ปัจจุบันธรรม : หลวงปู่แหวน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย oatspace, 15 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. oatspace

    oatspace เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +339
    ปัจจุบันธรรม

    เอามรรคที่เกิดขึ้นจากกายจากใจ น้อมเข้าหาตน น้อมเข้ามาในกายน้อมเข้า
    มาในใจ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริงในใจนี่แหละ อย่าไปยึดไปถือเอาที่อื่น ถ้ารู้ตาม
    แผนที่ปริยัติธรรมไปยึดไปถือเอาสิ่งต่างๆไป แผนที่ปริยัติธรรมต่างหากต้อง
    น้อมเข้าหากายต้องน้อมเข้าหาใจ ให้มันแจ้งอยู่ในกายนี้ให้มันแจ้งอยู่ในใจนี่ มันจะหลงมันจะเขวไปอย่างไรก็ตามพยายามดึงเข้ามาจุดนี้ น้อมเข้ามาหา
    กายนี้น้อมเข้ามาหาใจนี้เอาใจนี่แหละนำออก ถ้าเอามากบางทีมันก็เขวก็ลืมไป
    น้อมเข้ามาหากายน้อมเข้ามาหาใจนี้ มีเท่านี้แหละหลักของมัน ถ้าออกจากกาย
    ใจแล้วมันเขวไปแล้วหลงไปแล้วน้อมเข้ามาสู่กายสู่ใจแล้วก็ได้หลักใจดี

    ธรรมก็คือการรักษากายรักษาใจ น้อมเข้ามาหากายน้อมเข้ามาใจแหละ

    ศีล ตั้งอยู่ในกายนี่แหละ ตั้งอยู่ในวาจานี่แหละและตั้งอยู่ในใจนี่แหละ ให้
    น้อมเข้ามานี้มันจึงรู้ ตั้งหลักได้ ถ้าส่งออกไปจากนี้มันมักหลงไป เอาอยู่ในกาย
    ในใจนี้ น้อมเข้ามาสู่อันนี้ นำหลงนำลืมออกไปเสีย เอาให้เป็นปัจจุบัน เอาจิต
    เอาใจนี่ละวางถอดถอนออก ทางกายก็น้อมเข้ามาให้รู้แจ้งทางกาย น้อมเข้ามา
    หาใจของตนนี้ให้มันแจ่มแจ้ง ถ้าไปยึดถือเอาอย่างอื่นมันเป็นเพียงสัญญาความ
    จำ น้อมเข้ามารู้แจ้งในใจของตนนี้รู้แจ้งในกายของตนนี้ นอกจากนี้เป็นอาการ
    ของธรรม ยกขึ้นสู่จิต น้อมเข้ามาหาจิตหาใจนี้ ความโลภ ความหลง ความ
    โกรธ กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นที่นี่แหละต้องน้อมเข้ามาสู่จุดนี้ ถ้าน้อมเข้าหาจุดอื่นเป็นแผนที่ปริยัติธรรม รู้กายรู้ใจ แจ่งแจ้งแล้วนอกนั้นเป็นแต่อาการ บางที
    ไปจับไปยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้มันก็ลืมไป ทำให้มันแจ้งอยู่ในกายแจ้งอยู่ในใจ มีสติ
    สัมปชัญญะ สติสัมโพชฌงค์ สัมมาสติ ก็อันเดียวกันนี่แหละ ให้พิจารณาอยู่
    อย่างนี้ อาศัยความเพียรความหมั่น

    คำว่าสติ ก็รู้ในปัจจุบัน สัมปชัญญะรู้ในปัจจุบัน รู้ในตนรู้ในใจเรานี้แหละ รู้ใน
    ปัจจุบัน รู้ละความโลภ ความโลภ ความหลง ราคะ กิเลส ตัณหา เหล่านี้ละออก
    ให้หมด ละออกจากใจ ละอยู่ตรงนี้แหละ สติถ้าได้กำลังใจแล้วมันก็สว่าง
    ตั้งจิตตั้งใจกำหนดเบื้องต้น คือการกำหนดจิตหรือกำหนดศีล คือกายก็บริสุทธิ์ วาจาก็บริสุทธิ์ ใจก็บริสุทธิ์ กำหนดนำความผิด ออกจากกายจากใจ
    ของตน เมื่อกายวาจาใจบริสุทธิ์ สมาธิก็บังเกิดขึ้น รู้แจ่มแจ้งไปหาจิตหาใจ
    กายนี้ก็รู้แจ้ง รู้แจ้งในกายในใจของตนนี้

