ปัญญาชน หนทางสู่ อริยบุคคล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โซ, 21 สิงหาคม 2013.

  1. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    กระทู้อาจไม่ตรงกับคำถามขออภัยครับแต่ก็ประมาณนี้ครับ ช่วยกันแสดงความคิดเห็นหน่อยครับเอาตามความเป็นจริงที่ท่านทั้งหลายเห็นว่าเป็นจริงในชีวิตของตนเองและผู้อื่นว่า เป็นสอบถามท่านทั้งหลายที่เรียนรู้ปฏิบัติมาดีแล้วหรือบ้างแล้วว่าทำไมหรืออะไรเป็นตัวดึงบุคคลไว้ในทางโลกกล่าวคือเราก็รู้ว่าสิ่งนี้ ไม่ดี ไม่เจริญ มันเป็นบาปเป็นกรรม เป็นอกุศล เป็นกิเลส บางคนก็รู้ดีด้วย แต่ทำไมเขาเหล่านั้นถึงได้เลือกทางเดินที่จะกระทำกรรมหรือจะยังอยู่ให้กิเลสมันสะสมอยู่ไม่ออกมาจากจุดตรงนั้น มีเหตุผลหรือภาระหน้าที่อันใดที่มีความสำคัญที่ตนเองจะต้องกระทำ ทั้งๆก็รู้ดีและก็ได้ปฏิบัติมารู้เห็นอะไรก็มากมาย
    ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ที่บวชเป็นบรรพชิต บ้างก็บวชพรรษามานาน บ้างก็ได้ถึงณาน สมาธิ พบเจอสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ สุดท้ายก็สึกหนีออกมาจากชีวิตบรรพชิต หรือผู้ที่เป็นฆราวาสคฤหัสถ์ ต่างก็ขยันหมั่นเพียรตั้งใจ ตั้งหมั่นทำบุญทำทาน ฟังธรรม หมั่นเจริญธรรม ฝึกสมาธิ อยู่เป็นเนืองๆ ก็ไม่อาจที่จะละทิ้งชีวิตในการดำรงชีพในชีวิตประจำวัน หาเก็บสะสมเติมเต็มทรัพย์ ไม่ยอมปล่อยวางออกไปสู่ชีวิตของบรรพชิต ผมเลยอยากรู้ว่าเหตุผลของแต่ล่ะท่านว่า ท่านติดปัญหาตรงไหนที่จะเลือกมีชีวิตอยู่ในทางโลก ดำเนินชีวิตอยู่อย่างสัตว์โลกที่เขากระทำกัน ไม่ยอมละทิ้งใสส่วนนี้ อยากจะรู้จากใจในส่วนลึกของแต่ล่ะท่านครับว่า เหตุผลใดที่ท่านละวางไปไม่ได้ ส่วนผมก็มีเหตุผลของผมเหมือนกันครับ ขอทุกท่านที่เข้ามาอ่านแสดงความคิดเห็นด้วยน่ะครับ เพราะจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้าอย่างมากครับ เหตุผลนี้จะอยู่ในความเห็นที่แตกต่างซึ่งจะนำพาสัตว์บุคคลให้ได้กระทำคิดตามเหตุผลที่เราเลือกว่าสิ่งนี้มันยังมีคุณในทางโลกมากกว่าทางธรรมนั้นมันเป็นไฉนอย่างไร ทั้งที่เราก็รู้ดีว่ามันเป็นทุกข์ มันเป็นกิเลส มันเป็นบาปอกุศล แต่ก็ยังเลือกทางเดินนี้อยู่ หรือว่า บุญเราไม่ถึงกำลังไม่พอ เพราะความรู้นี้จะนำพาเราไปสู่หนทางที่เที่ยงแท้แน่นอนได้ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2013
  2. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    การเดินซ้ำรอยเดิมนั้นควรจะต้องพิจารณาว่า
    วิถีเดิมๆ ที่ว่านั้น เป็นทางออก หรือ ทางเข้าสู่ภพชาติ
    ถ้าวิถีเดิมๆ แต่หมุนวนออกจากการยึดติด เรียกว่า อริยมรรค
    แต่วิถีเดิมๆ แต่หมุนวนเข้าสู่ภพชาติ เรียกว่า กงกำกงเกวียน สังสารวัฏ

