--- > ผลสำรวจความพร้อมการรับมือภัยพิบัติของภาคประชาชน

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย น้องหน่อยน่ารัก, 25 ธันวาคม 2006.

  1. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    จากการทำ sampling observation ในเขตจังหวัดภาคเหนือ
    ช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2550 ผลปรากฏว่า
    .....................................................................

    1. ด้านอาหาร ไม่มีความพร้อมเลย โดยพฤติกรรมของชาวนา จะไม่เก็บ
    ข้าวไว้กิน จะขายหมด แล้วทยอยซื้อใหม่ ทำให้ข้าวส่วนใหญ่อยู่ที่เถ้าแก่
    โรงสี ซึ่งเมื่อเกิดภัยพิบัติ ชาวบ้านจะไม่มีข้าวกินเพราะเงินไม่มีความหมาย
    ไม่มีใครยอมขาย ชาวบ้านกลุ่มที่มีจิตอกุศลจะปล้นฆ่าเถ้าแก่โรงสี ส่วนชาว
    นาที่มีจิตกุศล จะอดตาย ชาวเขาส่วนน้อยยังคงเก็บข้าวในยุ้งฉาง แต่จาก
    การสำรวจพบว่ามีส่วนน้อยมากๆ เช่น ที่ดอยสูงจริงๆ จึงพบบ้าง

    ทางแก้
    รัฐบาล ควรหาทางสร้างโรงสีส่วนรวมและโรงเก็บข้าวชุมชน ทุกชุมชน
     
  2. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    2. ด้านน้ำดื่ม ปัจจุบันพึ่งพาน้ำปะปา ซึ่งบางส่วนสูบจากดิน แต่ส่วนใหญ่
    ใช้แหล่งน้ำบนผิวดิน ซึ่งหากมีฝุ่นผงปรมาณูหรือเชื้อโรคที่ปล่อยลงแม่น้ำ
    โขงมาจากการสู้รบในประเทศจีน ประเทศไทยก็ไม่รอดอดน้ำตาย อดีตแต่
    ละบ้านจะมีบ่อน้ำใต้ดิน ปัจจุบันแทบไม่เหลืออีกแล้ว


    ทางแก้
    รัฐบาลควรสร้างบ่อบาดาลใต้ดินประจำหมู่บ้านอย่างรวดเร็วที่สุด เพราะ
    น้ำใต้ดินเป็นแหล่งน้ำที่ปลอดภัย พร้อมสอนวิธีกรองน้ำและต้มน้ำกินโดย
    จัดทีมสาธิต และรวมกลุ่มแม่บ้านทำเครื่องกรองน้ำใช้เอง ในระยะยาว
    แม้นไม่เกิดอะไรขึ้นก็พึ่งพาตัวเองได้ ลดการใช้ทรัพยากรและพึ่งพาระบบ
    เงิน
     
  3. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    3. เครื่องนุ่งห่มและผ้ากันหนาว ปัจจุบัน ชาวบ้านที่ทอผ้าได้เองมีปริมาณ
    ลดลงมาก พบเพียงบางกลุ่มตามศูนย์ศิลปาชีพบ้าง และชุมชนเดิมที่อนุรักษ์
    ไว้บ้าง ชุมชนชาวเขาบ้าง บวกกับลักษระบ้านเรือนเหมาะกับเขตร้อน เมื่อ
    อากาศเปลี่ยนแปลงเป็นหนาวจะหนาวตายได้มากมาย

    ทางแก้
    สอนวิธีการทำถุงนอน โดยการใช้พลาสติกเย็บเข้ากับผ้าห่มเก่าๆ ที่มี
    พลาสติกเป็นตัวกันความร้อนออกไปได้ดี และการเย็บในลักษณะถุงนอน
    จะช่วยให้ความร้อนไม่ออกไปภายนอก เช่นนี้เป็นการหมุนเวียนผ้าห่มเก่า
    มาใช้ใหม่ โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มช่วยให้ป้องกันหนาวได้ดีขึ้นอีกด้วย
     
  4. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    4. ยารักษาโรค ปัจจุบัน ชุมชนต้องพึ่งพาโรคพยาบาลตลอด
    และโครงการ 30 บาท ทำให้โรงพยาบาลรับภาระหนักจนคุณภาพ
    การรักษาตกต่ำ ซึ่งเสี่ยงต่อชีวิตคนไข้มาก คนไทยปัจจุบันไม่ใช้
    สมุนไพรและไม่รู้จักการใช้อีกแล้ว

    ทางแก้
    ตั้งโรงเก็บยาสมุนไพรในวัด ให้พระสงฆ์ช่วยดูแลและเป็นผู้นำ
    เป็นศูนย์ความรู้ และสามารถหยิบขอไปใช้ได้ทันที ชาวบ้านช่วย
    กันหาจากท้องถิ่น และนำมาเก็บรักษาไว้อย่างถูกวิธี เมื่อเกิดวิกฤติ
    สามารถเบิกใช้ได้โดยไม่เกิดการกรูเข้าโรงพยาบาลอย่างโกลาหล
    เกินไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 ธันวาคม 2006
  5. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    5. เมล็ดพันธุ์พืช ปัจจุบันศูนย์เกษตรทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เกษตรกรจึง
    เลือกเมล้ดพันธุ์และสารเคมีทางการเกษตรทั้งหมดจากองค์กรธุรกิจ ซึ่งมี
    ราคาแพง และทำให้ต้นทุนสูงขึ้น จนเกิดภาวะล้มละลายทางเกษตรกรรม
    ทำให้ติดหนี้สินวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซีพีรวยคนเดียว ทีเหลือจนทั้งประเทศ

