ปั่นจักร ปั่นจิต

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย พามมะวดี, 20 สิงหาคม 2008.

  1. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    ปั่นจักร ปั่นจิต<O></O>


    ปัจจุบันนี้หากเรากวาดตามองไปสังเกตดูการดำเนินชีวิตของผู้คนรอบๆ ตัวเราในแต่ละวันเราก็คงพบรูปแบบการดำเนินชีวิตที่คล้ายๆกันไปหมด ทุกคนตื่นขึ้นมา ล้วนแล้วแต่ตะเกียกตะกายไขว่คว้า พยายามหาหนทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความอยู่รอด และเมื่ออยู่รอดแล้ว ก็พยายามแสวงหาหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น เงินทอง สิ่งของ ชื่อเสียง อำนาจ บริวาร ฯลฯ มาเพิ่มเติมให้ได้มากที่สุด แล้วแต่กำลังและสติปัญญาของใครจะทำได้ขนาดไหน
    <O></O>
    ในขณะเดียวกันหากเรามองย้อนกลับไปตอนเป็นเด็กเล็กๆ เราจะรู้สึกว่าชีวิตผู้ใหญ่นี้แตกต่างจากชีวิตของเด็กเหลือเกิน เด็กนั้นไม่ต้องห่วงอะไรวันๆเอาแต่เล่นและพยายามหาความเพลิดเพลินใส่ตัวเองตลอดเวลา ชีวิตของเด็กทุกคนก็คงไม่หนีจากการเล่นของเล่น เล่นกับสุนัข แมว ดูการ์ตูน จับกลุ่มเล่นกับเพื่อน อยากไปเที่ยวสวนสนุก ฯลฯ ซึ่งเชื่อว่าผู้ใหญ่ทุกคน ตั้งแต่อายุน้อยๆ อย่างวัยรุ่นจนกระทั่งระดับคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายแอบรู้สึกเหมือนๆกันไปหมดไม่ได้ว่าสภาพความเป็นเด็กนั้น คือ สภาพความสนุกสนานเพลิดเพลิน เล่นๆ ไม่จริงไม่จัง เป็นไปอย่างไม่เป็นสาระอะไร เล่นสนุกเบื่อแล้วก็หาอะไรเล่นใหม่ ผ่านเวลาไปวันๆ เพื่อรอความเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น จนเป็นที่มาของคำว่า เรื่องเด็กๆของเด็กเล่น หรือ ทำตัวอย่างกับเด็ก ๆเมื่อเราเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ทุกคนจะรู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่ของเราแตกต่างจากเด็กเหลือเกิน สิ่งที่เราทำทุกอย่างเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ไร้สาระ มีคุณค่าต่อตนเองและสังคม ฯลฯ
    <O></O>

    เรามีคำต่างๆ มากมายมาประกอบความจริง เช่น ความรับผิดชอบ ฐานะ เศรษฐกิจ ความก้าวหน้า สังคม ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้เรารู้สึกว่า เราพัฒนาพ้นสภาพจากความเป็นเด็กแล้ว<O></O>
    <O></O>
    แต่ความจริงที่น่าประหลาดใจและจัดได้ว่าน่าเศร้าในเวลาเดียวกันก็คือ หากเราถอยจิต ถอยใจ ออกมามองชีวิตของเราให้ห่างมากๆ เราจะพบว่า ความจริงคนเราทุกคนแทบไม่เคยโตขึ้นเลยในทางจิตใจ ปัจจุบันภายนอกเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องที่เราทำและเรื่องที่เราสนใจอาจดูเหมือน serious กว่า ดูจริงจังกว่า แต่ความจริงแล้วภายในเรายังเป็นเหมือนเด็กน้อยคนเดิม ที่เพียงแต่เราเปลี่ยนเกมเล่น เปลี่ยนของเล่นใหม่เท่านั้นเอง<O></O><O></O>

    ..... เราเคยเรียกร้องอยากได้ของเล่นอย่างไร เมื่อโตขึ้นเราก็หลงใหลไขว่คว้าเพื่อให้ได้ของต่างๆ มาอย่างนั้น...... เมื่อเราได้อะไรใหม่ๆ เราเคยเห่อ เคยอยากอวดของเล่นกับเพื่อนอย่างไร <O></O>
    ....ตอนโตเราก็อยากไปอวดโชว์กับเพื่อนหรือกับคนรู้จักอย่างนั้น.... <O></O>
    <O></O>
    ตอนเล็กๆ เราเคยอยากได้ลูกโป่ง จักรยาน ดินสอ กระเป๋า หนังสือเรียนใหม่ <O></O>
    ตอนนี้ในหัวของเราเต็มไปด้วยเรื่องอยากได้ นาฬิกา มือถือ ทีวี รถยนต์ แหวนเพชร สร้อยทอง ฯลฯ แทน
    <O></O>
    ตอนเราเป็นเด็กเราเคยง่วนอยู่กับรถเด็กเล่น<O></O>
    ตอนนี้เราพยายามเหลือเกินเพื่อให้ได้รถยนต์ที่ขับได้จริงๆ มาเล่นกัน<O></O>
    <O></O>
    ตอนเล็กๆ เราเคยติดการ์ตูน<O></O>
    ตอนนี้เรายังคงดูทีวีจอสี่เหลี่ยมเหมือนเดิม แต่เดี๋ยวนี้ เราเปลี่ยนเป็นติดรายการสารพัด ทั้งละคร หนัง ฟุตบอล และสารคดี ฯลฯ<O></O>
    <O></O>
    ตอนเล็กๆ เราเคยอยากเป็นที่ยอมรับของเพื่อนฝูงอย่างไร <O></O>
    ตอนโต เราพยายามทำงาน ตะเกียกตะกายอยากเป็นคนเก่ง อยากได้ตำแหน่ง เพื่อให้รอบข้างเขามายอมรับนับถือเราอย่างนั้น......


