ปัจฉิมโอวาท ของท่าน มิลาเรปะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย มนตะระเทวะ, 20 ตุลาคม 2012.

  1. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    [​IMG]

    มิลาเรปะ

    ปัจฉิมโอวาท

    ขอน้อมคารวะต่อคณาจารย์ทั้งปวง

    ครั้งหนึ่ง ขณะเมื่อท่านมิลาเรปะพำนักอยู่ที่ชูบา มีผู้คนจำนวนเป็นจำนวนมากไม่สามารถเห็นเรือนกายของท่านได้ ส่วนพวกที่สามารถเห็นท่านได้ ก็เห็นท่านอยู่ในอาการที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่ทุกคนจะเห็นท่านหัวเราะสลับกับร้องไห้เหมือนๆกัน ท่านชิวาอุยพูดกับท่านมิลาเรปะว่า “เมื่อวานนี้ กระผมไม่เห็นท่านอาจารย์ แต่บางคนเห็นท่านอาจารย์นั่งสมาธิอยู่ จะให้พวกเราทำอย่างไรกันครับ ทำไมท่านอาจารย์จึงหัวเราะสลับกับร้องไห้ โดยไม่มีเหตุผลใดๆปรากฏให้เห็นเลย?” ท่านมิลาเรปะตอบว่า “เพราะว่าเมื่อวานนี้ มีหลายคนฟังอาตมาแสดงธรรม เมื่ออาตมาเห็นพวกเขาเป็นสุข อาตมาก็หัวเราะ เมื่อเห็นเขามีความทุกข์ อาตมาก็ร้องไห้”
    “กรุณาบอกพวกเราให้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดด้วยเถิดครับ”
    “ถ้าเธอต้องการได้ยินเรื่องราวนี้ เธอต้องเตรียมจัดทำมณฑลพิธีเพื่อบวงสรวงก่อน”
    หลังจากจบพิธีบวงสรวงตามบัญชาของท่านมิลาเรปะแล้ว ท่านมิลาเรปะได้กล่าวว่า “เมื่อวานนี้ อาตมาออกไปแสดงธรรมกับสรรพชีวิตทั้งหกภพภูมิ การที่อาตมาได้เห็นเทพเทวาและมนุษย์รวมทั้งพวกที่บำเพ็ญกุศลกรรม พากันร่าเริงเบิกบาน อาตมาก็หัวเราะ แต่เมื่ออาตมาเห็นความทุกข์ทรมานในโลกอบายทั้งสาม และในผู้ที่กระทำแต่อกุศลกรรม อาตมาก็ร้องไห้” ท่านมิลาเรปะกล่าวถึงความทุกข์ของสรรพชีวิตในสวรรค์ว่า

    อาตมาขอสวดภาวนาถึงบรรดาวิสุทธิบุคคลผู้ทรงคุณอันประเสริฐ
    ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้สวมกอดสรรพชีวิตไว้ด้วยพรชัยอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน
    ความผาสุกที่เกิดกับมนุษย์และเทพเทวาทั้งหลาย
    ช่างเหมือนกับความสนุกสนานของพวกยักษ์ในสวรรค์
    มันเอะอะหนวกหูเหมือนฟ้าคำราม แต่จะให้มันเลิศเลอไปกว่านี้ได้อย่างไรกันหนอ?

    พวกเทพเทวาในสวรรค์ที่ปราศจากรูปกาย ไม่สามารถแยกแยะความดีออกจากความชั่ว
    เพราะดวงจิตของพวกเขาโง่งมและดื้อด้าน ไม่มีความผ่องใสแววไว
    ในความไร้สติอันมืดบอดนี้ พวกเขาพากันมีชีวิตอยู่ยาวนานหลายกัปป์กัลป์ โดยเข้าใจว่าชั่วขณะเดียว
    ช่างน่าสมเพชจริงๆหนอ ที่พวกเขาไม่ได้ล่วงรู้เลย ว่ามันเป็นเช่นนั้น

