ปรัชญาธรรม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สติจงมา, 9 พฤษภาคม 2017.

  1. สติจงมา

    สติจงมา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    47
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +191
    oct2pecn2zmUcV7p527-o.jpg

    ปรัชญาธรรม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


    จากหนังสือ คิดถึงปู่ โดย อาภัสสโร ภิกขุ


    พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย อันเป็นที่หมายในเบื้องสูงสุด และสัตว์เดรัจฉานที่เล็กแสนเล็กเกือบมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นความหมายค่าของความต่ำสุด สิ่งทั้งสอนนี้ย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเหมือนกันหมด และทุก ๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกับพุทธะอยู่ตลอดเวลา นี้เป็นปรัชญาธรรมอันล้ำค่าที่เหนือความจริงทั้งหมด และเหนือความถูกต้องทั้งมวลของบรมครูยอดนักปราชญ์เอกแห่งพุทธกัลป์ นั่นคือ พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระปัจเจกโพธิ์องค์เดียวเท่านั้นในพุทธันดรนี้



    ที่ท่านอุบัติมาเพื่อช่วยเสริมบารมีพระชินสีห์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ท่านอุบัติขึ้นมาเพื่อช่วยจรรโลงประทีปแห่งสัจธรรม ที่กำลังหรี่แสงอ่อนแรงเกือบจะดับอยู่แล้วนี้ ให้โชติช่วงชัชวาลกระจ่างขึ้น อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และท่านอุบัติขึ้นมาเพื่อช่วยชี้แนวสัจภาวะอันถูกต้อง ให้เวไนยสัตว์ใช้เป็นทางเดินเพื่อเข้าสู่โลกุตระภูมิ ก่อนที่ความมืดมิดจะครอบคลุมดวงจิตของสัตว์โลกผู้น่าสงสาร นั่นหมายถึงว่า อสัจธรรมที่ถูกปฏิรูปขึ้นใหม่แบบแปลก ๆ กำลังจะแผ่คลุมโลก ผู้ที่ไม่มีความรู้ และยังเข้าสัมผัสไม่ถึงธรรมที่แท้จริง กำลังตั้งตัวขึ้นเป็นครูอาจารย์ แย่งกันประกาศสัจธรรมในทางที่ผิดพระธรรมคำสอนอันล้ำเลิศ และหนทางปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความดับทุกข์ อันถูกต้องของพระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังจะถูกลบให้เลือนรางห่างหายไป



    สัตว์โลกผู้น่าสงสาร ผู้ปรารถนาจะข้ามห้วงมหาสาคร คือห้วงวัฏฏะแห่งนี้ นับวันจะถูกเกลียวคลื่นแห่งอสัจธรรม พัดกระหน่ำให้ลอยออกห่างจากเป้าหมายทุกที ดังจะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญเพียรของปราชญ์ทั้งหลาย ที่เห็นภัยในวัฏฏะ ก็เพื่อที่จะแสวงหาจิตเดิมและจิตแท้เท่านั้น แต่วิถีทางบำเพ็ญเพียร ข้อวัตรปฏิบัติส่วนมากมักจะอ้อมคดโค้งจนสุดโต่ง และมักจะเอียงลาดลงสู่ความเบื่อหน่าย คลายความเพียรในที่สุด เพราะผิดทาง



    จิตเดิมแท้ มันมีความเป็นเอกภาพโดยเนื้อหาสมบูรณ์ในตัวมันเต็มที่แล้ว แต่ถ้าไปตั้งกฎตั้งเกณฑ์ หรือจัดระบบมันเข้า หรือจะเพียรพยายามดึงมันเข้าสู่กฎ ความเป็นของคู่ของระบบจักรวาลคือรูปและนาม ก็ดูเหมือนว่าไม่สามารถจะอนุมานให้มันตกอยู่ในฝ่ายใดได้ทั้งสิ้น มันมีสภาวะที่ไม่เหมือนอะไร แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาเหมือน หรือแม้แต่เพียงละม้ายคล้ายคลึงมัน มันเป็นสภาวะที่อยู่เหนืออภิธรรมชาติ เหนือกฎแห่งการสมมุติบัญญัติ เหนือเหตุ เหนือผล เหนือบุญ เหนือบาป เหนือดิน น้ำ ลม ไฟ จะก้าวก่ายสัมผัสถึง



    ดังนั้นป่วยการที่เราจะเข้าไปสัมผัสกับภาวะนี้ให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยการพูด การฟัง การอ่าน หรือการนึกคิดคาดคะเนเอา เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตราย ที่จะนำเราเข้าสู่วิปัสสนูภูมิทั้งสิ้น อันเป็นหนทางที่จะนำเรากลับมาสู่การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น



    ความสงบ นิ่งเฉย และจงละลายคำพูดคำอธิบายต่าง ๆ ตลอดจนตำรับตำราคำสั่งของครูบาอาจารย์ทั้งหลายแหล่ให้หมดสิ้น แล้วหันมาดูจิต ศึกษาจิต พิจารณาจิต จนสามารถแยกจิตแท้และอารมณ์ได้อย่างถูกฝาถูกตัว นี่แหละจะเป็นหนทางที่จะพาเราเข้าสัมผัสกับภาวะนี้ได้อย่างถูกต้องที่สุด ถ้าโดยวิธีอื่นแล้วก็เหมือนกับเราเหวี่ยงแหขึ้นบนอากาศ เมื่อไหร่ถึงจะได้ปลา



