ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย pim_jai, 22 มิถุนายน 2012.

  1. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ผู้ถาม : " เรื่องการถวายอาหารพระนะครับหลวงพ่อ เวลาอุบาสิกานำอาหารไปถวายพระ แล้วก็เอาอาหารพวกเนื้อสัตว์ไปถวาย จะบาปไหมครับ...? "

    หลวงพ่อ : " ถามไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและไปซื้อมา เราไปบังคับให้เขาฆ่าเมื่อไรละ ใช่ไหม...? "

    ผู้ถาม : " ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า "

    หลวงพ่อ : " ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อคนอื่นซื้อ เขาก็ฆ่า ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ "วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ" "วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ" "พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู๓ ตัวนะ" อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พระยายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อน รับวัวรับหมูนะ ลงเลย "

    ผู้ถาม : " ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า...! "

    หลวงพ่อ : " คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั้นก็บาป เราซื้อที่เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว
    คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่วเพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า แต่ว่าถ้าเอาเนื้อมาแล้วบอก "เฮ้ย พรุ่งนี้เพิ่มหน่อยซีเว้ย" ทีนี้เอาแน่ ต้องว่ากันอย่างนี้นะ "


    ผู้ถาม : " มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไรแต่คนกินบาป และเขายังบอกอีกว่า ถ้าไม่กินแล้วใครจะฆ่า "

    หลวงพ่อ : " คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกินเขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี้จึงบาป ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงจะห้ามพระฉันเนึ้อสัตว์ นี่เขาว่ากันเอาเอง ไม่ถูกหลักเกณฑ์อะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม"

    เจตนา แปลว่า ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือฆ่าอันนี้บาปแน่ "


    ผู้ถาม : " ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ...? "

    หลวงพ่อ : " ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่พระเทวทัตขอพรแล้ว ฉันลองมา ๓ ปี เมื่อบวชใหม่ ๆ ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย แล้วฉันหนเดียวด้วย และฉันไม่บอกชาวบ้านด้วย ถ้าบอก ชาวบ้านก็ต้องทำอาหารลำบาก ก็ไปบิณฑบาตธรรมดา แต่เนื้อสัตว์เราไม่กิน บางวันไม่มีอะไรมาให้เลย ก็กินเกลือกับหัวหอมกินผักเป็นอาหาร ลองมา ๓ ปี ไม่เห็นกิเลสมันลดเลย แต่ว่าถ้าไม่กินได้นี่ดีนะ ฉันสรรเสริญ ถ้าเป็นฆราวาสนะ เพราะว่าจะได้ไม่กังวลเรื่องเนื้อสัตว์ จิตของเราก็ตัดบาปไปจุดหนึ่ง ใช่ไหม ...
    ในปฐมบัญญัติของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ โอ้โฮ ... นี่อยู่อเวจีทั้งคู่ ใครไปอเวจี ไปมอง ๆ ดูนะ พระเทวทัตยีนกางแขนกางขา โกกาลิกะนั่งชันเข่า หอกเสียบสบาย ๆ แล้วก็พระกฏโมรกติสสกสะ พระที่เป็นบุตรของนางขัณฑเทวี และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกัน ใครบ้างล่ะ ... พระเทวทัต เป็นหัวหน้าโจก โกกาลิกะ รองประธาน พระกฏโมรกติสสกสะ และ พระสมุทททัตชักชวนให้สงฆ์แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอแผนการให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น มี ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่อนุญาต และตนจะนำข้อเสนอขึ้นประกาศแก่มหาชน

    ข้อเสนอ ๕ ข้อนั้น คือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฎิบัติผิดมีเยอะ ไปหลงผิดว่าไอ้ที่เราทำนี่ดีนี่หว่า ข้อเสนอของพระเทวทัต ๕ ข้อ เวลานี้พระสาวกของพระเทวทัตก็มีเยอะเหมือนกัน ถือว่า ๕ ข้อ ที่พระเทวทัตขออนุญาตนี้ นึกว่าเป็นของดีกันนัก สงสารชาวบ้าน ข้อเสนอของเทวทัต ๕ ข้อ คือ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องอยู่เฉพาะในป่า ห้ามโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน

    ๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต เป็นวัตร หมายถึง ปฎิบัติ ต้องบิณฑบาตตลอดชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ไปฉันตามบ้านต้องมีโทษ นี้เป็นความต้องการของพระเทวทัต รู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่แกล้งขอ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่าผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ตามที่ต่าง ๆ บ้าง ตามที่เขาพันผีไว้บ้าง นำมาซัก นำมาย้อม มาปะติดปะต่อเป็นจีวรจนตลอดชีวิต ผู้ใดรับจีวรที่ชาวบ้านถวายต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ผู้ใดเข้าที่มุงที่บังที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนึ้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษ

    เห็นไหม ... การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการลบล้างไม่ใช่ทำได้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะร่วมด้วยว่า พระพุทธเจ้าแพ้แหง ๆ พระเทวทัตต้องชนะการเสนอญัตติแบบนี้ พระเทวทัตจึงได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลข้อเสนอ ๕ ประการนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    "ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่า

    ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่ในละแวกบ้าน

    ผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาต

    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ผ้าบังสุกุล

    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตวจีวรจากฆราวาสถวาย ก็จงรับได้

    เราอนุญูาตที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้

    เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดย ๓ ส่วน คือ

    ๑. ไม่ได้เห็นเขาฆ่า

    ๒. ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพระ

    ๓. ไม่ได้รังเกียจคิดว่า เนื้อสัตว์นึ้น่ากลัวเขาฆ่าเพื่อเรา เช่น เขาฆ่าเจาะจงเพื่อจะให้ภิกษุบริโภค

    พระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยอมรับสมเจตนาจึงได้เที่ยวประกาศให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมอนุญาตข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทราม คนไร้ปัญญูาบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก

    โอ้โฮ ... ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล้วใครจะมักน้อยอีก แต่คนที่เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัตเอาแล้วซิ ... นี่พระไม่ดีทำให้ชาวบ้านแตกกัน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนพระเทวทัตเป็นสัตย์แล้ว จึงได้ทรงติเตียนและทรงบัญญัติสิกขาบทว่า

    "ห้ามภิกษุพากเพียรเพื่อทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เมื่อภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศเป็นการสงฆ์เพื่อเลิกข้อประพฤตินั้นเสีย ถ้าสวดถึง ๓ วาระยังไม่เลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส"

    จำไว้ให้ดีนะ นี่บท ๕ ข้อนี้ ทวนเสียอีกทีนะ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้านต้องมีโทษใครเขาจะทำ

    ๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ถูกรับนิมนต์ฉันตามบ้านต้องมีโทษ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขากองทิ้งไว้ หรือผ้าห่อผีห่อคนตายตลอดชีวิต ถ้ารับผ้าที่เขาถวายต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ตลอดฤดูน้ำฤดูฝนไม่รู้ ถ้าเข้าบ้านที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ๕. ภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ใดฉันมีโทษ

    ทั้ง ๕ ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ

    เมื่อเห็นคนด้วยเมื่อเจอะพระเขาทำอย่างนี้นะละก็ญาติโยม อย่าถือว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดนะ ต้องถือว่าเขาเป็นคนละเมิดพระดำรัสสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน ... "


    ผู้ถาม : " กระผมเป็นฆราวาสกินอาหารมื้อเดียว ทำอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ ... ? "

    หลวงพ่อ : " อานิสงส์ปัจจุบัน คือ
    ๑. เปลืองอาหารน้อย เพราะกินเวลาเดียว

    ๒. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่ คือตาย

    ... ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดฐานะอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน ๒ เวลา กิน ๓ เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่า "ใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า" เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็นมานะทิฏฐิ เป็นกิเลสหยาบมาก อีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้านั่งคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็นมานะกิเลสพังเลย "


    ผู้ถาม : " อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป... "

    หลวงพ่อ : " ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปก็เปลืองน้อย เพราะฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว ๒ เวลา กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่ อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่าง หลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า
    "เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์"

    หลวงปู่แหวนท่านบอก

    "ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

    ตอบนำสมัย ไม่ไช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฎิบัติ แต่ปฎิบัติจริง ๆ มันขึ้นอยู่กับ

    ๑. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง

    ๒. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง

    เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัตกันแค่กิน "


    ผู้ถาม : " คนทำบุญให้ทานที่กินเนื้อสัตว์ กับคนทำบุญให้ทานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันคะ ... ? "

    หลวงพ่อ : " อานิสงส์แบบไหนล่ะ อานิสงส์ไปนรก หรืออานิสงส์ไปสวรรค์ อานิสงส์มันมี ๒ อย่าง ทำบาปก็มีอานิสงส์จะลงขุมไหนแน่ ถ้าทำบุญก็มีอานิสงส์ อย่างเลวก็ไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างดีที่สุดไปนิพพาน คนที่ไม่ทำบุญเลยแม้ไม่กินเนื้อสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปอยู่กับเทวทัตได้ มีไหมคนไม่ทำบุญเลย คนที่ทำบุญไม่กินเนื้อสัตว์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์นะ พระที่ฉันเนื้อสัตว์ไปนิพพานนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้กินสัตว์เป็น เขาซื้อมากินไม่มีบาป "

    ผู้ถาม : " ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะว่าไปมองเห็นเนื้อสัตว์แล้วมีเลือดมีคาว เลยกินไม่ได้เจ้าค่ะ "

    หลวงพ่อ : " อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีหรือพระ อรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญาณแล้ว นิพพิทาญาณเป็นปัจจัยให้ได้พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็นสังขารุเปกขาญูาณ เป็นอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ได้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐานเป็นพื้นฐาน
    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ไม่เสวยและฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น

    ๑. ต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ประการ มีเนื้อมนุษย์ เป็นต้น

    ๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมังสะ คือ ที่เขาขายแกงกินกันตามปกติของเขา โดยพระไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่าเนื้อเจาะจงถวายตน

    ๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกคราว จะต้องพิจารณาเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ไห้ฉันเนื้อต้องห้ามข้างต้น
    "

    ที่มา:หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอบปัญหาธรรม โดยศิวโมกข์ ต่อ (๑)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มิถุนายน 2012
  2. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ครบถ้วนกระบวนความ :cool:
     
  3. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +2,136
    อยู่ใน course ปฏิบัติหรือเปล่า?? ปิดวาจา งดสื่อสารกับโลกภายนอกนะครับ!!!!! มันจะทำให้ฟุ้งซ่านง่าย ตอนนั่งสมาธินะ
     
  4. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    สมัยที่ผมกินมังสวิรัติ เกือบๆจะ 3 ปี เชียว เหตุผลเดียวที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็คือสงสารพวกสัตว์ประการเดีัยวนั่นแหละ วิธีนี้ส่วนมากพวกพุทธมหายานชอบทำกัน เป็นการบำเพ็ญเมตตาบารมี ขันติบารมีที่ดีนะครับผมว่า

    แต่จากการที่ผมได้เข้าไปสัมผัสวงการนี้ จะมีการชักชวนกันไปรับธรรมะ ออกแนวยัดเยียดเลยละ พวกหลงทางน่ะมีจริง

    บางส่วนถือข้อปฏิบัตินี้เป็นสีลัพพตปรามาส คิดว่าตัวเองวิเศษวิโสกว่าคนอื่น บางคนคิดกระหยิ่มในใจว่าตัวเองนั้นไม่กินเนื้อสัตว์มาเป็น 10 ปี เหนือกว่าผู้ที่เพิ่งเิริ่มกิน บางคนนั้นหลงเข้าใจว่าไม่กินเนื้อสัตว์ พวกสวดมนต์ รับธรรมะบ้าๆบอๆ แล้วจะเป็นหนทางนำไปยังพระนิพพานได้
    :cool::cool:
     
  5. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    ในช่วงการปฏิบัติแรกๆ กินเจ.พิมก็เคยกินมาแล้วค่ะ เพื่อนชวนเข้าพิธีรับธรรมะก็เข้ามาแล้ว เปิดจุดญาณทวารก็เปิดมาแล้ว มีคนชวนไปรับแสงทิพย์อริยธรรมก็ไปมาแล้ว ไปนับถือเจ้าเข้าทรงก็เคยไปมาแล้ว..สรุปว่าไม่ใช่ทางดับทุกข์ค่ะ กิเลสยังมีเหมือนเดิมครบ แต่พอได้ปฏิบัติตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมญาณวัดท่าซุง(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)ก็พบว่าธรรมะที่ท่านสอนดับทุกข์ได้จริง คุณของพระรัตนตรัยมีจริงและหาประมาณมิได้ค่ะ
     
  6. จิรานุช

    จิรานุช สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +19
    เข้าใจแล้วคะ ตอนแรกสงสัยมานานแล้วนึกว่าคนไม่กินเนื้อนั้นจะทำให้จิตใจบริสุทธิ์แต่พอเจออยู่คนหนึ่งไม่ชอบกินเนื้อเลยกินแต่ผักก็นึกสงสัยมากๆว่าทำไมคนนี้เขาถึงมีจิตใจแข็งกระด้างนักชอบด่าคนอื่น แม้แต่แม่ตัวเอง แถมแช่งพ่อตัวเองด้วย พออ่านแล้วก็อ๋อ!!!!!!ในที่สุดก็ได้คำตอบว่าการไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้ทำให้จิตใจใครบริสุทธิ์ขึ้น แต่อยู่ที่จิตใจของคนๆนั้นมากกว่า
     
  7. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +2,136
    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ครับ
    ต่อให้มีศีลมาครอบแน่นหนาขนาดไหน ถ้าไม่ฝึกใจ ใจก็ยังเป็นอกุศลได้ครับ
     
  8. Wanthip

    Wanthip Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +25
    ติดยึด หรือ ยึดติด อยู่ที่จิต
     
  9. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +2,136
    วันนี้ขับรถผ่านรถขนหมูไปโรงเชือด...
    เห็นหมูแออัดกันอยู่บนรถ ส่งเสียงร้องไปตลอดทาง บางตัวก็น้ำตาไหล
    บนหลังทุกตัวมีสีแดงพ่นไว้ เป็นเครื่องหมายว่า "ถึงเวลาแล้ว"
    และมีสัญลักษณ์เหมือนเป็นตัวเลข ถูกจารไว้ด้วยมีด

    ยิ่งทำให้คิดได้ว่า ผมกำลังเดินมาถูกทางแล้ว คือการไม่มีส่วนร่วมใดๆ ในเรื่องที่ได้เห็นเช่นนี้อีกต่อไป

    ถึงแม้ จะไม่ใช่การทำบุญ จะไม่เป็นบุญกุศลแต่อย่างใด แต่เพียงแค่ใจเรารู้ว่า สิ่งที่เห็นนั้น หมูเหล่านั้น พวกมันไม่ได้กำลังจะถูกฆ่าตาย เพื่อเป็นอาหารของผม ก็พอใจแล้วครับ