    อนิจจา การเกิดในสวรรค์ของอรูปพรหมเหล่านี้ ช่างปราศจากความหมายและคุณค่าใดๆ
    เมื่อใดความคิดอกุศลบังเกิดอุบัติขึ้นมา
    พวกเขาทั้งหลายก็เริ่มตกล่วงลงมาสู่ภพภูมิที่ต่ำทราม อีกครั้งหนึ่ง
    การตกล่วงของพวกเขาช่างง่ายดาย ไม่ต่างอะไรกับวิบากผลแห่งอกุศลกรรม
    ซึ่งคือการพูดสาธยายเพ้อพกจนปากแห้ง ด้วยวจีกรรมอันว่างเปล่าไร้สาระ

    สำหรับในสวรรค์ที่มีรูปกาย ซึ่งมีพวกรูปพรหมชั้นสูงห้าชั้น และมีพวกชั้นต่ำกว่าอีกสิบสองชั้น
    เป็นพวกที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน จนกว่ากุศลของพวกเขาจะถูกใช้จนหมด
    ความบริสุทธิ์ของรูปพรหมเหล่านี้ เป็นความบริสุทธิ์ที่ยังอิงอาศัยเงื่อนไขต่างๆ เป็นหลัก
    และบรรดากรรมของพวกเขา ก็ล้วนแต่เป็นโลกียกรรมเพื่อเวียนว่ายไปในสังสารวัฏทั้งสิ้น

    เหล่าผู้ปฏิบัติธรรมที่อิงอยู่กับตัณหาอุปาทานแบบโลกๆ
    และบรรดานักบวชที่จมอยู่กับความสงบในสมถะ
    ยังจะต้องชำระดวงจิตให้บริสุทธิ์ต่อไปอีก
    การโอ่อวดของพวกเขา ช่างยิ่งใหญ่นักหนา
    แต่เมล็ดพันธ์แห่งโมหะในดวงจิตของพวกเขา กลับหยั่งรากลึกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
    เมื่อสงบลงได้พักใหญ่ ความคิดที่ชั่วร้ายก็จักอุบุติขึ้นมาอีก
    เมื่อกุศลผลบุญของพวกเขา ถูกใช้จนหมด เขาก็จะพากันตกจมลงไปสู่โลกต่ำแห่งอบายภูมิอีกครั้งหนึ่ง
    ถ้าอาตมาอธิบายให้พวกเธอฟัง ถึงความน่าหวาดเสียวในการตายของพวกเทวา
    พวกเธอจะท้อใจและพิศวง
    จงจดจำบทโศลกนี้ไว้ในดวงใจ และบำเพ็ญสมาธิภาวนาอยู่เสมอเถิด

    ด้วยความสลดสังเวช บรรดาสานุศิษย์ได้ขอร้องท่านมิลาเรปะ ให้เล่าถึงความทุกข์ทรมานของพวกอสูร ท่านมิลาเรปะได้แสดงบทโศลกว่า

    อาตมาขอสวดภาวนาถึงคุรุทั้งหลายและบรรดาเทพธิดา
    ได้โปรดอวยพรชัยให้สรรพชีวิตทั้งปวง สามารถปลุกเร้าโพธิจิตขึ้นมาในดวงใจด้วยเถิด

    ยิ่งใหญ่นักหนา คือความทุกข์ทรมานของเหล่าอสูร
    การดำเนินไปผิดๆด้วยความคิดอันชั่วร้าย จึงนำความอับโชคมาให้เหล่าอสูรทั้งหลาย
    ด้วยการไม่รู้จักดวงจิตของตนอย่างแท้จริง การกระทำของพวกเขา จึงเต็มไปด้วยความหลอกลวง
    ความรู้สึกของพวกเขาหยาบกระด้าง
    พวกเขาพากันหลงปรักปรำว่าพวกอื่นๆทั้งหมด ล้วนเป็นศัตรูของพวกเขา
    ไม่มีแม้แต่เพียงขณะเดียว ที่พวกเขาจะได้หยั่งรู้ถึงพระสัทธรรม
    ธรรมชาติอันชั่วร้าย ทำให้พวกเขาไม่อาจอดทนต่อความสูญเสียใดๆได้
    ยากยิ่งกว่านั้นสำหรับพวกเขา คือการบ่มเพาะให้เกิดความเมตตากรุณาขึ้นมา
    เพราะมืดบอดอยู่ด้วยกรรมแห่งพยาบาทวิตก พวกเขาจึงไม่อาจรับคำแนะนำที่ดีงามใดๆได้
    ธรรมชาติที่เลวร้ายเช่นนี้ มีสาเหตุมาจากการแสวงหาความสุขของตนบนความทุกข์ยากของคนอื่น
    ความหยิ่งลำพอง ความลำเอียง ความไร้สาระ และความชิงชัง ล้วนเกิดจากอิทธิพลของกรรมอันเลว
    ซึ่งลากพาบุคคลไปสู่การถือกำเนิดในโลกต่ำแห่งอบาย ซึ่งทำให้สามารถก่อบาปกรรมได้โดยง่าย