    วิธีแก้
    เกษตรกร ควรแบ่งส่วนเมล็ดพันธุ์ที่ดี เป็นศูนย์เมล็ดพันธ์รวม โดยเฉพาะ
    พืชให้ผลเร็วและปลุกง่ายในที่ร่ม เช่น ถั่วเขียว ที่สามารถเพาะในถุงได้
    จะช่วยชีวิตในยามที่ออกไปทำไร่ไถ่นาไม่ได้ ซึ่งอาจเกิดบางช่วงได้
     
  6. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    6. สัตว์เลี้ยง ต้องทำใจเพราะโรงเลี้ยงของไทยไม่ได้มาตรฐานนัก
    เมื่อยามเกิดวิกฤติ แม้นแต่คนก็ต้องเอาชีวิตรอดเอง สัตว์เลี้ยงจึงอาจ
    ยากที่จะมีคนช่วยชีวิต การตายหมู่ และกลายเป็นแหล่งเพราะเชื้อโรค
    จะกลายเป็นปัญหาสืบเนื่องต่อไป

    วิธีแก้
    เตรียมเครื่องกำจัดเชื้อโรค และวิธีกำจัดแหล่งแพร่เชื้อโรค ทั้งให้ความรู้
    ดรคจากสัตว์ต่างๆ สามารถสังเกตุได้อย่างไรว่าสัตว์นั้นไม่ควรนำมากิน?
    มอบยาฆ่าเชื้อโรคจากสัตว์ดดยเพาะโรคไข้หวัดนก และอาวุธชีวภาพ
    ที่ได้ทดลองสำเร็จในเป็ดป่าไปแล้วด้วย
     
  7. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    7. ด้านการขนส่ง เมื่อเกิดเหตุวิกฤติ ย่อมต้องมีผู้ประสบภัยจำนวนมาก
    ดังนั้น ทีมงานไม่เพียงพอ ชาวบ้านต้องเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือกันเองอย่าง
    ถูกวิธีและมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่พร้อมเพรียงครบครัน


    ทางแก้
    ศูนย์รับส่งคนบาดเจ็บจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องช่วยเหลือกันตลอด
    เวลาดังนี้ ควรมีศูนย์ประจำทุกตำบล ที่มีอาสาสมัครพร้อมรถไว้รับส่ง
    คนที่บาดเจ็บจากแหล่งต่างๆ มายังวัดบ้าง ฯลฯ ควรมีการกักตุนน้ำมัน
    ไว้ในศูนย์และมีรถที่พร้อมใช้ทุกตำบล
     
  8. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    8. ด้านการสื่อสาร ปัจจุบันการสื่อสารระดับตำบลลดน้อยยลง เพราะ
    ต่างอาศัยทีวีเป็นสำคัญ เมื่อเกิดวิกฤติ ทีวีก็ถูกควบคุม และบิดเบือน
    การสื่อสารระดับรากหญ้าเท่านั้น จะช่วยตัวเองให้รอดได้

    วิธีแก้
    นำระฆังสัญญาณต่างๆ ในอดีตกลับมาใช้ โดยอาศัยระฆังวัดที่มีอยู่เดิม
    โดยสอนวิธีการและสื่อสัญญาณความหมายของระฆังที่ตี วิธีนี้ต่อให้ไฟฟ้า
    หมดก็ใช้ได้ และใช้เรียกประชุมชาวบ้าน ฯลฯ ได้แม้ไม่เกิดเหตุ เพื่อพัฒนา
    ประเทศระดับรากหญ้านั่นเอง เป็นต้น
     
  9. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    แผนปฏิบัติการ

    ตั้งทีมวิจัยและทดลอง "หมู่บ้านพอเพียง" วึ่งทำอย่างจริงจัง อย่าพุดเอา
    ลอยๆ ประเทศจ้างรัฐบาลมา "ทำ" ไม่ใช่จ้างมาสอน หรือเอาคำพูดของ
    ในหลวงไปพูดต่อให้ดูสวยหรูโฆษณาตนเองทั้งๆ ที่ตนไม่เข้าใจระบบ
    เศรษฐกิจพอเพียงเลย

