ปัญญาอัตโนมัติ เป็นคุณธรรม ของพระอริยเจ้า เท่านั้น

ก็แค่นี้หละครับ...มันตอบยากตอบเย็นตรงไหน
เอาว่า คุณเข้าใจยังไงก็ตอบตามที่คุณเข้าใจ
ก็ดีแล้วนิครับ...จะเปิดฉากยอกย้อนทำไม.

ก็พอ คาดได้ว่า ปัญญาอัตโนมัติ จะมีในภูมิ
ระดับอนาคามีนะครับ...ไม่ใช่พระอริยะเจ้าทุกระดับนะครับ
...ถ้าว่า ด้วยทางข้อมูลเนาะ

ดั้งนั้นไม่ใช่ ปัญญาอัตโนมัติไม่ได้
เป็นคุณสมบัติพระอริยะเจ้าเท่านั้น
ตามหัวข้อกระทู้ที่ตั้ง นะครับ....เครนะ
เพราะ ตามตำราก็กล่าวไว้ว่า
พระอริยะเจ้ามีหลายระดับ
ผมเข้าใจถูกไหม......

แต่เป็นปัญญาอัตโนมัติ
เป็นคุณสมบัติของภูมิระดับอนาคามี
ตามที่ หลวงตาท่านได้กล่าวไว้.....

ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยจะเข้าใจ
อย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ...จบ


..

 

ด้วยความเข้าใจของตัวผม ปัญญาอัตโนมัติ เป็นคุณธรรม ที่จะมีในภูมิ พระอนาคามี เป็นต้นไปครับ

ถ้าต่ำกว่า พระอนาคามี จะเป็น สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ตามภูมิของพระอริยเจ้า นั้นๆ ครับ

 

เครครับ ขอบคุณมาก
ถ้างั้น ตอนนี้ก็เข้าใจ
คล้ายๆกับผมนั่นหละครับ
แต่ผมรู้มาจากแหล่งข้อมูล
ที่ได้จากการอ่านบทความมา
สนับสนุนความเข้าใจนะครับ

และไม่ได้ฟันธงว่า
ต้องใช่หรือไม่ใช่นะครับ..

แซงกิ้ว...^-^

 

ว่าแต่ว่า ทำไม จขกท ไม่เอา ธรรมของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แบบ ฟางว่าน เขาหละ

ปัญญาอัตโนมัติ มหาสติ มหาปัญญา หรือ ธรรมพาดกระแส ฟางว่านเขาใช้ คำสอนจาก หลวงพ่อฤาษี

แค่ ทรงอารมณ์โสดาบันเอง .....หรือ "โสดาปฏิมรรคบุคคล"

ถ้า ภาวนาได้ ปัญญาจะอัตโนมัติ ตัดกิเลส ประหารกิเลส ทันควัน ไม่เกิน 7ชาติ อะ

 

คิดเอาเองอีกแล้วหรือครับ เค้าไม่ได้เอา ธรรมของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ใดๆ มาครับ

 

ฟางว่าน เขา คนของพลังจิต อยู่มานาน ใครๆเขาก็รู้ ว่าเขา อิงคำสอนใคร

เพียงแต่ เขาฉลาด และ กล้าพอ ที่จะ ทำวิทยานิพนท์ ของตัวเอง ไม่ลอก คำนิยาม
จากวิทยานิพนท์ คนอื่น

ก็เลยออกมาอย่างที่เห็น โพส โดยไม่ อิงที่มาที่ไป ...และ มักจะ หักมุมหน่อยๆ
เพื่อไม่ให้มีอะไรส่งไปถึง ครูบาอาจารย์ โดยมักจั่วว่า ถ้าอยากเล่า ก็อนุญาติกรึ๊บ
สองกรึ๊บแต่อย่าให้เมา

ไม่เหมือนคนบางคน อริยาเล่ นับหิน
มีที่มาที่ไป อ้างอิงสารพัด แต่ ตรงนัยสำคัญ
ดันไปเอามาจาก ปากคนอื่น ยัดใส่ปากหลวงตา

 

หลวงตาสอนได้ดีกว่านั้น...แต่คนตีความอาจไม่ใช่หรือไม่มีปัจจัยแบบหลวงตา

 

มันก็เหมือนกันในทุกๆตอนคือ ทุกครั้งที่สอนจะมีวัตถุประสงค์เฉพาะ ไม่ใช่ใครๆก็รู้เรื่องได้หมด พระศาสดาหรือพระขีณาสพก็เล็งเห็นว่ามีผู้อยู่ในข่ายจะเรียนรู้และเข้าถึงจึงสอนแต่ผู้อื่นเพียงสร้างอุปนิสัยปัจจัย ต่างกันแน่นอน ระหว่างเรื่องนี้ ไม่ต้องบัญญัติคำสวยๆมาใช้ก็เป็นไปดังนั้นเสมอ...แค่คิดว่าบรรลุก็ผิดแล้ว

 