    วิบากกรรมที่สุกงอม ย่อมนำมาซึ่งสัญชาติญาณแห่งความชิงชัง
    ทำให้ล้มเหลวที่จะแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิด
    พวกเขาไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือใดๆในทุกวิถีทาง
    จงจดจำบทโศลกนี้ไว้ในดวงใจของพวกเธอเถิด สานุศิษย์ทั้งหลายของอาตมา
    และจงได้บำเพ็ญสมาธิภาวนาด้วยความอุตสาหะตลอดชีวิตของพวกเธอ

    ท่านชิวาอุยได้ขอร้องให้ท่านมิลาเรปะ อธิบายถึงความทุกข์ทรมานของมนุษย์ ท่านมิลาเรปะกล่าวบทโศลกว่า

    อาตมาขอน้อมเศียรเกล้ากราบลง ณ เบื้องบาทท่านอาจารย์มาระปะ
    ผู้เป็นร่างจำแลงของพระพุทธเจ้า

    พวกเราเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย มีสมรรถนะ ที่จะกระทำดีหรือเลวก็ได้ เป็นคุณสมบัติประจำตัว
    ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ร่างกายของพวกเรา ประกอบขึ้นมาจากธาตุทั้งหก

    พวกเรปะที่ปรารถนาจะเป็นนักปริยัติผู้ยิ่งใหญ่ ควรรู้จัก แก่น และ เปลือก ของพระพุทธศาสนา
    ไม่เช่นนั้น การศึกษาเล่าเรียน ย่อมจะนำพาพวกเธอไปสู่ความยุ่งยาก

    การไม่รู้จักรากเหง้าของดวงจิต
    ย่อมทำให้การบำเพ็ญสมาธิภาวนามายาวนานหลายปี สูญเปล่าไร้ประโยชน์
    เมื่อปราศจากความซื่อตรงและความตั้งใจจริง การบริจาคทานมากมาย ย่อมไม่มีความหมาย
    ถ้ายังมีความลำเอียง การให้ความอนุเคราะห์ต่อผู้คน ย่อมดำเนินไปผิดๆ
    ถ้าไม่รู้จักคำตักเตือนที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับจริตนิสัยของแต่ละบุคคล
    คำพูดแบบขวานผ่าซาก ย่อมจะนำมาแต่ความยุ่งยากและความไม่ปรองดองกัน

    บุคคลซึ่งรู้จักแนวทางอันเหมาะสมที่จะช่วยเหลือบุคคลซึ่งมีจริตนิสัยแตกต่างกัน
    ย่อมสามารถใช้ถ้อยคำง่ายๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีงาม
    บุคคลที่รู้จักตนเองแต่เพียงเล็กน้อย ย่อมสามารถทำอันตรายคนอื่นๆได้มากมาย ด้วยความโง่ของตน
    เมื่อความตั้งใจอันดีงามอุบัติขึ้นในดวงใจของบุคคล
    ก้อนหิน ต้นไม้ และดิน ย่อมกลับกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความบริสุทธิ์
    บุคคลที่เจ้าระเบียบมากเกินไป ย่อมไม่รู้จักที่จะผ่อนคลาย
    สุนัขที่อิ่มย่อมไม่รู้จักว่าอะไรคือความตะกละ
    คุรุที่หน้าด้าน ย่อมไม่รู้จักว่าอะไรคือความกลัว
    คนร่ำรวยเป็นสัตว์เคราะห์ร้ายด้วยทรัพย์สินเงินทอง
    คนยากจนเป็นสัตว์เคราะห์ร้ายด้วยปราศจากทรัพย์สินเงินทอง
    โอ้อนิจจา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ทั้งคู่ล้วนเป็นความทุกข์ทรมาน
    ความผาสุกจักมาเยือน ลูกๆที่รักทั้งหลาย ถ้าพวกเธอสามารถปฏิบัติธรรม
    จงจดจำถ้อยคำของอาตมา และปฏิบัติบำเพ็ญด้วยความวิริยะอุตสาหะเถิด