    สติปัฏฐานสี่ สติ มีเพียงตัวเดียว นอกนั้นท่านจัดไปตามอาการ แต่ทั้งสี่มา
    รวมอยู่จุดเดียว คือ เมื่อสติกำหนดรู้กายแล้ว นอกนั้น คือ เวทนา จิต ธรรม ก็
    รู้ไปด้วยกัน เพราะมีอาการเป็นอย่างเดียวกัน อาการทั้ง 5 คือ อนิจจัง ทั้ง 5
    ทุกขัง ทั้ง 5 อนัตตา ทั้ง 5 เป็นไม่ยั่งยืน เราเกิดมาอาศัยเขาชั่วอายุหนึ่ง
    อนิจจังทั้ง 5 ทุกขังทั้ง 5 อนัตตาทั้ง 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    มันก็สิ้นไปเสื่อมไป เราอาศัยเขาอยู่เพียงอายุหนึ่งเท่านั้น เมื่อรูปขันธ์แตก
    สลายมันก็หมดเรื่องกัน

    การประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน สมมติกันให้ได้ชั้นนั้นบ้างชั้นนี้บ้าง อันนั้นมัน
    เป็นสมมติแต่ธรรม เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่เที่ยงมันก็
    เป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังทั้ง 5 มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น รูปํ อนิจัง เวทนา อนิจจัง
    สัญญา อนิจจัง สังขารา อนิจจัง วิญญาณํ อนิจจัง มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เรามา
    อาศัยเขา สัญญาเราก็ไหลไปตาม เวลา ดิน น้ำ ลม ไฟ สลายจากกันแล้วมันก็
    ยุติลง

    ส่วนจิตเป็นผู้รู้ เมื่อละสมมติ วางสมมติได้แล้ว มันก็เย็นต่อไป กลายเป็น
    วิมุตติความหลุดพ้นไป เพราะสมมติทั้งหลายวางได้แล้วก็เป็นวิมุตติ แต่ถ้า
    เอาเข้าจริงๆ แล้วมันมักจะหลง ถ้าเราตั้งใจเอาจริงๆ พวกกิเลสมันก็ เอาจริงๆ
    กับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยความหมั่นความเพียรไม่ท้อถอย ถ้าละ
    พวกกิเลสตัณหาได้มันก็เย็นสงบสบาย

    ถ้าจิตมันปรุงมันแต่งเป็นอดีต อนาคตไป เราก็ต้องเพ่งพิจารณา เพราะอดีตก็
    เป็นธรรมเมา อนาคต ก็เป็นธรรมเมา จิตที่รู้ปัจจุบัน จึงเป็นธรรมโม

    อาการทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจัง ให้ยืนอยู่
    ในปัจจุบันธรรม
    อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา
    ธรรมโมคือเห็นอยู่ รู้อยู่ในปัจจุบัน
    ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นอดีตอนาคต
    ดับทั้งอดีตอนาคต แล้วเป็นปัจจุบัน คือธรรมโม


    ให้จิตรู้อยู่ส่วนกลาง คือ สิ่งที่ล่วงไปแล้วเป็นอดีต ยังไม่มาถึงเป็นอนาคต
    ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนทั้งสองนั้นให้เพ่งพินิจ คือ เราอยู่ปัจจุบันธรรม มันจึงจะ
    ถูก เพราะปัจจุบันเป็นธรรมโม นอกจากนั้นเป็นธรรมเมา อดีตอนาคต รู้ปัจจุบัน
    ละปัจจุบัน เป็นธรรมโม ถ้าไปยึดถืออดีตอนาคตอยู่ เท่ากับไปเก็บไปถือเอา
    ของปลอม ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน ละเฉพาะตน วางเฉพาะตน
    หมุนเข้าหากายหาใจนี่แหละ ถ้ามันเอาอดีตอนาคตมันกลายเป็นแผนที่ไป

