ปริศนาความฝันคืนที่พระธาตุพนมพังทลายลงมา ผ่านไป 27 ปีผมเห็นปาฎิหาริย์ “เงา” พระธาตุพนม

ความฝันนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2518

ในคืนที่พระธาตุพนมพังทลายลงมา

ผมฝันว่าได้เข้าไปอยู่ในพระอุโบสถแห่งหนึ่ง เห็นพญานาค 7 เศียรกำลังชูคอและส่ายศีรษะไปมาอยู่หลังองค์พระประธาน

...ผมตกใจจึงตื่นขึ้นมา แต่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะคิดว่าแค่เป็นความฝันธรรมดาเท่านั่นเอง

 

รูปภาพรูปนี้(4 รูป)ทำขึ้นมา
เพื่อใช้ประกอบเนื้อหาสาระในความฝันเท่านั่น

 

รุ่งเช้าได้ฟังข่าวจากวิทยุ และเห็นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวข่าวว่า ช่วงเวลาประมาณ 19.30 น.องค์พระธาตุพนมได้พังทลายลงมาท่ามกลางฝนตกหนักต่อเนื่องมาทั้งวัน ยังความเศร้าโศกสะเทือนใจแก่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

 

ผมก็เฉกเช่นเดียวกัน แต่ก็คงต้องปลงต่อเหตุการณ์เศร้าสลดใจที่เกิดขึ้นไปแล้ว ช่วงนั่นก็ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งเกี่ยวกับความฝันเมื่อคืน เพราะเป็นเพียงความฝันปกติ คิดว่าไม่มีเนื้อหาอะไรที่ไปข้องเกี่ยวและเชื่อมโยงกับการพังทลายขององค์พระธาตุพนม

 

….ปกติผมจะเข้านอนเวลาประมาณ 22.00 น.
นั่นแสดงว่าองค์พระธาตุพนมพังทลายลงมาก่อนความฝันของผม จึงไม่ใช่ความฝันที่เป็นลางบอกเหตุล่วงหน้า เพียงแต่ความฝันมีเรื่องราวของพระอุโบสถ และพญานาค 7 เศียร


หลังจากนั่นผ่านไปไม่กี่วัน ผมได้เห็นบทความคอลัมนิคส์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเขียนไว้ว่า

“ในคืนที่พระธาตุพนมพังทลายลงมา ได้เกิดเหตุบังเอิญที่แปลกประหลาด เพราะมีพระเกจิอาจารย์หลายรูปฝันเห็นพญานาคปรากฏอยู่ในพระอุโบสถในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน”

ซึ่งคล้ายกับความฝันของผมในคืนนั่น ตอนนั่นผมจึงเริ่มรู้สึกฉงนใจและให้ความสนใจกับความฝันนี้ขึ้นมาทันที

โดยคิดว่าการที่ตนเองฝันถึงพญานาค 7 เศียรในคืนนั่นด้วย
น่าจะมีเหตุดลใจบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ หรือเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวา หรือเป็นเพราะอิทธิปาฎิหาริย์พญานาคดลใจให้ผมฝันเช่นนั่น

จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผมไม่อาจลืมเลือนความฝันนี้ และยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดมาจนถึงทุกวันนี้

 

ต่อมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ผมเพิ่งรู้มาว่า...

ตามตำนานโบราณกาลกล่าวขานกันว่าองค์พระธาตุพนมจะมีพญานาค 7 องค์คอยเฝ้าพิทักษ์ดูแลอยู่เป็นประจำ

...ในขณะเดียวกันปริศนาได้เกิดขึ้นในใจผมทันทีว่า...