กราบขออภัย อ่านกระทู้ใจมันแป๊ก แล้วค้านออกมานั้นคือความรู้สึกเมื่อมันเกิดผัสสะทางตา

แต่! ผมไม่รอให้เป็นพระอริยะอะไรหรอก ผมเริ่มเลยดีกว่าการท่องพระอริยะไว้ในใจเป็นอันตราย

ของสติ สำหรับผมนะ

 

มันมีปัญหาที่ข้อความหัวกระทู้เท่านั้น
"ปัญญาอัตโนมัติ เป็นคุณธรรม ของพระอริยเจ้า เท่านั้น"

เพราะมันมีอีกคำหนึ่งที่หลวงคาใช้เรียกสภาวะการภาวนาขั้นละเอียดสุด
คือมหาสติมหาปัญญา

มหาสคิมหาปัญญามันละเอียดกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ

 

โอ้ววว ยังกะ เปิดดูซีรี่ย จูมง ปิดตา ยิงธนู

สุญญตาสัญญา เปน ผัสสะ เกิด ดับ ยิงปั๊ก ยิงปั๊ก..

เข้าเป้าทุกดอก ถึงไม่เข้าเอาแค่แฉลบบ
พระพุทธองค์ก้ตรัสว่าทรายกองใหญ่ย่อม
ค่อยๆยุบ ราบลง

ดีกว่า ไปบัญญัติคำฮา อะไรก้ไม่รู้ ให้พวก
จานลาย มันอวดแปล อวดจำ อวดสาย
สร้างความแตกต่างแก่พุทธบริษัท เที่ยว
ก่อหวอดจับสึกพระ อริยูปวาโท มาหากติก
มาหาปันยาทา โกรธคนเขาไปทั่ว

คำสอน เฮีย!!!ๆ

 

มีความเห็นแย้งอีกอย่าง
คือพวกที่ไม่เป็นพระอริยเจ้า
แต่มีสติปัญญาอัตโนมัติและมหาสติมหาปัญญา
เช่นพวกโพธิสัตว์บางประเภท
ที่เดินจิตอยู่ในอรหันตมรรคแต่ยังเป็นปถุชนอยู่

พวกนี้จะภาวนาจนเป็นนิสัย เกือบทุกชาติที่เกิด

 

คุงหัวแมว เคยได้ยินเรื่อง ปลาช่อนโพธิสัตว์
ที่หลวงตา ไปช่วยเอาไว้ ไหม

ปลาช่อนโพธิสัตว เกิดเปน เดรัจฉานทั้งแท่ง
กิเลสล้วนๆ หากรู้ว่า อีกหน่อย ศิษย์หลวงตา
จะ สอนได้ขนาดนี้ ท่านคงรอ

รอ หัวเราะจนโอ่งกลิ้ง ไม่ต้อง ส่งอภิญญา ไป
รบกวนหลวงตา ซช์อว์ยค่อยเด้

 

และมีอีกจำพวกหนึ่ง
ที่เป็นปถุชน
แต่เจริญสติปัญญาจนไปถึงละเอียดสุด
(จากสติปัญญาเป็นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วเป็นมหาสติมหาปัญญา)

แล้วทำกิจละสังโยชน์ในตอนท้ายสุด
แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์

ระหว่างทางก็เป็นปถุชนอยู่ก็มี

 

ความอิสระทางสภาวะ คือคุณสมบัติของผู้ที่พร้อมจะข้าม

 

อย่า ปรารภอย่างนั้น ....

ต้อง กำหนดรู้ให้ชัดๆ เห็น สุญญตสัญญาเกิดดับ เห็นอนิจสัญญาเกิดดับ
เห็น อนัตตสัญญาเกิดดับ จัดเป็น อวิชชา ยังนำพาไปเกิด เป็นโพธิสัตว์
ด้วยความเป็น เดรัจฉานบ้าง ลงนรกบ้าง เหาะไปแพ้ใจนางบ้าง เฮ็ดดีปานใด๋
เอ็ดดีปานใด ก็ ยังหัวลา.......[ โพธิวิสัย เป็น ของไม่ควรเข้าไปตรึก ]

หัวแมว ต้อง ผลิกลงนิดนึง จนเห็น ทุกขสัจจ ของการ อุปทานในจิต
จิตเที่ยงไม่เกิดไม่ดับ จัดเป็นคำสอน จานลาย พา สสส เผ่นมาเผ่น
ไปหัวเราะฮึฮึ ไปวันๆ

 

ไหนๆ ก็ ไหนๆ แล้ว

คุงหัวแมว ลอง วิแคะ วิจัย หงายของที่คว่ำ เอา ทิฏฐิปุถุชน
ออกไปห่างๆ สัทธรรม เข้ามานิดนึง

"อธิปัญญา" เป็น คำที่ พระพุทธองค์ ทรงบัญญัติขึ้นใช้ เพื่อให้เป็น ร่องรอย
ที่จะ ก้าวข้ามการใช้ปัญญา(โลกๆ) ...ไปเห็น "สิ่งที่ยิ่งกว่าปัญญา" ไม่ใช่ปัญญา
เพราะ ปัญญาในพุทธศาสนามีตั้ง 200 กว่าธาตุ แล้ว มีไม่กี่ ธาตุ เท่านั้น ที่เป็น
ฝั่งโลกุตระ นอกนั้น ปัญญาโลกๆ ธรรมดาๆ