    ตอนเล็กๆ หลายๆ คนอยากเป็นหัวหน้าห้อง หัวหน้าชมรม <O></O>
    ตอนนี้หลายๆ คนอยากเป็นนายกรัฐมนตรี นักการเมือง เจ้าของบริษัท หัวหน้าฝ่าย อธิบดี ฯลฯ<O></O>
    <O></O>
    ตอนเล็กๆ อยากได้ความรักจากพ่อแม่ <O></O>
    ตอนนี้เราอยากได้ความรักจากเพื่อนฝูง แฟน และหัวหน้างานแทน.....<O></O>
    <O></O>
    ตอนเด็กๆ เราเคยอยากได้ สุนัข แมว กระรอก มาเลี้ยง<O></O>
    ตอนนี้เราสร้างลูกหญิงชายแสนรักมาเลี้ยงแทน......<O></O>
    <O></O>
    ตอนเล็กเราไม่อยากเป็นเด็กที่ไม่มีใครสนใจ เพื่อนไม่ชวน ครูไม่เรียกชื่อ เราจึงพยายามเรียกร้องความสนใจ <O></O>
    เมื่อเราโตขึ้นเรายังต้องการความรัก ความสนใจเช่นเดิม แต่เดี๋ยวนี้เราเปลี่ยนวิธีเป็นการหวีผมให้หล่อ แต่งตัวให้สวย ซื้อรถให้แพงแสดงตัวว่าเก่ง ฯลฯ<O></O>
    <O></O>
    ...ตอนเล็ก ๆ บางคนชอบเกาะกลุ่มกับเพื่อนที่แข็งแรง หรือเด่น เป็นที่ยอมรับ <O></O>
    พอเราเป็นผู้ใหญ่ หลายคนพยายามหาทางสนิทสนม เพื่อใช้มาอ้างกับคนรอบข้างว่า..... <O></O>
    ผมสนิทกับผู้ว่าแบงก์ชาติ อธิบดีตำรวจ มหาเศรษฐี หรือนักการเมืองใหญ่ ฯลฯ นะ<O></O>
    <O></O>
    แม้ภายนอกเราอาจดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ภายใน ไม่ว่าเราอายุ 18 หรือ 80 เรายังเป็นเด็กคนเดิม เพียงแต่ไม่ถูกของปลอม ของเล่น หรืออะไรที่ดูตื้นเขินหลอกอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันเรากลับโดนสิ่งของ หรือนามธรรมที่ดูเหมือนเป็นของจริงกว่า ลึกซึ้งกว่า หลอกเราจนหัวปักหัวปำและมักถอนตัวไม่ขึ้นไปจนตลอดชีวิต<O></O><O></O>