    สิ่งที่ทำให้อยู่ในสังสารวัฎคือ ตัดไม่ขาด การตัดไม่ขาดเพราะไม่เห็นภัย ยังเห็นความสุข ความเพลิดเพลินในวิถีเดิมๆของตน ซึ่ง หากอยากจะตัดให้ขาดนั้นจะต้องยกภัยในวิถีเดิมๆนั้นขึ้นมาพิจารณาให้เห็นภัยแท้ๆ
    จนรู้สึกชัดแจ้งและคล้อยตามว่า วิถีชีวิตแบบนั้นมีภัย แบบนี้มีภัยต่อตน ทั้งอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบัน และอนาคตที่จะเกิดผลต่อไป ผู้มีปัญญาย่อมจะออกห่างเองด้วยการเล็งเห็นภัย
    การพิจารณาที่จะออกนี้หากทำเป็นประจำ ก็จะเป็นวิถีเดิมๆ เช่นกัน แต่หมุนวนออกจากกองทุกข์กองกิเลส เรียกว่า อริยมรรค ซึ่งหากทำให้มีให้เกิดขึ้นในตนแล้ว จะลดกิเลสลงไปจนถึงวิมุตติหลุดพ้นได้ในที่สุด
     
  3. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณมากครับที่มาให้ความรู้ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้จริงๆคือ ในตัวคุณมีความคิดแบบไหนอย่างไรเมื่อรู้ว่าสิ่งนี้มี สิ่งนี้เกิดกับคุณ คุณยังมีปัญหาภาระอะไรที่คุณไม่สามารถละชีวิตในทางโลกไปอยู่เป็นบรรพชิตในทางธรรมเลย ยังติดหรือห่วงอะไรอยู่ คืออยากรู้ที่คาใจอยู่ในตัวท่านทั้งหลายอ่ะครับว่าทำไมล่ะจากชีวิตของฆราวาสคฤหัสถ์ไปไม่ได้ ยกตัวอย่าง ยังต้องเลี้ยงดูบิดามารดา เลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย หรือเรียนรู้ทางโลกไปก่อน หรืออยากจะสั่งสมบารมีในทางโลก หรือยังตัดหรือเข้าถึงความเป็นหรือมีของกิเลส อะไรประมาณนี้ ขอบคุณมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2013
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    อยากตอบ..เหมือนว่า คำตอบนี้ตอบง่าย...แต่จริงจริงไม่ง่ายเลย....สำหรับผม ส่วนตัวคิดว่า อยู่ใน ชีวิต ที่เป้นอยู่ ก็ศึกษาธรรมได้.......คือ ผมว่า แต่ละคนมันเป็น ปัจเจกมีองคืประกอบเรื่องราวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้า คนใดองค์ประกอบเขาถึงพร้อมทั้ง ความตั้งใจ ทั้งปัจจัยภายนอกเช่นความพร้อมของครอบครัว...เขาก็ สามารถบวชได้ถ้าเขาอยากบวช แต่อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นศึกษาธรรมมะก้เป็นสิ่งที่ดีมากอยู่แล้ว และ ก็ อาจจะไม่สามารถเหมารวมว่า ฆราวาส จะไม่สามารถยังประโยชน์ ตนประโยชน์ท่านได้[/SIZE]ผมจึงคิดว่า คำถามนี้ จะ นำไปสรุปเป็นความคิดรวมไม่ได้....เพราะคำตอบ ควรเป้นเรื่อง ของปัจเจกแต่ละคน วึ่งไม่มีทางเหมือนกันได้เลย อย่างแน่นอน 100คน ก็ 100 ความเห็น ครับ......
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรที่เหมือนกันร้อย% เพราะสะสมมาไม่เหมือนกัน แม้แต่วิธีการบรรลุธรรมก็ยังอาศัยเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน ถึงแม้จะไปในจุดเดียวกัน ฉะนั้นไม่สมควรคิดให้เสียเวลากับเรื่องกรรมและเหตุผลของคน เพราะเป็นเพียงเหตุปัจจัยที่สะสมมาแตกต่างกันเท่านั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2013
  6. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณมากครับ นั่นแหละครับที่ผมอยากจะเรียนรู้ให้ลึกซึ้งเก็บไว้เป็นข้อมูลว่า เปอร์เซ็นต์แนวความคิดส่วนมากคนติดอยู่ในสถานภาพแบบใด เราก็เรียนรู้ได้ยินได้ฟังมาแล้วว่ามันคือตัวกิเลสอวิชชาที่เรามีอยู่ ซึ่งหนาบางก็อยู่ที่ตัวบุคคลจะปฏิบัติเข้าถึง แต่ก็อยากจะรู้ว่ากิเลสตัวใดที่ทุกท่านติดอยู่คล้องอยู่ที่ทำให้ท่านยังต้องทำกิจภาระอันนั้นอยู่ไม่ล่ะทิ้งมันออกเสียที บุคคลซึ่งจะปฏิบัติส่วนมากให้เข้าถึงอริยบุคคลนั้นได้ส่วนมากเขาเหล่านั้นจะทิ้งทางโลก ซึ่งผมก็เข้าใจครับว่าอยู่ทางโลกก็ปฏิบัติได้ ส่วนมากปฏิบัติกันไม่ได้ไปถึงฝั่งก็เพราะยังครองเรือนกันอยู่
    ส่วนตัวผมตอนนี้ผม ที่ยังคล้องดึงผมไว้อยู่คือ เทคโนโลยี และพ่อแม่ คิดว่าเท่านี้ ส่วนเรื่องทรัพย์สินและเรื่องการครองเรือนมีครอบครัวเปอร์เซ็นต์เหลือน้อยมากพยายามหาเหตุผลมาเป็นตัวกำหนดเพื่อจะออกจากส่วนนี้ทุกวัน เราก็รู้ว่าต้องปล่อยวาง แต่เรื่องปล่อยวางมันต้องออกมาจากข้างในให้มันได้อย่างแจ่มแจ้ง การที่คิดแบบว่าปล่อยวางเพียงความคิดความรู้สึก มันเป็นการเห็นและปล่อยแบบชั่วคราว ถ้ามาจากข้างในคือปัญญาจริงๆ ทำได้ยากครับ ไม่งั้นคงได้ระดับขั้นอริยบุคคลสักขั้นแล้ว ที่ผมใช้อยู่คือพยายามวางอุเบกขาเอา มองว่าอุเบกขาคือยังไม่ใช่ตัวปัญญาอย่างแท้จริง ผมมองว่ามันเป็นการทรงอารมย์เพียงขณะจิตเท่านั้นเอง
     