    แผนที่ปริยัติธรรมจำมาได้มาก ไปยึดไปถืออย่างนั้นบ้างสิ่งนี้บ้าง ทั้งอดีต
    อนาคต ยิ่งห่างจากการรู้กายรู้ใจของเรา ความโลภ ความโกรธ ความหลง มัน
    เป็นเชื้อของกิเลส มันอยู่ในแผนที่ใบลาน มันไม่เดือดร้อน ถ้ามันอยู่ในใจมัน
    เดือดร้อน เพราะฉะนั้นถ้ามันเกิดขึ้นในใจ ให้เอาใจละ เอาใจวาง เอาใจออก
    เอาใจถอน ปัจจุบันเป็นอย่างนี้

    ไม่ใช่จำปริยัติได้มาก พูดได้คล่อง เวลาเอาจริงๆ ไม่รู้จะจับอันไหนเป็นหลัก
    ปัจจุบันธรรมต้องรู้แจ้งเห็นแจ้งในกายใจของตน ละวางถอดถอน ในปัจจุบัน
    มันจึงใช้ได้

    ความโลภ ความโกรธมันเกิดขึ้นในใจ น้อมเข้ามาแล้วละให้มันหมด ราคะ กิเลส ตัณหา มันเกิดขึ้นมาละมันเสีย เรื่องของสังขารมันก็ปรุง เกิดขึ้นดับลง เกิดขึ้นดับลง เอารู้เฉพาะปัจจุบัน อดีตอนาคตวางไปเสีย อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ข้อนี้ถือให้มั่นๆ ความปฏิบัติเพ่งความเพียร เร่งเข้าๆ
    มันก็ค่อยแจ่มแจ้งไปเอง ถ้าจิตมันเป็นอดีตอนาคต วางเสีย เอาเฉพาะปัจจุบัน
    การกระทำสำคัญเวลาทำตั้งใจเข้าๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมัก
    เกิด เราต้องพิจารณาค้น เข้าหาใจมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จิตมักจะเก็บอดีต
    อนาคตมาไว้ ทำให้แส่ส่ายไปตามอาการ

    ให้เอาเฉพาะปัจจุบัน ธรรมโม น้อมเข้ามาให้ได้กำลังทางด้านจิตใจ
    ละวางอดีตอนาคต อันเป็นส่วนธรรมเมา เพ่งพินิจเฉพาะ ธรรมโม

    รักษากายให้บริสุทธิ์ รักษาวาจาให้บริสุทธิ์ รักษาใจให้บริสุทธิ์ น้อมเข้าหา

    ใจให้รู้แจ้งใจนี้ กายก็ให้รู้แจ้ง เอาให้รู้แจ้งกายใจ จนละได้วางได้ เพ่งจนเป็น
    ร่างกระดูก ทำได้อย่างนี้ก็พอสมควร เอาให้มันรู้แจ้งเฉพาะกายใจนี้ ไม่ต้องเอา
    มาก ถ้าเอามากมัน มักไปยึดเป็นอดีตอนาคตไปเสีย ข้อนี้สำคัญเกิดขึ้นแล้วมัน
    ก็ดับ เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับตัวสัญญา

    ตั้งหลักไว้ อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ระลึก ดับ ละ วาง ในปัจจุบันจึงเป็นธรรมโม เมื่อจิตอยู่ในปัจจุบันธรรม อดีตอนาคต ถ้ามันเกิดมันก็ต้องดับลงไป

    ต้องหมั่นต้องพยายามเข้าหาจุดของจริง อดีตอนาคตปัจจุบัน สามอย่างนี้

    แหละเป็นทางเดินของจิต ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ กิเลสตัณหา มันก็เกิดขึ้นในใจนี้แหละ มันแสดงออกจากใจนี้ ให้น้อมเข้ามาๆ ถึง
    อย่างนั้นกิเลสทั้งหลายมันก็ยังทำลายคุณความดีได้เหมือนกัน

    แต่ถ้ามีสติความชั่วเหล่านั้นมันก็ดับไป


    พระธรรมโอวาทของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ธรรมที่แท้ต้องสวยงามแบบนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...