ผีปอบมีจริง ที่สะหวันนะเขต

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 24 มิถุนายน 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,238
    สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่สอง ระหว่างมุกดาหาร-สะหวันนะเขต กำลังก่อสร้างจวนแล้วเสร็จ คาดว่าจะเปิดใช้ได้ในต้นปี 2550 นี้แน่นอน ขณะเขียนต้นฉบับเรื่องนี้ สะพานสร้างเกือบเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว ยังเหลือแต่การ วางสายโยงขึงสะพานเป็นช่วงๆ (ด้านบนตัวสะพาน) คาดว่าอีกไม่กี่เดือนก็คงจะ แล้วเสร็จ ผู้เขียนเป็นคนจังหวัดนครพนมโดยกำเนิด แต่มีญาติพี่น้องอยู่ที่ฝั่ง สปป.ลาว ตำแหน่งก็ใหญ่โตพอสมควร คือเป็นตำรวจระดับผู้กำกับการ เมื่อเทียบยศกับทางฝ่ายไทย
    ปี พ.ศ. 2504 ญาติผู้ใหญ่ที่เป็นนายตำรวจอยู่เมืองสะหวันนะเขต ได้เรียกตัวผมให้ไปทำงานอยู่ที่แขวงสะหวันนะเขต ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปทันที พร้อมครอบครัว มีภรรยา 1 คน บุตรอีก 3 คน อายุ 7-9-10 ขวบ ไล่เลี่ยกัน
    เนื่องจากเมืองสะหวันนะเขต เป็นเมืองใหญ่ระดับแขวง จึงมีประชากร อยู่กันหนาแน่น เทียบได้กับจังหวัดใหญ่ๆ ในภาคอีสานเรา เช่น โคราช อุดรธานี หรืออุบลราชธานี ใกล้เคียงกัน และสมัยนั้นเงินกีบยังไม่เฟ้อและตกต่ำเหมือน ทุกวันนี้ สมัยนั้น 100 กีบ แลกได้ถึง 27-28 บาท แต่ในปัจจุบัน 250 กีบ เท่ากับ 1 บาท... 1,000 กีบแลกได้ 4-5 บาท เท่านั้นเอง

    สะหวันนะเขตได้ชื่อว่าเป็นเมืองเอกทางภาคใต้ของลาว ซึ่งสมัยนั้นเป็นเมืองใหญ่ ประชากรหนาแน่น มีสนามบิน มีสถานีวิทยุกระจายเสียง 2-3 สถานี มีค่ายทหารขนาดใหญ่ ย่านการค้าก็หนา-แน่น คึกคัก มีกงสุลชาติต่างๆ หลายชาติ มีวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยม มีโรงพิมพ์ มีวังของกษัตริย์ ฯลฯ ถือได้ว่ามีความเจริญอยู่แล้วพอประมาณในยุคนั้น ว่างั้นเถอะ