  7. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณมากครับ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เรียนรู้พื้นฐานของจิตในความคิดยึดติดของแต่ล่ะบุคคลได้ครับ สักวันมีโอกาศได้กระทำอย่างที่มุ่งหวังตั้งใจในแนวทางของบรรชิต จะได้นำประสบการณ์ในครั้งนี้ไปบอกกล่าวแก่คนทั้งหลายว่าบุคคลส่วนมากเขายึดติดกับอะไรอยู่ จะได้บอกถึงเหตุและผลมันได้อย่างตรงประเด็นครับ
     
  8. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ไม่ว่าคุณจะได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดใดๆนั้นทั้งหมดทั้งสิ้นมันมีอยู่ตำตอบเดียว และคำตอบนี้จะทำให้คุณจบได้ทุกอย่าง มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา
     
  9. ผ่อนกรรม

    ผ่อนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +400
    วงจรปฏิจจสมุปบาท เยอะนะรายละเอียด

    บรรลุธรรมไม่ต้องหนีโลก ในชั้นโสดาบันยังมีครอบครัวได้

    จุดประสงค์ของการบรรลุธรรม คือ มนุษย์เมื่อประพฤติ

    ปฏิบัติตน พัฒนาจิต จนอยู่ในขั้นโสดาบันเป็นเบื้องต้น

    ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สงบ ทุกชนชั้น ทุกเผ่าพันธุ์

    ไม่ใช่ต่างคนต่างหนีไปคนละทาง ซึ่งหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย

    พ้นเกิดได้ก็ต้องประพฤติ ปฏิบัติ อย่างพระพุทธเจ้า(ยากมั้ย)ยากนะ

    แต่ถ้าทำได้ ก็พ้นโลก ^^
     
  10. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ครับ สิ่งนี้ก็รู้กันอยู่มีมาแล้วในอดีต ผู้ที่จะถึงจุดหมายได้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในการครองเป็นบรรพชิต เป็นผู้ที่มีบารมีแก่กล้า สั่งสมมาจากในอดีต เป็นคนสามัญชนธรรมดาแต่ฝักใฝ่มีจิตตั้งมั่นอยู่ในการแสวงหาเรียนรู้ในธรรมก็ยังสามารถสำเร็จอริยมรรคแห่งบุคคลได้ แต่บางครั้งคนเราก็รู้มากแล้วแต่ทำไมยังหนีไปจากกิเลสเหล่านี้ไม่ได้ ยังมีภาระอะไรหรือสิ่งใดที่ยังคาใจอยู่ หรือ ต้องรอของจริง รู้จริง เห็นจริงในอานุภาพ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์อย่างยิ่งยวดก่อน ที่จะเล็งเห็นพอให้เห็นเป็นกำลังหลักสำคัญในการตัดวงจรของอวิชชากิเลสที่มีอยู่ คาใจอยู่ ไปโดยได้อย่างหมดสงสัยสิ้นเชิง มุ่งหน้าดำเนินกระทำการมุ่งตรงไปสู่จุดมุ่งหมายอย่างเต็มกำลัง
     