    สิ่งที่คนกินมังสวิรัติควรระลึกไว้เสมอ คือ กินเพื่อละ หรือ กินเพื่อเพิ่ม?
    หากคุณกินมังสวิรัติ ละการกินเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการให้อาหารกิเลสอัตตาตัวตนของตัวเอง ถือว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ถือว่าตัวเองกำลังทำบุญเพื่อหวังผล อันนี้คุณไม่ได้ละอะไรลงไปเลย คุณกำลังให้อาหารกิเลสตัณหาของตัวเองอยู่ต่างหาก

    แต่หากคุณกิน เพียงเพราะว่า คุณไม่ต้องการมีส่วนร่วมใดๆ ในการเบียดเบียน และการกินของคุณ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และ ไม่เบียดเบียนตัวเอง เป็นไปเพื่อการละกิเลสตัณหา ขออนุโมทนาสาธุ กับกลุ่มหลังด้วยครับ
     
  10. vaddee

    vaddee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +443
    เป็นบุคคลหนึ่งที่รับวิถีธรรมมาแล้วทุกอย่างดีหมด แต่ถ้างดเนื้อสัตว์ได้ ศีลข้อหนึ่งก็ได้เต็ม ไม่ทานและไม่ฆ่า อนุโมทนากับข้อความ "คุณปุณบพิธ " ค่ะอยากเลิกทานเนื้อสัตว์เช่นกัน ด้วยเพราะความสงสารเมื่อมองไปในแววตาของสัตว์เหมือนร้องขอชีวิตอะ ......) :
     