    สานุศิษย์ได้ขอร้องให้ท่านแสดงถึงความทุกข์ทรมานในโลกอบายทั้งสามต่อไปอีก ท่านมิลาเรปะได้แสดงบทโศลกว่า

    อาตมาขอสวดภาวนาถึงคุรุผู้เป็นสรณะ
    จงได้ช่วยขจัดความหวาดหวั่นออกจากอาณาจักรอันทุกข์ทรมานทั้งหลายด้วยเถิด

    สรรพชีวิตผู้ทำการฆ่าเพื่อเนื้อและโลหิต จะต้องถูกเผาไหม้ในนรกอันร้อนแรงแปดขุม
    แต่ถ้าพวกเขาพอจะจดจำคำสอนที่ดีงามได้บ้าง พวกเขาจะได้รับการปลดปล่อยในเวลาไม่ช้าไม่นาน

    พวกโจรอำมหิตที่ทุบตีและฆ่า เพื่อยื้อแย่งอาหารผู้อื่นกินอย่างผิดๆ
    ขณะที่หวงแหนอาหารของตนเอง ด้วยความตะกละและละโมบ
    จักต้องตกล่วงลงสู่นรกอันหนาวเย็นแปดขุม
    ถ้าพวกเขาไม่ได้มีทัศนะผิดๆที่ขัดแย้งกับพระธรรม เวลาแห่งการถูกปลดปล่อยจะมาถึงในไม่ช้า
    เมื่อใดก็ตามที่สัตว์ในนรกรำลึกถึงพระพุทธองค์ เขาจะถูกปลดปล่อยทันที

    การกระทำบาปกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นนิมิตหมายของการถูกครอบงำด้วยกรรมอันเลว
    พวกปีศาจที่เต็มไปด้วยตัณหาร่านทุรนในสุขเวทนาทั้งหลาย
    ย่อมฆ่าได้แม้กระทั่งบุพการีและคุรุทั้งหลายของตน
    พวกเขาย่อมสามารถ โจรกรรมสมบัติของพระรัตนตรัย และกล่าวจาบจ้วงด่าว่าวิสุทธิบุคคลทั้งหลาย
    พวกเขาสามารถกล่าวติเตียนพระธรรม ว่าไม่ใช่ความจริงแท้
    บรรดาผู้ที่ชั่วช้าเหล่านี้ จะถูกเผาไหม้ ในนรกที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่องไม่มีเวลาหยุด
    โอ้อนิจจา ความอิสระหลุดพ้นช่างห่างไกลจากพวกเขาทั้งหลายมากมายเหลือเกิน
    ลูกเอ๋ย สภาพเช่นนี้ ย่อมทำให้พวกเธอสลดสังเวชอย่างแน่นอน
    ดังนั้น เพื่อดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่งพระธรรม
    จงทุ่มเทจิตใจของเธอและสละอุทิศตัวเธอเอง เพื่อบำเพ็ญสมาธิภาวนาเถิด

    พวกเรปะได้ขอร้องให้ท่านมิลาเรปะเล่าถึงความทุกข์ทรมานของผีเปรตผู้หิวกระหาย ท่านมิลาเรปะได้กล่าวบทโศลกว่า

    อาตมาขอสวดภาวนาถึงคณาจารย์ทั้งปวง
    จงได้ช่วยปกป้องอมนุษย์ทั้งหลายในนรกอเวจี
    ให้พ้นจากความหวาดกลัวด้วยความเมตตาของท่าน ด้วยเถิด

    เพราะเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นให้ฆ่าตัวเอง ผู้ที่อยู่ในนรก
    ย่อมไม่สามารถหลุดรอดจากความหวาดกลัวไปได้