  11. ผ่อนกรรม

    ผ่อนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +400
    ถ้าอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ อยู่ในผู้ประพฤติ ปฏิบัติ ดี(ปฏิบัติจนกิเลสหมด) ย่อมดี

    ตรงกันข้ามในผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติ ไม่ดี(ยังไม่หมดกิเลส) ย่อมเป็นผลเสีย

    ขนาดไม่มีฤทธิ์ มีแค่มือกับสมอง ดี - ชั่ว ยังตีกัน จนเอาแทบไม่อยู่ ทั้งโลก

    คนต่างกันด้วยจริต จริตถูกฝังมาแต่อดีตชาติถึงปัจจุบันชาติ อดีตยุคถึงปัจจุบันยุค

    ปฏิวัติจริตได้มั้ย ใส่แต่ดีๆ มีแต่คนดี ไม่มีคนชั่วเลย เป็นไปได้ยากมาก

    เอาแค่ให้มีดีมากกว่าชั่วในทุกตัวคน 1 คน มีความดีในตน ดี ๘๐% ชั่ว ๒๐%

    นี่ก็ยากแล้ว

    หมดสงสัยในคำสอนก็ต้องศึกษา เรียนรู้ ปฏิบัติ อย่างถูกต้องตามจริง

    ถ้ารอปาฏิหารย์ อิทธิฤิทธิ์ มีกี่ท่านที่ทำได้ ได้แล้วทรงอยู่อีกหล่ะ

    แต่ถ้าปัญญา(โลกุตระ)รู้เห็นตามจริง ปฏิบัติได้จริงแล้ว ถึงที่สุดแล้ว เสื่อมยาก

    หนึ่งความเห็นที่เพิ่งเริ่มศึกษาและค้นหาตัวตน ผิดพลาดไป กราบๆๆ
     
  12. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณมากครับกับความรู้ความคิดเห็น สิ่งที่ผมคิดประมาณว่าพร่ำเพ้อนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับอยากให้คนอื่นแชร์ประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัวเอง เพราะทุกวันนี้มีแต่คนที่มีแต่ความรู้ คือได้ประสบการณ์จากการขวานขวายเรียนรู้หรือปฏิบัติ จึงติดอยู่ในสิ่งเหล่านนี้อยู่เลยไม่ก้าวไปข้างหน้า มีแต่จะทรงตัวอยู่ ปัญหาของการที่ไม่ยอมก้าวไปข้างหน้าผมเลยมองว่าสิ่งนั้นคือผลที่เกิดจากการปฏิบัติ เลยมองสิ่งที่ทรงตัวนั้นว่าไม่มี ไม่เกิด เลยไม่มีพลังกำลังที่จะก้าวต่อไปในระดับขั้นของจิต เลยมองไปว่าสิ่งที่จะทำให้คนก้าวไปเหลือมความเชื่อความศรัทธาให้เป็นพลังขับเคลื่อนได้ เลยมองไปกับยุคนี่ว่า อิทธิฤทธิ์ อำนาจ ปาฏิหารย์ มหัศจรรย์ ยังมีส่วนช่วยขับเคลื่อนพลังแนวความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาได้ มันก็ต้องอย่างที่คุณว่า สิ่งนี้ถ้ามีก็ต้องใช้ให้มันถูกที่ถูกทาง ไม่นำไปซึ่งลาภยศสรรเสริญ
     
  13. Jmind

    Jmind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +756
    เพ่ๆ ใจคอเพ่จะให้คนบวชหมดเลยรึขอรับ ควรบวชหรือไม่ควรบวชยังไม่รู้ มีสติอ๊ะเป่า
     
  14. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ยังไม่เห็นชัดและไม่รู้แจ้ง กำลังสติไม่พอ จึงพ่ายแพ้ต่อกิเลสอยู่ร่ำไป แต่ก็พยามยามตั้งมั่นบ่อยๆทำบ่อยๆให้เคยชิน จนกว่าที่ทำทุกอย่างแล้วไม่ยาก เมื่อทุกอย่างทำได้อย่างง่ายๆ ได้ง่ายดาย ต่อไปอะรไๆก็จะไม่เป็นปัญหาค่ะ
     