  11. sitwuth

    sitwuth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2012
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +50
    ขอร่วมเสนอความเห็นทางธรรมด้วยคนนะครับ
    เหตุผลที่คนไม่ควรทานเลือดเนื้อชีวิตสัตว์คือ
    1. เหตุผลทางโลกคือ ร่างกายคนมีสรีระเป็นสัตว์กินพืช ไม่ใช่สัตว์กินสัตว์ และเพื่อสุขภาพ อาหารที่เป็นเลือดเนื้อชีวิตสัตว์ เป็นต้วเร่งให้ร่างกายก่อเกิดความเป็นโรคร้ายมากมายได้ง่าย เช่น มะเร็ง เคยมีการทำวิจัยได้ผลสรุปคือ กลุ่มคนที่ตายโดยอายุน้อยที่สุดคือ กลุ่มคนที่กินเนื้อสัตว์อย่างเดียว กลุ่มคนที่อายุยืนมากที่สุดคือ กลุ่มคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์รับประทานแต่พืชผักผลไม้ กลุ่มคนที่มีอายุยืนปานกลางก็คือ กลุ่มคนที่กินทั้งพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ปนกัน จากผลวิจัยพอสรุปได้คร่าวๆ ว่า กินแต่พืชผักผลไม้ ทำให้เกิดสุขภาพทางร่างกายโดยรวมดีกว่ากินแต่เนื้อสัตว์
    2. เหตุผลทางธรรมะคือ
    2.1 สัตว์เดรัจฉานที่เกิดมาคือ จิตวิญญาณที่เปลี่ยนร่างอาศัยจากร่างคน,หรือสัมภเวสี, เปรต มาอาศัยร่างของสัตว์เดรัจฉานแทน โดยแรงกฏแห่งกรรม ซึ่งเป็นสัจธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่เอนเอียง แม้แต่พระอรหันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พ้นจากกรรมที่เคยทำสร้างไว้อย่างในอดีตชาติ ยกตัวอย่าง พระโมคคลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า ต้องจำเป็นต้องให้พวกโจรที่ถูกจ้างโดยพวกเดียรถีย์ ในสมัยพุทธกาลให้รุมฆ่าพระโมคคลานะให้ตายไป ก็เพราะพระโมคคลานะรู้ว่า กรรมในอดีตชาติเคยฆ่าพ่อแม่ของตนมา ชาตินี้ยังต้องมาชดใช้กรรมครั้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่นิพพาน รวมทั้งพระพุทธเจ้าของเราได้ฉันอาหารมื้อสุดท้ายจากนายฉันนะเศรษฐี ถวายอาหาร "สุกรมัทวะ" ให้พระพุทธองค์ ซึ่งมีพิษต่อร่างกายของพระองค์ พระพุทธองค์ก็ทรงรู้ว่า นี่คือกรรมที่ต้องชดใช้ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพาน นั่นเอง ความรู้สึกนึกคิดของสัตว์ก็เหมือนกับคนทุกประการ เพียงแต่พูดภาษาคนไม่ได้เท่านั้น ในความรู้สึกนึกคิดของสัตว์เหมือนคน เราลองพิจารณาตามว่า ถ้าสัตว์ตัวที่ถูกฆ่าตาย ไม่ว่าจะเป็นเป็ดไก่หมูวัวควายหรือสัตว์อื่น สมมติว่าเจ้าของร่างสัตว์เหล่านั้นไม่ใช่ของจิตวิญญาณผู้อื่น แต่เป็นจิตวิญญาณของเราเป็นเจ้าของร่างสัตว์ที่ฆ่านำปรุงอาหารให้คนกิน ข้อแรกคือ เราต้องแค้นคนฆ่าสัตว์ที่เป็นร่างของเราแน่นอน แต่ลองคิดต่อไปว่า หลังจากร่างของเรา(ในร่างสัตว์ถูกฆ่า) และถูกนำไปปรุงเป็นอาหารให้คนอื่่นกินต่อๆ กันไป เราจะคิดว่าเราจะแค้นเพียงแค่คนฆ่าคนเดียวหรือ เราจะคิดแค้นคนกินร่างของเรา(ในร่างสัตว์)เลยหรือ ผมเคยถามคำถามแบบนี้กับใคร ก็ได้คำตอบเดียวกันคือ เราต้องแค้นคนกินเนื้อของเรา(ในร่างสัตว์)ด้วยกันเช่น นี้เรียกว่า การเกี่ยวกรรม จึงมีคำกล่าวว่า กรรมอยู่ที่คนฆ่า บาปอยู่ที่คนกิน แต่ใครจะได้รับผลแห่งบาปกรรมมากน้อยแค่ไหน ระหว่างคนฆ่าหรือคนกินผมไม่รู้ คนที่จะรู้ได้ว่าผมว่าน่าจะเป็นพระอรหันต์และพระพุทธเจ้ามากกว่า แต่ก็สรุปว่า สร้างกรรมทำบาปเหมือนกันนั่นแหละ
    2.2 คนซื้อและคนกิน เปรียบได้ว่าคนว่าจ้างฆ่า แต่เป็นการว่าจ้าง โดยไม่ต้องทำการตกลงว่าจ้างก่อนล่วงหน้า เพราะคนฆ่าสัตว์ย่อมรู้ว่าเมื่อเขาฆ่าสัตว์ไป ก็จะมีคนซื้อไปกินแน่นอน จึงทำให้เกิดการฆ่าขึ้น และมีการซื้อเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าไปปรุงอาหารกินภายหลัง
    2.3 ผมเคยพบคนอินเดียนับถือพุทธศาสนา คนอินเดียคนนั้นอยู่ในประเทศไทย อยู่ในกรุงเทพฯ เขาทำหนังสือเผยแพร่พุทธศาสนาด้วย ผมถามเขาว่า คนอินเดียที่นับถือพุทธศาสนาในประเทศไทย เขากินเลือดเนื้อชีวิตสัตว์หรือไม่ เขาตอบว่าคนอินเดียนับถือพุทธในไทยไม่กินเนื้อสัตว์ รวมทั้งคนอินเดียในประเทศอินเดียที่นับถือพุทธศานาก็ไม่กินเนื้อสัตว์เช่นเดียวกัน แล้วอย่างนี้ท่านผู้อ่านทุกท่านลองพิจารณาดูว่า ถ้าความเชื่อของคนไทยนับถือพุทธว่าการทานเนื้อสัตว์เป็นเรื่องที่ถูกต้องไม่ผิด ทำไมคนอินเดียที่นับถือพุทธศาสนาเหมือนคนไทย ทำไมเขาไม่ทานเนื้อสัตว์เหมือนคนไทย คำตอบง่ายๆ เพราะคนอินเดียมองว่า หากยังกินเนื้อสัตว์ก็เกี่ยวกรรมกับสัตว์ ก็คือผิดศีลข้อ 1 นั่นเอง ในเบญจธรรมก็คือความเมตตาธรรม ความเมตตาที่แท้จริงไม่มีความลำเอียง พระพุทธะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีความเมตตาที่ไม่ลำเอียง เพราะเขาเป็นญาติ เป็นสิ่งที่รัก เป็นคนรัก เป็นคนใกล้ชิด สัตว์เดรัจฉานที่เรารัก เราจะรักเอ็นดูมันเหมือนญาติเหมือนเพื่อนเหมือนลูก แต่สัตว์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา เราไม่มีความรู้สึกผูกพันกับมัน เราเบียดเบียนกินมันได้โดยไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด เมตตาที่แท้จริงจึงต้องมีกับทั้งคนและสัตว์อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ลำเอียงเพราะความรัก, ความเป็นญาติ, เป็นสิ่งที่รัก, สิ่งที่หวงแหนนั่นเอง
    2.4 สัตว์เดรัจฉานบางร่างที่เรากินอาจจะเป็นร่างของพ่อแม่ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ความไม่รู้ของคน จึงอาจเป็นไปได้ว่าได้กินเลือดเนื้อชีวิตของพ่อแม่ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราไป โดยไม่รู้ตัว หรือในช่วงเวลาเทศกาลไหว้พ่อแม่บรรพบุรุษ เราอาจเอาเนื้อสัตว์ที่เป็นร่างของพ่อแม่บรรพบุรุษของเรามาไหว้ให้ท่านกินร่างของท่าน ท่านจะยินดีพอใจเราที่เราเอาเนื้อร่างของสัตว์มาไหว้ให้ท่านกินร่างของท่านหรือไม่
    2.5 พระโพธิสัตว์กวนอิน เคยตรัสว่า เรากินเนื้ออะไรเข้าไป เราจะต้องชดใช้กรรมไปเกิดเป็นสัตว์ที่เรากิน ให้คนอื่นกินเราในร่างของสัตว์กลับ นี่เรียกว่ากงกรรมกงเวียน นั่นเอง กินเขาไว้ ก็ต้องชดใช้กรรมถูกกินกลับบ้าง
    2.6 พระพุทธเจ้าเคยตรัสไม่ให้รับประทานเนื้อสัตว์แต่อย่างใด ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาคือ ลังกาวตารสูตร ซึ่งพระคัมภีร์เล่มนี้ ท่านพุทธทาส ได้มีถอดแปลความจากภาษาต้นฉบับ (ผมไม่รู้ว่าเป็นภาษาจีนหรือภาษาอะไร)มาเป็นภาษาไทย รายละเอียดต้องเป็นศึกษาเอาเอง
    ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เป็นเพียงแค่ร่วมศึกษาร่วมให้ความเห็น แต่ต้องการให้ท่านผู้มีปัญญาฝักใฝ่ในทางพุทธศาสนา ศึกษาหาข้อมูลให้เกิดความเข้าใจเพิ่มเติมเอาเองนะครับ ผมขอร่วมนำความเห็นตามที่ศึกษาเข้าใจมาให้ทุกท่านได้พิจารณาอีกความเห็นหนึ่ง
     