    ลำดับแผนการ

    1. ประกาศ "ปีพอเพียง" โดยมีแผนดำเนินการให้เสร็จวัดผลได้ทุกเดือน
    ไม่ใช่พูดลอยๆ ผ่านไปปีต่อปี ต้องทำเลยทันที
    2. เสนอแผนแบบจำลอง 2-3 แบบ แล้วเริ่มทดลอง รูปแบบชุมชนพอเพียง
    โดยการเพิ่มเครือข่ายสื่อสาร ขนส่ง ศูนย์รวมส่วนกลางต่างๆ เข้าในแบบแผน
    เดิมของในหลวง ผในหลวงให้โอวาท แต่คนรับพระโอวาทต้องรู้จักใช้สมอง
    คิดต่อ ไม่ใช่เขาสั่งก็ทำๆๆ เขาจ้างมาใช้สมอง เมื่อได้นโยบายก็ต้องคิดกล
    ยุทธ ได้กลยุทธก็ต้องคิดเทคนิควิธี ต่อ ไม่คิดไม่ได้ ประเทสไม่ก้าวหน้า
    เก่งคนเดียวไปไม่ได้ ต้องไม่ให้เกิดปรากฏการณ์คอขวด)
    3. ทดลองให้สำเร็จภายในสามเดือน โดยวัดผลจากปฏิกริยาชุมชน ทั้งก่อน
    กลาง, และหลังดำเนินการ เมื่อประชาชนยินยอมก็ดำเนินการเต็มรูปแบบ
    4. อธิบายประชุมแบบแผนปฏิบัติในชุมชนพอเพียง ต้องเข้าใจระบบและ
    เข้าใจชุมชนตัวเอง จะรอแต่ให้รัฐบาลอุ้มไม่ได้ โตแล้ว เป็นกำนันไม่ทำ
    อะไรไม่ได้ เลี้ยงเสียข้าวสุก ถ้าทำอะไรไม่เป็น ไม่ต้องมี เพราะเปลืองเงิน
    5. ปฏิบัติการณ์ และติดตามผลทั้งด้านดีและเสีย ผลข้างเคียงและผลพลอย
    ได้ หรือโอกาสใหม่ๆ ตลอดเวลา
    6. สรุปผลทั้งด้านเศรษฐกิจ ที่วัดเป็นตัวเงินได้และไม่ได้ด้วย เช่น ด้าน
    วัฒนธรรม เป็นต้น



    ปัจจุบันเจ้าชายจิกมี่ทรงขึ้นครองราชอย่างรวดเร็ว ประเทศของท่านจะ
    พัฒนาอย่างรวดเร็วตรงทาง คือ ความสุข ไทยจึงช้าไม่ได้ เวียตนามเร่ง
    วาง Positioning เป็นเมืองท่าและศูนย์ผลิตสินค้าส่งจีนแล้ว จีนเองก็
    วางแผนลึกอันยิ่งใหญ่รอเวลาผงาด อเมริกันดิ้นรนเอาตัวรอดก่อนเศรษฐ
    กิจที่ยื้อหลอกไว้จะพังครืน เกาหลีใต้ควบคุมต้นทุนสินค้าอิเล้คโทรนิค
    ได้ บวกคุณภาพเป็นที่ยอมรับมากกว่าจีน จึงตีตลาดเหนือญี่ปุ่น ส่วน
    ญี่ปุ่นเองก็พึ่งพาเศรษฐกิจอเมริกาไม่ไหว ดิ้นหาตลาดใหม่ในประเทศ
    กำลังพัฒนาแทน อินเดียก็กำลังพัฒนาขึ้นแนวหน้าของโลก


    ไทยจะอยู่ไหน? ถ้ายังงมโข่ง แก่หงำเหงอะ
    55555
     
  10. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    ข้อเสียของระบอบประชาธิปไตยและทุนนิยม

    1. เป็นระบอบเอื้อนายทุน ให้นายทุนมีอำนาจเงิน แล้วใช้อำนาจเงิน
    ซื้ออำนาจทางการเมือง วนเวียนอยู่แต่ปลาใหญ่ คนจนตกต่ำ
    2. การเลือกตั้งที่ให้นายทุนใช้เงินมาสมัครจะไม่ได้คนดีและคนมีความสามารถเลย จะได้แต่คนโลภโมดทสันมาเสนอหน้าอยากรับตำแหน่งเท่านั้น
    3. เป็นระบบระบอบที่เร่ง "วัตถุนิยม" ทำให้เกิดความเกินพอดีที่เกินพิกัด
    สร้างเท่าไร พัฒนาเท่าไรก้ไม่พอดี ทรัพยากรถูกถลุงทำลายสิ้น
    4. ติดวังวน "มนุษย์ทำงาน" หรือ "ทาสจำยอม" ไม่สามารถมีอิสระออกจาก
    หน้าที่การงานได้ เข้าวัดไม่ได้ ต้องทำงานเช้ายันค่ำ หมดแรงทำต่อ หล่อ
    เลี้ยงด้วยกิเลสไประบายทางเพศและความรุนแรง วนเวียนเช่นนี้เหมือน
    อเมริกา
    5. พึ่งพาระบบใหญ่ ไม่เปิดประเทศก็ไม่ได้ เปิดแล้วก็ตกเป็นเหยื่อประเทศ
    ใหญ่ทันที ทั้งด้านอำนาจทุน, อำนาจต่อรอง, ฯลฯ จึงตกเป็นทาสทางการ
    เงิน ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ระบบ
    6. เยาวชนขาดคุณภาพ ปัจจุบัน เยาวชนจีนคอมมิวนิสตร์และอินเดียที่ได้
    รับการพัฒนาอย่างมีแบบแผนโดยรัฐบาล มีคุณภาพมากกว่าเยาวชนอเมริกา
    ดดยการพิจารณาทั้ง อีคิวและไอคิว (สมอง, ร่างกาย และจิตใจ)