    เมื่อไปถึงใหม่ๆ เนื่องจากผู้เขียน มีครอบครัวแล้ว ทางญาติแนะให้ไปเช่าห้องแถวอยู่ ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างปล่อยโล่ง ยังไม่ได้เทพื้นคอนกรีต เทเฉพาะห้องครัวซึ่งอยู่ด้านหลังของอาคารเท่านั้น ตัวอาคารหันหน้าไปทาง ทิศตะวันตก เรียกกันว่าหมู่บ้านศรีบุญ-เรือง มีพ่อบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) ชื่อวันทอง อายุ 70 ปีแล้ว ผมไปอยู่ได้ไม่นานทางญาติก็ฝากงานให้ทำในหน่วยงานองค์กรยูเสด (USED) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งทางฝั่งไทยเราเรียก USOM นั่นเอง
    เหตุการณ์ผ่านไปแล้วเกือบ 2 ปี ที่ผู้เขียนและครอบครัวอาศัยอยู่ใน ห้องแถวดังกล่าว ซึ่งมีอยู่ 4 ห้อง โดยมี ผู้อาศัยอยู่เต็มทุกห้อง แรกๆ ก็ยังไม่รู้จักและสนิทสนมกันนัก ต่างคนต่างอยู่ ครั้นต่อมาไม่นาน ก็รู้จัก สนิทสนมกันเป็นอย่างดี มีอะไรก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จนเป็นเสมือนญาติสนิทก็ไม่ปาน
    ห้องที่ 1 มีตาแก่คนหนึ่ง ลักษณะเตี้ย ผิวขาว หลังค่อม มาอาศัยอยู่กับหลานสาว พื้นเพเป็นคนทางเมืองปากเซ แขวงจำปาศักดิ์
    ห้องที่ 2 มีสองผัว-เมีย แต่ไม่มีบุตร มีอาชีพตักน้ำใส่รถเข็นขาย อายุประมาณ 60 ปีแล้ว
    ส่วนผู้เขียนอยู่ห้องที่ 3 กับภรรยาและบุตรอีก 3 คน เป็นหญิงหนึ่งคน ชายสองคน ลูกยังไม่ได้เข้าโรงเรียน ตอนนั้นผู้เขียนอายุ 37 ปี ส่วนภรรยาอายุ 38 มีอาชีพเป็นแม่ค้า ขายของอยู่ที่ตลาดสะหวันนะเขต และทำหน้าที่แม่บ้านด้วย
    ห้องที่ 4 เป็นชาวเวียดนาม แต่มีลูกเขยเป็นคนลาวและเป็นทหารมีแม่น้องสาวและบุตรอีก 2 คน อาศัยอยู่รวมกัน 4 คน
    เย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ผู้เขียน เลิกงาน กลับถึงบ้านประมาณ 16.30 น. ลูกสาวคนโตของผู้เขียนได้ไปเล่นอยู่กับยาย ซึ่งพักอยู่ในห้องที่ 2 ปรากฏว่า ยายคนดังกล่าวรู้สึกเจ็บที่หัวแม่เท้า เจ็บอยู่นาน ไม่หายสักที ซ้ำยังปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงบริเวณหัวเข่า ญาติจึงไปตามหมอมา บ้านพักหมออยู่ห่างประมาณ 100 เมตรเท่านั้นเอง
    หมอชื่อ “จ่าวันทอง” เป็นทหารบก อายุเพียง 40 ปี ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงแบบทหาร มีความชำนาญเฉพาะทางด้านไสยศาสตร์และคาถาอาคม
    หมอมาถึงห้องพักโดยไม่ได้ถืออะไรมา มามือเปล่า คนที่อยู่ในห้องแถวจึงเล่าอาการของยายให้ฟัง ฟังแล้วหมอได้เข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ คนเจ็บ แล้วพิจารณาดู พร้อมบริกรรมคาถาพึมพำ ตามวิชาที่เล่า-เรียนมา จากนั้นก็ยกฝ่ามือทั้งสองข้าง กางออกอยู่ใกล้ๆ ผู้ป่วย (ลักษณะเหมือนเครื่องตรวจวัตถุระเบิดนั่นแหละ)
    หมอเคลื่อนมือไปจนทั่วลำตัวของ ผู้ป่วยแล้วบอกว่า ไม่พบอะไร และไม่มีอะไร เขาสงสัยแต่ว่าคงเป็นผีบรรพบุรุษ มาสิงสู่เพื่อตามหาญาติพี่น้อง แต่ผู้เขียนยังไม่แน่ใจ จึงบอกว่า ขอให้ลองตรวจดู อีกที หมอก็ตกลงทำตามที่แนะนำ
    หมอจึงบริกรรมคาถาใหม่ พึมพำนานประมาณ 1 นาที แล้วบ้วนน้ำลายลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง จากนั้นก็เอาฝ่ามือ ไปวางใกล้ๆ คนไข้อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ คนป่วยสะดุ้งตกใจ! และลุกเดินเข้าไปในห้อง บอกว่าจะเข้าไปนอน แล้วเอาผ้าห่มมาคลุมตัว หมอเห็นดังนั้นก็บอกว่า

    “ใช่แล้ว!”