  12. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +2,136
    อนุโมทนา สาธุๆๆๆๆ
    ผู้ที่เข้าใจในข้อนี้แล้ว
    เหมาะสมแล้วที่จะกล่าวได้ว่าเป็นผู้ถึงซึ่ง เมตตาเจโตวิมุตติ

    มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข

    เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง

    คนเราพึงแผ่ความรักความเมตตา ไปยังสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ดุจดังมารดาถนอม และปกป้องบุตรสุดที่รักคนเดียวด้วยชีวิตฉันนั้น
     
  13. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    การกินพืชผักจะทำให้จิตใจบริสุทธิ์ได้งัยครับ มันก็เป็นแค่การกินนะครับ
    การกินพืชผัก
    - ทางโลก ปกติมนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร ตามโครงสร้างร่างกายของมนุษย์
    - ทางธรรม พระพุทธเจ้าบัญญัติศีลข้อที่ ๑ และเพราะมีคนกิน กินกันมากขึ้นถึงได้มีการฆ่า ที่เขาฆ่าเพราะอยากได้เงินจากคนซื้อ เหตุผลง่ายๆๆๆ นะครับ

    ที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติห้ามไม่ให้พระสงฆ์ฉันเนื้อนั้น ผมเองไม่อาจทราบได้เพราะเป็นเรื่องของพุทธวิสัย แต่พระองค์ทรงตรัสบอกเรื่องการฉันอาหารของพระสงฆ์ว่า ก่อนจะฉันอาหารไม่ว่าจะเป็นพืช ผัก ผลไม้ เนื้อต่างๆๆๆ ต้องพิจารณาอาหารเหล่านั้นให้เป็นธาตุทั้ง ๔ ก่อนฉัน ถ้าไม่พิจารณาอาหารก่อนฉันต้องอาบัติทุกกฏ

    ส่วนเรื่องสถานธรรมะ คนละเรื่องกับการไม่กินเนื้อสัตว์ครับ เรื่องของสถานธรรมก็เป็นเรื่องของเขานะครับ
     
  14. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    :cool:Anumo..tana..satu..naka.
     
  15. TNWD

    TNWD Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +39
    ผมคิดว่านะ "ผู้ใดไคร่ทางผักทาน ผู้ใดไคร่ทานเนื้อสัตว์ ทาน หรือจะทานทั้งผักและสัตว์ คล้ายกันทั้งนั้น แต่ที่เหมือนกันคือ หลักธรรม อันเป็นที่มาจากพระพุทธเจ้า ถ้าจะคืดลึกซึ้งจริงๆแล้วผัก ก้อ มีชีวิตนะขอรับ ผิดพลาดประการใดขอ อภัยมานะที่นี้ด้วย สิ่งที่สำคัญคือหลักธรรมที่ถูกต้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2012
  16. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงให้ฆราวาสรักษาคือศีล ๕
    ศีลข้อที่ 1 คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้น จากการเบียดเบียนชีวิตซึ่งกันและกัน เนื่องจากชีวิตเป็นสิ่งที่ทุกคนรัก ทุกคนหวงแหน แม้สัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน รักชีวิต หวงชีวิต กลัวชีวิต จะต้องตายทุก ๆ ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลาย ต่างดิ้นรน ต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ชีวิตของตนอยู่รอด แคล้วคลาด ปลอดภัย อยู่ดีมีความสุข พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติศีลข้อที่ 1 ด้วยเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายรักชีวิตของตนเป็นอันดับ 1

    องค์ประกอบของมนุษย์ประกอบด้วย
    - จิตญาณแห่งความรู้และเหตุผล (วิจารณญาณ)
    -
    จิตญาณแห่งการต่อสู้ดิ้นรนหนีภัย (สัญชาติญาณ)
    -
    พลังแห่งการเจริญเติบโต (พลังชีวิต)