    ฯลฯ

    ระบอบการปกครองแบบพุทธะและระบบเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้นคือทางรอด
     
  11. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    วิพากย์ระบอบการปกครองและระบบเศรษฐกิจโลก

    ปัจจุบันแม้นทั่วโลกจะทราบปัญหาและจุดอ่อนของระบบเศรษฐกิจ และระบอบการปกครองทั้งสองรูปแบบ คือ คอมมิวนิสตร์และประชาธิปไตยดีก็ตาม ต่างก็หาทางเลือกที่สาม เช่น ลาว เลือกที่จะเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ด้วยการรวมสองระบอบการปกครองเข้าด้วยกัน แล้วปกครองโดยกษัตริย์เป็นประธาณาธิบดี เพื่อเปิดโอกาสให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ หรือ ประเทศไทยที่ใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ตาม ยังไม่สามารถก้าวสู่ระบอบการปกครองที่สมบูรณ์แบบ และระบบเศรษฐกิจที่เกื้อหนุนพัฒนาประเทศได้แท้จริง

    กรณีตัวอย่างของอเมริกา
    การเชื่อมั่นประชาธิปไตยและทุนนิยม ด้วยการใช้กลยุทธปลาใหญ่ล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจกับปลาเล็ก เช่นบีบให้ประเทศโลกที่สามเปิดตลาดด้วยการเริ่มเปิดบัญชีหนี้กับไอเอ็มเอฟ ทำให้ประเทศเล็กตกเป็รอง เสียเปรียบด้านทุนทันที และนับจากนั้นมาการค้าขายก็ไม่เท่าเทียมตามคำโฆษณาที่ว่า "การค้าเสรี" อเมริกาจึงได้เปรียบประเทศเล็กในหลายวิธีการด้วยกัน ตราบจนผลกระทบจากต้มยำกุ้งไครซิส ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อเมริกาไม่สนใจให้ความช่วยเหลือเพราะคิดว่าไม่ส่งผลกระทบกับตน จนลุกลามเป็นไครซิส เพราะระบบเศรษฐกิจต้องพึ่งพากัน แล้วระบบเศรษฐกิจโลกก็ตกต่ำลงตั้งแต่นั้นมา

    ดังนี้ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมีข้อเสียอย่างร้ายแรงคือ การใช้ระบบดอกเบี้ยเป็นต้นขับเคลื่อนกลใกลธุรกิจ กล่าวคือ นายทุนต้องทำกำไรให้มากขึ้นกว่าดอกเบี้ยที่ยืมมาลงทุน เช่นนี้ โครงสร้างด้านต้นทุนจึงอ่อนแอลงหากนายทุนไม่รักษาเสถียรภาพทางการเงิน กล่าวคือ หากกำไรน้อยจนขาดทุน เจ้าหนี้ก็จะฟ้องล้มละลายได้ง่าย เพื่อเอาเงินคืนก่อนบริษัทจะล่ม เหตุการเช่นนี้ กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว แม้นนายทุนจะประคองความเชื่อด้วยการโฆษณาต่างๆ ยกตัวอย่างกรณี ทีพีไอ เป็นต้น

    ข้อเสียที่ร้ายแรงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในภาคการผลิต แรงงานที่ต้องทำงานทั้งวันไม่มีอิสรภาพในชีวิต คือ ผลสะท้อนหนึ่ง ที่พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ทำให้คุณภาพของเยาวชนตกต่ำ มีความรุนแรง ผิดกฏหมาย ฯลฯ มากขึ้น ทั้งความสามารถและสติปัญญาก็ลดลง ทำให้แรงงานขาดการพัฒนาและต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นด้วยประการฉะนี้ นอกจากนี้แรงงานที่ทำงานเหมือนทาสในคุกมากเกินไป ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ ประสิทธิภาพการทำงานก็ลดลงด้วยเช่นกัน ระบบแรงงานในระบบทุนนิยมจึงเป็นระบบที่มีจุดอ่อนอย่างมาก โดยการเอาเปรียบแรงงานประเทศหนึ่งแล้วหนีไปเอาเปรียบแรงงานที่ใหม่
    นอกจากนี้ทุนนิยมยังมีข้อเสียอย่างร้ายแรง ในภาคการบริโภค คือ "วัตถุนิยม" กระแสนี้ เกิดขึ้นจากกลไกลการปล่อยให้แข่งขันกันอย่างเสรี โดยไม่ควบคุมหรือพิจารณาความเหมาะสมและผลกระทบใดๆ เลย เรียกได้ว่าเป็นระบบที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งและสับเพร่า ทำให้ประชาชนบริโภคมากขึ้นตามการแข่งขันทางการตลาดและโฆษณา รัฐบาลไม่สามารถควบคุมทิศทางการบริโภคได้ จึงพบว่าอัตราการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าเลวเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจเสมอ เช่น บริมาณรถยนต์คันใหม่ของคนรวย, ปริมาณการบริโภคเหล้าของคนจน, ปริมาณการการใช้จ่ายในสถานบันเทิงของคนระดับกลาง โดยเฉพาะคนโสดวัยทำงานตอนต้น ฯลฯ การบริโภคที่ไร้ทิศทาง ไม่มีการจัดการที่ดี และไหลไปตามวัตถุนิยมนี้เอง เป็นตัวทำลายชาติประการหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้ว แรงดึงจากความต้องการของผู้บริโภคจะกำหนดทิศทางของสินค้าในตลาด (ภาวะ Customer leader by marketing uncontrolled) และจากการศึกษาทางจิตวิทยาสังคมพบว่า ความต้องการส่วนใหญ่ในระบบทุนนิยมจะเป็นไปเพื่อระบายความตึงเครียดที่ผิดทางในช่วงเวลาว่างสั้นๆ คือ การแสดงออกทางความโกรธและเพศ ดังนี้ จึงไม่แปลกที่สื่อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา, ภาพยนต์ และเพลงทั้งหมดของอเมริกา ต้องมี เพศรสและความรุนแรง (โกรธและกาม) อยู่ด้วยเสมอในการทำการตลาด ในที่สุดปัจจัยกระตุ้นทั้งสองประการนี้ นำไปสู่ปัญหาอาชญากรรมที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง เพราะประเทศขาดวัฒนธรรมที่ดีนั่นเอง