ในคืนที่พระธาตุพนมพังทลายลงมา ผมฝันเห็นพญานาค 7 เศียรปรากฏตัวอยู่หลังองค์พระประธานในอุโบสถ รวมทั้งพระเกจิอาจารย์หลายท่านก็ฝันคล้ายคลึงกันในห้วงเวลาค่ำคืนดังกล่าว จึงเป็นอะไรที่น่าพิศวง

ถ้าจะบอกว่าเป็นความบังเอิญ คงเป็นความบังเอิญหนึ่งในล้าน ที่สำคัญเป็นความบังเอิญที่ซ่อนปริศนาคาใจชวนให้ต้องขบคิดถึงที่มาที่ไปของความฝันนี้
...หรืออย่างน้อยที่สุด ความฝันนี้น่าจะพอเป็นหนึ่งหลักฐาน

เพื่อใช้เป็นข้ออ้างอิงและเข้ามาสนับสนุนตำนานที่กล่าวขานเล่าสืบกันมาอย่างหนาหูตั้งแต่โบราณกาลจนถึงทุกวันนี้ ในข้อที่ว่า
“องค์พระธาตุพนมมีพญานาค 7 องค์คอยเฝ้าพิทักษ์ดูแลอยู่เป็นประจำ”
*น่าจะเป็นความจริงตามคำเล่าลือ*

 

หลังจากความฝันคืนนั่นผ่านไป ผมไม่ได้ให้ความสนใจอะไรพิเศษหรือค้นหาข่าวสารอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องของพญานาคและองค์พระธาตุพนมอีกเลย

 

...เวลาผ่านไป 27 ปี ผมพร้อมด้วยสมาชิกครอบครัว 3 คนได้เห็นปาฏิหาริย์แห่งองค์พระธาตุพนมพร้อมกัน ในวันก่อนเข้าพรรษา 1 วัน เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์จริงที่น่าตื่นเต้นน่าอัศจรรย์ใจ จนมิรู้ลืมเลือน

 

...ผมจึงขอลำดับเรื่องราวย่อๆดังนี้

เมื่อวันที่ 17-10-2545(17-10-2002) ผมพร้อมด้วยสมาชิกครอบครัว 3 คน ได้ไปท่องเที่ยวลัดเลาะเลียบริมฝั่งแม่น้ำโขงแบบเส้นทางวงกลม ตั้งแต่บุรีรัมย์-ศรีสะเกษ-อุบล-มุกดาหาร-นครพนม-หนองคาย-เวียงจันทร์-ภูเรือจ.เลย
ระหว่างวันที่ 17-10-45 ถึง วันที่ 26-10-45

 

...วันที่ 20-10-45 ก่อนวันเข้าพรรษา 1 วัน ผมได้แวะพักค้างคืนที่ อ.ธาตุพนม เพื่อกราบไหว้องค์พระธาตุพนมครั้งแรกในชีวิต

ช่วงเย็นเวลาประมาณ 17.00 น.ทางวัดมีการจัดงานวันออกพรรษา มีประชาชนเข้ามากราบไหว้องค์พระธาตุพอสมควรแต่ยังไม่หนาตา


ผมกับภรรยาและลูกยืนอยู่บริเวณลานวัดแถวซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก เห็นพระอาทิตย์กำลังส่องแสงรำไร แดดอ่อนๆท้องฟ้าโปร่ง อากาศกำลังสบายๆ

ขณะที่ผมกำลังมองดูความงดงามตระการตาขององค์พระธาตุพนม

 

ทันใดนั่นได้ยินเสียงภรรยาชี้ให้มองท้องฟ้าด้านทิศตะวันตก เมื่อมองไปผมต้องตะลึง เพราะขณะนั่นท้องฟ้าได้เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ขึ้น
เห็นเงาขององค์พระธาตุพนม ประมาณโซนสีควันบุหรี่แกมสีเทาอ่อนทอดขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่มีขนาดองค์ใหญ่และสูงกว่าองค์พระธาตุจริง 1-2 เท่า ในลักษณะส่วนฐาน ส่วนกลางและปลายยอดค่อนข้างสมบูรณ์ครบองค์

ที่จำได้ติดตามากคือลำเงาขององค์พระธาตุตั้งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้าตามลักษณะองค์พระธาตุจริง ไม่ได้เอียงหรือเฉียงใดๆ แตกต่างกับเงาของคนหรือวัตถุสิ่งของที่ทอดยาวราบไปตามพื้น

กินเวลานานถึง 2-3 นาที แล้วจึงค่อยๆเลือนหายไป

 