    พวกผีเปรต ย่อมเห็นรูปลักษณ์ทั้งปวง ที่วิ่งถลาออกมาจากความตื่นตระหนกแต่ละครั้ง
    เป็นศัตรูของตน
    พวกสัตว์นรกย่อมต่อสู้และกัดกินกันเอง
    จะกล่าวโทษผู้ใดได้เล่า? เพราะความทุกข์ทรมานของผีเปรตผู้หิวกระหาย
    เติบโตขึ้นมาจากความตระหนี่
    บุคคลผู้ซึ่งล้มเหลวที่จะบริจาคเมื่อเขาร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ได้ต่างอะไรกับหนู
    บุคคลย่อม รังเกียจบ่นตำหนิอาหาร เมื่อเขามีมากมายล้นหลาม
    คนตระหนี่ ย่อมไม่ให้เครื่องอุปโภคบริโภคกับคนอื่นๆ แต่คอยตรวจนับจำนวน และกักตุน
    พวกเขาย่อมเต็มไปด้วยความไม่พอใจทั้งวันทั้งคืน
    ในช่วงเวลาแห่งความตาย เขาย่อมเห็นว่าทรัพย์สินที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก
    ย่อมจะถูกใช้จ่ายไปเพื่อความสำเริงสำราญของคนอื่น
    พวกเขาถูกจับกุมไว้ในสัมภเวสีด้วยความทุกข์ทรมานแห่งการสูญเสีย
    พวกเขาเป็นอยู่กับชีวิตของผีเปรต อันทุกข์ทรมานอยู่กับความหิวกระหาย ด้วยโมหะ
    เมื่อได้แลเห็นทรัพย์สินของตน ถูกใช้จ่ายอย่างสนุกสนานโดยผู้อื่น
    พวกเขาถูกทรมานด้วยราคะและโทสะ
    ดังนั้น เขาย่อมตกล่วงลงสู่นรกอเวจี ซ้ำแล้วซ้ำอีก

    อาตมา นักบวชผู้ยิ่งใหญ่ด้วยความแข็งแกร่งแห่งอินทรีย์พละ
    กำลังบอกพวกเธอถึงความเคราะห์ร้ายของผีเปรตผู้หิวกระหาย
    ลูกๆที่รักและบรรดาสานุศิษย์ที่แวดล้อมอยู่ ณ สถานที่นี้
    จงคิดคำนึงถึงถ้อยคำของอาตมา และบำเพ็ญสมาธิภาวนาด้วยความวิริยะอุตสาหะเถิด

    ชิวาอุยขอร้องให้ท่านมิลาเรปะแสดงถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์เดรัจฉานต่อไปอีก ท่านมิลาเรปะได้กล่าวแสดงว่า

    อาตมาขอน้อมคารวะคุรุผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
    ขอจงได้ช่วยปกป้องสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย
    ให้พ้นจากความหวาดกลัวด้วยความเมตตาของท่านด้วยเถิด

    โอ้อนิจจา สัตว์เดรัจฉานที่เต็มไปด้วยความโง่เขลาและมืดบอด
    มีคนโง่เขลาอีกเป็นจำนวนมาก จะพากันไปถือกำเนิดท่ามกลางสัตว์เดรัจฉาน
    ความมืดบอดและการถูกจองจำด้วยกรรมอันเลว ทำให้ผู้ที่โง่เขลา ไม่รู้จักพระสัทธรรม
    พวกเขาไม่รู้จักทั้งอกุศลและกุศล พวกเขาปล่อยให้ชีวิตหลุดลอยไปอย่างเปลืองเปล่า
    พวกเขาไม่สามารถใช้เหตุผลและสัญลักษณ์ใดๆ พวกเขากระทำเหมือนหุ่นยนตร์ ซึ่งไม่มีตาจะดู
    พวกเขาไม่สามารถแยกแยะความถูกออกจากความผิด เหมือนคนวิกลจริตที่ทำแต่สิ่งผิดๆมากมาย
    คนบางคนกล่าวว่า ดีเหมือนกันที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะได้ไม่ต้องมีการสำนึกผิดให้เสียใจ
    โอ้อนิจจา ช่างเป็นความนึกคิดที่โง่เขลาอะไรอย่างนี้

    บรรดาผู้โง่เขลาที่สะสมกักตุน ย่อมจะพากันไปถือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    บรรดาผู้โง่เขลาซึ่งไม่รู้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิด และให้ที่พักพิงแก่ความคิดอันชั่วร้าย
    ย่อมจะพากันไปถือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    มันยากสำหรับอาตมา ที่จะอธิบายถึงกรรมทั้งหลายของพวกเขา
    แต่พวกเธอจงได้คิดคำนึงถึงถ้อยคำของอาตมา และบ่มเพาะกุศลจิตของพวกเธอให้งอกงามเถิด