    นี่คือ จุดจบที่น่ากลัวของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในประเทศอเมริกา

    กรณีศึกษาในประเทศลาวและไทย
    กรณีลาวระบบกษัตริย์เปลี่ยนมากุมอำนาจทางการเมือง แล้วปรับปรุงระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ช่วยคนจน แต่ไปเปิดโอกาสให้คนรวยฉวยโอกาส (Capitalist power bad cover) แต่ความไม่พร้อมทั้งระดับบนและระดับล่าง ทำให้เกิดความไม่มั่นคงของระบอบการปกครองเรื่อยมา เกิดปัญหาระหว่างรัฐบาลที่มาจากอำนาจเก่าของระบบกษัตริย์ และอำนาจใหม่จากชนชั้นกลาง ส่วนในประเทศไทยนั้น ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อรัฐฐาลอ่อนแอและไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยใช้ทุนแสวงหากำไรจากชาติ หรือที่เรียกว่าคอรัปชั่น เป็นการลงทุนโดยเอาประเทศชาติเข้ามาเป็นต้นทุน แล้วผลักภาระต้นทุนให้กับประชาชน ทั้งนี้ สามเสาหลัก คือ ชาติ, ศาสนา, พระมหากษัตริย์ ไม่สมดุล เมื่อชาตินั้นขาดความเข้าใจในระบอบการปกครองที่ดี (ประชาธิปไตยก็ยังไม่ดีนัก) จึงเดินตามหลังประเทศที่ตนคิดว่าปกครองได้ดี แต่แท้จริงแล้วปกครองได้ย่ำแย่มาก ผลที่เกิดตามมาคือ ไม่เป็นตัวของตัวเอง เข้ากับประชาชนในประเทศไม่ได้ และล่มสลายตามประเทศที่ตนพึ่งพาไปในที่สุดดังที่เริ่มเห็นในปัจจุบัน

    กลไกลของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น เปิดโอกาสให้คนรวยและมีอำนาจในการเอาเปรียบผู้ที่ต่ำต้อยกว่าด้วยการโฆษณาความเจริญและความเท่าเทียม แล้วอาศัยความไม่รู้ของคนจนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ โดยเริ่มจากระบบการเลือกตั้ง ที่คนรวยและมีทุนเท่านั้น จะเข้ามาสมัครได้ ประชาชนไม่ได้มีสิทธิ์อย่างแท้จริงในการเลือกคนที่เขาอยากเลือก แต่เขาถูกมัดมือชกให้เลือกตามรายชื่อนายทุนที่เข้ามาเสนอหน้าสมัครหน้าซ้ำๆ เท่านั้น แบบนี้เองทำให้คนดีท้อแท้ และคนรวยครองอำนาจต่อไป จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นดารา, นายทุน, ฯลฯ เข้ามาปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนับว่าเป็นการกลืนอำนาจและเปลี่ยนขั้วอำนาจของชนชั้นกลางที่อยากรวย โดยการปลดระบบกษัตริย์อันเป็นขั้วอำนาจเดิมลงไปอย่างแนบเนียนและสวยหรู โดยอาศัยจังหวะที่กษัตริย์ท่านนั้น ปกครองอ่อนแอ (ดังในประวัติการปฏิวัติประชาธิปไตยในหลายประเทศที่เคยมีระบบกษัตริย์)