...ช่วงเวลาที่กำลังตื่นเต้น
...ผมได้หยิบกล้องฟิล์มถ่ายไปหลายรูป

จากนั่นกวาดสายตาไปมองดูผู้คนรอบพระเจดีย์ฝั่งที่ผมยืนอยู่

เห็นบางคนกราบไหว้องค์พระ บ้างก็เดิน บ้างก็ยืน
(จากภาพที่ปรากฏข้างล่าง)
...ผมไม่ทราบว่าบางคนที่ยืน
...กำลังเงยหน้ามอง *เงาพระธาตุ* ด้วยหรือไม่ ??
...ส่วนคนที่ยืนอยู่ด้านอื่นผมคงไม่ทราบ

 

เมื่อกลับถึงกรุงเทพรีบเอารูปทริปนี้ไปล้างอัดที่ร้าน ปรากฏว่าถ่ายไม่ติดเงาพระธาตุแม้แต่รูปเดียว

คิดว่าน่าจะเป็นเพราะคุณภาพของกล้องฟิล์มราคาถูก
หรืออาจเป็นเพราะเหตุปัจจัยอื่น

(ตอนนั่นผมยังนึกเสียดายที่ไม่สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์สำคัญนี้ไว้ได้)
ถ้าเป็นกล้องซูมอย่างดี หรือกล้องมือถือดิจิตอลดีๆยุคสมัยนี้ ผมคิดว่าน่าจะถ่ายติด เพราะเงาขององค์พระธาตุนับว่าชัดพอสมควร แบบใครเห็นแล้วคงไม่ต้องขยี้ตาเพื่อดูซ้ำ ที่สำคัญสูงใหญ่กว่าองค์จริง 1-2 เท่า องค์ค่อนข้างสมบูรณ์และครบองค์

แต่ภายหลังก็คิดขึ้นมาได้ว่าองค์พระธาตุพนมที่ศักดิ์สิทธิ์
คงต้องการดลบันดาลให้ผมและครอบครัวได้เห็นและรับรู้ปาฏิหาริย์ครั้งนี้เพียงแค่ไม่กี่คน

เป็นไปตามพระเกจิอาจารย์ที่บอกให้ผมฟังในภายหลังว่า นี่คือเรื่องของ “บุญสัมพันธ์” ในอดีตชาติของแต่ละบุคคล

 

...จากความรู้สึกอิ่มเอิบใจตลอดคืนที่ผ่านมา ได้เพิ่มความศรัทธาของผมต่อองค์พระธาตุพนมมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ...

เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเดินทางไปดูบั้งไฟพญานาคที่โพนพิสัย จ.หนองคาย ผมกับครอบครัวได้แวะเข้าไปกราบไหว้องค์พระธาตุพนมอีกครั้ง

และถือโอกาสอันเป็นมงคลในวันออกพรรษา เช่าบูชาองค์พระธาตุพนมจำลองมากราบไหว้ที่บ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต

 

ผมขอยืนยันว่าปรากฏการณ์ปาฎิหาริย์เงาพระธาตุพนมกับความฝันที่พบเห็นพญานาค 7 เศียร ในคืนที่องค์พระธาตุพนมพังทลายลงมาเป็นความฝันที่เกิดขึ้นจริง ผมคงไม่กล้าเสี่ยงเขียนหรือเล่าเรื่องเท็จใดๆเกี่ยวกับองค์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะด้านบวกหรือด้านลบ

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ผมได้พยายามค้นหาเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงาพระธาตุพนมจากกูเกิล มีเพียงการบอกเล่าปากต่อปากที่สืบทอดกันมาทำนองว่า
“ปาฎิหาริย์เงาพระธาตุพนมมีจริง แต่นานๆจะมีคนเห็นครั้ง”

…ส่วนที่บันทึกเป็นตัวหนังสือ หรือบทความจะมีน้อยมากๆ


แต่ครั้นหนึ่งในชีวิตผมได้เห็นเงาองค์พระธาตุพนม
พร้อมกัน 3 คนเป็นเวลานานถึง 2-3 นาที
ทั้งก่อนที่จะเห็นไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยิน เรื่องราวเกี่ยวกับเงาพระธาตุพนมเลย
พูดง่ายๆคือไม่เคยมีเรื่องราวเหล่านี้อยู่ในสมองแม้แต่นิดเดียว