    องค์ประกอบของสัตว์ประกอบด้วย
    - จิตญาณแห่งการต่อสู้ดิ้นรนหนีภัย (สัญชาติญาณ)
    -
    พลังแห่งการเจริญเติบโต (พลังชีวิต)

    องค์ประกอบของพืชประกอบด้วย
    - พลังแห่งการเจริญเติบโต (พลังชีวิต)
    พืชมีองค์ประกอบแค่ส่วนเดียว คือ พลังแห่งการเจริญเติบโต (พลังชีวิต) เราสังเกตได้ว่าถ้าเราไม่ถอนรากถอนโคนต้นพืช...เพียงแค่เด็ดยอดดอกผล ตัดกิ่ง เล็มใบมัน...มันก็จะแตกตัวออกมาได้เรื่อยๆไม่ตายจากไปไหน
     
  17. sitwuth

    sitwuth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2012
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +50
    ทานพืชผัก ด้วยเหตุผลทางสรีระร่างกายคนเป็นสัตว์กินพืช ทางธรรมเป็นการปูพื้นฐานจิตที่ดีงามแห่งความเมตตา เพราะในโลกทุกวันนี้เสียงแห่งความร้องแห่งความเจ็บแค้นเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งในโลก ซึ่งเกิดจากการฆ่ากิน ทุกคนกลัวสงครามระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ซึ่งนานๆ จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เช่น สงครามโลก สงครามระหว่างประเทศ เป็นต้น แต่สงครามฆ่าสัตว์ด้วยน้ำมือมนุษย์เกิดขึ้นทุกวัน เพราะมนุษย์(คน) ไม่ยอมหยุดเบียดเบียนเลือดเนื้อชีวิตสัตว์ เพื่อกิน เพื่ออิ่ม เพื่อความสุขทางปากอย่างเดียว มีสัตว์เดรัจฉานตายโหงเจ็บปวดทรมานจากการถูกฆ่ามากมายมหาศาลทุกวัน แล้วสงครามฆ่าสัตว์ที่เกิดขึ้นทุกวัน ทุกท่านคิดดูว่าทุกท่านเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสงครามฆ้่่าสัตว์ขึ้นหรือไม่ ด้วยเหตุผลคือ เพราะมีคนกินเนื้อสัตว์ จึงเกิดสงครามฆ่าสัตว์มากมายทั่วโลก แล้วผลแห่งกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการทำสงครามนี้ก็คือ อุบัติเหตุ โรค สงคราม ภัยพิบัติต่างๆ มาทำให้ผู้ก่อสงครามฆ่าสัตว์ได้รับผลแห่งกรรมที่ทำไว้นั่นเอง
    ส่่วนการปฏิบัติตนเพื่อการหลุดพ้นยังต้องปฏิบัติตนขั้นสูงอย่างอื่นต่างหากครับ ไม่ใช่ว่ากินพืชแล้วจะหลุดพ้นได้เลย
     
  18. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +3,776
    ผมคิดแล้วครับ ว่าผมไม่ได้ทำให้เกิดสงครามฆ่าสัตว์เลย
    ผมไปซื้อกับข้าว มีอะไรผมก็ซื้อแบบนั้น มีผักก็ซื้อผัก มีเนื้อก็ซื้อเนื้อ
    ไม่มีผักไม่มีเนื้อ ผมก็ไม่ได้ซื้อ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดทางจิต ถ้าเราคิดหยาบๆ คิดแบบนักการตลาด
    ก็จะได้ว่า เพราะเรากิน เขาถึงฆ่า
    แต่ถ้าคิดตามจิตแล้ว เขาฆ่าแล้วเอามาขาย เราถึงมีทางซื้อกิน
    ถ้าเขาไม่ฆ่า เขาไม่เอามาขาย จิตของเราก็ไม่ไปฆ่า เพื่อเอามากิน

    เรื่องเลือกกินนี่เป็นเรื่องง่ายที่สุด ถ้าทำแล้วผิดบาป พระพุทธเจ้าให้เป็นศีลไปนานแล้ว
    ลองศึกษาอุทุมพริกสูตรดูนะครับ เลือกกินนี่เป็นกิเลสขั้นสะเก็ด...
    ยังไม่เข้าถึงศีลถึงธรรมเลย
     
  19. Noppharat

    Noppharat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +40
    ช่วงนี้ไม่ค่อยได้กินเนื้อสัตว์เหมือนกัน มันเป็นบางวัน วันไหนนึกแขยง เหม็นคาว ก็จะไม่กิน หากฝืน อ้ววววววววววกแน่ แต่บางมื้อหิว ร่างกายต้องการโปรตีน ก็จะกินไข่ ไก่ ปลา แค่นั้นแหนะเต็มที่ ยิ่งช่วงไหนอ่านธรรม ฟังธรรม มากๆ นี่ แค่เห็นเนื้อสัตว์ ก็ผะอืดผะอมแล้ว คิดว่าหลายคนน่าจะเป็นเหมือนกัน
     