    กรณีศึกษาในสิงคโปรค์
    สิงคโปรค์จัดว่ามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติน้อยมาก อีกทั้งประเทศยังมีขนาดเล็กและเป็นเกาะ แต่กลับประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจมากกว่าอเมริกา (เมื่อไม่ได้มองด้านปริมาณแต่พิจารณาด้านประสิทธิภาพในการบริหาร จากดัชนีชี้วัดด้วยผลความเจริญทางเศรษฐกิจหารด้วยทรัพยากรรวม)


    ทั้งนี้ มิได้วิพากย์เพื่อก่อกบถต่อประชาธิปไตยแต่อย่างใด เพราะทราบถึงจุดอ่อนของระบบกษัตริย์ดั้งเดิม และระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสตร์ที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก เสี่ยงต่อการได้ผู้ปกครองไม่ดี และไม่เหมาะสมยิ่งกว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่าระบอบการปกครองนี้ยังไม่ใช่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด และยังสามารถพัฒนาระบอบการปกครองที่เหนือกว่านี้ขึ้นมาได้นั่นเอง

    การปกครองระบอบพุทธะและระบบเศรษฐกิจพอเพียง
    ทางออกที่ดีกว่าคือระบอบการปกครองแบบพุทธะและระบบเศรษฐกิจพอเพียง การปกครองระบอบพุทธะนี้ มีรากฐานมายาวนานตั้งแต่สมัยพุทธกาล คือ กษัตริย์หนุนค้ำจุนพระพุทธศาสนา โดยใช้พระพุทธศาสนาเป็นแกนหลักให้สังคม เป็นทั้งตัวสร้างวัฒนธรรม เป็นขุมความรู้ เป็นเครื่องป้องกันอาชญากรรม และเป็นเครื่องมือพัฒนาประชากรในชาติ ที่ครบถ้วยและสมบูรณ์แบบที่สุด จึงไม่แปลกเลยว่าเหตุใดในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อพระมหากษัตริย์สนับสนุนพระพุทธศาสนา ประเทศจึงเจริญรุ่งเรือง อาทิเช่น สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือแม้นแต่พระนเรศวรมหาราช ที่รวบรวมประเทศภายหลังเกิดความแตกแยกและสูญเสียเอกราช ให้เข้ากันได้ด้วยพระพุทธศาสนา และเมื่อยามประเทศย่ำแย่ ก็มักพบว่าผู้ปกครองหรือกษัตริย์ขาดการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ดังนี้ หากผู้ปกครองมีจิตใจที่ชั่วช้าโลภโมโทสัน คอยแต่โกงกินชาติ ขาดการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเมื่อใด ประเทศก็ย่ำแย่ลงทันที การปกครองระบอบพุทธะนี้มีมานานแล้ว แต่การวิเคราะห์อันหยาบตื้นของชาวฝรั่งมังค่าหน้าโง่ใจหยาบมือบาปปากดีใจร้ายและมองอะไรไม่ลึกซึ้ง ทำให้ขาดการพิจารณาดัชนีความสุขของคนในชาติ จึงมองเพียงว่าประเทศไทยในอดีตนั้นเป็นเพียงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งเป็นระบอบที่เกิดขึ้นในแถบประเทศซีกโลกตะวันตก ทั้งๆ ที่ระบอบการปกครองของไทยในสมัยอดีตกาล ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชเลย แต่เป็นการปกครองระบอบพุทธะต่างหาก เหตุใดจึงกล่าวแย้งคนทั้งโลกเช่นนี้?

    เนื่องเพราะการศึกษาที่ไม่ลึกซึ้ง โดยการเทียบเคียงเอาว่าประเทศไทยมีระบบกษัตริย์เหมือนในประเทศแถบยุโรปดั้งเดิม ที่กษัตริย์ไม่สนใจพุทธศาสนา เอาเปรียบประชาชน จนชนชั้นกลางต้องลุกฮือขึ้นมาก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยนี่เอง คือการปรามาสระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกและเก่าแก่ที่สุดในโลกมายายนาน และผิดอย่างมหันต์สิ้นเชิง