    ผู้เขียนจึงถามว่า

    “คนปราบผีปอบอยู่ที่ไหน?”

    มีคนหนึ่งที่มานั่งดูเหตุการณ์อยู่ด้วยกัน ตอบว่า

    “มีอยู่คนหนึ่ง เป็นตำรวจ แต่ผมไม่รู้ว่าบ้านหมอปราบผีปอบคนนั้นอยู่ ที่ไหน..”

    ผู้เขียนจึงไปถามที่ป้อมตำรวจ ซึ่งอยู่ในตลาดสะหวันนะเขตนั่นเอง มีคนบอกว่าหมอคนนี้ชื่อ “จ่าบุญมี” แต่ขณะ-นั้นกำลังเข้าเวรยามอยู่ที่สถานีตำรวจ ผู้เขียนจึงตามไปจนพบตัว และพามาที่บ้านคนป่วยทันที
    พอขึ้นมาถึงห้องพัก จ่าบุญมี ก็พิจารณาดูผู้ป่วย และทำคล้ายๆ กับหมอคนแรก แต่จ่าบุญมีมีสมุนไพรติดมาด้วย 1 ชิ้น ลักษณะคล้าย “ว่าน” เขาบอกให้ผู้เขียนหาขันน้ำมาพร้อมกับใส่น้ำ ครึ่งขัน และหินฝน แล้วฝนว่านสมุนไพรลงไปในขัน จนน้ำมีลักษณะขุ่นๆ แล้วเขาก็บอกให้ผู้เขียนเอาไปรดหัวผู้ป่วย
    ผู้เขียนไม่ได้คิดอะไร และไม่เชื่อ ในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ก็ทำตามหน้าที่ ที่หมอบอกเท่านั้น ใจหนึ่งก็อยากทดสอบดูเหมือนกันว่ามันจะเป็นอย่างไร จึงดึง ผ้าห่มที่คลุมร่างผู้ป่วยออกแล้วเอาขันน้ำใบนั้นเทราดรดหัวผู้ป่วย พร้อมทั้งคว่ำขันครอบหัวเอาไว้ด้วยเมื่อผู้ป่วยถูกรดด้วยน้ำยาสมุนไพรก็สะดุ้งเฮือก แล้วปึงปังลุกขึ้นมา ตั้งท่าวางมวยทั้งๆ ที่ผู้ป่วยเป็นหญิงผอม ตัวดำและอายุมากแล้ว จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนอีก หมอได้เอาฝ่ามือคลำไปทั่ว ร่างกาย ลักษณะเหมือนมีอะไรอยู่ใต้ผิว-หนัง แต่เคลื่อนไหว วิ่งไปวิ่งมาทั่วร่างกาย ลักษณะเหมือนเราจับปลาในอ่างหรือ งมปลาในแหในอวน ในที่สุดสิ่งนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่สีข้างด้านซ้าย จากนั้น “หมอ- บุญมี” จึงกำเอาสิ่งนั้นไว้ในกำมือ

    หมอบุญมียังเงยหน้าขึ้นมาถาม ผู้เขียนว่า

    “จะให้บีบไหม? ถ้าบีบ ผีปอบจะตายนะ!”

    ผู้เขียนตอบหมอว่า

    “หยุดก่อน อย่าเพิ่งทำ เพราะอยากรู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน?”

    ในที่สุด คนป่วยก็พูดขึ้นว่า

    “อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ!”