  20. ณัฐสิทธิ์

    ณัฐสิทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,916
    กระทู้นี้ดีจริงครับ
    เรื่องกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์ มักจะ u-turn กลับมาเนืองๆ
    ท่านทั้งหลายต่างก็วิพากย์อย่างอารยชน ไม่มีการโจมตีคนคิดต่างหรือด่าทอหยามเหยียกัน
    เหตุผลหรือคติ--ของการกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์--ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป
    การจะรู้ว่า บุคคลใดมีศีล หรือ ภูมิจิต/ภูมิธรม อยู่ระดับใดนั้น
    ไม่อาจวัดได้จากการพูด หรือ การกระทำ แบบตื้นๆ
    เพราะของแบบนี้ มัน fake กันได้

    -คนกินเนื้อสัตว์ที่บรรลุธรรม 1 ใน8 ระดับก็มีถมไป ( เช่น พระอริยะเจ้าทั้งหลายสายพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น เป็นต้น)
    -คนกินเนื้อสัตว์ที่ไม่มีธรรมอันใดเลย ก็มีดาษดื่นบนโลกนี้
    -คนไม่กินเนื้อสัตว์ (มังสิวิรัติทั้ง 4 ระดับ) ที่บรรลุธรรมขั้นต่างๆในสายมหายาน ก็มีมากมาย
    -คนไม่กินเนื้อสัตว์ ที่เป็นกัลยณปุถุชน/ เป็นปุถุชน /เป็นมิจฉาทิฏฐิ (มีมานะถือตน
    ถูกอวิชชาครอบงำน่าสงสาร/สมเพช) ก็เยอะแยะ
    ว่าแต่ว่า...ท่านทั้งหลาย อยู่ในกลุ่มไหน ใน4 กลุ่มนี้ล่ะครับ

    ผมเองขอสารภาพว่า อยู่กลุ่มสุดท้ายครับ
    ผมกินมังสวิรัติ กินนม-ไข่ ( Lacto-Ovo ) มาตั้งแต่ปี'48
    เหตุผล--เป็นลำไส้ใหญ่อักเสบ/แผลเหวอะหวะ รักษาไม่หาย จนปัญญา
    อธิษฐานเลิกกินเนื้อสัตว์ก็ดีขึ้นจนหายปกติ
    แล้วพอกลับมากินตามปกติ ก็เป็นอีก ครานี้หนักกว่าเดิม
    เลยกินมังฯมาตลอด ชีวิตก็ดีมีสุข ใจสงบ เมตตาขึ้น โกรธขึ้งน้อยลง

    สมัยที่ผมไปปฎิธรรมและทำงานรับใช้หลวงพ่อองค์หนึ่งที่ อ.โพธาราม ราชบุรี (ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่จวน/หลวงตาพระมหาบัว/หลวงปู่เจี๊ยะ) รุ่นปลูกป่า มีญาติโยมหลายคนตั้งคำถามธรรมะข้อนี้ให้ท่านคลายข้อกังขา ท่านก็เทศน์กล่าวถึงสมัยหลวงปู่มั่น/ หลวงปู่แหวน ที่มีพระด้วยกันชวนให้เลิกกินเนื้อสัตว์ แล้วก็ได้คำตอบอย่างที่เพื่อนสมาชิกลงมาก่อนหน้านี้ว่า".. วัว-ควายมันกินหญ้า ไม่เห็นมันบรรลุธรรมอะไรเลย.." แต่ท่านก็เมตตากล่าวหยอดท้ายว่า"..แต่ถ้ากินเพื่อรักษาสุขภาพแล้ว เราเห็นด้วยไม่ว่ากัน.." โล่งเลย dilamma ลอดหว่างเขา ไม่มีใครมาตอแยอีก

    ตอนนี้ ผมมาอยู่ในไร่สวนทางภาคเหนือ เดิมเคยเลี้ยงหมู/เป็ด/ไก่ พอเวลามันจะถูกจับไปขาย มันทั้งร้อง/วิ่งหนีอุตรุด ยังจำแววตาของหมูๆทั้งหลายได้เลย มองทีไรก็คล้ายแววตาคน มันสื่อสารบางอย่างออกมา ตอนนี้ผมขออนุญาตเจ้านายขายหมดเลยยกเล้าทั้งเป็ด/ไก่/หมู ครับ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า " ...ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ "
    หลวงตาเทศน์ไว้ว่า "...ฝึกสิ่งใดก็ตาม สู้ฝึกตัวไม่ได้ ต้องฝึกตัวของเราก่อนฝีกอย่างอื่น
    คนเราต้องฝึกตัวให้ดี..."
    ด้วยเหตุนี้
    ใครจะกิน หรือ ไม่กินอะไร ก็ช่างเขา
    ใครจะนับถือ หรือ ไม่นับถืออะไร ก็ช่างเขา
    ฝึกตัว (ใจ) ของตัวเองให้ดีก่อน
    เมื่อจิตละเอียดขึ้นๆ ก็จะก้าวข้ามประเด็นย่อยๆเหล่านี้ ไปเป็นลำดับเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...