    อารมณ์ต่าง ๆ นั้นมันย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามวงล้อแห่งวัฏฏะ มันมิได้เกี่ยวข้องกับอายตนะหนึ่งอายตนะใดเลย เมื่อเวไนยสัตว์ตนใดไปสัมผัสผูกรัดมันเข้า ถ้าขาดปัญญา ก็จะถูกมันดูดดึงลงสู่ห้วงแห่งความมืดมนอนธการ นั่นหมายถึงว่า วิถีทางที่จะเข้าสู่จิตเดิมจิตแท้ของเขานั้นย่อมเลือนรางห่างหายออกไปทุกที



    ถ้าเราไม่รู้จักสภาวะที่แท้จริงของจิตแท้แล้ว เราก็ไม่มีทางที่จะค้นหามันได้ถูกต้อง ยิ่งดิ้นรนขวนขวายแสวงหามากเท่าใดก็ดูเหมือนว่า จะยิ่งจมลงสู่ปลักแห่งความหายนะ คือวัฏฏะมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระปัจเจกโพธิ์องค์สำคัญคือหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านจึงได้สั่งนักสั่งไว้หนาว่า "อย่าส่งจิตออกนอก" เพราะมันเป็นประตู ๆ เดียวที่จะเปิดไปสู่มรรควิถีที่จะพาไปพบจิตเดิมจิตแท้



    สภาวะที่แท้จริงของจิตเดิมจิตแท้นั้น ก็คือสภาวะแห่งความเป็นพุทธะนั่นเอง หรือเราอาจจะกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะที่แท้จริง ก็คือสภาวะแห่งจิตเดิมจิตแท้นั่นเอง สิ่ง ๆ นี้ มันเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้กับปลายจมูกเรา เพียงแค่ชั่วเสียวหนึ่งของเม็ดทรายเท่านั้น แต่เป็นเพราะพวกเราผู้ปรารถนาความหลุดพ้น ไปหลงติดในพิธีกรรมและข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ที่มีมากมายหลายแบบหลายตอน แล้วก็หลงยึดมั่นว่าเป็นหนทางบำเพ็ญเพียรเพื่อสรรค์สร้างปรามิตาทั้งหก เพื่อหวังจะก้าวเข้าถึงความเป็นพุทธะกับเขาสักองค์หนึ่ง



    ก็สภาวะที่แท้จริงของจิตเดิมจิตแท้หรือพุทธะที่แท้จริงนั้น ไม่มีขั้นตอนในการเข้าถึง มันเป็นสิ่ง ๆ เดียวรวด เพียงแต่ขอให้เราเลิกผูกพันกับรูปธรรมต่าง ๆ ให้หมดสิ้น แล้วหันมาทำความเข้าใจจิตกับอารมณ์ให้ถูกต้อง เราก็จะพบเองเห็นเอง รู้ว่าสิ่ง ๆ นี้มันอยู่ใกล้แสนใกล้กับปลายจมูกของเราแค่นี้เอง เมื่อวาระนั้นมาถึงเราคงจะได้เสพย์รสประทินกลิ่นหอมของภาวะนี้อย่างถึงใจ ให้สมกับที่ได้เพียรแสวงหามาหลายหมื่นหลายแสนกัลป์แล้ว จิตของผู้ที่ยังข้องเกี่ยวอยู่ในกามคุณ ย่อมเป็นจิตที่ถูกเปลี่ยนฐานะจากเดิมโดยอำนาจของอวิชชา เราจึงเรียกว่าจิตแห่งปุถุชน เพราะมันยังตกอยู่ในครรลองแห่งสภาวะธรรม



    แต่ถ้าเราสามารถปฏิวัติจิตหรือปฏิรูปจิตแห่งปุถุชนนี้ ให้เข้าสู่สภาวะเดิมได้อย่างหมดจดสิ้นเชิง ไม่เหลือแม้แต่ปรมาณูเดียว จิตก็จะหยุดการยักย้ายถ่ายเท นั่นหมายถึงว่าภาวะแห่งการเปิดรับอารมณ์ ที่จะเป็นองค์กรหรือปัจจัยให้จิตกระเพื่อมหวั่นไหว แล้วปรุงแต่งไปตามสภาวะต่าง ๆ ที่เรียกว่า จิตสังขาร ก็จะถูกตัดขาดโดยทันที จิตเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวโดยสนิท ด้วยอำนาจ ญาณปัญญา อันละเอียดลึกซึ่งที่ฉายส่องเข้าสัมผัสแก่นแท้ของจิตได้อย่างถูกต้องที่เรียกว่า "จับกิริยาจิตได้แล้ว" ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับ จึงกล่าวได้ว่า เมื่อเหตุถูกทำลาย ผลอันเกิดจากเหตุจึงไม่มีภาวะต่อไป เราจึงเรียกว่า "มหาสุญญตา"