  15. rnuir

    rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +218
    ผมว่าทึ่เราตัดจากโลกไม่ได้เพราะสิ่งที่เราฝังหัวมาตั้งแต่เกิด
    ถึงสภาพแวดล้อมต่างกัน กันหลักใหญ่ๆนั้นไม่ต่างกันมาก
    นั่นก็คือ ดี กับ ไม่ดี
    สองอย่างนี้เราเอามาจำแนกสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน
    ถ้าเราอยากจะออกจากโลก ก็ลืม ดี กับ ไม่ดี ซะ
    ไม่มีสายกลางสำหรับผม เพราะผมคิดว่าจิตปุถุชนแยกแยะไม่ได้
     
  16. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    นั่นแหละครับถึงได้สงสัย ไม่จำเป็นขนาดถึงให้บวชครับ คือบวชที่ใจปล่อยวางในแบบของปถุชนก็ได้ครับ สิ่งที่อยากรู้คือ ปัญหาหรือภาระตรงไหนที่คนยังติดอยู่ ไม่สนใจบวชบ้างหรือครับ จากห้องพุทธภูมิเหลี่ยมหายไปบ้างหรือเปล่าครับcatt3 รู้เห็นแบบไหนสิ่งไหนก็มาแชร์บอกกล่าวตักเตือนกันบ้างน่ะครับ
     
  17. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    สิ่งนี้ก็ใช่ครับ 100% แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้มีความเด็ดเดี่ยวในชีวิตต้องการหาสัจธรรมอย่างแท้จริง จึงออกบวช บางท่านบวชได้ 30 บ้าง 40บ้าง 50พรรษาบ้าง ยังต้องละทิ้งชีวิตนักบวชบรรพชิต หันมาครองเรือนทำกิจกรรมในทางโลกต่อ เลยสงสัยว่าสิ่งนี้มันเป็นอย่างไรที่สามารถทำให้ท่านเหล่านั้นหันหลังให้กับชีวิตบรรพชิต มันหมดกำลังพลังของสติ จิต บุญ บารมี แล้วหรือเช่นนั้น หรือว่ากรรมนำไป
     
  18. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ถ้ามองในเชิงลึก ตัวนี้แหละครับก็เป็นปัญหา ไม่ใช่ตั้งแต่เกิดมาชาตินี้แหละครับมันเป็นมาไม่รู้กี่อสงไขยกัป เพราะว่ายังถือว่าสิ่งนี้ดี อยากได้ ไม่ดีก็ยังต้องเป็น ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ เรามีความเป็นอัจฉริยะ เก่ง รวย สวย หล่อ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ มหัศจรรย์ ทรงอานุภาพ เรายึดติดกับสิ่งนี้ คือความอยากมีอยากเป็น อยากเด่น อยากดัง แบบนี้บ้างตลอดไปเลยไปตั้งจิตอธิษฐาน ไว้แบบนี้ในชาติที่เราได้เกิดมา เพราะเราไปให้ความสำคัญยึดติดกับการมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ เราจึงได้ต่อภพต่อชาติมาจนถึงปัจจุบัน
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    ..ธรรมใดเกิดแต่เหตุใด พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงเหตุแห่งการเกิดและดับไปของเหตุหรือสิ่งนั้น..
    :cool:ความทะยายอยาก ตัณหา ทำให้เราติดข้อง จึงมาเกิดแล้วเสพกรรมที่เราทำไว้ในอดีตชาติและปัจจุบัน..ฉนั้นสังเกตุตนเองให้ดีก็จะรู้ว่า ตนเองติดอะไรเป็นพิเศษ.. ต้นตอคือเรื่องเดียวครับ กาม เช่นผมติดชอบอาบน้ำอุ่น มีไฟแสงสี อิอิ
     
  20. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณครับที่นำประสบการณ์มาแชร์ในสิ่งที่เรารู้ว่ามันไม่ดีไม่เจริญไม่งอกงามแต่เราก็ยังลุ่มหลงมันอยู่ ทำอย่างไรได้อ่ะครับก็รสของมันหอมหวานซะนี่กะไรชิมบ่อยๆอร่อยดีแท้ ดีครับที่เรายังพอมีสติอยู่ว่ามันไม่ดีไม่งาม เอแต่ว่าแถวไหนอ่ะครับที่มันสุดยอดครับ ที่ผมรู้มาที่ สังฆาฎ น้ำอุ่นมากและแสงสีนี่ก็สุดยอดเหมือนกันน่ะครับcatt3
     

แชร์หน้านี้

Loading...