ปุถุชน

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 17 มิถุนายน 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ปุถุชน

    ในคัมภีร์สัทธัมมปกาสินี อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค กล่าวไว้ว่า ปุถุนานาภิสํขาเร อภิสํขโรนฺตีติ ปุถุชฺชนา เป็นอาทิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่าที่ได้นามว่าเป็น ปุถุชน ก็เพราะมีการปรุงแต่งอภิสังขารนานาประการอีกเป็นอันมาก หมายความว่ายังต้องไปเกิดในอบายภูมิด้วยอำนาจแห่งอปุญญาภิสังขาร คือความปรุงแต่งแห่งอกุศลกรรมความชั่วร้ายอีกเป็นอันมาก และยังต้องไปเกิดในกามสุคติภูมิ ด้วยอำนาจแห่งปุญญาภิสังขาร คือความปรุงแต่งแห่งกามาวจรกุศลกรรมความดีอีกเป็นอันมาก ทั้งยังต้องไปเกิดในรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ ด้วยอำนาจแห่งอเนญชาภิสังขาร คือความปรุงแต่งแห่งรูปาวจรอรูปาวจรกุศลกรรมอีกเป็นอันมาก นอกจากนี้ยังมีอรรถาธิบายคำว่าปุุถุชนไว้อีกหลายนัย เช่นว่า สัตวโลกทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าเป็น ปุถุชน ก็เพราะเหตุดังต่่่อไปนี้ คือ

    เป็นผู้ไร้การศึกษา ไร้พิจารณาไต่ถาม ไร้สดับตรับฟัง และไร้ความทรงไว้ซึ่งความรู้ในสภาพธรรมตามความเป็นจริง เช่นเรื่องของขันธ์ ธาตุอายตนะ เป็นอาทิ

    เป็นผู้ประกอบด้วยเหตุอันชั่วร้าย โดยเป็นผู้ยังอกุศลธรรมอันมากมายมีกิเลสเป็นต้น ให้เกิดขึ้นวุ่นวายนานาประการ

    เป็นผู้มีสักกายทิฐิ คือความสำคัญผิดในขันธ์ห้าหรือรูปนาม ประจำอยู่ในสันดานอย่างเหนียวแน่น โดยเหตุที่ตนยังละสักกายทิฐินั้นไม่ได้

    เป็นผู้้เบือนหน้าจากศาสนธรรมคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีมรรคผลและพระนิพพานเป็นจุดมุ่งหมาย

    เป็นผู้ติดแน่นอยู่ในคติภพทั้งปวง ไม่สามารถที่จะนำตนให้หลุดพ้นออกไปจาคติภพทั้งปวงได้ หมายความว่า ต้องเที่ยววิ่งพล่านไปในคติ คือไปเกิดในภูมิต่างๆ เรื่อยไปนั่นเอง

    เป็นผู้ยังต้องมีความเดือดร้อนทุรนทุราย ด้วยความเดือดร้อนทุรนทุรายซึ่งมีอยู่มากมายในภูมิต่่างๆ เป็นอันมาก เพราะเหตุที่ความเดือดร้อนทุรนทุรายทั้งหลายนั้น ตนก็ไม่สามารถที่จะละได้

    เป็นผู้มีความกำหนัดรักใคร่และพอใจสยบอยู่ในเบญจกามคุณารมณ์ทั้ง ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่เบญจกามคุณารมณ์เหล่านั้น ตนยังไม่สามารถที่จะละได้

    เป็นผู้ถูกนิวรณ์ทั้ง ๕ กล่าวคือ กามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์ เสียบแทงติดแน่นอยู่ในจิตใจเสมอเป็นนิตย์ ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่นิวรณ์เหล่านั้น ตนยังไม่สามารถที่จะละได้

    เป็นผู้ที่ติดอยู่ในหมู่สัตว์ที่ว่ามีธรรมสมาจารอันต่ำทราม เบือนหน้าจากพระอริยธรรมซึ่งมีอยู่ในจักรวาลนี้มากมาย สุดที่จักนับจักประมาณได้ เพราะมิใช่เป็นผู้ประกอบด้วยพระอริยธรรมอันประเสริฐดังนี้ เป็นต้น

    สัตวโลกทั้งหลาย ซึ่งยังได้นามว่าเป็นปุถุชน เพราะเหตุหลายอย่างหลายประการ ดังกล่าวมานี้ ย่อมเป็นผู้มีปรกติท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอันมีความยาวนานนักหนา โดยมิรู้จักจบจักสิ้นไปได้ อะไรเป็นเหตุให้สัตวโลกทั้งหลายผู้ยังเป็นปุถุชนเจ้าต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร อันมีความยาวนานโดยมิรู้จักจบจักสิ้นเช่นนั้น? จะอะไรเสียอีกเล่า ก็เพราะ "กรรม" ของปุถุชน คือ กรรมทั้งหลายของสัตวโลกที่ยังเป็นปุถุชนนั่นเอง เป็นเหตุให้สัตวโลกปุถุชนต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอันยาวนานนี้ ตราบใดที่ยังมีกรรมอันเป็นพืชติดอยู่ในสันดาน ตราบนัั้นกรรมอันเป็นพืชเป็นเผ่าพันธ์ ก็จักบันดาลให้เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในวัฏสงสารนี้อยู่รำ่ไป โดยไม่มีวันสิ้นสุด

    จะทำอย่างไรกันดีล่ะ ทีนี้ สัตวโลกปุถุชนทั้งหลาย จึงจะพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารอันยาวนานโดยไม่มีวันสิ้นสุดนั้นเสียได้ เพราะการเวียนตายเวียนเกิดอย่างซ้ำซากอยู่เช่นนั้น ให้รู้สึกว่าเป็นที่น่ารำคาญน่าสังเวชใจ และน่าเบื่อหน่าย น่าระอาเป็นหนักหนา กรรมฑหนะ! จะทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะกระทำกรรมกรรมฑหนะ คือ เผาผลาญกรรมทั้งหลายเสียให้สูญสิ้น เมื่อกรรมอันเป็นพืชทั้งหลาย ได้ถูกเผาผลาญเสียให้หมดสิ้นไปแล้ว การเกิดการตายอันน่าเบื่อหน่ายในวัฏสงสารนั้น ย่อมจักพลันถึงความสิ้นสุดลงไปได้อย่างเด็ดขาด ข้อนี้ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงกำหนดจดจำไว้ให้ดี

    ที่มา : กรรมทีปนี เล่ม ๒, พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) หน้า ๒๔-๒๖
     

แชร์หน้านี้

Loading...