    มันเป็นความว่างที่ถูกบรรจงทับซ่อนไว้อย่างประณีต บนความว่างอีกชั้นหนึ่ง มันจึงเป็น "ว่างในว่าง" มันเป็นความว่างที่สะอาด บริสุทธิ์เหนือความบริสุทธิ์ทั้งมวล สมแล้วกับคำกล่าวของหลวงปู่ดูลย์ที่ว่า "มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ", "มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริง ๆ"



    ดังนั้น ขอให้ผู้ปรารถนาจะข้ามพ้นทุกข์ให้ได้ในชาตินี้ จงเร่งทำความเข้าใจกับสภาวะนี้ให้กระจ่างแจ้ง โดยการ แยกรูปถอดด้วยวิชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละใช้ หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด ตามที่หลวงปู่ดูลย์ที่กล่าวไว้แล้วว่า "จงเร่งทำญาณให้เห็นจิต เสมือนหนึ่งตาเห็นรูป" ทั้งนี้เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ยิ่ง เพื่อการตรัสรู้พร้อม และเป็นไปเพื่อเข้าสู่ภาวะแห่งจิตเดิมจิตแท้ พุทธะหรือนิพพานนั่นเอง



    โดยธรรมชาติแห่งความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายย่อมมีจิตโน้มเอียงเข้าสู่ภาวะนิพพานอยู่ทุกขณะจิต เช่นเดียวกับพุทธะ เพราะสิ่งทั้งสองนี้ย่อมมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันตลอดเวลา นิพพานคือสมบัติเก่าของพุทธะและสัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อภาวะธรรมเป็นเช่นนี้ ทั้งสองสิ่งนี้ก็จะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมได้ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าสัตว์โลกนั้น ไปหลงติดอยู่กับรูปธรรมเสียจนแทบไม่เงยหน้า



    เขาจึงไม่อาจสัมผัสกับรังสีแห่งนิพพานสมบัติเก่าของเขาได้ถนัดนัก ดังนั้นเขาจึงสร้างมโนภาพแห่งความท้อแท้ ให้กับตนเองขึ้นมาว่า นิพพานเป็นของไกลเกินฝัน นิพพานเป็นของสูงเกินบุญบารมีจะเอื้อมถึง และนิพพานเป็นของลึกลับซับซ้อนมหัศจรรย์ โดยภาวะแห่งความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องไปนั่งฝันถึงคะนึงหา ไม่มีอะไรจะสูงเกินบุญบารมี ถ้าเราคิดจะเอื้อม และไม่เห็นมีอะไรสักนิดที่จะลึกลับซับซ้อนมหัศจรรย์ เรื่องของเรื่องมันเพียงแต่ "ตื่นและลืมตาต่อจิตหนึ่งเท่านั้น"



    ไม่มีอะไรจะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือนิพพาน สมจริงดังคำกล่าวของหลวงปู่ดูลย์ไม่ผิดแม้เพียงมิติเดียว ข้อวัตรปฏิบัติที่นอกรีตนอกรอย อ้อมวนคดโค้งจนสุดโต่ง มีขั้นมีตอนเยิ่นเย้อในการปฏิบัติ เต็มไปด้วยพิธีรีตอง ที่บรรดาปราชญ์ผู้ไม่รู้จริงทั้งหลายได้สรรค์สร้างขึ้นมาสอน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องปิดกั้นสัตว์โลกผู้น่าสงสาร ให้ห่างออกมาเสียจากหนทางแห่งความสูงสุดนั้นอย่างน่าเสียดาย เพราะข้อวัตรปฏิบัติเหล่านี้ฟุ่มเฟือยไปด้วยแบบแผน พิธีรีตองและหนักไปทางแรงกาย แต่อัตคัดขาดแคลนเจือจางบางเบาด้วยภูมิสติปัญญา แล้วอีกกี่แสนกัลป์ เราถึงจะเข้าถึงสภาวะนี้ได้



    หลวงปู่ดูลย์ท่านกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายและสัตว์โลกทั้งหมด ไม่ได้เป็นอะไรเลย เป็นเพียงจิตหนึ่งเท่านั้น คำกล่าวนี้ถูกต้องที่สุดสำหรับผู้ที่ ตื่น และ ลืมตา เข้าถึงสัจภาวะได้แล้ว จิตนี้มันย่อมรวมทั้งอวิชชาและสัมมาทิฐิไว้ในขณะที่มันไม่ได้เป็นธาตุแท้โดยเนื้อหาตัวมันเอง และมันไม่ได้เป็นอะไรเลยเมื่อมันกลับเข้าสู่ภาวะของความสมบูรณ์ในตัวเต็มที่แล้ว ถ้าเราสามารถค้นพบความลับดังกล่าวนี้ได้ และทำความเข้าใจต่อสิ่ง ๆ นี้ ได้อย่างแน่ชัดเด็ดขาดลงไป เราก็จะพบกับความสำเร็จแน่นอนในชาตินี้ ดังเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อพระองค์สละราชสมบัติเพื่อออกแสวงหาโมกขธรรมโดยลำพังพระองค์เอง