    พูดจบก็ลุกขึ้นขอตัวลงไปปัสสาวะ ที่ห้องน้ำข้างล่าง หมายความว่า “ปอบ” ตนนั้นได้ออกจากร่างผู้ป่วยไป ขณะที่ปัสสาวะแล้ว (อันนี้หมอบุญมีบอก ตอนหลัง)หมอบุญมียังได้บอกอีกว่า ลักษณะของผีปอบนั้น ถ้ามันกินคนไม่ได้ เจอหมอดีๆ มันจะออกไป แต่ถ้าเจอหมอไม่ดี คนป่วยก็จะตายจากนั้นผู้เขียนก็ลงมายังชั้นล่างของบ้านเช่า แล้วพูดเสียงดังว่า “โปรดทราบ! คนไหนเป็นผีปอบให้มารายงานตัวด่วน!”จากนั้นไม่ถึง 10 นาทีตาแก่ หลังค่อมที่เช่าอยู่ห้องที่ 1 ได้เข้ามาสารภาพกับผู้เขียน เขาเองที่เป็นผีปอบ พอทราบดังนั้นจึงไปตามตำรวจ ที่ป้อม และนายบ้าน (เหมือนตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านของไทยเรา ชื่อ “วันทอง” ส่วนกำนัน เขาเรียก “ตาแสง”) มาเจรจากัน “คุณผู้เป็นผีปอบจะยอมหนี จากห้องแถวนี้รึเปล่า? โดยให้หนีในค่ำวันนี้เลย”มีการทำสัญญากันระหว่างนาย-บ้านกับผู้เป็นผีปอบและผู้เขียน โดยมี ชาวห้องแถวเป็นพยาน และเมื่อยินยอม ก็จะไม่เอาโทษผิด ตำรวจจึงรับตัวไปอยู่ ที่ป้อม พร้อมสิ่งของเครื่องใช้ประจำตัวอื่นๆ ตั้งแต่วันนั้นมา ก็ไม่เคยเจอ ผีปอบตนนั้นอีกเลย!

    KoosangKoosom :
     
  2. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    ว้าย สะหวันนะเขตข้างบ้านเราเลยแฮะ(มุกดาหาร)

    ขอบคุณที่นำมาให้อ่านนะคะ บรื๋อ น่ากลัวๆนะคะปอบเนี่ย

    ยุคนี้ทันสมัยเท่าไหร่ ก็ยังมีปอบอยู่เลย^^
     
  3. minidog

    minidog Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    266
    ค่าพลัง:
    +91
    ตอนแรกอ่านแล้วเขาใจว่า 2550 แต่จริงๆพ.ศ. 2504 แล้วปัจจุบันผู้ที่รู้วิชา เขาไปเรียนมาจากใหน มีใครพอทราบบ้าง
     
  4. samzuzaa

    samzuzaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +501
    อืมมมมม... งง แฮะ ผู้เขียนบอกว่าไม่เชื่อแต่พอหมอผีตรวจอีกที ถามหาหมอกำจัดปอบทันที แปลกดีแท้ แทนที่จะสงสัยว่าเป็นโรคทางกายก่อน อีกอย่างไปตามหมอผีมาเลย ไอ้เราก็นึกว่าจะไปตามหมอแผนปัจจุบันมาก่อน เหอเหอเหอ
     
  5. teelak

    teelak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +900
    อยู่ประเทศลาวสมัยก่อนเขาเล่นของกันเป็นปกติครับ

    สมัยนี้เขาก็บอกว่ายังมีอยู่นะครับ

    แถมแถบฝั่งมุกดาหาร(มุกดาหารบ้านผม 55+)ก็ได้รับอิทธิพลมาเช่นกันครับ

    สมัยก่อนๆคนเฒ่าคนแก่ของฝั่งเราก็เรียนมนต์คาถาเหมือนกันครับ

    ตามที่ผมเคยถามคุณยายของผม คุณยายบอกว่า

    คนเขาเรียนกันมาแต่ประเทศลาวโน่น คุึณตาทวดของผมท่านก็เรียนเช่นกัน


    ท่านเก่งมากเลยครับ

    ท่านไม่สอนวิชานี้ให้แก่ลูกหลาน

    ท่านบอกว่าจะทำให้ทำมาค้าขายไม่ขึ้น

    อีกอย่าง

    พระรัตนตรัยเป็นคุณที่ประเสริฐสุดแล้วครับ ไม่มีอะไรมาสู้ได้

    อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...