อธิปัญญา สิ่งที่ ยิ่งกว่าปัญญา ไม่ใช่!ปัญญา มีอยู่ หาก สิ่งนี้ไม่มีแล้ว การพ้นปัญญา
ก็คงมีไม่ได้ ปัญญาวิมุตติ ก็คงเป็นแค่ เม็ดละมุดอยู่ในซอกหลืบของพวก เอะอะ ก็รู้
แล้วๆ มาหากระติก มาหาปัญญา คือ อย่างนั้นอย่างนี้ ไปนั่งนับหิน ไม่ใส่ถุง แล้ว
มันจะรู้ไหม เม็ดไหน ลูบคลำ นับไปแล้ว เอาไปแล้ว แบบพระราชาใส่เสื้อวิเศษสั่งลุย

นะ

ปัญญาธรรม ไม่เกิดในภพ คุงหัวแมว เฝ้นหาดีๆ หากปัญญายังเกิดในภพ มันจะไป
เสริม อัตตา ขนมยาย เกิด มน( อ่าน มะนะ ) แปลงเป็น การเคลื่อน เขียนใหม่ มัญญะ
ปัญญาความรู้ จึงมีต้นธาตุจาก มน(อ่าน มะนะ) แปลว่า เคลื่อน หรือ ส่งออกนอก



**********************************
มญฺญนา

(อิต.) กิริยาที่ถือตัว, ความหยิ่ง, ความเย่อหยิ่ง, ความถือตัว. มนฺ ญาเณ, ยุ. ลง ย ปัจ. ประจำหมวดธาตุ แปลง นฺย เป็น ญฺญ ยุ เป็น อน. แปลว่า ความสำคัญ ความเข้าใจ .

ตรง บาลี ส่วนนี้ คุงหัวแมว จะเห็นว่า ทำไม พระพุทธองค์ทรงเลือก ชมพูทวีป ที่มี
การใช้ ภาษา ที่เอื้อต่อ ธรรม ...บาลี จึงไม่ควร เอาใส่ตู้ ไขลิ้นชัก แต่ ควรรื้อฝื้น
ภาษาบาลี ขึ้นมาให้ได้

***********************************

 

แบบนี้มีครับ เคยเจอ
ส่วนตัวเรียกผู้โปรด
คือพวกที่มีญานวิถีแบบไม่ต้องฝึก
แต่ว่ามีจำนวนไม่มากครับ

 

สมมุติบัญยัติทำให้ยิ่งเข้าใจแตกต่าง
แต่สภาวะที่อยู่ต่อหน้าทำให้เข้าใจสภาพตน ยิ่งขึ้น

 

เอาทั้งคุณนพกับพี่นิวรณ์มารวมกันแล้วพบว่า ทำไมต้องติดที่จะคิดว่าคนทั่วไปจะต้องเป็นหรือทำได้...สมาธิฌานภาวนา...ถ้าเชื่อว่าภพภูมิมีจริงกาลเวลาไม่สิ้นสุดถ้าทำด้วยวัตถุประสงค์ ย่อมเป็นไปได้ที่จะมีและต้องมีผู้ที่เคยปฏิบัติและสั่งสมมา...จึงไม่ควรประมาทแต่ไม่ใช่หยิ่งทะนงตนเพราะสิ่งที่คนเหล่านั้นรู้...คือรู้แน่ว่าอะไรทำให้เกิดความยึดติดและหยิ่งทะนงตน...จึงเกิดได้ยากกับคนแบบนั้น จึงมีการจำแนกเป็น พึ่งเริ่มต้นกับเริ่มมานานแล้ว...บางท่านพบพระพุทธเจ้ามาหลายภพชาติ...ธรรมจึงเป็นไปตามที่พระศาสดาสอนจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งใดไม่ได้เป็นข้อห้าม...มันยากที่จะเข้าใจในรายละเอียดและไม่มีใครจะบัังอาจรู้ได้เว้นไว้เฉพาะ อถิมุติ แบบเดียวกันและไม่เคยมีใครจะอยากบอกว่าผ่านอะไรมาบ้างถ้สเป็นวิสัยพระโพธิสัตว์ แต่ไม่เคยคิดหรือให้อกุศลจิตควบคุมทุกวิถี แต่แท้จริงก็ปุถุชนคนทั่วไป จึงไม่อาจลากจูงใครถ้าไม่ใช่เรื่องหรือเวลา ทุกสิ่งที่กระทบเขาก็เพียงเพราะตัวเขาเองจึงไม่เป็นสาระจะไปกังวล ไม่ว่าคนที่พึ่งเริ่มหรือคนที่เริ่มมาเนิ่นนานพื้นฐานจิตจะประกอบด้วยเมตตาเป็นหลัก