    ปราชญ์สมัยก่อนเชื่อกันว่า อายตนะทั้งห้าทำให้เกิดทุกข์ ครั้งแรกพระองค์ก็ทรงเพ่งความเพียรลงที่จุดนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาสัมฤทธิ์ผลไม่ จนในที่สุดพระองค์ก็หันมาพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับจิต จนสามารถรู้ความลับของมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พระองค์จึงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูของเทวดาและมนุษย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พวกเราทั้งหลายต่างก็ประกาศตัวเป็นพุทธสาวก พุทธสาวิกากันอย่างเต็มใจแล้ว ก็ขอจงได้ดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ท่าน จงศึกษาพิจารณาและทำความเข้าใจจิตให้ละเอียดลึกซึ้ง เพราะจิตเท่านั้นคือหลักธรรมที่แท้จริง ถ้านอกจากนั้นก็ไม่ใช่หลักธรรม แล้วก็ไม่ใช่จิต ทำญาณจนเห็นจิตได้แจ่มชัดเมื่อใด ก็เชื่อว่าได้พบพุทธกระจ่างสดใสเมื่อนั้น เราจะไม่มีการโน้มเอียงกลับมาสู่การเกิดใหม่อีกไม่ว่าโลกไหน ๆ ทั้งสิ้น ทุกอณูแห่งจิตสำนึกของเราก็คงจะก้องแต่พยางค์ที่ว่า นิพพานัง ปะระมัง สุขัง, นิพพานัง ปะระมัง สุญญัง (พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง, พระนิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง) ตราบจนเราทิ้งขันธ์ละจากโลกนี้ไป.

    bar-1s-jpg.4157913.jpg

    จิตคือพุทธะ
    เสียงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล



    bar-1s-jpg.4157913.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2017
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    เป็นคำสอนที่ล้ำค่ามากค่ะ... FB_IMG_1493384317794.jpg
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผมไม่เห็นด้วยกับ ข้อที่ว่า.....เพราะจิตเท่านั้นคือหลักธรรมที่แท้จริง....ตรงนี้ ไม่เห็นด้วย อย่างแรง

    เพราะ สัตว์โลก มีกาย อายตนะ ....คือ รูป จิต เจตสิก นิพพาน....
    พระพุทธเจ้าท่านก็สอนมาแบบนี้ แต่หลวงปู่จะมาเน้น แต้ที่จิต.เท่านั้น ผมถือว่า...ค้านคำสอนของพระศาสดา...ชัดๆ

    ดังนั้น ธรรมชาติ ทั้งหมด ย่อม เป็นสิ่งที่ เกื้อกูลกัน ให้เกิด ให้มี..จึงนับว่าเป็นธรรมชาติ ทั้งรูปและนาม...ดังนั้นจะมาเน้นที่จิต หรือนาม เพียงอย่างเดียว โดยลืมคุณค่าของการมีรูป ...จะได้อย่างไร...ถ้าไม่มีรูปกาย เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ จะเอาอะไรมาปฏิบัติธรรมมองเห็น ความเสื่อม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ...ไปได้เล่า
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อีกคำหนึ่งที่ไม่ ชอบอย่างแรง ตรงคำที่ว่า...จิตคือพุทธะ..มันแสดงออกถึงความรับรู้ แล้วยึดมั่นถือมั่น เกินไป...

    จิตมันคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา....จะมายกย่อง รับรู้ ว่ามันคือ พุทธะ...ผมว่า ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ นั่นเอง...เพราะนิพพาน คือ...อนัตตาธรรม มันไม่จำเป็นต้อง โอ้อวด สรรพคุณอะไร อีกต่อไป...เพราะมันคือ จบ...สิ้น พ้น...แล้ว

    ไม่ไช่ มีอยู่ รู้อยู่ ยึดอยู่....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2017
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พุทธะ...ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน...เป็น สามขั้นตอน แห่งการเรียนรู้ ในการใช้ปัญญา

    ผู้รู้...รู้ในความเป็นจริง ตามเหตุตามผล ของธรรมชาติทั้งหลาย รู้คุณรู้โทษ รู้ดี รู้ชั่ว รู้ โลภ โกรธ หลง...อปลว่า รู้ในธรรมทั้งปวง

    ผู้ตื่น...คือ มีเอาไว้สำหรับตนเอง รูปนามของตนเองว่า เมื่อรู้หมดแล้ว ก็แสดงว่า น่าจะไม่หลงกับอะไรๆได้อีกต่อไป ควรจะเป็นเหมือนผู้ที่ตื่นจากความหลง ตื่นจากความไม่รู้...ตื่นรู้ อยู่เสมอ..เพื่อ ความไม่ประมาท ในการ หลงทำในสิ่งที่ไม่สมควรได้อีกต่อไป