    พวกเรปะได้ถามท่านต่อไปอีกว่า “ท่านสอนธรรมแก่สรรพสัตว์ในสถานที่แห่งเดียวเท่านั้น หรือว่าท่านไปตามภพภูมิที่แตกต่างกันทั้งหก เพื่อแสดงธรรม?”
    ท่านมิลาเรปะตอบว่า “ด้วยสมรรถนะ ด้วยกรรม และด้วยความปรารถนา ที่แตกต่างกันของสรรพชีวิต อาตมาจึงแปลงกายหลายรูปแบบ ไปปรากฏในสถานที่แตกต่างกัน เพื่อสอนธรรมที่เหมาะควรแก่พวกเขา”
    ผู้ที่ร่วมชุมนุมฟังธรรม ต่างหวาดกลัวต่อความทุกข์ทรมานในสังสารวัฏ และพากันเกิดแรงบันดาลใจในการสละปล่อยวางบาปกรรมทั้งปวง

    ในสมัยอื่น ท่านมิลาเรปะเหาะขึ้นไปในท้องฟ้า จำแลงกายจากร่างเดียวเป็นหลายร่าง จากนั้นก็หลอมรวมเป็นร่างเดียวอีก บางครั้งท่านได้แสดงธรรมต่างๆมากมาย โดยไม่ปรากฏกาย และยังแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อื่นๆอีกด้วย
    เมื่อซีวานเรปะเห็นท่านมิลาเรปะเหาะ ท่านก็พยายามจะทำบ้าง แต่ท่านก็คงทำได้แค่วิ่งไปบนพื้นดินเท่านั้น ท่านมิลาเรปะกล่าวว่าผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติหนักเท่าท่าน ย่อมแสดงอภิญญาแบบท่านไม่ได้ จากนั้นท่านแสดงบทโศลกให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้ท่านมีพลังอำนาจเหนือมนุษย์

