูกคำนวณและถูกวางแผนมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
    <O:p</O:p
    หลังจากการอพยพ โลกก็จะเริ่มกลับหัวลง ตอนนั้นโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พืนผิวโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงด้วย ชาวโลกจะจดจำสภาพของโลกของตนเองไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาจะทำได้แค่ต้องสร้างโลกใหม่เท่านั้น การกลับหัวของโลกจะเสร็จสิ้นภายในวินาทีเดียว มันรวดเร็วอย่างนั้นเลยหละ ประดุจฟ้าแลบ
    <O:p</O:p
    เมื่อการกลับหัวของโลกเสร็จสิ้นลงแล้ว มันก็จะชำระสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทั้งหลายที่มนุษย์โลกเป็นผู้ยัดเยียดให้กับมันออกไปจนสะอาด เพื่อให้มีสภาวะที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย แล้วจากนั้นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็จะถูกนำกลับลงมายังโลกใหม่อีกครั้ง พืชพันธุ์ต่างๆก็จะงอกในไม่ช้า สรรพสัตว์และนกต่างๆก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่ และมนุษย์โลกก็จะได้รับความช่วยเหลือครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ ​

    ภายในระยะ 6 เดือน งานซ่อมแซมส่วนใหญ่จะเสร็จสิ้น จนเพียงพอและเหมาะสมที่จะใช้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์โลกได้แล้ว ในวิถีใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในขณะเดียวกันมนุษย์จะได้รับอนุญาต ให้ท่องอวกาศได้และจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองยังไม่รู้ในปัจจุบันนี้ และมนุษย์จะได้รับสิ่งของต่างๆจาก”ภายนอกโลก”ที่มนุษย์ทุกวันนี้ยากที่จะเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริง <O:p</O:pการกลับลงมาจากยานอวกาศของมนุษย์โลก ​

    มนุษย์จะเลือกตั้งถิ่นฐานในที่ๆตนเองพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆในโลกก็ตาม ไม่ว่าในปัจจุบันนี้จะเคยอยู่ตรงจุดไหนบนโลกนี้ก็ตาม เมื่อถึงเวลานั้น ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลงจนแตกต่างจากเดิมไปหมด หรือไม่ว่าจะอ้างอิงด้วยเส้นรุ้งและเส้นแวงก็ตาม ในเวลานั้นมันก็จะไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ​

    สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือจิตวิญญาณที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์โลกแต่ละคนต่างหากดังนั้น พวกท่านจะได้เห็นว่า สถานที่บนโลกที่ท่านจะได้กลับลงมาอยู่มันช่างมีความสำคัญน้อยนิดเหลือเกิน เพราะมันใหม่ไปซะทุกอย่าง<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end --> ​

    **************************************************
    โอ้..พระเจ้าช่วยกล้วยทอด !

    อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว....ก็อดนึกถึงข้อมูลที่น้องเมย์ไปสัมภาษณ์อาจารย์ที่ทำงานอยู่ใน NASA มาไม่ได้..เพราะว่ามีกล่าวถึงเรื่อง "โลกกลับหัว" เหมือนกันเลย อีกทั้งเรื่องนี้อาจารย์ปริญญา ก็ได้พูดไว้ด้วยเหมือนกัน และพอรู้ว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ด้วยนี่..ก็อดนึกถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำไม่ได้ เพราะท่านพยากรณ์เอาไว้หมดแล้ว..​

    อะไรมันจะเข้าแก็บกันได้พอดีขนาดนี้นะเนี่ย..ใครที่ยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องภัยพิบัติโลก..ก็ลองเก็บเอาไปคิดเป็นการบ้านดูซะนะครับ -chayutt-​

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bomb.jpg
      bomb.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.7 KB
      เปิดดู:
      1,674
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...