    ผู้เบิกบาน...ก็คือ ผู้ที่มีชีวิต รูปนาม ที่ อยู่อย่างผู้ไม่หลง อีกต่อไป เพื่อชีวิตจะได้ พ้นจากสิ่งที่ ไม่ถูกต้องได้ อย่างปลอดภัย โดย มี คำจำกัดความ ให้เห็นเป็นขอบเขต อยู่คือ มรรค แปดข้อ นั้นเอง...ถ้าสามารถ ระวัง รูปนาม หรือ กาย วาจา ใจ...ของตน ได้ ให้อยู่ในสัมมา ความถูกต้อง ทั้งแปดข้อ...นั่นแสดงว่า รูปนามท่าน จะไม่ไปข้องแวะ กับความทุกข์ ใดใดได้อีก แปลว่า ท่านก็จะมีชีวิตด้วยความสุข ความเบิกบาน ตลอดไป...นั่นเอง

    ดังนั้น...ข้อสุดท้าย ผู้เบิกบาน เขาจึง หมายถึง การใช้ปัญญาให้ถูกต้อง เหมาะสม กับ ธรรมชาติ ของโลกนี้...ทั้งหมด ซึ่งก็คือ การ ใช้รูปนาม ให้เป็น
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทุกพระ ทุกสมมุติสงฆ์ ผมถือว่า...ไม่เป็นมนุษย์ตามธรรมชาติที่แท้จริง
    ก่อนจะเข้าไปเป็นสมมุติสงฆ์ ก็มีคำถามว่า...ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า..คือต้องเป็นมนุษย์ก่อน จำเอาไว้ว่า ท่านเป็นมนุษย์นะ ท่านถึงจะเปลี่ยนเข้าไปเป็นสมมุติสงฆ์ได้...ดังนั้นเมื่อเข้าไปสวมบทบาทของ สมมุติสงฆ์แล้ว..ท่านก็เหมือน ตัดทางโลก ออกจากโลกของความเป็นมนุษย์ ไปก่อน ชั่วคราว

    ดังนั้น...ถ้าสมมุติสงฆ์จะสอนธรรมใดใด ก็ไม่ผิด ยกเว้น..อย่าสอนธรรมของมนุษย์..ให้กับมนุษย์ นั่นเพราะตนเอง เล่นบทบาท เป็นสมมุติสงฆ์อยู่..นั่นเอง
    แปลตรงๆว่า ท่านพระสงฆ์เอง...ก็..ไม่ได้เป็นเหมือน มนุษย์ที่เขาเป็นกัน ท่านสู้โลกแบบมนุษย์ไม่ได้ ท่านใช้ชีวิตในแบบของมนุษย์ ไม่ได้

    ดังนั้น พระทั้งหลาย จึง ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะมาสอน มนุษย์ให้เข้าถึง ความเป็นมนุษย์ตามมรรคแปดข้อได้....นี่คือเหตุผล

    ดังคู่มือมนุษย์ที่พระสงฆ์ เขียนขึ้น...จึงเป็นแค่ โมฆะ..ของพระผู้ไม่รู้ ในสมมุติ บทบาทของตนเอง...นั่นเอง

    มันคนละ บทบาทสมมุติกัน...มันไม่ไช่เรื่องที่ควรทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2017
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผู้หญิงก็สอนหญิง
    ผู้ชายก็สอนชาย

    ส่วน กระเทย ตุ๊ด เกย์ ทอม...พวกเสียชาติเกิด..ก็ต้อง ให้หญิง ชาย สอน ให้พวกเขาเหล่านี้ รู้จักตนเอง ยอมรับในความจริงของเพศสภาพ ของตนให้ได้
    ไม่งั้น มันจะบาปหนักขึ้นกว่าเดิม..เพราะหลงผิด...ส่วนใครที่ หลงไปสนับสนุนให้พวกนี้หลงผิด ก็ย่อม ได้รับผลกรรม เช่นกัน

    เหมือน ผู้ที่สนับสนุนการทำบาปทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ที่มีส่วน ในการสนับสนุนการหลงผิด ย่อมรับผลกรรมด้วย...เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2017
  8. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :mad::mad::)อจ.วรณ์นิ..
    เขากำลังจะหมดแหล่งหากินนะ..พุทธวจน มาเปิดธรรมที่ถูกปิดจะสว่างตา-กันทั่วประเทศ มีพระเพี้ยนๆมาเขียนหนังสือ โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายนี่..คนเขียนนี่จะใช้หากินทางนามธรรม..อ้างจิต แต่ไม่อ้างอายตนะแบบเชื่อมโยงกัน-(อายตนะทั้ง6-คือจิตที่ต้องใช้เป็นสะพานเชื่อมผ่านในการเกิด-ดับ ยังไม่รู้จัก) ไม่ได้มีความรู้เลย น่าละอายจริงๆที่เขียนหนังสือฉบับนี้ออกมาแบบไร้ความรับผิดชอบ..ไม่มีความรู้รอบโดยแท้ สาทุด
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พระพุทธเจ้าสอน...พระนิพพาน พ้น จบ ดับ