    ถ้าไม่มีทั้งกรรมและบรรดาเงื่อนไขที่ต้องการทั้งหลาย
    บุคคลย่อมไม่สมควรหวังว่าจะบรรลุถึงพุทธภาวะได้ในชีวิตนี้
    ผู้ซึ่งไม่สามารถปลงศรัทธาลงได้อย่างแท้จริงต่ออาจารย์ของตน
    ย่อมไม่สมควรหวังว่าจะได้รับพรชัยและการปกป้องจากท่าน เป็นของกำนัลตอบแทน
    บุคคลที่ไม่อาจยังความเลื่อมใสให้บังเกิดขึ้นได้ในหมู่สานุศิษย์
    ย่อมไม่สมควรที่จะตั้งตนเป็นอาจารย์
    บุคคลที่ไม่สามารถควบคุมดวงจิตของตน ไม่สมควรที่จะเป็นผู้นำคนอื่นๆ
    บุคคลผู้ซึ่งไม่สามารถสืบทอดอริยะประเพณี ย่อมไม่สมควรปรารถนาต่อศักดิ์และสิทธิ์ใดๆ
    บุคคลผู้ไม่สามารถพากเพียรปฏิบัติด้วยความอุตสาหะ ไม่ควรมุ่งหวังต่อการตรัสรู้
    บุคคลผู้ยังไม่หยุดกำหนดหมายแบ่งแยกคุณค่าของสิ่งต่างๆออกเป็นคู่ๆ ตามคติทวินิยม
    ไม่ควรปรารถนาเมตตาเจโตวิมุติที่เป็นอนันตภาพ
    บุคคลผู้ไม่สามารถปลดโซ่ตรวนแห่งอัตตา ย่อมไม่สมควรได้เห็นทัศนียภาพแห่งความอิสรเสรี
    บุคคลผู้ยังไม่ได้แลเห็นธรรมชาติอันแท้จริงของดวงใจ ย่อมไม่ควรหวังที่จะเข้าถึงปรมัตถสัจจะ
    บุคคลผู้ไม่รู้จักการขจัดมลทินเศร้าหมอง ยังไม่สมควรกับประสบการณ์ในภายในที่เป็นอนันตภาพ
    บุคคลผู้ยังไม่สามารถถอดถอนอุปาทาน ย่อมไม่พึงหวังความผาสุกสงบแห่งอายตนะทั้งหก
    บุคคลที่ไม่เชี่ยวชาญในการบำเพ็ญสมาธิจิต ไม่พึงหวังที่จะเข้าถึงเอกภาพกับสรรพสิ่ง
    บุคคลผู้ยังไม่สามารถถอนรากเหง้าของความหวังและความกลัวที่หยั่งรากลึก
    ไม่พึงหวังที่จะบรรลุถึงกายทั้งสามแห่งพุทธะ
    บุคคลที่ยังล่วงละเมิดศีลธรรม ย่อมไม่พึงหวังปิติสุขที่เกิดขึ้นฉับพลันทันใด
    บุคคลที่ยังไม่สามารถบรรลุทั้งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ไม่พึงหวังพุทธภาวะ
    บุคคลที่ว่านอนสอนยาก ไม่พึงหวังว่าจะเป็นที่รักใคร่ของบรรดาญาติธรรม
    บุคคลที่ยังต้องฝึกสติ ไม่พึงหวังว่าจะไม่ถูกรบกวนด้วยปีศาจและเทพยดา
    บุคคลที่ยังต้องคอยควบคุมอินทรีย์ ไม่พึงหวังว่าจะอยู่เหนือทั้งสามโลก
    บุคคลที่ยังเป็นปุถุชน ไม่สมควรคิดถึงความชั่วและความดีว่าเป็นสิ่งสมมุติ
    นักบวชที่มุ่งอยู่ในวัดวาอาราม ไม่ควรละเลยต่อพระวินัยและกุศลธรรม
    บุคคลที่ยังไม่เคยเข้าถึงสภาวะธรรมในภายใน
    ไม่สมควรเป็นผู้พิสูจน์ตรวจสอบนักบวชที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์
    บุคคลที่ไม่ได้ปฏิบัติในคำแนะนำอันล้ำลึกทั้งหลายอย่างเต็มรูปแบบ
    ไม่ควรหวังว่าจะอิสระหลุดพ้นในขณะแห่งสัมภเวสี
    บุคคลที่ไม่ได้สำรวมระวังในพระธรรมวินัยตามขั้นตอนที่สมบูรณ์
    ไม่ควรหวังว่าความปรารถนาของเขา จักบรรลุถึงสัมฤทธิ์ผลได้โดยง่ายดาย
    บุคคลที่ไม่สามารถสำรวมระวังอย่างดีในพระปาฏิโมกข์
    ไม่ควรหวังว่าเทพธิดาและเทพผู้พิทักษ์ทั้งหลาย จะโปรดปรานเขา
    บุคคลที่ไม่เคยได้รับคำแนะนำ จากตรรกะและพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นกุญแจดอกสำคัญมาเลย
    ไม่ควรละเลยกับถ้อยคำและสัญลักษณ์ทั้งหลาย
    บุคคลที่ไม่ได้ครอบครองพลังอำนาจทั้งห้า
    ไม่สมควรทำการพยากรณ์ด้วยบรรดาสัญลักษณ์จากภายนอก
    บุคคลที่ไม่ได้ตอกย้ำให้เกิดความช่ำชองในประสบการณ์
    ไม่สมควรละเลยต่อการบ่มเพาะดวงจิตของเขา

    ในโอกาสอื่น เรือนกายของท่านมิลาเรปะไม่ปรากฏต่อผู้ที่อยู่เบื้องหน้าท่าน บางคนเห็นแสง บางคนเห็นประทีปดวงเล็กๆบนเตียงนอนของท่าน บางคนเห็นสายรุ้ง บางคนเห็นแท่งทองคำ และอีกหลายคน ยังคงไม่เห็นอะไรเลย ท่านชิวาอุยได้ถามว่า อะไรเป็นความหมายที่อยู่เบื้องหลังของปรากฏการณ์เหล่านี้ ท่านมิลาเรปะกล่าวบทโศลกว่า

    อาตมาขอสวดภาวนาถึงคณาจารย์ทั้งปวง
    จงช่วยให้อาตมาสามารถจำแลงกายได้หลากหลายรูปแบบ