*จึงเป็นเรื่องที่น่า "อัศจรรย์ใจ" ยิ่งนัก*

เคยกราบเรียนเล่าเรื่องราวนี้ให้พระอาจารย์บางท่านฟัง
ท่านบอกว่าเป็น “บุญสัมพันธ์” ในอดีตชาติที่เคยมีต่อองค์พระธาตุพนม

 

เมื่อวิเคราะห์พิจารณาด้วยเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์

เงาจะเกิดขึ้น "หลังวัตถุ" และตรงข้ามกับแหล่งที่มาของแสงเท่านั่น

ฉะนั่นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังส่องแสงอยู่ด้านทิศตะวันตก โดยมีองค์พระธาตุพนมอยู่ตรงกลาง เงาขององค์พระธาตุย่อมต้องทอดไปทางด้านทิศตะวันออกที่ผมยืนอยู่
...แต่เงาที่เห็นกลับเกิดขึ้น "หน้าวัตถุ" หรือด้านหน้าองค์พระธาตุ ???

ที่สำคัญอีกประเด็นคือช่วงที่เห็นเงาพระธาตุทางวัดยังไม่ได้เปิดไฟ เพราะเป็นช่วงเวลาประมาณ 17.00 น.ท้องฟ้ายังสว่างอยู่


ฉะนั่นผมจึงมั่นใจและกล้ายืนยันได้ว่า...

ปรากฏการณ์เงาองค์พระธาตุพนมที่เห็นพร้อมกันทั้ง 3 คน

เป็น*ปาฎิหาริย์แห่งองค์พระธาตุพนม*โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ

 

บันทึกปิดท้าย...

แม้จะมีผู้เคยพบเห็นเงาพระธาตุพนมน้อยมากๆ จนแทบจะไม่มีใครเขียนบันทึกเรื่องราวอย่างชัดเจนเลย มีแต่การเล่าลือสืบต่อกันปากต่อปากที่รู้มาจากตำนานบ้างและจากผู้ที่เคยพบเห็นจริงบ้าง หรือบางทีอาจเป็นเพราะผมอ่านไม่พบเรื่องราวที่เคยมีคนบันทึกไว้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุปัจจัยอื่น

...แม้ส่วนตัวผมจะเพิ่งมาบันทึกประสบการณ์จริงนี้อย่างจริงจังเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปเกือบ 15 ปี แต่ก่อนหน้านี้หลายปีที่ผ่านมา ผมก็เคยมีจดบันทึกอย่างย่อและง่ายๆไม่กี่บรรทัดเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ

ที่สำคัญเรื่องอัศจรรย์ใจเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้นกับใคร จะฝังอยู่ในความทรงจำ ย่อมไม่มีใครลืมเลือนได้เลย

 

...ส่วนตัวผมคิดว่ากฎแห่งกรรมก็คือเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์

...คงไม่สงสัยและงงนะครับ?

เพราะผมหมายถึงใครทำกรรมใดไว้ ก็ได้อย่างนั่น

นี่แหละคือความศักดิ์สิทธิ์ของกฎแห่งกรรม

 

ประสบการณ์จริงที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังนี้

...ตรงกับยุคที่โลกกำลังเดือด

และร้อนระอุไปด้วยเชื้อไฟแห่งสงคราม

ไฟแห่งการต่อสู้แย่งชิงดีเชิงเด่นกัน

และไฟแห่งอารมณ์

...จนห่างไกลความศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์

ไม่สนใจกฎแห่งกรรมของศาสนา

 

ทุกท่านที่อ่านจบแล้ว

...คงจะทำให้เกิดความสุขปลื้มปิติ สำหรับท่านที่ได้สะสมกรรมดีไว้

...แต่ยังไม่สายเกินไปสำหรับท่านที่ยังไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม



ขออนุโมทนา บุญรักษาทุกท่านครับ สาธุ