    แต่ สาวก กลับ ยกย่อง ไกวันธรรม เซน มหาสุญตา แดนนิพพาน จิตคือพุทธะ ธรรมกลาย มโนมยิทธิ คู่มือมนุษย์ และพวก จิตจักรวาล มะนุดต่างดาว จิตไต้สำนึก พลังจิต เครื่องรางของขลัง บ้าทำบุญ ไปโน่น....นนนนน

    มันแปลกมั้ยอ่ะ ที่ สาวก ออกนอก...เป้าหมายของพระศาสดาของตนเอง
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ คุณ สติจงมา หากคุณจะเอาคำพูดของ หลวงปู่ดูลย์ มาลงในนี้ก็ควรเอาสิ่งที่ "หลวงปู่ดูลย์ พูดด้วยตัวท่านเอง" มาลง

    +++ ข้อความที่คุณเอามาลงนี้ เป็นข้อความของ "อาภัสสโร ภิกขุ" ที่พูดถึง หลวงปู่ดูลย์เฉย ๆ มีบางประการที่ไม่ตรงกับหลวงปู่ดูลย์ก็มี

    +++ เช่น "พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระปัจเจกโพธิ์องค์เดียวเท่านั้นในพุทธันดรนี้" ตรงนี้ "ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง"

    +++ หากคุณจะเอาธรรมะของผู้ใดมาลง "ก็ควรเอาของ ท่านนั้น มาลงโดยตรง" จะดีที่สุด นะครับ

    +++ อีกประการหนึ่ง คือ "ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ หรือ ปฏิบัติไม่ถึง" จะมองสิ่งที่หลวงปู่ดูลย์พูดว่าเป็น "ปรัชญา"

    +++ แต่สำหรับ "ผู้ที่ปฏิบัติจนถึงแล้วอย่างแท้จริง" เท่านั้นจึง "รู้" ได้เองว่า สิ่งที่หลวงปู่ดูลย์พูดมานั้น "จริงโดยไม่ต้องแปล" ทั้งหมด

    +++ สำหรับ "ผู้ที่ยึดคำศัพท์ส่วนตัว" โดยไม่ยอม "เปิดใจ" ในเรื่องสำนวนภาษาของผู้อื่น แม้ว่าจะปฏิบัติไปถึงไหนแล้วก็ตาม ก็ยังถือได้ว่า "จิตใจ ยังมีความ คับแคบอยู่มาก"

    +++ วันนี้เป็น "วินวิสาขะบูชา" ขอให้ "ผู้ที่อยู่ในธรรม ที่ไม่ได้แอบอ้างปิดบังอำพรางอะไร ให้มีความเจริญในธรรม ยิ่ง ๆ ขึ้นไป" นะครับ
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อ้อ...ไม่ไช่ การแสดงธรรมของหลวงปู่ดุลย์โดยตรง

    แต่เป็นคำป้อยอ ของพระลูกศิษย์ หรือครับ มิน่า มันถึง...เว่อร์ๆไป
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    อนุโมทนากับคำสอนของหลวงปู่ก็เพราะว่าตรงและชัดเจนนะค่ะ

    เพราะคำว่า. ความสงบ นิ่งเฉย หันมาดูจิต ศึกษาจิต พิจารณาจิต จนสามารถแยกจิตแท้และอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง

    อารมณ์ต่างๆมันย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามวงล้อวัฏฏะ

    ถ้าเราไม่รู้จักสภาวะที่แท้จริงของจิตแท้แล้ว. เราก็ไม่มีทางที่จะค้นหามันได้อย่างถูกต้อง

    ถ้าเราปฏิวัติจิตให้เข้าสู่สภาวะเดิมได้อย่างหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ปรมาณูเดียว. จิตจะหยุดการยักย้ายถ่ายเท นั่นหมายถึงว่า ภาวะแห่งการปิดรับอารมณ์ ที่จะเป็นปัจจัยให้จิตกระเพื่อมหวั่นไหวแล้วปรุงแต่งไปตามสภาวะต่างๆ เรียกว่าจิตสังขาร จะถูกตัดขาดโดยทันที เมื่อจิตหยุดการเคลื่อนไหวโดยสนิท. ด้วยอำนาจแห่งญาณปัญญา อันละเอียดลึกซึ้งที่ฉายส่องเข้าสัมผัสแก่นแท้ของจิตได้อย่างถูกต้อง ที่เรียกว่า"จับกิริยาจิต" ได้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับ เมื่อเหตุถูกทำลาย ผลอันเกิดจากเหตุจึงไม่มีภาวะนี้อีกต่อไป

    แยกรูปถอดด้วยวิชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละใช้หนี้หมด. พ้นเหตุเกิด

    จงเร่งทำญาณให้เห็นจิต. เหมือนตาเห็นรูป ทำญาณให้เห็นจิตได้แจ่มชัดเมื่อใด. ทั้งนี้เพื่อการตรัสรู้ยิ่ง เพือการตรัสรู้พร้อม และเป็นไปเพื่อเข้าสู่สภาวะเดิมของจิตแท้

    สภาวะนิพพานนอกจากคำว่านิพพานแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในนิพพานสูตรค่ะ

    ใจความสำคัญทรงตรัสว่า......