    แท้แล้วการปกครองของดินแดนสุวรรณภูมิ คือ แถบประเทศไทย, ลาว, พม่า, กัมพูชา ล้วนเป็นระบอบพุทธะทั้งสิ้น และได้แพร่ขยายไปยังอินเดียอีกด้วย จากการเผยแพร่ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ผู้เป็นกษัตริย์ในแถบดินแดนแห่งนี้ แต่ได้สละราชบัลลังก์แล้วเดินทางไกลไปเรียนวิชากับสำนักศึกษาต่างๆ ในอินเดีย แล้วก่อให้เกิดพระพุทธศาสนาในอินเดีย ได้รับการยอมรับจากพระมหากษัตริย์ที่อินเดีย เป็นระยะเวลายาวนานก่อนที่จะเดินทางกลับมาโปรดพระราชวงค์ในดินแดนแถบนี้ และด้วยความยากจนในดินแดนแถบนี้ที่มีมาแต่ดังเดิม ทำให้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ในแถบอินเดียที่มีความศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น และหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันแสดงถึงเมืองเก่าแก่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมถูกเปลี่ยนแปลงไป ภายหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ได้สร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาในแถบนี้ ทั้งยังทำให้กษัตริย์ต่างๆ สยบด้วยพุทธศาสนา และหันมาปกครองระบอบพุทธะ อันมีหลักการที่ลึกซึ้งแยบยลมากมาย กษัตริย์ต่างๆ ได้รับการโปรดสั่งสอนให้ปกครองประเทศ ด้วยหลักธรรมที่ผสมผสานกันขึ้น มากน้อยตามแต่ละกษัตริย์ผู้นั้นจะสามารถเรียนรู้ได้ เช่น พรหมวิหารสี่, หลักกฏหมายตามกฏแห่งกรรม ซึ่งพบว่ามาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งในสมัยพ่อขุนรามคำแหง เป็นต้น ผลจากการปกครองระบอบนี้ ทำให้ประชาชนมีความสุข อาชญากรรมแทบไม่มี เพราะความเข้าใจและปัญญาที่เพิ่มขึ้นในด้านกฏแห่งกรรม หรือกฏหมายโดยธรรมชาติ ในขณะที่การปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย กล่าวว่าประชาชนต้องรู้กฏหมาย โดยไม่ยอมสอนใดๆ เมื่อประชาชนไม่รู้กฏหมาย นายทุนจึงใช้ความไม่รู้เอาเปรียบเรื่อยมา โดยการครองอำนาจการปกครอง สร้างกฏหมายที่เอื้อต่อชนชั้นปกครอง กฏหมายการป้องกันทุจริตที่หย่อนยานเป็นต้น ซึ่งเมื่อเทียบกับหลักกฏแห่งกรรม ที่ใช้มายาวนานในประเทศสยามแล้วพบว่า คนสยามเข้าใจหลักกฏแห่งกรรมมากมาย และเชื่อถือปฏิบัติมายาวนาน จึงทำความดีพัฒนาชาติและไม่ก่ออาชญากรรม ได้ผลทั้งด้านวัฒนธรรมและกฏหมายไปในตัว เช่นนี้ จึงกล่าวได้ว่าประชาชนในยุคนั้นมีปัญญาสูงมาก มีความรู้ความเข้าใจในกฏหมายธรรมชาติที่เรียกว่ากฏแห่งกรรมมากมาย ในขณะที่ปัจจุบันประเทศประชาธิปไตย แทบไม่มีความรู้ความเข้าใจและความตระหนักในกฏหมายของระบอบประชาธิไตยเลย ดังนี้ จึงไม่แปลกที่กษัตริย์ต่างๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิเรื่อยไปถึงอินเดีย จะส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอินเดียได้สร้างถาวรวัตถุต่างๆ มากมาย เพื่ออัญเชิญพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมประทับในประเทศของตนให้นานที่สุด บวกกับแดนดินในแถบอินเดียมีสำนักศึกษาพราหมณ์พรตต่างๆ มากมาย ซึ่งกษัตริย์ให้การสนับสนุนจนกลายเป็นวัฒนธรรมมายาวนานแล้ว ผลที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็น "การแย่งครองพระพุทธเจ้า" แม้นแต่อัฐิธาตุยังต้องมีพราหมณ์ทำหน้าที่แบ่งให้ครบแต่ละแว่นแคว้น หรือแม้นแต่กรณีอัฐธาตุพระอานนท์ที่เกือบก่อให้เกิดสงครามแย่งชิงระหว่างเคือญาติทั้งสองประเทศมาแล้ว เพราะความเจริญรุ่งเรืองของประเทศอันเกิดจากระบอบการปกครองพุทธะนี่เอง

    ทว่าดินแดนแถบประเทศสยามในยุคนั้น แม้นแต่พระนางพิมพา, พระแม่น้า ฯลฯ ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมต่างออกบวชกันหมด และไม่ได้สนใจความร่ำรวยเหมือนเมืองอื่นๆ ทำให้ถาวรวัตถุไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อบันทึกประวัติศาสตร์การกำเนิดที่แท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม พระมหากษัตริย์ทางอินเดียจึงทรงสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เป็นที่ระลึกมากมายเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ทั้งนี้ได้วิเคราะห์ตามพุทธประวัติที่กล่าวว่าท่านทรงหนีออกนอกเมืองมาใกล เพื่อหาพระธรรม แล้วทรงโปรดประเทศอื่นๆ ก่อนกลับไปโปรดพระราชวงค์ภายหลัง อีกทั้งพระมหากษัตริย์ที่สนับสนุนพระองค์มากมายก็ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ในราชวงค์ของพระองค์ เช่น พระสารบุตร ฯลฯ ก็ไม่ใช่ราชวงค์เดียวกับพระองค์แต่ให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนา เพื่อรั้งให้พระองค์ทรงโปรดสอนธรรมและสร้างความเจริญในดินแดนแถบอินเดียอยู่เป็นเวลานานมาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์จึงเปลี่ยนไปด้วยประการฉะนี้ ภายหลังคนจึงเข้าใจผิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมทรงประสูติในประเทศอินเดีย เป็นต้น