    เราแค่พัฒนาตนเองพ้นจากกับดักง่ายๆ เข้าไปสู่กับดักอันใหม่ที่แยบยลกว่า <O></O>
    และมีแนวโน้มว่าจะติดในกับดักใหม่นี้จนตาย<O></O>
    <O></O>
    คำถาม ที่น่าสนใจก็คือ การดำเนินชีวิตเช่นนี้ ผิดอย่างไรหรือไม่ดีอย่างไรหรือ<O>ใน</O>เมื่อผู้คนในโลกเขาก็เป็นกัน....
    คำตอบ<O></O>
    อาจไม่ใช่ถูกหรือผิด แต่ประเด็นที่แท้จริงอยู่ที่ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตเช่นนี้อยู่<O></O>
    ท่ามกลางความหายนะแห่งชีวิต ได้แก่ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย...<O></O>
    ความพลัดพราก ทั้งหลายซึ่งกำลังจะเกิดกับเราอย่างแน่นอน..... <O></O>
    อาจภายในพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า หรือหลายสิบปี<O></O>
    ข้างหน้าอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง<O></O>
    <O></O>
    ปัญหาก็คือ เราทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปก็มักเพื่อสรรหาเงินทอง สิ่งของ อำนาจ อิทธิพลต่างๆ เข้ามาในชีวิตซึ่งมีประโยชน์จำกัด มีไว้เพื่อให้ชีวิตรอดและสร้างความสะดวกสบายเพลิดเพลินเท่านั้น แต่ไม่ได้มีประโยชน์ในการับมือกับความทุกข์สาหัสสารพัดชนิดที่แน่นอนว่ากำลังจะเข้ามาสู่ชีวิตของเราทุกคนเลย มีน้อยคนนักที่จะรู้ตัวว่าวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยการขวนขวายให้ได้มาซึ่งรูปธรรมนามธรรมที่เราใช้อยู่ทุกวัน ซึ่งดูปกติดีมีสาระเป็นจริงเป็นจังมีความเจริญใหญ่โตนั้น ความจริงไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่พยายามหาของเล่นเพลินใจไปวันๆ เผาเวลาหมดไปวันๆ เท่านั้น ไม่ได้มีการเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติแห่งการมีชีวิตอยู่เลย และเมื่อความตายมาถึง สิ่งที่เราพยายามทุ่มเทสรรหามาทั้งหมดก็จะกลายเป็นความสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง มีเพียงจิตใจที่อ่อนแอที่เคยชินแต่จะหลงเกาะเกี่ยวอยู่กับข้าวของ บุคคลหรือสถานะภายนอก โดยไม่เคยได้รับการฝึกฝนให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงอันเจ็บปวดของชีวิตเลย และถึงเวลานั้นจะมีเพียงความดีชั่วในจิตใจเราเท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่จะนำพาเราเดินทางไปยังภพภูมิต่อไป ไม่ใช่สิ่งของ ฐานะ อิทธิพล เพื่อนฝูง หรืออะไรที่เราหามาสะสมไว้ได้ขณะดำรงชีวิตเลย<O></O>
    หากใครเห็นภัยแห่งชีวิตเหล่านี้ และได้มีโอกาสมาศึกษาพุทธศาสนาก็จะทราบว่ามีวิธีที่แสนประเสริฐในการรับมือกับความทุกข์ในชีวิต และเป็นทางเดียวที่เราจะค่อยๆ เป็นอิสระจากความทุกข์อย่างถาวรได้ในที่สุด ด้วยการทำทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนา หรืออีกนัยหนึ่งคือการเจริญสติเฝ้าดูจิต ดูใจตนเองตลอดเวลาที่ทำได้<O></O>
    ผู้เขียนจึงอยากชักชวนว่า ในเมื่อเราสามารถลงทุน ลงแรงมาทั้งชีวิตเพื่อการแสวงหาวัตถุ สิ่งของ สถานะ อำนาจ ฯลฯ ซึ่งมีประโยชน์ค่อนข้างจำกัด และเป็นไปเพื่อความเพลิดเพลินและดำรงอยู่ไปวันๆ ราวกับนั่งก่อปราสาททรายที่พร้อมจะสูญสลายไปเมื่อใด ก็ได้หากธรรมชาติบันดาลแล้ว......<O></O>
    ในฐานะที่เราถือตนเองว่าเป็นมนุษย์ผู้มีปัญญาแล้ว ทำไมจึงไม่แบ่งปันเวลาและความพยายามนั้นไปก่อสร้างสิ่งที่คงทนข้ามยุค ข้ามสมัย คือการปฏิบัติภาวนาที่จะมีผลเปลี่ยนแปลงใจของเราซึ่งเปรียบเสมือนบ้านแท้ๆ ที่เราต้องอาศัยอยู่ทุกวัน ให้น่าอยู่ ให้เย็นสบาย ให้ทนทานต่อทุกข์ที่เข้ามากระทบยิ่งๆ ขึ้นไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เล่า ?<O></O>
    และถึงแม้พวกเราหลาย ๆ คน จะยังจำเป็นต้องข้องเกี่ยวอยู่ในวิถีการดำเนินชีวิตปกติกันต่อไป อย่างน้อยการลงทุนลงแรงในการปฏิบัติภาวนาทุกขณะ ก็ยังเป็นสิ่งเดียวที่มีประโยชน์ที่สุด ให้ผลทันทีที่ปฏิบัติ และเป็นสิ่งเดียวที่ถาวรที่สุดและจะสะสมติดจิต ติดใจ เราไปได้ตลอดไป<O></O>
    <O></O>
    การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก<O></O>
    <O></O>
    การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในยุคที่พระพุทธศาสนายังตั้งอยู่นั้นยิ่งยากแสนยาก<O></O>
    <O></O>
    มิต้องพูดถึงการได้เกิดเป็นมนุษย์ ในยุคที่ศาสนาพุทธยังคงอยู่ และมีโอกาสได้พบเจอ ว่าจะยิ่งยากสุดแสนยากปานใด <O></O>
    <O></O>
    ควรหรือ..............ที่จะปล่อยโอกาสทองนี้ให้หลุดลอยไป <O></O>
    <O></O>
    <O></O>
    <O></O>
    ที่มา : วารสารบ้านอารีย์ / ออกทุกวันพระขึ้น 15 ค่ำ กับวันแรม 15 หรือ 15 ค่<O></O>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2008
  2. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...