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิจจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ พระอาทิตย์ ย่อมไม่มีอยู่ในอายตนะนั้น


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวถึงอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ ซึ่งอายตนะนั้นหาที่ตั้งอยู่มิได้ มิได้มี มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ โดยส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นคำพูดของ "ศิษย์" เกือบทั้งนั้น
    +++ ศิษย์ผู้ใดปฏิบัติถึง ก็จะสามารถจำแนก "อาการ" ได้ตรงตามที่ครูบาอาจารย์กล่าวไว้ แม้ว่าจะ "ใช้ภาษา" ต่างกัน
    +++ ศิษย์ผู้ใดปฏิบัติ "ไม่ถึง" ก็จะจำแนกภาษา "ได้ไม่ตรงตามอาการ" แม้ว่าจะใช้ "ภาษาเดียวกัน" ก็ตาม
    +++ นักปฏิบัติควร "ลงไปในอาการนั้นด้วยตน (โอปนยิโก)" จึงจะทราบชัดได้ด้วยตนเอง (ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหีติ) นะครับ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ คำพูดโดยตรงของ หลวงปู่ดูลย์ เป็นเช่นนั้น
    +++ ตรงนี้จะต้องรู้จัก "อาการ" ของภาษาที่ว่า "จิต เห็น จิต เป็นมรรค"
    +++ ตรงนี้ คือ อาการที่ "จิต เห็น สังขารจิตทั้งหมด" เป็นมรรค
    +++ เพียงแต่หลวงปู่ท่าน "ใช้ภาษาแค่นั้น" กลุ่มศิษย์ที่อยู่ด้วยกันกับท่าน ย่อมเข้าใจได้เอง (กลุ่มปิด)
    +++ ท่านไม่ได้ใช้คำว่า "ใจ เห็น จิต เป็นมรรค" แต่อาการก็เป็น "อาการเดียวกัน"
    +++ หรือแม้กระทั่ง "จิต เห็น มโน เป็นมรรค" ก็ได้ แล้วแต่ภาษาจะพาไป แต่หลัก ๆ ให้ "รู้ที่อาการ" เท่านั้นเอง
    +++ ตรงนี้ต้องเห็น "อณู ปรมาณู atomic sub particle" ที่เรียกว่า "เหตุปัจจัยโย" หรือภาษาของหลวงปู่มั่นเรียกว่า "ทิฐิภูตัง" ให้ได้เสียก่อน
    +++ จากนั้น "ต้อง" ออกจาก "ภาชนะที่บรรจุ อณู ปรมาณู atomic sub particle" นี้เข้าสู่ "สภาวะแห่งพรรณรังสี" ซึ่งไม่ใช่ "ว่างโหลงเหลง"
    +++ ซึ่งเป็นอาการที่ "เบิกออก บานออก" แต่ไม่ใช่ "ธรรมารมณ์ที่เบิกบาน" แต่มันเป็น "อาการเบิกบาน ที่ ธรรมารมณ์ตั้งอยู่ไม่ได้"
    +++ ภาษาวงในเฉพาะกลุ่มของผมเรียกอาการนี้ว่า "จ้า หรือ บันเจิดจ้า" ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดแห่งอาการ "รูั แจ้ง จ้าแห่งพรรณรังสี"
    +++ อาการนี้ หลวงพ่อพุทธทาส ท่านใช้ภาษาว่า "ไกวัลธรรม" ให้ข้าม "ข้อจำกัดของภาษา" แล้วเข้าสู่อาการโดยตรง ก็จะเลิกเถียงกันได้เอง
    +++ อย่าพยายามเอา "คำศัพท์" มาเถียงกันมากนัก มันไร้ประโยชน์ ก่อให้เกิดการ "เพ่งโทษ" ซึ่งกันและกัน และจะทำให้ศาสนาเสื่อมตัวลงเร็วยิ่งขึ้น

    +++ เนื่องใน "วันวิสาขะบูชา" ขอให้ "ผู้ที่ปรารถนาที่จะไปให้ถึง สภาวะที่สิ้นสุดแห่งธรรม" จงประสพความสำเร็จโดยถ้วนหน้ากัน นะครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 1
    • อนุโมทนา อนุโมทนา x 1
    • ว้าว ว้าว x 1
    • ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย x 1
    • ดูรายการ
  15. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    รบกวนถามท่านอาจารย์ธรรมชาติ นอกเรื่องหน่อยนะครับ คราวก่อนลืมถาม(อีกแล้ว)
    ไม่ทราบว่าท่านอ. พอจะรู้จักคำว่า "กังสดาล" บ้างรึเปล่าครับ ผมอยากได้คำอธิบายเพิ่มเติมแบบพิสดาร เสริมความรู้หน่อยครับ
    ขอบคุณครับ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ คำว่า "กังสดาล" นั้น ให้ลองอ่านจากลิ้งค์ข้างล่างนี้ดู นับว่ามีความ พิสดาร แฝงอยู่ด้วย

    http://www.thairath.co.th/content/384435

    +++ โดยส่วนตัวผมเอง ผมนับอาการ "กังสดาล" ที่ความกังวาล ตรงเสียงที่ลากยาว หลังจากการเคาะเสียงจบไปแล้ว โดยเฉพาะ "คลื่นเสียง" ที่ยังกังวาลในเนื้ออากาศ
    +++ ผู้อื่น อาจให้ความหมายอย่างอื่นก็ได้ ตรงนี้ก็แล้วแต่บุคคล นะครับ
     