    ความเจริญรุ่งเรืองของการปกครองระบอบพุทธนี้เริ่มแผ่ขยายไปยังประเทศจีน เมื่อพระธิดาเหมี่ยวซ่าน ได้ทรงออกผนวชและสำเร็จอรหันต์ ได้ทรงโปรดพระราชบิดา ซึ่งบ้าและกระหายสงครามให้กลับมาสนับสนุนพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาทำให้ประเทศจีนในเวลานั้นยิ่งใหญ่และเป็นสุขหนึ่งเดียวได้ด้วยพระพุทธศาสนามหายาน ทำให้สามารถยับยั้งสงครามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นได้ ทว่าในกาลต่อมาเมื่อพระราชาของจีนไม่ทรงสนับสนุนพระพุทธศาสนา ประเทศก็เข้าสู่วังวนสงครามทันที หรือแม้นแต่ในยุคพระถังซำจั๋ง ที่ประเทศจีนตกอยู่ในภาวะสงครามและทุกข์ยาก ภายหลังพระถังซำจั๋งได้อัญเชิญพระไตรปิฏกจากประเทศอินเดียมาสร้างความเจริญให้กับพระพุทธศาสนามหายานในจีนอีกครั้ง จึงทำให้ประเทศจีนกลับสู่ความสงบ ประวัติศาสตร์นี้ เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยของจีน เมื่อประเทศจีนไม่สนับสนุนพระพุทธศาสนาเมื่อใด ก็จะเกิดสงครามแตกแยกตามมา ไม่ว่าจะเป็นยุค เลียดก๊ก, สามก๊ก ฯลฯ ล้วนเกิดจากประเทศขาดพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ดังนี้ผู้ปกครองจีนทั้งหลาย อย่าได้สรรเสริญความยิ่งใหญ่ของนับรบที่มีจุดจบแบบไม่ตายดี แม้นจะเห็นความเก่งขนาดไหน แต่เต็มไปด้วยความเขลาเบาปัญญา เช่น กรณีการตายอย่างอนาถในสนามรบของเล่าปี่ ที่เหนื่อยยากลำบากรบทั้งชีวิตก็ไม่ได้อะไรเลย หรือกรณีโจโฉที่ว่ายิ่งใหญ่จุดจบสุดท้ายเป็นบ้าแล้วตาย ลูกชายฆ่ากันเอง แล้วโดยทรราชยึดราชวงค์ไปในที่สุด ดังนี้ หากคิดว่าฉลาดอ่านสามก๊กจบสามรอบ จึงจะไม่โง่เป็นคนที่คบไม่ได้ แต่จะเข้าใจปริศนาธรรมที่ "ล่อกวนตง" เขียนแฝงไว้เงียบๆ และแนบเนียบ เช่น ตอนที่มีนักปราชญ์เพื่อนของขงเบ้งมาขวางสามขุนพลเล่าปี่, กวนอู, เตียวหุย แล้วบอกให้หยุดทำสงคราม ทว่าทั้งสามก็ไม่เข้าใจ หรือตอนที่นักปราชญ์เพื่อนขงเบ้งร่ำสุราครื้นเครง ให้เห็นความสุขสงบในภาวะสงคราม ทว่าเล่าปี่ผู้โง่เขลาก็ยังไม่เข้าใจความหมายของ "สันติสุข" ที่เหล่านักปราชญ์อรหันต์นั้นแสดงธรรมทาง "ภาษากาย" ล่อกวนตง จำต้องสื่อออกมาในแนวสรรเสริญ อันเนื่องจากเขียนในภาวะถูกบีบคั้นด้วยผู้มีอำนาจคือเล่าปี่นั่นเอง ดังนี้ผู้โง่เขลาก็โง่เง่าเต่าตุนต่อไป คิดเอาว่า "ล่อกวนตง" ผู้มีปัญญาล้ำลึกสรรเสริญผู้ทำสงคราม ทว่าทุกจุดจบความตายอันน่าอนาถนั้น ล่อกวนตงได้แสดงให้เห็น "อนิจจัง" ไว้ทุกทั่วตัวตนที่คิดว่าเก่งเสมอ ไม่ว่าจะเป็น "กวนอู" ที่ตายอย่างอนาถในหลุมฝังดินด้วยปัญญาของเด็กเมื่อวานซืน จนวิญญาณไม่สงบก็ออกมาหลอกหลอนศรัตรู เป็นต้น ดังนั้น สงครามและผู้ก่อสงครามจึงมีจุดจบอนาถด้วยประการฉะนี้


    ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าระบอบการปกครองแบบพุทธะนี้มีมานานแล้ว ทั้งยังได้รับการยอมรับจากหลายประเทศมากมาย ยังความเจริญมาให้ประเทศนั้นๆ ทั้งด้านความสุขและการพัฒนาคนในชาติอย่างยิ่งยวด ทว่าการวิพากย์ของชาวฝรั่งใจหยาบที่ไปสรุปเอาว่าพระมหากษัตริย์ในแถบนี้เป็นสมบูรณาญาสิทธิราช ตามพระมหากษัตริย์ในแถบประเทศตะวันตกจึงเป็นการวิเคราะห์ที่ตื้นเขินสิ้นเชิง
     

แชร์หน้านี้

Loading...