    จงฟัง ชิวาอุยลูกรัก เธอผู้ซึ่งเทียบเท่ากับเรชุงปะ
    โดยที่อาตมาช่ำชองในปฐวีกสิณ ปฐวีธาตุของอาตมาจึงเป็นส่วนหนึ่งของดิน
    โดยที่อาตมาช่ำชองในอาโปกสิณ อาโปธาตุของอาตมาจึงเป็นส่วนหนึ่งของน้ำ
    โดยที่อาตมาช่ำชองในเตโชกสิณ เตโชธาตุของอาตมาจึงเป็นส่วนหนึ่งของไฟ
    โดยที่อาตมาช่ำชองในวาโยกสิณ วาโยธาตุของอาตมาจึงเป็นส่วนหนึ่งของลม
    โดยที่อาตมาช่ำชองในความว่างเปล่าของห้วงอวกาศ
    วิถีแห่งการปรากฏทั้งหลายในสกลจักรวาล จึงหลอมรวมกับอาตมา และถูกระบุถึง ร่วมกับอาตมา
    โดยที่อาตมาช่ำชองในวิถีของพลังปราณ อาตมาจึงสามารถจำแลงกายได้หลายรูปแบบ
    ลูกรัก ถ้าเธอมีศรัทธาในอาจารย์ทั้งหลายผู้บรรลุธรรม
    เธอจักได้รับพรชัย และความปรารถนาของเธอ ก็จะบรรลุถึงสัมฤทธิ์ผล

    อีกครั้งหนึ่งที่ท่านมิลาเรปะได้จำแลงกายเป็นหลายร่าง และท่านได้แสดงบทโศลกว่า

    อาตมาขอน้อมคารวะคณาจารย์ทั้งปวง

    เมื่อเรือนกายของอาตมาเต็มไปด้วยพรชัยแห่งคุรุ อาตมาย่อมแสดงอภิญญา และจำแลงกาย ได้มากมาย
    เมื่อวจีของอาตมาได้รับพรชัยจากคุรุ อาตมาย่อมสามารถเปล่งธรรมคีตาและให้ข้อแนะนำอันล้ำลึก
    เมื่อมโนของอาตมาได้รับพรชัยจากคุรุ อาตมาย่อมรู้แจ้งตระหนักชัดและบรรลุถึงพุทธภาวะ

    ไฟและน้ำย่อมไม่สามารถทำอันตรายอาตมา
    อาตมาเยื้องย่างดังพญาคชสาร อาตมาดำเนินไปด้วยความเชื่อมั่นอันยิ่งใหญ่

    ด้วยจริตนาๆประการของผู้ที่ศรัทธาต่ออาตมา เขาย่อมเห็นอาตมาในหลายรูปแบบ
    และย่อมได้ยินคำสอนอันหลากหลายที่แตกต่างกันของอาตมา
    เขาย่อมจะบรรลุถึงความอิสระหลุดพ้นด้วยคำสอนเหล่านี้
    แต่ผู้คนที่มีมลทินด้วยกรรมชั่ว ย่อมไม่สามารถแม้แต่จะได้เห็นอาตมา
    พวกที่ต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนเพราะบาปกรรมของเขาเอง แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้
    ลูกๆที่รักของอาตมา จงปฏิบัติธรรมอย่างขยันขันแข็งเถิด
    อาตมาย่อมไม่สามารถพูดไปได้เรื่อยๆโดยไม่มีการเลิกลา

    โอ้อนิจจา น่าสงสารพวกคนบาป ที่ถูกผลักไสให้หมดโอกาสบรรลุสู่ความอิสระหลุดพ้น
    หัวใจของอาตมาย่อมสลดสังเวชยิ่งนัก ที่ได้แลเห็นคนบาปหนา แบกทูนความเศร้าโศกทั้งปวงเอาไว้
    โอ้ ผองเพื่อนทั้งหลาย ขอให้พวกเราพยายามปฏิบัติสละอุทิศตนอย่างหนักแน่นมั่นคง
    ขอให้พวกเราละทิ้งโลกียกรรมทั้งหลายทั้งปวง เพื่อตระเตรียมสำหรับชีวิตหน้ากันเถิด

    ท่านมิลาเรปะได้บำเพ็ญคุณูปการต่อสรรพชีวิตเป็นเอนกอนันต์ด้วยพลังอำนาจและบทโศลกของท่าน ธรรมคีตาเหล่านี้ของท่านมิลาเรปะ ได้ถูกบันทึกและเก็บรักษาไว้อย่างทะนุถนอม โดยบรรดาสานุศิษย์ที่ใกล้ชิดของท่าน

    http://www.baanjomyut.com/library/milarepa/62.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...