  17. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    5555 เล่นมุขมาซะ ทำเอาไปต่อไม่เป็นเลย

    "โดยส่วนตัวผมเอง ผมนับอาการ "กังสดาล" ที่ความกังวาล ตรงเสียงที่ลากยาว หลังจากการเคาะเสียงจบไปแล้ว โดยเฉพาะ "คลื่นเสียง" ที่ยังกังวาลในเนื้ออากาศ"
    "ตรงเสียงที่ลากยาว" สำหรับผมคำตอบนี้ถือว่า "พิศดาร" แล้วครับ

    หายสงสัยแล้ว ขอบพระคุณครับ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เอิ่ม อย่าว่า อย่างงู้น อย่างงี้ เลย นะฮับ

    คุณเคย เป็นเหน็บชา ไหม

    ถ้าเคยเป็นเหน๊บชา แล้ว ลอง สัมผัสที่ ร่างกายส่วนที่เหน็บ ชา มันกินอยู่

    มันจะ หยึ๋งๆ จี่ๆ

    ไม่นับ จังหวะ จิ้มใหม่ๆ ยังรู้สึกชัด ว่า มันหยึ๋งๆ เพิกทิ้ง

    ให้ พิจารณา สัมผัสที่รับรู้ได้ว่า มันยัง หยึ๋งๆ จนกว่าจะหาย

    อันนี้ จะถือว่าใกล้เคียงที่สุด ที่เป็น อาการ "ปรากฏ" อันเนื่องกับ "กาย"

    อานาปานสติ หากภาวนาดีๆ มันจะ ยิ๊บๆ แย๊บๆ กลางอก

    ไม่ใช่อาการ เหน็บชากินหัวอก หัวใจ มันบางเบากว่า อาการ
    หยึ๋ยๆ ที่สัมผัสได้จากเหน็บชา มันมีทั้ง จี๋ถี่ยิ๊บๆ หรือ จะถี่แบบ
    ลากยาวก็ได้ แต่จะเป็น สัมผัสที่ จับต้องได้ รู้สึกได้ ไม่ใช่
    ไปจับอะไรมา วาดภาพว่าคือ อาการกังสดาล [ ไม่ใช่อาการ
    เวทนาสุขใจ เบาใจ วางใจ โชยเย็น ...เพราะ มันเป็น สภาพธรรม
    ของ กองลม อย่างหนึ่ง ]


    ซึ่งเวลาไปเห็น จะเกิด ปิติ5 มหาศาล ตัวแทบจะลอย แต่
    ก็ไม่ใช่แบบฌาณ เพราะ จะต้อง เป็นไปเพื่อ สละออก เท่านั้น
    เพราะการไปเห็นได้จะเป็นจิตที่ สัมปยุตกับไตรลักษณ์ญาณ

    จึงเป็น ปัสสัทธิ ไม่มี มารำพึงรำพัน จะลอย จะไปไหน จะมาไหน
    จะเอาอะไร จะได้อะไร จะมีอะไร ไม่เกิด อุปาธิ อุปทาน ใดๆ
    [ ถ้ามี ดำริ ทิฏฐิ แทรกนิดเดียว ถือว่า ตกจากรรมฐาน ไปแล้ว ]

    ซึ่งใช่ว่า เกิดแล้วมันจะเที่ยง มันจะหายไปเลยก็ได้ [ จะกำหนดรู้
    สภาวะหายไปได้ด้วย ไม่ใช่ หายไปเลย ไม่เหลือการปฏิบัติ ปรารภความเพียร ]


    อาการทีมันหายไปได้ มันจะมี บางอย่างปรากฏ มาให้วิจัยจิต
    ว่าเป็นกุศล อกุศล อัพพยากตา เป็นต้นทางเข้าฌาณชนิดต่าง
    เป็นต้นทางไปกสิณต่างๆ สารพัดจะ ตกจาก อานาปานสติ
    ไปสู่ ของโลกๆ ของชาวบ้าน

    ปล. สภาวะธรรม จะเห็น จับต้องได้ ด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนา
    อย่าพยายามไปไล่ตะครุบ อาการใดๆ มาเป็น สภาวะเห็นกังสดาล
    เพราะจะทำให้ เกิด "กำหนัด" ใน รูปราคสัญญา กำเริบ แล้ว
    สำคัญว่าตนเห็น ตนรู้ ตนจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2017
  19. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    ขอบคุณในความหวังดีนะฮับท่านพี่
    แต่ศิษย์โง่ๆ คนนี้ก็จะขอตอบแบบเดิมว่า
    .
    .
    .
    "แม่ไม่เข้าใจดาว !!! "

    ดูดอมยิ้มเข้านอนดีฝ่า แผลบ^^
     
  20. สติจงมา

    สติจงมา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    47
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +191
    จิต คือ พุทธะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...